--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ป.ป.ช.เล็งส่งหนังสือบี้อัยการ คดีไร่ส้ม !!?


วิชา มหาคุณ เผย ป.ป.ช.เตรียมส่งหนังสือถึงอัยการสูงสุด ถามความคืบหน้า “คดีไร่ส้ม” หลังส่งสำนวนไปตั้งแต่ ต.ค.ปีที่แล้วยังเงียบ



(ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)

เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2556 นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เปิดเผยกับ “สำนักข่าวอิศรา”www.isranews.org ว่า ป.ป.ช.เตรียมทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าเรื่องการดำเนินการคดีกล่าวหาพนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ช่วยเหลือให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นกรรมการผู้จัดการ ได้รับเงินโฆษณาเกินกว่าเวลาที่ระบุในสัญญา รวมเป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท เนื่องจาก ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดพร้อมส่งสำนวนคดีดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด ตั้งแต่เดือน ต.ค.ของปีที่แล้ว แต่ถึงขณะนี้ ทราบมาเพียงว่า อัยการสูงสุดเพียงแค่ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบสำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งไปให้เท่านั้น ยังไม่มีความคืบหน้า หรือการแจ้งกลับมายัง ป.ป.ช.ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

นายวิชายังกล่าวว่า นอกจากทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าคดีไร่ส้มแล้ว ยังมีแนวคิดที่จะนัดหารือร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด เพื่อทำข้อตกลงว่า ต่อไปคดีใดที่ ป.ป.ช.ชี้มูลแล้วส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการต่อ ควรจะแจ้งความคืบหน้ากลับมายัง ป.ป.ช.ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของตน 30 วันเป็นระยะเวลาที่น่าจะเหมาะสม

อ่านประกอบ: อัยการตั้งทีมตรวจสำนวน "คดีไร่ส้ม" ก่อนพิจารณาส่งฟ้องศาล

ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เค.วอร์เตอร์ไม่แฮปปี้ ขอแก้ไข ทีโออาร์ !!?


ธงทอง.เผยเค.วอร์เตอร์ไม่แฮปปี้ถึงขั้นขอแก้ไขทีโออาร์ ระบุทำอีไอเอ-เดินเรื่องเวนคืนที่ดิน

เปิดเวทีชี้แจงรายละเอียดข้อกำหนดและขอบเขตงาน(TOR) โครงการเพื่อการออกแบบและก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ให้กับ 6 กลุ่มบริษัทเอกชนที่ผ่านการคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ ทั้ง 9 แผนงาน โดยคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(สบอช.) ตามพระราชกำหนดกู้เงินวงเงิน 3.5แสนล้านบาท

โดย 6 กลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าฟังการชี้แจงประกอบด้วย 1.บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปปอเรชั่น(เค.วอเตอร์) 2.กิจการค้าร่วม ญี่ปุ่น-ไทย 3.ITD-POWERCHINA JV 4.กิจการร่วมค้าทีมไทยแลนด์ 5.กลุ่มบริษัทค้าร่วม ล็อกซเลย์ และ 6.กิจการร่วมค้า ซัมมิท เอสยูที โดยรูปแบบของเป็นการเปิดเวทีในวันนี้ เป็นการให้เอกชนที่ผ่านการคัดเลือกได้สอบถามในประเด็นข้อสงสัยต่างๆที่เป็น 2 เซ็คชั่น คือเซ็คชั่นของข้อกฎหมายและด้านเทคนิค ทั้งนี้ในส่วนของตัวแทนฝ่ายรัฐบาล-คณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการตอบคำถามของเอกชนนั้น ประกอบด้วย นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการเลขาธิการสบอช. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน นายอภิชาติ อนุกูลอำไพ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิค-วิชาการ โครงการก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และนางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายปกครอง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกบอ. ไม่ได้มาร่วมงาน เนื่องจากติดภารกิจที่ต่างประเทศ

นายธงทองจันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในช่วงของเซ็คชั่นตอบคำถามเรื่องข้อกฎหมาย กล่าวอธิบายถึงขั้นตอนในการสอบถามนั้น ทางคณะกรรมการฯขอให้เอกชนส่งคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า และจะได้รับคำตอบโดยวาจาในชั้นต้นแต่ยังไม่ถือว่าเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะคณะกรรมการฯจะทำคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อความรอบคอบเพื่อให้เอกชนนำไปใช้อ้างอิงได้ต่อไป ดังนั้นคำตอบที่มีผลผูกพันคือคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการเท่านั้น ทั้งนี้ยืนยันด้วยว่าไม่ปรับตารางเวลาต่างๆที่มีการกำหนดไว้เพราะเราอยู่ในข้อจำกัดของเวลา

สำหรับรูปแบบการชี้แจงนั้น เป็นการให้ทางบริษัทเอกชนเขียนคำถามเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้ฝ่ายของคณะกรรมการที่เป็นฝ่ายรัฐซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเป็นผู้ตอบ โดยบรรยากาศในการตอบคำถามล้วนแล้วแต่เป็นการตอบด้วยวาจาเป็นภาษาไทย ดังนั้นจึงทำให้กลุ่มเอกชนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติต้องนำล่ามมาช่วยแปลภาษาเอง

โดยในช่วงของเช็คชั่นแรกนั้น เป็นเรื่องของคำถามด้านข้อกฎหมาย ซึ่งมีคำถามหลากหลาย อาทิ คำถามเรื่องวิธีคิดค่าปรับมีการตั้งวงเงินค่าปรับสูงสุดไว้หรือไม่ โดยประเด็นนี้ตัวแทนจากกฤษฎีกา ตอบว่า ในส่วนของค่าปรับมี 2 กรณี กรณีแรกคือการเรื่องทำวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่มีพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมเป็นสาระสำคัญ ดังนั้นถ้าเอกชนทำไม่แล้วเสร็จจะมีการปรับวันต่อวัน แต่ไม่มีวงเงินค่าปรับสูงสุด แต่จะปรับจนกว่าจะทำจนแล้วเสร็จ และอีกกรณีคือการปรับหากก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ

ส่วนคำถามที่ว่าหากมีกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยที่เกิดความเสียหายกับงานจ้างซึ่งไม่ได้เกิดจากผู้ยื่นข้อเสนอ ดังนั้นผู้ยื่นข้อเสนอไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายใช่หรือไม่ โดยเรื่องนี้นายธงทอง เป็นผู้ตอบคำถามว่า ต้องรับผิดชอบ เพราะขอให้มีสูตรคำนวณความเสี่ยงต่างๆบอกเข้ามาด้วย เรียนว่าหลักการทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ยื่นข้อเสนอต้องตรึกตรองด้วยความรอบคอบ ดังนั้นจึงอยู่ในกรอบการใช้เงินสูงสุด(Guaranteed Maximum Price : GMP) ที่ได้ยื่นให้กับคณะกรรมการ จากนั้นเอกชนถามว่าในระหว่างการทำงานหากมีภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจะทำอย่างไร นายธงทอง กล่าวว่า ส่วนนี้ไม่มีการระบุรายละเอียดราคาที่ท่านคิดเป็นราคา GMP ในซองที่รวมราคาภาษีทุกอย่างไว้แล้ว

ส่วนคำถามที่ว่ารายละเอียดเอกสารมีจำนวนมากจะขอขยายเวลาในการยื่นคำถามออกไปหนึ่งสัปดาห์และขยายเวลาอีก 45 วัน เพื่อส่งดีไซน์บิวส์ได้หรือไม่ โดยนายธงทอง กล่าวยืนยันหนักแน่นในประเด็นนี้หลายครั้งว่า ไม่สามารถยืดเวลาให้ได้ เนื่องจากมีการวางกติกาไว้แล้วและมีเงื่อนไขของเวลาตามพ.ร.ก.กู้เงิน อย่างไรก็ตามในการยื่นซองข้อเสนอราคานั้นให้ยื่นซองเดียว ส่วนข้อเสนอด้านเทคนิคให้ทำสำเนามา 25 ชุด และในส่วนของโครงการที่เกี่ยวข้องกับกรมชลประทาน ผู้รับจ้างสามารถขอรับข้อกำหนดเกี่ยวกับการศึกษาความเหมาะสมของกรมชลประทานที่มารับได้ในวันศุกร์ที่ 22 มี.ค. เวลา 10.00-12.00 น. ที่ตึกสบอช. ทำเนียบรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อมาถึงคำถามที่ถามยาวหลายคำถามว่า หากมีการชุมนุมต่อต้านโครงการบางพื้นที่ และหากศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมและใช้เวลาในการศึกษานาน เจ้าของที่ดินไม่ยอมให้เวนคืนหรือเรียกค่าเวนคืนสูง เจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือทำให้เกิดความล่าช้า ฝ่ายรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง โดยเรื่องนี้ นายธงทอง กล่าวว่า เรื่องที่ดินเป็นหลักการที่เคยประชุมกับคณะกรรมการแล้วมีการวางแนวทางระบุอยู่ในทีโออาร์ โดยในกรณีที่เป็นที่ดินของรัฐผู้ว่าจ้าง(รัฐ) ต้องขออนุญาตจากที่ดินของรัฐ ที่รัฐจะดูแลเองในการขออนุญาต แต่หากที่ดินดังกล่าวมีโรงเรียนตั้งอยู่ ดังนั้นหากมีกรณีที่ต้องสร้างโรงเรียนใหม่ชดเชย หรือขยายโรงเรียน ผู้รับจ้าง(เอกชน)ต้องรับผิดชอบ ส่วนกรณีที่เป็นที่ดินของรัฐที่มีบุคคลอาศัยอาจจะโดยทางราชการผ่อนผัน ได้รับใบอนุญาตชั่วคราวหรือบุกรุก แต่พื้นฐานนั้นยังเป็นพื้นที่หลวง ดังนั้นค่าที่ดินผู้รับจ้างไม่ต้องจ่าย แต่หากต้องมีค่ารื้อขนย้ายในการไปตั้งถิ่นฐานใหม่ผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบ

นายธงทอง กล่าวอีกว่า กรณีที่เป็นที่ดินที่เอกชนมีกรรมสิทธิ์ครอบครอง ผู้รับจ้างมีหน้าที่เจรจาขอซื้อ และเมื่อซื้อได้เมื่อถึงเวลาโอนก็ให้โอนทอดเดียวจากคนขายมาเป็นสมบัติของรัฐบาลไทย และกรณีที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนที่ไม่สามารถกันตกลงราคาได้ ขอซื้อไม่สำเร็จต้องใช้อำนาจรัฐโดยการออกฎหมายเวนคืนที่รัฐต้องออกค่าชดเชยเวนคืน แต่ส่วนที่รัฐจ่ายชดเชยไปจะนำมาหักออกจากมูลค่าของสัญญา

เมื่อถามถึงคำถามเรื่องค่าปรับกรณีก่อสร้างล้าช้าไม่เสร็จภายใน 5 ปีนั้น ตัวแทนกฤษฎีกา กล่าวว่า การจะกำหนดเวลาเริ่มจะนับจากวันทำสัญญาแล้วนับเวลาไป หากมีความล่าช้าจากผู้ว่าจ้างเองอาจจะมีการอนุมัติขยายเวลาให้ตามความเหมาะสม เมื่อถามถึงข้อเสนอพิเศษได้คิดค่าใช้จ่ายให้หรือไม่ นายธงทอง กล่าวว่า เป็นของแถมที่ผู้รับจ้างประสงค์จะแถมให้ ทางราชการจึงไม่มีงบประมาณให้

สำหรับคำถามที่ว่าถ้าบริษัทเอกชนได้คะแนนเท่ากันคณะกรรมการจะตัดสินอย่างไร โดยนายธงทอง กล่าวว่า เกณฑ์ให้คะแนนมีความละเอียดพอและจะมีความแตกต่างในแต่ละราย แต่ถ้าคะแนนใกล้เคียงมากก็จะมีความรอบคอบในการตัดสินตามหลักวิชาการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อถึงคำถามที่เป็นของบริษัทเค.วอเตอร์ฯ ที่ได้รับการคัดเลือกอยู่ใน10 Module ซึ่งปรากฏว่าเอกสารคำถามมีความหนาจึงทำให้นายธงทอง กล่าวว่า อ่านคำถามแล้วดูเหมือนท่านจะไม่แฮปปี้กับข้อกำหนดบางอย่าง ท่านเคารพผม ผมก็เคารพท่าน และผมยืนยันข้อกำหนดเดิมตามหลักทีโออาร์

"เพราะท่านจะขอเปลี่ยนรายละเอียดในทีโออาร์ เปลี่ยนข้อกำหนด ซึ่งเรายืนยันว่าเราไม่เปลี่ยนทีโออาร์ ผมไม่เปลี่ยนหรอก" นายธงทอง กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นเป็นเซ็คชั่นของการชี้แจงและถามคำถามด้านเทคนิคซึ่งใช้เวลาในการชี้แจงนานกว่าช่วงของคำถามข้อกฎหมาย เนื่องจากมีรายละเอียดและใช้ศัพท์ทางเทคนิคแต่ละแผนงานทั้ง 9 แผนงาน(Module) ซึ่งนายอภิชาต ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาฯ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า แต่ละแผนงานต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อนตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการทำศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เช่นนั้นอาจจะตกม้าตายได้ ดังนั้นถ้าไม่อยากจะสะดุดหรือผิดระเบียบก็ขอให้ดำเนินการ อีกทั้งถ้าท่านศึกษาและใช้เทคนิคราคาแพงเกินกว่ากรอบวงเงินรัฐบาลก็ไม่มีเงินให้ ไม่ใช่ว่ามี 3,000 ล้านบาท ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ได้ 3,000 ล้านบาท อย่าเข็นครกขึ้นภูเขา อย่าทำวิลิศมาหรา เพราะท่านอาจจะเสียคะแนน ไม่ใช่ว่าทำได้แค่บนกระดาษแต่ทำจริงๆไม่ได้ อย่างไรก็ตามใครที่มีสิทธิ์อยู่ในหลายแผนงานก็ต้องออกแรงเยอะหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือเป็นกรรม เพราะต้องเสนอเข้ามาตามที่เราคัดเลือกไว้ในแต่ละแผนงาน ถ้าท่านไม่เสนอเข้ามาก็ตกไปทันที

Tags : นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

ทีวีสาธารณะ บทบาทที่ถูกตั้งคำถาม !!?


สืบเนื่องจากโจทย์ร้อนของรายการตอบโจทย์ประเทศไทย? ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า ตอบโจทย์ใครกันแน่? ประเทศไทย? สาธารณชน? หรือคนบางกลุ่ม?
       
จากการสวมหน้ากากในฐานะของทีวีสาธารณะ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเงินที่ไหลเวียนอยู่ในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสมาจากภาษีของประชาชนหรือสาธารณะ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงสูงสุดคงจะหนีไม่พ้นคือการทำหน้าที่ในฐานะสื่อเพื่อประโยชน์สูงสุดของสาธารณชน หากแต่ว่าโจทย์ที่เลือกตอบในครั้งนี้กลับถูกตั้งคำถามอย่างหนัก
       
จากท่าทีสู่ความไม่เห็นด้วย จนถึงการประท้วง และท้ายที่สุด แม้เรื่องราวจบลงที่สื่อสาธารณะได้รับอิสรภาพ แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับคำถามที่ถูกตั้งขึ้นครั้งนี้คืออะไร?
     
ทีวีสาธารณะคืออะไร
     
 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เกิดจากการเปลี่ยนไอทีวีซึ่งในยุคนั้นได้ชื่อว่าเป็นทีวีเสรีเป็นทีวีซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของ และมีการกำหนดเนื้อหาในการนำเสนอเอาไว้ที่เรื่องข่าวและสารประโยชน์ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์เป็นส่วนบันเทิงมาเป็นทีวีสาธารณะเต็มรูปแบบ
     
 โดยได้มีกฎหมายรองรับในโครงสร้างการบริหารชัดเจนให้เป็นอิสระจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน กลายเป็นทีวีสาธารณะ มีเงินงบประมาณจากภาษีเหล้าและบุหรี่มาคอยสนับสนุน ปีละประมาณ 2 พันล้าน
     
 บอกได้ว่า ทีวีสาธารณะคือความฝันของสื่อในอุดมคติที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องยึดตัวเองอยู่กับรัฐหรือกลุ่มทุน ทว่าอิสระเหล่านั้นก็ต้องมีสิ่งที่แลกเปลี่ยนของตอบแทนสู่ประชาชน ว่าง่ายๆคือ โจทย์ที่สำคัญที่สุดของทีวีสาธารณะคือประชาชน
     
รศ.ดร.สุรัตน์ เมธีกุล อดีตคณบดี คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อความเป็นสื่อสาธารณะของไทบพีบีเอสว่า ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ จากปัจจัยหลายอย่างที่ยังคงเป็นเงื่อนไขอยู่
     
“ในยุคปัจจุบัน เรามีความเชื่อมั่นกันมากเรื่องสื่อเสรี ทีวีสาธารณะ เพราะฉะนั้น การกำกับควบคุมจึงควรทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น คือต้องปล่อยให้มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับผู้ผลิตรายการที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
     
“แต่ในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้น ผมยังไม่เชื่อว่าเราจะทำได้อย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะโครงสร้างระบบ การบริหารจัดการหลายๆ อย่างของเรา ยังตกอยู่ภายใต้เจ้าของ ซึ่งอาจจะเป็นหน่วยงานราชการ หน่วยงานทหาร ทำให้บางครั้ง บางองค์กรมีข้อจำกัด อาจเพราะใกล้ชิดกับนักการเมือง หรือเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายแล้ว การจะทำให้เป็น “ทีวีสาธารณะ” ในอุดมคติให้ได้มากที่สุดก็คือ ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงเรื่องความรับผิดชอบ หลักของการข่าว ต้องมีความลึก รอบรู้ กว้างไกล และที่สำคัญ ต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคม”
     
จากเอกสารวิชาการส่วนบุคคล เรื่อง ความเป็นอิสระของทีวีสาธารณะ และการถ่ายทอดวาทกรรมและปฏิบัติการจิตวิทยาของรัฐ: กรณีศึกษาการชุมชุมทางการเมืองใน เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553โดย ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ที่เป็นการศึกษาถึงการทำงานในฐานะทีวีสาธารณะของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พบว่า มีความโน้มเอียงอยู่ในหลายช่วงเวลา
     
จากผลการศึกษานี้ ระบุว่า ในช่วงการชุมนุมทีวีไทยมีแนวโน้มที่ไม่เป็นอิสระหรือเข้าข้างรัฐบาลในช่วงการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เอียงข้างฝ่ายตรงข้ามกับรัฐในการชุมนุมทางการเมืองในช่วงก่อนปี 2552
     
ข้อสังเกตุของการโน้มเอียงที่เกิดขึ้นนี้ ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องยากที่สื่อปัจจุบันจะดำรงความเป็นกลาง ท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรง ซึ่งในรายการระบุว่า กรรมการนโยบายและผู้บริหารทีวีไทยหลายท่านได้แย้งว่าทีวีไทย “ถูกด่า/วิจารณ์จากทั้งแดงทั้งเหลือง” โดยยืนยันว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงความเป็นกลาง แต่ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนปัญหา ความเอนเอียงไปมาตามกระแสหรือเสียงวิจารณ์ในช่วงต่างๆ ก็เป็นได้ ซึ่งถ้าทีวีไทยสามารถทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพที่ไม่เลือกข้างอย่างแท้จริง ก็น่าจะทำให้ข้อครหาเหล่านี้ให้น้อยลงหรือหมดไป
     
