--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บุคคลแห่งปี WHY ALWAYS ME !!?


ใกล้สิ้นปีของทุกปีเป็นธรรมเนียมของคนข่าวที่ต้องเลือก “บุคคลแห่งปี” โดยพิจารณาจากความสำคัญและผลกระทบที่บุคคลผู้นั้นมีต่อสังคม

ในปีนี้มีบุคคลหลายคนที่มีความสำคัญ และความเคลื่อนไหว ความคิดมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “บุคคลแห่งปี 2555” จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเขาคนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แม้จะถูกโค่นลงจากอำนาจด้วยการรัฐประหารเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยห่างหายไปจากการเมืองไทย ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนต่างเอ่ยถึงชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เว้นแต่ละวันทั้งในทางที่ดีและทางเสียหาย

ที่ทีมข่าวโลกวันนี้ยกให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลแห่งปี 2555 มีเหตุผลดังนี้คือ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเมือง

ไม่ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดหรือขยับทำอะไร เดินทางไปไหน ต้องถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านที่มักโจมตีทุกพฤติกรรม ทุกความคิดที่มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทำเพื่อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง

ความปรองดอง ความขัดแย้ง ทุกเรื่องถูกโยงไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกกฎหมายปรองดองก็ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยตกไปจากสื่อ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงจนชนะการเลือกตั้งนั้น ส่งผลต่อสังคมไทยอย่างมาก เพราะหลายนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำมาปฏิบัติล้วนมาจากมันสมองของอดีตนายกรัฐมนตรี เช่น รับจำนำข้าว กองทุนตั้งตัว ฯลฯ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ

การเดินทางไปในหลายประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนมากเป็นการเดินทางเพื่อปูทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้เป็นน้องสาว ได้เข้าพบบุคคลสำคัญของประเทศนั้นๆ หรือปูทางเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การไปจีนเพื่อปูทางเจรจาสร้างรถไฟความเร็วสูง ไปพม่าเพื่อปูทางเจรจาความร่วมมือเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือน้ำลึกทวาย

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของไทยกับหลายประเทศที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาหลังเปลี่ยนจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาจากการใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้นำประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา จากที่เคยสู้รบกันก็หันมาร่วมมือกันอย่างดีในหลายด้าน

ด้วยอิทธิพลต่างๆที่มีผลต่อประเทศไทยในทุกด้าน แม้จะถูกฝ่ายต่อต้านโยงความผิด ความเสียหาย ความวุ่นวายทุกเรื่องที่เกิดในประเทศว่ามีต้นเหตุมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จนเจ้าตัวออกปากว่า “อะไรก็กู”

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผลดีหลายด้านที่เกิดกับประเทศก็มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่พ้น “อะไรก็กู” WHY ALWAYS ME? จึงยกให้เป็นบุคคลแห่งปี 2555


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐกิจปีหน้ารุ่งหรือร่วง !!?


ใกล้ๆ สิ้นปีสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ จะทำตัวเป็นโหรเศรษฐกิจฟันธงปีหน้าแต่น่าสนใจเมื่อมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) โดย คณิศ แสงสุพรรณ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ชื่อชั้นระดับซือแป๋เรียกอาจารย์กันทั้งนั้น

ออกโรงฟันธงว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวประมาณ 5.2% โดยมีแรงขับเคลื่อนพิเศษจากการใช้จ่ายของภาครัฐโดยเฉพาะแผนเบิกจ่ายตามแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทจะส่งผลขยายตัวระดับ 16.9 ล้านบาท(ยังไม่รวมการลงทุนตาม พ.ร.บ.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้าน) การส่งออกและบริการขยายตัว 7.3% ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6.5% โดยเฉพาะรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน อาหารแปรรูป

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ 3.0-3.5% ตามราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัว ในปี 2556 แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจมีโครงสร้างไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2555 มากนัก คือขยายตัว 5.2% และอัตราเงินเฟ้อ 3.5% แต่มีปัจจัยพิเศษคือการลงทุนของภาครัฐตามแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

สำหรับในปีหน้ามีทั้งปัจจัยเสริมและปัจจัยเสี่ยง 3 ประการคือ 1)สถานการณ์เศรษฐกิจโลกค่อนข้างอ่อนไหว เช่น ปัญหา Fiscal Cliff หรือหน้าผาการคลังของสหรัฐ หนี้ยูโรโซน ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนของประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน เกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง

2)สถานการณ์ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านกรณีพม่าเปิดประเทศกลายเป็นปัจจัยใหม่ในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับไทยสูงมาก

และ 3) การดำเนินนโยบายของรัฐบาลโดยปรับทิศทางการพัฒนามาสู่การสร้างกำลังให้เศรษฐกิจในประเทศผ่านการสร้างรายได้ให้กับฐานรากเศรษฐกิจจะยังคงเดินหน้าต่อไปในปีที่ 2 ของรัฐบาล ขณะที่มีนโยบายในการปรับโครงสร้างสำคัญโดยเฉพาะการวางมาตรการดูแลครอบครัวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

แปลว่าในปี 2556 รัฐบาลยังคงเดินหน้าประชานิยมและเร่งผลักดันโครงการลงทุน 3.5 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจแทนรายได้จากส่งออกเนื่องจากตลาดส่งออกสำคัญเผชิญวิกฤต

แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ 4 เซียนฟันธงได้ การเมืองต้องนิ่ง งบ 3.5 แสนล้านต้องทำแผนเสร็จตามเป้าที่วางไว้ เป็นที่รู้ๆ กันว่าตอนนี้ไม่เป็นไปตามเป้าเพราะข้าราชการไม่มีความสามารถในการทำแผน

ที่สำคัญ โครงการประชานิยมต้องมีประสิทธิภาพ ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มิเช่นนั้นธงอาจจะหักได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี.



ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลงานกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี ตามนโยบายรัฐบาล

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการดำเนินงานของของรัฐบาลด้านการพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี รัฐบาลชูผลงานเร่งด่วนดูแลพี่น้องประชาชนด้านภาวะค่าครองชีพ พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) เพิ่มรายได้และลดร่ายจ่าย นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี สรุปได้ดังนี้

1. ดูแลค่าครองชีพ ภาวะเงินเฟ้อ และฟื้นฟูผู้ประกอบการ

ได้กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ได้แก่ การจัดงานธงฟ้าจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปถึงร้อยละ 20-40 และจัดทั่วประเทศ สามารถลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชนได้มากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าราว 1,250 ล้านบาท การจัดตั้ง “ร้านถูกใจ” จำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ 20 รายการในราคาต่ำกว่าร้านค้าทั่วไปถึงร้อยละ 20 มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 16,000 ร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่งผลช่วยลดค่าครองชีพได้ถึง 400 ล้านบาทต่อเดือน และยังเป็นการฟื้นฟูร้านค้าย่อยหรือโชห่วยให้สามารถค้าขายได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ได้มีการกำกับดูแลราคาสินค้าสำคัญตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงร้านค้าปลีกให้มีราคาเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าอาหารหลักของประชาชน อาทิ การประกาศยืนราคารับซื้อและจำหน่ายสุกรในราคาเดิม การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายไข่ไก่ รวมทั้งดูแลราคาสินค้าอาหาร ซึ่งเป็นรายการที่มีสัดส่วนการใช้จ่ายถึงร้อยละ 30 ของครัวเรือน เช่น การตรึงราคาน้ำมันปาล์ม การประกาศราคาแนะนำอาหารปรุงสำเร็จ 10 รายการในราคาจานละ 25 - 30 บาท ผ่านร้านอาหารธงฟ้ากว่า 5,000 ร้าน ร้านอาหารทั่วไป และศูนย์อาหารในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และการขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงราคาในสินค้าสำคัญ 7 หมวด 140 รายการ ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 เป็นต้นมา และในรอบ 8 เดือนขยายตัวเพียงร้อยละ 2.89 ต่ำกว่าประมาณการที่กำหนดไว้ที่ ร้อยละ 3.3 – 3.8 และต่ำกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนกรกฎาคม 2555 ปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 82 มีความพึงพอใจในมาตรการประกาศราคาแนะนำ

2. ยกระดับราคาสินค้าเกษตร

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินงานตามนโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรของรัฐบาล โดยดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกคนได้มีสิทธิ และรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดและได้รับเงินโดยตรงจาก ธ.ก.ส. โดยไม่มีการรั่วไหล ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนมีการรับจำนำ ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ สูงขึ้นตันละ 1,000 – 1,800 บาท โดยราคาเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจากตันละ 14,169 บาท ในปี 2554 เป็น 15,333 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ส่วนข้าวเปลือกเจ้า ราคาสูงขึ้นตันละ 1,000 - 1,100 บาท โดยราคาเฉลี่ยเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 9,612 บาทในปี 2554 เป็น 10,401 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายรับจำนำข้าวของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเดือนกรกฎาคม 2555 พบว่าเกษตรกรมีความพอใจนโยบายดังกล่าว

ในทิศทางเดียวกัน ราคาส่งออกข้าวของไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับระดับมาตรฐานคุณภาพของข้าวไทยที่มีมากกว่าข้าวของประเทศคู่แข่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยรับซื้อสินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เช่น กระเทียม หอมแดง พริก สนับสนุนการกระจายผลผลิตสินค้าเกษตร อาทิ ไข่ไก่ เนื้อหมู กระเทียม กุ้งขาว จัดระบบการค้าสินค้าปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลือง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น อาทิ กระเทียมมีราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 8-10 บาท กุ้งขาว ราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 5-15 บาท นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เป็นแหล่งซื้อขายและกระจายสินค้าที่ได้มาตรฐาน อาทิ ตลาดกลางประมูลข้าวสาร ท่าข้าวกำนันทรง จังหวัดนครสวรรค์ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า

3. ส่งเสริมงานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP)

เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย โดยมุ่งพัฒนาตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดสากลผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงานเทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ การร่วมแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนภารกิจของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การการอบรมเชิงลึกด้านการออกแบบ และการพัฒนาการตลาดในรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดจุดจำหน่ายสินค้าแบบพิเศษให้น่าสนใจในห้างสรรพสินค้า สนามบิน โรงแรมชั้นนำ รวมถึงการจำหน่ายทางระบบออนไลน์ แฟรนไชส์ และการขายตรง เป็นต้น ส่งผลให้การส่งออกสินค้าหัตถศิลป์ไทยที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 9-10 ต่อปีในช่วงปี 2548-2553 และคาดว่าปี 2555 จะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จัดเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 15 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 10

4. ผลักดันและสร้างความเชื่อมั่นการส่งออก

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาและส่งเสริมการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ทำให้การส่งออกของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะงักงัน และไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ สำหรับในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2555 (มกราคม - กรกฎาคม) การส่งออกมีมูลค่า 4.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.2 ในขณะที่การส่งออกของหลายประเทศยังคงหดตัว เช่น ไต้หวัน (-5.80 % ) เกาหลีใต้ (-0.84 % ) อินเดีย (-1.77 % ) ฯลฯ

กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดกลยุทธ์ในการรุกและขยายตลาดไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียน จีน อินเดียและรัสเซีย เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่ประสบปัญหา โดยมุ่งเน้นสินค้าที่มีศักยภาพ อาทิ อาหาร เกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์และสินค้าแฟชั่น เน้นสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าด้วยการมอบตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark ให้แก่ผู้ประกอบการและมอบเครื่องหมาย Thai Select ให้แก่ร้านอาหารไทยที่มีคุณภาพกว่า 800 ร้านค้าใน 25 ประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยสู่ระดับสากล รวมถึงมอบเครื่องหมายดังกล่าวให้กับผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศด้วยควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสินค้าอาหารคุณภาพสูง จากการดำเนินการอย่างเข้มข้นส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 สินค้าอาหารมีมูลค่าส่งออกสูงขึ้นกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหสรัฐฯ และคาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

5. สนับสนุนการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า

กระทรวงพาณิชย์เร่งพัฒนาการให้บริการด้านการเริ่มต้นธุรกิจและการทำธุรกรรมทางการค้า อาทิ การขอสำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ผ่านธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ 6 แห่งกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะครบถ้วนทั้ง 6 ธนาคารในปี 2555 นี้ ถือเป็นนวัตกรรมการให้บริการภาครัฐที่สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กด้านการส่งเสริม และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และส่งเสริมให้คนไทยรู้จักปกป้องและ ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้แก่ การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ เพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าด้านการสร้างสรรค์ที่ไทยมีศักยภาพทั้งภาพยนตร์ งานออกแบบและการสร้างตราสินค้า (Brand)

6. เตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)

รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในการที่จะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของภูมิภาค จากการรวมตัวเป็นตลาดเดียวและมีประชากรในภูมิภาคกว่า 590 ล้านคน นับเป็นโอกาสของไทยในการใช้อาเซียนเป็นฐานในการขยายการผลิต การค้าให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 การค้าของไทยกับอาเซียนมีมูลค่ารวม 1.76 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.18 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการค้าไทยกับอาเซียน ร้อยละ 20.5 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้ากับอาเซียนให้ถึงร้อยละ 25 ในปี 2556 และร้อยละ 30 ในปี 2558 โดยดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างประเทศไทย กัมพูชา ลาวและเวียดนาม เพื่อรวมตัวทำตลาดร่วมกัน ป้องกันการแข่งขันในการแย่งตลาดกันเองและป้องกันการ สวมสิทธิ์ ควบคุมกลไกตลาดในอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับราคาสินค้าเกษตรเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า อาทิ การให้บริการยื่นขอหนังสือสำคัญการส่งออกนำเข้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการลงลายมืออิเล็กทรอนิกส์ และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน เป็นต้น

ที่มา.สำนักโฆษกกระทรวงพาณิชย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประเมินผล การทำงาน 1 ปี กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม !!?


โดย.อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์


บทความนี้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากการอภิปรายของผู้เขียนในงานเสวนา NBTC Public Forum ครั้งที่ 11 หัวข้อ “1 ปี กสทช. กับความสมหวังหรือไม่สมหวังของสังคมไทย”  วันที่ 24 ธันวาคม 2555 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค จัดโดยสำนักงาน กสทช. โดยผู้เขียนร่วมอภิปรายในส่วนของกิจการด้านโทรคมนาคม และมีผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ ร่วมอภิปรายในหัวข้ออื่นๆ อีกมาก
ผู้เขียนทำงานกับ กสทช. ในฐานะ “อนุกรรมการ” ที่เป็นบุคคลภายนอก จำนวน 2 คณะ คือ
  • คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่ย่าน ๒.๑ GHzเพื่อรองรับเทคโนโลยี IMT-2000 หรือ IMT Advanced
  • คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่วิทยุคมนาคม ระบบเซลลูล่า Digital PCN (Personal Communication Network) 1800 MHz
มุมมองทั้งหมดของการประเมินผลการทำงาน กสทช. อยู่ในฐานะ “บุคคลภายนอก” ที่เคยทำงานร่วมกับสำนักงาน กสทช. และมีจุดประสงค์เพื่อแนะแนวทางการทำงานของ กสทช. ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นสำคัญ
nbtc กสทช

กรอบการประเมิน

ผู้เขียนใช้กรอบการประเมินผลงานของ กสทช. โดยอิงกับ แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๙) (ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา) ที่ประกาศโดย กสทช. เอง ในแผนการนี้แบ่งภาระงานของ กสทช. ฝั่งโทรคมนาคม ออกเป็นส่วนๆ ทั้งหมด 6 ข้อ (หัวข้อ 3 พันธกิจ ในแผนงาน) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าครอบคลุมเพียงพอ และสามารถใช้เป็นกรอบในการประเมิน กสทช. ตามหมวดงานเหล่านี้ได้ ถึงแม้แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมจะเป็นแผนงานในระยะยาว (5 ปี) และใช้ตัวชี้วัดรวมสำหรับแผนงานระยะยาว  ซึ่งมีระยะเวลาต่างไปจากการประเมินผลงาน 1 ปีแรก แต่ผู้เขียนประเมินจาก “แนวทาง” เป็นหลักมากกว่ายึดตัวเลขชี้วัดอย่างตายตัว
หมวดงานทั้ง 6 ประเภท ได้แก่
  1. การอนุญาตและการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบกิจการ
  2. การกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และการประกอบกิจการ
  3. การใช้ทรัพยากรโทรคมนาคมให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด
  4. การจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม
  5. การคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมให้ได้ใช้บริการที่มีคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรม และได้รับความเป็นธรรมในการใช้บริการ
  6. การเตรียมความพร้อมในกิจการโทรคมนาคมให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
และผู้เขียนได้เพิ่มหัวข้อการประเมินที่ 7. เรื่อง “ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ กสทช.” เข้ามาอีกหนึ่งข้อด้วย

1. การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • เพิ่มระดับการแข่งขันของกิจการโทรคมนาคม
  • ลดอัตราค่าบริการโทรคมนาคม
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องระดับการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม
ในแง่ “ระดับการแข่งขัน” ของกิจการโทรคมนาคม ยังมีจำนวนผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 3 รายเท่าเดิม แต่ในประเด็นนี้คงโทษ กสทช. อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของทุน โอกาสธุรกิจ และสภาพของตลาดโทรคมนาคมในประเทศไทยเองด้วย ซึ่งด้วยโครงสร้างของตลาดโทรคมนาคมไทย โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นถือว่าเป็นตลาดที่อิ่มตัว (saturated) มากแล้ว การจะหาผู้เล่นรายใหญ่รายใหม่เข้ามาเป็นเรื่องยากมาก และ กสทช. ควรไปส่งเสริมการแข่งขันในระดับของผู้ให้บริการรายย่อยที่ไม่มีโครงข่ายเอง (MVNO หรือ mobile virtual network operator) มากกว่า
กสทช. มีความพยายามผลักดัน MVNO โดยระบุไว้ในกฎเกณฑ์การประมูลคลื่น 2.1GHz อยู่แล้ว เพียงแต่การประมูลเพิ่งสิ้นสุดและเพิ่งอนุมัติใบอนุญาต ก็ต้องรอดูสถานการณ์ของการแข่งขันในตลาด MVNO ต่อไปในปี 2556
ในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเดิม 3 ราย ยังมีมิติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
  • การใช้สาธารณูปโภคพื้นฐานของโครงข่ายร่วมกัน (infrastructure sharing) ทาง กสทช. มีความพยายามเรื่องนี้โดยออกประกาศแล้ว แต่ในทางปฏิบัติต้องรอดูว่าผู้ประกอบการปฏิบัติตามมากน้อยแค่ไหน และอาจมีข้ออ้างที่นอกเหนือจากในประกาศเพื่อกีดกันคู่แข่งมาใช้สาธารณูปโภคร่วม เช่น ไฟฟ้าไม่พอ เสารับน้ำหนักไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ กสทช. ในการเจรจาไกล่เกลี่ยหาข้อยุติต่อไป
  • การย้ายเครือข่ายของผู้บริโภคด้วย MNP หรือ mobile number portability (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) ถึงแม้จะทำได้จริง แต่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติที่ผู้ให้บริการพยายามกีดกันการย้ายค่ายของลูกค้า ด้วยการจำกัดจำนวนเบอร์ที่สามารถย้ายได้ต่อวัน ซึ่ง กสทช. เองต้องลงมาแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยยังมีลักษณะพิเศษเรื่อง “สัมปทาน” ระหว่างเอกชนกับรัฐวิสหากิจ 2 ราย ซึ่งมีประเด็นที่น่าจับตา 2 เรื่อง
  • ถึงแม้สัญญาระหว่าง CAT กับ TRUE ในกรณี TrueMove H ยังไม่ได้ข้อยุติ (ประเด็นนี้มีองค์กรเกี่ยวข้องหลายองค์กร ไม่ใช่เฉพาะ กสทช. เพียงรายเดียว)
  • การสิ้นสุดสัญญาสัมปทานคลื่น 1800MHz ระหว่าง CAT กับ TrueMove และ GSM1800 ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการคืนคลื่น และการเยียวยาผู้บริโภค
ประเด็นเรื่องการลดค่าบริการโทรคมนาคม
  • อัตราค่าบริการโทรคมนาคมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G/3G บนคลื่นเดิม แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
  • กสทช. มีความพยายามลดเพดานราคาของค่าบริการบนคลื่น 2.1GHz แต่ยังไม่เห็นผล เนื่องจากการประมูล-ออกใบอนุญาตเพิ่งได้ข้อยุติ
  • บรอดแบนด์แบบมีสาย (ADSL) ยังแข่งกันที่ระดับความเร็ว แต่ไม่ลดราคาขั้นต่ำ 590 บาทต่อเดือนลง ทำให้ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึง กสทช. ควรลงมากระตุ้นตลาดให้เอกชนจัดแพกเกจบริการที่ราคาถูกลงกว่าเดิม แต่อาจได้ความเร็วไม่สูงนักแทน

