--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กษิต. พอใจศาลโลกตัดสินถอนทหาร แต่ ทภ.2 อ้างไม่ถอนกำลังจนกว่า ผบ.ทบ. สั่ง.!!?


พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยภายหลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในคดีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายกัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 โดยให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่กำหนดรอบปราสาทพระวิหาร ว่า จนถึงขณะนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหารด้าน จ.ศรีสะเกษ โดยรวมยังเป็นปกติ ซึ่งฝ่ายไทยได้ให้หน่วยทหารในพื้นที่ชี้แจงกรณีคำวินิจฉัยของศาลโลกให้กำลังพลตามแนวชายแดนได้รับทราบ

ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่พบมีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน ทั้งเรื่องกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ จะมีเพียงเล็กน้อยในการสับเปลี่ยนกำลังพล และเคลื่อนอาวุธหนักบ้าง เช่น รถถัง, จรวด BM21 แต่เป็นไปตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการแสดงกำลังข่มไทยเท่านั้น

พ.อ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) ได้มีคำสั่งก่อนหน้านี้ ว่า ไม่ว่าศาลจะมีคำตัดสินออกมาอย่างไร ขอให้กองทัพภาคที่ 2 รักษาพื้นที่และอธิปไตยรวมถึงภูมิประเทศที่เราเคยดูแลอยู่อย่างเต็มที่ จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่ลงมา ซึ่งการจัดกำลังเฝ้าดูแลพื้นที่ของฝ่ายทหารไทยเรายังปฏิบัติภารกิจตามปกติ ทหารไทยยังมีขวัญกำลังใจที่ดี ทุกคนพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถไม่ได้กังวลต่อคำตัดสินของศาลโลกแต่อย่างใด

ส่วนประชาชนตามแนวชายแดนไทยจนถึงขณะนี้ยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะหมู่บ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายได้เตรียมพร้อมในการอพยพตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) ทางแม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ส่งชุดประชาสัมพันธ์ และ ชุด ปจว. ลงไปช่วยดูแล และคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งจนถึงขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยคอยดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนจำนวน 42 จุดๆ ละประมาณ 8-10 นาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าหลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวมาเช่นนี้ คาดว่า จะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้มีการพูดคุยกันในระดับต่างๆ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี)

ส่วนการถอนทหารออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ประมาณกว่า 2 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) รอบปราสาทพระวิหารเพื่อให้เป็นเขตปลอดทหารตามคำสั่งศาลโลกนั้น แต่ละฝ่ายจะต้องถอนออกไปอยู่ในจุดใดบ้างนั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ไม่ขอพูดรายละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน การกำหนดรายละเอียดคงจะต้องมีการหารือกันอีกครั้งว่าแต่ละฝ่ายจะไปอยู่ในจุดใดบ้าง ขอให้เป็นเรื่องการเจรจาของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ หากมีคำสั่งลงมาอย่างไรกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติก็พร้อมจะดำเนินการตามที่ได้รับคำสั่งอยู่แล้ว

“ในการถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น ที่ผ่านมา ทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการวางกำลังทหารและอาวุธหนักบริเวณประสาทพระวิหารมากพอสมควร ขณะที่ฝ่ายไทยเราไม่ได้ขึ้นไปบริเวณปราสาทพระวิหาร ฉะนั้น เมื่อมีคำสั่งของศาลโลกออกเช่นนี้ ถ้าปฏิบัติตามนั้นได้ คิดว่าจะทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ลดความตึงเครียดลงไปได้มาก” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว

ด้าน นายกษิต ภิรมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โฟนอินจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินคุ้มครองชั่วคราว ว่า มติของศาลปฏิเสธคำขอของฝ่ายไทยที่ให้ถอนคดี และออกคำสั่งมาตรการชั่วคราวที่ไม่ได้เจาะจงฝ่ายไทยฝ่ายเดียวคือให้ถอนทหารทั้งไทยและกัมพูชา จากพื้นที่ปลอดทหาร ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาราม และบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถเข้าออกปราสาทพระวิหารได้เพื่อส่งกำลังบำรุง เช่น น้ำ อาหารให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหาร ที่มีหน้าที่จะดูแลตัวปราสาท ซึ่งองค์การยูเนสโก หรือองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องช่วยยืนยันว่าบุคลากรของกัมพูชานั้นจะไม่ใช่ทหารที่แฝงตัวเข้ามา และฝ่ายไทยจะต้องเจรจากับในกรอบจีบีซี และอาร์บีซีต่อไป

นายกษิต กล่าวว่า ศาลระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต้องแจ้งผลการปฏิบัติการต่อศาลเป็นระยะด้วย ส่วนการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ยังคงอำนาจในการพิจารณาให้เลื่อนการพิจารณาต่อไป ที่สำคัญไทยและกัมพูชาสามารถพิจารณาให้นักท่องเที่ยวประชาชนเข้าไปท่องเที่ยวปราสาทพระวิหารได้ อย่างไรก็ตาม ตนได้เรียนต่อนายกฯให้ทราบ และปลัดกระทรวงก็ได้ประสานกับทหารแล้ว นอกจากนี้ ตนได้พูดกับหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย เพื่อนำมติดังกล่าวชี้แจงในที่ประชุม และให้ผู้แทนไทยพบปะกับ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รมต.ต่างประเทศอินโดนีเซียด้วย เพื่อประสานบทบาทอาเซียนโดยเฉพาะการสังเกตการณ์

นายกษิต กล่าวว่า ทั้งนี้ ความเห็นส่วนตัว การกำหนดพื้นที่ปลอดทหารขึ้นมา เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย ที่จะส่งผู้สังเกตการ์จะหมดไปโดยปริยาย ส่วนพอใจหรือไม่ ก็เป็นท่าทีของไทยที่ได้แสดงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาต้องทหารออกวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และปราสาทพระวิหาร ถ้าคิดในแง่นี้ก็น่าจะมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก็จะเป็นไปตามที่เราต้องการ ตามที่ได้แจ้งให้เวทีระดับโลกทราบว่ามีกลไก2 ฝ่ายอยู่แล้ว คือ เจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี ในที่สุดก็กลับมาอย่างที่เราต้องการ

เมื่อถามว่า ส่วนมติที่ศาลออกมานั้นมีทั้ง 11 ต่อ 5 หรือ 9 ต่อ 5 นายกษิต กล่าวว่า ขอให้ยึดมติโดยรวม คือ 11 ต่อ 5 ส่วนมติอื่นเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนี้ จุดที่จะไม่มีทหารอยู่ก็ต้องหารือในกรอบจีบีซีต่อไป อย่างไรก็ตาม ท่าทีของกัมพูชาภายหลังรับทราบมตินั้น ตนไม่ทราบ แต่เห็นว่าไม่ยิ้มแย้มเท่าฝ่ายไทย ส่วนจะเริ่มถอนทหารได้เมื่อไหร่นั้นต้องทำทันที เนื่องจากศาลให้รายงานการปฏิบัติการเรื่อยๆ ซึ่งไทยมีพันธกรณีกับอาเซียน โดยทุกฝ่ายก็อยากเห็นสันติภาพ

เมื่อถามว่า ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามมติของศาลโลกครั้งนี้ นายกษิต กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนต้องเข้าแถว เมื่อรัฐบาลสั่งทุกฝ่ายต้องทำตาม เพราะถือเป็นมติ ทั้งนี้ จะมีการรายงานต่อสภาหรือไม่นั้น ขณะนี้ก็มีเพียงวุฒิสภาและจะมีการรายงานต่อ ครม.หรือไม่ ก็เป็นเรื่องตามขั้นตอนกฎหมายโดยต้องหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่า กัมพูชาจะไม่ส่งทหารแฝงตัวเข้าไปปะปนกับเจ้าหน้าที่ดูแลปราสาทพระวิหาร นายษิต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในกรอบของทั้ง 2ฝ่าย ซึ่งยูเนสโกสามารถเข้ามาได้ ศาลโลกและคณะมนตรีความมั่นคงอาเซียน ก็จับตาดูอยู่ ทั้งนี้ ต้องให้ความเคารพและความซื่อสัตย์สุจริตของกัมพูชา

เมื่อถามว่า ความชัดเจนของฝ่ายไทยในการถอนชุมนุมที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตร.กม.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราทราบมาว่าชุมชนกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ก็เป็นครอบครัวของทหารกัมพูชา ซึ่งหากถอนกำลังทหาร ครอบครัวก็ต้องออกไปด้วย