 จุดน่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ ถึงแม้ทีวีสาธารณะในบางประเทศจะมีภาพลักษณ์ที่มีจุดยืนทางการเมืองในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ใช่ตรงกลาง แต่ทีวีเหล่านี้ก็มักจะมีนโยบายที่ชัดเจนในการเปิดพื้นที่ให้กับรายการที่ได้ชื่อว่า มีจุดยืนทางการเมืองต่างออกไป ทั้งนี้ในแง่มุมของการทำงานก็ได้รับการยอมรับในฐานะที่มีความเป็นมืออาชีพค่อนข้างสูง จึงทำให้ไม่มีข้อครหาต่อจุดยืนแต่อย่างใด
       
 ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นเป้าหมายที่ทีวีไทยควรจะตั้งและพยายามดำเนินงานแบบมืออาชีพในการนำเสนอข่าวสารและรายการอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการยัดเยียด บิดเบือน หรือโจมตีเพื่อช่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งจะทำให้ทีวีไทยกลายเป็นทีวีสาธารณะที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและยังสามารถรักษาจุดยืนขององค์กรไปพร้อมกันด้วย
     
       คำถามของสังคม
     
 การมองเรื่องสถาบันเป็นจุดสำคัญหรือที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลใช้คำว่า “เป็นปัญหาใจกลาง” หรือ “ศูนย์กลาง” นั้นถือเป็นทัศนะของบุคคลกลุ่มหนึ่ง บอกได้ว่าเป็นเรื่องของสถาบันนั้นในปัจจุบันเป็นปัญหาสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง มากกว่าที่จะกระทบต่อสาธารณชน ในทางกลับกัน การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันด้วยท่าทีของการมองว่าเป็นปัญหาต่างหากที่เป็นปัญหาเสียเอง
     
 ต่อประเด็นของการตอบโจทย์ฯ รศ.ดร.สุรัตน์ ที่ได้รับชมรายการด้วยเห็นว่า สิ่งที่รายการนำเสนอออกมาเป็นการสะท้อนถึงเสรีภาพที่สามารถพูดได้จริง แต่มันก็ชวนให้เกิดคำถามว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ มันใช่เวลาที่จะหยิบประเด็นปัญหาเหล่านั้นมาพูดหรือ?
     
 “ในฐานะสื่อมวลชนที่ดี เราจะต้องหยิบเรื่องที่กำลังเป็นที่ถกเถียง เป็นที่สนใจ เป็นปัญหาของสังคมอยู่ ณ ขณะนั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์และหาคำตอบไปในทางคลี่คลาย แต่ครั้งนี้ ถามว่ามูลเหตุของการหยิบประเด็นนี้มาพูดคืออะไรและพูดแล้วจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง? เราสามารถแสดงออกความคิดเห็นได้อย่างเสรีก็จริง แต่ถ้าเสรีภาพนั้นมันไปสั่นคลอนหรือก่อให้เกิดความเสียหาย มันก็ดูจะไม่เหมาะสมที่จะมานั่งหยิบประเด็นตรงนั้นมาขยาย”
     
     
 ท้ายที่สุด จากที่ได้ชมรายการที่เป็นปัญหา เขาบอกว่า ไม่ได้มีการให้คำตอบอะไร ทั้งยังเป็นทัศนะส่วนตัวที่เขาไม่แน่ใจว่าจะเป็นประโยชน์อะไรกับสังคม ทว่าประเด็นเรื่องเสรีภาพของสื่อนั้นดูจะเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายหยิบยกมาถกเถียง เขาเห็นว่า เป็นเรื่องของดุลยพินิจสื่อควรจะพูดเรื่องใด และพูดอย่างไร
     
 “ถ้าจะบอกว่า ต้องการหยิบมาพูดเพื่อให้เกิดบรรยากาศแห่งเสรีภาพ ตัวรายการต้องตั้งประเด็นให้ชัด มีที่มาที่ไปที่อธิบายได้ว่าเหตุใดจึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่จะตอบได้ว่าเนื้อหารายการนั้นมีประโยชน์หรือไม่ ควรค่าแก่การออกอากาศหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความรับผิดชอบของสถานีนั่นเอง ซึ่งตอนหลัง เขาก็ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอยุติรายการ ซึ่งผมคิดว่าทำถูกแล้ว ในเมื่อสังคมไม่เห็นด้วยและมีผลสะท้อนในทางลบตอบกลับมา ก็ถึงเวลาที่สื่อที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ทีวีสาธารณะ” ต้องหาทางแก้ไขไม่ให้เรื่องบานปลายและหันมาพิจารณาหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่ตั้งคำถามกับการเลือกคน แต่ผมตั้งคำถามกับการเลือกประเด็นมาพูดมากกว่า เพราะไม่ว่าเรื่องนี้จะถูกนำเสนอผ่านสื่อแบบไหน จะเป็นทีวีสาธารณะ ทีวีธุรกิจ หรือทีวีอะไร สื่อมวลชนต้องมีความรับผิดชอบครับ ต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกหรือทำให้สังคมไม่สงบสุข”
     
 ในงานเสวนาสาธารณะ “ตอบโจทย์ เรื่อง ตอบโจทย์: ทีวีสาธารณะกับบทบาทพื้นที่สาธารณะในสังคมไทย
     
นักวิชาการด้านสื่อหลายคนมองว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พูดได้หรือไม่ หากแต่พูดอย่างไร ท่ามกลางความขัดแย้ง เพราะเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน ทั้งยังมีความเสี่ยงที่ส่งให้ผลให้สังคมเกิดความแตกแยก
     
 ทั้งนี้ ในเวทีดังกล่าว สมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ยังยืนยันว่า ต้องมีเวทีกลางให้ได้พูด
     
 “คนไทยพีบีเอส อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เราเป็นสื่อไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร ผมไม่รู้สื่ออื่นเป็นอย่างไร ถึงผมก็ไม่เห็นด้วยในคำพูดของนายสมศักดิ์ หลายเรื่อง แต่เราเป็นพื้นที่กลางต้องมีเวทีนี้”
     
อย่างไรก็ตาม เสียงหนึ่งที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนต่อทีวีสาธารณะได้ดีคือเสียงของผู้ชม พัฒนจรินทร์ สวนแก้วมณี ผู้ชมที่ติดตามรายการตอบโจทย์ ตั้งคำถามท่ามกลางวงเสวนาขึ้นว่า การนำประเด็นเรื่องสถาบันออกมาพูดนั้นตนไม่ได้ต่อต้านและพร้อมรับฟัง แต่ดูบริบทโดยรวมแล้วเห็นว่า มีเรื่องที่น่าสนใจมากมายในขณะนี้เช่นเรื่องความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าว เรื่องเงินกู้2.2 ล้านบาทที่ควรจะตอบโจทย์ประชาชนและเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้รับรู้ โดยนำผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงมากกว่า เพราะการที่นำประเด็นเรื่องพระมหากษัตริย์ที่มีการออกอากาศถึง 5 ตอนนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเท่ากับปัญหาปากท้องและนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากรู้มากกว่า
     
 ทั้งนี้ ตนมีความคาดหวังสูงกับทีวีสาธารณะที่รับเงินจากภาษีประชาชน แม้ตนจะไม่ใช่ผู้ที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ก็ตามแต่ก็ถือว่าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้ภาษีจากประชาชนเช่นกัน ดังนี้ควรทำเรื่องที่เป็นสาธารณะและตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง
     
 บทบาทในฐานะสื่อสาธารณะ มีเจตจำนงในดำรงอยู่เพื่อสาธารณชน ทว่าเมื่อสื่อสาธารณะถูกตั้งคำถาม จากประเด็นที่สุ่มเสียงในช่วงเวลาที่ยังไม่เหมาะสม หน้ากากของความเป็นกลางที่ถูกวางไว้เพื่อประชาชน ท้ายที่สุดแล้วหรือจะเป็นเพียงอีกโฉมหน้าหนึ่งของวาระซ้อนเร้นทางการเมืองเท่านั้น?
       
       ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ live
////////////////////////////////////////////////////////////////

ยิ่งลักษณ์ ยิ่งอยู่นานวัน ยิ่งเหนือชั้น !!?


โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์

ใครที่ไปเยี่ยมชมนิทรรศการ Thailand 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วคุณจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของวิถีดำเนินชีวิตของคนไทยในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

แล้วคุณจะประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีวิสัยทัศน์และการบริหารงานที่เหนือกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายขุม

ไล่เรียงกันมาตั้งแต่แผนป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาครอบคลุมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดรายทางแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีการซักซ้อมใหญ่เหมือนจริงเพื่อจะได้รู้ข้อบกพร่องช่องโหว่ของการปฏิบัติงานได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว และโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะกลางและระยะยาวมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

จนกระทั่งมาถึงนิทรรศการ Thailand 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก แผนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ หรือเส้นทางคมนาคมทั้งระบบขนส่งสินค้า และขนส่งคนของเมืองไทยทั้งหมด เพื่อลดต้นทุนการผลิตและทวงคืนเวลาของทุกคนที่เสียไปกับท้องถนนให้กลับคืนสู่สถาบันครอบครัว และแผนเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท วางแผ่หลาให้ทุกคนได้สัมผัส

Thailand 2020 เปรียบเสมือนแม่เหล็กก้อนใหญ่ที่ดึงดูดบริษัทต่างประเทศจากทั่วทุกทวีป ให้มาร่วมประมูลแข่งขันนำเสนอเทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับเมืองไทย แค่ประเทศจีนเพียงประเทศเดียวน่าจะมีอย่าง 4 บริษัทเอกชนเข้าร่วมแจม

อาทิ ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรั๊คชั่น ไชน่า เรลเวย์ เน็ตเวิร์ค เป็นต้น ไม่ต้องพูดบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อื่น ๆ ล้วนแต่อยากเป็นผู้กำชัยชนะครั้งนี้ทั้งสิ้น

ไม่เพียงแต่เท่านี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ลงนามความร่วมมือ

กับประเทศพม่าไปแล้ว เพื่อผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และเขตพัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญ ท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นศูนย์กลางขนถ่ายสินค้าแห่งใหม่ของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นประตูส่งที่สำคัญของจีนตอนใต้ กล่าวโดยรวมแล้วพม่า ไทย จีน ลาว จะได้ผลประโยชน์มากที่สุดจากโครงการนี้

ไม่เพียงแต่เท่านี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังศึกษาหาวิถีทางเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายกองทัพนักลงทุนของญี่ปุ่นจากประเทศจีนมาเมืองไทย ซึ่งจะเป็นการเดินทัพครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ รัฐบาลกำลังเล็งหาสถานที่และระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไว้รองรับ วางแผนพัฒนาเฉกเช่นเดียวกับโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคพวก

นายอภิสิทธิ์และพรรคพวกพยายามที่จะชูปมเด่น "ฝีปาก" เพื่อลบปมด้อย "มันสมอง" ของตัวเองทำงานด้วยวิธีทำลายล้าง สร้างกระแสคัดค้าน ต่อต้าน ทุกวิถีทาง และยืมจมูกคนอื่นหายใจนั้น "ตกยุค" แล้ว

กรณีทวงคืน ปตท.ของรสนา โตสิตระกูล, พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส, นายมานพ ก้าวสมบูรณ์ กับกรณีเครือข่ายสุราษฎร์ธานี เกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพะงัน ประท้วงการให้สัมปทานขุดเจาะสำรวจน้ำมันในอ่าวไทยของกระทรวงพลังงาน และอีกหลายขบวนการที่จะเริ่มปรากฏตัวนั้น จะมีความเชื่อมโยงสอดประสานกับเส้นทางเดินของประชาธิปัตย์หรือไม่

หรือจะสอดคล้องดวงดาวตามคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ท่านหนึ่งบอกไว้ เดือนเมษายนหลังสงกรานต์ มีดาวร้ายราหูกับเสาร์เข้ามาป้วนเปี้ยนดวงเมืองตลอด

คืน 13 ต่อเช้า 14 เมษายน จะเกิดจันทร์ดับที่ราศีเมษต่อราศีมีน นอกจากนี้ ยังมีอังคารเข้ามาร่วมขบวนการปลายราศีมีนกับราศีเมษด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

พรางอำนาจ !!?


แล้วไง...??
ท่าน วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์..ประธานศาลรัฐธรรมนูญ..ออกมากล่าวเท้าความย้อนหลัง..ถึงคราวตัดสินคดีปลดนายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..และยุบพรรคการเมือง..พลังประชาชน พรรคชาติไทย และมัชณิมา..เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง
ก็ต้องกราบเรียนว่า..

คำพิพากษาที่บกพร่อง..ไม่ว่าด้วยประการใดๆ นั้น..ได้ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดังที่พวกท่านปรารถนาหรือไม่..หน้าที่ของท่านคือความสุขุมรอบคอบในการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น เป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังอย่างยิ่ง

ขอเคารพในสิ่งที่ท่านได้กล่าวถึงและยอมรับ..แต่จะต้องถามกลับไปว่า..เป็นเช่นนี้แล้วในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..ยังจะต้องคงอำนาจเช่นนี้ไว้ต่อไปหรือไม่..

เพราะว่า..ถึงแม้ว่า..สมัคร สุนทรเวช จะถูกถอดถอนออกไป..แต่เขาก็สามารถจะกลับเข้ามาใหม่ได้..หากเสียงส่วนใหญ่ในสภายังยืนยัน..

แต่ที่ สมัคร สุนทรเวช ไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น..เพราะมีการหักกันเองในพรรคใหญ่และเป็นเหตุให้..เกิดปรากฏการณ์งูเห่า..จนได้พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล..ได้ท่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี

การไม่ยอมรับจากประชาชนจึงก่อหวอดขึ้น..จากการพรางอำนาจของอำนาจที่ไร้การควบคุม
ว่ากันไปแล้ว..หน้าที่เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองนั้น...ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ..ไม่ว่าจะมองจากชื่อขององค์กรอิสระหรือองคาพยพของกำลังพลเจ้าหน้าที่..
แล้วหลังจากที่ได้ยุบพรรคทั้ง 3 ไปแล้ว ได้เกิดความสงบในบ้านเมืองสมดังเจตนารมณ์ของพวกท่านหรือไม่..ตรงกันข้ามมิใช่หรือ....

ประชาชนพากันก่อหวอดเรียกร้องให้รัฐบาลที่เกิดจากการพรางอำนาจคืนอำนาจให้กับประชาชน..จนเกิดการบุกเข้ามายึดพื้นที่ในเมืองหลวงการบุกล้อมศาลากลาง..และเกิดการกระชับพื้นที่..จนมีการเข่นฆ่าสังหารหมู่ ตายไปเกือบร้อยศพและบาดเจ็บกว่าสองพันคน..

ในที่สุดฝ่ายเรียกร้องการเลือกตั้งประสพชัยชนะ...และประชาชนเกินครึ่ง..เลือกพรรคที่นายสมัคร สุนทรเวช..เคยเป็นนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง...บ้านเมืองจึงเกิดความสงบมาจนเท่าทุกวันนี้

โดย. พญาไม้.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////

บิ๊กจิ๋ว ปัดข่าว ถูกทาบร่วมงานรัฐบาล !!?



ที่สโมสรราชพฤกษ์  พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่ า ไม่เคยได้รับการติดต่อทาบทาม พูดคุย หรือเชื้อเชิญจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน

หรือกลุ่มวาดะห์ ให้เข้าไปดูแลงานด้านความมั่นคงให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน อย่างที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ยอมรับว่าพร้อมที่จะช่วยงานความมั่นคงของประเทศชาติ โดยไม่มีจำเป็นต้องมีตำแหน่งในรัฐบาลก็ได้ แต่หากรัฐบาลมีการติดต่อ ทาบทามมาจริง ก็ต้องมาหารือกันว่าจะตอบรับหรือไม่ อย่างไร


พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ที่ทำมาเราเคยทำงานในพื้นที่กันมา 30-40 ปีแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา แต่ความสัมพันธ์เรายังเหมือนเดิม แน่นแฟ้นมากกว่าเดิมด้วย นั่นเพราะงานด้านความมั่นคงมีความสำคัญที่จะละเว้น หรือละเลยไม่ได้ แม้จะไม่อยู่ในตำแหน่ง แต่ก็สามารถช่วยงานได้ ที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาเยอะเหลือเกิน บางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี อาจเสียหายทั้ง 2 ฝ่ายได้

ส่วนตแนวทางการแก้ปัญหาภาคใต้ ที่รัฐบาลไปพูดคัยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า มองว่ารัฐเดินมาถูกทางหรือไม่ ว่า มันมี 2 ทางคือ แนวทางรุนแรง กับอีกอันแนวทางสันติ ในเมื่อมาแนวทางสันติก็ถูกแล้ว เมื่อเริ่มแล้วก็ไม่เป็นไร ต่อไปก็ช่วยกันตกแต่ง เราก็ช่วยกันดู ก็จะไปได้ บางคนบอกว่ามีเรื่องเยอะ ก็ไม่เป็นไรค่อยๆ แก้ไปที่ละข้อทีละประเด็น ฉะนั้น ก็ทำมาถูกแล้วต้องให้กำลังช่วยกันส่วนที่เกรงกันว่า ถ้าไปยอมรับการมีตัวตนของกลุ่มต่างๆ หลายฝ่ายอาจเข้ามายุ่งย่ามในประเทศได้ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า จะให้เขาเข้ามาได้อย่างไร ประเทศเรามีอธิปไตย ไม่ใช่อยากเข้ามาก็เข้ามาได้ ทำไม่ได้หรอก เราก็ตระหนักดี ถามหน่อย มีประเทศไหนที่ให้อิสระกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมมากเท่าไทยเรา อย่างกรณีผ้าคลุมหน้าชาวมุสลิม ขนาดประเทศฝรั่งเศสที่บอกว่ามีความเป็นประชาธิปไตย ยังทำไม่ได้เลย เราก็ต้องมีการพูดจาทำความเข้าใจกัน แน่นอนที่สุดคนที่เป็นหนุ่มสาวของเขาอาจมีแนวความคิดกระตือรื้อร้น กู้ชาติ แบ่งแยกดินแดน แต่เราก็ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับเขา ไม่มีอะไรหรอก อดทนนิดหนึ่งมาถูกทางแล้ว ใกล้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง มีกลุ่มคนบางกลุ่มใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีผลประโยชน์ในพื้นที่ และพยายามอาจหวังผลให้การเจรจากับบีอาร์เอ็นไม่ประสบผลสำเร็จอยู่เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะ สิ่งไหนไม่ดีอยู่ไม่ได้หรอกในสังคมของเรา มันก็มีสิ่งที่เป็นผลประโยชน์อยู่บ้าง เราต้องช่วยกันแก้ไข ส่วนตัวเชื่อว่าการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ คงใช้เวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะเห็นว่ามาถูกทางแล้ว

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

เงินทะลักเข้าไทย บาทแข็ง รอบ 5 ปี !!?