2. การออกใบอนุญาต-จัดสรรคลื่นความถี่

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • จำนวนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เท่าเทียม
  • มีประเภทของบริการโทรคมนาคมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น
  • มีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมมากขึ้น
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องจำนวนผู้ประกอบการ และพื้นฐานการแข่งขันที่เท่าเทียม เขียนไปบางส่วนแล้วในหัวข้อที่ 1. เรื่องระดับการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจขององค์กรต่างด้าว ซึ่งมีผลกระทบต่อการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการจากภายนอกประเทศอีกด้วย
ในแง่ “ประเภทของบริการโทรคมนาคมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ” อาจถือว่าการประมูลคลื่น 2.1GHz สำหรับบริการ 3G พอเป็น “เทคโนโลยีใหม่ๆ” ได้
ในแง่ของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่มากขึ้น ถือว่าการประมูลคลื่น 2.1GHz เข้าข่ายนี้ ถึงแม้ว่า กสทช. จะประสบปัญหาและกระแสคัดค้านอย่างมากมายระหว่างการประมูล แต่สุดท้ายก็สามารถฝ่าด่านต่างๆ และจัดสรรคลื่นได้สำเร็จ ซึ่งก็ถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายหนึ่งที่วางแผนไว้

3. การใช้ทรัพยากรโทรคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง
  • มีการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นร่วมกันสำหรับผู้ประกอบกิจการมากขึ้น
  • มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการโทรคมนาคม
  • มีแผนหรือมาตรการร่วมกับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติ
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง ถือว่าการออก “ใบอนุญาต” โทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่น 2.1GHz ช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนลดลง เนื่องจากต้องหักส่วนแบ่งรายได้ส่ง กสทช. น้อยลงกว่าระบบสัญญาสัมปทานเดิมมาก ในแง่นี้ถือว่าประสบความสำเร็จ
ประเด็นเรื่องการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เขียนไปแล้วในหัวข้อที่ 1.
ประเด็นเรื่องการทำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้งาน
  • เราอาจถือว่า 3G เป็นเทคโนโลยีใหม่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทยได้
  • โครงการอื่นๆ ที่ริเริ่มไว้ในสมัย กทช. เช่น Broadband Wireless Access (BWA) ยังไม่เห็นผลงาน
  • โครงการที่ควรผลักดันอย่าง Fiber Optics ยังไม่เห็นความชัดเจน
ประเด็นเรื่องแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน-ภัยพิบัติ ยังไม่เห็นผลงาน
  • โครงการหมายเลขสายด่วนกลางสำหรับเหตุฉุกเฉิน (เหมือน 911 ในต่างประเทศ) ยังไม่มีความคืบหน้า
  • แนวคิดการแชร์โครงข่ายโทรศัพท์ในช่วงเกิดภัยพิบัติ ยังไม่เห็นความชัดเจน
  • แนวคิดเรื่องคลื่นความถี่สำหรับสาธารณภัย ยังไม่เห็นความชัดเจน

4. บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช. (รอบ 5 ปี)
  • มีแผนการบริการ USO (universal service obligation) ภายใน 1 ปี (นับจากแผนแม่บทประกาศใช้ ไม่ใช่นับจากอายุการทำงานของ กสทช.)
  • บริการเสียง ครอบคลุม 95% ของประชากร
  • บริการอินเทอร์เน็ตความเร็ว 2Mbps ครอบคลุม 80% ของประชากร
ผลงาน 1 ปีแรก
การประเมินผลในเชิงตัวเลขอาจยังทำไม่ได้ในขณะนี้ แต่ในภาพรวมแล้ว กิจกรรมด้าน universal service obligation ของ กสทช. ยังถือว่าอยู่ในเชิงตั้งรับ เน้นการ “ให้ทุน” จากกองทุน USO ที่มีเงินจำนวนมหาศาลเป็นหลัก เช่น การให้เงินสนับสนุนโครงการ Wi-Fi ฟรีของกระทรวงไอซีที มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นต้น
การให้ทุนสนับสนุนโครงการ USO เพื่อขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเรื่องที่ดี แต่ กสทช. ควรระวังเรื่องยุทธศาสตร์นี้ในระยะยาวว่าจะกลายเป็นเพียง “องค์กรให้ทุน” แหล่งใหม่หรือไม่ และ กสทช. เองน่าจะมีโครงการสนับสนุน USO ในเชิงรุกมากขึ้น นอกเหนือไปจากการให้ทุนองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เว็บไซต์งานด้าน USO ของ กสทช. ยังขาดการปรับปรุงและไม่ค่อยอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากนัก

5. การคุ้มครองผู้บริโภค

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • จัดทำหลักเกณฑ์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้เสร็จภายใน 2 ปี
  • จัดทำหลักเกณฑ์การควบคุมคุณภาพบริการประเภทข้อมูลให้เสร็จภายใน 2 ปี
  • ปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นถึงสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
ผลงาน 1 ปีแรก
ตัวชี้วัดในเรื่องแผนกำหนดระยะเวลา 2 ปี จึงประเมินได้ลำบากในขณะนี้ ส่วนการประเมินความตระหนักรู้ของผู้บริโภคก็ทำได้ยากเช่นกัน ในหัวข้อนี้จึงใช้การประเมินจากสถานการณ์ของผู้บริโภคในรอบปีแทน
สถานการณ์ด้านผู้บริโภคในปี 2555 เกิดปัญหาเครือข่ายล่มบ่อยครั้ง (โดยเฉพาะจาก DTAC) ซึ่ง กสทช. เองก็ทำหน้าที่ไม่ได้มากนักนอกจากสั่งปรับตามฐานความผิด ส่วนประเด็นปัญหาด้านผู้บริโภคก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาเดิมๆ เช่น SMS ขยะ, คิดเงินผิด, roaming เน็ตรั่วต่างประเทศ, คุณภาพสัญญาณ, การจำกัดจำนวน number portability, บัตรเติมเงินหมดอายุ, ตู้เติมเงินคิดค่าบริการสูง ฯลฯ ในภาพรวมแล้ว กสทช. ยังไม่สามารถนำปัญหาซ้ำซากเหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นการแก้ไขเชิงนโยบายได้เลย ทำให้ปัญหาผู้บริโภคยังเกิดซ้ำซากอยู่ตลอด
ส่วนการรับเรื่องร้องเรียน-ระงับข้อพิพาทก็ยังล่าช้าและเต็มไปด้วยกระบวนการเอกสาร ซึ่งปัญหาด้านผู้บริโภคนี้เป็นสิ่งที่ กสทช. ต้องปรับปรุงอย่างมากในปีหน้า
ข้อมูลเพิ่มเติม ความเคลื่อนไหวของ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ในเดือนธันวาคม 2555
NBTC ASEAN
เว็บไซต์ กสทช. ด้านอาเซียน

6. อาเซียน-ความร่วมมือระหว่างประเทศ

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • มีมาตรการรองรับด้านกิจการโทรคมนาคม สำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
  • พัฒนา ปรับปรุง ออกกฎระเบียบด้านโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นด้านกฎระเบียบให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ผู้เขียนไม่มีข้อมูลด้านนี้ จึงไม่ขอประเมิน
ส่วนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ยังไม่เห็นความชัดเจนนอกจากการจัดสัมมนา ศักยภาพและความพร้อมของกิจการโทรคมนาคมไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2015 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และเปิดเว็บไซต์ด้านอาเซียน เท่านั้น
ผู้เขียนมีข้อเสนอ 2 ประการเพื่อยกระดับกิจการโทรคมนาคมของไทยในมิติของอาเซียน ดังนี้
  • ปรับปรุงและแก้ไขอุปสรรคของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมอาเซียน ต่อการเข้าทำธุรกิจในประเทศไทย เช่น กฎเกณฑ์ต่างด้าว หรือ เอกสารบนเว็บไซต์ กสทช. ควรมีภาษาอังกฤษกำกับให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
  • กสทช. ควรจับมือกับหน่วยงานด้านการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในอาเซียน ผลักดันค่าบริการโรมมิ่งในอาเซียน (ASEAN Roaming) ให้ถูกลง เพื่อเพิ่มระดับการใช้งานบริการโทรคมนาคมระหว่างการค้าขายในอาเซียน

7. ประสิทธิภาพในการทำงานของ กสทช.