เมื่อถามว่า แสดงความกัมพูชาไม่สมารถเอาประชาชนของตัวเองเป็นกันชนบริเวณชายแดนได้ นายกษิต กล่าวว่า ฝ่ายกองทัพของเราก็คงต้องสอดส่องดูแล และเราจะอำนวยให้มีการท่องเที่ยว ซึ่งทำให้กัมพูชาได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน และหากทำอะไรที่ไม่ตรงไปตรงมา ก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนของเขาเช่นกัน รวมถึงเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาคมโลกด้วย อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีต่อสหประชาชาติและศาลโลก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยไม่อยากให้ทหารกัมพูชาอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร และผลออกมาก็เป็นไปตามเป้าที่วางไว้

เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นในการคุยกับรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศหรือไม่ นาย กษิต กล่าวว่า มันมีกรอบกลไกของจีบีซีอยู่แล้ว ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดพบกันในกรอบของเจซีอยู่แล้ว ซึ่งจะมีการประชุมในต้นปีหน้า จึงต้องรอรัฐบาลใหม่ดำเนินการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยพร้อมที่จะเข้าสู่ตะเจรจา แต่กัมพูชาไม่พร้อมเท่านั้นเอง

เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินการจะเปลี่ยนด้วย นาย กษิต กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่มีการส่งมอบงาน โดยตนจะทำบันทึกและส่งมอบต่อปลัดกระทรวง เพื่อเรียนต่อรมว.ต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งตนคิดว่าสื่อ และรัฐสภา จะสอดส่องดูแลเรื่องดังกล่าว ว่านโยบายของรัฐบาลเป็นประโยชน์ต่อไทยหรือไม่

เมื่อถามว่า จะมีการคุยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ตามมารยาทตนเป็นรัฐมนตรีรักษาการไม่ควรไป จึงมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศไปแทน แต่หากมีความจำเป็นอาจเดินทางไปคุยในนามส่วนตัว เพื่อหารือถึงเรื่องการสังเกตการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐบาล
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้การประชุมจีบีซีให้เร็วขึ้น นายกษิต กล่าวว่า ควรเป็นเช่นนั้น เพราะกัมพูชาเสนอเข้าสู่ศาลโลก ถ้าไม่ทำตามศาลโลกก็กะไรอยู่ ส่วนเรื่องแผนที่ในการกำหนด 4 จุดปลอดทหาร ศาลไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แต่เป็นในส่วนที่ศาลได้ขีดเส้นขึ้นมาเอง เป็นเขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งเป็นจุดคร่อมสันปันน้ำของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ คาดว่าเขตปลอดทหารจะมีขนาด 3X7 ตร.กม.

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

จาตุรนต์. ทวิต กกต. แค่ 5 คนเปลี่ยนการตัดสินของปชช.ได้

จาตุรนต์ ฉายแสง
Twitter.com/chaturon

สวัสดีทุกท่านครับ
ขอวิจารณ์เรื่องการยังไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กรณีที่มีการไปแจ้งความเกี่ยวกับการให้การเท็จในศาลก็ดี การร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยก็ดีเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินคดีกันไป
แต่ไม่อาจเป็นเหตุให้กกต. ไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ได้เลย
ตามที่เป็นข่าวจึงเหลืออีกประเด็นเดียวคือเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”และการที่นักการเมืองที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ช่วยคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง
เรื่องนี้ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ตามกฎหมายผู้สมัครและพรรคการเมืองสามารถใช้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้าง
ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นผลสืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองนั้นถูกห้ามอยู่ใน 2 ส่วน
ด้วยกันคือ

1.ห้ามไปก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดๆ และ 2.ห้ามออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆไว้ว่าจะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง
จากการที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงทำให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย

โดยสรุปผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบไป จะถูกห้ามกระทำในสิ่งต่างๆต่อไปนี้
ห้ามเป็นสมาชิกพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ห้ามร่วมกับผู้ใดก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามไปออกเสียงเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น รัฐมนตรีเป็นต้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 111 และ 109 คนนั้นไม่ได้ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ

ทั้งนี้ รวมทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามบุคคลเหล่านี้หาเสียงให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจึงยังคงมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนคนไทยทั่วไปทุกประการ
ที่ผ่านมา ในระหว่างการหาเสียง ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งก็แสดงความเห็นอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้สมัคร ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน

ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยหาเสียงนั่นเอง และก็ไม่มีใครว่าอะไร
ที่ถูกเพ่งเล็งและเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมาก็คือการไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติในเรื่องนี้
ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคพลังประชาชนเคยถามกกต.ว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทำอะไรได้แค่ไหน แต่กกต.ก็ตอบมาอย่างกำกวม
กกต.บอกว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่พึงทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค
แล้วก็เกิดการตีความเลยเถิดเลอะเทอะไปว่า รวมถึงการห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ขึ้นเวทีหาเสียงหรือเดินตามช่วยหาเสียงด้วย

เมื่อกกต.ตีความอย่างกำกวม พรรคการเมืองและนักการเมืองก็กลัวจะได้ใบเหลือง ใบแดงจึงไม่กล้าให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งขึ้นเวทีหรือช่วยหาเสียง
นอกจากนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ ก็มักถูกขอร้องไม่ให้ไปหาเสียงให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร ถึงแม้จะอยู่คนละเวทีกันก็ตาม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับแม้แต่น้อย
ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คงต้องมาดูว่าการช่วยหาเสียงเป็นการกระทำตามหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่

กกต.ใช้ตรรกะว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ช่วยลูกพรรคหาเสียง เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงย่อมกำลังทำเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่
เมื่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารแล้วมาทำอะไรเสมือนเป็นกรรมการบริหารจึงผิดกฎหมาย
แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้เกิดการห้ามในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และอาจนำไปสู่การลงโทษคนทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น หมอที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป์ย่อมถูกห้ามสั่งจ่ายยาที่เป็นอำนาจของหมอ ห้ามผ่าตัดคนไข้
แต่หมอที่ถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับคนไข้ หรือห้ามทายาแดงให้คนไข้หรือเช็ดตัวให้คนไข้เพราะใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้
จะบอกว่าเวลาหมอตรวจคนไข้ต้องคุยกับคนไข้ เพราะฉะนั้นใครคุยกับคนไข้ย่อมทำเสมือนเป็นหมอไม่ได้

พลเมืองไทยจะถูกห้ามทำอะไรก็ด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่กกต.ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งช่วยผู้สมัครหาเสียงจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากฎหมาย
ว่ากันตามกฎหมาย กรณี “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” - “กรณี111- 109” ช่วยผู้สมัครหาเสียง ไม่เป็นเหตุให้กกต.สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรายใดได้เลย
การไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ที่แย่คือ จะบอกว่ากกต.ไม่มีอำนาจก็ไม่ได้ เพราะ กกต.อาจให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้
กกต.สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานว่าได้ทำอะไรผิดหรืออาจตัดสินตรงข้ามกับพยานหลักฐานก็ได้ และเมื่อตัดสินแล้วก็สิ้นสุด
และนี่คือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมของประเทศนี้ที่ให้อำนาจคนเพียง 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้
กรณีคุณยิ่งลักษณ์นี้จึงขึ้นอยู่กับว่ากกต.จะประเมินความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดจากการไม่รับรองหรือการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์อย่างไร

เมื่อเป็นอย่างนี้ ความไม่น่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในรัฐบาลใหม่ในสายตาของชาวโลกจึงเกิดขึ้นและกำลังเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง
ถ้าการแขวนคุณยิ่งลักษณ์จะมีประโยชน์อยู่บ้างก็คือ เป็นการที่กกต.ได้ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าการที่ประชาชนจะกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลไม่ง่ายเลย
ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังได้รับการเตือนแล้วว่าการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยก็ดี รัฐบาลที่
ประชาชนเลือกมาก็ดี ไม่ราบรื่นและยังจะมีอุปสรรคได้อีกมาก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************

อัมสเตอร์ดัม: ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดเครื่องบินโบอิ้ง 737..!!?

ในอาทิตย์นี้ตั้งแต่เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชถูกเจ้าหน้าที่ทางการเยอรมันยึด ได้มีข่าวลือหลายเรื่องที่พยายามเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ โดยมีการอ้างว่า ผมมีบทบาทเกี่ยวกับการที่เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยึด

ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนเลยว่า ข้อกล่าวหาจอมปลอมดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีมูลความจริงใดๆทั้งสิ้น กลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว คือเพียงผลผลิตของคนที่มีจินตนาการเกินจริงและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตัดขาด จาก “การเมืองแบบคร่ำครึ” ที่ครอบงำประเทศไทยมาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ได้ บุคคลเหล่านี้คือกลุ่มที่รู้สึกอบอุ่นใจกับการปกครองแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งขัดกับเจตจำนงทางประชาธิปไตยของปวงชน และเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่เคยชินกับความมืดมิดสกปรกโสมมของการเมืองไทย และเลือกที่จะเชื่อเรื่องโกหกหลอกลวงและไม่มีมูลเพื่อใช้ป้ายสีและให้ร้าย ฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะเชื่อความจริงที่มีหลักฐานยืนยัน

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
/////////////////////////////////////

ประชาธิปัตย์ในลู่เลือกตั้ง 20 ปี รบ 7 ครั้ง แพ้ 6 ครั้ง..!!?