เงินไหลเข้าต่อเนื่อง ดันบาทแข็งรอบ 5 ปี เหตุเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง-ปรับเครดิต จับตาอีกทะลุ 29 บาทต่อดอลลาร์ ด้าน ธปท.รับแข็งค่าเร็ว

ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมาแตะระดับ 29.31 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากเปิดตลาดที่ระดับ 29.40-29.42 บาทต่อดอลลาร์ โดยขยับไปที่ 29.34 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวัน ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่แข็งค่าสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2550 โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในตลาดต่างประเทศ (ออฟชอร์) และหากเทียบกับการซื้อขายในประเทศแล้วค่าเงินบาทในระดับ 29.34 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าแข็งค่าสุด นับตั้งแต่ลอยตัวค่าเงินบาท

ขณะที่ ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับตัวลดแรงในช่วงบ่ายของวันกว่า 30 จุด จากความกังวลสถานการณ์ในไซปรัส และค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยดัชนีปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,601.34 จุด และปรับลดลงต่ำสุดที่ระดับ 1,554.27 ปิดตลาดที่ระดับ 1,568.25 จุด ปรับลง 23.40 จุด หรือ 1.47% มูลค่าการซื้อขาย 7.06 หมื่นล้านบาท

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าจากเงินทุนที่ยังคงไหลเข้าตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะมีการลงทุนและไทยได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลค่าเงินที่ระดับ 29.34 บาท ทำให้เงินบาทเริ่มทรงตัว

ค่าบาทต่อดอลลาร์ ช่วงท้ายตลาด อยู่ที่ระดับ 29.34-29.36 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับกรอบเงินบาทในระยะสั้น ต้องจับตาที่ระดับ 29.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับทดสอบสำคัญ หากหลุดไปได้จะไปถึงระดับ 29.00 บาท

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทวานนี้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก โดยปัจจัยสำคัญคือตลาดเกิดความไม่สมดุล มีแต่แรงเทขายค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก ประกอบกับตั้งแต่ต้นปีมีเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตรรัฐบาลและเอกชนจำนวนมากถึง 8 แสนล้านบาท

"เงินบาทที่หลุด 29.50 บาทต่อดอลลาร์ กำลังทดสอบระดับถัดไปที่ระดับ 29.00 บาท ซึ่งมีโอกาส แต่หากมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทออกมา ควรจะเน้นที่ตลาดพันธบัตรระยะสั้นเป็นหลัก เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพราะสะท้อนการเก็งกำไรชัดเจนมากกว่าลงทุนจริง"

ด้าน นายธีรพล รัตตกุล ผู้จัดการฝ่ายค้าเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่าเงินทุนที่ไหลเข้าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บาทแข็งค่า เพราะตลาดมองว่าเงินบาทต้องแข็งอยู่แล้ว จึงทำนิวไฮตลอด และหลุดระดับสำคัญมาเรื่อยๆ จนระดับนี้ถือว่าแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่ลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ซึ่งก็มีความชัดเจนว่าจะแข็งค่าขึ้นไปอีก

"ระดับ 29.00 บาท เป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ตลาดกำลังมอง คาดว่ามีโอกาสจะได้เห็นอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้"

ธปท.ชี้เป็นไปตามกลไกตลาด

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.จะดูแลค่าเงินตามความเหมาะสม และการปล่อยให้เงินบาทแข็งตามกลไกตลาด ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูแลค่าเงิน เพราะถ้าเงินบาทแข็งค่าเกินไปก็จะอ่อนตัวลงมาเอง

ทั้งนี้ แม้ว่าค่าเงินจะเปลี่ยนแปลงมาก และรวดเร็วนั้น คงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่ง เพราะว่ายังเป็นเพียงแค่วันเดียว โดยเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากข่าวเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ออกมาค่อนข้างดี ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุน

"คงต้องรอดูอีกสักระยะ ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยค่อนไปทางดี เขาจึงเข้ามาลงทุน"

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ไม่สร้างความกังวลใจให้กับธปท. และยืนยันว่ายังไม่มีการเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวาระเร่งด่วนแต่อย่างใด

ไซปรัสป่วนตลาดบอนด์ช่วงสั้น

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่ากรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับไซปรัสหลังมีผู้ฝากเงินจำนวนมาก แห่ถอนเงินฝาก เนื่องจากกังวลว่าจะมีการเก็บภาษี ส่งผลกระทบกับตลาดพันธบัตรในช่วงสั้น โดยเห็นได้จากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ ยิลด์) ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีการโยกเงินเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและกดดันบอนด์ ยิลด์ ของไทยระยะยาว และระยะกลางปรับตัวลงตาม

"เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับไซปรัส กระทบตลาดพันธบัตรในช่วงสั้น เพราะไซปรัสเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก"

ต่างชาติถือตราสารหนี้เพิ่มต่อเนื่อง

ส่วนภาพรวมการลงทุนตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า มีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจาก 76,100 ล้านบาท ในปี 2551 เพิ่มเป็น 811,524 ล้านบาท ในวันที่ 15 มี.ค. 2556 หากคิดเป็นสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ที่ออกจะพบว่า ในปี 2551 ต่างชาติถือครองตราสารหนี้ 1.5% ปี 2552 ลดลงมาเหลือเพียง 1.2% ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ ทำให้มีการถือครองลดลง อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ปี 2554 อยู่ที่ 5.9% ปี 2555 อยู่ที่ 8.3% และในปี 2556 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ม.ค. เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 9%

นางสาวอริยา กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติถือครองตราสารหนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ยกเว้นปี 2552 ที่การถือครองลดลง 6.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยลดลงมาเหลือเพียง 7.6 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2551 ถือครอง 7.6 หมื่นล้านบาท

ในปี 2553 เป็นช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ หรือ QE โดยมียอดซื้อสุทธิกว่า 2.8 แสนล้านบาท ปี 2554 เพิ่มเป็น 4.2 แสนล้านบาท ปี 2555 เพิ่มเป็น 7.1 แสนล้านบาท และในปี 2556 จนถึงเมื่อวันที่ 15 มี.ค. เพิ่มเป็น 8.1 แสนล้านบาท

ชี้ยังไม่พบผิดปกติจากบาทแข็ง

นางสาวอริยา กล่าวว่า ผู้เล่นในตลาดตราสารหนี้ส่วนใหญ่ของไทยยังคงเป็นนักลงทุนสถาบัน กองทุน บริษัทประกัน และธนาคารพาณิชย์ และการที่มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเข้ามาหากำไรส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ยังไม่เห็นสัญญาณการย้ายเข้ามาลงทุน หรือเข้ามาเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ เพราะมูลค่าการซื้อขายยังเป็นปกติ ซึ่งในช่วงนี้เงินทุนไหลเข้าน้อยกว่าในช่วงเดือนม.ค. ที่มีเงินไหลเข้าจำนวนมาก

นักลงทุนอ่อนไหวฉุดหุ้นดิ่ง

สำหรับตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) นักวิเคราะห์ระบุว่านักลงทุนไม่มีความมั่นใจในทิศทางตลาด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและเกรงว่าจะมีมาตรการสกัดเงินทุนออกมา หลังจากค่าเงินบาทแข็งค่า
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงแรง มาจากความอ่อนไหวของนักลงทุน ที่กังวลว่าตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นสูงแล้ว อาจจะมีการปรับฐานลดลง ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์หรือปัจจัยลบเกิดขึ้น จึงเทขายออกมา โดยปัจจัยลบที่นักลงทุนกังวลหลักๆ มาจากสถานการณ์ในไซปรัส มากกว่าความ

กังวลเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

"นักลงทุนกังวลอยู่แล้ว แค่ใบไม้ไหวก็พร้อมจะเทขาย ประกอบกับมีความกังวลสถานการณ์ในไซปรัส ส่วนเรื่องค่าเงินบาท ที่มีความกังวลว่าธปท. อาจจะออกมาตรการดูแลค่าเงินนั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะหากมีสัญญาณ ตลาดเงินจะรับรู้ก่อน ค่าเงินก็จะลง แต่ค่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นอยู่"

ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงกว่า 30 จุด คาดว่าเป็นผลจากการที่นักลงทุนมีความกังวลว่า ธปท.จะออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท เพื่อป้องกันไม่ให้แข็งค่าไปมากกว่านี้

ยูโรโซนแนะไซปรัสเลิกเก็บภาษีเงินฝาก

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในไซปรัส ซึ่งกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ และมีแนวคิดที่จะเก็บภาษีเงินฝากนั้นรัฐมนตรีคลังยูโรโซนแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ที่ประชุมมีความเห็นว่าผู้ฝากเงินรายย่อยควรได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากผู้ฝากเงินรายใหญ่ พร้อมยืนยันถึงความสำคัญของการรับประกันเงินฝากต่ำกว่า 100,000 ยูโร

แหล่งข่าวยูโรโซน เผยว่า แถลงการณ์ดังกล่าวน่าจะหมายความถึงการยกเลิกแผนการเก็บภาษี 6.75% สำหรับผู้มีเงินฝากต่ำกว่า 1 แสนยูโร ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3 ใน 5 ของบัญชีเงินฝากทั้งหมดในไซปรัส

มีบางกระแสรายงานว่ารัฐมนตรีคลังยูโรโซน แนะให้จัดเก็บภาษีเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 15.6% สำหรับผู้ฝากที่มีเงินในบัญชีสูงกว่า 100,000 ยูโร จากเดิมที่จะจัดเก็บภาษีเงินฝาก 6.7% สำหรับบัญชีที่มีเงินฝากต่ำกว่า 100,000 ยูโร และ 9.9% สำหรับบัญชีเงินฝากสูงกว่า 100,000 ยูโร

