--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รัฐสภา ปฏิเสธคำสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ได้หรือไม่ !!?

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ

1 มิถุนายน 2555 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้อ้างอำนาจตาม “รัฐธรรมนูญ มาตรา 68” เพื่อรับคำร้องมาวินิจฉัยว่า การดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 โดยรัฐสภาและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นกรณีที่ศาลจะสั่งการให้ “เลิกการกระทำ” ได้หรือไม่

นอกจากนี้ ศาลได้มี “คำสั่ง” ไปยังเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแจ้งให้รัฐสภารอการดำเนินการดังกล่าวจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย โดยข้อมูลจากรายงานข่าวนั้น ไม่ชัดเจนว่าศาลได้สั่งไปยัง “สมาชิกรัฐสภา” โดยเจาะจง หรือเป็นเพียงการสั่งไปยัง “เลขาธิการ” เพื่อ “แจ้งสภาให้ทราบ” เท่านั้น (อ้างอิง http://on.fb.me/LQrM7w)

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ผู้เขียนขออาศัยวันเดียวกันเขียนเชิญชวนให้เรา โดยเฉพาะ “บรรดาผู้แทนของเรา” ร่วมกันใคร่ครวญว่า “รัฐสภา” ในฐานะ “ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทยเพื่อถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารและตุลาการ” นั้น จะสามารถ “ปฏิเสธคำสั่ง” ของศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ?
ในขั้นแรก รัฐธรรมนูญ ได้กำหนดว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา…” แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า “คำสั่ง” ของศาลนั้น มีผลผูกพันเด็ดขาดต่อรัฐสภาหรือไม่
ในขั้นต่อมา การที่รัฐสภาจะตัดสินใจปฏิเสธหรือปฏิบัติตาม “คำสั่ง” ของศาลหรือไม่นั้น รัฐสภาจะต้องปฏิบัติตาม “รัฐธรรมนูญ” อย่างน้อยสี่มาตรา คือ

มาตรา 3 วรรค 2 บัญญัติว่า ทั้งรัฐสภาและศาล ต่างต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรม
มาตรา 6 บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายอื่นจะมาขัดแย้งมิได้
มาตรา 291 (5) บัญญัติให้ รัฐสภามีหน้าที่ต้องพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่สาม เมื่อพ้น 15 วันหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาวาระที่สอง
และที่สำคัญ คือ มาตรา 122 ซึ่งบัญญัติว่า
“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”
ดังนั้น ประเด็นที่ “รัฐสภา” ต้องพิจารณาก็คือ หาก “รัฐสภา” ปฎิบัติตาม “คำสั่ง” ของศาลรัฐธรรมนูญแล้วไซร้ จะเกิดผลอะไรต่อบทบัญญัติทั้งสี่มาตราที่กล่าวมานี้ ?

กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ หากการปฎิบัติตาม “คำสั่งศาล” ดังกล่าว มีผลเป็นการยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นการขัดหลักนิติธรรมทั้งโดยศาลและรัฐสภา เป็นการละเมิดกำหนดเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อีกทั้งส่งผลให้ผู้แทนปวงชนชาวตกอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำ ของศาลแล้วไซร้ รัฐสภาย่อมมี “หน้าที่” ตามรัฐธรรมนูญที่จะปฏิเสธ “คำสั่ง” ดังกล่าว !
หาก “รัฐสภา” สำนึกในหน้าที่ของตนได้ดังนี้ ผู้เขียนก็จะขอเสนอคำถามเบื้องต้นที่อาจช่วยตรวจสอบว่า “คำสั่ง” ของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่านั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญ

คำถามแรก: ศาลใช้อำนาจ “เกินกรอบ” มาตรา 68 หรือไม่ ?

รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก บัญญัติว่า
“บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้”
ถ้อยคำของ มาตรา 68 ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเฉพาะการกระทำที่เป็นการ “ใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อล้มล้างการปกครอง…ฯ เท่านั้น ซึ่ง “การใช้สิทธิเสรีภาพ” ย่อมเป็นคนละเรื่องกับ “การใช้อำนาจหน้าที่” เช่น การลงมติสนับสนุนหรือเห็นชอบการแก้ไข มาตรา 291

ลักษณะสำคัญของ “การใช้สิทธิเสรีภาพ” คือ ผู้กระทำได้อ้าง “สิทธิเสรีภาพ” เพื่อประโยชน์ของตนตามที่ตนปราถนาโดยปลอดจากสภาพบังคับ และจะใช้หรืออ้าง “สิทธิเสรีภาพ” หรือไม่ก็ได้ ตัวอย่างการกระทำที่อาจเข้าข่าย มาตรา 68 อาจมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การดำเนินนโยบายพรรคการเมืองเพื่อยุยงให้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ การนัดชุมนุมเพื่อทำให้คณะรัฐมนตรี รัฐสภาหรือศาลไม่อาจทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

แต่ “การใช้อำนาจหน้าที่” นั้น หมายถึง ผู้กระทำมิอาจเลือกได้อย่างอิสระว่า ตนจะกระทำหรือไม่กระทำเพื่อประโยชน์ของตนตามที่ปราถนาโดยปลอดจากสภาพบังคับ แต่เป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกกำหนดให้กระทำไปเพราะมีอำนาจหน้าที่ต้องกระทำหรือต้องใช้ดุลพินิจกระทำไปในฐานะส่วนหนึ่งของกลไลตามรัฐธรรมนูญ

เช่น การที่สมาชิกรัฐสภาจะเสนอญัตติ หรือออกเสียงลงคะแนน หรือกระทำการอื่นที่เกี่ยวกับการแก้ไข มาตรา 291 ก็ถือเป็น “การใช้อำนาจหน้าที่” ซึ่งการใช้ดุลพินิจย่อมไม่อิสระ แต่อยู่ภายใต้ มาตรา 122 กล่าวคือ จะอ้างว่ามีเสรีภาพใช้ดุลพินิจเพื่อตนเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้ และจะสงวนการใช้สิทธิเสรีภาพว่าขอละเว้น ไม่รับรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทำหน้าที่ในสภาก็ไม่ได้ เช่นกัน เป็นต้น

ข้อที่สำคัญกว่านั้น คือ หากมี “การตีความปะปน” ว่า “การใช้อำนาจหน้าที่” ตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็น “การใช้สิทธิเสรีภาพ” ตาม มาตรา 68 ไปเสียแล้ว ก็จะส่งผลแปลกประหลาดทำให้ ศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นองค์กรที่มีเขตอำนาจล้นพ้น สามารถรับเรื่องมาวินิจฉัยการใช้อำนาจหน้าที่ได้มากมาย
เช่น การใช้อำนาจของคณะองคมนตรีในการเสนอชื่อผู้สมควรเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตาม มาตรา 19 การใช้อำนาจของรัฐสภาในการเห็นชอบการประกาศสงครามตาม มาตรา 189 การใช้อำนาจของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาในการเลือกผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตาม มาตรา 204 ก็อาจล้วนถูกศาลตรวจสอบได้ เป็นต้น

หรือแม้แต่การเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง หากมีผู้อ้างว่าเป็นการ “ใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อล้มล้างการปกครอง…ฯ ก็จะกลายเป็นว่า สามารถถูกตรวจสอบโดยศาลได้ โดยไม่ต้องรอให้มีการพิจารณาตามวาระของรัฐสภาเสียด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองได้อีกด้วย !

ยิ่งไปกว่านั้น หาก “สิทธิการยื่นคำร้อง” ตามมาตรา 68 ถูกตีความอย่างพร่ำเพรื่อ เช่น อ้างอำนาจตุลาการมายับยั้งการใช้ดุลพินิจของผู้แทนปวงชนได้ทุกกรณีแล้วไซร้ “สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” นี้เองอาจกลับกลายมาถูกนำมาใช้ในทางที่เป็น “ปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ” ทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ และขัดต่อหลักการใช้สิทธิตาม มาตรา 28 อีกด้วย

(อนึ่ง ผู้เขียนน้อมรับหากมีผู้เห็นต่างเรื่องสิทธิหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและการแยกแยะสถานะของ “เอกชน” และ “รัฐ” ซึ่งก็หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนในทางวิชาการต่อไป)

คำถามที่สอง: ศาลใช้อำนาจ “ข้ามขั้นตอน” อัยการสูงสุดหรือไม่ ?

รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง บัญญัติว่า
“ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว”
ศาลตีความว่า ผู้ที่จะนำคดีมาสู่ศาล จะเสนอเรื่องผ่านอัยการสูงสุดให้ยื่นคำร้องต่อศาลก็ได้ หรือ จะยื่นคำร้องเองโดยตรงต่อศาลเลยก็ได้ ดังนั้น ศาลจึงรับคำร้องได้โดยไม่ต้องรออัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

คำถามก็คือ การตีความที่ว่านี้ ขัดต่อทั้งถ้อยคำและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งสร้างผลประหลาดตามมาหรือไม่

หากพิจารณาถ้อยคำ มาตรา 68 ว่า “มีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย” การตีความของศาลทำให้เกิดปัญหาทางภาษาอย่างน้อย 2 ระดับ ระดับแรก คือ เสมือนศาลได้แทนคำว่า “และ” ด้วยคำว่า “หรือ” และระดับที่สอง คือ ศาลได้ใช้ตรรกะภาษาที่ตีความขัดกับรูปประโยค เพราะหากศาลมองคำว่า “และ” ให้แปลว่า “หรือ” ก็จะเท่ากับว่า รูปประโยคไม่ได้ให้อำนาจ “อัยการสูงสุด” เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล

หากพิจารณาในแง่เจตนารมณ์ จะเห็นว่า “อัยการสูงสุด” มีบทบาทจำเป็นในการกรองคดี เพราะศาลไม่มีทรัพยากรที่จะไปตรวจสอบหรือสืบสวนการ “ล้มล้างการปกครองฯ…” ซึ่งอาจมีข้อเท็จจริงและพฤติกรรมที่ต้องอาศัยพยานหลักฐานจำนวนมาก เห็นได้จาก คดีอื่นในทางมหาชน เช่น คดีทุจริต หรือ คดีพรรคการเมือง ก็จะมี อัยการ ป.ป.ช. หรือ กกต. เป็นผู้นำคดีมาสู่ศาล หรือ หากเป็นคดีที่ฟ้องตรงได้ต่อศาล ก็จะต้องเป็นกรณีที่วินิจฉัยข้อกฎหมายและมีข้อจำกัดในเรื่องผู้มีสิทธินำคดีมาสู่ศาล อีกทั้งป้องกันการกล่าวอ้างสารพัดมาเพื่อสร้างภาระคดีต่อศาลโดยตรง

การให้ความสำคัญกับอัยการสูงสุด ยังปรากฏหลักฐานจาก “รายงานการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ” ครั้งที่ 27/2550 เช่น คำอภิปรายโดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ในหน้าที่ 6-8 และนายจรัญ ภักดีธนากุล (ผู้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเวลานี้) ในหน้าที่ 32-34 ซึ่งอภิปรายถึงการให้อัยการสูงสุดเป็นผู้นำคดีไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ได้กล่าวถึงการให้สิทธิบุคคลอื่นยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลแต่อย่างใด (อ้างอิง http://bit.ly/Mg9kLY)

นอกจากนี้ การตีความของศาลก็ส่งผลประหลาด คือ ทำให้บทบาทของ “อัยการสูงสุด” ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลนั้นไร้ความหมาย เพราะหากผู้ใดจะนำคดีไปสู่ศาล ก็ย่อมยื่นต่อศาลโดยไม่เสนอเรื่องผ่านอัยการ และหากผู้อื่นเสนอเรื่องเดียวกันให้อัยการในเวลาเดียวกัน ก็จะเกิดคำถามตามมาว่าอัยการต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปหรือไม่ เพราะศาลได้รับคำร้องเรื่องเดียวกันจากผู้อื่นที่ยื่นตรงต่อศาลไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ มาตรา 68 ให้ศาลมีอำนาจ “ยุบพรรคการเมือง” หรือ “ตัดสิทธิทางการเมือง” ก็คือการให้ตุลาการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมี “อัยการ” เป็นกลไกในการกรองคดี แต่หากศาลตีความเพิ่มอำนาจให้ตนเองได้อย่างกว้างขวางแล้ว ก็จะเป็นช่องทางให้มีผู้ใช้ตุลาการเป็นอาวุธทางการเมือง ซึ่งก็จะกลับมาทำร้ายตุลาการในที่สุด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ผู้เขียนไม่ปฏิเสธเลยว่าการแก้ไข มาตรา 291 มีปัญหาและความไม่สง่างามหลายประการ แต่นั่นคือปัญหาที่รัฐสภาเสียงข้างมากต้องรับผิดชอบทางการเมือง และประชาชนก็ต้องจ่ายราคาของประชาธิปไตยที่จะอดทนเรียนรู้และตัดสินใจได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป แต่ประชาชนจะไม่มีวันเรียนรู้โดยตัวเองเลย หากเราปล่อยให้มีเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนำมาตรฐานจริยธรรมและความพึงพอใจทางการเมืองส่วนตนมาลากประชาชนไปสู่ทางออกที่ตนยังไม่ทันได้เข้าใจ

ดังนั้น หาก “รัฐสภา” พิจารณาได้ว่า “คำสั่ง” ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นเพราะ “เกินกรอบ” และ “ข้ามขั้นตอน” ตามตามที่อธิบายมาก็ดี หรือ เพราะขัดหลักนิติธรรม หรือหลักการแบ่งแยกอำนาจ หรือ หลักอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญก็ดี (หรือสภาเห็นช่องทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการอนุโลมกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลกำหนดขึ้นเอง “ระหว่างรอกฎหมาย” จากรัฐสภาก็ดี!) “รัฐสภา” ย่อมมี “หน้าที่” ที่จะต้องปฎิเสธและไม่ปฏิบัติตาม “คำสั่ง” ดังกล่าว เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญแทนปวงชนชาวไทย อีกทั้งต้องร่วมต่อต้าน ดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งพิจารณาถอดถอนผู้ใดที่จงใจใช้อำนาจนอกวิถีรัฐธรรมนูญ

แต่หากประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาปฏิบัติตาม “คำสั่ง” อันขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อีกทั้งยัง “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” เมื่อพ้นเวลา 15 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วไซร้ ก็พึงสังวรว่า กลับเป็นประธานและสมาชิกรัฐสภาหรือไม่ ที่ร่วมลงมือละเมิดรัฐธรรมนูญของประชาชน และอาจต้องโทษอาญาเสียเอง

ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 

อดีตคณบดีนิติ มธ. ชี้ ตุลาการ รธน. ละเมิดรธน. เสียเอง เสนอเข้าชื่อถอดถอน !!?

พนัส ทัศนียานนท์ – ปิยบุตร แสงกนกกุลชี้ ตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งสภาผู้แทนราษฎรระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน เป็นคำสั่งที่ละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเองและขัดต่อหลักแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย เสนอล่าชื่อถอดถอน ด้านพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล แจงวุฒิสมาชิกลงคะแนน 3 ใน 5 ถอดตุลาการรัฐธรรมนูญได้

ภายหลังตุลาการรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 รับคำร้องพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังดำเนินนั้นมีลักษณะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งยังมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งรัฐสภาระงับการดำเนินเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลมีคำวินิจฉัยด้วย

โดยนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยนายสมฤทธิ์ ไชยวงศ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้ร่วมกันแถลงว่า “เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ศาลมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งรัฐสภาระงับการดำเนินเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลมีคำวินิจฉัย นอกจากนี้ ให้ ครม. , รัฐสภา, พรรคเพื่อไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา, นายสุนัย และนายภราดร มีหนังสือชี้แจงต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งสำเนาคำร้องและนัดคู่กรณีไต่สวนวันที่ 5-6 ก.ค.2555 เวลา 09.30 น. ซึ่งตุลาการจะเป็นการออกนั่งบัลลังก์ และหากไต่สวนได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว คณะตุลาการก็อาจนัดวันฟังคำวินิจฉัยได้เลย แต่หากข้อเท็จจริงยังไม่ครบถ้วนก็อาจไต่สวนเพิ่มเติมได้"
ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

วันนี้ ส่งผลสะเทือนต่อระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 3 ประการคือ

1 ต่อไปนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้กุมชะตากรรมของ "การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ" ทุกครั้ง

2 ลำดับชั้นของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญ จะเสียไปทั้งหมด

3 การสั่งให้สภาระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ชั่วคราว ไม่มีรัฐธรรมนูญเขียนไว้เลย แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังสามารถไปเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ นั่นหมายความว่า อนาคตอาจมีอีก

“ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้นมาเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กลับเป็นองค์กรที่ละเมิดรัฐธรรมนูญเอง แล้วจะทำอย่างไร?” นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ตั้งคำถาม

ขณะที่นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้ง แสดงความเห็นว่าการวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ และเสนอให้รวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอน และได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กในคืนวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า

“การที่ศาลรธน.มีคำสั่งให้สภาผู้แทนราษฎรระงับการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.มาตรา 291 ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการก้าวก่ายการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตุลาการที่ออกคำสั่งดังกล่าวจึงมีลักษณะเข้าข่ายที่อาจถูกถอดถอนตามบทบัญญัติมาตรา 270 ได้ ฉะนั้น จึงขอเสนอให้มีการรณรงค์เพื่อร่วมกันเข้าชื่อถอดถอนตามกระบวนการที่รธน.บัญญัติไว้”

“รัฐสภาคือตัวแทนอำนาจสูงสุดของประชาชน จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยเรื่องอำนาจกนิติบัญญัติและการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด ตามหลักการประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของอังกฤษ ซึ่งเราถือเป็นแบบอย่าง เขาถือว่ารัฐสภามีอำนาจสูงสุดตามหลัก Supremacy of Parliament”

อย่างไรก็ตาม นายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษากฎหมายได้แสดงความเห็นว่า คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเองนั้นย่อมไม่มีผลผูกพันบรรดาองค์กรต่างๆ ของรัฐ และเห็นว่าจะต้องแสดงความไม่ยอมรับต่อคำวินิจฉัยดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายระบบในระยะยาว โดยผู้มีอำนาจในการถอดถอนตุลาการัฐธรรมนุญนั้นทำได้โดยวุฒิสภา ด้วยเสียง 3 ใน 5 ตามมาตรา 209 (6) ประกอบมาตรา 274 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย.พ.ศ. 2550

"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ" ตามมาตรา 216วรรคห้า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ย่อมหมายถึงเฉพาะ 'คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ' เท่านั้นครับ หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเองแล้ว ย่อมเป็น "คำวินิจฉัย" ที่ปราศจากฐานรองรับตามรัฐธรรมนูญ (unconstitutional actions) เช่นนี้ "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นว่านั้น" ย่อมไม่ผูกพัน 'บรรดาองค์กรใดๆของรัฐ' ตามมาตรา 216 วรรคห้า ซึ่งการไม่ผูกพันสามารถแสดงออกโดยผ่านวิธี "เพิกเฉย" (ignored) ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นว่านั้น ไม่ยอมบังคับผูกพันต่อคำวินิจฉัยที่ขัดรัฐธรรมนูญ นี่เป็นวิธีกระทำต่อตัวคำวินิจฉัย (นอกไปจากวิธีลบล้างโดยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ) (efficacy as condition of validity) แต่ถ้ากระทำต่อตัว 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ก็ต้องถอดถอนโดยวุฒิสภา ตามมาตรา 209 (6) ประกอบมาตรา274 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”