การจับมือจัดตั้งรัฐบาล"ยิ่งลักษณ์ 1" มีผลโดยพฤตินัยแล้วตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554
เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" และพวก "ชนะ" การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 10 ปี
เป็นรอบปีที่ฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี
หากนับจาก "รัฐบาลชวน 1" ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อ 13 กันยายน 2535 จากนั้นจนถึงเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ประชาธิปัตย์ตกเป็น "ฝ่ายแพ้" มาโดยตลอด

ครั้งนั้น "นายชวน หลีกภัย" เป็นหัวหน้าพรรค ได้เสียง ส.ส.เข้าสภาอันดับ 1 จำนวน 79 เสียง จัดรัฐบาลผสม 5 พรรค ร่วมกับพรรความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม และพรรคเอกภาพ
ครั้งนั้น พรรคชาติไทยของนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นฝ่ายค้าน เพราะแพ้พรรคประชาธิปัตย์ไป 2 ที่นั่ง
แต่หลังจาก พ.ศ. 2535 แล้ว อาจนับได้ว่าประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งอย่างต่อเนื่องถึง 6 ครั้ง
ในการเลือกตั้งสมัย 2 กรกฎาคม 2538 พรรคชาติไทยทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งครั้งที่ 1

นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ด้วยเสียง 92 ที่นั่ง ร่วมกับรัฐบาลผสม 7 พรรค 233 เสียง
จัดคณะรัฐมนตรีร่วมกับพรรคความหวังใหม่, กิจสังคม, พลังธรรม, ประชากรไทย, นำไทย และพรรคมวลชน
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เป็นครั้งแรกด้วยเสียงในสภาผู้แทนฯจำนวน ส.ส. 86 ที่นั่ง
ต่อมาในสมัยเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 พรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้ การเลือกตั้งครั้งที่ 2 ให้กับพรรคความ หวังใหม่
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยจำนวน ส.ส. 125 คน ได้ ส.ส.เกิน 100 คน 2 พรรคเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ

"รัฐบาลบิ๊กจิ๋ว" จัดคณะรัฐบาลผสมร่วมกัน 6 พรรค คือ กิจสังคม, ประชากรไทย, ชาติพัฒนา, เสรีธรรม และพรรคมวลชน
ปี พ.ศ.นั้นฝ่ายประชาธิปัตย์แพ้ เลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส. 123 เสียง แพ้พรรคสัญลักษณ์คนอีสานจำนวน 2 ที่นั่งเท่านั้น
แต่จากนั้น 1 ปีถัดมา พฤศจิกายน 2540 ก็เกิดอุบัติเหตุ "ลอยตัวเงินบาท"
บิ๊กจิ๋ว-แพ้ภัยเศรษฐกิจทรุดต้องประกาศลาออกคาตึกไทยคู่ฟ้า ต่อหน้าม็อบที่มาให้กำลังใจเต็มสนามหญ้า หน้าทำเนียบรัฐบาล

จึงเกิด "รัฐบาลชวน 2" ท่ามกลางความผันแปรในพรรคร่วมรัฐบาล ที่พยายามพลิกเกมเอาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่เกิดปรากฏการณ์ "พลิกขั้ว" พรรคกิจสังคมถอนตัว และเกิดประวัติศาสตร์ "งูเห่า" จากประชากรไทย 12 เสียงไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลหนุนให้ "ชวน" เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 พร้อมชู "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" แก้พิษค่าเงินบาท
จากนั้นจึงบังเกิด "พรรคไทยรักไทย" ขึ้นในการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544
แม้ตั้งพรรคครั้งแรก แต่ "พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" ก็ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ประชาธิปัตย์เป็นครั้งที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง land slide 248 เสียง

การจัด "รัฐบาลทักษิณ 1" จึงมีองค์ประกอบพรรคร่วมรัฐบาลเพียง 3 พรรค คือ ไทยรักไทย ความหวังใหม่ และ ชาติไทย แล้วจึงปฏิบัติการ "ควบรวม" พรรคเล็กเข้าร่วมชายคาไทยรักไทย
พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งด้วยเสียงเพียง 97 เสียง ประจำการในฝ่ายค้านตลอดสมัย 4 ปีเต็มวาระเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
การเลือกตั้งสมัยต่อมา 6 กุมภาพันธ์ 2548 "ทักษิณ" ก็ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 4
ไทยรักไทยชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ด้วยเสียง land slide 377 เสียง "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำสมัยที่ 2 จัดรัฐบาลพรรคเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยประชาธิปไตย
แม้ชนะเลือกตั้งท่วมท้น 377 ต่อ 96 เสียงของประชาธิปัตย์ แต่ทำให้รัฐบาล "ทักษิณ" อายุสั้นเพียงปีเศษ

กระดานการเมืองถูก "ทหาร" ยึดครอง เว้นวรรคไป 1 ปี ไทยรักไทยและพวกถูกยุบพรรค นักการเมือง 111+109 คนถูกตัดสิทธิเว้นวรรคทางการเมือง
จึงเกิดการเลือกตั้งสมัย 23 ธันวาคม 2550 หลังแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 5
นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ยังมีราก-ไทยรักไทยเต็มต้น ชนะเลือกตั้งด้วยเสียง 233 เสียง
รัฐบาล "สมัคร" จัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค รวม 315 เสียง คือ ชาติไทยพัฒนา, เพื่อแผ่นดิน, มัชฌิมาธิปไตย, รวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรค ประชาราช

แต่รัฐบาล "สมัคร" ก็อายุสั้นเพราะพิษผลประโยชน์ทับซ้อน "สมัคร" พ้นจากตำแหน่งเพราะ "คำพิพากษา" ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการรับจ้างทำของ-จัดรายการชิมไปบ่นไป
สภาผู้แทนฯจึงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในร่มเงา "ชินวัตร"
เกิด "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์" ในวันที่ 12 กันยายน 2550
เพียง 1 ปีหลังจากนั้น "รัฐบาลสมชาย" ก็มีอันเป็นไปด้วยพิษยุบพรรคพลังประชาชนปลายปี 2551
จึงเกิดการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์+เพื่อนเนวิน

"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2551-9 พฤษภาคม 2554 ด้วยจำนวนเสียงโหวตในสภาผู้แทนฯ 235 เสียง จาก 3 พรรคร่วมรัฐบาลเก่า+1 กลุ่มเนวิน
กระทั่งการเลือกตั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยของฝ่าย "ทักษิณ" โดยกระแสของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 20 ปี ด้วยจำนวนเสียงเพื่อไทย 265 ต่อ 159
เป็น 2 ทศวรรษในรอบการเลือกตั้ง 7 ครั้ง ที่ประชาธิปัตย์แพ้ถึง 6 ครั้ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด โบอิ้ง 737 !!?

ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด737
ระดมหลักฐานสู้คดีเยอรมันยึด737 ศาลเลื่อนนัดตัดสินคำขอเพิกถอน18ก.ค.