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของไซปรัส ล่าสุดได้ปิดธนาคารจนถึงวันพฤหัสบดี (21 มี.ค.) เป็นอย่างน้อย หลังจากประชาชนแห่ไปกดเงินออกจากเอทีเอ็ม นอกจากนั้น ชาวไซปรัสหลายร้อยคนยังไปชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อแสดงความไม่พอใจแผนการเก็บภาษีเงินฝาก ขณะที่ตลาดหุ้นไซปรัสยังปิดทำการอยู่เช่นกัน

นักวิเคราะห์คนหนึ่ง กล่าวว่า หากผู้กำหนดนโยบายยุโรปกำลังมองหาทางบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบธนาคาร พวกเขาก็ดูเหมือนว่าทำสำเร็จกับแผนการเก็บภาษีเงินฝาก

คาดสภาไม่ผ่านแผนเก็บภาษีเงินฝาก

นายคริสตอส สไตลิอานิเดส โฆษกรัฐบาลไซปรัส คาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายเก็บภาษีเงินฝากจะไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาที่มี ส.ส. อยู่ทั้งหมด 56 คน เพราะพรรคการเมือง 3 พรรคแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีดังกล่าว ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอีกพรรค ก็กล่าวเช่นกันว่า ไม่สามารถที่จะสนับสนุนแผนการดังกล่าวได้ ทำให้ไม่ชัดเจนจะมีการเลื่อนลงคะแนนเสียงออกไปอีกหรือไม่

 ประธานาธิบดีนิคอส สตาซิอาเดซ ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากนายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล ของประเทศเยอรมนี และเขาได้โทรศัพท์หาผู้นำประเทศเยอรมนีอีกครั้งเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาลไซปรัส ยังกล่าวว่า ประธานาธิบดีอนาสตาซิอาเดซ อาจจะขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เถาถั่วต้มถั่ว หรือว่าเผื่อกันเหนียว กันแน่ !!?


ก็ต้องสร้างเรื่องสร้างราวกันไว้ให้หนักหนาสาหัส จนผู้คนไม่เป็นอันทำมาหากิน จึงจะสามารถได้สิ่งที่ต้องการ เหมือนดั่งชาวนากวนน้ำในนาให้ขุ่น เพื่อจะจับปลานั่นแหละ เรื่องราวที่ ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ ลาออกจากตำแหน่ง นัยว่าเพื่อให้นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้ลงสมัครเป็น ส.ส. แทน จึงเป็นเรื่องราวกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมืองอีกเรื่องหนึ่ง

เพราะนัยยะของข่าวนั้นเปิดเผยชัดเจนว่า เป็นการเตรียมการเผื่อขาดเผื่อเหลือหากว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมีอันเป็นไปด้วยประการใด ๆ        

และมีการปล่อยข่าวในลักษณะที่ว่า ขณะนี้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังถูกตรวจสอบหลายเรื่องหลายกรณี ซึ่งอาจทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือต้องพักการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี จึงต้องมีการเตรียมการเผื่อขาดเผื่อเหลือเอาไว้

และมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาด้วยว่า คนที่มีอำนาจระดับสั่งการให้ ส.ส. ลาออก ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าเก่าเล่ายี่ห้อ ซึ่งครองพื้นที่ข่าวของประเทศไทยต่อเนื่องกันมาถึงสิบปีแล้ว จนคนไทยจะกิน จะนั่ง จะนอน จะขี้ จะเยี่ยว ก็จะมีข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาให้ได้ยินได้รู้อยู่ทุกวี่วัน

ทั้งๆที่เจ้าตัวยังคงร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศ และบางครั้งก็พร่ำเพ้อรำพันแบบถอดจิตถอดใจแล้วว่า มีชะตากรรมเหมือนคนลอยคออยู่ในมหาสมุทร ไม่มีใครจริงใจช่วยเหลือให้ได้กลับบ้าน บางคนก็ทำทีเป็นหวังดีแต่แนะนำว่าอย่าเพิ่งกลับบ้านเลย ไม่รู้ว่าจะหวังให้ตายในต่างประเทศหรืออย่างไร

รวมความว่า ขณะนี้ข่าวสารยืนยันมั่นเหมาะแล้วว่ามี ส.ส.เชียงใหม่ คนหนึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ลาออก

เมื่อลาออกแล้วก็จะไปสมัครเป็นผู้บริหารองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งลบล้างคำพูดของพระเอกลิเกที่ว่า ลาออกเพราะปัญหาสุขภาพ เป็นการย้ำให้คนไทยได้ประจักษ์ใจอีกครั้งหนึ่งว่า นักการเมืองนั้นมีวิสัยโกหกตอแหลเชื่อไม่ได้

เมื่อลาออกแล้ว ข่าวสารในขณะนี้ สื่อมวลชนรายงานตรงกันว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แทนเพื่อจะเตรียมการเป็นนายกรัฐมนตรี หากว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอันเป็นไป แต่จะมีบทสรุปอย่างไร ข่าวก็ระบุว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศเพื่อหาข้อยุติอีกครั้งหนึ่ง

ภาษาคอการเมืองทั้งหลายจึงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า หมากตานี้มีอะไรซ่อนเร้นแอบแฝง หรือว่ามีลับลมคมในประการใด จึงต้องแคะไค้ให้ได้ดูให้ได้ชมกัน

เป็นการเตรียมการเผื่อขาดเผื่อเหลือหากว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องพ้นจากตำแหน่งจริงๆ หรือ หากจะดูตามสภาพในขณะนี้ แม้จะมีการตรวจสอบบางเรื่องบางราวเกี่ยวกับนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอยู่ แต่ดูฟ้าดูฝนและเทศกาลทั้งหลายแล้ว ไม่มีเค้าว่าจะตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเลย

 เพราะไปไหนใครก็รัก นั่งอยู่เฉยๆ ก็น่ารัก น่าเข้าใกล้เข้าหา ฝนฟ้าก็เป็นใจ คนเสื้อแดงก็เคลิบเคลิ้มในไมตรีจิตมิตรภาพเป็นอันมาก ยกเว้นก็แต่พวกแดงล้มเจ้าที่กำลังจะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งร้ายทำลายพรรคทำลายพวกและเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลายเท่านั้น

ดังนั้นเหตุผลที่ว่า เตรียมการเผื่อขาดเผื่อเหลือ จึงไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่จะทำให้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เชื่อถือตามไปด้วยหรือไม่ ใครเล่าจะรู้

แต่ที่รู้แน่ๆก็คือ บรรดาทีมงานวงในทั้งหลายไม่ว่า ขบวนว่าราชการหลังม่านหรือขบวนว่าราชการหน้าม่านที่กำลังเสวยสุขสนุกสนาน ปล่อยให้ใครบางคนลอยคออยู่กลางพระมหาสมุทรไม่เชื่อเหตุผลที่ว่านี้

แว่วๆข่าวให้ได้ยินว่า จากการหารือวงในใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงวันเสาร์ถึงวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ ก็ยืนยันว่าเป็นการเตรียมเตะเก้าอี้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อไม่ให้ขบวนว่าราชการหลังม่านและหน้าม่านเติบใหญ่ไปมากกว่านี้ เพราะบัดนี้ใกล้ฤดูฝนแล้ว หากปล่อยให้ถึงฤดูฝน หญ้าแพรกก็จะงอกงามจำเริญ จะถอนก็ยาก จะไถก็ยุ่ง

เมื่อการหารือได้ข้อสรุปอย่างนั้น ก็นึกกันเอาเองว่า กลุ่มก๊วนที่มีอำนาจในปัจจุบันนี้จะยอมเสียอำนาจหรือว่าจะกระชับอำนาจ ชะดีชะร้ายอาจจะได้เห็นการแย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่

                เข้าทำนองที่ว่า “ลงกานี้เป็นสองเมืองหรือ  ให้น้องแล้วจะยื้อไปให้พี่”

นั่นเป็นเรื่องของญาติพงศ์วงยักษ์เขาว่ากัน แต่ถ้าหวนย้อนนึกรำลึกถึงเรื่องรามเกียรติ์แล้ว เกมกลครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับเมื่อครั้งทศกัณฐ์สั่งให้กุมภกรรณออกรบกับพระราม

กุมภกรรณนั้นเป็นรัชทายาท มีฤทธิ์มาก ปราบได้แม้กระทั่งพระอินทร์มาแล้ว  ดังนั้นการใช้ให้กุมภกรรณออกรบจึงถือว่าเป็นไม้ตายอย่างหนึ่งและเป็นการรบแบบหมดหน้าตักของทศกัณฐ์ แต่ในที่สุด กุมภกรรณก็ถูกพระรามฆ่าตาย

เมื่อกุมภกรรณตายแล้ว ทศกัณฐ์ก็เท่ากับหมดสิ้นญาติพงศ์วงยักษ์ และต้องออกรบด้วยตนเอง

ในศึกครั้งสุดท้าย พระรามให้หนุมานไปเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มาเตรียมไว้ ครั้นกระทำศึกห้ำหั่นกัน พระรามแผลงศรไปต้องทศกัณฐ์ หนุมานก็ขยี้หัวใจของทศกัณฐ์ ในที่สุดจอมยักษ์ที่ถอดดวงใจออกไว้นอกกายก็ต้องตายลงด้วยประการฉะนี้

                ก็ไม่มีอะไร เอาตำนานรามเกียรติ์มาเล่ากันฟังย่อ ๆ อย่างนี้แหละ!