“นี่เป็นวิธีการอย่างเร็วในการยับยั้งอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนะครับ ถ้าไป "รับตามคำบังคับ" มันจะเป็นคำสั่งที่จะดำรงอยู่ในระบบกฎหมายต่อไป และระบบจะไม่เป็นระบบ จะไม่สามารถอธิบายในทางหลักวิชาได้เลย และทำลายโครงสร้างทั่วไปของ รัฐธรรมนูญในที่สุดครับ”

ที่มาของมติตุลาการรัฐธรรมนุญมาจากคำร้องของ 1.พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม และกลุ่ม 40 ส.ว. 2.นายวันธงชัย ชำนาญกิจ 3.นายวิรัตน์ กัลยาศิริ 4. นายวรินทร์ เทียมจรัส 5.นายบวร ยสินทร และคณะ ที่ยื่นหนังสือให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐสภา พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา นายสุนัย จุลพงศธรและคณะ และนายภราดร ปริศนานันทกุล และคณะได้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550

โดยคำร้องดังกล่าวขอให้ตุลาการวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่

สำหรับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน เป็นคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดที่ 3 ของไทย จัดตั้งขึ้นตามความในมาตรา 300 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดแรกถูกยุบไปภายหลังจากที่มีจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ภายหลังจากการรัฐประหาร ได้มีการตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นชุดที่ 2 โดยมีอำนาจตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งมาตรา 300 ได้กำหนดให้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็น ศาลรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ภายหลังจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550

หมายเหตุ

รัฐธรรมนูญ มาตรา 209 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(1) ตาย
(2) มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
(3) ลาออก
(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 205
(5) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา207
(6) วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
(7) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ภายใต้บังคับมาตรา 216

รัฐธรรมนูญมาตรา 274 สมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการออกเสียงลงคะแนนซึ่งต้องกระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปี

มติของวุฒิสภาตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด และจะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

อ่านเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ไทยโพสต์: ล้มการปกครอง! มติ5:4รอวินิจฉัยชำเรารัฐธรรมนูญโหวตวาระ3สะดุด

ที่มา:ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นักวิชาการชี้พลังแปลกปลอม ไม่ชนะยั่งยืนในระบอบเสรีประชาธิปไตย !!?


ดร.เกษียร เชื่อพลังแปลกปลอมจะไม่สามารถชนะอย่างยั่งยืนในระบอบเสรีประชาธิปไตย ต่อให้ปิดสภา ยึดอำนาจ

ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า คิดอย่างซีเรียส การปิดล้อมสภาก็คือการปิดล้อมช่องทางการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน และการรัฐประหารก็คือการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนไป อย่างแรกทำให้ประชาธิปไตยเป็นอัมพาต อย่างหลังเป็นการสังหารประชาธิปไตย ทั้งสองประการมุ่งทำให้อำนาจของประชาชน impotent คือหมดสมรรถภาพ เหมือนบุคคลง่อยเปลี้ยเสียขาพิการ มีชีวิตแต่ไม่มีอำนาจเหนือตนเอง ดูแลจัดการปกครองตนเองไม่ได้

ในทางกลับกัน สภาที่ลงมติผิดพลาด ก็คือการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนอย่างผิดพลาด เมื่อใดที่ประชาชนตระหนักว่ามันผิดพลาด เมื่อนั้นประชาชนก็จะเลือกคณะพรรคผู้แทนชุดใหม่หรือยึดนโยบายใหม่เข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากประชาชนไม่คิดเช่นนั้น กลุ่มเสียงข้างน้อยก็มีสิทธิเสรีภาพจะรณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าประชาชนส่วนข้างมากจะเปลี่ยนใจมาเห็นด้วยกับตน

ดร.เกษียร เห็นว่า การที่พันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสีและประชาธิปัตย์เลือกใช้วิธีแรกสะท้อนว่าพวกเขาไม่เชื่อประชาชน (ว่าจะคิดเองเป็นและเปลี่ยนใจได้หากเห็นจริงว่าสิ่งใดถูกต้อง) ไม่เชื่อตนเอง (ว่าจะสามารถใช้เหตุผลข้อเท็จจริงเปลี่ยนใจประชาชนได้) ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพ (ว่าเป็นช่องทางให้ต่อสู้ด้วยเหตุผลเพื่อเปลี่ยนใจประชาชนอย่างสันติ) และไม่เชื่อประชาธิปไตย (ว่าเป็นระบบที่เปิดให้ประชาชนแก้ไขข้อผิดพลาดได้ด้วยการเลือกตัวแทนใหม่หากต้องการ)

ไม่มีทางที่กลุ่มบุคคลที่ไม่เชื่อประชาชน ไม่เชื่อตนเอง ไม่เชื่อสิทธิเสรีภาพและไม่เชื่อประชาธิปไตย จะชนะในระบอบเสรีประชาธิปไตยได้ ต่อให้ปิดสภา ยึดอำนาจ ก็ไม่นานและไม่ยั่งยืน ได้แต่ชะลอวันพ่ายแพ้ราบคาบออกไปด้วยการทำลายตนเอง ทำลายคนอื่น ทำลายระบบเท่านั้นดูเพิ่มเติม

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า !!?

ชิชะ, ดูแล้ว “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะด่ากระทบชิ่ง เข้าตัวเองเต็มเปา
เมื่อ “ท่านคณิต ณ นคร”ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ “คอป.” สับศอกถวายแหวน ใส่ “อภิสิทธิ์” เสียหน้าเยิ่นเชียว
“คอป.”นั้น “อภิสิทธิ์” เป็นผู้แต่งตั้ง...แต่เสนออะไรไม่เคยฟัง แม้ครั้งเดียว
ไม่รู้จะตั้งเข้ามาทำพันธุ์อะไร?.. เสนอหนทาง “การปรองดอง” ไปก็เงียบฉี่...ผิดกับ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สนองตอบ ต่อคำแนะนำ ของ “ท่านอาจารย์คณิต” ด้วยดี
หรือที่เค้าไม่เอาการปรองดอง..ไม่ใช่ว่าหยิ่งจองหอง..เค้าคิดจองเป็นนายกฯจากค่ายทหารอีกที

----------------------------------

มี “ชนักติดหลัง” เป็นกุรุส
สมควรแล้วหรือ?.. ที่ “ท่านปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “ปปช.” จึงร่อนสาส์น เชิญ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มาพูด
อย่าลืมว่า “รัฐบาลประชาธิปัตย์” และ “คุณอภิสิทธิ์” มีบาดแผลยั้วเยี้ย ยุบยับ ถูก “ป.ป.ช.”เพื่อจับเอาผิด
“ให้เกียรติ” คนมีได้มีเสีย มีผลแพ้ชนะทางคดี กับ “ป.ป.ช.” มาเป็น “กูรู” บรรยายให้เช่นนั้น.. เหมือนเป็นการให้ “อภิสิทธิ์”
ยิ่งมีการกล่าวขาน ว่าเป็น “คอหอยกับลูกกระเดือก”ด้วยกันแล้ว...น่าจะเชิญ “นักวิชาการคนกลาง” มาให้ทัศนะ จึงจะโสภา
ดึง “มาร์ค”มาส่งเสียงสังข์...จึงมีเสียงติความหลัง..ถึงกระทั่งมีคนครหา

----------------------------------

ต้อง “อลังการงารสร้าง”
จะให้ “คุณพี่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาเป็นหัวหน้าพรรค..นายทุนใหญ่ต้องมีสะตังค์
ว่ากันว่า มีคนผู้กว้างขวาง “ย่านเตาปูน” รับหน้าเสื่อ ที่จะเป็น “นายทุนหลัก” ให้กับ “คุณพี่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” สมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง ที่พ้นโทษการเว้นวรรค ๕ ปี
ไปเอา “พรรคความหวังใหม่” ของ “คุณพี่ชิงชัย มงคลธรรม” มาปัดกวาดอีกดี
เจรจากันเป็นวรรคเป็นเวร สุดท้าย “เสี่ยสมคิด” ก็ต้องแจว ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย
เหตุที่ “คุณสมคิด”ต้องหนีฝุ่นสลบ..เงินที่มาลงทุนมีไม่ครบ..ฉะนั้น,จึงถอยเพราะกลัวว่าจะพบจุดจบไม่สวย

-----------------------------------

“แตกคอ” นับวันส่อว่า จะยิ่งหนัก
ก้อ “ผู้รักประชาธิปไตย” นักรบเสื้อแดง กับ “พรรคเพื่อไทย” ไงล่ะที่รัก
ยิ่งระหองระแหง กินแคลงแหนงใจกันมากเท่าไหร่... “ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็รับโบนัสชิ้นใหญ่ไป
สะท้อนให้เห็นผลพวง การ “แทงข้างหลัง” เตะตัดขากันเอง ยิ่งทำให้ การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด “อบจ.” กลุ่มของ “เนวิน ชิดชอบ” ได้ชัย
นัยว่า, “กลุ่มเนวิน” และ “เทพเทือก” เดินเกมเพื่อคว้าเก้าอี้ “นายกฯ อบจ.” ทำลายสร้างเสียง “คนเสื้อแดง” ให้ศูนย์
ทะเลาะกันเอง..ระวังจะเจ๊ง?..พังหงายเก๋งทั้งกระดานนะคุณ

---------------------------------------

ป้ายสีเสื้อแดง
งัดมุกขึ้นมากล่าวหา ว่าร่ำรวยมหาศาล..เป็นสาดโคลน จงใจเพื่อที่จะกลั่นแกล้ว
ทั้ง ๆที่ “อารี ไกรนรา” คนสนิทชิดเชื้อ ของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรฯ ยังเป็นคนเก่าหน้าเดิม
ฐานะความเป็นอยู่ มิได้อู้ฟู้ร่ำรวยเพิ่ม
แต่ต้องการโจมตี ให้หัวขบวนแถวหน้าของ “คนเสื้อแดง” ได้เหม็นโฉ่กันเสร็จสรรพ
ขบวนการทำลาย “เสื้อแดง”...กำลังแฝง?..มาแรงจริงๆ ขอรับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ซูจี ทวิตเย้ยการเมืองไทย ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยอยุธยา !!?