“มาร์ค” โต้บริษัทเยอรมันยื่นข้อมูลเก่า แต่ได้ร้องค้านถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์แล้ว สั่งอธิบดีหอบเอกสารยันทะเบียนไม่ใช่ของ ทอ. คาดรู้ผล 18 ก.ค.นี้ พร้อมเล็งหามาตรการตอบโต้บริษัทคู่กรณี เพื่อปกป้องเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศ ยืนยันคดีฟ้องร้องยังไม่ถึงที่สุด หากตัดสินมาอย่างไรก็ไม่เบี้ยว ด้านกระทรวงบัวแก้ว แจงศาลเยอรมันขอเอกสารเพิ่มเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์ โดยเร่งส่งเอกสารไปเร็วที่สุด เพื่อให้ศาลนัดพิจารณาใหม่

ความคืบหน้ากรณีศาลประเทศเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 เพื่อชดใช้หนี้บริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ แม้ต่อมากองทัพอากาศยืนยันเครื่องบินลำดังกล่าวได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะใช้ในภารกิจตามพระราชอัธยาศัยเมื่อปี 2550 สมัยที่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็น ผบ.ทอ. และสถานะของเครื่องบินเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่ใช่ของกองทัพอากาศ หรือรัฐบาลแต่อย่างใดแล้วก็ตาม

ต่อมาเมื่อเวลา 09.25 น.วันที่ 16 ก.ค. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลเยอรมันยังไม่ตัดสินคดีที่ทางการไทยขอให้เพิกถอนการอายัดเครื่องบินโบอิ้งส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร ว่า เมื่อคืนวันที่ 15 ก.ค.หลังจากที่เรายื่นเรื่องให้ศาลเพิกถอนการอายัดที่เดิมคิดว่าศาลจะสามารถตัดสินได้เลย แต่ปรากฏว่าฝ่ายบริษัทของเยอรมันได้ไปยื่นเอกสารคัดค้าน ทำให้ศาลต้องพิจารณาเอกสารต่างๆและนัดพิจารณาตัดสินในวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดของเราได้ไปประจำอยู่ที่เยอรมันแล้ว และวันนี้ตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศเดินทางไปสมทบ เพื่อดูเอกสารของฝ่ายบริษัทเยอรมันที่ยื่นคัดค้านเพื่อจะได้หักล้างกัน เข้าใจว่าเป็นการยื่นเอกสารข้อมูลเก่าในช่วงที่เครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ซึ่งยังคาดว่าวันที่ 18 ก.ค. ศาลจะสามารถที่จะตัดสินได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการเยอรมันออกแถลง การณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บังเอิญเป็นเรื่องเอกชนและศาลทางการเขาไม่อาจก้าวล่วงได้ ขณะเดียวกัน ได้มีการช่วยอำนวยความสะดวกประสานงานกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศตลอด ซึ่งพบกับ รมว.ต่างประเทศของเยอรมันแล้ว รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้เป็นการปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของประเทศไทยด้วยในแก้ไขปัญหา สิ่งที่เขาดำเนินการไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ซึ่งตนยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และถ้าคดีถึงที่สุดเมื่อไหร่ประเทศไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว รัฐบาลไทย ประเทศไทยไม่ได้หายไปไหน หรือหนีไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นเลยที่จะต้องมาดำเนินการในลักษณะนี้

เมื่อถามว่า นายกฯมั่นใจในหลักฐานที่ยื่นเพิ่มเติมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราได้แสดงชัดเจนว่าทะเบียนเครื่องบินที่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าบริษัทไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และอ้างว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องของกองทัพอากาศ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลเก่า

ต่อข้อถามว่า นายกฯกังวลเรื่องจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้มีความชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเอกชนและรัฐบาลเยอรมันไม่สามารถไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ได้แสดงท่าทีออกแถลงการณ์และได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยตลอด ไม่มีเหตุผลใดที่จะมากระทบกับความสัมพันธ์ใดๆทั้งสิ้น แต่เอกชนรายดังกล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างกับการที่มาดำเนินการเรื่องนี้ เพราะศาลตัดสินเมื่อวันที่ 12 ก.ค.โดยไม่ได้ไต่สวน เป็นลักษณะคำขอเร่งด่วน และเราเพิ่งยื่นเอกสารเพิกถอนไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่ทางบริษัทเพิ่งยื่นเอกสารก่อนศาลนัด 2 ชั่วโมง ทำให้ศาลต้องอ่านเอกสารของบริษัท และต้องเลื่อนไปตัดสินคำขอเพิกถอนของไทยวันที่ 18 ก.ค.

นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลความคืบหน้ากรณีศาลเยอรมนีพิจารณาคำร้องคัดค้านการอายัดเครื่องบินว่าศาลเยอรมันได้ขอให้ฝ่ายไทยส่งข้อมูลและเอกสารเพื่อยืนยันความเป็นกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมต่อศาล ซึ่งขณะนี้อัยการสูงสุดกำลังเร่งประสานและดำเนินการอยู่ ดังนั้น ในวันนี้พรุ่งนี้จึงคงยังไม่สามารถมีคำตัดสินได้ เนื่องจากยังต้องรอเอกสารดังกล่าวเพิ่มเติมจากฝ่ายไทย ส่วนช่วงเวลาที่ศาลเยอรมันจะนัดพิจารณาในครั้งต่อไปนั้น อยู่ที่ฝ่ายเราจะสามารถส่งเอกสารที่ต้องการเพิ่มเติมไปได้เร็วที่สุดเมื่อไร ที่ผ่านมาเมื่อฝ่ายไทยส่งเรื่องไป ทางเยอรมนีก็รีบดำเนินการให้โดยเร็ว

ที่มา: ไทยรัฐ
------------------------

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คืบหน้า ฮ.ตก เป็นรุ่นที่ใช้งานมาแล้วกว่า30ปี

เฮลิคอปเตอร์ ฉก.ทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ ที่ตกเป็นเฮลิคอปเอตร์แบบ ฮท.1 UH-1H หรือ ฮิวอี้ (Huey) สังกัดกองบินปีกหมุนที่2 เป็นเฮลิคอปเตอร์ 1 ใน 2 ลำที่ยังใช้การได้ของฉก.ทัพพระยาเสือ ประจำการใช้งานมาแล้วกว่า 30 ปี ฮ.รุ่นเดียวกันของหน่วยบิน 9201กองกำลังทางอากาศเฉพาะกิจที่ 9 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี บินในสภาพอากาศเลวร้ายและชนภูเขาที่ บ.สุตันตานนท์ ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา และในปีเดียวกันวันที่ 4 ต.ค.51 ฮ.รุ่นเดียวกันรหัส ทอ.29/15 หมายเลขประจำเครื่อง 20347 ประสบอุบัติเหตุตกบนภูกระดึง จ.เลย UH-1H หรือ ฮิวอี้ (Huey) กองทัพไทยรับมอบเข้าประจำการในปี 2511 โดยมีภารกิจคือค้นหาและกู้ภัย, สนับสนุนการโทรคมนาคม, สนับสนุนหน่วยภาคพื้นดิน สามารถบันทุกผู้โดยสารได้16คน

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++

วงโคจรดาวเทียม ที่ 120 องศา กำลังถูกยึด!!?

ไทยกำลังจะถูกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ยึดวงจรดาวเทียม
แม้กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ก้มลงคุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาเป็นสายเลือด ITU ก็ประกาศเฉียบขาดไม่ยอม...อีกแค่ 4 เเดือน ข้างหน้า สิ้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง

วงจรดาวเทียมไทยที่ระยะ 120 องศา ถูกยึดแน่นอน...นอกจากไทยต้องยิงดาวเทียมเข้าสู่ตำแหน่งนั้น หรือจะทำอย่างไรก็ได้ ต้องมีดาวเทียมในตำแหน่งนั้นให้ได้...ก่อนจะถึงเส้นตาย

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีทางเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินได้ จนกว่าจะครึ่งหลังเดือนสิงหาคมไปแล้ว เพราะขบวนการเข้าสู่อำนาจเป็นรัฐบาลบังคับ
จำเป็นต้องตะโกนดังๆ บอกพรรคเพื่อไทยและคนไทยเอาไว้ ไทยกำลังจะถูกยึดตำแหน่งดาวเทียม เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาลและความเชื่อถือของชาติอย่างยิ่ง...ไทยอาจเป็นชาติแรกที่ถูกยึด

ITU ไม่ยอมผ่อนปรนจะยึดให้ได้ก็เพราะกว่า 100 ประเทศอยากได้ตำแหน่งดาวเทียมของไทย โดยเฉพาะจีนกับญี่ปุ่นจะเอาให้ได้

เพราะตำแหน่งดาวเทียมที่ระยะ 120 องศา เป็นตำแหน่งดีเยี่ยมเพียงไม่กี่ตำแหน่งเหนือโลก ที่ดาวเทียมมีรัศมีครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลและบนแผ่นดินกว้างใหญ่
นอกจากทางพาณิชย์ ยังเยี่ยมด้วยการอำนวยประโยชน์การเดินเรือและเดินอากาศ แถมเป็นประโยชน์แก่ยุทธศาสตร์ทางทหารมหาศาล ใครล่ะไม่อยากได้

การเสียประโยชน์วงจรดาวเทียมจุดนี้เป็นเรื่องบ้าปนเศร้าสุดบรรยาย มันเกิดเพราะเงินหรือประโยชน์มหาศาลจากระบบโทรศัพท์ 3G ที่บัดนี้มันยังเป็นความลับดำมืด

แต่มีผลทำให้ศาลปกครองสั่งว่า...คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่มีอำนาจออกใบอนุญาติ 3G ต้องรอให้ตั้ง กสทช.ขึ้นแล้วกสทช.เป็นผู้ออก

