--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

บนยุทธภูมิ ทางวัฒนธรรม !!?


โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์

หมอเหวง โตจิราการนำเอาคลิปของการรวมตัวของฝูงชนอย่างสั้นๆ (flash mob) ในประเทศหนึ่งมาเผยแพร่ มีการแชร์กันกว้างขวาง จนผมได้พบเข้าโดยบังเอิญ จึงลองคลิกเข้าไปดูและฟัง

เป็นการรวมตัวของนักดนตรีและนักร้องในจัตุรัสเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนเดินไปเดินมา เดินเล่น เด็กวิ่งเล่น สุนัขไล่หยอกล้อกัน แล้วก็มีคนแบกดับเบิลเบสตัวใหญ่ออกมาสีนำ ตามด้วยคนแบกเชลโลออกมาเสริมอีกสองคน บัสซูนอีกคนเดินตามมา ไวโอลินอีกมากเดินตามมาเรื่อยๆ พร้อมกับเครื่องลมและเครื่องทองเหลืองอีกเป็นแถว

เพลงที่เขาเล่นคือท่อนหนึ่งของกระบวนที่ 4 ของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟน ซึ่งรู้จักกันว่าซิมโฟนีเสียงประสาน เพราะในท่อนนี้จะมีเสียงประสานคำร้องซึ่งเอามาจาก "กาพย์แด่ปิติสุข" (An die Freude-Ode to Joy) ของจินตกวีฟรีดริช ชิลเลอร์ อันเป็นท่อนที่รู้จักกันไปทั่วโลก เอามาเป็นทำนองหลักในหนังหลายเรื่อง แปลงเป็นเพลงร็อก ใช้เปิดกีฬาโอลิมปิก เป็นเพลงสัญลักษณ์ของ EC (ประชาคมยุโรป) และ EU สหภาพยุโรปในปัจจุบัน แสดงในวันปีใหม่เป็นร้อยๆ วงทั่วประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยสงคราม ถูกเปิดผ่านลำโพงแก่ผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ผมฟังเพลงนี้มาในชีวิตน่าจะเกิน 100 ครั้งแล้ว เล่นโดยวงดนตรีชั้นนำระดับโลกไม่รู้จะกี่วง กำกับโดยวาทยกรเด่นดังหลายต่อหลายคน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่น้ำตาจะไหลพรากอย่างไม่ยอมหยุดเท่าครั้งนี้ อาจเป็นเพราะภาพปฏิกิริยาของผู้คนในบริเวณที่มีการรวมตัว จากความไม่ค่อยใส่ใจนักกลายเป็นการล้อมวงฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ บดบังเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่ถูกมนตร์ของดนตรีสะกดจนลืมนึกถึงไปชั่วขณะ พ่อหนูน้อยจึงต้องปีนเสาไฟข้างถนนขึ้นไปดูและฟัง พร้อมทั้งแสดงท่าเป็นวาทยกรไปพร้อมกัน เมื่อคณะนักร้องที่แทรกอยู่ในฝูงชนเริ่มร้อง ผู้คนซึ่งไม่เคยเรียนร้องเพลงเลยก็เปล่งเสียงตาม หรือบางคนทำปากขมุบขมิบตามเนื้อร้อง

สำนึกที่ท่วมท้นจิตใจขณะนั้น คือพลังของความเป็นมนุษย์ในท่ามกลางเสรีภาพ อย่างที่กุหลาบ สายประดิษฐ์เรียกว่ามนุษยภาพ

อันที่จริง ความเป็นอมตะของ "กาพย์แด่ปิติสุข" ของชิลเลอร์คงไม่เกิดขึ้น หากบีโธเฟนไม่ได้นำมาใช้ในซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเขา แม้แต่ตัวชิลเลอร์ในวัยชราเองก็บอกกับเพื่อนว่ากาพย์บทนี้ไม่มีคุณค่าต่อโลก เพราะมันไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง ความหมายตามตัวบทจึงแคบมาก คือความเป็นผองน้องพี่ของเหล่ามวลมนุษย์ ซึ่งอาจเสพย์ความปิติสุขจากธรรมชาติที่พระเจ้าประทานมาได้อย่างดื่มด่ำที่สุด แต่เพราะซิมโฟนีหมายเลข 9 ต่างหาก ที่ทำให้นัยยะอันลึกซึ้งอีกมากมายของกาพย์บทนี้ถูกสร้างเสริมเข้าไปแก่ตัวบท จนมีนัยยะที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

เพียงไม่ถึง 10 ปีหลังมรณกรรมของบีโธเฟน นักวิจารณ์เยอรมันก็เริ่มอธิบายแล้วว่า "ปิติสุข" หรือ Freude นั้นที่จริงแล้ว คือ Freiheit (อิสรภาพ-Freedom) เพราะจะทำให้มีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งกว่ากันมาก เช่นในท่อนท้ายที่ว่าปิติสุขย่อมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและเป็นพลังผลักดันของมนุษย์ (ซึ่งมีนัยยะในเชิงศาสนาเพียงอย่างเดียว) หากเข้าใจว่าคือเสรีภาพ (ตามคำที่ผมอยากใช้มากกว่าอิสรภาพ) คือชีวิตและพลังผลักดันให้ชีวิตมีความหมาย กาพย์บทนี้ก็จะจับใจคนสมัยใหม่ (สมัยนั้น) ได้ลึกซึ้งกว่า

เลโอนาร์ด เบิร์นสไตน์ ถึงกับอธิบายแก่ผู้ฟังเลยว่า ชิลเลอร์ต้องการจะให้หมายถึงเสรีภาพนั่นแหละ แต่เนื่องจากมีนัยยะทางการเมืองแรงเกินไปในสมัยที่เขาแต่ง จึงเลี่ยงมาใช้คำว่า ปิติสุข หรือ Freude แทน การตีความและการกำกับซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเขา ก็จะเป็นไปตามการตีความเช่นนี้

น้ำตาผมอาจไหลด้วยการตีความตามแนวของเบิร์นสไตน์ก็ได้กระมัง

ท่วงทำนองในกระบวนที่4ของซิมโฟนีหมายเลข9ท่อนนี้ เป็นที่คุ้นเคยแก่คนไทยจำนวนมาก ผมได้ยินคนฮำตามอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะออกมาในรูปซิมโฟนีหรือเพลงร็อก จึงอยากให้กวี (ที่มีศรัทธาต่อเสรีภาพจริงๆ ไม่ใช่ช่างประกอบคำ) ร่วมมือกับนักดนตรี แปล "กาพย์แด่ปิติสุข" (ตามที่บีโธเฟนตัดและต่อไว้) ออกเป็นภาษาไทย (กวีที่ผมนึกถึงคือคุณสุขุม เลาหพูนรังสี ส่วนครูเพลง ผมนึกถึงอาจารย์อติภพ ภัทรเดชไพศาล) เผื่อสักวันหนึ่ง จะมีการรวมตัวของฝูงชนอย่างสั้นๆ ที่นำโดยนักดนตรีในเมืองไทยอย่างนั้นบ้าง ผู้คนจะได้ร้องตามโดยพร้อมเพรียงกัน

บทเพลงที่ทรงพลังนั้น จะได้มีพลังมากขึ้นในสังคมไทย

แต่การรวมตัวของฝูงชนอย่างสั้นๆ เช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน เพราะแม้ว่าไม่อาจเล่นได้เต็มวง แต่อย่างน้อยก็ต้องมีตัวแทนเสียงเครื่องดนตรีได้ครบพอสมควร จึงไม่ง่ายทั้งการหาคนและการขนย้าย (เช่นกลองทิมพานี กลองเบส เป็นต้น และท่อนนี้ขาดกลองที่ทรงพลังไม่ได้เสียด้วย) การรวมตัวเช่นนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้โดยคนที่มีความพร้อมเท่านั้น

บัดนี้ อาจารย์สุกรี เจริญสุขไม่จำเป็นต้องเอาปี๊บคลุมหัวอีกแล้ว เพราะสภามหาวิทยาลัยมหิดลได้ลงมติแล้วว่าอธิการบดีต้องตัดสินใจเลือกเอาตำแหน่งเดียว หากอาจารย์สุกรีซึ่งมีความพร้อมทั้งในด้านนักดนตรีและนักร้อง จะจัดคอนเสิร์ตอย่างสั้นๆ แต่กินใจที่ได้ยินท่อนนี้เล่นในรูปออเคสตราเป็นครั้งแรก จำนวนมากในคนเหล่านั้นจะประทับใจกับเสียง, ท่วงทำนอง, ฮาร์โมนิก, พัฒนาการของเพลงด้วยการแปรเปลี่ยน, ฯลฯ ของดนตรีตะวันตก จนกลายเป็นผู้ฟังหรือผู้เล่นดนตรีคลาสสิกสักวันหนึ่งข้างหน้า

นี่ไม่ใช่ความมุ่งหมายที่อาจารย์สุกรีได้ทุ่มเทความพยายามตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหรอกหรือ

ระหว่างการแสดงดนตรีในห้องดนตรีเชิญแขกผู้มีเกียรติมาฟังพร้อมกับขายบัตรให้ผู้ที่ชอบดนตรีคลาสสิกตะวันตกกับการนำดนตรีมาเล่นกลางฝูงชนอย่างไหนจะทำให้ประชาชนเข้าถึงดนตรีคลาสสิกตะวันตกได้มากกว่ากัน

ไม่ใช่เข้าถึงเพียงเพราะได้ฟังด้วยแต่เข้าถึงเพราะดนตรีเข้าถึงชีวิตจริงที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ทั้งด้วยเสียงและภาพของฝูงชนที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแม้เพียงช่วงสั้นๆแต่อย่างที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ผู้ชาย, ผู้หญิง, คนแก่, เด็ก, คนรวย, คนจน, คนมีอำนาจ, คนไร้อำนาจ ฯลฯ ต่างเกิดสำนึกถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ร่วมกัน อันเป็นสิ่งที่บรรลุได้ในกลิ่นอายของเสรีภาพ แม้เป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม แต่จะเป็นช่วงสั้นๆ ที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์

และนี่คืออำนาจของศิลปะ ในยามมืดมิด ศิลปะคือดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจำรัส ในยามอ่อนล้า ศิลปะคือพลังที่ชุบชูความหวังและความฝันไม่ให้เสื่อมสลาย

ไม่จำเป็นต้องซิมโฟนีหมายเลข 9 เพลงไทยที่เราคุ้นหูก็มีอำนาจไม่ต่างจากกัน เราจะหอบเครื่องปี่พาทย์ไปยังที่สาธารณะซึ่งพลุกพล่านที่ไหนก็ได้ เพื่อสร้างช่วงเวลาสั้นๆ ร่วมกันกับคนอื่น ร้องเพลง "เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง" อันมีทำนองที่ใครๆ ก็ร้องตามได้เพราะนำมาจากทำนองเพลงลาวเฉียงในตับพระลอ ซึ่งถูกแปลงเป็นเพลงไทยสมัยปัจจุบันไปหลายครั้งแล้ว

เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ก็คุ้นหูคนไทย พอที่เริ่มต้นแห่งใด ก็จะมีคนร้องตามได้มากมาย เพื่อสร้างช่วงสั้นๆ แห่งเสรีภาพที่จะตราตรึงใจของคนต่อไปอีกนานเท่านาน

เพลงจากภาพยนตร์ที่ตรึงใจคนทั่วโลกอีกเพลงหนึ่งคือDoyouhearthe people sing? ก็มีทำนองที่คุ้นหูคนไทย (และคุณสุขุม เลาหพูนรังสีได้แปลไว้อย่างดีเลิศแล้ว) หากไม่อาจเปล่งเนื้อร้องได้ ก็อาจใช้การฮัมหรือร้องลัลล้าร่วมกันได้

ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเกมใหม่ที่เลียนแบบไอซ์บัคเกต คือท้าร้องเพลง "บทเพลงของสามัญชน" ลงคลิปและเผยแพร่ บัดนี้มีเพลงที่ร้องโดยผู้รับคำท้าจำนวนมากแล้ว ด้วยลีลาที่แตกต่างกันหลากหลาย

เสรีภาพซึ่งขาดหายไปในพื้นที่สาธารณะทุกประเภท ควรถูกครอบคลุมด้วยศิลปะ ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม กวีนิพนธ์ ศิลปะจัดวาง ศิลปะอุบัติการณ์ ฯลฯ เพื่อหล่อเลี้ยงความหวังและความฝันของคนไทยสืบไป

นี่คือยามมืดมิดที่ท้าทายศิลปิน หรือผู้ถือดาวอยู่ทั่วท้องฟ้า ท่านอยากสิงสถิตในวิมานของศิลปินแห่งชาติ หรือส่องแสงแก่ผู้คนในความมืด

ที่มา:มติชน
////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

อวสาน นักวิชาการ !!?

โดย.นิธิ เอียวศรีวงศ์

นักวิชาการในมหาวิทยาลัยอเมริกันคนหนึ่ง เคยตั้งข้อสังเกตกับผมว่า นักวิชาการอเมริกันนั้นไม่ค่อยมีอิทธิพลทางการเมืองเท่ากับนักวิชาการไทย ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ไม่ว่าจะพูดดีหรือเฮงซวยแค่ไหน ก็แทบจะหาสื่อมารายงานสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ ถึงมีสื่อรายงาน ก็ไม่เคยพาดหัวหนังสือพิมพ์ ซ้ำรายงานสั้นจนจับเหตุผลข้อเสนอของเขาไม่ได้ และที่ร้ายไปกว่านั้นคือสังคมอเมริกันไม่สนใจเลย

ศาสตราจารย์ George McT. Kahin นักรัฐศาสตร์ผู้โด่งดังของมหาวิทยาลัยคอร์แนล เล่าใน Southeast Asia : A Testament ว่า ในการรณรงค์ต่อต้านสงครามเวียดนามของท่านนั้น ท่านต้องเที่ยวตระเวนพูดและสอนเกี่ยวกับสงครามเวียดนามไปตามแคมปัสต่างๆ ของหลายมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐ แม้แต่เข้าร่วมประท้วงกับนักศึกษาในบางครั้ง จนในที่สุด ก็กลายเป็นนักวิชาการที่ต่อต้านสงครามเวียดนามตัวเด่น สภาคองเกรสจึงเชิญท่านไปให้การเกี่ยวกับสงครามเวียดนามแก่คณะกรรมาธิการ แต่สื่อส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ลงคำให้การของท่าน หรือลงเหมือนเป็นข่าวเหตุการณ์มากกว่าการชี้แจงแสดงเหตุผล หรือร้ายไปกว่านั้นบางฉบับก็ลงผิดเสียอีก

ดังนั้น สังคมอเมริกันจึงแทบไม่ได้เรียนรู้ความเห็นต่างเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐที่พึงมีต่อเวียดนาม อย่างน้อยก็ไม่ได้เรียนรู้จากนักวิชาการโดยตรง แต่อาจรับรู้โดยทางอ้อมผ่านการประท้วงขนาดใหญ่ต่างๆ (แต่ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันก็อ่านหนังสือมากกว่าไทย จึงอาจรู้ความเห็นทางวิชาการได้ผ่านสื่ออื่นที่ไม่ใช่รายวัน)

ผมจึงเห็นจริงตามที่นักวิชาการอเมริกันตั้งข้อสังเกตกล่าวคือหากนำมาเปรียบเทียบกับนักวิชาการไทยแล้วอิทธิพลทางการเมืองของนักวิชาการอเมริกันมีน้อยมากแต่ในหมู่นักวิชาการไทยไม่ว่าจะพูดอะไร ดีหรือเฮงซวยแค่ไหน ก็มักมีข่าวปรากฏให้ได้รู้กันในสื่อ อย่างน้อยก็ในหน้าหนังสือพิมพ์ และมาในระยะหลังๆ ก็มีแม้แต่ในข่าวทีวีด้วย ยิ่งหากเป็นนักวิชาการใหญ่ ข่าวคำพูดของเขาอาจถูกนำไปพาดหัวหนังสือพิมพ์เอาเลย

