วันพฤหัส 23 กรกฎาคม 2009
Nick Nostitz at the FCCT๑๖ กรกฏาคม ๒๕๕๒
โดย Nick Nostitz
ที่มา – New Mandalaแปลและเรียบเรียง
(เป็นการถอดความจากบทสัมภาษณ์ของนิค นอสติทส์เมื่อคืนที่แล้ว ในงานเปิดตัวหนังสือ “แดงกับเหลือง” ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย)
นิค นอสติทส์ ภาพโดย จำไม่ได้ ขอบคุณค่ะ
การเขียนหนังสือนับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุด และเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวด้วยเช่นกัน เรื่องส่วนตัวต่างๆที่เก็บไว้กับตัวเองมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ต้องออกสู่สายตาสาธารณะชนให้คนอื่นได้รับรู้ ในเรื่องที่คุณเชื่ออยู่อย่างลึกซึ้งนับเป็นเรื่องที่น่ากลัว
อีกนัยหนึ่ง ส่วนที่ผมตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ การทำหนังสือซึ่งผมคิดว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นช่างภาพอาชีพ และเป็นนักข่าว และเป็นเครื่องมือที่วิเศษในการสื่อสาร
ผมพยายามที่จะอธิบายเกี่ยวกับเบื้องหลังของหนังสือเล่มนี้ว่าเริ่มต้นเพราะอะไร อะไรที่ผลักดันให้ผมเขียนหนังสือนี้ขี้นมา และผมเข้ามาเกี่ยวข้องในการเมืองไทยอย่างไร
หลังจากที่ผมได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตกลางคืนของกรุงเทพได้หลายปี งานส่วนตัวต่อมาของผมจะเน้นไปในเรื่องปัญหาทางสังคมในเมืองหลวงและในชนบทมากขี้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ผมได้สัมผัสในเวลานั้น ซึ่งไม่ได้ลงพิมพ์ในหนังสือเล่มที่แล้ว และเป็นการนำผมเข้าสู่ในเรื่องทางการเมือง เมื่อเหตุการทางการเมืองแสดงให้เห็นได้ชัดพอที่จะจับภาพเอาไว้ได้ในปลายปี ๒๕๔๘
เช่นเดียวกับนักข่าวอีกหลายๆคน ผมได้ติดตามการประท้วงของพันธมิตรก่อนการทำรัฐประหาร และผมมีความสนใจในอีกฝ่ายเช่นกัน ประสบการณ์สำคัญสำหรับผมก็คือ เมื่อผมได้ไปเยี่ยมคาราวานคนจนผู้สนับสนุนทักษิณที่นวนคร เขตอุตสาหกรรมชานเมือง ซึ่งเป็นการตั้งแค้มป์ครั้งสุดท้ายก่อนจะไปชุมนุมกันที่กรุงเทพ ผมคิดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินให้พวกประท้วง แต่เมื่อผมได้สนทนากับชาวนาที่ส่วนใหญ่จะยากจน เมื่อได้พูดถึงทักษิณ ผมพบว่าพวกเขามีมุมมองหลากหลายมากกว่าที่ผมคาดคิดตั้งแต่แรก
พวกเขาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาทราบว่าทักษิณมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง แต่นโยบายของทักษิณได้ช่วยทำให้ชีวิตพวกเขาดีขี้น ผมต้องยอมรับว่าพวกเขาทำให้ผมต้องอึ้ง ทำให้ผมต้องคิดหนัก โดยเฉพาะเมื่อผมต้องเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมืองไทย มันไม่สำคัญว่าผมจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ที่สำคัญกว่าคือการเสนอความเห็นของประชาชนต่างหาก เป็นประสบการณ์มาจากชีวิตจริง ถ้าผมจะต้องรายงานข่าวของพวกเขา ผมต้องพยายามทำตัวให้อยู่ในสภาพเดียวกับพวกเขา
หลังจากการทำรัฐประหาร ตอนนั้นมีเพียงการประท้วงย่อยๆ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม จากอารมณ์ที่แสดงออกของชาวบ้านทั้งหลาย ผมมีความสังหรณ์ใจว่า การทำรัฐประหารเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทางการเมืองในประเทศไทย ไม่ว่าการประท้วงจะเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอย่างไร ประชาชนเพิ่งหายตกใจจากการที่เขาได้สูญเสียนายกรัฐมนตรีของเขาจากการทำรัฐประหาร
ผมไม่เคยชอบกับการทำงานประจำ ก็เลยมาเป็นนักข่าวอิสระซึ่งทำให้มีเวลาของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากไปกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดห่างจากบ้านผมเพียงแค่สิบนาที ผมเห็นว่าเป็นโอกาสทองที่ผมจะได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนี้
ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยเกิดขี้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นครั้งแรกที่ภูมิภาคที่กว้างใหญ่และชนชั้นทางสังคมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกันในการดิ้นรนทางการเมืองเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันส่วนใหญ่มีการศึกษาและพวกศักดินาที่ร่ำรวย ทำให้การพัฒนาเป็นไปด้วยความยากลำบากและคาดการณ์ไม่ได้
ครั้งแรกผมรู้สึกค่อนข้างกลัว เนื่องจากเป็นนักข่าวต่างชาติ และอาจจะเป็นเพียงนักข่าวคนเดียวที่รายงานเหตุการณ์นี้ ซึ่งรายล้อมไปด้วยผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ บางครั้งจะมีเจ้าหน้าที่สืบราชการลับจำนวนมากกว่าผู้ประท้วงเสียอีก
แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผมได้พบปะกับผู้คน และได้ทำความรู้จักตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งฝ่ายผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผมมักจะตีสนิทกับพวกนี้ก่อน โดยการแนะนำตัวผม บอกความประสงค์ของผมว่าผมเป็นนักข่าว ไม่ใช่เป็นนักเคลื่อนไหว และได้ถามพวกเขาว่าผมจะสร้างปัญหาหรือไม่ หรือถ้าผมทำผิดใดๆ ผมยินดีเปิดใจน้อมรับฟัง
นับเป็นปีๆที่ผมร่วมการชุมนุมประท้วงจนนับครั้งไม่ถ้วน เจ้าหน้าที่บางคนก้าวร้าวมาก ซึ่งหลายคนได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับผม ส่วนใหญ่ผมเรียนรู้จากความรู้และประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะคอยให้คำแนะนำผมบ่อยๆ บางครั้งก็ปกป้องผม ไม่เคยมีใครขัดขวางการทำงานของผมหรือกดดันผม
ยิ่งผมหลงใหลกับเรื่องนี้เท่าไร ผมยิ่งหดหู่กับการไม่ได้รับความสนใจมากขี้นเท่านั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ชลมุนเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคมผ่านไปสองปีครึ่ง ผมจึงคิดว่าผมขายรูปแรกที่เกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองนั้นได้ แม้แต่ทุกวันนี้ผมยังไม่ได้ทุนคืนจากสิ่งที่ผมได้ลงทุนและเสียเวลาไปกับเรื่องนี้เลย
เกือบทุกครั้งที่ผมอ่านบทความจากสื่อต่างๆ ผมยังไม่เคยอ่านพบบทความไหนที่สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ผมได้พบจริงจากการทำงานภาคสนามเลย ผมไม่มีที่ที่จะให้เผยแพร่ต่อเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ผมรู้สึกว่ากำลังก่อตัวขี้นในประเทศที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ และเป็นประเทศที่ผมรักเป็นอย่างยิ่ง
ดร.ไมเคิล เนลสัน ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมขอคำปรึกษาในเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆอยู่เสมอ ได้ชักชวนให้ผมเขียนบทความลงในนิวแมนดาลา ซึ่งเป็นเว็บไซต์วิชาการเล็กๆ แรกๆผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ เพราะผมไม่ได้รับเงินจากการเขียน และผมยังคงถังแตกอยู่เสมอ แต่เมื่อผมเริ่มต้นเขียน ผมคิดเสียว่าอย่างน้อยก็เป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อเขียนในสิ่งที่ผมคิดว่าจะจัดพิมพ์ขี้น และมีคนที่สนใจอ่านอย่างจริงจังในจำนวนไม่น้อยทีเดียว
บทความที่ ๓ ที่ผมเขียนลงในนิวแมนดาลา ในวันที่มีเหตุการณ์จราจลประมาณวันที่ ๗ ตุลาคม ได้ส่งผลกระทบต่อผมอย่างไม่น่าเชื่อ บทความของผมถูกประชาไทแปลเป็นไทย ถูกโพสต์แล้วโพสต์อีกในกระดานข่าวและบล็อกต่างๆ และได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และแม้กระทั่งอ่านบทความของผมออกทีวี ในรายการความจริงวันนี้ ซึ่งเป็นทีวีเสื้อแดงและทีวีช่อง ๑๑