มีผลทำให้ กทช. หรือแม้ กสทช. ที่ตั้งขึ้นแล้วแต่ยังไม่มีสิทธิเต็ม100% ออกใบอนุญาติประกอบการดาวเทียม ณ จุด 120 องศา ให้แก่ กสท.ที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการได้

เราไม่อยากให้รัฐบาลอภิสิทธิทิ้งท้ายจากไปด้วยความทรงจำเลวร้าย...ประเทศไทยถูกริบวงจรดาวเทียมเสียประโยชน์ของชาติย่อยยับมหาศาล

เป็นไปได้ใหมที่รัฐบาลรักษาการรีบขอให้ศาลปกครองให้ความคุ้มครองชั่วคราวเป็นการด่วน ให้ออกใบอนุญาติประกอบการดาวเทียม ณ จุดนี้ ให้แก่ กสท.ได้

จะได้รีบไปซื้อดาวเทียมหรือเช่าก็ได้จากดาวเทียมที่ยิงขี้นไปโคจรอยู่บนฟ้าอยู่แล้วลากเข้าสู่จุด120 องศา เพื่อรักษาสิทธิของประเทศไทยเป็นการด่วน

ถ้ารัฐบาลรักษาการทำไม่ได้หรือลังเล คุณยิ่งลักษณ์ต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ ให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาแก้ไขด่วนจี๋...ไฟลนก้นเต็มทีเรากำลังจะถูกริบแล้ว

ในประเทศไทยเรานั้น ไม่มีใครรู้เรื่องดาวเทียมดีเท่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร หรอก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////

คิกออฟรัฐบาลใหม่ กับดักล้ำหน้า โรดแมป ทักษิณคิดเพื่อไทย ทำ !!?

คำพูดย่อมเป็นนายของตัวเอง!!! ยิ่งเป็นสัญญา “หน้าข้าว หน้าเหล้า” ที่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้นจากประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เกินครึ่งประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ไม่ต่างจากจุดศูนย์รวม ความหวัง

n ด่านแรกสาง 6 ภารกิจเร่งด่วน
เป็นธรรมดา เมื่อประชาชนมีความคาดหวังสูง ถ้าสิ่งที่ประกาศออกไปไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ความคาดหวังเหล่านั้น ย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ว่าจะนำมาซึ่งทฤษฎีหัวกลับ กระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความ ช้ำมาก ความผิดหวังมาก หรืออาจถึงขั้นดำเนินไปถึงความเกลียดมันก็มีทางเป็นไป ได้ทั้งนั้น???
ส่งผลให้ ภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ อันประกอบด้วย
1.การยกเลิกเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เฉพาะน้ำมันบางชนิด อาทิ เบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาท เบนซิน 91 ลดลง 6.50 บาท ดีเซล ลดลง 2.20 บาท
2.การแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง
3.การจัดทำระบบประกันสุขภาพใหม่
4.การแก้ไขปัญหายาเสพติด
5.การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศ เพื่อนบ้าน
และ6.การดำเนินการตามแผนการปรองดอง..
กำลังตกเป็นที่จับจ้องจากสายตาสาธารณชนทั่วสารทิศ ด้วยศักยภาพของรัฐบาล ผ่านม็อตโต้หาเสียง “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย” ทำ จะทำได้ไม่ได้ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แจ้งกระจ่างชัดและเห็นจริงแล้วคือ ประชาชนต่างมีคำตอบในใจที่ปรากฏชัดตามคำโฆษณาชวนเชื่อบนป้ายหาเสียงไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน “ทักษิโณมิกส์” แล้ว

n เดิมพันข้าวยากหมากแพงที่ต้องก้าวข้าม
อย่างไรก็ดี หากจับจากภารกิจเร่งด่วน 6 ประการ ด้วยประสบการณ์บริหาร ภายใต้กรอบ “ทักษิโณมิกส์” เชื่อว่า 4 ใน 6 ภารกิจ ไม่น่าจะยากเกินมือของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1” แต่ 2 ภารกิจที่เหลือถือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ถือเป็นจุดสลบตัวจริงของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และว่ากันว่า ด้วยปมปัญหาดังกล่าว มันมีอานิสงส์ในการตัดสินใจให้กลุ่มคนที่ยังไม่เลือกใคร เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยจนเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์..ถ้างานนี้ แก้ปัญหาไม่ได้ดังที่ประชาชนคาดหวัง คลื่นสึนามิลูกเดียวกัน มันย่อมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ที่อาจจะม้วนหางกลับไปสั่นคลอน เสถียรภาพรัฐบาลเพื่อไทยเช่นกัน

n ยาดำโรดแมปปรองดองฉบับสีแดง
อีกหนึ่งภารกิจเร่งด่วนที่ถือว่าหินไม่แพ้กัน นั่นก็คือการดำเนินการตามแผน การปรองดอง แม้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะย้ำในทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการชุดของ “คณิต ณ นคร” เป็นผู้ดำเนินการ แต่เนื่องด้วยวาระปรองดองยังคงดังคาบเกี่ยวคู่ขนานมากับ “วาระนิรโทษกรรม” ที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจับจ้องอย่างจดจ่อและตาเป็นมัน ถึงตรงนี้ หากเผอิญบทสรุปสุดท้าย ลงเอยด้วยการปลดล็อกข้อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนเวลาใด ฝ่ายที่ไม่เอา “ระบอบ ทักษิณ” ก็พร้อมจะลุกขึ้นมาคัดค้านได้ในทุกเงื่อนเวลาเช่นกันนั่นรวมไปถึงการเขย่าโผคณะรัฐมนตรี หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 1” ที่สถานการณ์เริ่มใกล้เคียงบรรยากาศ “แดงเดือด” เข้าไปทุกขณะจิต เนื่องด้วยมีการเล่นกำลังภายในระหว่างคนกันเองของนักเลือกตั้งและแกนนำ นปช. ไม่มีแดง ไม่มีเพื่อไทย หรือ ไม่มีเพื่อ ไทย ก็ไม่มีแดง นั้นไม่มีใครทราบ??? แต่ที่ทุกฝ่ายแม้กระทั่ง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” หรือแม้กระทั่ง “ปู-ยิ่งลักษณ์” ทราบและรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว คือหากมวยฮาร์ดคอร์อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รวมไปถึง “น.พ.เหวง โตจิราการ” ได้รับการปูนบำเหน็จ มันจะมีผลสั่นสะเทือนไปถึง “โรดแมปปรองดองฉบับสีแดง” มากน้อยเพียงใด

n หลุมดำสัญญาใจค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท
นอกจาก 6 ภารกิจเร่งด่วน ยังมี นโยบายขายฝันอีกหลายโครงการ ที่เริ่มถูกท้าทายว่าเป็นเพียงนโยบายภาพเสมือนจริง ที่ยากจะจับต้องได้ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ คิกออฟ 1 มกราคม 2555 ดูเหมือนจะเป็นนโยบายที่กำลังเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” อย่างมากในวงสังคมไทย แม้นักธุรกิจเมืองขอนแก่น จะเดิน หน้าขานรับเป็นรายแรก ด้วยการปรับฐาน ค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เสียงดังกล่าวก็ดูเหมือนจะด้อยราคา ลงในทันที พลันที่ “บุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภครายใหญ่ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าว อย่างเผ็ดร้อน“เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ รัฐไม่ควรดำเนิน นโยบายเช่นนี้ หากทำจริงจะเป็นเรื่องที่เสียหายมาก ระบบจะพัง นักลงทุนจะหนีหายหมด เหมือนกับกรณีที่นักลงทุนจีนหนี มาลงทุนในตลาดไทย เพราะประเทศจีนมี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ”นั่นรวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีก มากมาย ที่มองกันว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจเอส เอ็มอีก ที่มีกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ
แม้งานนี้ หลายฝ่ายจะมองว่า การผ่านนโยบายดังกล่าวในขั้นคณะกรรมการ ไตรภาคี ที่ในอดีตไม่ต่างจากปราการสกัด ดาวรุ่งการขึ้นค่าแรง จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ เมื่อมีแนวโน้มว่าภาครัฐจะจับมือกับฝ่ายผู้ใช้แรงงาน แต่มันก็ยังมีคำถามย้อน กลับไปอีกว่า หากเจ้าของกิจการอยู่ไม่ได้ แล้วใครกันเล่าจะเข้ามาโอบอุ้มแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ 300 บาท ประเด็นร้อนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จึงกลายเป็นด่านหินในการพิสูจน์ฝีมือ การบริหารประเทศของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ภายใต้แคมเปญ “ทักษิณ”คิด..“เพื่อไทย” ทำ..ได้เป็นอย่างดี!!!