อันที่จริง คนที่ถูกจัดว่าเป็นนักวิชาการในเมืองไทยนั้นมีน้อยมาก เช่น อาจารย์เกษียร เตชะพีระ เพิ่งยกตัวเลขมาให้ดูเร็วๆ นี้ว่า เรามีศาสตราจารย์อยู่เพียงเก้าร้อยกว่าคน แต่มีนายพลเข้าไปพันสี่ น่าสังเกตว่าในพันสี่นั้น มีนายพลเพียงไม่ถึง 10 คนกระมังที่พูดอะไรแล้ว สื่อนำไปขยายต่อ แต่มีศาสตราจารย์หรือนักวิชาการที่ยังไม่ได้ตำแหน่งนั้นอีกเป็นร้อย ที่พูดอะไรปับ ก็มีข่าวในสื่อทันที

ไม่เพียงแต่เสียงดังกว่าคนทั่วไปเท่านั้น นักวิชาการยังมักถูกเลือกหรือได้รับเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งตำแหน่งสาธารณะต่างๆ อยู่เสมอ ในรัฐธรรมนูญสองฉบับที่ถูกฉีกทิ้งไป แม้แต่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการก็ได้อภิสิทธิ์ขึ้นมาทันที เพราะจะเป็นผู้เลือกบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งสาธารณะอื่นๆ ได้อีก

"สัตว์ประหลาด" พวกนี้โผล่มาจากไหน และได้อิทธิฤทธิ์เช่นนี้มาอย่างไร

อันที่จริงคำว่า "นักวิชาการ" เป็นคำใหม่ เพิ่งเกิดขึ้น (ผมเข้าใจว่า) หลังนโยบายพัฒนาใน 2504 เป็นต้นมา ใครจะเป็นคนคิดขึ้น และใช้กันครั้งแรกจริงๆ เมื่อไรกันแน่นั้น ผมไม่อยู่ในฐานะจะเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้

ข้อนี้ก็ไม่แปลกประหลาดอะไรนะครับ การที่สังคมหนึ่งๆ เข้าสู่ความทันสมัย ย่อมทำให้เกิดอาชีพเฉพาะด้านใหม่ๆ ขึ้นเยอะแยะ ต้องสร้างศัพท์ใหม่หรือเอาศัพท์เก่ามาใช้ในความหมายใหม่เพื่อเรียกคนในอาชีพเหล่านี้ ทนายความก็ใช่ หมอก็ใช่ ดาราก็ใช่ ตำรวจก็ใช่ และว่าที่จริงทหารก็ใช่ด้วย เพราะคำไทยแต่เดิมทหารเป็นเพียงหมวดหมู่ของไพร่เท่านั้น ไม่ได้หมายถึง "ทหาร" อย่างที่เราใช้ในปัจจุบัน

ข้อแตกต่างของศัพท์ "นักวิชาการ" อยู่ตรงที่มันเกิดหลังจากศัพท์ใหม่ๆ ที่ยกตัวอย่างไปแล้ว ซ้ำหลังมากเสียด้วย แปลว่าตั้งแต่ ร.5 ลงมาถึงสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เราไม่มีสำนึกถึงคนประเภทหนึ่งซึ่งจะถูกเรียกในภายหลังว่า "นักวิชาการ" เลย เพราะเราเรียกคนเหล่านี้ว่า "อาจารย์" ซึ่งในสมัยหนึ่งสงวนไว้สำหรับเรียกครูในมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ แม้เป็น "อาจารย์" จะโก้ดี แต่ไม่มีอิทธิพลอะไรทางการเมืองนะครับ ผมนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่า ก่อน 2505 มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านใดบ้าง ที่สามารถพูดอะไรเป็นสาธารณะ เพื่อให้มีผลต่อนโยบายของรัฐบาล หากจะมีคนอย่างหลวงวิจิตรวาทการ หรือ ดร.หยุด แสงอุทัย ซึ่งแน่นอนว่าความคิดเห็นของท่านเหล่านั้น มีผลต่อนโยบายสาธารณะไม่มากก็น้อย ผมก็อยากเดาว่าคนเหล่านั้นไม่ได้อยากเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยแน่ คนหนุ่มในช่วงนั้นที่พูดอะไรให้พอดังออกมาได้บ้าง คือคุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งไม่เคยเรียกตัวเองเป็น "นักวิชาการ" แต่ดูเหมือนจะพอใจให้เรียกว่า "ปัญญาชน" มากกว่า

เป็นหลวงวิจิตรฯ เป็นดร.หยุด หรือเป็นคุณสุลักษณ์ มีนัยยะสำคัญกว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแน่ และท่านก็ไม่ได้เป็น "นักวิชาการ" เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคำนี้ไว้สำหรับเรียกอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใด

ไม่แปลกอะไรที่ "นักวิชาการ" จะเกิดหลังนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์ ในระหว่าง พ.ศ.2504-2515 นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นจาก 15,000 คน เป็น 100,000 คน จำนวนของบัณฑิตเพิ่มขึ้นในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อาจารย์มหาวิทยาลัยพูดมีคนฟังมากขึ้น สิ่งที่เขียนก็มีคนอ่านมากขึ้นเหมือนกัน ซ้ำคนที่ฟังและอ่านยังเป็นคนที่มีรายได้สูงกว่าคนทั่วไป มีสำนึกทางการเมืองและสังคม กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ เป็นผู้บริโภคหลักของสินค้าที่ลงโฆษณาในสื่อ และเป็นลูกค้าหลักของสื่อ

หากคนเหล่านี้ฟังหรืออ่านใคร คนนั้นย่อมไม่ใช่คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยธรรมดาเสียแล้ว เขาจึงมีสถานะใหม่คือเป็น "นักวิชาการ" ซึ่งไม่ได้กีดกันไว้เฉพาะผู้มีอาชีพสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่อาจรวมถึงใครก็ได้ที่สามารถแสดงความเห็นทางสังคมหรือการเมือง โดยอ้างอะไรที่เป็นวิชาการ (ตำราหรืองานวิจัยหรือการวิเคราะห์ทางสถิติ ฯลฯ) ก็ล้วนถูกเรียกว่าเป็นนักวิชาการ

ใครเรียกหรือครับ สื่อเริ่มเรียกก่อน เพื่อทำให้ความเห็นซึ่งสื่อก็รู้ว่าจะไม่เป็นที่พอใจของอำนาจเผด็จการ ได้มีโอกาสแสดงออกผ่านสื่อบ้าง อย่างน้อยสื่อไม่ได้พูดเอง แต่คนอื่นเป็นคนพูด ซ้ำคนอื่นนั้นก็ไม่ใช่อ้ายเบื๊อกที่ไหนด้วย แต่เป็นนักวิชาการซึ่งก็น่าจะพูดไปตามหลักวิชา ไม่เจตนาประจบใคร ไม่เจตนาโจมตีใคร "วิชาการ" (ไม่ว่าจะหมายความถึงอะไร) จึงเป็นเกราะป้องกันสื่อ

ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันสื่อเท่านั้น ผมคิดว่านักวิชาการเองก็อ้างอะไรที่เป็นวิชาการเพื่อปกป้องตนเองเท่าๆ กัน "ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่ "วิชาการ" เป็นคนพูดมาก่อน"

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไร้เสรีภาพในการพูดและแสดงออกภายใต้เผด็จการทหารที่ครองประเทศมาตั้งแต่2500-2516คิดไปก็เป็นการไขว่คว้าหาเสรีภาพของสังคมไทยที่ชาญฉลาดทีเดียวเพราะในวัฒนธรรมไทยความรู้ (วิชชา) มีอยู่หนึ่งเดียว ไม่ว่าใครพูดก็จะตรงกันทั้งสิ้น ในขณะที่ความเห็นอาจมีได้หลายอย่าง อีกทั้งความรู้ยังสัมพันธ์กับความจริงทางศาสนาด้วย ฉะนั้นจึงมีศักดิ์สูงกว่าอะไรหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำแถลงของรัฐบาล, ประกาศสำนักนายกฯ, นโยบายของสภาพัฒน์, หรือคำแก้ตัวของท่านรัฐมนตรี

(ผมคิดเสมอว่า นี่คือเหตุผลที่ต้องเรียกว่า "นักวิชาการ" แทนที่จะเป็น "นักวิทยาการ" เพราะศัพท์บาลีขลังกว่าศัพท์สันสกฤต ซึ่งมักถูกใช้เป็นศัพท์ทางโลกย์ในภาษาไทย มากกว่าบาลี)

อย่างไรก็ตาม จุดที่เป็นพลังทางการเมืองของ "วิชาการ" เช่นนี้ กลับเป็นจุดอ่อนทางการศึกษาและภูมิปัญญาไทยในโลกสมัยใหม่ เพราะหากความรู้หรือความจริงมีหนึ่งเดียว จะมีวิธีเรียนรู้มันด้วยวิธีอะไรดีไปกว่า ทำความเข้าใจแล้วจำเอาไว้ แทนที่จะทำความเข้าใจ แล้ววิพากษ์เพื่อหาจุดอ่อนของความรู้นั้นๆ ว่า มันจริงได้เฉพาะในเงื่อนไขจำกัดบางอย่าง หากพ้นออกไปจากเงื่อนไขนั้น มันก็อาจไม่จริงหรือจริงไม่หมดก็ได้

ผลก็คือทำให้การศึกษาและภูมิปัญญาไทยยืนอยู่กับที่ตลอดมา ในขณะที่เพื่อนบ้านอาจรุดหน้าไปอย่างช้าๆ จนเลยเราไป

ภายใต้ระบอบเผด็จการของสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส เสียงของนักวิชาการเป็นเสียงเดียวในสังคมที่ดูเหมือนจะมีเสรีภาพสูงสุด ทั้งดูเหมือนเป็นอิสระที่สุดด้วย เพราะไม่เกี่ยวข้องกับทหาร, นักการเมือง, หรือทุน กลุ่มใดเป็นพิเศษ ทำให้อิทธิพลทางการเมืองของนักวิชาการยิ่งเพิ่มขึ้น

แต่หลัง 14 ตุลาเป็นต้นมา เสรีภาพในสังคมไทยเปิดกว้างขึ้น แม้จะมีการรัฐประหารและยึดอำนาจในหลายๆ รูปแบบตามมาก็ตาม แต่ผู้ยึดอำนาจจะไม่ลิดรอนเสรีภาพอย่างออกหน้า หรืออย่างไร้ขีดจำกัดอย่างแต่ก่อน (ยกเว้นรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งถึงอย่างไรก็มีอายุอยู่เพียงปีเดียว) เสียงของนักวิชาการก็เริ่มจะดังน้อยลงตามลำดับ ความเป็นอิสระของนักวิชาการก็เริ่มถูกพิสูจน์ว่าไม่จริง หลายคนลาออกจากราชการไปสมัครผู้แทนราษฎรในนามพรรคการเมืองบางพรรค และกลายเป็นนักการเมืองเต็มตัว บางคนไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัทโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น บางคนเข้าใกล้ทหารอย่างออกหน้า บางคนสังกัดอยู่ในสถาบันพระมหากษัตริย์เชิงเครือข่าย

ก่อนจะถึงสงครามเสื้อสี ผมคิดว่าทรรศนะของสังคมไทยต่อนักวิชาการได้เปลี่ยนไปแล้ว กล่าวคือไม่เชื่ออีกแล้วว่านักวิชาการเป็นอิสระ (ทั้งๆ ที่คนเป็นอิสระจริงๆ ก็ยังมี) ถึงไม่สังกัดกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอำนาจใดเลย ก็มีความลำเอียงหรืออคติเข้าข้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมการณ์บางอย่างเป็นพิเศษ

สถานะของนักวิชาการในสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้วความเห็นทางวิชาการของคนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พึงรับฟังเป็นพิเศษอีกต่อไปเพราะคนเหล่านี้ล้วนมีสังกัดสังกัดนี้ก็ต้องพูดอย่างนี้แหละสังกัดนั้นก็ต้องพูดอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือไม่ ความไม่เป็นอิสระของนักวิชาการทำให้ไม่น่าเชื่อถือ นับว่าสอดคล้องกับทรรศนะต่อความรู้ที่มีมาในวัฒนธรรมไทยด้วย เพราะความรู้ (หรือวิชชา) นั้นเกิดขึ้นได้จากการรู้ยิ่งที่ปราศจากการครอบงำของอคติสี่

เมื่อนักวิชาการมีอคติ ก็ไม่มีทางรู้ยิ่งได้สิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นวิชาการจึงเป็นเพียงความเห็นที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ความเสื่อมอิทธิพลทางการเมืองของนักวิชาการไทยเห็นได้ชัดในคสช. หรือคณะรัฐประหารชุดท้ายสุดนี้ คสช.เป็นคณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียก "นักวิชาการ" เข้าไปรายงานตัวบางคนก็ถูกกักตัวไว้ บางคนก็ถูกสร้างให้มีคดีติดตัว ยิ่งกว่านี้ คสช.สั่งตรงไปตรงมาเลยว่า นักวิชาการเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่ห้ามมิให้โทรทัศน์สัมภาษณ์หรือนำไปออกรายการ ร่วมกับนักการเมือง หรือผู้นำม็อบ การกระทำต่อนักวิชาการเช่นนี้ของ คสช. ไม่ได้ทำให้ความชอบธรรมของ คสช.ในสังคมไทยลดลง (แม้อาจไม่เพิ่มขึ้น) อย่างน้อยก็ไม่มีใครสะดุ้งสะเทือนในสังคมไทย

ที่น่าสังเกตก็คือ ในคำแถลงขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศ นักวิชาการ (academicians) จะถูกยกเป็นหนึ่งใน "เหยื่อ" ของการละเมิดของคสช.เสมอ ผมไม่ได้หมายความว่านักวิชาการเป็นที่ยกย่องในโลกตะวันตก แต่ผมคิดว่าในทรรศนะของเขา นักวิชาการเป็นพวกที่ไม่มีอันตรายต่อใคร เพราะฤทธิ์เดชของนักวิชาการนั้นอาจสกัดขัดขวางได้ง่าย เนื่องจากนักวิชาการเพียงแต่เสนอความเห็นเชิงวิชาการ หากเราไม่เห็นด้วยก็แสดงความเห็นเชิงวิชาการคัดค้าน หากทำได้ดี นักวิชาการนั้นๆ ก็ต้องเงียบไปเอง หรืออย่างน้อยก็หมดเสียง เพราะไม่มีใครสื่อความเห็นนั้นอีก

บัดนี้สถานะอภิชนของนักวิชาการในสังคมไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว ผมมองความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยความยินดี เพราะจะนำไปสู่ข้อสรุปที่สังคมไทยจะต้องเรียนรู้เสียทีว่า ที่เรียกว่าความรู้นั้นที่จริงก็คือความเห็น ไม่ได้มีอะไรต่างกัน ดังนั้น การศึกษาเล่าเรียน คือการทำความเข้าใจความเห็นของคนอื่นอย่างถึงแก่น แล้วพยายามมองหาจุดแข็ง จุดอ่อนของความเห็นนั้น โดยไม่เกี่ยวว่าความเห็นนั้นเป็นของคนที่ได้รับยกย่องให้เป็นปราชญ์หรือไม่ เป็น "บิดา" ของวิชาโน้นวิชานี้หรือไม่ หรือสวมเสื้อสีอะไร

ในขณะเดียวกัน ใครก็ตามที่จะนำเสนอความเห็นของตนต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือช่างตัดผม ต้องไตร่ตรองและค้นคว้าหาข้อมูลที่เพรียบพร้อมขึ้น เพื่อทำให้ความเห็นนั้นได้ถูกรับฟัง ไม่ใช่เพราะสถานะของตนเองเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ก็ดีแก่ภูมิปัญญาไทยไม่ใช่หรือ

การทำลายสถานะอภิชนของนักวิชาการนั้นดีแก่สังคมแน่แต่ที่น่าวิตกก็คือ "วิชาการ" เล่าจะถูกลดสถานะลงไปด้วยหรือไม่ เช่นผู้มีอำนาจอาจเสนอนโยบายสาธารณะได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าขัดแย้งกับความเป็นจริง ตัวเลขสถิติ ประสบการณ์ในสังคมอื่น ตรรกะและเหตุผล ฯลฯ อำนาจดิบเพียงอย่างเดียวคือผู้ตัดสินใจในนโยบายสาธารณะต่างๆ ไม่มีข้อมูลหรือความเห็นแย้งใดๆ มาขัดเกลาให้นโยบายนั้นมีทางทำได้สำเร็จ และส่งผลดีแก่ส่วนรวมเลย

ดังเช่นนโยบายผักตบชวา, ขึ้นภาษีแวต, ภาษีมรดกและที่ดิน, เลิกรถไฟความเร็วสูง, สอนประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหายกย่องวีรบุรุษแก่นักเรียน, ฯลฯ

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

คลังเผยอุดหนุนต้นทุนผลิต ช่วยผู้มีรายได้น้อย !!?