“ออง ซาน ซู จี” ทวิตข้อความเย้ยการเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยอยุธยาที่มีแต่ความวุ่นวาย แขวะรัฐมนตรีเพื่อไทยเสแสร้งแกล้งทำเป็นรักประชาธิปไตย

นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่า ที่อยู่ระหว่างเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ออน อีสต์ เอเชีย ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองไทยไปในทางเยาะเย้ยถากถางว่า “ฉันมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ได้พบกับรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย พวกเขาเสแสร้งให้เห็นว่ารักประชาธิปไตย การเมืองไทยยังคงวุ่นวาย มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยอยุธยา”

ทั้งนี้ นางซู จี เดินทางมาถึงไทยเมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยภารกิจเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ได้เดินทางไปพบกับแรงงานพม่าที่ตลาดกุ้งในจังหวัดสมุทรสาคร ท่ามกลางการโห่ร้องแสดงความยินดีของบรรดาแรงงานพม่า ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังศูนย์พิสูจน์สัญชาติ อำเภอมหาชัย เพื่อพบกับแรงงานอีกกลุ่มหนึ่ง

นางซู จี กล่าวกับแรงงานพม่าว่า เดินทางมาประเทศไทยก็เพื่อรับทราบทุกข์สุขของพี่น้อง และจะนำเรื่องปัญหาทุกข์ร้อนที่พบเจอไปหารือกับรัฐบาลไทยเพื่อแก้ไข ปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น แต่ขอให้ใช้ความอดทน ใครได้รับมอบหมายหน้าที่จากนายจ้างไว้อย่างไรก็ให้ทำงานอย่างเต็มที่ และขอให้รอเวลา จะพยายามหาทางพัฒนาประเทศพม่าเพื่อให้พวกเราทุกได้เดินทางกลับประเทศ และนำทักษะความรู้ที่มีอยู่ไปพัฒนาชาติ ขอให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ อย่าให้เสียชื่อประเทศชาติได้

หลังพบปะกับแรงงานพม่า นางซู จี เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่บริษัทยูนิลีเวอร์ ย่านลาดกระบัง จากนั้นไปพบปะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านที่โรงแรมแชงกรี-ลา


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ คลี่ปมกฎหมายอาญา ม.112 ร่ายจดหมายเปิดผนึกวอน สังคมไทยเร่งแก้ !!?

เรื่อง "สถาบันกษัตริย์ไทย กับมาตรฐานสากล และปัญหา กม. หมิ่นฯ ม. 112"

1.จากการศึกษาและจากการสอน "วิชาประวัติศาสตร์การเมืองสยาม/ไทย" มาเป็นเวลานานปีผมได้พบว่า ขณะนี้สังคมและประชาชนไทยของเราเผชิญต่อปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่ง คล้ายๆ กับที่ได้เผชิญมาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2475 (1932) คือเมื่อ 80 ปีที่แล้วในเรื่องของ "รัฐธรรมนูญ" ที่ถ้ามองจากเหรียญด้านหัวของ "คณะเจ้า" ก็กล่าวกันว่า "คณะราษฎร" ใจร้อน ชิงสุกก่อนห้าม แต่ถ้ามองจากเหรียญด้านก้อยของ “"คณะราษฎร" ก็เชื่อกันว่า "คณะเจ้า" นั่นแหละ ล่าช้า อืดอาด ไม่ทันโลก ผ่านจาก "การปฎิรูป" พ.ศ. 2435/1893 รัชกาลที่ 5 (ตรงกับสมัยจักรพรรดิเมจิ) ก็แล้ว จนถึงรัชกาลที่ 6 (ทดลองดุสิตธานีก็แล้ว) รัชกาลที่ 7 (ทรงให้ที่ปรึกษาต่างชาติ ร่างรัฐธรรมนูญก็แล้ว) ก็ยังไม่พระราชทานรัฐธรรมนูญเสียที จึงมี "ความจำเป็นทางประวัติศาสตร์" ที่จะต้องมี "การปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475" เพื่อเปลี่ยน "ระบอบราชาธิปไตย" ให้เป็น "ระบอบประชาธิปไตย"

ปัญหาที่สังคมและประชาชนไทย เผชิญอยู่ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ก็คือ เราจะสามารถปฏิรูป และแก้ไข "กฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112" ได้ช้า หรือได้เร็ว และจะทันท่วงทีกับสถานการณ์ของการเมืองภายในของเราเอง กับสถานการณ์ของการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่ นี่คือปัญหา ของ "เหรียญสองด้าน" ที่เราต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างด้านหัว กับด้านก้อย ระหว่าง "กลุ่มอำนาจเดิม-พลังเดิม" กับ "กลุ่มอำนาจใหม่-พลังใหม่"

2.จากการศึกษาของผม พบว่ามีข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับ ปัญา กม.หมิ่นฯ ม. 112 ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ที่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานรวบรวมและจัดพิมพ์ ในวโรกาส 84 พรรษา ชื่อเรื่อง King BhumibolAdulyadej: A Life′s Work หนา 383 หน้า ราคา 1, 235 บาท หรือ 40 US$ มีนักเขียนที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ เช่น คริส เบเกอร์-พอพันธ์ อุยยานนท์-เดวิด สเตร็กฟุส ร่วมด้วย

ในหนังสือเล่มนี้บทที่ว่าด้วย "กฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย..." หน้า 303-313 (The Law of Lese Majeste) มีข้อความถอดเป็นภาษาไทยได้ดังนี้

"จากปีพ.ศ. 2536 (1993) ถึงปี พ.ศ. 2547 (2004) เป็นเวลาถึง 11 ปี โดยเฉลี่ยแล้ว

จำนวนคดีหมิ่นฯ ใหม่ๆ ลดลงครึ่งหนึ่ง

และก็ไม่มีคดีหมิ่นฯเลย ในปี 2545 (2002).......

อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาเร็วๆนี้

จำนวนคดีหมิ่นฯ ที่ผ่านเข้ามาในระบบศาลของไทยนั้น เพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกต

ในปีพ.ศ. 2552 (2009) มีคดีฟ้องร้องที่ส่งไปยังศาลชั้นต้น สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 165 คดี....."

3.ข้อความดังกล่าวยังขยายความต่ออีกว่า

"ขณะนี้ประเทศไทยมีกฎหมายหมิ่นฯ

ที่มีโทษรุนแรงที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปี

เทียบได้ก็แต่ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นในสมัยสงคราม (โลกครั้งที่ 2) เท่านั้น

โทษขั้นต่ำสุด (ของไทย) เท่ากับโทษสูงสุดของจอร์แดน

และเป็นสามเท่าของโทษในประเทศระบอบกษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญในยุโรป...."

นี่นับได้ว่าสูงสุดในมาตรฐานสากลของอารยประเทศ ซึ่งก็ทำให้ "ราชอาณาจักรไทย" สมัยรัชกาลปัจจุบันนี้ มีคดีหมิ่นฯ ขึ้นโรงขึ้นศาล มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโลกเช่นกัน

ผมคิดว่าข้อมูลเชิงประจักษ์จากหนังสือสำคัญเล่มนี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย จักต้องนำมาพิจารณาเพื่อปฏิรูปปรับปรุงแก้ไข ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงคดีที่ค้างคากันอยู่จำนวนมาก รวมทั้งกรณีของ "อากง" (ที่เสียชีวิตไปแล้วในคุก) และ/หรือ "จีรนุช/สมยศ/ดาตอร์ปิโด/ก้านธูป" ฯลฯ

4.ข้อเสนอของ "ครก. 112" "คณะนิติราษฎร์" และ "กลุ่มสันติประชาธรรม" ตลอดจนคนหนุ่มคนสาว นักคิดนักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนธรรมดาๆ โดยทั่วไป ให้ปฏิรูปแก้ไข กม.หมิ่น ม. 112 นั้น เป็นข้อเสนอที่ผมได้ไตร่ตรองทางวิชาการ ทั้งทางด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์แล้ว และเห็นพ้องด้วย ควรสนับสนุน จึงได้ลงนามร่วมไปกับทั้งบรรดาอาจารย์ และบุคคลทั้งหลาย จำนวนมากหลายต่อหลายหมื่นชื่อ

ข้อเสนอของ "ครก. 112" "คณะนิติราษฎร์" และ "กลุ่มสันติประชาธรรม" ตลอดจนคนหนุ่มคนสาว นักคิดนักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนธรรมดาๆ โดยทั่วไป ถ้าสามารถผลักดันให้ดำเนินการให้ผ่านสภาฯได้ มี ส.ส. ส.ว. ที่มีทัศนะกว้างไกล มีความกล้าหาญทางจริยธรรมทางการเมือง รับลูกที่จะดำเนินการต่อในกรอบของกฎหมาย ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ก็จะช่วยให้สังคมไทยของเรา มีสันติสุข และจะทำให้สถาบันกษัตริย์ของเรา มั่นคง สถาพร และที่สำคัญคือได้มาตรฐานสากล ดังเช่นนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และยุโรปตะวันตก ไม่ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ เกิดปัญหาภายใน และล่มสลายไปอย่างในยุโรปตะวันออก ในตะวันออกกลาง ในเอเชียตะวันออก และ/หรือเอเชียใต้