n พันธกิจหินสานเมกะโปรเจกต์
ข้ามช็อตไปที่เมกะโปรเจกต์ที่พรั่งพรู ออกมาแบบรายวันในช่วงหาเสียง จับเฉพาะ โครงการเด่นๆ ที่ประกาศออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท เชื่อมรถ เรือ บีทีเอส บีอาร์ที ที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านป้ายคัตเอาต์หาเสียง โครงการนี้ถือว่าถูกปรามาศอย่างหนักจาก พรรคประชาธิปัตย์ ว่าไม่มีทางจะบริหารจัดการให้คุ้มทุน เพราะรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินแต่ละสาย ลงทุนสายละเป็นหมื่นล้าน มันจึงยากและยากยิ่งกว่า หากจะข้าม ช็อตไปคิดถึงเรื่องผลกำไร และนี่ก็คืออีกด่านสกัดที่จะวัดฝีมือ “ทักษิโณมิกส์” ว่าจะยังคงความขลังเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป หรือไม่???

n ข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนบนแท็บเล็ตเด็ก “ป.1”
ตัดสลับมาที่นโยบายประชานิยมด้านการศึกษา ล็อกเป้าไปที่วาระแจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้คู่เทคโนโลยีอันกว้างไกล แต่สุดท้ายก็ทอดยอดกลายเป็นข้อครหาเก่าๆ ดั้งเดิมใน “วาระซ่อนเร้น ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ต้องกระเด็นตกเก้าอี้มาแล้วครั้งรัฐบาลไทยรักไทย เงื่อนไขอะไรไม่ต่างจากเหตุการณ์ ในวันวาน เมื่อเป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องไป ถึงธุรกิจคมนาคม ทั้งผู้ให้บริการ และผู้ผลิต สินค้า หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นเสริมซึ่งจะเสริมสร้างการเรียนรู้ ที่เมื่อเอา มาเกลี่ยๆ ดู ก็จะพบว่ามีเอกชนเพียงไม่กี่รายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการแข่งขันวันนี้ แม้ในภาคปฏิบัติจะยังคงไม่บังเกิด แต่จากแผลเก่าที่เคยปรากฏ “รัฐบาล เพื่อไทย” จึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการตั้งรับการตรวจสอบที่จะมาถึง!!!

n จับตาของร้อนหวยออนไลน์
ต่อจิ๊กซอว์มาที่ของร้อนที่ถูกตั้งแท่นไว้เรียบร้อยโดย “รัฐบาลเทพประทาน” นั่นคืออภิมหาโปรเจกต์มาราธอน “หวยออนไลน์” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรุสมบัติที่จะใช้เป็นกลไกในการหาเม็ดเงินมาอุดรอยรั่วจากการทุ่มทุนในเมกะโปรเจกต์ ซึ่งขณะนี้ หากใครไม่เข้าใจถึงเงื่อนไขว่า มีการตั้งแท่น เอาไว้แล้วจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา การสาน ต่อโดย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ซึ่งมีพี่ชายอย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ” เป็นต้นความคิด มันย่อมสุ่มเสี่ยงอีกครั้งที่โครงการเจ็ดชั่วโคตรนี้ จะต้องเผชิญกับการคัดค้าน โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวของกองทัพ ธรรมอันมีคู่แค้นเก่าเจ้าเดิม “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เป็นแกนนำ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์คัดค้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว อีกหนึ่งแรงปะทะ อันทอดยอดมาจากการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ คงไม่แคล้ว การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐผ่านการจัดเก็บภาษี ที่มีแนวโน้มว่าภาษีบาปจะต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ นั่นย่อมเท่ากับว่า รัฐบาล ใหม่ อาจสุ่มเสี่ยงกระทบกระทั่งกับบริษัทน้ำเมา ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับขั้วอำนาจเก่าอีกครั้ง ซึ่งผลดีผลร้ายจะลงเอยอย่างไร มันก็ไม่ต่างจากการสร้างศัตรูอันเป็นมหาทุนในทางคู่ขนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ไม่พ้น

n หมากสุดท้ายวัดใจกองทัพ
นี่นับเฉพาะเชิงนโยบายขายฝัน ยังปรากฏแนวปะทะ ป้อมปราการทั้งพ่อค้านายทุน นักเคลื่อนไหว นักเลือกตั้ง ที่พร้อม จะเตะตัดขา “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้หกล้มจนหัวคะมำและหากนับรวมฝ่ายอำนาจพิเศษ ที่ หลายฝ่ายกำลังจับจ้องไปที่เก้าอี้ รมว. กลาโหม ซึ่งค่อนข้างมีผลไปถึงแนวทางการเคลื่อนของกองทัพที่ยังเป็นปริศนา ถือว่าทุกย่างก้าวต่อจากนี้ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มันย่อมไม่ใช่งานง่าย เพราะบังเกิดสารพัดงานงอก กับดักล้ำหน้า ถูกวางไว้ทุกหย่อมหญ้า ปริมณฑลการเมือง โรดแมป “ทักษิณ” คิด..“เพื่อไทย ทำ” กำลังเจอบททดสอบใหญ่ หากคนที่อยู่ต่างประเทศไม่เรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต และคิดใหม่ทำใหม่..อีกครั้งมันก็คงไม่ง่าย ที่ “กองทัพปูแดง” จะก้าวผ่านป้อมปราการเหล็ก 7 ชั้น.. ไปได้พ้น???

ที่มา.สยามธุรกิจ
******************

ทัพพม่าส่งเครื่องบินรบข่มทหารไทใหญ่ เหนือ. ขณะสองฝ่ายรบกันเดือด!!?

กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบ MIG-29 ข่มขวัญกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" ขณะที่การสู้รบสองฝ่ายตลอดช่วง 3-4 วันเป็นไปอย่างดุเดือด ฝ่ายทหารพม่ามีการเสริมกำลังและเกณฑ์ลูกหาบต่อเนื่อง
ทหารกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" ในพื้นที่สู้รบ "ดอยน้ำปุ๊ก" ในรัฐฉาน (ที่มา: SSPP/SSA / สำนักข่าวฉาน)
มีรายงานว่า บ่ายวานนี้ (13 ก.ค.) กองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้ส่งเครื่องบินรบไปบินวนเวียนเหนือพื้นที่เมืองเกซี เมืองไหย๋ และเมืองสี่ป้อ ในรัฐฉานภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' (SSPP/SSA) และเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างทหารพม่ากับทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" โดยไปบินวน 3 ครั้ง เมื่อเวลา 14.00 น. 1 ครั้ง เวลา 15.00 น. 1 ครั้ง และ เวลา 16.00 น. อีก 1 ครั้ง

ขณะที่เจ้าหน้าที่กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' คนหนึ่งเปิดเผยว่า เครื่องบินรบกองทัพพม่าชนิด MIG-29 ผลิตในรัสเซียจำนวน 2 ลำ ไปบินวนใกล้กับจุดที่กำลังมีการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" บริเวณดอยน้ำปุ๊ก ทิศเหนือบ้านไฮ ในเขตเมืองเกซี เมื่อช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. โดยเครื่องบินรบ 2 ลำใช้เวลาบินวนอยู่นานประมาณ 30 นาทีก่อนบินกลับฐานทัพที่เมืองน้ำจาง ในรัฐฉานภาคใต้ ซึ่งไม่ได้มีการโจมตีหรือทิ้งระเบิดใส่ฐานกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" แต่อย่างใด

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' คนเดิมเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบไปบินเหนือพื้นที่เคลื่อนไหวกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" นับตั้งแต่เกิดการสู้รบของทหารพม่าและกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North'ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่ากองทัพพม่าต้องการข่มขวัญกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารพม่าในพื้นที่
ขณะที่มีรายงานว่า การสู้รบระหว่างทหารพม่ากับทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 12 ก.ค. มาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่ายอย่างหนักและเกิดขึ้นหลายจุดในเขตพื้นที่เมืองเกซี โดยทหาร SSA 'North' บุกยึดฐานทหารพม่าที่น้ำปุ๊ก ขณะที่ทหารพม่าระดมกำลังเข้าโจมตีฐาน SSA 'North' ที่ดอยไก่เผือก ซึ่งล่าสุดยังไม่มีรายงานตัวเลขการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA 'North' นำโดย ร.ท.จายจิ่ง สังกัดกองพันที่ 187 กองพลน้อยที่ 27 ปะทะกับทหารพม่าใกล้กับดอยน้ำปุ๊ก เขตเมืองเกซี ผลฝ่ายทหารพม่าเสียชีวิต 5 นาย เป็นนายทหารยศ ร.อ. 1 นาย ส.อ. 1 นาย และพลทหาร 3 นาย ต่อมาในช่วงดึกวันเดียวกัน ทหาร SSA 'North' บุกเข้าโจมตีฐานทหารพม่าที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านป่าคาใส ตำบลหนองแอ๊ด เขตเมืองสู้ ทั้งสองฝ่ายปะทะกันนานกว่า 30 นาที แต่ไม่มีรายงานการสูญเสียเช่นกั