ปรีดิยาธร เผยเร่งดันภาษีมรดก เกิน50ล้านเสีย10%ทั้งผู้ให้-ผู้รับ

รากหญ้าxแสนล้านxม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลxภาษีมรดกxลักษณ์ วจนานวัชxธ.ก.ส.xกระทรวงการคลัง

รัฐบาลอัดฉีดแสนล้าน ช่วยเหลือเกษตรกร "ลดต้นทุนผลิต-โอนเงินเข้าบัญชีผู้มีรายได้น้อย" คาดเริ่ม 1 ต.ค.นี้ พร้อมเร่งปฏิรูประบบภาษี ประเมินภาษี"ภาษีการให้และการรับมรดก"ผ่านสนช. "ปรีดิยาธร"ระบุคนรวยเต็มใจเสียภาษี ขณะ"บัณฑูร"หนุน ชี้ทุกสังคมมีกฎหมาย สร้างความเป็นธรรม

รัฐบาลเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ หลังจากได้เร่งการลงทุนภาครัฐและเอกชน ด้วยการแก้ปัญหาการเบิกจ่ายและเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 รวมทั้งเร่งอนุมัติโครงการขอส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และใบอนุญาตสร้างโรงงาน

ในช่วงที่ผ่านมา การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามความเชื่อมั่น และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการใช้จ่ายภาครัฐและเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว แต่ยังไม่มากพอจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าในงบประมาณปี 2558 ที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้ รัฐบาลเตรียมเม็ดเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท ในการดูแลเศรษฐกิจระดับรากหญ้าผ่านหลากหลายมาตรการ เน้นหลักไปที่กลุ่มเกษตรกรที่มีรายได้น้อย ผ่านมาตรการอุดหนุนด้านการเงินเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย จะดำเนินการผ่านมาตรการทางด้านภาษี หรือที่เรียกว่า Negative Income Tax (NIT) ซึ่งจะเป็นการโอนเงินภาษีให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย

"การดูแลเกษตรกรนั้น เราไม่ช่วยไม่ได้เด็ดขาด แต่ต้องช่วยสร้างความยั่งยืนให้เขา ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯเขาถามเราว่า ถ้าจะใช้เงินแสนล้านในการดูแลนั้น คลังไหวไหม เราก็บอกว่าได้ แต่ดูแลจะเป็นลักษณะของการอุดหนุนด้านการเงิน แต่เราจะไม่มีการแจกเงินแบบนโยบายประชานิยม ซึ่งอาจจะออกมาในรูปแบบของการลดต้นทุนการผลิต"นายสมหมายกล่าว

สำหรับแหล่งเงินนั้น นายสมหมายกล่าวว่ามีหลายช่องทาง หนึ่งในนั้น คือ งบประมาณ ซึ่งจะดำเนินการผ่านเงินโอนภาษีแก่ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการใช้แหล่งทุนจากธนาคารรัฐ โดยขณะนี้กำลังศึกษารายละเอียดของมาตรการ ซึ่งรวมถึงคำนิยามของคำว่า "เกษตรกรหรือบุคคลที่มีรายได้น้อย"

"ผมคิดว่า ภายในต้นเดือนต.ค.นี้ จะเห็นมาตรการทั้งหมดที่จะนำมาใช้ ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังพิจารณาในรายละเอียด"

ในเบื้องต้น มาตรการจะช่วยเหลือเกษตรรายย่อย มีที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ โดยลดค่าปุ๋ยและยาฆ่าแมลง โดยใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ส่วนมาตรการโอนเงินภาษีจะให้เงินผ่านบัญชี โดยต้องมีการสำรวจและลงทะเบียน

เร่งผลักดันภาษีมรดก

นายสมหมาย ยังกล่าวถึงมาตรการทางภาษีว่าในระยะสั้นจะเร่งผลักดันให้ภาษีมรดกให้มีผลบังคับใช้ โดยภาษีมรดกที่ว่านี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยหลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

"ในหลักการ เห็นด้วยกับภาษีนี้ ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักการแล้ว ซึ่งก็ได้บอกว่า กฎหมายนี้จะมีการปรับปรุงให้เป็นที่ยอมรับของสังคม กล่าวคือ จะมีการผ่อนปรนการจัดเก็บจากร่างเดิมมากขึ้น เช่น มรดกที่ได้รับจากสามีหรือภรรยาที่เสียชีวิต จะได้รับการยกเว้น หรือ คนจนที่ไม่มีเงินเสียภาษีมรดก"

อัตรา10% เก็บทั้งผู้ให้-ผู้รับ

ทั้งนี้ ในร่างภาษีมรดกที่อยู่ระหว่างการพิจารณานี้ จะปิดช่องโหว่สำหรับการเลี่ยงกฎหมายด้วย โดยเฉพาะในส่วนของผู้ให้มรดกที่ยังไม่เสียชีวิต จะมีการกำหนดว่า หากยกมรดกให้ภายใน 2 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิต ต้องเสียภาษีการให้ด้วย โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการเสียภาษีจะอยู่ในเกณฑ์เดียวกันกับผู้รับมรดก คือ ทรัพย์ที่เกิน 50 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรา 10% หากเสียภาษีการให้แล้ว ผู้รับมรดกจะไม่มีภาระภาษีอีก ส่วนทรัพย์ที่จะมีการจัดเก็บนั้น ยังยึดหลักการเดิม คือ เป็นทรัพย์ที่มีการลงทะเบียน เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ดิน เงินฝาก ส่วนเงินสดไม่นับ

"เราจะเปลี่ยนชื่อร่างภาษีมรดกด้วย โดยจะใช้ชื่อว่า ร่างภาษีการให้และการรับมรดก เพื่อให้ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีทั้งจากผู้รับและผู้ให้" เขากล่าว

นายสมหมาย กล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ให้น้ำหนักในเรื่องรายได้รัฐบาล แต่จะสร้างความเป็นธรรมทางสังคม โดยเฉพาะคนกลุ่มรวยที่มีทรัพย์สินเกินกว่า 50 ล้านบาท เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรของประเทศมากกว่าคนจน

ดังนั้น อัตราภาษีในอัตรา 10% จึงถือว่าเหมาะสม และเป็นอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่นที่เสียภาษีนี้ในอัตราถึง 33%

"เราไม่หวังรายได้จากภาษีนี้ แต่เราจะทำให้คนรวยรู้สึกรับผิดชอบต่อการเสียภาษีมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้ ใช้ทรัพยากรของประเทศมากกว่าคนจน หากกลุ่มคนรวยมีการหลีกเลี่ยงภาษีนี้ ตามกฎหมายก็จะมีบทลงโทษทางอาญา เช่น จำคุกไม่เกิน 2 เดือนด้วย"

จ่อดัน"ภาษีที่ดินใหม่-แวต"

การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น นายสมหมายกล่าวว่าร่างกฎหมายนี้จะมาทดแทนกฎหมายภาษีที่ดินและโรงเรือนที่มีความลักลั่น และปล่อยให้มีการรั่วไหล โดยอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้จะไม่เพิ่มจากเดิม แต่จะทำให้เกิดความเป็นธรรม

สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น นายสม หมายกล่าวว่าควรที่จะปรับเพิ่มขึ้น แต่จะเต็มเพดานหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาในรายละเอียด เพราะภาษีตัวนี้ จะมีส่วนในการสร้างรายได้ เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูง แต่ประเทศเรานั้นนับจาก 30 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี)ไม่เปลี่ยนแปลงมานาน

"ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้มาก เพราะรัฐบาลไม่มีรายได้ไปพัฒนาประเทศ นี่คือหัวใจ"

"ปรีดิยาธร"เร่งดันเข้าสนช.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลจะเร่งนำร่างกฎหมายภาษีมรดกเข้าสู่การพิจารณาของสนช. ส่วนเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถือเป็นเรื่องที่ยากกว่าภาษีมรดกและมีความซับซ้อนกว่า จึงต้องศึกษาในรายละเอียดก่อนจากนั้นจึงจะเสนอสนช.

"จากการที่ได้คุยกับมหาเศรษฐีหลายรายเรื่องแนวคิดเรื่องภาษีมรดกมีความเต็มใจที่จะเสียภาษีในส่วนนี้ เนื่องจากภาษีมรดกของไทยจะเก็บเพียง 10% ขณะที่บางประเทศเก็บภาษีมรดกสูงถึง 50% หรือ 33% นอกจากนี้ การปฏิรูประบบภาษียังมีอีกหลายเรื่องมาก เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่สิ่งที่รัฐบาลจะทำก่อนคือ เรื่องที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องความเป็นธรรมของสังคม"

ด้านนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเห็นด้วยว่าภาษีมรดกถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ต้องมีในทุกสังคม แต่เป็นเรื่องที่ภาครัฐและรัฐสภาต้องร่างกติกาให้ชัดเจนและบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความเป็นธรรมให้สังคม ส่วนอัตราการจัดเก็บจะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นกับความเห็นชอบของทุกฝ่ายที่จะตกลงกัน เช่นเดียวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินที่ควรมีการจัดเก็บและเห็นว่าควรมีการจำกัดพื้นที่การถือครองที่ดินไม่ให้มีมากเกินไป ซึ่งจะต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้

เล็งออกพันธบัตรหนี้จำนำข้าว7แสนล.

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ศึกษาแนวทางการยืดหนี้จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งมีวงเงินถึง 7 แสนล้านบาท ให้ยาวขึ้น 30 ปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณเพื่อนำมาใช้หนี้ภายใน 5 ปี โดยรัฐบาลมีแผนจะนำงบประมาณไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท

แหล่งข่าวกล่าวว่าในเบื้องต้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ต้องการให้ออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ขายให้กับประชาชน เพื่อให้ดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายตกอยู่ในมือประชาชน ซึ่งการออกพันธบัตรจะทยอยออกตามหนี้ที่ครบกำหนด ไม่จำเป็นต้องออกก้อนเดียว 7 แสนล้านบาท

ส่วนอายุพันธบัตร สามารถออกได้หลายช่วงอายุตั้งแต่ 10 ปี 15 ปี และ 30 ปี คาดว่า จะได้รับการตอบรับจากประชาชน เพราะก่อนหน้านี้สบน.ออกพันธบัตรออมทรัพย์รายย่อย 10 ปี ซึ่งขายหมดในเวลารวดเร็ว

"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ให้ สบน. ไปศึกษาว่าหากจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ยาวขึ้นกว่า 10 ปี และจะให้ถึง 30 ปีจะทำได้หรือไม่ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกใหม่ๆ ในการออมเงิน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาออกพันธบัตรของ สบน. ต้องผสมกันไประหว่างขายให้รายย่อย และขายให้กับนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ เพราะนักลงทุนรายย่อยนั้นจะมีต้นทุนในการกระจายสูงกว่านักลงทุนรายใหญ่"

ทั้งนี้ สบน.ต้องรอการดูตัวเลขขาดทุนจากการปิดบัญชีจำนำข้าวที่มี นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ที่มีกำหนดนัดประชุมเพื่อปิดบัญชีในช่วงสิ้นเดือนก.ย. ว่าผลขาดทุนเท่าไร รวมถึงต้องนำแผนการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์มาประกอบการพิจารณาด้วย

ใช้หนี้ครบกำหนดชำระปีหน้าแสนล้าน

ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการธนาคารที่มีนายสมหมาย เป็นประธาน ช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ จะเสนอต่อที่ประชุมพิจารณาแผนกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ทดแทนเงินกู้จำนำข้าวที่จะครบกำหนดชำระหนี้ในปีงบ 2558 วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการปกติ ในส่วนการบริหารเงินกู้ดังกล่าวสบน.จะพิจารณาแนวทางว่าจะใช้เครื่องมือใดในการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้

"กำลังรอดูผลการศึกษาจากสบน.ในเรื่องการยืดหนี้จำนำข้าว หากสบน.ศึกษาเสร็จในช่วงปีงบ 2558 สามารถนำหนี้ที่ครบกำหนดปีนี้มานำร่องออกพันธบัตรก่อนเลย ส่วนนี้ถือเป็นการบริหารจัดการของภาครัฐ ซึ่งเงินที่นำมาใช้หนี้จำนำข้าวจะมาจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ และเงินจากงบประมาณ ดังนั้นหากสามารถยืดหนี้ให้ยาวขึ้นได้ ภาระของรัฐบาลที่จะต้องจัดสรรงบประมาณมาใช้หนี้ในช่วง 5 ปี ก็จะลดลงไป" นายลักษณ์ กล่าว

ทั้งนี้ภาระหนี้จากโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด 7.55 แสนล้านบาท เป็นภาระของโครงการที่เกิดขึ้นก่อนปี 2554 ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือกว่า 7 แสนล้านบาท เป็นโครงการของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยในปีงบประมาณ 2558 กำหนดงบประมาณเพื่อชำระหนี้เฉพาะโครงการรับจำนำ 7.13 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการชำระเงินต้น 3.69 หมื่นล้านบาท และเป็นภาระดอกเบี้ย อีกราว 3.4 หมื่นล้านบาท โดยจะมีเงินจากการระบายข้าวเข้ามาเพื่อชำระหนี้อีก 6 หมื่นล้านบาท

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

แจ้งเกิด 5 เขตเศรษฐกิจพิเศษ !!?