5.จากการศึกษาทางวิชาการของผม พบว่าสหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก (อาจรวมหรือไม่รวมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่แพ้สงคราม และถูกสหรัฐฯ ยึดครอง กับเขียนรัฐธรรมนูญบังคับใช้) ต่างก็มีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคง สถาพร เพราะต่างได้ปฏิรูป แก้ไขให้สถาบันกษัตริย์ เป็นสถาบันที่ใช้ "พระคุณ" ที่กอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ยังให้เกิดความรัก ความเชื่อ ความศรัทธามากกว่าการใช้ "พระเดช" ที่ทำให้เกิดความกลัว ความเกลียดชัง และข่มขู่ด้วยคุก ด้วยตาราง

หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรง เข้าประหัตประหาร ทำลายชีวิตกัน

เราได้เห็นมาแล้วในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ของเรา (และเหยื่อในกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8) กับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือเหยื่อในเหตุการณ์ "6 ตุลาวันมหาวิปโยค 2519" กับเหยื่อในเหตุการณ์ "เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553" หรืออีกหลายๆ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในชนบท หรือผู้คนชายแดนชายขอบที่ห่างไกล และหลุดไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กับความทรงจำของคนแบบเราๆ ท่านๆ ในเมืองหลวง ฯลฯ

แน่นอน ผมทราบดีว่าบรรดาอารยประเทศในยุโรปตะวันตก ส่วนใหญ่ก็มี "กม.หมิ่นฯ" เช่นกัน แต่ทั้งการลงโทษ กับการบังคับใช้ ก็หาได้รุนแรง สาหัสสากรรจ์ พร่ำเพรื่อ และที่สำคัญคือ ปล่อยให้ ม. 112 กลายเป็นเครื่องมือ "ทางการเมือง" ของนักการเมืองทั้งในหรือนอกเครื่องแบบ หรือสวมสูท ผูกเน็คไทใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม

6.ผมอยากจะขยายความต่ออีกว่า ถ้าเราจะรักษาสถาบันประชาธิปไตยควบคู่กันไปกับการรักษาสถาบันกษัตริย์ เราต้องปฏิรูป กม.หมิ่นฯ ม. 112 เราต้องดูตัวอย่างของประเทศ ที่มี "สถาบันประชาธิปไตย" อยู่ร่วมกันได้กับ "สถาบันกษัตริย์" เราต้องดูประเทศที่ศิวิไลซ์ ที่เป็นอารยะ ไม่ดูประเทศที่ล้าหลัง เราต้องดูที่ที่เป็นมาตรฐานของโลก ซึ่งในเรื่องนี้ เราหนีไม่พ้นที่จะต้องดูแบบของอังกฤษ (ที่เราเรียนรู้และลอกเลียนแบบมานับแต่ คำขวัญ-สีธงชาติ-เพลงสรรเสริญพระบารมี-เครื่องแบบราชการ-เครื่องราชฯ-สายสะพาย-การถวายคำนับ-การถอนสายบัว นานานับประการ)

หรือแบบของประเทศในยุโรปตะวันตก (ที่ตามแบบของอังกฤษ) ที่รักษา "สถาบันกษัตริย์" ไว้ได้

ทำให้ "สถาบันกษัตริย์" กับ "สถาบันประชาธิปไตย/ประชาชน" อยู่คู่กันไปไม่ใช่ทำให้ "สถาบันกษัตริย์" ขัดแย้งกับ "สถาบันประชาธิปไตย"

สังคมไทยถึงจุดที่กำลังถูกท้าทายอย่างมาก เราต้องไม่ฝืนกระแสโลก ยิ่งทุกวันนี้ การสื่อสารเร็วขึ้น มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค มีเฟซบุ๊ก มียูทูบ ถ้าไม่ดูปัจจัยภายนอกเลย เรามีสิทธิพังได้ง่ายๆ

การที่มีนักวิชาการ ผู้คนจำนวนไม่น้อย บอกว่าสังคมไทยของเรานั้น ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับสังคมประเทศอื่นใดเลยนั้น สังคมไทย แม้จะมีลักษณะพิเศษก็จริง แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าเราดูในโลกนี้ องค์การสหประชาชาติ มีประเทศสมาชิก 193 ประเทศ ผมถามว่าประเทศส่วนใหญ่ เป็นระบบสถาบันกษัตริย์ หรือระบบประธานาธิบดี คำตอบคือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ หรือ 30 ประเทศเท่านั้น เป็นระบอบกษัตริย์ ในขณะที่ระบอบสาธารณรัฐ หรือ ประธานาธิบดีมีถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือ 163 ประเทศ (โปรดดูรูปถ่ายงาน Diamond Jubilee ของควีนอลิซาเบท อังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้)

เราต้องดูโลกใบใหญ่ให้เห็นว่าโลกใบนี้ เป็นอย่างไร เราฝืนกระแสโลกไม่ได้ ถ้าเราทำให้ "สถาบันกษัตริย์" กับ "สถาบันประชาธิปไตย" ขัดแย้งกัน สังคมไทยจะมีปัญหาแน่ๆ แต่ถ้าเราสามารถทำให้สองสถาบันนี้ อยู่ร่วมกัน ควบคู่กันไปได้ สังคมนี้ก็จะมีความหวัง ไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง เหมือนที่เคยเกิดรบราฆ่าฟันกันมาหลายต่อหลายยก ไม่ว่าจะเป็น "วันมหาปิติ 14 ตุลา 2516", "วันมหาวิปโยค 6 ตุลา 2519", "วันพฤษภาเลือด 2535" (ขอย้ำว่าไม่ใช่ "พฤษภาทมิฬ" เพราะชนชาติทมิฬจำนวนหลายสิบล้านคนในอินเดียใต้ ผู้ให้กำเนิดอักษร และตัวเลขมอญ/พม่า/เขมร/ไทย/ลาวหาได้มีส่วนกับการรบราฆ่าฟันของ "ไทยกับไทย" ที่ราชดำเนิน หรือราชประสงค์ไม่) รวมถึงเหตุการณ์ "เมษาพฤษภาอำมหิต 2553" ด้วย

7.ท้ายที่สุด ผมค่อนข้างเป็นห่วงว่าการปฏิรูปแก้ไข กม.หมิ่น ม. 112 นี้ คงจะยากเย็นเข็ญใจยิ่งเพราะมีแรงต้านทานจาก "พลังเดิม-อำนาจเดิม" ที่เต็มไปด้วย "โลภะโทสะโมหะและอวิชชา" สูง ส่วน "พลังใหม่-อำนาจใหม่" ก็มีทั้งที่เฉื่อยชา เมินเฉย "ได้ดีแล้วก็ทำเป็น (วัว) ลืม (ตีน)"

บางคน "เกี้ยเซียะ" บางคน "มือไม่พายแล้ว (แถม) ยังเอาเท้าราน้ำ" คนจำนวนไม่น้อย ที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ที่ผมจำเป็นต้องพบปะเป็นครั้งคราว คุยกันทีไร ก็มักบอกกับผมว่า "เห็นด้วยๆๆ" แต่ก็มีน้อยคนที่ในที่แจ้ง ในที่สาธารณะ จะกล้าออกมาพูด มาแสดงความคิดเห็น ขีดเขียนเพื่อสังคม

ผมจึงเป็นห่วงว่า ถ้าเป็นกันแบบนี้ โอกาสที่สังคมนี้จะแตกหัก ไปไกลจนถึงนองเลือดเหมือนๆ "พฤษภาเลือด 2535" หรือ "เมษา/พฤษภาอำมหิต 2553" เกิด "กาลียุค" ดังที่ปรากฏอยู่ใน "เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา" และบนหน้าบันกับทับหลัง "ปราสาทเขาพนมรุ้ง กับ ปราสาทเขาพระวิหาร" (ปางทำลายล้างโลกของ "ศิวนาฏราช" กับปางสร้างโลกใหม่ของ "นารายณ์บรรทมสินธุ์")

ถ้ามองตามกาลานุกรมประวัติศาสตร์ ที่ผมได้เล่าเรียนมา สังคมไทยของเรา ก็ยังพอมีโอกาส ที่จะ "ปลดล็อค" ปลดเงื่อนไขการนองเลือด หรือ "กาลียุค" ได้ แต่ก็นั่นแหละ สังคมนี้ก็ต้องการผู้ที่มี "ความกล้าหาญทางจริยธรรม" สูงมากในการทำภารกิจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเสียสละของผู้ที่อยู่ในปีกของ "พลังเดิม" กับ "อำนาจเดิม"

8.การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญๆ ของไทย และของสากลโลก ก็ใช้ผู้คนจำนวนไม่มาก บางทีก็เพียงสิบ บางทีก็เพียงร้อย ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น "ผู้ก่อการ" ในการเปลี่ยนแปลง

แน่นอน "ผู้ก่อการ" จำนวนไม่มากนักนั้นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมจากผู้คนส่วนใหญ่ ที่เป็น "ตัวจริงของจริง" จึงจะทำการณ์ได้สำเร็จ

ผมอยากจะเชื่อว่า ณ บัดนี้ สังคมสยามประเทศไทยเรามี "ตัวจริงของจริง" มีประชาชนที่หลากหลายจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งในกรุง ในเมือง ในชนบทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่พร้อมแล้ว สำหรับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขและปฏิรูป กม.หมิ่น ม. 112 ที่จะทำให้ทั้ง "สถาบันประชาธิปไตย-ประชาชน" และ "สถาบันกษัตริย์" อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ในกรอบของ "เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ" ต้องตามเจตนารมณ์ และจิตวิญญาณของ "กบฏประชาธิปไตย ร.ศ. 130" เมื่อ 100 ปีที่แล้ว กับ "ปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475" เมื่อ 80 ปีที่แล้ว และ "ปฏิวัติประชาชน 14 ตุลาคม 2516" เมื่อ 39 ปีที่แล้ว

"คบเพลิงของการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน" ได้ถูกส่งต่อมายังคนรุ่นเราๆ ท่านๆ ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าเช่น "รุ่นตุลา 2519" หรือ รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ "รุ่นพฤษภา 2535" หรือรุ่นล่าสุด "รุ่นเมษา/พฤษภา 2553"

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ

อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข้าราชการบำนาญ

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผ่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ..บิ๊กบัง !!?