ผู้เขียนขอแบ่งประเด็นออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
การเข้าถึงประชาชน
  • กระบวนการรับฟังความเห็นต่อร่างประกาศ (public hearing) ที่ผ่านมายังมีลักษณะเป็นการ “ทำเพื่อให้ครบกระบวนการของกฎหมาย” มากกว่าการรับฟังความเห็นจริงๆ เพราะ กสทช. ไม่มีกระบวนการรวบรวมข้อมูล เปิดเผย และอธิบายประเด็นว่าจุดไหนรับฟังและแก้ไข-จุดไหนไม่แก้ไข อย่างเปิดเผยและเข้าถึงได้มากนัก การออกประกาศถือเป็นงานสำคัญของ กสทช. และควรให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มาก
  • กสทช. ยังขาดฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ที่มีความแม่นยำและทันสมัย
  • การประชาสัมพันธ์ของ กสทช. ในมิติด้านผู้บริโภคยังน้อยมาก ส่วนใหญ่ยังมีเฉพาะการประชาสัมพันธ์ “ภาพลักษณ์องค์กร” ของ กสทช. เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากนัก
  • เว็บไซต์ กสทช. เอง ก็เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ยาก ถึงแม้จะมีการปรับปรุงระบบมาแล้ว 1 ครั้ง
งบประมาณ-บุคลากร
  • งบประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมของ กสทช. มากเกินไปหรือไม่?
  • จำนวนบุคลากรของ กสทช. ต่อผลลัพธ์ของงานที่ออกมา มีสัดส่วนมากเกินไปหรือไม่? (เจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 คน ข้อมูลเมื่อสิ้นปี 2554)
  • ประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ มีการประเมินอย่างไร?
  • จำนวนคณะอนุกรรมการที่ กสทช. แต่งตั้ง มีมากเกินไปหรือไม่ และมีการเรียกประชุมบ่อยครั้งเพียงใด?
ข้อมูลประกอบ
รายจ่ายของ กสทช. ประจำปี 2555 (นับเดือนมกราคม-พฤศจิกายน) ใช้ตัวเลขโดยประมาณ (ที่มา กสทช.)
  • รายจ่ายบุคลากร 960 ล้านบาท
  • รายจ่ายดำเนินงาน 1,416 ล้านบาท
  • รายจ่ายสิ่งก่อสร้าง-ครุภัณฑ์ 93 ล้านบาท
  • เงินสมทบกองทุนฯ 175 ล้านบาท
  • รวม 2,690 ล้านบาท
งบประมาณ กสทช. 2554

สรุป

การดำเนินงานของ กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม ในปี 2555 มีความเคลื่อนไหวพอสมควร โดยเฉพาะการประมูลคลื่น 2.1GHz ที่สามารถดำเนินไปได้ลุล่วงตามแผน มีการออกประกาศที่สำคัญในหลายเรื่อง แต่ กสทช. ยังไม่ค่อยมีผลงานในมิติด้านอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่เรียกได้ว่า “สอบตก” ในปี 2555 และงานด้าน USO (บริการโทรคมนาคมทั่วถึง) ที่ไม่โดดเด่นอย่างที่ควรจะเป็น
ในภาพรวมแล้ว กสทช. ยังสมควรถูกตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และงบประมาณที่ใช้ไปตลอดปี โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์การประมูล 3G และกิจกรรมบางประเภทที่อาจไม่คุ้มค่างบประมาณมากนัก

ข้อเสนอแนะต่อ กสทช.

ข้อเสนอเร่งด่วนสำหรับปี 2556
  • กสทช. ต้องรีบเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาคลื่น 1.8GHz หมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 กันยายน 2556
  • กสทช. ต้องรีบกำกับดูแลบริการประเภทข้อมูล (data service) ทั้งในแง่ราคาและคุณภาพการให้บริการ ทั้งบนคลื่น 2.1GHz และคลื่นความถี่เดิม
  • กสทช. ต้องเร่งแก้ปัญหาด้านผู้บริโภคอย่างเป็นระบบและจริงจัง
  • กสทช. ต้องใช้นโยบายเชิงรุกกับโครงการด้าน USO แทนนโยบายเชิงรับอย่างที่ทำอยู่
  • ควรเจรจาทำระบบ ASEAN Roaming ที่ราคาถูกทั่วทั้งภูมิภาค
  • ปรับปรุงเว็บไซต์ กสทช. ให้ใช้งานได้ง่าย มีข้อมูลทันสมัยตลอดเวลา
ข้อเสนอระยะยาว
  • กสทช. ควรจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจทางนโยบาย และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
  • ประเมิน ตรวจสอบ ปรับปรุง ประสิทธิภาพในการทำงานของสำนักงาน กสทช. ให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว ฉับไว มากขึ้น
  • ใช้งบประมาณกับการประชาสัมพันธ์อย่างชาญฉลาด ไม่เน้นไปที่การจัดกิจกรรมระยะสั้นหรือการซื้อพื้นที่สื่ออย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
  • ปรับปรุงกระบวนการรับฟังความคิดเห็น (public hearing) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เอกสารประกอบการบรรยายจากงานเสวนา

ข่าวที่ปรากฏในหน้าสื่อ

ที่มา.Siam Intelligence.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นายกฯยิ่งลักษณ์ ติดอันดับ 1 นักการเมืองที่มีผลงานสร้างสรรค์ !!?


ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง "ที่สุดของความคิดสร้างสรรค์แห่งปี 2555" โดยเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 15-20 ธันวาคม ที่ผ่านมาจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในทุกสาขาอาชีพ และทุกภูมิภาคทั่วประเทศด้วยคำถามปลายเปิดและให้ผู้ตอบคิดคำตอบเองทุกข้อ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,275 คน เป็นเพศชายร้อยละ 46.9 และเพศหญิงร้อยละ 53.1 สรุปผลได้ดังนี้

1. นักการเมืองของไทยที่มีผลงานสร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 52.1 อันดับ 2 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 16.3 อันดับ 3 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร้อยละ 15.3 อันดับ 4ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 7.1 อันดับ 5 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 2.6

2. โครงการ/นโยบายของรัฐบาลที่คิดว่าสร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ร้อยละ 18.1 อันดับ 2 โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล ร้อยละ 16.4 อันดับ 3 โครงการค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ร้อยละ 13.8 อันดับ 4 นโยบายปราบปรามยาเสพติด ร้อยละ 8.8 อันดับ 5 โครงการขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินสายต่างๆ ร้อยละ 7.7

3. หน่วยงาน /องค์กร ภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีภาพลักษณ์สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 กองทัพไทย ร้อยละ 8.9 อันดับ 2 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) ร้อยละ 8.7 อันดับ 3 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ร้อยละ 8.5 อันดับ 4 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 7.9 อันดับ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 7.7

4. ละครทีวีของไทยที่สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 แรงเงา ร้อยละ 56.3 อันดับ 2 รากบุญ ร้อยละ 6.7 อันดับ 3 กี่เพ้า ร้อยละ 5.6 อันดับ 4 ธรณีนี่นี้ใครครอง ร้อยละ 4.5 อันดับ 5 ขุนศึก ร้อยละ 3.6

5. รายการทีวีที่สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 เรื่องเล่าเช้านี้ ร้อยละ 18.5 อันดับ 2 คนค้นฅน ร้อยละ 7.5 อันดับ 3 กบนอกกะลา ร้อยละ 7.3 อันดับ 4 ชิงร้อยชิงล้าน ร้อยละ 7.0 อันดับ 4 ตี 10 ร้อยละ 7.0 อันดับ 5 The Voice ร้อยละ 6.7

ขอบคุณ บบความ เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ประชามติ พจนานุกรม ฉบับตุลาการอภินิหาร !!?


สิ่งสำคัญที่ผมต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนให้เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศนี้ไปข้างหน้าอย่างสันติวิธี คือการช่วยกันหยุดความล้มเหลวทาง การเมือง ซึ่งลำพังผมและพรรค ประชาธิปัตย์ไม่สามารถที่จะดำ เนินการให้ประสบความสำเร็จได้

การยุติความล้มเหลวทางการเมืองโดยประชาชนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ประเทศของเราก้าวข้ามอุปสรรค ที่ขวางทางบ้านเมืองมานานหลายปีไม่ให้เดินไปข้างหน้า นั่นคือความต้องการอยู่เหนือกฎหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ด้วยการร่วมกันล้มประชามติที่นายกฯ ผู้เป็นน้องสาว กำลังจะทำเพื่อรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หวังลบมาตรา 309 เพื่อล้มคดีทั้งหลายของพี่ชายนักโทษ

หากพี่น้องทำสำเร็จก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย เปรียบเสมือนการปฏิวัติโดยประชาชนตามระบบที่ไม่เสี่ยงต่อการเสียเลือดเนื้อ เพื่อยืนยันว่าประชาชนและกฎหมายยิ่งใหญ่กว่าอำนาจเงินและอำนาจรัฐ
ผมและพรรคประชาธิปัตย์จะยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชนเพื่อนำบ้านเมืองไปข้างหน้า หลังจากที่เราติดหล่มผลประโยชน์ของคนคนเดียวจนบ้านเมืองเสียหายมานานหลายปี

มาร่วมกันคว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนัก โทษ ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ นำพาประเทศเดินไปข้างหน้า ผมและพรรคประชาธิปัตย์พร้อมร่วมสุขทุกข์กับพี่น้อง เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างราบรื่น ไร้ความรุนแรง เพื่ออนาคตที่มั่นคงของประเทศของเราสืบไป”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนจดหมายเปิดผนึก “จากใจถึงคนไทยทั้งประเทศ” ปลุกกระแสให้กลุ่ม “เกลียดทักษิณ” ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์คว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลมีมติให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้มีความชอบธรรม เป็นประชาธิปไตย และเป็นธรรมขึ้นหรือไม่ โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่มีการแก้ไขเรื่องรูปของรัฐ รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์

แถลงการณ์พรรคร่วมรัฐบาลยืนยันว่า ไม่ว่าผลแห่งประชามติจะออกมาในทางใด ทุกฝ่ายต้องยอม รับว่ารัฐสภาทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญ ญัติของรัฐธรรมนูญที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นประชา ธิปไตย และไม่สอดคล้องต่อหลักนิติธรรมได้ตลอดไป

รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หยุดชะงักตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องจากกลุ่มบุคคลที่ยื่นคำร้องว่าการกระทำของรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ แม้ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวหา แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็แสดงจุดยืนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลซ้ำซากเดิมๆคือ ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลก็ยืนยันว่าต้องการแก้และสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชา ธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง

การทำประชามติที่จะกำหนดไว้ในปี 2556 จึงมีความหมายอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่การแก้หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชน ไม่ใช่จากการทำรัฐประหารอย่างที่ผ่านมาตลอด 80 ปี

รัฐธรรมนูญร่างทรงเผด็จการ

เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ไม่ต่างกับร่างทรงเผด็จการ ซึ่งแค่มาตรา 309 มาตราเดียวก็ถือว่าหมดความเป็นประชาธิปไตย แต่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มที่คัดค้านกลับเห็นว่าหากยกเลิกมาตรา 309 ก็เท่ากับล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แทนที่จะพูดถึงบทบัญญัติที่พิลึกพิสดารที่ว่า

“บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของหัวหน้าและคณะ... (คปค. หรือ คมช.) ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับ สนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”

เป็นการบัญญัติบทนิรโทษกรรมครั้งแรกที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของคณะรัฐประหาร

การอ้างว่าถ้ายกเลิกมาตรา 309 รัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด จึงต้องคัดค้านแบบหัวชนฝานั้น จึงสะท้อนว่ากลุ่มที่คัดค้านเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งที่เอาคนคนเดียวมาแลกกับความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง ไม่ต่างอะไรกับ “ยอมเผาบ้านเผาเมืองเพื่อฆ่าหนูเพียงตัวเดียว”

ที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่แค่มาตรา 309 แต่ต้องมีเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประเภทสรรหา ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่ถูกยัดเยียดจากร่างทรงเผด็จการ เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า ส.ว.ลากตั้งกลายเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับนักการเมืองที่มาจากประชาชน รวมทั้งช่วยปกป้องผลประโยชน์ต่างๆของกลุ่มเผด็จการและฝักใฝ่เผด็จการอีกด้วย

หรือมาตรา 237 ว่าด้วยการยุบพรรคการเมือง ซึ่งร่างทรงเผด็จการประกาศชัดเจนว่าต้องการลดอำนาจนักการเมืองและพรรคการเมือง ถือเป็นปัญหาต่อการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็ง โดยใช้องค์กรอิสระเป็นกลไกในการเอาผิดและตัดสิทธิทางการเมือง

ยังไม่นับองค์กรอิสระต่างๆในปัจจุบันที่มีที่มาจากการรัฐประหารและมีวาระอยู่ยาวนาน เพื่อรักษาอำนาจที่เกิดจากการฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด

รัฐธรรมนูญฉบับมดลูก คมช. หรือหน้าแหลมฟันดำ จึงเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ปกป้องคนที่ละเมิดกฎหมาย โดยการออกกฎหมายนิรโทษฯตัวเองในการทำผิดและละเมิดกฎหมาย คนที่ปกป้องจึงไม่ต่างกับการร่วมกันกระทำผิดและเป็นฝ่ายตรงข้ามระบอบประชาธิปไตยที่ฝักใฝ่เผด็จการ ซึ่งเป็นพวก “อีแอบ” และ “แอ๊บขาว” ทั้งนักการเมือง นักกฎหมาย นักวิชาการ และกลุ่มการเมืองภาคประชาชน แต่พยายามยัดเยียดให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นพวก “เผด็จการทุนสามานย์” ที่ต้องกระชับอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

วาทกรรมโกหกตอแหล

“ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ชื่อดัง เขียนบทความลงในเว็บไซต์ “ประชาไท” เล่าเหตุการณ์ที่เคยสัมภาษณ์พิเศษนายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2550 อยู่ในช่วงที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เปิดรับฟังความคิดเห็น ซึ่งฉบับร่างมาตรา 299 ตรงกับมาตรา 309 ในปัจจุบันนั้น นายอภิสิทธิ์แสดงความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีว่า

“ก็นิรโทษฯไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ผมไม่เห็นความจำเป็น เพราะว่าตามประเพณีของเรา อะไรที่นิรโทษฯไปแล้วก็จบ เมื่อก่อนนี้มีพระราชกำหนดนิรโทษฯ พ.ร.ก. เข้าสภา สภาคว่ำ เขาก็บอกว่าไม่มีผลอะไร เพราะนิรโทษฯไปแล้ว เรามีประกาศคณะปฏิวัติ ประกาศคณะปฏิรูปตั้งกี่สมัย นี่ยังใช้อยู่เลย เรื่องสัมปทาน เรื่องอะไรต่ออะไร ทำไมจะต้องมาตระหนกตกใจว่า คมช. คปค. เดี๋ยวมีปัญหา ผมไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องมี มีแล้วเป็นปัญหาการเมืองเปล่าๆ ถ้าไปบอกว่า คปค. ทำไม่ชอบ อย่างนั้นรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็ไม่ชอบ รัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ชอบ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ชอบ เราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ในบ้านเราก็ตีความมาตลอดว่าพอใครปฏิวัติก็เป็นองค์อธิปัตย์ ยอมรับกันไป ก็จบไปแล้ว ไปเขียนไว้ให้ตำตาตำใจคนทำไมให้ทะเลาะกันอีก”

“ใบตองแห้ง” ระบุเหตุผลที่นำบทสัมภาษณ์นี้ขึ้นมาทบทวนไม่ใช่แค่การ “ตอกหน้า” พรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนกรานไม่แก้ ไม่แตะ แต่ลึกลงไปคือบทเรียนน่าเศร้าของนักการเมืองที่ “เล่นการเมือง” แล้วไม่สามารถยืนหยัดในความคิดเห็นของตัวเอง

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมไม่เข้าใจเลยว่าอภิสิทธิ์เอาคดีความที่ตัวเองต้องข้อหามาปลุกล้มประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ไง คนละเรื่องกันเลย”

การใช้วาทกรรมกลับไปกลับมา หรือใช้วาทกรรม “คนดี” เพื่อตำหนิหรือทำลายฝ่ายตรงข้าม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกของนักการเมือง โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์เคยยกเรื่อง “จริยธรรม” และ “ความรับผิดชอบทางการเมือง” มาอภิปรายในสภาเพื่อให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พิจารณาตัวเองในการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีคนเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บนับร้อย

แต่เหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตที่มีคนตายถึง 99 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน นายอภิ สิทธิ์กลับยืนยันว่าไม่ผิด ไม่ขอโทษ และไม่แสดงความ รับผิดชอบทางการเมืองใดๆ ทั้งยังพยายามกล่าวหาว่าเป็นความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณและ “ชายชุดดำ”

กกต. เตือนติดคุก-ยุบพรรค

ขณะที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรม การการเลือกตั้ง เห็นด้วยกับการทำประชามติก่อนจะลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 เพื่อลดความขัดแย้ง แต่ควรกำหนดประเด็นในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองและออกเสียงประชามติ เตือนนายอภิสิทธิ์ที่จะรณรงค์ให้ประชาชนล้มการจัดทำประ ชามติว่า อาจสุ่มเสี่ยงผิดต่อมาตรา 43 (3) ของ พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2552 ที่ระบุว่า ห้ามผู้ใดหลอกลวง บังคับขู่เข็ญ หรือใช้อิทธิพลคุกคาม เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง หรือเพื่อให้สำคัญผิดในวัน เวลาที่ออกเสียง หรือวิธีการลงคะแนนออกเสียง ซึ่งอาจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น การกระทำใดที่ส่อเป็นความผิดอาจถูกร้องต่อ กกต. และศาลอาญาได้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญา

ถ้าประชาชนไม่ออกไปลงเสียงประชามติก็ไม่ถือว่าขาดสิทธิเหมือนการเลือกตั้งทั่วไป แต่หากมีบุคคลใดไปบังคับขู่เข็ญไม่ให้ออกไปใช้สิทธิตามระ บอบประชาธิปไตยถือว่ามีโทษทางกฎหมาย จึงอยากให้ฝ่ายที่ค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรรณรงค์ให้ประชา ชนออกไปลงเสียงประชามติและกากบาทในช่องไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติน่าจะดีกว่า และไม่เสี่ยงขัดกับหลักกฎหมาย หรืออาจมีผลถึงการยุบพรรค

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ตอบโต้นางนางสดศรี โดยเตือนว่าอย่ามาขู่ ถ้า กกต. ขู่ก็เท่ากับว่าทำผิดกฎหมาย กกต. มีหน้าที่ดูแลการทำประชามติไม่ให้มีการใช้อำนาจอิทธิพลไปข่มขู่ คุกคามให้ไปในทางใดทางหนึ่ง แต่การใช้เหตุผลเพื่อหักล้างกันคือกระบวน การประชาธิปไตยที่จะรองรับประชามติ จึงอยากให้ กกต. ตั้งหลักให้ดีและต้องเป็นกลาง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันมาตลอดว่าปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ยอมรับการรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยคดีของบางคน ซึ่งบังเอิญพรรคเพื่อไทยหลุดออกมาว่าจะทำอะไร เจตนารมณ์ในการทำประชามติคือทุกฝ่ายต้องมีเวทีในการแสดงเหตุผลได้

ทำไมปกป้องเผด็จการ?

นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ที่กล่าวหาว่าแก้ไขรัฐธรรม นูญทั้งฉบับหวังลบมาตรา 309 เพื่อล้มคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถือว่าบิดเบือนรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ตามขั้นตอนยังไม่มี ส.ส.ร. อีกทั้งการจัดทำประชามติต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และตั้งคำถามกับนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่าทำไมจึงพยายามปกป้องรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ทั้งที่เป็นผลพวงของการรัฐประหาร

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เห็นว่าการรณรงค์คว่ำประชามติของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ไม่เป็นความผิด ถือเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี เพราะกฎหมายกำหนดลักษณะการกระทำที่เจาะจงคือ ต้องมีพฤติการณ์ใช้ประโยชน์จูงใจ หรือหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ หรือใช้อิทธิพลคุกคาม ถ้าจะพอเป็นไปได้ก็อาจเป็นกรณีที่มีการหลอกลวง แต่ถ้ารณรงค์โดยอธิบายเหตุผลก็ถือว่าเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

ที่น่าสนใจคือข้อเสนอของนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลัก นิติธรรมแห่งชาติ (คอ.ธน.) เห็นว่าควรแก้ไขรัฐธรรม นูญทั้งฉบับ ไม่ควรทำเป็นรายมาตรา เพราะจะทำให้กระทบกับอีกหลายมาตรา และไม่ควรใช้รูปแบบการตั้ง ส.ส.ร. เพราะขัดกับหลักนิติธรรมว่าด้วยความเสมอภาคและไม่เป็นธรรม เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีประชากรไม่เท่ากัน แต่มี ส.ส.ร. ได้จังหวัดละ 1 คน ทั้งอาจมีปัญหาเรื่องความเป็นตัวแทนของพรรคการ เมือง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์บานปลาย แถมยังต้องใช้งบประมาณถึง 7,000 ล้านบาท และใช้เวลานาน 20 เดือน แต่ถ้าตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะใช้งบ ประมาณน้อยกว่า และใช้เวลาเพียง 15 เดือนเท่านั้น

เตะหมูเข้าปากหมา

ขบวนการล้มการลงประชามติหรือต่อต้านการแก้ไขของรัฐบาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้มีเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังมีกลุ่มเกลียดทักษิณที่จ้องล้มรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสี และอีแอบ

การลงประชามติจึงอาจเป็นการ “เตะหมูเข้าปากหมา” หรือเหมือน “เข็นครกขึ้นภูเขา” อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ซึ่งแนวทางของตนเองจะเสนอแก้ไขเพียง 7 ประเด็น

การลงประชามติจึงกลายเป็น “กับดัก” พรรคเพื่อไทยไปโดยปริยาย ทั้งยังต้องรณรงค์ให้ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งคือ 24 ล้านคน จากตัวเลขล่าสุดของผู้มีสิทธิทั้งหมดประมาณ 48 ล้านคนเศษ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังอาจเข้าทางฝ่ายแค้นและฝ้ายค้านที่จะนำมาเป็นเงื่อนไขล้มรัฐบาลอีกด้วย

อย่างที่สื่อเหลืองกล่าวหาพรรคเพื่อไทยล่วงหน้า ไปแล้วว่าใช้ประชามติเพื่อเอาประชาชนเป็นหลังพิงเท่านั้น ถ้ามีปัญหาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้จะได้อ้างกับคนเสื้อแดงว่าได้ทำตามสัญญาแล้ว รัฐบาลและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

แต่ถ้าเสียงประชามติเกินกึ่งหนึ่ง ฝ่ายแค้นและฝ่ายค้านก็ไม่ยอมให้มีการแก้ไขตามที่พรรคร่วมรัฐบาล ต้องการ โดยเฉพาะมาตรา 309 ที่รับรองความชอบธรรมคณะรัฐประหารตลอดกาล อำนาจองค์กรอิสระที่ครอบงำฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ ส.ว.สรร หาที่ลากตั้งเข้ามาแล้วยังมีอำนาจเท่ากับ ส.ว.เลือกตั้ง

เมื่อมาพิจารณาถึงเงื่อนไขที่ว่าต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิมากกว่ากึ่งหนึ่ง จากผู้มีสิทธิออกเสียงประมาณ 48 ล้านคน หมายความว่าหากมีผู้มาลงคะแนนไม่ถึง24 ล้านคน การแก้รัฐธรรมนูญจะมีอันล้มพับไปทันที แต่ถ้าหากมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกิน 24 ล้านคน แล้วผลออกมาว่าคนส่วนมากที่มาใช้สิทธิเห็นด้วยให้มีการแก้รัฐธรรมนูญได้ ก็มิใช่ว่าเรื่องจะจบ เพราะเหล่าบรรดาผู้ต่อต้านและเหล่าผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่เคยชนะประชามติด้วยวาทะที่ว่า “รับๆไปก่อน ค่อยแก้ทีหลัง” ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกว่า คำว่า “กึ่งหนึ่ง” หมายถึงจำนวนเท่าใดกันแน่?

จะ vote “YES”, vote “NO” หรือ “NO vote” ก็ล้วนแต่เป็นการเดินสู่ “กับดัก” แห่ง “ตุลาการภิวัฒน์”

การทำประชามติของพรรคร่วมรัฐบาลจึงเป็นเส้นทางสุดโหดและเต็มไปด้วย “กับดัก” ที่อาจทำให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลล้มอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะขบวนการ “ตุลาการอภินิหาร” ที่มีอำนาจล้นฟ้าและพลิกแพลงได้อย่างแยบยล!

หรืออาจเห็นศาลรัฐธรรม นูญต้องตัดสินด้วยการเปิด “พจ นานุกรม” มาตีความอีกครั้ง!?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
******************************************************************************

เหลียวหลัง การเมืองไทย 2555 เสถียรภาพที่เริ่มกลับมา !!?


นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ภาพจากทำเนียบรับฐาล)

พามองย้อนสถานการณ์ประเทศไทย พ.ศ. 2555 ภาพรวมการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพ ระดับความขัดแย้งเริ่มลดลง นโยบายเศรษฐกิจเริ่มทำงาน

การเมือง

ฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม

เริ่มปี 2555 ช่วงต้นปี โฟกัสยังอยู่ที่การฟื้นฟูประเทศจากภัยธรรมชาติ รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัย และในขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเรื่องการบริหารจัดการน้ำ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ขึ้นมาเป็นองค์กรกลางด้านการบริหารจัดการน้ำในประเทศ

การแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อปัญหาน้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย การเมืองกลับมาสนใจประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยมีภาคส่วนต่างๆ ของสังคมร่วมออกความเห็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญกันอย่างคับคั่ง กลุ่มที่แสดงออกโดดเด่นที่สุดคงเป็น คณะนิติราษฎร์ กลุ่มอาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ได้รับเสียงคัดค้านจากหน้าเก่าอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ และหน้าใหม่ สยามประชาภิวัฒน์ รวมถึงเหตุการณ์ประท้วงในสภาถึงขั้นปาแฟ้มและยกเก้าอี้ประธานสภาจากพรรคประชาธิปัตย์ และการยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ จนสุดท้ายรัฐบาลเพื่อไทยต้องแตะเบรก หยุดพักการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ชั่วคราว

การกลับมาของบ้านเลขที่ 111

ปี 2555 ยังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในฝั่งพรรคเพื่อไทย หลังจากกลุ่มสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกโทษแบนทางการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2550 พ้นโทษกลับเข้าสู่วงการการเมือง ผลที่เกิดขึ้นคือมีสมาชิกบางส่วนกลับเข้ามาร่วมคณะรัฐมนตรี แต่ในภาพรวมก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในพรรคเพื่อไทยมากนัก เนื่องจากอำนาจภายในพรรคยังรวมศูนย์อยู่ที่ขั้ว ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ อยู่เช่นเดิม

กระแสต่อต้าน: ม็อบ เสธ.อ้าย

กระแสต่อต้านรัฐบาลยังมีให้เห็น นอกจากการคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญในช่วงกลางปีแล้ว ยังเกิด ม็อบ เสธ.อ้าย หรือกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ช่วงปลายปี ถึงแม้จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นบ้างในช่วงต้น แต่ความเสียหายไม่มากนัก และสุดท้ายม็อบ เสธ.อ้าย ก็ยอมรับว่า “จุดไม่ติด” ยกเลิกการชุมนุมไปเอง ในภาพรวมแล้วถือว่ากระแสคัดค้านรัฐบาลลดลงมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในปี 2551-2552-2553 ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะขั้วขัดแย้งทั้งสองฝ่ายบอบช้ำและอ่อนแรง บวกกับอารมณ์ของคนทั่วไปในสังคมไทยที่เบื่อความขัดแย้งบนท้องถนน

ค้นหา “ความจริง” สลายการชุมนุม คอป. และ ศปช.

ความเคลื่อนไหวที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2553 หลังเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิต 90 กว่าราย ก็เริ่มปรากฏผลในปี 2555 นี้ หลังจาก คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ชุดของนายคณิต ณ นคร ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำงานมาครบ 2 ปี และเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2555 ในอีกด้านหนึ่งก็มีคณะกรรมการอิสระที่เกิดจากการรวมตัวของนักวิชาการด้านสังคมและกลุ่มเอ็นจีโอในชื่อ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายกาารชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 หรือ ศปช. ออกรายงานสืบสวนความจริงฉบับคู่ขนานขึ้นมาคานข้อมูล (อ่านบทวิเคราะห์ คอป. และ ศปช. กับการสถาปนา “ความจริง” ของเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53)

คดีความเรื่องการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงในปี 2553 ก็เริ่มเห็นความคืบหน้า เมื่อศาลเริ่มตัดสินคดีหลายคดีและผลออกมาว่าการเสียชีวิตเกิดจากกระสุนของเจ้าหน้าที่รัฐ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ก็แจ้งข้อหาแก่นายอภิสิทธิ์-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายกและรองนายกในช่วงนั้น ด้วยข้อหา “สั่งฆ่า” กลุ่มคนเสื้อแดง

ประชาธิปัตย์ยังตั้งตัวไม่ติด

หลังความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2554 ก็เกิดเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการทำงานของพรรคทั้งจากคนนอกและคนใน (กษิต ภิรมย์, พิชัย รัตตกุล) ถึงแม้เราจะเห็นความพยายามหลายๆ อย่าง เช่น การเปิดสถานี BlueSky หรือการจัดเวที “ผ่าความจริง” แต่ในภาพรวมแล้ว การปรับตัวของพรรคประชาธิปัตย์ในแง่การทำงานยังเกิดขึ้นน้อยมาก และย่อมสร้างปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาว (อ่านบทวิเคราะห์ ครบ 1 ปี ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม?)