โดย รัตนา จีนกลาง

ประเทศไทย คนไทย กำลังยืนอยู่ในจุดที่จะเกิดการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งในระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และในระดับชุมชนก้นครัว

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่จะไปหยุดรั้งไว้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะสังคมไทย สังคมประเทศเพื่อนบ้าน สังคมโลก ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วภายใต้ระบบทุนเคลื่อนย้ายเสรี ประเทศไหนที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จะเป็นขุมทรัพย์ของทุนต่างชาติ

ชีวิตคนไทยทุกวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการยืนอยู่บนยอดคลื่น มีพายุลมแรงถาโถมอยู่ตลอดเวลา ใครที่แข็งแรงกว่าก็จะอยู่รอด ใครอ่อนแอก็จมน้ำพ่ายแพ้ไป

กรณีของการประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) นำร่อง เฟสแรกใน 5 จังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองหน้าด่านรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และเชื่อมโยงการค้า การลงทุนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก, มุกดาหาร, สระแก้ว, ตราด และสงขลา

ขณะนี้สภาพัฒน์อยู่ในขั้นตอนของการศึกษา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2557 นี้ โดยจะได้หลักเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ

จากนี้ไปรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องใส่เกียร์เดินหน้าพิสูจน์ผลงานแจ้งเกิดให้ได้ก่อนที่จะเดินหน้าเฟสสองในอีก 5 จังหวัด คือ หนองคาย, นครพนม, กาญจนบุรี, เชียงราย และนราธิวาส

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ ความมั่นอกมั่นใจของบรรดานักลงทุนทั้งในท้องถิ่น-ต่างถิ่น และต่างชาติ พร้อม ๆ กับการโหมปั่นราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอีกระลอกหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มทุนใหญ่ นายหน้าได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินตุนไว้เก็งกำไรรับการเปิดเออีซีไปรอบหนึ่งแล้ว ที่ดินเหล่านี้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาหลายทอดแล้ว

งานนี้ชาวบ้านได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะนาทีนี้ที่ดินราคาแพงเกินกว่าจะหาซื้อกันได้แล้ว หากใครคิดจะทำมาค้าขายก็จะต้องมีทุนหนามากพอสมควร

นอกจากนั้น ทุนใหญ่จากเมืองหลวงก็แห่เข้ามาเปิดสาขายึดพื้นที่ทำเลทองไว้เกือบหมดแล้ว สภาพของ "ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก" ได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่ไม่ควรละเลยก็คือ การเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ เพราะวันนี้ชาวบ้านหรือข้าราชการใน 5 จังหวัดนี้ เกือบทั้งร้อยยังไม่รู้ว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษคืออะไร หรือพิเศษเพื่อใคร

ในบางจังหวัดก็รู้อยู่เฉพาะในวงแคบ ๆในกลุ่มคณะทำงานของผู้ว่าฯ, ตัวแทนภาคเอกชน หรือผู้นำท้องถิ่นบางคนเท่านั้น

ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ ต้องทำให้คนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ กินดี อยู่ดีไปด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงกำลังจะถาโถมเข้ามาทั้งทางบวกและทางลบ

และสิ่งที่จะต้องทำคู่ขนานกันไปก็คือ ต้องทำให้ประชาชนในท้องถิ่น "ได้เข้าถึง" ข้อมูลข่าวสารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะเราคงจะไม่อยากเห็นคนไทยเป็นแค่ลูกจ้างขายแรงงานเท่านั้น

ทุกวันนี้ระบบการค้าชายแดนก็ตกอยู่ในมือทุนใหญ่ และทุนข้ามชาติแทบทั้งสิ้น

นี่คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะมีผลต่อชะตาชีวิตของผู้คนในชุมชนที่อยู่ห่างไกลในพื้นที่อำเภอรอบนอกและจังหวัดใกล้เคียง

คนมุกดาหาร บอกว่าตั้งแต่เปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 2 เชื่อมสะหวันนะเขต ทะลุถึงเวียดนามผ่านเส้นทาง R9 ทำให้เมืองมุกดาหาร ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เติบโตแบบก้าวประโดด มีผู้คนสัญจรผ่านเข้ามาจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็แค่แวะพักชั่วคราว มุกดาหารเป็นแค่เพียง "ทางผ่าน" เท่านั้น

ทว่าผู้คนที่หลั่งไหลเข้า-ออกชายแดนมุกดาหาร เกือบครึ่งเป็นนักแสวงโชคเล่นการพนันในบ่อนคาสิโนในฝั่งลาว

แม้แต่การเลือกจุดที่ตั้งเขต SEZ และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ก็ทำให้เกิดความเสียเปรียบในการพัฒนาพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะเมืองเล็กที่ไม่ได้รับการพัฒนา ยิ่งจะทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นไปอีก

ฉะนั้นนโยบายของผู้บริหารประเทศที่จะกระจายความเจริญไปสู่ต่างจังหวัด จะต้องไม่เกิดสภาพ "กระจาย" แต่ไป "กระจุก" อยู่เฉพาะในตัวเมืองใดตัวเมืองหนึ่ง

สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญสำหรับรัฐบาลยุคปฏิรูป ที่จะต้องสร้างความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลให้ทั่วถึง

การพัฒนาที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ย่อมไม่ยั่งยืน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ไมโครโฟน !!?


โดย.นิธิ เอียวศรีวงศ์

ราคาของไมค์ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรีก็น่าสนใจในตัวของมันเอง แต่ผมขออนุญาตไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะมีคนพูดและแคะไค้ข้อมูลไปได้มากแล้ว

ในความอื้อฉาวเรื่องนี้ มีใครก็ไม่ทราบแปะรูปที่ประชุม ครม.ของประเทศต่างๆ มาเปรียบเทียบกับไทยคือ สหรัฐ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และญี่ปุ่น ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก เพราะภาพห้องประชุมและที่ประชุม ครม.ของประเทศเหล่านี้ สะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคม (วัฒนธรรม) ของประเทศต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไทย ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ทางสังคมก็สะท้อนการบริหารการเมืองของประเทศเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย ผมอยากจะชวนคุยถึงเรื่องนี้แหละครับ

ที่สะดุดตาอย่างแรกก็คงไมโครโฟนนี่แหละ เพราะไม่มีที่ประชุม ครม.ที่ไหนเขาใช้ไมโครโฟนเลย

อาจแก้ตัวได้ว่า ก็แน่ละสิ เขาไม่ได้ประชุม ครม.กันด้วยจำนวนคนเข้าร่วมมากมายเหมือนไทย แม้แต่ห้องประชุมก็ใหญ่กว่ากันมาก หากไม่มีไมค์จะพูดให้ได้ยินทั่วถึงกันอย่างไร เรื่องนี้จริงอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย และที่ประชุม ครม.ไทยก็ได้ใช้ไมค์มานานแล้ว เพราะองค์ประชุมมหึมานี่แหละครับ นอกจาก ครม.แล้ว ยังมีข้าราชการประจำอีกจำนวนหนึ่ง นับตั้งแต่เลขาธิการ ครม. เลขาธิการนายกฯ ไปจนถึงเลขาฯสภาพัฒน์ และหน่วยราชการที่มีเรื่องเกี่ยวข้องตามวาระการประชุม ซึ่งต้องมานั่งรออยู่ข้างนอก และถูกเรียกเข้าไปเมื่อถึงวาระของตน

โดยสรุปก็คือ การบริหารราชการในขั้นรายละเอียดนั้นแยกออกจาก ครม.ไทยไม่ได้ ในขณะที่ ครม.ของประเทศอื่นประชุมกันในระดับนโยบาย ไม่ใช่รายละเอียด ยิ่งไปกว่านี้ การกระจายอำนาจอย่างกว้างขวาง และลึกไกลในการบริหารของประเทศเหล่านี้ ยังทำให้เรื่องอีกเป็นอันมากไม่เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ไม่แต่เพียงเพราะเหตุดังนั้นเท่านั้น ที่ทำให้ข้าราชการประจำต้องเข้ามาให้ข้อมูลแก่ ครม.ไทย ผมคิดว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจกว่าวิธีการบริหารเสียอีก

ข้อมูลอะไรก็ตามที่ข้าราชการประจำต้องเสนอต่อ ครม. ก็อาจเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรได้ทั้งนั้น แต่ในเมืองไทยทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะหากเป็นลายลักษณ์อักษร ก็มีโอกาสจะกลายเป็นสาธารณะ ครม.ไทยไม่ได้บริหารประเทศด้วยข้อมูลสาธารณะ แต่บริหารด้วยข้อมูลส่วนตัวตามเส้นตามสายของตน เรื่องเหล่านี้ต้องเสนอด้วยวาจาแก่ ครม.เท่านั้น คนไทยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องทราบ ที่หน้าห้องประชุม ครม.ไทย ยังเต็มไปด้วยเลขานุการ ครม. ซึ่งไม่ได้มานั่งรอนายเท่านั้น แต่จะเป็นตัวเชื่อมให้แก่เส้นสายต่างๆ ของนาย และคอยส่งโน้ตเล็กๆ (ที่ขยำทิ้งได้ง่าย) แก่นายซึ่งนั่งประชุมอยู่ในห้องได้ตลอดเวลา

ห้องประชุม ครม.ไทยจึงต้องใหญ่ เพราะเป็นทางผ่านอันมหึมาของข้อมูลข่าวสารของคนที่ไม่ใช่ ครม. อันเป็นผลต่อมติ ครม.อยู่ไม่น้อยด้วย

ในแง่นี้ไมโครโฟนจึงเป็นเครื่องประดับที่สำคัญอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ข้อมูลข่าวสารและความเห็นที่จะพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้อมูลข่าวสารที่นำไปสู่การตัดสินใจ แต่ต้องพูดให้ดูดี ส่วนข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการตัดสินใจ กลับอยู่ในโน้ตเล็กๆ อยู่ในการสนทนานอกห้อง ในวงเหล้าหรือวงหูฉลาม ซึ่งพูดใส่ไมโครโฟนไม่ได้ ด้วยเหตุดังนั้น ต่อสาธารณชน ไมโครโฟนจึงเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานของ ครม. ไม่มีไมโครโฟนก็เหมือน ครม.ไม่ทำงาน จะเสียเงินซื้อสักตัวละกี่แสนกี่ล้านก็คุ้ม

เมื่อ ครม.ไทยต้องเสียเวลาไปกับการพิจารณาการบริหารในเชิงรายละเอียด ก็ไม่มีเวลาจะถกกันเรื่องนโยบายอย่างจริงจัง นโยบายเป็นเรื่องที่ประธานหรือนายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมทราบผ่านไมโครโฟนด้วย เพื่อให้เป็นที่ทราบทั่วกันในสังคม ผ่านการแถลงข่าวของโฆษกรัฐบาล และด้วยเหตุดังนั้นจึงมุ่งให้ฟังดูดี ไม่ใช่เรื่องที่จะมาถกกัน และอันที่จริงนโยบายของรัฐบาลไทยแต่ละเรื่องก็คลุมเครือเสียจนเอาไปปฏิบัติอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว

ห้องประชุม ครม.ซึ่งสะท้อนการบริหารการเมืองของไทยเอง บังคับให้นายกรัฐมนตรีทุกคน เป็นปลัดประเทศทั้งนั้นแหละครับ เป็นมากหรือเป็นน้อยเท่านั้น

อีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจในภาพเปรียบเทียบก็คือ ในที่ประชุม ครม.ของคนอื่น มองเห็น "ประธาน" ไม่ค่อยถนัด ญี่ปุ่นใช้โต๊ะกลมไปเลยเพื่อไม่ให้มีประธาน (ที่ชัดเจน) ส่วนของคนอื่นก็ล้อมวงกันบนโต๊ะซึ่งไม่ใหญ่นัก พอพูดและเห็นหน้ากันได้โดยไม่ต้องใช้ระบบอะไรทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับของไทยเลยนะครับ ตั้งโต๊ะยาวเหยียดสองฝั่ง มีด้านที่ปิดโต๊ะสองแถวนี้อยู่ตรงหัวซึ่งเป็นที่นั่งของประธานชัดเจน ปลายสุดอีกข้างหนึ่งเปิดเอาไว้ มีจอยักษ์ติดฝาผนังซึ่งจะฉายอะไรให้ดูก็ได้ตามคำสั่งประธาน

ชัดเจนว่าผู้กำกับการประชุมคือใคร จะพูดเมื่อไร ก็แล้วแต่ท่านจะอนุญาต บรรยากาศทำให้คิดเลยไปว่า จะพูดอะไรก็แล้วแต่คำอนุญาตของท่านด้วยเหมือนกัน

ถ้าดูจากการจัดที่ประชุมแล้ว การประชุม ครม.ไทย คือการเข้าฟังคำสั่งท่านนายกฯ ไม่ใช่สถานที่สำหรับคนเสมอกันจะมาถกเถียงอภิปรายกันในเรื่องที่ทุกคนเห็นว่ามีความสำคัญ ตามปกติแล้ว หากพรรคการเมืองที่ผสมกันจัดตั้งรัฐบาลไม่ประสงค์จะขัดขากันเองแล้ว ก็ถือเป็นทั้งธรรมเนียมและมารยาท ที่รัฐมนตรีจะไม่แทรกแซงกิจการของรัฐมนตรีอื่นซึ่งอยู่ต่างพรรค

คนเดียวที่อาจตั้งข้อสงสัย หรือเสริมต่อข้อเสนอของรัฐมนตรีได้คือนายกรัฐมนตรี ในสมัยที่รัฐบาลมาจากพรรคเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด หรือมาจากการรัฐประหาร ยิ่งไม่มีใครออกความเห็นมากขึ้นไปอีก เพราะรู้อยู่แล้วว่า ข้อเสนอในที่ประชุม ครม.นั้นได้ผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากท่านนายกฯไปแล้ว จะมีแย้งบ้างก็เรื่องเล็กๆ ซึ่งไม่พูดดีกว่าพูด ปล่อยให้ท่านนายกฯแสดงความฉลาดไปคนเดียวดีกว่า (เช่นคุณทักษิณ ชินวัตร ชวนอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้)

อันที่จริงระบบ ครม.นั้นเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนใน ครม.ต้องรับผิดชอบร่วมกัน มติ ครม.ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ก็เพราะเป็นมติ ครม. ไม่ใช่คำสั่งของนายกฯคนเดียว แต่นี่เป็นหลักการที่มองข้ามสถานะผู้ใหญ่และเด็กของวัฒนธรรมไทยไปเสียเลย คนไทยสัมพันธ์กันบนฐานของการกำหนดรู้ว่าใครเป็นผู้ใหญ่ ใครเป็นเด็ก และสองคนนั้นหาได้เท่าเทียมกันไม่ เราทุกคนต่างต้องเป็นผู้ใหญ่ในบางครั้ง และเป็นเด็กในบางครั้ง ตลอดชั่วชีวิตของเรา สถานะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กนี้ไม่ได้บังคับความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นเท่านั้น แต่เป็นกรอบกำกับพฤติกรรมของเราในที่สาธารณะด้วย

ห้องประชุม ครม.ไทยวางสถานะของผู้ใหญ่และเด็กไว้ให้เห็นได้ชัดเจน

ในเวลาประชุมจริงยังมี "เด็ก" จากกระทรวงที่มานั่งหลังท่านรัฐมนตรีแต่ละคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่งของเด็กคือต้องไม่ชิดโต๊ะประชุม ลำดับที่ของคนซึ่งนั่งติดโต๊ะประชุมก็ลดทอนกันลงไปตามฐานะที่จัดว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กด้วย เช่น รองนายกฯ ย่อมต้องนั่งหัวแถวกว่ารัฐมนตรีกีฬาและการท่องเที่ยว

สถานะตามวัฒนธรรม และบรรยากาศของห้องประชุมกำหนดไว้แล้วว่าใครควรพูดได้แค่ไหน โดยท่านประธานไม่ต้องบอกเลย

ฉะนั้น หาก ครม.ไทยถกกันเรื่องนโยบายเหมือนประเทศอื่นที่ยกมาเปรียบเทียบในภาพ ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีแต่ละคนก็จะพูดตามแต่ความสำคัญของนโยบายนั้น นโยบายเล็กรัฐมนตรีเด็กอาจพูด แต่นโยบายใหญ่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่พูด เด็กไม่ควรสะเออะ

นโยบายจึงเป็นคำสั่ง ไม่มีความจำเป็นต้องประชุม

นอกห้องประชุม ครม. หน่วยราชการทั้งหลายที่อยากเพิ่มความสำคัญของตนเอง ต่างผลักดันกฎหมายให้ตัวไปสังกัดสำนักนายกฯ เพราะ

นายกฯย่อมเป็นผู้ใหญ่ที่สุดคนเดียวในที่ประชุม ครม. ดังนั้น นายกฯจึงจะเป็นผู้เสนอความเห็นของหน่วยงานตนตามหน้าที่ และไม่มีเด็กคนไหนมาขวางได้

สังกัดสำนักนายกฯเสียอย่าง ก็สบายไปแปดอย่าง

ห้องประชุม ครม.ไทยสะท้อน "ประชาธิปไตยแบบไทย" ได้ชัดเจนที่สุด และนี่เป็นเหตุให้คนไทยจำนวนมากไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรกับการที่กองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจบ้านเมือง ก็แค่เปลี่ยนหน้าของคนที่จะมานั่งในห้องประชุม ครม.เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสังคมไทยได้เดินรุดหน้าไปไกลกว่าที่ประชุม ครม.เสียแล้ว ใครที่จะไปนั่งในห้องประชุม ครม. ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร หากไม่เข้าใจข้อนี้ก็ไม่มีวันจะนำเสถียรภาพทางการเมืองมาสู่ประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงนี้ได้

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

ปฏิรูปสถาบันการเงิน เฉพาะกิจของรัฐ !!