หลายคนชอบที่ผมเขียน แต่มีอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่มาจากเหล่าผู้ที่เลื่อมใสค่ายพันธมิตรและกล่าวหาว่า ผมได้รับเงินสินบนจากทักษิณก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่สุด ในเวลานั้นผมได้รับคำขู่ แม้แต่ทุกวันนี้คุณยังคงเห็นได้จากหลายกระดานข่าวในเว็บไซต์ ที่ทั้งดูถูกและกล่าวหาว่า ผมได้รับเงินในฐานะเป็นนักวิ่งเต้นให้ทักษิณ
หนึ่งเดือนหลังจากที่ผมได้รายงานข่าวออกไป ผมได้ถูกข่มขู่อย่างรุนแรง และการข่มขู่ได้ยุติลงเมื่อคนเริ่มเกลียดคนอื่นมากกว่าผม และผมโชคดีที่มีเพื่อนในหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ได้ดูแลผม เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งยังได้ทำการอารักขาผมเมื่อผมออกไปปฎิบัติงาน จนกระทั่งความรู้สึกของผู้คนได้ลดระดับลง
เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในประเทศไทยคือ หลายๆคนไม่ได้ใช้เหตุผลเพื่อจัดการกับประเด็นต่างๆ แต่ใช้อารมณ์ล้วนๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
ครั้งแรกผมต้องการรวบรวมปัญหาทางการเมืองทั้งหลายในหนังสือที่ผมกำลังตระเตรียมเรื่องราวไว้ถึง ๙ ปี ในเรื่องปัญหาสังคมและความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมมีรูปจำนวนมากและหัวข้อที่แสนจะซับซ้อนอยู่ในมือ บางคนได้บอกผมว่านี่จะทำเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย หลังจากที่ผมได้คิดทบทวนแล้วก็น่าจะทำได้ตามนั้น และหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการตีพิมพ์ในไม่ช้า
ผมไม่เสียเวลาจะหาสำนักพิมพ์ต่างชาติ ผมคิดว่าสำนักพิมพ์ในประเทศนี่แหละเหมาะสำหรับหนังสือที่ผมกำลังคิดจะทำออกมา เป็นใครก็ได้ที่เห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ เป็นการใช้งบประมาณที่น้อยมากกว่าใช้สำนักพิมพ์ต่างชาติ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องรอง แต่ถึงจะใช้งบน้อยเราก็สามารถทำหนังสือออกมาให้น่าดูได้ ผมจึงติดต่อ นายดีทาร์ด อังเดร แห่งไวท์โลตัส(White Lotus) ซึ่งตกลงรับความคิดผมในทันที
ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างเร่งด่วน และเมื่อเกิดการจราจลในวันสงกรานต์ ผมต้องคิดหนักว่าผมควรจะเปลี่ยนเรื่องอีกไหม ซึ่งตอนนั้นต้นฉบับเสร็จแล้วและกำลังรอตรวจทานเพื่อจะรวมเรื่องราวต่างๆ ผมตัดสินใจไม่เปลี่ยนเรื่อง เนื่องจากถ้าจะลงรูปทั้งหมดงบประมาณจะไม่พอ และถ้าผมกลับไปแก้ไขใหม่ จะยิ่งทำให้หนังสือล่าช้าออกไปอีก ผมยังได้ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับการจราจลในวันสงกรานต์นั้น และยังคงมีอีกเยอะที่จะตามมา เราตัดสินใจจะหยุดพักโครงการหนังสือในปลายปี ๒๕๕๑ และจะออกหนังสืออีกเล่มเมื่อเหตุการณ์ของปีนี้ดูชัดเจนกว่านี้
จู่ๆก็มีเรื่องประหลาดเกิดขี้น สำนักพิมพ์ ๔ แห่งปฎิเสธที่จะพิมพ์หนังสือของผม ผมแน่ใจว่าหนังสือไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการทำงานที่กำหนดไว้ สำนักพิมพ์แห่งที่ ๔ ซึ่งมีมารยาทได้อธิบายถึงสาเหตุที่ไม่สามารถพิมพ์หนังสือของผมได้ เขากล่าวว่าเขาชอบหนังสือของผม และไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ แต่เป็นหนังสือที่แสดงปัญหาของสังคมไทยชัดเกินไป และจะสร้างปัญหาให้กับโรงพิมพ์ของเขาได้ในภายหลัง เขาแนะนำผมให้ไปหาโรงพิมพ์ขนาดกลาง และได้กล่าวว่าถ้าผมไม่สามารถติดต่อโรงพิมพ์ใดๆได้ เขาจะช่วยผมหา หลังจากนั้นหนึ่งวันเพื่อนที่น่ารักของผมได้ติดต่อโรงพิมพ์ที่ยอมพิมพ์หนังสือของผม เขาเป็นกังวลแต่เพียงว่าหนังสือผมไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น
ผมต้องการกล่าวบางอย่างต่อบุคคลหลายคนที่กล่าวหาว่าผมมีความลำเอียง ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมลำเอียง ผมได้ทำงานภาคสนาม ผมได้คลุกคลีกับทั้งสองฝ่าย แน่นอนผมมีความเห็นใจ ในบรรยากาศเช่นนี้ ใครก็ตามที่ติดตามในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และพูดว่าไม่มีความเห็นใจ ถือว่าเป็นคนโกหก แต่ผมไม่ได้ให้ความเห็นใจมาเป็นอุปสรรคต่อการรายงานความจริงและความเที่ยงตรง ผมไม่เคยปิดบังในสิ่งที่ผมเห็น