ฐานที่มั่นสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังครองอำนาจรัฐเอาไว้ได้คือ เก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะหมดวาระและเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปี 2556 และพรรคเพื่อไทยก็หมายมั่นปั้นมือจะยึดพื้นที่เมืองหลวงมาจากพรรคประชาธิปัตย์ให้จงได้ ในขณะที่ในพรรคประชาธิปัตย์เองกลับยังมีความขัดแย้งระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าคนปัจจุบัน กับขั้วอำนาจอื่นๆ ภายในพรรค จนสร้างภาวะยืดเยื้อในการประกาศตัวผู้สมัครผู้ว่ามายาวนาน

เศรษฐกิจ

ปี 2555 ที่การเมืองเริ่มนิ่ง และประเทศเริ่มเอาตัวรอดจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 เราจึงเห็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทยถูกนำมาใช้งานในทางปฏิบัติตลอดปีนี้

ธีมหลักของนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยคือ “การกระตุ้นภาวะบริโภคในประเทศ” เพื่อชดเชยกับรายได้จากภาคการส่งออกที่ลดลงเพราะปัญหาเศรษฐกิจโลก ผนวกกับวิธีคิดตาม “ระบอบทักษิณ” ที่เน้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างสภาพคล่อง และเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษี

หัวหอกของนโยบายเศรษฐกิจในรัฐบาลเพื่อไทยคือ “คู่หูเพิ่มรายได้” ได้แก่ นโยบายค่าแรง 300 บาท/เงินเดือน 1,500 บาท และ นโยบายจำนำข้าวเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร ทั้งสองนโยบายได้รับทั้งเสียงตอบรับและเสียงคัดค้านอย่างมาก โดยเฉพาะนโยบายจำนำข้าวที่ก่อให้เกิดวิวาทะครั้งสำคัญของนโยบายสาธารณะในประเทศไทย (อ่านบทวิเคราะห์ โครงการจำนำข้าว v.s. โครงการประกันรายได้ นโยบายใดที่ชาวนาได้รับประโยชน์มากที่สุด?) นโยบายทั้งหมดถือเป็นนโยบายที่ต้องรอติดตามผลในระยะกลาง (1-3 ปี)

นอกจากนี้ยังมีนโยบายอื่นๆ ที่เน้นการสร้างรายได้ หรือเพิ่มสภาพคล่อง เช่น กองทุนสตรี กองทุนตั้งตัวได้ และนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น รถคันแรก-บ้านหลังแรก (อ่านบทวิเคราะห์ คำเตือน! นโยบายรถคันแรกอาจกลายเป็นวิกฤตซับไพรม์ไทยในอนาคต) และรัฐบาลเองยังเตรียมแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น คมนาคม พลังงาน การจัดการน้ำ ซึ่งจะเป็นโครงการต่อเนื่องที่เริ่มเห็นผลชัดเจนในปี 2556

ต่างประเทศ

ความสัมพันธ์ที่ดีของรัฐบาลเพื่อไทยกับประเทศกัมพูชา ทำให้ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนและปราสาทพระวิหารในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์บรรเทาลงไปในรัฐบาลนี้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาถูกแก้ไขไปเสียทั้งหมด และความขัดแย้งย่อมกลับมาใหม่ได้เสมอ

โฟกัสด้านการต่างประเทศในปี 2555 ย้ายไปอยู่ที่เพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของไทยคือพม่า ซึ่งกำลังเปิดประเทศด้วยอัตราเร่งสูง การเยือนประเทศไทยของนางอองซานซูจี กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญของภูมิภาค และการเยือนพม่าของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญของวงการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับนานาชาติ

ในปี 2555 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับผู้นำระดับโลกทั้งสหรัฐและจีน (อ่านบทวิเคราะห์ บารัค โอบามา ท้าทายอำนาจพญามังกร ชิงบทนำบนยุทธศาสตร์แห่งอาเซียน) ด้านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เองก็มีคิวเยือนมิตรประเทศอย่างถี่ยิบตลอดทั้งปี ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของไทยกับนานาประเทศบนเวทีโลก ในภาพรวมแล้วงานด้านต่างประเทศของไทยเริ่มกลับมาคึกคัก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับสู่ความเป็นผู้นำด้านความร่วมมือระดับเอเชียในอนาคตอันใกล้

แลหน้า การเมืองไทยปี 2556
โฟกัสของการเมืองไทยในปี 2556 น่าจะกลับไปอยู่ที่การแก้รัฐธรรมนูญอีกครั้ง โดยรัฐบาลเพื่อไทยแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการทำประชามติเพื่อรับเสียงสนับสนุนจากประชาชน เป็นฉันทามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (อธิบายเงื่อนไขของ ‘การลงประชามติ’ ตามรัฐธรรมนูญไทย) ดังนั้นถ้าแผนการทำประชามติได้รับการผลักดันจากรัฐบาล ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์สำคัญของวงการการเมืองไทยในปีหน้า

เสถียรภาพทางการเมืองไทยในปี 2556 น่าจะใกล้เคียงกับระดับของปี 2555 คือในภาพรวมมีเสถียรภาพดี แต่ก็มีเสียงคัดค้านและต่อต้านรัฐบาลอยู่บ้างประปราย เว้นเสียแต่ว่ามีปมความขัดแย้งสำคัญปะทุขึ้นมา เช่น การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ หรือการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในเบื้องต้น  ประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ในระดับต่ำ

ส่วนแนวโน้มการเมืองไทยในระยะสั้น ช่วงต้นปีคือการเลือกตั้งครั้งใหญ่ประจำปีอย่างศึกชิงชัยเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งจะเป็นการชิงชัยระหว่างผู้สมัครจากสองพรรคใหญ่ โดยมีผู้สมัครอิสระรายอื่นๆ เป็นการสร้างสีสันเท่านั้น (อ่านโครงการนโยบายเมืองหลวง Agenda Bangkok ประกอบ)

ในระยะยาวแล้ว  ยังเห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองไทยถึงแม้จะบรรเทาลง แต่ปมหลักของความขัดแย้งยังไม่คลี่คลายไป

ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพียงแค่การเมืองในระบบ หรือการเมืองบนท้องถนน แต่ยังเป็นภาวะทับถมมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาไปทีละเปลาะ และในระยะยาวแล้วมันจะเป็นการปรับตัวของสังคมไทยทั้งหมดไปสู่จุดยืนใหม่ (new normal) ดังที่เราเสนอมาแล้วในโครงการใหญ่ทั้งสองโครงการ คือ Transform Thailand (การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ) และ Redefine Thailand (การปรับตัวทางสังคม-วัฒนธรรม)

ขอบคุณบทวิเคราะห์ของ Siam Intelligence
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ครม.อนุมัติรวด 2 โครงการของ ศึกษาธิการ...


นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่ 2 เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ในช่วงปี 2556-2561 เฉลี่ยปีละประมาณ 150 ทุน โดยใช้งบประมาณดำเนินโครงการ 78 ล้านบาท พร้อมทั้งอนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุเข้ารับทุนจำนวน 600 อัตรา แบ่งเป็น ภาษาญี่ปุ่น 200 คน เกาหลี 140 คน เยอรมัน 40 คน ฝรั่งเศส 60 คน สเปน 40 คน รัสเซีย 20 คน เวียดนาม 25 คน พม่า 25 คน เขมร 25 คน และบาฮามาเลย์/อินโดนีเซีย 25 คน ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะจัดสรรทุนให้แก่นักศึกษาชั้นปี 5 ที่เลือกเอกภาษาในภาษาที่ขาดแคลน เพื่อเข้ารับการอบรมทักษะภาษาและการสอนที่จัดโดยองค์กรของประเทศเจ้าของภาษา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษให้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นครูสอน ภาษาต่างประเทศที่สองในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

"โครงการนี้ จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครูภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และเป็นประเทศคู่ค้าของไทย นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมนักเรียนไทยเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนด้วย เพื่อความได้เปรียบในเชิงภาษา" รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ จัดสรรคูปองให้เยาวชนที่เรียนดี ประพฤติดี นำไปแลกหนังสือจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ใช้งบประมาณ 450 ล้านบาท มาเป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ ใช้งบประมาณที่ตั้งไว้เดิมมาจัดหาหนังสือเข้าห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดชุมชน ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารีจำนวน 40,000 แห่ง ทั่วประเทศ และในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 1,800 แห่ง โครงการนี้เป็นการเทิดพระเกียรติในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบในปี 2558 รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชนด้วย

ที่มา.เนชั่น
------------------------------------------------------------------------------------------------------

แนะใช้ : เทคนิคคำถามดึงกลุ่มต้านแก้รธน.ลงประชามติ !!?