โดย. ปกรณ์ วิชยานนท์

ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าบริหารประเทศในเดือนพฤษภาคม 2557 แทบทุกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าบ้านเมืองไทยมีความสงบเรียบร้อยและบรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีความพยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน หรือ "ปฏิรูป" ประเทศในหลายแง่มุม เช่น จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

ผู้ที่อยู่ในวงการตลาดเงินทุน อาจสงสัยว่าแล้วจะมีการปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบ้างหรือไม่ และในทิศทางใด

ก่อนจะวิเคราะห์คำถามดังกล่าว ควรพิจารณาย้อนหลังไปถึงวิวัฒนาการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเหล่านั้น ว่าก่อตั้งมาเพื่อจุดประสงค์ใด และที่ผ่านมาประสบความสำเร็จหรือมีปัญหามากน้อยเพียงไร

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สถิติการกระจายรายได้ของไทย แสดงให้เห็นชัดว่าแม้รายได้ประชาชาติส่วนรวมที่แท้จริงได้ขยายตัวโดยเฉลี่ยในอัตราที่น่าพอใจ แต่ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าวิตก

รัฐบาลไทยเคยวางกฎเกณฑ์หลายประการ บังคับให้ "สถาบันการเงินเอกชน" ปล่อยสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการรายใหม่ เช่น สินเชื่อแก่ภาคเกษตรกรรม สินเชื่อสู่ชนบท และสินเชื่อท้องถิ่น เพราะหากจะให้ลูกค้ารายย่อยมีโอกาสปรับปรุงฐานะและธุรกิจของตนให้ดีขึ้น ต้องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้

อย่างไรก็ตาม แรงแข่งขันของกลไกตลาด ได้สร้างปัญหาขึ้นเป็นอันมาก เกี่ยวกับสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายย่อย เพราะสถาบันการเงินเอกชน ไม่ยินดีที่จะปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยที่ขาดหลักประกันและก่อความเสี่ยงสูง

ปัจจุบันธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สร้างรายได้กว่า 3.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่ 2 ใน 3 ของเอสเอ็มอีเหล่านี้ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินเอกชน เพระติดปัญหาในเรื่องหลักประกัน

รัฐตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาข้างต้น จึงได้จัดตั้ง สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (สงฉ.) ขึ้นหลายแห่ง เพื่อทำหน้าที่หมุนเวียนเงินทุนไปสู่ลูกค้ารายย่อยที่มีรายได้น้อยและขาดหลักประกันสินเชื่อสงฉ.ที่จัดตั้งมานานแล้ว ได้แก่ ธนาคารออมสิน (พ.ศ. 2490) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (พ.ศ. 2496) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (พ.ศ. 2509)

ส่วน สงฉ.แห่งใหม่ ๆ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2536) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2545) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2545)

หากพิจารณาสถิติเงินฝากและสินเชื่อของ 6 สงฉ.ที่กล่าวข้างต้น ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าทั้ง 6 สงฉ.ได้ทำธุรกรรมมากขึ้น ตัวอย่างเช่นเงินฝากที่ 6 สงฉ.ระดมได้นั้น สูงขึ้นจาก 20% ของธนาคารพาณิชย์ในปี 2546 ไปสู่ระดับ 30-35% ในปี 2554-2556

ทางด้านสินเชื่อสู่ภาคเอกชนที่ไม่รวมธุรกิจการเงินก็เช่นกัน เพิ่มขึ้นจาก 20% ไปสู่ระดับ 37-40% หากพิจารณาภาพรวมของระบบการเงินแล้ว ทั้ง 6 สงฉ.มีบทบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน เพราะถือส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จาก 16% ในปี 2546 ถึงระดับ 27% ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูรายละเอียดถึงคุณภาพสินทรัพย์แล้ว แทบทุกฝ่ายคงข้องใจในประสิทธิภาพของการบริหารงานและความเสี่ยงของ 6 สงฉ.นี้ เพราะ 6 สงฉ.เหล่านี้ถือสินเชื่อที่ไม่ก่อรายได้ หรือ NPLs ในระดับที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์เป็นอันมาก (เช่น 38% และ 3% ตามลำดับ) นอกจากนั้น รัฐยังต้องรับภาระในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเข้าพยุงฐานะของ สงฉ.เหล่านี้อีกด้วย

ดังนั้น จึงควรปฏิรูป สงฉ.อย่างแน่นอน แต่จะในทิศทางใด และอย่างไร ควรวิจัยเจาะลึกเข้าไปถึงคำถามพื้นฐานก่อน ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดที่ทำให้ สงฉ.ประสบปัญหาขาดทุน และถือ NPLs ที่สูงมาก

คำตอบ ที่นอกเหนือจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่บริหาร และความคดโกงหรืออิทธิพลทางการเมืองก็มีหลายประการ ได้แก่ 1.เจ้าหน้าที่มีจุดอ่อนในการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า 2.ลูกค้ารายกลางและรายย่อยที่มีความสามารถในการชำระหนี้ดี มีจำนวนน้อยในเขตการบริหารงานของแต่ละสาขาของ สงฉ. 3.หลังจาก สงฉ.ปล่อยสินเชื่อแล้ว ขาดการกำกับดูแลและติดตามธุรกิจของลูกหนี้อย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ทำให้ลูกหนี้บางรายไม่ชำระหนี้คืนตามข้อตกลง 4.สงฉ.กระจายประเภทลูกค้าน้อยไป ทำให้ความเสี่ยงโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง

หากพิจารณาโครงสร้างสาขาของ สงฉ.แล้ว จะเห็นว่าการร่วมมือหรือประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสาขา (Pooling)  ของ สงฉ.ประเภทต่าง ๆ จะเป็นช่องทางที่สามารถช่วยแก้ปัญหาและก่อประโยชน์ได้หลายประการ ทั้งนี้ เพราะ สงฉ.มีสาขาจำนวนเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ (เช่น ช่วงกลางปี 2557 ธนาคารพาณิชย์ไทย 16 ธนาคาร มีสาขาทั้งสิ้น 6,852 สาขา ในขณะที่ สงฉ.6 แห่ง มีสาขาทั้งสิ้น 2,676 สาขา) แต่สาขาของ สงฉ.กลับกระจายตัวตามเขตชนบทของประเทศได้กว้างไกลกว่าธนาคารพาณิชย์เป็นอันมาก ดังนั้น รัฐควรพิจารณาใช้กลยุทธ์ Pooling เครือข่ายสาขาของ สงฉ.เข้าด้วยกันดังต่อไปนี้

1.ประสานงานกันเพื่อ สงฉ.ประเภท ก. ปล่อยสินเชื่อหรือให้บริการทางการเงินที่ สงฉ.ประเภท ข. ปล่อยหรือให้ตามปกติ การประสานงานกันเช่นนี้ เสมือนกับเป็นการเพิ่มจำนวนสาขาให้แก่ สงฉ.แต่ละประเภท ดังนั้น สงฉ.แต่ละประเภทจะมีลูกค้าให้เลือกและกระจายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มแรงผลักดันทางด้านสินเชื่อแก่ธนาคารพาณิชย์ด้วย

2.ติดตามกำกับและเรียกชำระคืนสินเชื่อที่กล่าวถึงในข้อ 1 เพราะการประสานงานเช่นนี้จะทำให้ สงฉ.แต่ละประเภทสามารถติดตามกำกับดูแลลูกค้าของตนได้อย่างรอบคอบและใกล้ชิดมากขึ้น และยังช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความเสี่ยงโดยเฉลี่ยให้แก่ สงฉ.ได้

3.เนื่องจาก สงฉ.แต่ละประเภทถือโครงสร้างสภาพคล่อง หรืออายุชำระคืนของสินทรัพย์และหนี้สินต่างกัน เช่น ค่อนข้างสั้นสำหรับ ธ.ก.ส. และค่อนข้างยาวสำหรับ ธอส. ดังนั้น การประสานงานของสาขา สงฉ.แบบ Pooling จะช่วยในการบริหารสภาพคล่องให้แก่กันและกัน โดยเปรียบเทียบกับ ATM Pooling ระหว่างธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

นอกเหนือจากผลดีในแง่มุมที่กล่าวข้างต้นแล้ว รัฐยังมีผลพลอยได้อีกสองประการ คือหนึ่ง-เนื่องจาก Pooling ทำให้กลุ่ม สงฉ.สามารถพึ่งตัวเองได้มากขึ้น และรัฐมีภาระทางการเงินน้อยลงที่จะต้องเข้าไปอุ้ม สงฉ.ที่ประสบปัญหาดังเช่นในอดีต สอง-สถานะของ สงฉ.ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง มิใช่ธนาคารแห่งประเทศไทยดังเช่นธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น การประสานงาน หรือ Pooling ของสาขา สงฉ.คงจะช่วยลดปัญหาการแทรกแซงตลาดโดยมาตรการทางการคลังและการเงิน

โดยสรุป แม้ว่าช่องทางการปฏิรูป สงฉ.ตามที่เสนอนี้อาจประสบอุปสรรคบ้างในด้านบุคลากรขาดความรู้ หรือความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกรรมของ สงฉ.ต่างประเภทกัน หรือในด้านกฎหมายที่ควบคุม สงฉ. แต่ละประเภท แต่ถ้ารัฐตั้งใจจริงในการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ สงฉ.ก็ย่อมสามารถฝึกฝนเพิ่มความรู้และความเชี่ยวชาญให้แก่พนักงานของ สงฉ.ได้อย่างแน่นอน ในด้านกฎหมายก็เช่นกัน มิเช่นนั้นรัฐคงไม่จัดตั้ง สนช.ขึ้นมาเพื่อแก้ไข ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังเช่นปัจจุบัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

เปรียบเทียบ : นโยบาย ประยุทธ์ - ยิ่งลักษณ์ !!?


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาxยิ่งลักษณ์ ชินวัตรxนโยบายxกรุงเทพธุรกิจxสนช.xเลือกตั้งxทหาร
ส่อง ครม.เลือกตั้ง กับ รัฐบาลทหาร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเปิดปฏิบัติการ "เดี่ยวไมโครโฟน" แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนจะเริ่มลุยงานกันอย่างเป็นทางการ

ตั้งแต่เมื่อวานซืน เริ่มมีเนื้อหาของนโยบายที่จะแถลงหลุดออกมา บางส่วนมีการนำเสนอผ่านสื่อมวลชน และมีเสียงตอบรับทำนองว่านโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีเนื้อหาครอบคลุม ลงลึก และมีข้อผูกมัดเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดี มีหลายเสียงเหมือนกันที่เห็นค้าน...

หยิบนโยบายที่จะแถลงต่อ สนช. ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในวันศุกร์ที่ 12 ก.ย.57 เทียบกับนโยบายของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.54 ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยเน้นในด้านความมั่นคงภายในและการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน

เริ่มด้วยสิ่งแรกที่เหมือนกันก่อน คือ การอ้างแนวทางการกำหนดนโยบายการบริหารประเทศตาม "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทั้งสองรัฐบาลอ้างอิงเอาไว้ไม่ต่างกัน

ส่วนประเด็นที่แตกต่าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีการกำหนดนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก (หมายถึงจะเริ่มทำในปีแรก ไม่ใช่ทำให้สำเร็จในปีแรก) มุ่งไปที่การสร้างความปรองดอง, การสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), การเยียวยาผู้สูญเสียและผู้ที่ทรัพย์สินเสียหายจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งก็สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชนในช่วงนั้น

นอกจากนั้นในส่วนของนโยบายเร่งด่วน ยังมีนโยบายที่เป็นจุดขายของรัฐบาล คือ การเร่งปราบปรามยาเสพติด และนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ เช่น ขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท, พักหนี้เกษตรกรรายย่อย, เงินเพิ่มกองทุนหมู่บ้าน, ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท, ขยายกองทุนพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน หรือเอสเอ็มแอล เป็นต้น

ส่วนนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน เขียนเอาไว้สั้นๆ ผิดกับนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เขียนเอาไว้ค่อนข้างยาว แต่ของ ครม.ยิ่งลักษณ์ก็ครอบคลุมแทบทุกด้าน เช่น ธรรมาภิบาล, การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง, การบังคับใช้บทบัญญัติเรื่องการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมให้ครอบคลุมผู้ใช้อำนาจรัฐในตำแหน่งสำคัญและตำแหน่งระดับสูงอย่างทั่วถึง ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมของสังคมให้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตและถูกต้องชอบธรรม

ขณะที่นโยบายแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ นโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ระบุว่า "จะส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ" ทำให้มีการตีความกันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าสานต่อแนวนโยบายตั้ง "นครปัตตานี" หรือองค์กรปกครองรูปแบบพิเศษที่รวมเอาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นท้องถิ่นขนาดใหญ่แล้วเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงเป็น "ผู้ว่าการนครปัตตานี" ตามที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นได้หาเสียงเอาไว้ แต่สุดท้ายนโยบายนี้ก็ไม่ได้สานต่อ

นอกจากนั้น นโยบายดับไฟใต้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ระบุถึงการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่มีการริเริ่มกระบวนการพูดคุยอย่างเปิดเผยและเป็นทางการในรัฐบาลชุดของเธอ ผิดกับนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เขียนเรื่องนี้เอาไว้ ความว่า "ส่งเสริมการพูดคุยสันติสุขกับผู้มีความคิดเห็นต่างจากรัฐ" แต่ไม่มีเรื่องการกระจายอำนาจการปกครองในรูปแบบที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่

และอีกตอนหนึ่งยังให้ความสำคัญกับปัญหาภัยแทรกซ้อน ซึ่งเป็นการมองปัญหาของกองทัพอยู่แล้ว "ขจัดการฉวยโอกาสก่อความรุนแรงแทรกซ้อนเพื่อซ้ำเติมปัญหา ไม่ว่าจากผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง"

นอกจากนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังมีนโยบายไม่เร่งด่วน คือจะดำเนินการในช่วง 2-4 ปีตามอายุของรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เขียนไว้กว้างๆ แต่บางเรื่องก็ลงลึกมาก เช่น นโยบายด้านกีฬา นโยบายส่งเสริมการออกกำลังกาย รวมถึงการปฏิรูประบบกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ที่เน้นให้บังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม เสมอภาค เท่าเทียม และมีมาตรฐานเดียว

ที่น่าสนใจอยู่ในหัวข้อ "พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพและระบบป้องกันประเทศ" มีการระบุให้ "สนับสนุนสิทธิและหน้าที่กำลังพลของกองทัพเพื่อให้เป็นทหารอาชีพในระบอบประชาธิปไตย" ซึ่งข้อความนี้ไม่มีในนโยบายด้านเดียวกันของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

สำหรับรายละเอียดในคำแถลงนโยบายของ ครม.ประยุทธ์ พบว่าหลายนโยบายเขียนผูกติดไว้กับการปฏิรูป เช่น ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปโครงสร้างราคาเชื้อเพลิง ฯลฯ คือใช้คำว่า "ปฏิรูป" หลายแห่งมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับกระแสสังคมในปัจจุบัน และมีการแยกนโยบายเกี่ยวกับอาเซียนเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ในหัวข้อ "การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน"

อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก คือ ข้อความในนโยบายปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เขียนด้วยภาษาแรงๆ ตรงไปตรงมาสไตล์ทหาร ตัวอย่างตอนหนึ่งระบุว่า "จะใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สำนึกและความผูกพันภักดีของคนอีกเป็นจำนวนมาก"

อย่างไรก็ดี การแถลงนโยบายต่อสภา จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่พิธีกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น แทบจะไม่มีบทลงโทษอะไรด้วยซ้ำหากมีพฤติกรรมบิดพลิ้ว ไม่ทำตามที่แถลง ฉะนั้นบทพิสูจน์จึงอยู่ที่การกระทำและแปรนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากกว่า

โดยเฉพาะการเห็นผลอย่างยั่งยืน ไม่ทำร้ายประเทศ หาใช่แค่ไฟไหม้ฟางหรือสร้างกระแสเพื่อเรียกความนิยม

