โดย. วีรพงษ์ รามางกูร
ความงุนงงเกิดขึ้นได้เสมอแม้ว่าเหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความงุนงงอาจจะเกิดขึ้นได้เสมอกับบุคคล เป็นประสบการณ์ชีวิต และสังคมใดสังคมหนึ่งก็เกิดความงุนงงขึ้นได้เสมอ
ความงุนงง หรือความประหลาดใจ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยอย่างน้อย 2 อย่าง อย่างแรก คือการไม่มีข้อมูลข่าวสาร หรือมีข้อมูลข่าวสารแต่ไม่สมบูรณ์ หรือมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ เป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่จริง ประการที่สอง คือความไม่มี "เหตุผล" หรือความไม่สอดคล้องกับ "ตรรกะ"
บุคคลไม่ว่าจะมีความฉลาดเฉลียวมากน้อยขนาดไหน หรือแม้แต่บุคคลที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ บางครั้งก็เกิดความงุนงงได้ ถ้าตั้งสติไม่ทัน
เคยได้ยินเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งผู้ที่ไปเยี่ยมอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่บ้าน เห็นเจ้าของบ้านกำลังเจาะฝาบ้านเป็นสองรู รูหนึ่งเป็นรูเล็ก อีกรูหนึ่งเป็นรูใหญ่ เพื่อนผู้ที่ไปเยี่ยมถามว่าเจาะรู 2 รูนี้ไว้ทำไม ได้ความว่า เจาะไว้ให้แมวผ่านได้ จะได้ไม่ต้องเปิดปิดประตูใหญ่ ทำไมต้องเจาะ 2 รู ได้รับคำตอบว่า รูใหญ่เจาะเอาไว้ให้แมวที่เป็นตัวแม่ออกเพราะเป็นแมวตัวใหญ่ ตอนนี้มันมีลูกก็เลยต้องเจาะรูเล็กไว้ให้ลูกแมวลอดเข้าออกได้ เพื่อนที่ฟังไอน์สไตน์กล่าวก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า บางทีอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ก็เกิดความงุนงงได้เหมือนกัน เพราะลูกแมวตัวเล็กก็ลอดเข้าออกรูใหญ่ที่แม่ของมันใช้ลอดเข้าออกได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเจาะรูเล็กเพื่อลูกแมวโดยเฉพาะก็ได้
ความงุนงงแล้วตัดสินใจ เพราะการขาดข้อมูลข่าวสาร หรือได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จนั้นเกิดขึ้นได้อยู่เสมอในทุกสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการเมืองและวงการปกครอง ความงุนงงจากเหตุการณ์ในอดีตกับความงุนงงจากเหตุการณ์ปัจจุบันนั้น บางทีก็ทำให้เกิดความงุนงงไปถึงเหตุการณ์ในอนาคต ทั้งที่เป็นอนาคตอันใกล้
สาเหตุที่มีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดความงุนงง เพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันบ้าง เกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยบ้าง ถึงแม้จะมีคำพังเพยที่กล่าวว่า "มีไฟจึงมีควัน" แต่ปรากฏการณ์หลายอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่เห็นได้ทั่วกันกลับไม่ได้เป็นผู้วางแผนให้เกิดขึ้นมาก่อน ในกรณีอย่างนี้ ความงุนงงก็จะเกิดขึ้นไปทั่ว จะรับเคราะห์ผลดีผลเสียอย่างไร จะใช้ตรรกะอย่างไรก็คิดไม่ออก กับการไม่ลงตัว
แต่หลายเหตุการณ์ที่เกิดก็เป็นไปตามตรรกะ มีควันก็ต้องมีไฟ มีไฟก็ต้องเกิดควัน มีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้า มีการแบ่งงานกันทำ งานที่ทำมาแต่ละขั้นตอนก็กำหนดเวลา สถานที่ที่แน่นอน เพื่อให้สอดคล้องกัน มีแผนรุกและแผนรับที่แยบคาย ถ้าการดำเนินงานแต่ละส่วนแต่ละขั้นตอนมีอุปสรรคติดขัด ก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนให้เดินหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายสุดท้ายของแผนได้
การที่ผู้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ จะทำให้การดำเนินการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายมีโอกาสที่จะล้มเหลวเสียกลางคันน้อยลง โอกาสที่จะบรรลุถึงเป้าหมายขั้นสุดท้ายมีสูงขึ้น ดังนั้น ถ้าฝ่ายตรงกันข้ามหรือผู้สังเกตการณ์สังเกตให้ดี ใช้ข้อมูลข่าวสารเท่าที่มีร่วมกับการใช้ตรรกะก็อาจจะเดาได้ เหตุการณ์จะพัฒนาไปในทางใด