ที่มา:นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////

ตอบโจทย์ : โพสต์ ขอบคุณ ไทยพีบีเอส ตัดสินใจออกอากาศ ตอนสุดท้าย..!!?

ภายหลังจากที่ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม สถานีไทยพีบีเอสตัดสินใจ ออกอากาศรายการ “ตอบโจทย์” ตอนสถาบันกษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตอนที่ 5 ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย เป็นวิวาทะต่อเนื่องจากตอนที่แล้วระหว่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในเวลาเดียวกันนั้น หน้าเพจเฟซบุ๊กของ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” ได้โพสข้อความ ดังนี้

แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี

------------------------------------

ทีมงานรายการตอบโจทย์ประเทศไทยขอขอบพระคุณเพื่อนมิตรในไทยพีบีเอส รวมทั้งเพื่อนสื่อมวลชนทุกแขนง นักวิชาการ ปัญญาชน และที่สำคัญ ผู้ชมทุกท่าน ที่ร่วมยืนยันเสรีภาพของสื่อมวลชนอันเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย จนทำให้ตอบโจทย์ 5 ตอนสุดท้ายในชุด สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ได้ผ่านการตัดสินใจจนนำไปสู่การออกอากาศในค่ำคืนวันที่ 18 มีนาคม 2556

ขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการนโยบาย ฝ่ายบริหาร ที่ช่วยทำให้ตอบโจทย์ตอนสุดท้ายของสัปดาห์ประวัติศาสตร์ ได้ออกอากาศในที่สุด แม้อาจจะมีผู้มองต่างในเรื่องประเด็นและความเห็น แต่นี่คือย่างก้าวที่สำคัญของวงการสื่อสารมวลชนไทย ที่เราสามารถนำผู้เห็นต่างทั้งสองด้าน มานั่งลงสนทนากันอย่างตรงไปตรงมา ตลอดทั้งสัปดาห์หน้าจอโทรทัศน์ ให้คนไทยนับล้านคนทั่วประเทศ ได้ฟังอย่างมีสติ ไตร่ตรอง และขบคิด เพื่อตอบหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ขอคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้คนไทยสนทนากันด้วยเหตุและผล ขอคุณพระสยามเทวาธิราช ดลให้คนไทยใช้ความอดกลั้นและอดทน ในการฟังความเห็นต่างอย่างสงบ ขอสังคมไทยพบทางออกที่สร้างสรรค์ ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

จนกว่าจะพบกันใหม่

(ภาพด้านล่างนั้นคือ ห้องพระของวังวรดิศ ที่ประดิษฐานพระอัฐิของพระกษัตริยาธิราชไทยในราชวงศ์จักรี และเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระสยามเทวาธิราช อันเป็นมรดกตกทอดขององค์ปราชญ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปัญญาชนพระองค์สำคัญ ผู้เป็นหลักมั่นให้พระปิยะมหาราช รักษาสยามไว้ได้ ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงแห่งอดีต ด้วยเหตุผลดังกล่าว ขอความกรุณางดการโพสต์ข้อความไม่สุภาพในโพสต์นี้ เพื่อถวายความจงรักภักดี แด่ทุกพระองค์)


ภาพจาก เพจ "ตอบโจทย์ประเทศไทย"

ที่มา:มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////




โทษหนัก : พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ฉบับใหม่ จัดเก็บ-เรียกคืนสินค้าอันตราย 19 มี.ค.บังคับใช้แล้ว !!?


 รายงานว่า วันนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๓..๒๕๕๖ ได้ลงเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา โดนกฎหมายฉบับดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับ  วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ในปัจจุบันยังไม่มีบทบัญญัติชัดเจนที่จะให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอม ข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคอันจะเป็นการช่วยลดปริมาณคดีที่จะไปสู่ศาลได้

และสำหรับมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น แม้จะมีบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่อาจเป็นอันตราย
แก่ผู้บริโภคก็ตาม แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองทางด้านบริการที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคซึ่งสมควรมี
มาตรการคุ้มครองเช่นกัน

นอกจากนั้น สมควรกำหนดให้มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดเก็บหรือเรียกคืนสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และให้มูลนิธิที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองมีสิทธิในการดำเนินคดีเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเช่นเดียวกับสมาคม ซึ่งจะเป็นการขยายการคุ้มครองผู้บริโภคโดยภาคเอกชนด้วย

รายงานข่าว แจ้งว่า บทกำหนดโทษตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับใหม่ กำหนดโทษรุนแรงสูงสุด จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท 



ที่มา.มติชนออนไลน์

////////////////////////


ตั้งคำถาม : โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มีแต่ เจ๊แดง. เท่านั้นเอาอยู่ !!?


  สันนิษฐานฐานกันไปต่างๆ นานาว่าสาเหตุที่ “เจ๊แดง” เยาวภาวงสวัสดิ์ น้องสาว ทักษิณ ชินวัตรต้องสะกิดให้ เกษม นิมมลรัตน์ ต้องลาออกจากเก้าอี้ ส.ส.เชียงใหม่เขต 3 เพื่อเปิดทางให้ตัวเองได้ลงสมัครและเป็น ส.ส.แทนทั้งที่เพิ่งเลือกตั้งซ่อมผ่านไปแค่ 9 เดือนเศษเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกนับสิบล้านบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม เพราะวันข้างหน้าล้วนแล้วมีงานใหญ่มหายักษ์รออยู่
     
       เท่าที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ที่อ้างว่าจะนำมาใช้สำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอีก 7-10 ปีข้างหน้า มันเป็นเรื่องที่พอจะเห็นคำตอบรำไรรออยู่ล่วงหน้าแล้วใช่หรือไม่
     
       แน่นอนว่าสำหรับเธอ และคนในครอบครัวของทักษิณ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากหากจะลงสมัคร ส.ส.หรือการเมืองระดับใดก็ได้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงแถบนั้น เพราะเชื่อว่าคงได้รับเลือกเข้ามาไม่ยาก เหมือนกับกรณีของ เกษม นิมมลรัตน์ เป็นตัวอย่าง ที่ผ่านมาเป็นแค่คนถือกระเป๋า ได้รับคำสั่งให้มารักษาพื้นที่แทนลูกสาว คือ ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสั่งลงโทษฐานปกปิดบัญชีทรัพย์สินและแจ้งบัญชีอันเป็นเท็จ ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ซึ่งคนในวงการรับรู้กันอยู่แล้ไม่ต้องมาปฏิเสธให้เหม็นน้ำลาย
     
       การลาออกจาก ส.ส.คราวนี้ก็เช่นเดียวกันพยายามอ้างว่าตัวเองไม่ถนัดการเมืองระดับชาติจะลงไปเล่นการเมืองท้องถิ่นจะไปเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแทน หรือไม่ยึดติดตำแหน่งอะไรประมาณนี้ ยิ่งพูดยิ่งกวนประสาทดูถูกชาวบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไมไม่คิดให้รอบคอบ ให้ชาวบ้านเขาเสียเวลาไปเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.ก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่พอได้เวลากลับสะบัดก้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี มันน่านัก
     
       สำหรับ “เจ๊แดง” นาทีนี้ถือว่าได้เวลาเหมาะเจาะที่จะต้องลงสนามเป็นตัวจริงเปิดเผยเสียที หลังจากที่ผ่านมาเป็นผู้สั่งการชักใยอยู่หลังฉากมานาน หลังจากพ้นโทษแบนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมปีที่ผ่านมาเธอก็ต้องลงมากำกับเองเสียที
     
       ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่กำลังประดังเข้ามามันถึงต้องร้องอ๋อว่าทำไมคนอย่างเยาวภา ต้องลงมือเอง เพราะต้องไม่ลืมว่าพระราชบัญญัติเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทกำลังจะเข้าสภา และเชื่อว่าคงผ่านได้ไม่ยาก นั่นก็หมายความว่าการใช้งบประมาณอันมหาศาลจะต้องเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว และเมื่อเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณ แน่นอนว่าการตรวจสอบก็ทำได้ยาก ไม่เหมือนกับการตั้งงบผ่านร่างพระราชบัญญัติประจำปีที่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
     
       ที่ผ่านมาสำหรับเธอถูกตั้งคำถามมากมายในเรื่องความไม่ชอบมาพากลในโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว นอกจากนี้ยังมีคำถามมีเสียงนินทาในเรื่อง..เป็นเรื่องอื้อฉาวในวงการพูดถึงกันกระหึ่ม สร้างภาพลบเกิดขึ้นไม่น้อย
     
       ขณะเดียวกันยังมีเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ ทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงว่ากันว่าหากอยุ่ในก๊วนนี้แล้วรับรองไม่มีพลาด และต้องนั่งตำแหน่งสำคัญ เท่าทีีเห็นก็มี บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาดูแลโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนป่นปี้ไงละ
     
       ในวงการเมืองหากจะดูว่าใครในครอบครัว ทักษิณ ที่มีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดสำหรับคนที่อยู่ในประเทศไทย ก็ต้องยกให้ครอบครัวนี้แหละ หากยังจำกันได้เมื่อครั้งวันเกิดของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีของเยาวภาที่่ผ่านมายิ่งใหญ่แค่ไหนทั้งบรรดารัฐมนตรี นักการเมืองข้าราชการมากมายล้วนตบเท้าเข้าไปอวยพร บรรยากาศและบารมีไม่ต่างจากคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคงไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะบารมีของครอบครัวนี้ใหญ่คับรัฐบาล
     