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

รู้แล้วทึ่ง ประโยชน์ของ สารกันความชื้น (Silica gel)



ประโยชน์ของซองกันความชื้น หรือ Silica Gel ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ หากมีซองกันความชื้นอยู่ในมืออย่าเพิ่งทิ้ง มาใช้ประโยชน์เหล่านี้กันเถอะ

เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่มักจะโยนซองกันความชื้นทิ้งลงถังขยะ หลังจากนำของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมาใช้ แต่หลังจากนี้คุณอาจจะอยากเก็บพวกมันเอาไว้มากกว่า หากได้รู้ถึงประโยชน์ของซองกันความชื้นที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งบางอย่างอาจเป็นอยู่เหนือความคาดหมายเลยด้วยซ้ำ และต่อไปนี้ก็คือประโยชน์ของซองกันความชื้นที่ทุกคนมองข้ามไป

1. ลดความเสียหายของโทรศัพท์มือถือหลังตกน้ำ



ไม่ว่าคุณจะเผลอทำโทรศัพท์มือถือตกน้ำ ก็สามารถทำให้โทรศัพท์มือถือกลับมาใช้งานตามปกติได้อีกครั้ง เริ่มจากการนำโทรศัพท์ขึ้นมาจากน้ำให้เร็วที่สุด จากนั้นถอดซิมการ์ดออก แล้วนำโทรศัพท์พร้อมกับซองกันความชื้นไปใส่รวมกันไว้ในถุงซิปล็อก และวางทิ้งไว้เช่นนั้นประมาณ 1-2 วัน ทั้งนี้แนะนำว่าไม่ควรเปิดเครื่องในระหว่างการเก็บรักษา เพราะอาจทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรภายในตัวเครื่องได้

2. ช่วยรักษาสภาพอัลบั้มรูปถ่าย



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอัลบั้มรูปภาพเก็บไว้มากมาย และเพิ่งเห็นว่ามีบางส่วนที่เปียกแฉะหรืออับชื้น ให้นำอัลบั้มรูปภาพเหล่านั้นมาเป่าด้วยลมร้อน ก่อนที่จะนำกลับไปเก็บ ควรสอดซองกันความชื้นเอาไว้หลังรูปภาพเหล่านั้นด้วย เพื่อให้ซองกันความชื้นช่วยดูดซึมความชื้นที่อาจจะยังซ่อนตัวอยู่ในเนื้อกระดาษ แล้วค่อยนำออกมาหลังจากที่อัลบั้มภาพแห้งสนิทดีแล้ว

3. ปกป้องเอกสารสำคัญจากความชื้น



หากคุณเก็บเอกสารสำคัญเอาไว้ในโต๊ะทำงาน ตู้เก็บของ กล่องกระดาษ กล่องพลาสติก หรือแม้กระทั่งตู้ใส่ซองจดหมาย แค่ใส่ซองกันความชื้นตามลงไปด้วย ประมาณ 1-2 ซอง ก็ช่วยป้องกันเอกสารสำคัญ เช่น ใบแจ้งเกิด สมุดบัญชีธนาคาร หรือสัญญาต่าง ๆ จากความชื้นที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นอับกับเชื้อราได้แล้ว

4. ลดระดับความชื้นตามมุมอับภายในบ้าน



นอกจากจุดที่คุณเอาไว้เก็บเอกสารสำคัญแล้ว ซองกันความชื้นยังสามารถตามติดสิ่งของต่าง ๆ ไปดูดซับความชื้นได้ทุกที่ และคงจะดีกว่าหากมีพวกมันวางปะปนเอาไว้กับสิ่งของ โดยเฉพาะตามมุมอับภายในบ้าน ได้แก่ ห้องเก็บของทั้งในและนอกบ้าน โรงจอดรถ รวมไปถึงบ้านที่มีชั้นใต้ดิน หรือสถานที่ ที่คาดว่าจะเกิดความชื้นได้ง่าย

5. ยืดอายุการใช้งานให้ของตกแต่งตามเทศกาล



เนื่องจากของตกแต่งบ้านตามเทศกาลต่าง ๆ เช่น ของตกแต่งบ้านวันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ และวันคริสต์มาส เป็นสิ่งของที่มีโอกาสนำออกมาใช้ได้น้อยมากหรือแค่เพียงปีละครั้ง ดังนั้นคงจะดีกว่าหากนำซองกันความชื้นใส่ลงไปในกล่องที่เอาไว้เก็บสิ่งของเหล่านี้ด้วย จะได้ช่วยดูดซับความชื้นพร้อมทั้งรักษาสภาพของใช้ให้สามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ในปีต่อไป


เห็นไหมว่ามีวิธีนำซองกันความชื้นกลับมาใช้ได้หลากหลายวิธีเลย ฉะนั้นหลังจากนี้หากมีซองกันความชื้นหลงเหลืออยู่ในบ้าน ก็อย่าเพิ่งทิ้งไปเปล่า ๆ แต่ที่สำคัญคือควรเก็บให้ห่างจากมือเด็กและห้ามให้เอาเข้าปากเด็ดขาด

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : naibann
-----------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ถ้าเปลืองตัวถอนตัวได้ !!?

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน: พระพยอม กัลยาโณ

ฉบับที่แล้วอาตมาทิ้งท้ายว่า มีอธิบดีกรมที่ดินคนไหนบ้างที่เคยจ่ายเงินให้กับพระพยอม หรือวัดสวนแก้ว ถ้ามีจริงอาตมาจะให้ 1 ล้านบาทเลย แต่ถ้าไม่มีคนที่กล่าวหา อาตมาขอสัก 10,000 บาทได้ไหม จะเอาไปช่วยผู้สูงอายุ

วันนี้มาต่อกัน มีการกล่าวหาเรื่องการซื้อที่ดินปรปักษ์ โดยมีสีกามาซื้อเหมือนกับสมรู้ร่วมคิดวางแผนกันทำตามคำสั่งพระพยอม ให้สีกาขายที่ดินให้วัด ต่อมาทายาทของเจ้าของที่ดินเก่ามาร้องศาลจึงเพิกถอนการจัดการ เท่านั้นแหละพระพยอมก็ออกมากล่าวหากรมที่ดินท่าโน้นท่านี้ต่างๆนานาว่าจะเอาเงินคืน จะเก็บภาษีอะไรต่างๆ ขอภาษีคืน ออกทีวี. แล้วทิ้งท้ายว่าออกทีวี.ในรายการของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดูจะรู้ข้อเท็จจริงหมดแล้ว

พอมาถึงคุณพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบัน ก็ว่าจะหาเงินไปซื้อที่ดินให้ ช่างไม่ละอายกันเสียเลย นี่แหละที่เรียกว่าข้าราชการบางคนไม่ยินดีกับการที่จะทำให้วัดได้คืน กลับกลายเป็นตรงกันข้าม กลับยินร้าย อิจฉาริษยา พวกนี้ต้องเรียกว่า “พวกต่อมมุทิตาเสื่อม” คนเราธรรมดาแล้วถ้าศาสนาจะได้อะไรที่เสียไปคืน มีคนจะมาช่วยให้ได้มาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มีแต่จะพลอยยินดีด้วย

เป็นอันว่าอย่างนี้ก็แล้วกันญาติโยม ความหวังของวัดสวนแก้วคงล่มสลาย วัดตั้งใจที่จะออกมารับมุขของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะมาคืนดี มาประสานสมานฉันท์ คืนความสุขกันตามนโยบายของ คสช. จะได้เกิดอวสานโฉนดฉาวที่ขัดข้องหมองใจกันมา ทั้งๆที่ท่านอธิบดีพีระศักดิ์อาจมีเจตนาดี แต่ว่าพวกอำนาจเก่าแอนตี้ อาตมากลัวว่าท่านอธิบดีพีระศักดิ์จะถอดใจเสียก่อน หรือไม่อย่างนั้นก็ถูกพวกนี้ลงขันเล่นงานเอา

ตอนแรกอาตมาแพ้ใจอธิบดีท่านเพราะเห็นท่านมีภาพการ์ตูนล้อว่าเป็นข้าราชการที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่มีความตั้งใจจะเยียวยา เป็นอธิบดีที่ถือทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ บางคนเอาแต่นิติศาสตร์ เอาแต่ข้อความอย่างเดียว คือผู้รับโอนไม่มีสิทธิเหนือผู้โอน ผู้โอนย่อมมีสิทธิเหนือผู้รับโอน ดังนั้น ไม่ต้องมีอะไรกันแล้ว จบ ไม่ต้องมีคำว่าจ่ายค่าทดแทน ถูกต้อง โปร่งใส ซื้อโดยเปิดเผย คือมีมุมกฎหมายอยู่ 2 มุมคือ 1.มุมผู้ให้โอนย่อมมีสิทธิเหนือว่ากว่าผู้รับโอน 2.ถ้าผู้ซื้อจ่ายโดยโปร่งใส ถูกต้อง อันนี้อาจจะได้เยียวยากันบ้าง แต่เขาไม่เอามุมนี้ ไปเอามุมกฎหมาย

เพราะฉะนั้นบ้านเมืองเราถึงบอกว่า “นิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์” ไม่สอดคล้องกัน ก็เลยแยกทางกันเดิน เพราะอย่างนี้จึงมีความแตกแยก มาตรฐานกฎหมายไม่ค่อยได้รับความเคารพนับถือกันเท่าไร ยังไงข้าราชการก็รักษาตัวให้ดี อย่าให้เกลือเป็นหนอน อย่าให้เหมือนกับกรมคุกถูกย้าย ถูกไล่ ยังไงก็ขอให้กรมที่ดินกลับเนื้อกลับตัวกัน อย่าให้ถูกย้าย ถูกไล่ เหมือนกรมอื่นก็แล้วกัน

อาตมาขอให้ท่านที่คิดว่าไม่อยากร่วมกุศลทอดผ้าป่า เพราะโทษว่าอาตมาไปปลุกผีเก่าตายไปนานแล้ว แล้วผีใหม่ที่โผล่มาหน้าสลอน เช่น ผีโฉนดบุญชู ผีโฉนดสิรินาถที่จังหวัดภูเก็ต ผีปากช่อง ตัวใหญ่ๆโผล่มาใหม่ๆน่ากลัวกว่าผีเก่าอีก ทำไมไม่กลัวกัน ถามหน่อยว่าระหว่างเอี่ยวทอดผ้าป่าซื้อที่ดินคืนให้วัด กับไปเอี่ยวทำโฉนดให้นายทุน ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ไปยึดครองที่ดิน อันไหนมันน่าละอายกว่ากัน

อาตมาเดี๋ยวนี้สบายใจแล้ว เพราะได้แนวร่วม ได้ผู้ที่มีชะตากรรมร่วมกัน ถูกถอนสิทธิแพงกว่าอาตมาอีก ของอาตมาเล็กน้อย ก็ขอฝากถึงท่านอธิบดี ถ้าท่านโดนลูกน้องแอนตี้มาก ท่านโดดเข้ามาช่วยวัดแล้วเปลืองตัว ท่านถอนตัวออกไปได้ เพราะไม่มีความผิดอะไร ที่ท่านทำก็เพราะท่านตั้งใจดี เจตนาดี แต่พวกแอนตี้ไม่ยินดีด้วยก็แล้วไป

เจริญพร
///////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ความเสี่ยง : โดย วีรพงษ์ รามางกูร !!?

มนุษย์เราทุกคนต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความเสี่ยงในด้านต่างๆตลอดเวลา เป็นต้นว่า ความเสี่ยงต่อร่างกายและทรัพย์สิน ความเสี่ยงต่อเกียรติยศชื่อเสียง ความเสี่ยงต่อความมั่นคงในหน้าที่การงาน ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของครอบครัว ความเสี่ยงต่ออิสรภาพและเสรีภาพ

ความเสี่ยงที่ว่าเรามักจะหมายถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสีย ความเสี่ยงที่จะเสียหาย ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ แต่ถ้ามีโอกาสที่จะร่ำรวยขึ้น สุขสบายขึ้น หน้าที่การงานดีขึ้น เรามักจะไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยงแต่จะถือว่าเป็นโอกาสมากกว่า

การเข้าไปเล่นการพนันก็ดี การเสียเงินแทงหวยก็ดี ซื้อลอตเตอรี่ก็ดี กลับเรียกพฤติกรรมดังกล่าวว่าเป็นการเสี่ยงโชค ทั้งๆ ที่โอกาสเสียเงินทองที่ลงไปมากกว่าโอกาสที่จะมีโชคได้เงินจากการพนันหรือการซื้อหวยหรือซื้อลอตเตอรี่

ความเสี่ยงที่ผู้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงเพราะถ้าเกิดความเสี่ยงดังกล่าวขึ้นย่อมก่อให้เกิดความเสียหายความเจ็บปวดทั้งทางร่างกาย และจิตใจกับตนเองกับครอบครัว ญาติมิตรทั้งปวงทั้งนั้น บางครั้งก็ต้องยอมจ่ายเงิน จ่ายทอง หรือปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงหรือขจัดความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ออกไป ธุรกิจประกันความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้นและรุ่งเรืองมาจนบัดนี้

ความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเฉพาะคน ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหรือจ่ายเงินทองหรือปฏิบัติตนเพื่อลดหรือขจัดความเสี่ยงเหล่านั้นไปได้ ในขณะเดียวกันความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้อาจจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันและอาจจะเป็นเหตุผลของกันและกันได้

แต่มีความเสี่ยงอีกอันหนึ่งที่เป็นความเสี่ยงของสังคมและประเทศชาติ ซึ่งอาจจะอยู่เหนือการควบคุมของสังคมและคนส่วนใหญ่ของสังคม เป็นความเสี่ยงที่มีต้นทุนสูงกว่าและน่ากลัวกว่าความเสี่ยงใดๆ ความเสี่ยงเช่นว่านั้นมีศัพท์ทางวิชาการว่า "ความเสี่ยงทางการเมือง" หรือ "political risk"

"ความเสี่ยง" ทางการเมืองนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นบ่อเกิดของความเสี่ยงต่างๆ 5-6 ประการที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นได้ทั้งหมดหรือบางส่วน เป็นความเสี่ยงที่เราแต่ละคนทำอะไรเพื่อป้องกันความเสี่ยงเช่นว่านั้นไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพไป

ความเสี่ยงทางการเมือง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความมั่นคงในเรื่องต่างๆ ลดลง หรือไม่มีความมั่นคงเลยก็ได้ หากตนมีความคิดที่แตกต่าง หรือตนประพฤติ ปฏิบัติ พูดจา แสดงออก ในทางที่ขัดแย้งกับกระแสทางการเมือง หรือกับผู้มีอำนาจทางการเมือง

ระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยขึ้นอยู่กับคนคนเดียว หรือคนกลุ่มเดียว หรือคนส่วนน้อย ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกในหมู่ผู้คนที่ไม่มีส่วนในการใช้อำนาจนั้นว่าตนกำลังผจญอยู่กับความเสี่ยงทางการเมืองแต่ในขณะเดียวกันถ้าการเมืองเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดมีส่วนในการปกครอง ไม่ว่าจะในฐานะเสียงส่วนใหญ่หรือเสียงส่วนน้อยก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองในความรู้สึกของผู้คนในสังคมก็จะลดลง หรือหมดไป เพราะ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" หรือ "political uncertainty" ก็จะลดลงหรือหมดไปด้วย

ถ้าความไม่แน่นอนทางการเมืองมีสูง ความเสี่ยงของผู้คนในสังคมก็จะมีสูง ถ้าการเมืองมีความแน่นอนหรือมีเสถียรภาพสูง ความเสี่ยงทางการเมืองก็จะต่ำลง ความแน่นอนทางการเมืองหมายถึงความแน่นอนของระบบการเมืองการปกครอง ไม่ได้หมายถึงความแน่นอนหรือเสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น