แม้ว่าจะเป็นสังคมที่ขึ้นชื่อว่ามีความโปร่งใส เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ความลับลมคมในก็มีอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าในสังคมดังกล่าว สื่อมวลชนที่เข้มแข็งจะเป็นผู้ที่สืบเสาะและนำเสนอต่อสาธารณชน แม้ในสถานการณ์สู้รบในภาวะสงคราม เช่น สงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐก็ไม่สามารถปิดบังการกระทำหลายอย่างของตนต่อสาธารณชนของโลกได้ ก็ต้องยอมรับความจริงและต้องถอนตัวออกจากสงครามในที่สุด
ความงุนงงสงสัยจะมีมากขึ้นสำหรับสังคมที่ระบอบการเมืองยังไม่พัฒนา ยังเป็นสังคมที่มีความลับลมคมในอยู่ทั่วไป เป็นสังคมที่อึมครึมไปหมด ฉะนั้นแล้ว "ข่าวลือ" จะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดในการสร้างกระแส สร้าง "คุณค่า" ใหม่ให้กับสังคมได้มาก
ในโลกสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสะดวกและรวดเร็ว การสร้างข่าวร้าย ปล่อยข่าวเท็จ เสพข่าวลือ ให้กลายเป็นกระแสจนผู้คนเชื่อว่าเป็นความจริงเกิดขึ้นได้เสมอ และอาจจะสร้างความเสียหายให้กับบุคคลหรือครอบครัว และแม้แต่สังคมโดยส่วนรวมได้ง่ายๆ การป้องกันสถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากแต่ก็ต้องทำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อเกิดความงุนงงขึ้น ทำอย่างไรถึงจะมีกลไกที่สังคมสร้างขึ้นมาเพื่อขจัดความงุนงงเหล่านั้นอย่างทันท่วงที อย่างมีประสิทธิภาพ ความจริงน่าจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สังคมโดยส่วนรวมจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแท้จริงและไม่ถูกเบียดเบียน และน่าจะเป็นหน้าที่ของ "รัฐ" เสียด้วยซ้ำ
ถ้า "รัฐ" ไม่ทำหน้าที่อันสำคัญนี้ หรือทำได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ขององค์กรประชาชนที่ไม่ใช่องค์กรรัฐบาล ทำหน้าที่นี้แทน แต่อย่างไรก็ตาม ในบรรดาประเทศที่การพัฒนาทางการเมืองยังต่ำ สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น บางครั้งองค์กรระหว่างประเทศก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทน
บางครั้งปัญหาเกิดขึ้นในทิศทางที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ รัฐบาลนั้นกลับไม่ได้รับความเชื่อถือ แม้จะมีข้อมูลข่าวสารมากมายแต่ประชาชนฝ่ายต่อต้านก็ไม่รับฟัง แต่พร้อมที่จะเลือกเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ตนพอใจอยากจะเชื่อ สถานการณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะแยกประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย เหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นในประเทศยูเครน ที่ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการแยกตัวกลับไปรวมกับรัสเซีย เพราะยูเครนเคยร่วมอยู่ในจักรวรรดิรัสเซียมานาน มีคนเชื้อสายรัสเซียอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ภาษาที่พูดกันในยูเครนกับภาษารัสเซียก็ใกล้เคียงกันมาก
สิ่งที่น่าจะงุนงงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สังคมของเราได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 40 ปีในการสถาปนาระบอบการปกครองที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่โดยย้อนกลับไปที่เดิมได้อย่างสงบเงียบเรียบร้อย เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนสถานการณ์ราวกับว่าประเทศไทยกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน โครงการพัฒนาต่างๆ เป็นเรื่องร้อนที่ราวกับว่าถ้าเกิดขึ้นประเทศจะเสียหายล่มสลาย แต่บัดนี้มีการประกาศโครงการที่มีมูลค่ามากกว่าเดิมกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นมีโครงการอะไรบ้าง ที่งุนงงเพราะบัดนี้เงียบสนิททั้งพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชน
จะว่าเป็นเรื่องระยะสั้นชั่วคราว เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับย่อ หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูป หรือรัฐบาลก็คงไม่ใช่ เพราะโครงการต่างๆ เหล่านี้คือนโยบายทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมมากมายต่างๆ จะมีผลต่อไปในระยะยาว ชั่วลูกชั่วหลาน
ถ้าไม่งุนงงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ที่มา:มติชน
////////////////////////////////////////