ล่าสุดมีรายงานว่า ทหารพม่าได้เสริมกำลังจากหลายกองพันเข้าไปพื้นที่น้ำปุ๊ก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการสู้รบกันอย่างหนัก โดยกำลังทหารพม่าถูกส่งมาจากกองพันทหารราบเบาที่ 510, 518, 519 และกองพันทหารราบที่ 510 จากเมืองกึ๋ง และกองพันทหารราบที่ 67, 22 จากเมืองเกซี โดยขณะนี้ทหารพม่าได้ออกตระเวนเกณฑ์รถยนต์ชาวบ้าน และลูกหาบ สำหรับใช้ลำเลียงเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่สู้รบอย่างต่อเนื่อง

ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------

เยอรมนีแจง การอายัด 'โบอิ้ง 737' เป็น “หนทางสุดท้าย” ในการเร่งรัดหนี้

“วอลเตอร์ บาว” แจง การอายัดเครื่องบินเป็นมาตรการที่จำเป็น “เอพี” ชี้ ปกติเครื่องบินของรัฐบาลจะมีความคุ้มกันทางการฑูต แต่ในกรณีไทยอายัดได้เพราะใช้ส่วนตัว ฝ่ายจนท. เยอรมันเผย ได้เตรียมการอายัดอย่างลับมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว

สืบเนื่องจากการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นพระราชพาหนะส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ของบริษัทวอลเตอร์ บาว จากคำสั่งของคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีได้รายงานคำพูดของ โรเบิร์ต วิลเฮล์ม โฆษกของสนามบินมิวนิคว่า ในขณะนี้เครื่องบินลำดังกล่าวถูกศาลสั่งอายัดไว้แล้ว ซึ่งในขณะนี้จอดพักอยู่ที่สนามบินมิวนิค และเนื่องจากการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาพำนักที่ประเทศเยอรมนีอย่างบ่อยครั้งนั้น ทำให้พระองค์พลอยตกอยู่ในข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานไปโดยปริยาย

ทางโฆษกฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว, อเล็กซานเดอร์ โกร์บิง กล่าวว่า “มาตรการที่รุนแรง” ในการอายัดเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยนี้ เป็น “หนทางสุดท้าย” ในการที่จะเร่งรัดเงินค้างชำระ ซึ่งเป็นคำสั่งทางการเงินที่อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินไว้ในปี 2009

“การตามหาเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นไปอย่างซับซ้อนมาก และแน่นอนว่าต้องทำไปด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีสัญญาณเตือนหลุดออกไป” แวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายล้มละลายของบริษัทวอลเตอร์ บาว กล่าวในแถลงการณ์

เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ล้มละลายฝ่ายเยอรมนีได้เตรียมการที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ ยังระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว เครื่องบินของรัฐบาลจะมีสถานะทางการทูต ทำให้โดยส่วนใหญ่จะอยู่นอกเหนืออำนาจศาลจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขตามนั้นจะเป็นได้ก็ต่อเมื่อเครื่องบินถูกใช้ในทางการเท่านั้น ซึ่งไม่นับการใช้ในทางส่วนตัว

ทางกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีกล่าวต่อกรณีดังกล่าวว่า “เราเสียใจสำหรับความขัดข้องที่เกิดขึ้นแก่มกุฎราชกุมาร ที่เกิดขึ้นจากการอายัดดังกล่าว” และมิได้ให้ความเห็นใดๆ เพิ่มเติม

เอพีรายงานว่า เครื่องบินพระราชพาหนะลำดังกล่าว จอดนิ่งอยู่ในลานสนามบินเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีรูปที่แสดงถึงคำสั่งศาลที่ระบุว่า “ต่อราชอาณาจักรไทย ที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นผู้แทน” ติดอยู่บนประตูของเครื่องบิน ซึ่งสั่งห้ามไม่ให้มี “การเปลี่ยนแปลง, การนำไปใช้ หรือการลดมูลค่า (ของเครื่องบิน)”

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ลำดังกล่าวซึ่งสร้างขึ้นในปี 1995 น่าจะมีมูลค่าราว 5-6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีที่นั่ง 36 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับเครื่องบินโบอิ้งที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ทั่วไปซึ่งบรรจุที่นั่งราว 189 ที่นั่ง

ทั้งนี้ ชไนเดอร์ ได้กล่าวด้วยว่า เขาได้ใช้วิธีการอายัดเครื่องบินเพื่อเร่งรัดหนี้เช่นนี้มาแล้วในปี 2005 ในกรุงอิสตันบูล โดยได้อายัดเครื่องบินแอร์บัสของสายการบินมิดเดิ้ลอีสต์ เนื่องมาจากข้อพิพาททางการเงินระหว่างบริษัทวอลเตอร์ บาวและรัฐบาลเลบานอน

ที่มา.ประชาไท
*************************************

วิกฤตครั้งนี้ยูโร คือ การสิ้นสุดของระบบสกุลเงินยูโร !!?

สุรศักดิ์ ธรรมโม
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่าในต้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฏาคม 54 นั้นความกังวลในสถานการณ์หนี้สินสาธารณะยุโรปได้เพิ่มขึ้นมาก โดยตลาดกลับมากังวลสถานการณ์ในอิตาลีและสเปน หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้านั้นตลาดพึ่งคลายความกังวลจากการลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสโดยบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ผมมีคำอธิบายดังนี้

ผู้นำประเทศสำคัญในสหภาพยุโรป เช่น เยอรมันเริ่มแสดงออกถึงท่าทีล่าสุด ในการลดความตั้งใจในการรักษาความเป็นสหภาพยุโรป (EU) แล้ว

ซึ่ง “ความเป็นสหภาพยุโรป” เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่นว่า การปล่อยให้ กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ ล้มละลาย ไม่เพียงแต่ทำลายเงินสกุลเงินยูโรเท่านั้น หากแต่ทำให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปทรุดลงหนักจากผลของการล้มลงของสถาบันการเงินในเยอรมันและฝรั่งเศสเนื่องจากสถาบันการเงินใน 2 ประเทศ ได้ปล่อยกู้ให้แก่ประเทศดังกล่าวจำนวนมหาศาล
เงินสกุลยูโรจะถึงทางตั้นจริงหรือ? - ขอขอบคุณมากจาก wikipedia
นอกจากนี้ ในทางการเมือง การปล่อยให้ประเทศเหล่านี้ล้มลง คือการสิ้นสุด “สหภาพยุโรป” และ “เงินสกุลยูโร” โดยนัย และอาจจะนำพาเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง

ไม่ว่าว่าจะพิจารณาในด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองล้วนได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา ทำไม ผู้นำเยอรมันจึงเริ่มเลือกทางเช่นนั้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า การรวมกันเป็นสหภาพยุโรป เป็นมรดกทางความทรงจำในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรปล้วนได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการผนึกกัน

เมื่อเยอรมันตะวันตกต้องการรวมประเทศกับเยอรมันตะวันออก เยอรมันตะวันตกจำต้องสนับสนุนการผนึกกันยิ่งขึ้นไปของสหภาพยุโรปในรูปของสกุลเงินเดียวกันเพราะจะช่วยให้ประเทศอื่นๆในยุโรปซึ่งแต่เดิมกลัวเยอรมันเพราะได้รับผลลบจากคุกคามของเยอรมันในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งนั้น สนับสนุนการรวมชาติเยอรมัน

ปัจจุบัน สหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว เยอรมันรวมประเทศกันเป็นปึกแผ่นแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆที่ผนึกกันเป็นสหภาพสกุลเงินตราเดียวกันในชื่อ “ยูโร” จำนวนหนึ่งประสบกับปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นและปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้

หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จโดยที่ยังรักษาสกุลเงินยูโรอยู่ได้ คือการเป็น Transfer Union หมายความว่าประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เช่นเยอรมันและฝรั่งเศส ต้องช่วยรับภาระทางการคลังของประเทศที่อ่อนแอเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาระทางการคลังของกลุ่ม PIIGS ซึ่งประกอบด้วย กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักการเมืองเยอรมันไม่เห็นด้วย เพราะประเทศตัวเองพึ่งผ่านพ้นการรวมกันเป็นประเทศได้ไม่นาน และพึ่งชำระต้นทุนในการรวมตัวกันเป็นประเทศเดียวกันเสร็จสิ้นไม่กี่ปี