หมายเหตุ : พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ... และได้รับการบรรจุเป็นวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 อันเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ

ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ......
______________________

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ....."

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้บรรดาการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ จนถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดกฎหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

การกระทำตามวรรคหนึ่งให้หมายถึงการกระทำของบุคคล ดังต่อไปนี้

(๑) การกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประท้วงด้วยวิธีใดๆ อันเป็นการกระทบต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง

(๒) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันระงับหรือปราบปรามในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว

มาตรา ๔ เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา ๓ อยู่ในระหว่างการสอบสวนให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนผู้นั้น ถ้าอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องให้พนักงานอัยการหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้อง ถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีถ้าใต้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดและปล่อยตัวผู้นั้น

มาตรา ๕ ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เป็นไปตามประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลเสียเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฎิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคลโดยอนุโลม และให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฎิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมต่อไป

มาตรา ๖ เพื่อให้บุคคลได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศซึ่งเป็นการสร้างความปรองดองในสังคม ให้การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองเพราะเหตุมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองเป็นอันสิ้นสุดลง และให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นไม่เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๗ การดำเนินการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการตัดสิทธิของบุคคลซึ่งมิใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่จะเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย

มาตรา ๘ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

........................................................

นายกรัฐมนตรี


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นิรโทษกรรม แบบแมนเดล่า !!?

เมื่อพูดถึงการปรองดองและการแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง ผู้คนมักจะชอบพูดถึง เนลสัน แมนเดล่า ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งสหภาพอัฟริกาใต้ว่า...
เป็นรัฐบุรุษที่มีจิตใจกว้างขวาง ยินยอมให้อภัยแก่ผู้ที่ทำความรุนแรงแก่ตัวเขา โดยจับเขาไปขังไว้ในคุกนานถึง 27 ปี

แล้วก็พูดต่อไปว่า...คนไทยทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการปราบปรามเข่นฆ่า ทั้งที่ราชดำเนินและราชประสงค์เมื่อปี 2553 อันเป็นการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนที่โหดร้ายทารุณที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรา
ก็สมควรที่จะให้อภัยแก่ผู้ที่รับผิดชอบในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน 98 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 และจับไปขังคุกหลายร้อยคนดังกล่าวนั้น

ด้วยเหตุผลที่ว่า...เรื่องที่แล้วก็ควรจะแล้วกันไป
การพูดถึง เนลสัน แมนเดล่า ดังกล่าวข้างต้น แม้จะฟังดูดี แต่ทั้งหมดมันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะพูดถึงความจริงแค่บางส่วนเท่านั้น

เป็นการเลือกที่จะพูดเพียงบางด้าน เพื่อใช้ประกอบความพยายามที่จะปิดบังความจริง และเพื่อประโยชน์แก่การโกหกหลอกลวง

จริงอยู่ถึงแม้ว่า เนลสัน แมนเดล่า จะประกาศให้อภัยแก่ศัตรู แต่สิ่งที่แมนเดล่าทำควบคู่ไปกับการประกาศให้อภัยก็คือ การจัดให้มีกระบวนการค้นหาความจริง หาตัวผู้กระทำความผิด

ไม่ใช่เพียงค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ค้นหาตัวผู้รับผิดชอบอย่างที่คณะกรรมการค้นหาความจริงและการปรองดองหรือ คอป. กำลังกระทำอยู่

ในกระบวนการค้นหาความจริง เนลสัน แมนเดล่า ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ไต่สวนผู้ที่สมัครขอรับการนิรโทษกรรมเป็นรายบุคคล โดยมีหลักเกณฑ์ว่า...

จะให้นิรโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า คนผู้นั้นเปิดเผยความจริงเพียงใด ถ้าไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ปิดบังความรุนแรงที่ตัวกระทำและเกี่ยวข้อง คณะกรรมการก็จะไม่นิรโทษให้

ดังนั้น การพูดเพียงว่า เนลสัน แมนเดล่า ให้อภัยแก่ศัตรู จึงเป็นการเลือกที่จะพูดถึงความจริงเพียงบางด้าน
โดยละเว้นไม่พูดถึงสิ่งสำคัญอีกด้านหนึ่งที่ เนลสัน แมนเดล่า กระทำ นั่นคือ กระบวนการค้นหาความจริงและการไต่สวนก่อนที่จะมีการนิรโทษกรรม

มันอาจเป็นขนบประเพณีที่ผู้คนในประเทศไทยเรา ไม่พูดความจริง เพราะจงใจโกหก หรือไม่กล้าพูดเพราะเกรงกลัวโอษฐ์ภัย

ดังนั้น เมื่อพยายามจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เราจึงกระโดดข้ามไปสู่การเรียกร้องให้มีการปรองดองเลยและเรียกร้องให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการปราบปรามเข่นฆ่าให้อภัยแก่คนที่ฆ่าตัวเอง
เท่ากับยินยอมถูกฆ่าเป็นครั้งที่สอง

การใช้ความรุนแรงปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นอย่างง่ายดายครั้งแล้วครั้งเล่าในประเทศไทยเรา เป็นเพราะผู้ลงมือกระทำเชื่อมั่นได้เต็มที่ว่าเขาจะไม่ถูกลงโทษ เนื่องจากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมยืนอยู่ข้างฝ่ายเขา
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราคิดจะป้องกันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนเกิดขึ้นอีกในอนาคต เราก็จะต้องทำให้ความจริงเกี่ยวกับการปราบปรามเข่นฆ่าคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ปรากฎขึ้นมาให้ได้

การปรองดองจะต้องเดินควบคู่ไปกับความยุติธรรม และการนิรโทษกรรมก็จะต้องเดินควบคู่ไปกับการทำความจริงให้ปรากฎ

โดย. ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รู้ความลับ มาเบ็ดเสร็จ !!?

เป็นชั้นความลับสุดยอด ระดับ “ท็อปซีเคร็ต”
มีการซื้อปืน “เอ็ม” ระยะยิงศักยภาพเหนือกว่า “สไนเปอร์” ปืนซุ่มยิงที่เห็นผลราว ๆ ๒ กิโลเมตร
มีสมรรถภาพ ที่ยิงนายพลประชาธิปไตย “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล จนเดท
เป็นแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ที่ใช้ในสนามรบ “อัฟกานิสถาน”...จึงขอประท้วงต่อการซื้อ “เครื่องจักรสังหาร” เพราะไม่อยากเห็นแผ่นดินไทย เกิดการฆ่าหมู่ประชาชน อีกเสร็จสรรพ
เท่าที่ฆ่ากันกลางเมือง..ประเทศไทยก็สิ้นเปลือง...หมดความรุ่งเรืองมามาก ๆ แล้วล่ะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++

กลิ่นยังไม่จาง
มีการยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ยักแย่ยักยัน..ยืนกันว่า จะเกิด “ปฏิวัติ” อีกครั้ง
ถึง “ขุนศึก” ผู้เป็นนายพลคนดัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก จะยืนยันว่าทหารอยู่ในแถว ไม่มีการลากรถถัง ออกมาเอ็กเซอร์ไซด์
ขืนไม่ปฏิบัติการณ์ “สายฟ้าแลบ” เดี๋ยว “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยืนยาวใครก็ล้มไม่ได้
สาเหตุว่ากันว่า น่าจะมีจากการแก้ไข “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” ที่ให้ตั้ง “สสร.” จนสายอนุรักษ์นิยม เสียศูนย์
ปฏิวัติแล้วยกเผด็จการฟันน้ำมันมาเป็นใหญ่..คุ้มกันที่ไหน?..จะทำกันทำไม เล่าคุณ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“กลับตัว” ก็พบทางสว่าง
เป็น “แม่เหล็กตัวพ่อ” ในการปฏิวัติ ล้มอำนาจ ของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” คนดัง
แต่ตอนนี้ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ผู้มีสายเลือดเชื้อชาติไทย-มอญ กำลังเร่งสปีดทำดี
เสนอ “ร่าง พรบ. ปรองดอง”..ให้คนไทยกลับมา เป็นทองแผ่นเดียวกัน อีกที
ไม่มีการแยกกลุ่ม แบ่งสี..แบ่งกันเป็นภาคนิยม จนเกิดการเข่นฆ่ากันตาย ..เหมือนบางคนกำลังสร้างค่านิยมผิด ...ผิด
ต้องยกนิ้วเชียร์ “บิ๊กบัง”..ที่กำลังลบล้าง...ไม่ให้บ้านเมืองพัง จึงต้องเชียร์ท่านสักนิด