ความเห็นใจของผม มีให้ต่อคนยากจนเสมอ ต่อประชาชนซึ่งไม่มีปากมีเสียง เมื่อพวกเขาเรียกร้องหาชีวิตที่ดีขี้น โดยเฉพาะอุดมคติในเรื่องที่ว่าความมีโอกาสเท่าเทียมกัน เรื่องเหล่านี้จะเกิดขี้นกับคนเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ด้อยโอกาส
ผมไม่ยอมรับเหตุผลที่ว่า คนเหล่านี้ขาดการศึกษาเกินกว่าที่จะเลือกทางของตัวเองได้ เป็นมุมมองของพวกชนชั้นนิยมที่คอยอ้างตัวว่ามีบุญคุณ นิยมใช้คำหลอกลวงและศิลปะในการโต้แย้งเพื่ออธิบายเรื่องนี้ สำหรับผมแล้วถือว่าขาดเหตุผลและสวนทางกับหลักการทางมนุษยธรรม ที่ผมพยายามที่จะทำตามอยู่
ภรรยาของผมที่อยู่ด้วยกันมา ๑๕ ปี ก็มาจากในส่วนของสังคมไทยที่ด้อยโอกาศเช่นกัน แต่เธอมีสามัญสำนึกมากมาย ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการศึกษาเสียอีก ผมเชื่อว่าผมได้เรียนรู้จากเธออย่างมากมายพอๆกับที่เธอได้เรียนรู้จากผม
ทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายทักษิณ หรือแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงต่างๆไม่ต้องการความเห็นใจจากคนอย่างผม เนื่องจากพวกเขามีแหล่งที่จะให้แสดงออกต่อสาธารณะชนได้หลายทาง
มันไม่เกี่ยวกันกับการที่ผมจะชอบหรือไม่ชอบทักษิณ ที่สำคัญก็คือ ผู้ที่สนับสนุนทักษิณมีเหตุผลที่สมควรที่จะเลือกรัฐบาลทักษิณ ถึงแม้ว่าถ้าผมไม่เห็นด้วย ผมก็ยังคงเคารพต่อทางเลือกของพวกเขา
ประเด็นตรงนี้คือ บุคคลที่มีมุมมองอย่างพวกชนชั้นนิยม ไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงประสบการณ์ของชีวิตในไทยของชนชั้นทางสังคมเหล่านี้ ต่อการดิ้นรนของพวกเขาในแต่ละวัน
ผมต้องการจะบอกว่า ผมมีความเห็นใจในคนธรรมดาที่เป็นเสื้อเหลืองเช่นกัน ผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการสร้างประเทศไทยให้ดีขี้นตามแนวทางของพวกเขา เรื่องที่พวกเขาเรียกร้องเป็นความถูกต้องอย่างแท้จริง คนที่มีความคิดอย่างยุติธรรมจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธได้ว่าปัญหาที่พวกเขาอ้างถึงจะขาดเหตุผล
เรื่องที่น่าเศร้าสำหรับประเทศไทยก็คือ มีการเปลี่ยนแปลงทางชนชั้นที่น้อยมากกับสังคมที่ขาดความยืดหยุ่นในโครงสร้าง และแทบจะไม่มีความคิดเห็นที่ลงรอยกันเลย เพื่อที่จะทำให้ปัญหามันง่ายขี้น ระหว่างชาวนาอีสานและคนไทยเชื้อจีนในกรุง หรือระหว่างคนชนบทและคนกรุงที่ยากจนและคนส่วนใหญ่ในห้องประชุมนี้
การขาดการสื่อสารเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการขัดแย้งที่รุนแรง ประเทศไทยเพิ่งจะเป็นประชาธิปไตย และเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสังคมพหุลักษณ์ (pluralistic society) จะต้องใช้เวลามากกว่านี้ก่อนที่รัฐและประชาชนสามารถสร้างเวทีในการต่อสู้ตามวิถีทางที่เป็นระเบียบ ด้วยสันติวิธี และในทางที่ให้เกิดผลดี
ผมมองความขัดแย้งจากประวัติศาสตร์ มันปวดร้าว แต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ในความผิดเพื่อจะได้ไม่ทำซ้ำอีก แม้กระทั่งขณะนี้ผมรู้สึกว่า ผมได้รับเกียรติที่จะได้ร่วมเป็นพยานในบันทึกเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งผมได้เรียนรู้มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มเสียอีก
ผมแน่ใจว่า สักวันหนึ่งความขัดแย้งเหล่านี้จะถูกแก้ไขได้ (ไม่ใช่ต้องเจ็บปวดและต้องเสียเลือดเนื้อกันมากกว่านี้นะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมกลัว) และประเทศไทยจะไปในทิศทางที่ดีขี้น และจะก้าวต่อไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและประสบความสำเร็จ
ขอบคุณครับ