ดังที่กล่าวมาแล้ว ความแน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของความเสี่ยงทางการเมืองนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับว่าระบอบหรือสภาพการเมืองนั้น มีผู้ที่สามารถมีส่วนร่วมหรือมีส่วนในการตัดสินใจในโชคชะตาของประเทศหรือสังคมนั้นเพียงใด ถ้าขึ้นอยู่กับคนคนเดียวความเสี่ยงทางการเมืองก็สูง ถ้ามีคนเข้าไปร่วมมากความเสี่ยงก็น้อยลง ถ้าคนในสังคมทุกคนมีส่วนร่วมความเสี่ยงทางการเมืองหรือความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะมีน้อยที่สุด

ความไม่แน่นอนทางการเมืองpolitical uncertainty และ political risk มีความสำคัญมาก เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของ "ความมั่นใจ" หรือ "confidence" ของสังคมนั้นๆ การติดต่อค้าขายการลงทุนระยะยาว ทั้งในตลาดการเงิน ตลาดทุน การลงทุนสร้างโรงงานผลิตสินค้าและบริการ "ความมั่นใจ" ในระบบเศรษฐกิจนั้นๆ ย่อมมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และมักจะตีราคาออกมาเป็นต้นทุนที่สำคัญอย่างหนึ่ง รวมทั้งค่าธรรมเนียมป้องกันความเสี่ยงก็จะมีความเสี่ยงทางการเมืองนับรวมเข้าไปด้วยเสมอ

ในสังคมที่มีระบอบการเมืองการปกครองแบบอนารยะมีกฎระเบียบแบบแผนที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึก หรือจินตนาการหรือ "มโน" ของคนคนเดียวที่มีอำนาจปกครอง แม้จะอ้างว่ามีที่ปรึกษามากมายหลายคณะ ก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันรับรองความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงทางการเมือง

การแสดงอารมณ์ การแสดงความรู้สึก หรือจินตนาการที่ปราศจากข้อมูลหลักฐาน และที่สำคัญคือตรรกะของคนคนเดียว ความพยายามยัดเยียดสิ่งเหล่านั้นให้กับสังคมย่อมทำให้เกิดความรู้สึกว่า เรากำลังมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง แม้จะไม่มีเสียงคัดค้านเพราะสังคมกำลังอยู่ใน "ความเงียบ" ก็ตาม ซึ่งความเงียบที่แท้จริงนั้นไม่มี

ระบอบการเมืองที่เป็นของอารยชนกับระบอบการเมืองของอนารยชนย่อมมีความแน่นอนและความไม่แน่นอนผิดกัน เพราะโลกในหลายศตวรรษที่ผ่านมาย่อมเคลื่อนย้ายไปข้างหน้า มีพลวัตและมุ่งสู่ความเป็นอารยะอย่างไม่หยุดยั้ง หากจะถอยหลังกลับไปสู่ระบอบอนารยะ ผู้คนย่อมคิดและหวังว่า "การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง" หรือ "political changes" จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ไม่อย่างสันติก็อย่างรุนแรง

การเปลี่ยนถ่ายอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการปกครองในขณะที่สังคมมีระบอบการปกครองที่มีความเสี่ยงทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงย่อมก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจะไม่เป็นไปอย่างสันติวิธี อาจจะเกิดความรุนแรง การเปลี่ยนถ่ายอำนาจในระบอบประชาธิปไตยนั้นที่เป็นไปโดยสันติวิธี

ทุกประเทศ ทุกสังคม การพัฒนาทางการเมืองย่อมต้องเดินไปข้างหน้า เหมือนกงล้อประวัติศาสตร์ย่อมไม่หมุนถอยหลัง มีแต่จะหมุนไปข้างหน้า กงล้อประวัติศาสตร์ของจีนก็หมุนไปข้างหน้า แต่ยังอยู่ข้างหลังเรา กงล้อของเราจะหยุดหมุนหรือหมุนกลับไปรอกงล้อของจีนย่อมเป็นไปไม่ได้ ใครคิดอย่างนั้นก็ผิด

การมีสภานิติบัญญัติ การมีคณะรัฐมนตรี หรือแม้แต่ตุลาการที่มีคนคนเดียวเป็นผู้แต่งตั้ง ก็เป็นการเมืองการปกครองโดยคนคนเดียว เพียงแต่เป็นการจัดหาไม้ประดับมาตกแต่งให้สวยงามให้น่าดูเท่านั้น หรือแม้แต่จะมีการเลือกตั้งแต่เป็นการเลือกตั้งบนพื้นฐานของกติกาที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม สิทธิการเลือกตั้งมิได้เป็นไปอย่างเท่าเทียมกันของประชาชนทั่วไป หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "universal suffrage" ความเสี่ยงทางการเมือง หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะไม่ลดลง แต่จะเพิ่มขึ้น

สังคมทุกสังคมมีแนวโน้มที่จะมีแรงดึงกลับไปสู่สภาพปกติที่พัฒนาไปข้างหน้า การหยุดชะงักหรือการดึงให้ย้อนกลับไปข้างหลัง หรือการดึงออกจากสภาพปกติที่ควรจะเป็น สภาพการณ์อย่างนี้จะทำให้มีแรงดึงกลับ แรงดึงกลับจะเบาหรือหนัก เป็นไปอย่างสันติหรือเป็นไปอย่างรุนแรง อย่างรวดเร็วหรือค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับการดึงกลับไปสู่สภาวะไม่ปกติจะเป็นไปด้วยสันติวิธีหรือเป็นไปด้วยอำนาจปากกระบอกปืน เป็นไปด้วยเหตุผลหรือการข่มขู่ เป็นระยะเวลาอันสั้นหรือยาวนาน เป็นไปตามการคาดหวังของสังคมหรือขัดต่อความคาดหวังของประชาชน การให้สัญญามากมายทุกๆ สัปดาห์ จะสามารถทำตามสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นความเสี่ยงทางการเมือง ดังคำพูดของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ว่า

ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายของเรา

ที่มา:มติชน
/////////////////////////////////

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย !!?


โดย. สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการป.ป.ช. อาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชาระบบศาลและหลักการพิจารณาคดี (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 เวลาประมาณ 09.30 น. ศาลอาญาได้อ่านคำวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการ กปปส.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนายการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฐานผู้ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำการหรือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ทันทีที่คำวินิจฉัยถูกอ่านจบลงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหว

ผู้เขียนขอยืนยันในเรื่องนี้เพราะหลังเกิดการปฏิรูปประเทศไทยไม่มีนักข่าวโทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์ผู้เขียนเหมือนก่อนมีการปฏิรูป แต่จากการที่ผู้เขียนต้องรับโทรศัพท์จากนักข่าวหลายสำนักเพื่อสอบถามปัญหาของคำวินิจฉัยคดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าผลของคำวินิจฉัยนี้ก่อให้เกิดความสะเทือนต่อสังคมไทยโดยทั่วไปหลายๆ วงการ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้เขียนต้องเขียนบทความนี้เพื่อตอบสังคมแทนการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ นี่คือคำสัญญา

ก่อนเขียนบทความนี้ต้องขอยืนยันด้วยความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลอาญา ซึ่งเป็นสถาบันศาลยุติธรรมที่ผู้เขียนใช้ชีวิตอยู่ถึง 36 ปี และขอถอดจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรมและกรรมการ ป.ป.ช.ออกไป คงเหลือแต่จิตวิญญาณของอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายและประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เคยมีอคติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดในหัวใจ

สาระสำคัญของคำวินิจฉัยนี้โดยสรุปก็คือศาลเห็นว่า"การที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมเพื่อการผลักดันการชุมนุม หรือสลายการชุมนุมหรือกระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ..................... หลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติหน้าที่หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ได้คัดค้าน............"

เพื่อความเข้าใจง่ายของคนทั่วไปขออธิบายว่าศาลยกฟ้องคดีนี้โดยอ้างเรื่องเขตอำนาจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องเขตอำนาจศาลนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญในการฟ้องคดี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 17 ถึงมาตรา 23 ยกตัวอย่างเช่น ศาลแพ่ง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ส่วนศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา การยกฟ้องหรือคำร้องเมื่อมีการนำคดีมาฟ้องหรือร้องผิดศาลเป็นอำนาจของศาลย่อมกระทำได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้น่าจะมีปัญหาดังต่อไปนี้

1.การกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายบท เรื่องการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทนั้นขอยกตัวอย่างเช่น จำเลยเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องนอน จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และฐานบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 และมาตรา 362 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งมาตรา 276 และมาตรา 362 แม้จะเป็นการกระทำในครั้งเดียวกัน และหากฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องศาลก็จะลงโทษจำเลยโดยบทหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นไปตามหลักของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เช่นเดียวกับความผิดของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ โจกท์ฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 และมาตรา 157 เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยแม้จะเป็นกรรมเดียวแต่ก็ผิดกฎหมายหลายบท โดยสามารถแยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 ต่อศาลอาญาซึ่งมีเขตอำนาจ ส่วนความผิดตามมาตรา 157 โจทก์ (อัยการ) ก็มีอำนาจที่จะฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจอีกศาลหนึ่งและอยู่ในอำนาจไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช.

2.ที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นถูกต้อง แต่คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยตามมาตรา 157 ตามที่ศาลยกฟ้องในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ฟ้องตามมาตรา 288, 83, 84 ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลอาญา เพียงแต่โจทก์อ้างในฟ้องถึงมูลเหตที่จำเลยทั้งสองมีคำสั่งดังกล่าวว่าเนื่องจากขณะนั้นจำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ศาลได้ทราบถึงที่มาที่ไปของคำสั่งเท่านั้น

3.หากศาลอาญาจะยกฟ้องในเรื่องคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอาญาก็ควรจะอ้างเฉพาะข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 9(1) ซึ่งบัญญัติถึงเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นต้น แต่ศาลอาญากลับไปวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีว่า "ล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี... โดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง..."

มีความหมายว่าจำเลยออกคำสั่งตามหน้าที่ มิได้ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่แต่อย่างใด ดังนี้ นอกจากศาลอาญาจะวินิจฉัยเรื่องอำนาจศาลแล้วยังก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยว่าไม่ผิดตามมาตรา 288 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในขอบอำนาจหน้าที่ไม่ผิดตามมาตรา 157 ด้วย (ก้าวล่วงเข้าไปในอำนาจของ ป.ป.ช. รวมทั้งอำนาจในการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย)

4.การที่ศาลใช้อำนาจวินิจฉัยคดีเกินคำฟ้องโจทก์ (โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 288, 83, 84) เป็นกรณีที่ไม่ปฏิบัติไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง" (อัยการโจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 157 เพราะอัยการย่อมทราบดีว่ามาตรา 157 อยู่ในอำนาจไต่สวนของ ป.ป.ช.)

5.ศาลอาญายกฟ้องในเรื่องงอำนาจศาลอันเป็นข้อกฎหมาย แต่กลับก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในข้อเท็จจริงคดีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยให้สิ้นกระแสความจึงอาจมีข้อผิดพลาดได้มากและผิดหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล

6.องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 กับองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 นั้นต่างกัน ผลคำวินิจฉัยของศาลอาญาฉบับนี้ ทำให้ความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลอาญาไม่ได้รับคำวินิจฉัยอย่างรอบคอบถี่ถ้วน จากคำพยานโจทก์จำเลย แต่กลับไปวินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วพิพากษายกฟ้อง ทั้งนี้ ขณะนี้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ก็ยังอยู่ในกระบวนการไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช. หากไต่สวนแล้วกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าการะกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไม่เป็นความผิด ก็จะต้องมีมติให้คดีนี้ตกไป ความผิดตามมาตรา 157 ที่ศาลอาญาอ้างว่าอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ไม่มีโอกาสได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด

7.หากเกิดกรณีตามข้อ 6 สังคมไทยคงต้องกังขาและสั่นสะเทือนโดยเฉพาะความหนาวสะท้านในหัวใจของพ่อแม่พี่น้องคนที่เสียชีวิต 99 ศพ เพราะคนตายเกือบร้อยคน จะพึ่งฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้ ฝ่ายบริหารก็ไม่มีทาง คงเหลือแต่ฝ่ายตุลาการคือศาล แต่ศาลอาญาท่านก็ว่าท่านก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ครั้นจะไปขอความเป็นธรรมจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีเขตอำนาจคดีก็อาจจะไปไม่ถึงศาลหากคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ไต่สวนแล้วมีมติให้คดีตกไป คดีนี้ก็จะปิดฉากลง

ทั้งๆที่คนตายก็คือคนไทยด้วยกันและเขาเหล่านั้นก็หาใช่อาชญากรของแผ่นดินแต่อย่างใดและผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาตายก็ใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งประหารพวกเขาทั้งๆที่ไม่ใช่ศาลซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ความผิดที่อาจพอจะมองเห็นได้ก็คือเขาเหล่านั้นมีความคิดเห็นในทางการเมืองตรงกันข้ามกับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในขณะนั้นเท่านั้น ความผิดเพียงเท่านี้สมควรแล้วหรือที่เขาจะถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยมิได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม แต่พอครอบครัวของผู้ตายเดินเข้ามาขอความเป็นธรรมตามสิทธิที่พวกเขาพึงมีพึงได้

แต่ก็กลับถูกปฏิเสธ จึงเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากนอกจากคนตายซึ่งเป็นคนไทยแล้วยังมีชาวต่างประเทศถูกสังหารด้วย หากเรื่องนี้มิได้ถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมด้วยหลักนิติธรรมแล้วผลเสียหายก็จะบังเกิดแก่ประเทศชาตินี้อย่างใหญ่หลวง แต่ในความมืดมิดก็ได้ปรากฏการณ์มีแสงสว่างเกิดขึ้นเมื่อท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ใช้อำนาจของท่านตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย

(1) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใดๆ ของศาลนั้น หรือเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้วมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้......"

ความเห็นแย้งของท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจึงน่าจะมีน้ำหนักที่ใช้ในการประกอบดุลพินิจของศาลสูงเมื่อมีการอุทธรณ์ฎีกาโดยพนักงานอัยการโจทก์ต่อไป

ที่มา.มติชนรายวัน
/////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

งานศพผิดวัด ครั้งใหม่ !!?