       บารมีถือว่าคนละเรื่องกับ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่แทบจะไม่มีใครแวะเวียนเข้าไป แม้แต่ในพรรคเพื่อไทยหากอยากได่้เก้าอี้รัฐมนตรีหรือข้าราชการในตำแหน่งสำคัญก็ต้องไปบ้าน เยาวภา-สมชาย หรือไม่ก็ต้องไปที่ดูใบ พบกับทักษิณ ชินวัตร และที่ผ่านมา ทักษิณ ก็ได้สไกป์ เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันก่อนยอมรับเองว่าตัวเองเคยผลักดันคนนั้นคนนี้รับตำแหน่งสำคัญมากมาย เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีใครบ้างที่มีอำนาจและบารมีของจริง
     
       นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอย่างเรื่องร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่กำลังมีความพยายามเข็นเข้าสภาอีกรอบหนึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเสี่ยงหากมีโอกาสเปิด และอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าเรื่องแบบนี้แหละที่คนอย่าง ทักษิณ ต้องการ และถ้าเกิดฟลุ๊กเกิดสำเร็จขึ้นมา ยังมีผลไปถึงคนในครอบครัวคนอื่นๆ นั่นคือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งคนๆนี้แหละถือว่าเป็นนอมินีสำคัญที่ไว้ใจได้สำหรับทักษิณ
     
       ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังงวดเข้ามาหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ หรือคนในครอบครัวเท่านั้นเข้ามาคุมเกมเอง เพราะที่ผ่านมาแม้แต่ทักษิณ ยังต้องตัดพ้อว่ามีพวกหวังดีประสงค์ร้าย ไม่อยากให้เขากลับบ้าน เพราะเกรงว่าไม่ได้รับความสำคัญ ขณะเดียวกัน เมื่อโอกาสเปิดพ้นจากโทษแบน และมีเรื่องใหญ่รออยู่ข้างหน้าทั้งในเรื่องเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ รวมทั้งอีกสารพัด มันจึงเป็นคำตอบว่าทำไม “เจ๊แดง” ต้องลงมา เพราะสถานการณ์แบบนี้จะปล่อยให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรรับมือไม่ไหวแน่ ส่วนจะเป็นนายกฯ สำรองหรือไม่ ยังไม่ชัด แต่การเข้ามาในลักษณะ “ผู้จัดการ” เฉพาะหน้า นั่นแหละใช่เลย!!

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ฟังกันชัดๆ เหตุผล ผอ.ไทยพีบีเอส ชะลอ รายการตอบโจทย์ !!?

 สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง ฟังกันชัดๆ เหตุผล "ผอ.ไทยพีบีเอส" จำใจชะลอ "ตอบโจทย์" -ย้ำจุดยืนไม่เคยเปลี่ยน โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

หมายเหตุ: เป็นการสรุปเนื้อหาข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กับ สปริงนิวส์ ช่วงข่าวเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2556 กรณีสั่งชะลอออกอากาศรายการ “ตอบโจทย์ ตอน 5”

“เราต้องถือว่า ผู้ร้องเรียนเป็นผู้ชมผู้ฟังจำนวนหนึ่ง ที่เราต้องฟังเสียงเหมือนกัน ภายใต้สถานการณ์นี้ เราขอเวลาที่จะตั้งสติว่าจะทำเรื่องนี้อย่างไรจึงนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการรับและ พิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งเป็นกลไกตามกฎหมายของไทยพีบีเอส ที่มีองค์ประกอบ มาจากตัวแทนภายในและบุคคลภายนอกซึ่งเป็นองค์กรทางสังคมทั้งจากสมาคมนักข่าววิทยุฯ สภาการ หนังสือพิมพ์ นักวิชาการ นักกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ผู้ทรงคุณวุฒิและ ตัวแทน สภาผู้ชมผู้ฟังด้วย เราคงต้องให้กลไกนี้พิจารณา เพื่อให้เกิด ความรอบคอบ ดังที่เคยเกิดกรณีคล้ายๆ กันนี้ในอดีต...”

นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) กล่าวถึงลำดับเหตการณ์ที่จำเป็นต้อง ตัดสินใจชะลอ การออกอากาศ เทปรายการ “ตอบโจทย์ ตอนที่ 5” เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556

ทั้งนี้ตามเงื่อนไขของเวลาในวันดังกล่าว นายสมชัยกล่าวว่าเป็นการตัดสินใจตามสถานการณ์ที่ เลื่อนไหลไปจนเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนออกอากาศ ที่ฝ่ายบริหารและตัวแทนฝ่ายข่าว ที่ลงไปเจรจา กับผู้ประท้วงได้ประเมินร่วมกันว่า หากออกอากาศมีโอกาสที่จะนำไปการประจันหน้าและ เหตุ รุนแรง สุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพนักงานองค์กร

เนื่องจากเวลา 14.00 น. กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย กับการนำเสนอประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ในรายการตอบโจทย์ประเทศไทยเริ่มทยอยมาร้อง เรียนที่สถานีซึ่งโดยปรกติทางสถานีจะจัดพื้นที่รองรับประชาชนที่มาแสดงความคิดเห็นบริเวณนอก อาคารสำนักงานเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดฝนตกลมแรง ฝ่ายดูแลอาคาร จึงเชิญผู้ร้องเรียนเข้ามาหลบฝนข้างในอาคาร โดยมีฝ่ายบริหารลงมาดูแลประสานงานอำนวย ความสะดวกตามปรกติ

ในช่วงเวลานั้น มีการประชุมคณะกรรมการนโยบาย นายสมชัยจึงนำประเด็นร้องเรียนไปรายงาน ให้ที่ประชุมรับทราบ ที่ประชุมกรรมการนโยบายได้หารือและให้ความเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่าสมควรให้ ออกอากาศเทปดังกล่าวได้ ทั้งนี้มิได้มีการลงเป็นมติคณะกรรมการนโยบายแต่อย่างใด

ดังนั้นผู้บริหารไทยพีบีเอสจึง ยืนยันจุดยืนที่จะทำหน้าที่สื่อสาธารณะ โดยออกอากาศรายการ ตอบโจทย์ประเทศไทยตอนที่ 5 และจะเปิดพื้นที่การสื่อสารเพิ่มเติมสำหรับ ความคิดเห็นที่ แตกต่างเพิ่มขึ้นอีก โดยมีการชี้แจงแนวทางดังกล่าวผ่านช่วงข่าวค่ำไทยพีบีเอสเพื่อให้ผู้ประท้วง ได้ชมพร้อมกันด้วย และส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้ประท้วง

แต่สถานการณ์ เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง

เนื่องจากผู้ร้องเรียนไม่พอใจกับคำชี้แจงหรือข้อเสนอการเปิดพื้นที่เพิ่มเติม และยืนยันที่จะให้ถอด รายการให้ได้ อีกทั้งประกาศว่าจะรวมตัวกันต่อที่สถานีพร้อมจะกระจายข่าวเรียกผู้สนับสนุนมา ชุมนุมเพิ่มเติม โดยพวกตนจะนอนค้างคืนในอาคาร ซึ่งจะทำให้เกิดบรรยากาศการเผชิญหน้ากัน

“กระทั่งเวลาล่วงไปถึงประมาณ 21.00 น. ในช่วงที่หน้าจอเป็นรายการที่นี่ไทยพีบีเอส ทางเจ้าหน้าที่ ฝ่ายข่าวและฝ่ายบริหาร 10 กว่าคนที่เข้าไปเจรจาพูดคุยกับผู้เรียกร้อง ได้มาประชุมกับผมอีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์ว่ามีแนวโน้มจะตึงเครียดขึ้นอีกเพราะ มีข่าวว่าจะใช้Social Media ระดมคน มาชุมนุมที่สถานีเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งที่ประชุมเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่า หากมีการเติมคนมากขึ้นและทางเรา ไม่ถอย สื่ออาจกลายเป็นคู่ขัดแย้งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ถือเป็นการตัดสินใจเสี้ยวนาทีสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นในฐานะที่ตนเคยเป็นบรรณาธิการข่าวมาก่อน

เคยได้รับการอบรมมาว่า “ไม่มีข่าวไหนที่สำคัญกว่าความปลอดภัยของคนทำข่าว”

และในฐานะผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ มีหน้าที่ ที่ต้องปกป้องรักษาทรัพย์สินของราชการ จึงจำเป็นต้องตัดสินใจ ที่จะชะลอการออกอากาศ เพื่อลดการเผชิญหน้าและนำเข้าสู่การพิจารณาตามกลไกที่เรามีคือ คณะอนุกรรมการ รับและ พิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน โดยผลการพิจารณาคาดว่าคงจะออกมาใน วันจันทร์ หรือวันอังคารที่ 18 - 19 มีนาคมนี้ และผมยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซง จากภายในหรือภายนอก อย่างที่มีปรากฎในสื่อฯ”

นายสมชัยย้ำว่า ไทยพีบีเอสยังรักษาจุดยืนการทำรายการตอบโจทย์ต่อไป ส่วนกรณีที่นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ที่ตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นพิธีกรรายการอย่างกระทันหัน ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะนายภิญโญและทีมงานของเขาได้ทุ่มเทให้กับการทำงานตลอดมา จนทำให้ราย การเป็นที่รู้จักกว้างขวางเป็นเครดิตของนายภิญโญ

ทั้งนี้ นายสมชัย ยืนยันว่ารูปแบบเนื้อหารายการ จะยังต้องดำเนินต่อไป โดยกำหนดให้เป็นพื้นที่กลาง ในการนำเสนอความคิดหลากหลาย และเป็น พื้นที่แลกเปลี่ยนในประเด็นสำคัญๆ อย่างตรงไปตรงมาของสังคมไทยต่อไป

ที่มา : http://www.isranews.org/เรื่องเด่น/item/20024
///////////////////////////////////////////////////////////