ประธานวิปรัฐบาลเสนอใช้เทคนิคตั้งคำถามดึงให้กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาใช้สิทธิเพื่อแก้ปัญหาคนลงประชามติไม่ถึง 24 ล้านคน “เฉลิม” ย้ำจะชงแก้ไข 9 ประเด็นให้ที่ประชุมเพื่อไทยพิจารณา แต่หากมีมติเดินหน้าทำประชามติก็พร้อมสนับสนุน “นพดล” ยัน “ทักษิณ” หนุนให้ประชาชนร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ “เรืองไกร” ยื่น กกต. สอบ “อภิสิทธิ์” ปลุกล้มประชามติ ชี้ความผิดเกิดขึ้นแล้วโทษถึงยุบพรรค ตัดสิทธิ ด้านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เย้ยอดีตนายกฯขี้โม้ที่จะเอาคนมาลงประชามติให้ได้เกิน 24 ล้าน ย้อนถามถ้ามั่นใจจะคิดแก้กฎหมายประชามติทำไม

++++++++++

นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล จากพรรคเพื่อไทย แสดงความมั่นใจว่า ความเห็นต่างในแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญจะจบลงเมื่อพรรคมีมติไม่สร้างความแตกแยกในพรรค ส่วนข้อกังวลเรื่องเสียงประชามติที่อาจมีคนออกมาใช้สิทธิไม่เกินครึ่งหรือ 24 ล้านเสียงนั้น เรื่องนี้อยู่ที่เทคนิคการตั้งคำถาม

“ถ้าถามว่าเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะอยู่เฉยๆ และเป็นช่องทางให้ฝ่ายค้านรณรงค์ให้ประชาชนไม่ออกไปใช้สิทธิ แต่ถ้าตั้งคำถามว่าเห็นด้วยกับการคัดค้านแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ คนที่เห็นด้วยกับการคัดค้านก็จะออกไปใช้สิทธิ ทำให้มีคนออกมาใช้สิทธิเกินครึ่งหนึ่งได้”

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ควรแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่หากพรรคเพื่อไทยมีมติให้ทำประชามติก็พร้อมให้ความร่วมมือ

“ผมมีข้อเสนอให้แก้ 9 ประเด็น ซึ่งครอบคลุมในสิ่งที่คิดว่าเป็นปัญหาทั้งหมด” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า กรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติจะไม่มีผลให้เกิดความแตกแยกเพราะคนเสื้อแดงมีวินัย ถ้าพรรคให้ทำประชามติ แกนนำทุกคนต้องออกไปช่วยรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณสนับสนุนการทำประชามติเพราะต้องการให้ประชาชนร่วมกันตัดสินหาทางออกให้ประเทศ

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา เข้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กรณีทำจดหมายเปิดผนึกถึงคนไทยทั้งประเทศให้ร่วมกันล้มประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลว่าเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียงตามมาตรา 43 (3) พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2552 หรือไม่ เข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้งพรรคเพื่อไทยตามมาตรา 104 พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 และถือเป็นการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์อันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ ตามความในมาตรา 94 (3) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 50 หรือไม่ แม้ยังไม่มีการประกาศทำประชามติอย่างเป็นทางการแต่ความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมีโทษถึงยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 5 ปี

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้ประชาชน การแก้ไขเป็นการมุ่งทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น จึงเป็นบทพิสูจน์รัฐบาลว่าจะแก้ปัญหาให้ประชาชนหรือแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ

“ที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าการทำประชามติต้องมีคนใช้สิทธิ 24 ล้านเสียงเป็นการแสดงให้เห็นว่าขี้โม้ เพราะถ้าเห็นว่าหมูจะคิดแก้กติกาประชามติทำไม”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักษิณ.โวย ปชป.บิดเบือนโจมตีแก้รัฐธรรมนูญม.309 ล้างผิด !!?


ทักษิณ"ส่ง"นพดล ที่ปรึกษากฎหมาย โวยพรรคประชาธิปัตย์ยุติการบิดเบือน โจมตีแก้ 309 ล้างผิด
     นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ยุติการบิดเบือนสร้างความสับสนให้ประชาชนด้วยการโจมตีว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างผิดให้คนคนเดียว
         
     "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้าปากบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคนคนเดียวล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ขอชี้แจงดังนี้ 1.การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้แก้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ 2.มาตรา 309 นายอภิสิทธิ์จะรู้ได้อย่างไรว่า ส.ส.ร.จะยกเลิก 309 ส่วน 3.ปชป.บิดเบือนเนื้อหาสาระมาตรา 309 แก้ไขแล้วทำให้คดี พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดหมด ทั้งที่มาตรา 309 เป็นการรับรองการรัฐประหาร ทุกหน่วยงานที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารเท่านั้น ใครรักมาตรา 309 คือรักระบอบเผด็จการ 4.สมมุติ ส.ส.ร.ยกเลิก มาตรา 309 คดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ตัดสินไปแล้ว จะไม่ได้ล้มเลิกไปโดยอัตโนมัติ จะต้องก้าวสู้กระบวนการยุติธรรมเหมือนเดิม ดังนั้น มาตรา 309 ไม่ใช่ล้างผิดยกเลิกความผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ขอเรียกร้องให้ ปชป.ยุติบิดเบือนสร้างความสับสนให้ประชาชน"นายนพดล กล่าว
         
     ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมพรรคเพื่อไทยวันที่ 25 ธ.ค.นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้โฟนอินมายังที่ประชุมพรรค และยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้สั่งให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้าทำประชามติ แต่เป็นเรื่องของพรรคและรัฐบาล โดยในการประชุมพรรคจะมีการรับฟังความเห็นที่หลากหลาย ทั้งข้อเสนอของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา รวมทั้งข้อเสนอของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่บอกว่าให้เดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ไม่ต้องทำประชามติ คาดว่าในการประชุมจะตกผลึกแนวทาง
         
     "แม้แนวโน้มการทำประชามติจะเป็นกระแสหลักของพรรคเพื่อไทย แต่เราไม่ละเลยคนที่มีความเห็นต่าง ที่เสนอให้แก้ไขเป็นรายมาตรา เช่น ที่มาวุฒิสภาจะให้มาเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ มาตรา 237 ยุบพรรคได้ง่ายทำลายระบบพรรคการเมืองจะแก้หรือไม่ มาตรา 190 หนังสือสัญญาและกรอบการเจรจาระหว่างประเทศจะทำอะไรต้องเข้ารัฐสภาทั้งหมด เพราะข้าราชการไม่กล้าเซ็นเอ็มโอยู"นายนพดล กล่าว
         
     "พรรคเพื่อไทยจะเดินประชามติต้องเดินตรงไปตรงมาอย่างโปร่งใส เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องดูแลการออกเสียงประชามติ ดังนั้น ต้องมีการออกเสียงที่สุจริตและเที่ยงธรรมอย่างแน่นอน อยากขอความเป็นธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณย้ำอยู่เสมอ เราต้องฟังเสียงนายของเราคือเจ้าของประเทศ ให้พรรคประชาธิปัตย์ก้าวพ้น พ.ต.ท.ทักษิณเสียที" นายนพดล กล่าว

ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พท.เดินหน้าทำประชามติ ก่อนโหวตแก้ รธน. //



เพื่อไทยเดินหน้าทำประชามติ เพราะใบเบิกทางที่ดีในการแก้รัฐธรรมนูญ หากผ่านประชามติได้ หนทางข้างหน้าก็จะมีปัญหาน้อยลง

แหล่งข่าวพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่าตอนนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้ข้อสรุปเป็นการภายในแล้วว่าจะเดินหน้าทำประชามติแน่นอน ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะมีคนออกมาใช้สิทธิไม่เกินครึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นเสียงข้างน้อย แต่ตอนนี้เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าต้องทำประชามติ

"การทำประชามติจะเป็นใบเบิกทางที่ดีในการแก้รัฐธรรมนูญ หากผ่านประชามติได้ หนทางข้างหน้าก็จะมีปัญหาน้อยลง เพราะเท่ากับประชาชนเห็นชอบแล้ว ต่อไปใครก็จะมาขัดขวางอีกไม่ได้ เรียกว่าทำงานครั้งเดียว ถ้าผ่านก็ผ่านยาวเลย" แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับเรื่องตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น ทางพรรคมั่นใจว่าจะมีเกินครึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดแน่นอน

"จะต้องใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งหมดที่มีอยู่ ทั้งกระทรวงมหาดไทย ทหาร และหน่วยงานราชการต่างๆ ไปช่วยทำให้คนออกมาใช้สิทธิ รวมทั้ง สส.ของพรรคก็จะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ต้องทำงานอย่างเข้มข้น จะต้องมีการตั้งเป้าเลยว่าแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีคนออกไปใช้สิทธิเท่าไหร่ และอาจจะต้องมีมาตรการจูงใจให้คนออกไปใช้สิทธิด้วย" แหล่งข่าวกล่าว และบอกว่า เท่าที่ดู ในส่วนของภาคใต้อาจจะมีคนออกไปใช้สิทธิไม่ถึงครึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะสามารถหาจากพื้นที่อื่นโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานมาทดแทนได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดนั้น หากเทียบตามรายภาคแล้ว ภาคอีสานจะมีมากที่สุด คือ ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด รองลงมาคือ กลาง เหนือ ส่วนภาคใต้จะมีสัดส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คือไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จรรยาบรรณสื่อรัสเซีย!! กินกระดาษ นสพ.ตัวเองหลังเขียนข่าวผิด !!?



สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นาย Vyacheslav Ledovsky นักหนังสือพิมพ์ จากเมือง Krasnoyarsk ของรัสเซีย สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน ด้วยการตัดสินใจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 2 ปีก่อน (พ.ศ. 2553) ที่เขาเขียนระบุว่าจะกินงานเขียนของตัวเองที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หากเขาเขียนคาดการณ์เกี่ยวกับข่าวการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นผิดพลาด

ทั้งนี้ นาย Ledovsky ทำงานที่หนังสือพิมพ์ The Builder newspaper หนังสือพิมพ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และเขียนบทความเกี่ยวกับ ความมั่นใจที่จะมีการเริ่มต้นก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแห่งที่ 4 ในเมือง Krasnoyarsk ที่ถึงขนาดรับประกันว่าหากผิดพลาดจะกินข้อเขียนของตัวเอง กระทั่งผ่านมา 2 ปี ข่าวคลาดเคลื่อนเขาจึงตัดสินใจทำตามสัญญา โดยมีการถ่ายภาพพร้อมวิดีโอไว้เป็นสักขีพยาน โดยนักหนังสือพิมพ์รายนี้ ได้ตัดข่าวที่ตีพิมพ์ออกมา และแบ่งเป็นชิ้นๆม้วนให้เป็นแท่งเล็กๆและนำไปคลุกกินกับซาวครีมเพื่อเป็นการลงโทษกับข้อเขียนที่ผิดพลาดของตัวเอง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++