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย คุณอานันท์กล่าวถึง "ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์" ดูเหมือนเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการทำรัฐประหาร นั่นคือประชาธิปไตยของไทยไม่สมบูรณ์ และการรัฐประหารคงจะนำประเทศไปสู่หนทางเริ่มต้นที่จะบรรลุประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้

คุณอานันท์อาจแตกต่างจากคนอื่นตรงที่สามารถบอกได้เลยว่า อังกฤษและสหรัฐนั้น ได้บรรลุ "ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์" ในปี ค.ศ.อะไร เช่นอังกฤษเพิ่งบรรลุเมื่อ 1928 เพราะยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย ส่วนสหรัฐเมื่อทศวรรษ 1960 เมื่อยอมรับสิทธิอันเท่าเทียมของคนผิวสี

แล้วมัน "สมบูรณ์" จริงหรือครับ ลองถามคนดำและคนขาวจำนวนมากในเมืองเฟอร์กูสัน มิสซูรีในตอนนี้ พวกเขาคงโวยวายว่าไม่จริง ถึงต้องออกมาประท้วงในท้องถนน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากในสหรัฐออกมา "ยึด" หรือ occupy โน่นนี่เต็มไปหมดหลายเมือง ด้วยข้ออ้างถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสุดขั้วในสังคมตนเอง การหลั่งไหลของชาวมุสลิมเข้าไปตั้งหลักแหล่งภูมิลำเนาในยุโรปตะวันตก เผยให้เห็นอคติต่อชาติพันธุ์และศาสนาของคนในระบอบ "ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์" ทั่วไปในเกือบทุกประเทศ รวมทั้งอังกฤษด้วย

ไม่มีหรอกครับ ประชาธิปไตย "ที่สมบูรณ์" ในโลกนี้ เราอาจนิยามประชาธิปไตยด้วยอุดมคติ เช่น ใช้คำขวัญของการปฏิวัติฝรั่งเศส-เสรีภาพ เสมอภาพ และภราดรภาพก็ได้ หรือของลิงคอล์น-รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนก็ได้ หรือของนิธิ-อำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกันของทุกคนและทุกกลุ่มในทุกเรื่อง แต่นี่เป็นอุดมคติเท่านั้น ประชาธิปไตยไม่ได้ทำงานด้วยอุดมคติ หากทำงานด้วย "สำนึก" ครับ โดยเฉพาะสำนึกของประชาชนทั่วไป ขึ้นชื่อว่าสำนึกก็ไม่อยู่คงที่แน่นอน บางสำนึกก็หลุดหายไปหรือได้รับความสำคัญน้อยลง บางสำนึกก็เกิดขึ้นใหม่เนื่องจากสังคมแปรเปลี่ยนไปตลอด แต่สำนึกใหม่เหล่านี้มักถูกบิดเบือน ขวางกั้น หรือทำลายโดยผู้มีประโยชน์ปลูกฝัง (vested interest) อยู่เสมอ

ยกตัวอย่างสิทธิสตรีก็ได้นะครับ ในการปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น ผู้หญิงมีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะเมียพ่อค้าและแม่บ้านชนชั้นแรงงานซึ่งต้องซื้อขนมปังในราคาแพงขึ้นตลอด พากันออกมาก่อจลาจลต่างๆ ในปารีสเพื่อประท้วงผู้ปกครอง (ทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และผู้นำการปฏิวัติในเวลาต่อมา) ผมไม่ทราบว่าเมื่อผู้นำปฏิวัติพูดถึงเสมอภาพ เขาคิดถึงผู้หญิงหรือไม่ แต่สิทธิทางการเมืองของผู้หญิงก็ถูกจำกัดมาตั้งแต่ระยะแรกๆ และอาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจะจำกัดอำนาจทางการเมืองของมวลชนด้วย

หลังจากผู้หญิงได้สิทธิเท่าเทียมทางการเมืองในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ในประเทศประชาธิปไตยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงก็หาได้รับความเสมอภาพเหมือนผู้ชายในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมไม่ ผู้หญิงก็ไม่รู้สึกอะไรจนกระทั่งสำนึกใหม่มาเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเกิดการเคลื่อนไหวใหม่ที่จะเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมแก่ผู้หญิงในมิติอื่นๆ ด้วย จนถึงทุกวันนี้ความเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีก็หาได้ยุติลง เพราะยังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของ "สำนึก" ของผู้คน ไม่ว่าหญิงหรือชาย

สำนึกใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเกิดพร้อมกับอัตลักษณ์ใหม่ ซึ่งก็เป็น "สำนึก" อีกชนิดหนึ่ง เช่น เพศที่สามไม่เคยมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนของตนเอง แต่เมื่อเกิดสำนึกใหม่ถึงตัวตนที่มีอยู่จริงของเพศที่สาม ปลดเปลื้อง "ตราบาป" ต่างๆ ออกไปได้แล้ว ก็เกิดอัตลักษณ์ใหม่ที่ทำให้ต่างจากผู้หญิงหรือผู้ชาย เกิดอัตลักษณ์ใหม่ก็ทำให้คิดถึงสิทธิเสมอภาพของตนเองได้ กลายเป็นการเคลื่อนไหวระดับโลกเพื่อเรียกร้องสิทธิเสมอภาพของเพศที่สาม

สำนึกใหม่และอัตลักษณ์ใหม่เป็นอนิจจังครับ เกิดดับได้ไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุดังนั้นประชาธิปไตยจึงไม่เคย "สมบูรณ์" สักที และเพราะไปคิดถึงความสมบูรณ์ที่หยุดนิ่งเช่นนี้แหละครับ ที่ทำให้สลิ่มไทยจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจ "สำนึก" ที่เปลี่ยนไปแล้วของมวลชนระดับล่าง ปรารถนาให้คนเหล่านั้นไม่ใส่ใจการเมืองระดับชาติเหมือนเดิม เลือกผู้แทนมาอย่างเบี้ยหัวแตก เพื่อให้สลิ่มสามารถจัดตั้งและควบคุมรัฐบาลได้เหมือนเดิม

เราจึงอาจมองรัฐประหารได้สองอย่าง หนึ่งคือมองอย่างคุณอานันท์ว่า เพราะประชาธิปไตยไทยไม่ "สมบูรณ์" จึงต้องใช้อำนาจนอกระบบมาทำให้ "สมบูรณ์" หรือมองแบบผมก็คือประชาธิปไตยไทยในระยะนี้ มีพลวัติที่แรงและเร็วเกินปัญญาและประสบการณ์ของชนชั้นนำจะปรับตัวได้ จึงต้องใช้อำนาจนอกระบบมาหยุดพลวัติของประชาธิปไตยไว้ที่กรอบแคบๆ ตามเดิม

อีกเรื่องหนึ่งที่คุณอานันท์พูดถึงคือ "ทฤษฎีฝรั่ง" ที่คนไทยมักนิยมยกย่องจนเหมือนเห็นฝรั่งเป็นพ่อเป็นแม่ (ความโดยนัยยะ ไม่ใช่คำพูดคำต่อคำ) แต่ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ ผมยังไม่เคยเห็นใครโต้เถียงกับ "ทฤษฎีฝรั่ง" เท่าฝรั่ง หากผมเห็นด้วยกับฝรั่งที่โต้แย้งทฤษฎีฝรั่งที่คุณอานันท์ไม่ชอบ ผมยังเห็นฝรั่งเป็นพ่อเป็นแม่อยู่หรือไม่ โดยสรุปก็คือความเห็นอันไร้สาระเช่นนี้ไม่ได้เป็นของคุณอานันท์คนเดียว แต่เป็นของผู้มีการศึกษาไทยอีกมาก รวมทั้งนายพลที่ทำรัฐประหารด้วย

ที่เรียกว่า "ทฤษฎี" คืออะไร พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ "มุมมอง" นั่นเอง ไม่ว่าเราจะศึกษาอะไรก็ตาม เราต้องมี "มุมมอง" อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ อาจโดยไม่รู้ตัวอย่างที่คนไทยทั่วไปมักไม่รู้ตัว เพราะปราศจากมุมที่จะมองเลย ก็ไม่เห็นอะไร สิ่งที่เราศึกษานั้น มองจากมุมนี้ก็มีลักษณะอย่างหนึ่ง มองจากอีกมุมหนึ่งก็มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง มุมที่จะมองจึงมีความสำคัญอย่างมาก

มุมที่จะมองสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น เป็นมุมที่นำไปมองอะไรอื่นด้วยมุมเดียวกันได้อีกมาก เช่น ทฤษฎีแรงโน้มถ่วง อาจใช้มองเทหวัตถุอื่นๆ ได้ทั้งจักรวาล ไม่จำกัดเฉพาะลูกแอปเปิลและดวงจันทร์เท่านั้น แต่ "มุมมอง" นี้ก็มีข้อจำกัดซึ่งการค้นพบในสมัยหลังชี้ให้เห็น เช่น ที่ไม่ใช่เทหวัตถุก็อาจตกอยู่ใต้อำนาจของแรงโน้มถ่วงได้เช่นแสง เป็นต้น การเคลื่อนที่ของเทหวัตถุที่เล็กมากๆ เช่น อะตอมหรือในนิวเคลียสของอะตอม ก็เคลื่อนที่ด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงนิวเคลียร์ ทฤษฎีหรือมุมมองของฝรั่งคนแรกจึงมีข้อจำกัด กล่าวคือใช้มองบางอย่างได้ แต่มองบางอย่างไม่ได้ (นี่ก็พ่อแม่ฝรั่งเป็นคนชี้ให้เห็นอีก)

แต่น่าประหลาดที่คนไทยผู้มีการศึกษาจำนวนมากมักไม่คิดว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นมุมมองอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ จึงสามารถรับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้โดยไม่ต้องเกรงว่าพ่อแม่ของตนจะเปลี่ยนสัญชาติไป วิทยาศาสตร์โชคดีกว่าสังคมศาสตร์ตรงที่ว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งโลก (หรือทั้งเอกภพ?) ในขณะที่ปรากฏการณ์ทางสังคมแปรผันไปตามแต่ละสังคมและยุคสมัย แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากการสร้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ นักสังคมศาสตร์รวบรวมข้อเท็จจริงจากสังคมต่างๆ จำนวนมาก เพื่อ "สังเกตการณ์" ว่าในประเด็นที่เขาสนใจนั้นมีอะไรที่เหมือนกัน และมีอะไรที่ต่างกัน แล้วค้นหาพลัง (หรือบางคนเรียกว่า "กฎ") ที่กำกับควบคุมให้ปรากฏการณ์กลุ่มนั้นๆ เหมือนกันหรือต่างกัน แล้วจึงเสนอมุมมองใหม่ที่ทำให้สามารถใช้เป็นมุมสำหรับมองปรากฏการณ์กลุ่มนี้ในสังคมทั่วๆ ไปได้ มีอำนาจอธิบายเพิ่มขึ้น และมีอำนาจพยากรณ์ได้ระดับหนึ่ง แม้ไม่แม่นยำเหมือนทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีก็มีความหมายเพียงเท่านี้ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หากใครนับถือแล้วจะต้องเสียผู้เสียคนไป

ไม่ปฏิเสธว่า ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ของฝรั่งนั้น มักสำรวจจากสังคมฝรั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ (ปัจจุบัน เนื่องจากฝรั่งหันมาสนใจสังคมที่ไม่ใช่ฝรั่งมากขึ้น ทฤษฎีรุ่นใหม่จึงอาจเป็นผลจากการสำรวจที่กว้างขวางกว่าเก่า) ดังนั้น เมื่อนำมาใช้อธิบายสังคมที่ไม่ใช่ฝรั่งก็อาจมีปัญหา ผมได้ยินเสียงบ่นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นนักวิชาการไทยชี้ให้ชัดว่า ปัญหาที่ว่านั้นคืออะไรและอยู่ตรงไหน เพราะเอาเข้าจริง นักวิชาการไทยก็มีความรู้ในเชิงประจักษ์กับสังคมตัวเองไม่มากนัก จึงมองเห็นได้ไม่ชัดว่า มันมีข้อยกเว้นในทฤษฎีฝรั่งอะไรบ้างเมื่อนำมาอธิบายสังคมไทย

ดังนั้น เมื่อเอาทฤษฎีประชาธิปไตยมาอธิบายการเมืองไทย ปัญญาญาณของไทยจึงมีแต่กุดๆ แค่ว่าไม่เหมาะกับสังคมไทย เพราะเป็นทฤษฎีฝรั่งเท่านั้น สังคมฝรั่งกับไทยไม่เหมือนกัน เขามีเวลาปรับตัวนานกว่าเราเป็นศตวรรษ บล่ะๆๆๆ กลวงๆ ไปอย่างนั้น

คนไทยจึงถูกสาปให้ยืนอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ เพราะปัญญาญาณของชนชั้นนำไทยและนักวิชาการไทยกุดอยู่ที่ปลายจมูก หากจะแหลมออกมาบ้างก็เป็นแค่นกหวีด

เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือเลือกตั้ง ได้ยินกันมานานแล้วว่าประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว บางคนก็พูดเลยไปถึงว่าประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้งไปโน่นเลย ความหมายก็คือเราอาจเป็นประชาธิปไตยโดยไม่ต้องเลือกตั้งก็ได้ อย่างที่นักปราชญ์ไทยชอบยกรัชสมัยที่เชื่อกันว่า "ดี" บางรัชสมัย (เช่นรัชกาลพระเจ้ารามคำแหง) ว่านั่นก็เป็นประชาธิปไตย โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งเลย

แต่ในปัจจุบัน มีใครหรือครับที่เชื่อว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น รัฐบาลที่ตั้งขึ้นในค่ายทหารต่างหากที่ยืนยันว่าตัวมาจากการเลือกตั้ง และได้รับเสียงสนับสนุนจากสภา จึงมีความชอบธรรมเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย คนเสื้อแดงเองเสียอีกที่บอกว่า การเลือกตั้งและเสียงสนับสนุนภายใต้เงื่อนไขที่กองทัพแทรกแซงเช่นนั้น ไม่สามารถให้ความชอบธรรมทางการเมืองของประชาธิปไตยได้

แม้กระนั้น การเลือกตั้งก็เป็นกลไกที่ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตย เพราะเป็นกลไกที่ให้อำนาจประชาชนในการกำกับควบคุมฝ่ายบริหาร ก็จริงแหละครับว่า จะกำกับควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพจริง ยังต้องมีกลไกอื่นๆ อีกด้วย เช่น สื่อที่ทำงานอย่างเที่ยงตรงตามอาชีวปฏิญาณของตนเอง ความรู้ที่ทำให้เท่าทันอำนาจทางการเมืองทุกฝ่าย (แม้แต่ฝ่ายที่ไม่ได้เปิดหน้าเล่นการเมือง) ความรู้ที่จะทำให้มองเห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านในระยะสั้นและระยะยาว พื้นที่สาธารณะหลายรูปแบบที่เปิดให้คนต่างกลุ่มสามารถแสดงตัวตนของตัว รวมทั้งถูกคนอื่นตรวจสอบได้อย่างเท่าเทียมกัน ฯลฯ ถ้ากลไกอื่นเหล่านี้มีคุณภาพ ก็ยิ่งทำให้กลไกการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเมื่อกลไกอื่นยังไม่พร้อม จึงต้องระงับการเลือกตั้งไว้ก่อน เพราะยิ่งระงับการเลือกตั้ง กลไกอื่นก็ยิ่งไม่พัฒนาขึ้นมาให้พร้อมสักที

ทำไมหรือครับ ก็เพราะกลไกเหล่านี้ทำงานร่วมกัน ยิ่งเลือกตั้งดำเนินไปได้อย่างมั่นคงสม่ำเสมอ กลไกอื่นก็ยิ่งพัฒนาขึ้น เช่น พื้นที่การต่อรองที่เท่าเทียมกัน ซึ่งมีลักษณะหลากหลายมากขึ้น จึงเปิดให้แก่คนที่มีปูมหลังต่างกันเข้าถึงได้ทั่วหน้ากว่าเดิม พื้นที่เช่นนี้มีมากขึ้นก็ทำให้คนใช้วิจารณญาณได้กว้างไกลขึ้นในการลงบัตรเลือกตั้ง อย่ามองอะไรเป็นขั้วตรงข้ามที่ไม่สัมพันธ์กันเลย ทั้งสองขั้วเป็นกระบวนการเดียวกัน เมื่อรัฐประหารขั้วใดขั้วหนึ่งไปแล้ว อีกขั้วหนึ่งก็เหี่ยวเฉาไปเอง กลายเป็นความสงบแห่งชาติอย่างที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ในเชิงรูปธรรม หากการเลือกตั้งหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภาสามารถดำเนินไปได้เป็นปรกติ แม้จะถูกบอยคอตจากพรรคฝ่ายค้านบางพรรค สังคมไทยและพรรคฝ่ายค้านบางพรรคก็จะเริ่มเรียนรู้ว่า หนทางเอาชนะทางการเมืองนั้น ไม่มีวิถีทางอื่นนอกจากแสวงหาความสนับสนุนจากประชาชน (อย่างฉลาด) ย่อมจำเป็นอยู่เองที่ต้องหันกลับมาเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เลิกโยนเก้าอี้ในสภา หรือเลิกขว้างสิ่งของใส่ประธาน เข้าร่วมในพื้นที่สาธารณะที่ปลอดความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อเสนอความเห็นและการติติงที่สร้างสรรค์แก่สังคม คนไทยก็จะมองเห็นทางเลือกของนโยบายสาธารณะได้อีกหลายแบบ

คุณอานันท์คิดว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ ประชาธิปไตยไทยจะเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลง ทั้งๆ ที่ "ความพร้อม" อีกหลายด้านของสังคมไทยในการเป็นประชาธิปไตยยังไม่มีหรือยังไม่พัฒนาไปไกลพอ

ที่มา:มติชนรายวัน
//////////////////////////////////////////////