ความงุนงงเกิดขึ้นได้เสมอแม้ว่าเหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความงุนงงอาจจะเกิดขึ้นได้เสมอกับบุคคล เป็นประสบการณ์ชีวิต และสังคมใดสังคมหนึ่งก็เกิดความงุนงงขึ้นได้เสมอ
ความงุนงง หรือความประหลาดใจ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยอย่างน้อย 2 อย่าง อย่างแรก คือการไม่มีข้อมูลข่าวสาร หรือมีข้อมูลข่าวสารแต่ไม่สมบูรณ์ หรือมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ เป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่จริง ประการที่สอง คือความไม่มี "เหตุผล" หรือความไม่สอดคล้องกับ "ตรรกะ"
บุคคลไม่ว่าจะมีความฉลาดเฉลียวมากน้อยขนาดไหน หรือแม้แต่บุคคลที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ บางครั้งก็เกิดความงุนงงได้ ถ้าตั้งสติไม่ทัน
เคยได้ยินเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งผู้ที่ไปเยี่ยมอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่บ้าน เห็นเจ้าของบ้านกำลังเจาะฝาบ้านเป็นสองรู รูหนึ่งเป็นรูเล็ก อีกรูหนึ่งเป็นรูใหญ่ เพื่อนผู้ที่ไปเยี่ยมถามว่าเจาะรู 2 รูนี้ไว้ทำไม ได้ความว่า เจาะไว้ให้แมวผ่านได้ จะได้ไม่ต้องเปิดปิดประตูใหญ่ ทำไมต้องเจาะ 2 รู ได้รับคำตอบว่า รูใหญ่เจาะเอาไว้ให้แมวที่เป็นตัวแม่ออกเพราะเป็นแมวตัวใหญ่ ตอนนี้มันมีลูกก็เลยต้องเจาะรูเล็กไว้ให้ลูกแมวลอดเข้าออกได้ เพื่อนที่ฟังไอน์สไตน์กล่าวก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า บางทีอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ก็เกิดความงุนงงได้เหมือนกัน เพราะลูกแมวตัวเล็กก็ลอดเข้าออกรูใหญ่ที่แม่ของมันใช้ลอดเข้าออกได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเจาะรูเล็กเพื่อลูกแมวโดยเฉพาะก็ได้
ความงุนงงแล้วตัดสินใจ เพราะการขาดข้อมูลข่าวสาร หรือได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จนั้นเกิดขึ้นได้อยู่เสมอในทุกสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการเมืองและวงการปกครอง ความงุนงงจากเหตุการณ์ในอดีตกับความงุนงงจากเหตุการณ์ปัจจุบันนั้น บางทีก็ทำให้เกิดความงุนงงไปถึงเหตุการณ์ในอนาคต ทั้งที่เป็นอนาคตอันใกล้
สาเหตุที่มีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดความงุนงง เพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันบ้าง เกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยบ้าง ถึงแม้จะมีคำพังเพยที่กล่าวว่า "มีไฟจึงมีควัน" แต่ปรากฏการณ์หลายอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่เห็นได้ทั่วกันกลับไม่ได้เป็นผู้วางแผนให้เกิดขึ้นมาก่อน ในกรณีอย่างนี้ ความงุนงงก็จะเกิดขึ้นไปทั่ว จะรับเคราะห์ผลดีผลเสียอย่างไร จะใช้ตรรกะอย่างไรก็คิดไม่ออก กับการไม่ลงตัว
แต่หลายเหตุการณ์ที่เกิดก็เป็นไปตามตรรกะ มีควันก็ต้องมีไฟ มีไฟก็ต้องเกิดควัน มีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้า มีการแบ่งงานกันทำ งานที่ทำมาแต่ละขั้นตอนก็กำหนดเวลา สถานที่ที่แน่นอน เพื่อให้สอดคล้องกัน มีแผนรุกและแผนรับที่แยบคาย ถ้าการดำเนินงานแต่ละส่วนแต่ละขั้นตอนมีอุปสรรคติดขัด ก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนให้เดินหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายสุดท้ายของแผนได้
การที่ผู้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ จะทำให้การดำเนินการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายมีโอกาสที่จะล้มเหลวเสียกลางคันน้อยลง โอกาสที่จะบรรลุถึงเป้าหมายขั้นสุดท้ายมีสูงขึ้น ดังนั้น ถ้าฝ่ายตรงกันข้ามหรือผู้สังเกตการณ์สังเกตให้ดี ใช้ข้อมูลข่าวสารเท่าที่มีร่วมกับการใช้ตรรกะก็อาจจะเดาได้ เหตุการณ์จะพัฒนาไปในทางใด
แม้ว่าจะเป็นสังคมที่ขึ้นชื่อว่ามีความโปร่งใส เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ความลับลมคมในก็มีอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าในสังคมดังกล่าว สื่อมวลชนที่เข้มแข็งจะเป็นผู้ที่สืบเสาะและนำเสนอต่อสาธารณชน แม้ในสถานการณ์สู้รบในภาวะสงคราม เช่น สงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐก็ไม่สามารถปิดบังการกระทำหลายอย่างของตนต่อสาธารณชนของโลกได้ ก็ต้องยอมรับความจริงและต้องถอนตัวออกจากสงครามในที่สุด