ในเชิงเศรษฐกิจ การรวมกันเป็น Transfer Union หมายความว่า ประชาชนในเยอรมันจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น และเยอรมันจะต้องนำเอาทรัพยากรทางเศรษฐกิจจำนวนมากไปจุนเจือกลุ่มประเทศ PIIGS ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงขนาดของเศรษฐกิจของกลุ่ม PIIGS แล้ว ถ้าเยอรมันเลือกทางดังกล่าว เยอรมันจะต้องยากจนลงอีกหลายสิบปี

ในเชิงการเมือง มีความเป็นไปต่ำมากที่ประชาชนเยอรมันจะสนับสนุน Transfer Union เพราะภาระจะกดทับมาที่ตนเองผ่านภาษีที่เพิ่มขึ้น และสวัสดิการที่ลดลง

แม้ว่ายังไม่เป็น Transfer Union อย่างสมบูรณ์ แต่คนเยอรมันเริ่มมีแรงจูงใจในการออกจากระบบยูโร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปช่วยเหลือประเทศอื่นๆที่ไร้วินัยทางการคลัง และควรนำเงินนั้นมาช่วยคนในประเทศตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองเยอรมันจึงบังคับให้ กรีซ โปรตุเกส ต้องรัดเข็มขัด ลดสวัสดิการ แปรรูปรัฐวิสากิจ ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต รวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยตลาดไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเยี่ยงคนในสหภาพเดียวกัน รวมทั้งเริ่มคิดถึงทางออกในรูปแบบของการปล่อยให้มีการเบี้ยวหนี้บางส่วนของประเทศกลุ่มนี้เพื่อลดภาระตน
มาตรการดังกล่าว ยิ่งมีส่วนทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกรีซเริ่มหมดความผูกพันในการรวมกันเป็นสกุลเงินยูโร

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หนทางที่กรีซ และโปรตุเกสจะพ้นจากวิกฤติอย่างเด็ดขาดนั้น จำต้องใช้ “การลดค่าเงิน” เป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของตนให้กลับมามีการขยายตัว

แต่เมื่อสกุลเงินของตนไม่มีเพราะสละทิ้งเพื่อรวมเป็น”ยูโร” ไปแล้ว การรัดเข็มขัดทางการคลังจึงทำได้แค่การลดภาระหนี้สาธารณะเท่านั้นแต่ไม่มากพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ดังนั้น การลดลงของแรงจูงใจในการผนึกกันเป็น “ยูโร” ใช่ว่าจะเกิดกับเยอรมันประเทศเดียว หากแต่ประเทศลูกหนี้เช่น กรีซ และโปรตุเกส คงเริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน

ในปีนี้และปีหน้า ความเสี่ยงของเงินยูโรยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่พ้นปี 2556 ไป โอกาสที่สกุลเงินยูโรจะอยู่กันครบ 17 ประเทศนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง และไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นเงินยูโร เมื่อ 2-3 ประเทศออกจากระบบยูโร ประเทศที่ที่เหลือซึ่งมีเศรษฐกิจอ่อนแอ ยิ่งมีแรงจูงใจการออกจากระบบยูโรมากขึ้น และตอนนั้นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบยูโรที่แท้จริง

หมายเหตุ- บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 15 กรกฏาคม 2554
***********************************************

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เก่ง อย่างคน มีสมอง!!

“ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เดินหน้าลุยงาน ไม่มีจด ๆ จ้อง ๆ
ต่อยอดโปรเจค “แอร์พอร์ตลิงค์”ที่เจ๊งไม่เป็นท่า...เสริมใส่เส้นทาง จาก “สนามบินสุวรรณภูมิ” วิ่งโลด แล่นโลด ขยายเส้นทางต่อไปยัง ชลบุรี พัทยา ระยอง ดินแดน ท่องเที่ยว
ขนคนออกไปสัมผัสกลิ่นโอโซน ท้องฟ้าสวย น้ำทะเลใส อิ่มกับกุ้งหอยปูปลา หม่ำผลไม้ที่มีทุกฤดู โดยไม่ต้องนั่งรถติด ให้หน้าเหี่ยวเป็นถุงตะเคียว
ผิดกับ “ประชาธิปัตย์” ของ นายกฯที่นับวันจะหมดอายุ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้ดีแต่พูด ๒ ปี ๖ เดือนที่เป็นรัฐบาล ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย!!!
แค่ “แอร์พอร์ตลิงค์”...ท่านดีแต่ชิ่ง?...ทอดทิ้งไม่เคยแก้ปัญหาอะไร??
/////////////////////////
“รัก”และ “ไว้ใจ” อย่างหนัก!!
ต้องบอกว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เอนดูทะนุถนอม เป็นอย่างดี สำหรับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
ถึงขั้นเตรียมให้เป็น “ทายาททางการเมือง” ก้าวขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี”
แต่ชิชะ พอ “ทักษิณ” ถูกอำนาจนอกระบบปฏิวัติ “เสี่ยสมคิด” ก็ออกมาด่าฉีกอก “บิ๊กแม้ว” ไม่มีชิ้นดี
ความปรารถนาที่ “บิ๊กแม้ว” เคยมี...ได้อันตรธานหายวับไปหมดสิ้น..เดี๋ยวนี้ใครเคยชื่อ “สมคิด” ดูเป็นที่บาดหู!!
“สมคิด” นั่นแหละ...ที่ไม่แยกแยะ?...ที่คอยค่อนแคะมองเห็น “ทักษิณ” เป็นศัตรู?
/////////////////////////
“การเมือง” คิดต่างกันได้!!
เมื่อยืนอยู่คนละมุม ถือขั้วอำนาจกันคนละฝั่ง จะแสดงออกเช่นใด..ก็ไม่ว่ากันหรอกเจ้านาย
แต่ที่ “เจ้าพ่อคิงส์พาวเวอร์” วิชัย รักศรีอักษร ทั้งย้ำทั้งเน้นและสอน ให้พนักงานกว่า ๓,๐๐๐คน เทกระจาดลงคะแนนให้พรรคหนึ่ง..โดยปฏิเสธ “พรรคเพื่อไทย” ดูแล้วไม่เก๋
บอกได้เลย นับแต่นี่ไป, “เสี่ยวิชัย” มีแต่ จะทรุด จะเซ
ก็ทำตัวเอง, เมื่อพรรคที่หนุนพ่ายไม่มีหูรูด ท่านก็ต้องรับชะตากรรม ไปตามระเบียบ!!
ถ้าอยู่เฉย ๆ...ไม่ยุ่งอะไรเลย?.. “เสี่ยวิชัย” ยังอยู่เสบย ใคร ๆก็ไม่กล้าเหยียบ?
/////////////////////////
“แพ้แล้ว” ก็ควรที่จะหยุด!!
ดื้อด้าน หาทาง รื้อ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์๑”..จะถูกประณาม ว่าเป็น “คนขี้ฉ้อ” ของแผ่นดินกันอย่างสุด..สุด??
เมื่อเสียงสวรรค์ ของปวงชนชาวไทย มอบความไว้วางใจให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ควรให้เธอทำหน้าที่ สร้างชาติให้ต่อเนื่อง
“กลุ่มอำนาจนอกระบบ” หยุดเสียเถอะ ..วันๆ ที่จ้องแต่จะหาเรื่อง
เอาเวลามาสร้างความปรองดอง อยู่ดีกินดีให้กับประชาชน จะเป็นประโยชน์กว่ามาจ้อง “ล้มรัฐบาล” ให้มอดม้วยมรณา!!!
“ยิ่งลักษณ์”คิดทำทุกอย่างเพื่อชาติ...แต่พวกกลุ่มอุบาทว์?..คิดไม่ฉลาดจ้องล้มทุกเวลา?
//////////////////////////
กำลังภายในร้อนแรง!!
ที่จะให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับเข้ามาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่ง?
หากยังจับขั้วขุนทหาร ที่จับตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เข้ามาเป็นใหญ่อีกหน คงก็มีเสียงสวดชยันโต
ใครที่หนุน และ ผลักดัน “บิ๊กป้อม” อย่าได้คิดทำการอะไรโง่ ๆ
ขุนศึกในกองทัพ ขุนพลในแผ่นดิน ยังมีอีกมาก ที่จะสร้างความปรองดองให้กับ “รัฐบาล” กับ “ทหาร” เดินหน้าไปด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องใช้บริการ ของ “บิ๊กป้อม” ให้คนเขาเบื่อหน่าย!!
เลิกคิดเอา “บิ๊กป้อม”มาดีกว่า...ดูแล้วเหมือนเป็นพวกกบอยู่ในกะลา?..ช่างทำสิ่งไร้ค่า จริงๆนะเจ้านาย???


คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************