ความงุนงงสงสัยจะมีมากขึ้นสำหรับสังคมที่ระบอบการเมืองยังไม่พัฒนา ยังเป็นสังคมที่มีความลับลมคมในอยู่ทั่วไป เป็นสังคมที่อึมครึมไปหมด ฉะนั้นแล้ว "ข่าวลือ" จะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดในการสร้างกระแส สร้าง "คุณค่า" ใหม่ให้กับสังคมได้มาก
ในโลกสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสะดวกและรวดเร็ว การสร้างข่าวร้าย ปล่อยข่าวเท็จ เสพข่าวลือ ให้กลายเป็นกระแสจนผู้คนเชื่อว่าเป็นความจริงเกิดขึ้นได้เสมอ และอาจจะสร้างความเสียหายให้กับบุคคลหรือครอบครัว และแม้แต่สังคมโดยส่วนรวมได้ง่ายๆ การป้องกันสถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากแต่ก็ต้องทำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อเกิดความงุนงงขึ้น ทำอย่างไรถึงจะมีกลไกที่สังคมสร้างขึ้นมาเพื่อขจัดความงุนงงเหล่านั้นอย่างทันท่วงที อย่างมีประสิทธิภาพ ความจริงน่าจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สังคมโดยส่วนรวมจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแท้จริงและไม่ถูกเบียดเบียน และน่าจะเป็นหน้าที่ของ "รัฐ" เสียด้วยซ้ำ
ถ้า "รัฐ" ไม่ทำหน้าที่อันสำคัญนี้ หรือทำได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ขององค์กรประชาชนที่ไม่ใช่องค์กรรัฐบาล ทำหน้าที่นี้แทน แต่อย่างไรก็ตาม ในบรรดาประเทศที่การพัฒนาทางการเมืองยังต่ำ สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น บางครั้งองค์กรระหว่างประเทศก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทน
บางครั้งปัญหาเกิดขึ้นในทิศทางที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ รัฐบาลนั้นกลับไม่ได้รับความเชื่อถือ แม้จะมีข้อมูลข่าวสารมากมายแต่ประชาชนฝ่ายต่อต้านก็ไม่รับฟัง แต่พร้อมที่จะเลือกเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ตนพอใจอยากจะเชื่อ สถานการณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะแยกประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย เหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นในประเทศยูเครน ที่ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการแยกตัวกลับไปรวมกับรัสเซีย เพราะยูเครนเคยร่วมอยู่ในจักรวรรดิรัสเซียมานาน มีคนเชื้อสายรัสเซียอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ภาษาที่พูดกันในยูเครนกับภาษารัสเซียก็ใกล้เคียงกันมาก
สิ่งที่น่าจะงุนงงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สังคมของเราได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 40 ปีในการสถาปนาระบอบการปกครองที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่โดยย้อนกลับไปที่เดิมได้อย่างสงบเงียบเรียบร้อย เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนสถานการณ์ราวกับว่าประเทศไทยกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน โครงการพัฒนาต่างๆ เป็นเรื่องร้อนที่ราวกับว่าถ้าเกิดขึ้นประเทศจะเสียหายล่มสลาย แต่บัดนี้มีการประกาศโครงการที่มีมูลค่ามากกว่าเดิมกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นมีโครงการอะไรบ้าง ที่งุนงงเพราะบัดนี้เงียบสนิททั้งพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชน
จะว่าเป็นเรื่องระยะสั้นชั่วคราว เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับย่อ หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูป หรือรัฐบาลก็คงไม่ใช่ เพราะโครงการต่างๆ เหล่านี้คือนโยบายทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมมากมายต่างๆ จะมีผลต่อไปในระยะยาว ชั่วลูกชั่วหลาน
ถ้าไม่งุนงงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ที่มา:มติชน
////////////////////////////////////////