+++++++++++++++++++++++++++++++++

มี “อำนาจ” ต้องทำ
นั่งงอมืองอเท้า รังจะพาให้ “รัฐบาลปู” ของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกเขาหวดกระหน่ำ
คดีต่าง ๆ ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตกเป็นจำเลยแผ่นดิน..อย่ามัว เงื้อง่าราคาแพง
เก็บคดีใส่ลิ้นชัก เกรงว่าเมื่อตามเช็คบิล “พรรคแม่ธรณีบีบผมม้วย” แล้วจะกลายเป็นของแสลง
เห็นหรือไม่?..เมื่อ “รัฐมนตรีนายกฯปู” พากันนอนทอดหุ่ย ทำไม่เป็นรู้ไม่ชี้..จึงเปิดโอกาสช่องโหว่รูใหญ่ ..ให้คนพรรคประชาธิปัตย์ รุก “รัฐบาลปู” จนแทนจนกระดาน
ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ฟัดข้างเดียว...รัฐบาลมีแต่เหี่ยว?..มีหวังโดนเคี้ยว เข้าสักวัน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เหนือฟ้ามีฟ้า
เมื่อ “รัฐบาลปู” เอา “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” มาเป็นดีดีการบินไทย จึงเป็นงานที่เข้าตา
ผลงานล้ำหน้า เดินกว่า “ปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์” เจ้าพ่อเก่าหลายเท่านัก
เมื่อเทียบฟอร์ม สมัยที่อยู่ “ปตท.” ด้วยกัน... “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ผู้เป็นบิ๊กบอสใหญ่ สง่างามมาก..มาก
ต้องบอกว่า “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” มีค่ามหาศาล ชนิดที่ “รัฐบาลมาร์ค” ของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่กล้าปลด
เอา “ประเสริฐ”มาเป็นดีดีการบินไทย...ทุกอย่างก็สดใส...กระจ่างแจ้งไปเสียทั้งหมด


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.ปรองดอง-ร่างแก้ ม.112 เข้าสภาแบ่งแยกมวลชน !!?

ครก.112 เตรียมนำร่างแก้ไขมาตรา 112 พร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนจากทั่วประเทศ 27,291 คน เสนอต่อสภาวันที่ 29 พ.ค. นี้ ระบุการรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงจนยากจะกลับมาเหมือนเดิม คนรากหญ้าเข้าใจปัญหาที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยการใช้กฎหมายที่บิดเบือนมากขึ้น อำนาจการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ได้อยู่ในมือของคนไม่กี่คนอีกต่อไป “วรเจตน์” เตือนอย่าดูถูกพลังประชาชน ชี้การเสนอแก้มาตรา 112 ไล่เลี่ยกับเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองจะแบ่งแยกมวลชนระหว่างฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์กับผู้ที่ยอมรับประชาธิปไตยครึ่งใบ เชื่อเป็นทางแยกสำคัญที่จะทำให้ไม่สามารถร่วมเดินต่อไปด้วยกันได้อีก

วันที่ 27 พ.ค. 2555 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) จัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมือง “บันทึก 112 วัน แก้ ม.112” โดยมีนักวิชาการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ ครก.112 ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า นับแต่รัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม.112 มากขึ้น และผู้ถูกกล่าวหาก็ถูกละเมิดสิทธิมากขึ้น เช่น ไม่ได้รับการสืบพยานอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนคดีโดยปิดลับ ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้ผู้รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตย ทำให้มีการเรียกร้องให้ยุติใช้ ม.112 ละเมิดสิทธิมาอย่างต่อเนื่อง และรวมตัวกันเพื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญรวบรวมรายชื่อเสนอร่างแก้ไข ม.112 เข้าสภา

ได้ 27,000 ชื่อหนุนแก้

การรวบรวมรายชื่อและให้ความรู้กระทำในทุกภูมิภาคของประเทศ บัดนี้รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ 38,281 คน แยกเป็นภาคกลาง 2,632 คน ตะวันออก 208 คน เหนือ 2,605 คน อีสาน 22,357 คน และใต้ 118 คน แต่มีบางส่วนที่กรอกแบบฟร์อมไม่ครบถ้วนตามกำหนด ทำให้มีรายชื่อพร้อมส่งสภาได้ 27,291 คน การรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมขนาดใหญ่ จนอาจเรียกได้ว่า “ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์” ซึ่งสะเทือนสังคมไทยหลายประการด้วยกันคือ

ประการแรก นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 นี่เป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แผ่ซ่านลงลึกไปถึงผู้คนรากหญ้า ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดินถึงฟ้า

คนรากหญ้าเข้าใจมากขึ้น

ประการที่ 2 ที่การรณรงค์ได้รับการตอบรับอย่างดีเพราะประชาชนรากหญ้าเข้าใจว่าการคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพส่งผลเลวร้ายต่อชีวิตความเป็นอยู่อันปรกติสุขของพวกเขาและสังคมโดยรวม การใช้กฎหมายโดยบิดเบือนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม กลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ ทำให้ประชาชนไม่สามารถพูดถึงปัญหาที่ใหญ่คับฟ้าเมืองไทยได้

ประการที่ 3 การต่อต้านปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ทั้งการปิดกั้นพื้นที่เคลื่อนไหว ปิดกั้นการนำเสนอข่าวสาร เป็นการขัดขืนความเป็นจริงทางสังคมที่ว่าประชาชนไม่สามารถยอมรับสถานะไพร่ฟ้าผงธุลีได้อีกต่อไป นอกจากนั้นรัฐบาลและพรรคการเมืองยังปิดพื้นที่การใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยการปฏิเสธว่าจะไม่แก้ไข ม.112 ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการถกเถียงกันในสภา แต่ความไร้เหตุผลเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย

ไม่มีใครชี้นำได้อีก

ประการสุดท้าย แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากชนชั้นนำ และปราศจากการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ประชาชนคนรากหญ้าจำนวนมากก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าร่วมกับ ครก.112 เพื่อเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมาย นี่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การชี้นำของพรรคการเมือง แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนก็ตาม

นัด 9 โมงเช้าวันที่ 29 พ.ค.

การยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภาจะมีขึ้นในวันที่ 29 พ.ค. นี้ ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเห็นรัฐสภาซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้แทนปวงชนชาวไทยได้พิจารณาร่างกฎหมายนี้มารวมตัวกันที่หมุดคณะราษฎร เวลา 09.00 น. เราจะตั้งขบวนเดินนำรายชื่อทั้งหมดใส่กล่องสีดำไปยังรัฐสภาเพื่อมอบเอกสารให้ ส.ส. ผู้เป็นตัวแทนประชาชน และหลังยื่นร่างแก้ไขแล้ว ครก.112 จะยังไม่สลายตัว จะติดตามและต่อสู้จนกว่าปัญหาอันเนื่องมาจาก ม.112 และกรณีที่เกี่ยวข้องจะได้รับการแก้ไข

นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการ กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อยื่นเรื่องแล้วจะต้องแก้ไขในทันที แต่หวังจะปลุกให้สังคมตื่นตัวและเข้าใจว่าจะปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นตลอดไปไม่ได้

อย่าดูถูกพลังประชาชน

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองไม่ควรประเมินพลังของประชาชนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงต่ำเกินไป ขณะนี้อำนาจการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ในกำมือของคนเพียงไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่แกนนำคนเสื้อแดงหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะชี้นำประชาชนได้ทั้งหมดอีกต่อไป

ทางแยกสำคัญของมวลชน

“วันนี้ที่ 29 พ.ค. นี้เราจะยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภา จากนั้นมีเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะเป็นทางแยกสำคัญให้คนเลือกเดิน คนที่รักประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จะเดินเส้นทางหนึ่ง ส่วนคนที่รักประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ก็จะเดินอีกเส้นทางหนึ่ง คงยากที่จะเดินร่วมกันต่อไปได้ เบื้องต้นในแนวทางของเราอาจมีคนเดินร่วมทางไม่มากนัก แต่เชื่อว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อเราพยายามลุกขึ้นแล้วต้องยืนตัวตรงให้ได้ เรารู้ว่าไม่ง่ายเพราะแรงต่อต้านมีมาก แต่ความสำเร็จเป็นคนละเรื่องกับความพยายาม วันนี้เราได้พยายามแล้ว ความสำเร็จก็จะตามมาในอนาคต”


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มะกัน-ยุโรป-จีน อาการน่าเป็นห่วง !!?


ไม่เพียงวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ส่อเค้าบานปลาย แต่สหรัฐและจีนที่ออกอาการซึมๆ อาจฉุดลากเศรษฐกิจโลกให้ย่ำแย่ลงไปอีก

ตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน ซึ่งเปรียบเหมือน 3 เสาหลักของโลก ออกอาการไม่สู้ดีในเวลาพร้อมๆ กัน สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจรอบใหม่ อาจฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะมืดมน

ล่าสุด สหรัฐเพิ่งรายงานว่า ภาคธุรกิจกำลังชะลอคำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ อากาศยาน เครื่องจักร และสินค้าคงทน เช่นเดียวกับมาตรวัดภาวะธุรกิจในยุโรปที่ย่ำแย่ลง ประกอบกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ทั่วโลกที่ลดลง และเศรษฐกิจจีนที่ดัชนีภาคการผลิตสำคัญๆ หดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน

วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า จากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภัยคุกคามใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจชะลอตัวในเวลาเดียวกันทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่บางตลาดที่มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง

แม้ว่ายุโรปกำลังดิ้นรนกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากกรีซถอนตัวจากยูโรโซน รวมถึงปัญหาขาดดุลงบประมาณที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็พบเค้าลางของปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั้งจีน อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล และอื่นๆ
ในยามที่เศรษฐกิจโลกไปได้สวย การเติบโตไปพร้อมๆ กันมีส่วนช่วยเสริมและขยายความมั่งคั่งให้กว้างและไกลขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม การชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็สามารถเชื่อมโยงกันหมด และระบาดถึงเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2551

องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เพิ่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วประจำปีนี้ เช่นเดียวกับกองทุนการเงินระหว่าประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปี 2554

ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้นักลงทุนคิดหนัก ดูจากดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิลด์ ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก กลับปรับตัวลดลงกว่า 9% นับจากกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันดิบ ซึ่งสะท้อนความต้องการบริโภคทั่วโลก ก็ปรับลดลง 15% ในเดือนนี้

การที่ประเทศขนาดใหญ่ออกอาการน่าเป็นห่วงพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดแรงกดดันใหม่ต่อผู้กำหนดนโยบายที่จะรับมือด้วยมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่ผูกมัดตัวเองว่าจะออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ส่วนยุโรปก็เผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการจะหลีกหนีมาตรการรัดเข็มขัด ขณะที่จีนก็มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโต

บริษัทหลายแห่งเริ่มสัมผัสถึงปัญหาในตลาดนอกบ้าน ดูอย่าง "วัลสปาร์ คอร์ป" บริษัทสีรายใหญ่ของโลก ยอมรับว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ในจีนกำลังชะลอตัว ส่วน "อินฟอร์มาติกา คอร์ป" ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รวบรวมข้อมูล เริ่มมองเห็นยอดขายที่ย่ำแย่ลงในยุโรป โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐที่มีสัดส่วนแค่ 1% ของรายได้ในไตรมาสแรก ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่มีสัดส่วนราว 3-5%

"เดวิด เรสเลอร์" นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ ซิเคียวริตี้ส์ มองว่า อันตรายจากการชะลอตัวในยุโรปจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น แม้เราไม่ได้คิดว่าจะทำให้โลกเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็อาจทำให้เศรษฐกิจโลกไม่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ ก็เผชิญปัญหาของตัวเอง อย่างกรณีภาคอุตสาหกรรมในบราซิลที่ต้องดิ้นรนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจากค่าแรง ค่าเช่า และวัตถุดิบ จนทำให้แดนแซมบ้ากลายเป็นสถานที่ที่มีราคาแพงสำหรับทำธุรกิจ และนี่อาจเกี่ยวพันถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้บริโภคแร่เหล็ก ถั่วเหลือง และสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของบราซิล

ส่วนที่แอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบจากความต้องการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง "ลอนมิน" ผู้ผลิตแพลตินั่มรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เตือนว่าอาจลดกำลังการผลิตที่เหมืองในแอฟริกาใต้ลง เนื่องจากความต้องการโลหะทั่วโลกลดลง

ด้านพี่เบิ้มสหรัฐ คำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 0.6% ในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่สะท้อนแผนใช้จ่ายของภาคธุรกิจก็ลดลง 1.9% แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงาน

น่าสังเกตว่า หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่จีน ซึ่งเอชเอสบีซีแนะให้จับตาดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ที่ลดลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนพฤษภาคม จาก 49.3 ในเดือนเมษายน สะท้อนถึงกิจกรรมการผลิตในแดนมังกรที่ลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน นอกจากนี้ยังมีความอ่อนแอเกิดขึ้น ทั้งการค้าระหว่างประเทศไปจนถึงการปล่อยกู้ของธนาคาร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทุนนิยมพม่า กับ กระเป๋าเจมส์บอนด์ !!?

วันวลิต ธารไทรทอง
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)

นับตั้งแต่กองทัพพม่าได้ลากรถถังออกมาปฏิวัติในเดือน มีนาคม 1962 ธุรกิจต่างๆ ค่อยๆ ถูกดึงเข้ามาอยู่ในมือของรัฐและกองทัพตามแนวนโยบายวิถีทางสู่สังคมนิยมพม่า (Burmese Way to Socialism) รัฐพม่าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจต่างๆ เองเกือบทั้งหมด

ธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลัก ทั้งที่เกี่ยวพันกับเรื่องเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือเกี่ยวพันกับการเมืองและความมั่นคง ล้วนแล้วแต่อยู่ในมือของรัฐและกองทัพเกือบทั้งสิ้น กระทั่งกล่าวได้ว่า ความมั่งคั่งของชาติพม่าทั้งหมดตกอยู่ในมือของกองทัพและรัฐบาลหุ่นเชิดของกองทัพ

ลักษณะโครงสร้างทุนนิยมเช่นนี้ไม่ว่าที่ไหนในโลก การก่อตัวขึ้นของนายทุนจำเป็นต้องอิงแอบกับอำนาจอุปถัมภ์ของรัฐและกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายทุนพม่าก็เช่นเดียวกัน

นายทุนจำนวนมากของพม่าถูกสงสัยและถูกกล่าวหาจากสหรัฐว่า แลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างมิชอบ รวมทั้งให้เงินสนับสนุนทางการเมืองอย่างลับๆ แก่รัฐบาลและกองทัพ ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเห็นจะไม่พ้น นาย เตซา (Tay Za) เจ้าของ ฮทู กรุ๊ป คอมพานี (Htoo Group of Companies) และนาย ซอ ซอ (Zaw Zaw) เจ้าของ แม๊ก เมียนมาร์ กรุ๊ป คอมพานี (Max Myanmar Group of Companies) ทั้งสองเป็นมหาเศรษฐีของพม่าที่ทำธุรกิจหลากหลาย และเกือบทั้งหมดเป็นธุรกิจที่ให้ผลกำไรสูง ซึ่งต้องใช้อำนาจรัฐเป็นใบเบิกทางให้ได้ธุรกิจเหล่านั้นมา เช่น ได้สัมปทานทำเหมืองแร่ ป่าไม้ ซีเมนท์ อัญมณี พลังงาน ก่อสร้าง สื่อสาร การบิน ฯลฯ

ภาพจาก Fritzhayek

มากไปกว่านั้น เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สหรัฐได้ประกาศรายชื่อผู้บริหารกว่า 40 บริษัทของพม่า ที่เชื่อได้ว่า แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในเชิงทุจริตกับรัฐบาลและกองทัพ ในรายชื่อที่ถูกประกาศ หลายคนเป็นลูกของรัฐมนตรีและลูกของนายพลของกองทัพพม่า
บริษัทของพม่าที่นำมากล่าวเป็นตัวอย่างนี้ถูกมาตรการคว่ำบาตรอย่างใดอย่างหนึ่งจากประเทศในยุโรป สหรัฐ และออสเตรเลีย

ด้วยเงื่อนไขที่ผลักให้การก่อต่อขึ้นของทุนนิยมพม่าต้องอิงกับอำนาจกองทัพและรัฐเผด็จการดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุนนิยมของพม่าจะมีลักษณะเป็นทุนนิยมพวกพ้อง (Crony Capitalism)

กองทัพ รัฐบาล ข้าราชการ และนายทุน สมรู้ร่วมคิดกันเพื่อแลกเปลี่ยนประโยชน์และจรรโลงโครงสร้างอำนาจเผด็จการนี้ รัฐบาลและกองทัพพม่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งที่เป็นการทำเองในรูปรัฐวิสาหกิจ การเป็นหุ้นส่วนกับเอกชน การให้เช่าสัมปทาน รวมทั้งการส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน

ร้ายไปกว่านั้น การที่พม่ามีโครงการเมืองแบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและมีระบบทุนนิยมพวกพ้องเช่นนี้ ยิ่งบ่มเพาะให้ปัญหาคอรัปชั่นแพร่กระจายไปทั่ว ตอนนี้พม่าถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นเป็นอันดับที่สองของโลก รองเพียงแค่ประเทศโซมาเลียและเกาหลีเหนือที่ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน

มีการกล่าวกันในพม่าว่า นายทุนที่ต้องการทำธุรกิจและอยากให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นมีกำไรงาม จำเป็นต้องไปพบกับผู้นำกองทัพ นักการเมือง หรือข้าราชการระดับสูง พร้อมกับกระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ใส่เงินไว้เต็มเพื่อติดสินบน

ที่เศร้าไปกว่านั้นก็คือ ด้วยการที่โครงสร้างสังคมเศรษฐกิจพม่าเป็นแบบนี้ เมื่อพม่าเริ่มเปิดประเทศและมีปฏิสัมพันธ์กับทุนนิยมโลกเพิ่มมากขึ้น ทุนต่างชาติที่หวังเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในพม่า จำเป็นต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทุนนิยมพวกพ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่ก็ตาม

นายทุนต่างชาติที่เข้าไปหาประโยชน์ในพม่าต่อสายโดยตรงถึงผู้นำทหารและรัฐบาลหุ่นเชิดผ่านทางกระเป๋าเจมส์บอนด์ หรือไม่ก็ร่วมมือกับนายทุนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดกับรัฐและกองทัพ เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษต่างๆ ในการทำธุรกิจ

โฉมหน้าทุนนิยมพม่าในปัจจุบันจึงเป็นทุนนิยมพวกพ้องที่มีทั้งนายทุนพม่าและนายทุนต่างชาติเข้าผสมโรง

กระแสการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองของพม่าในปัจจุบัน กำลังนำมาซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก รวมถึงการแจกสัมปทานอีกมูลค่ามหาศาลแก่นายทุน ทั้งที่เป็นนายทุนของพม่าเองและที่เป็นนายทุนต่างชาติ เห็นภาพเช่นนี้แล้ว การปฏิรูปพม่าดูจะน่ากังวลไม่ใช่น้อย

เพราะด้วยความเป็นระบบทุนนิยมพวกพ้องของพม่า ปราศจากข้อสงสัยว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ จะทำให้ประโยชน์จากการปฏิรูปตกอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆ โดยเป็นราคาที่คนพม่าส่วนใหญ่ต้องจ่าย

มากไปกว่านั้น รูปแบบทุนนิยมพวกพ้องที่เป็นอยู่ ยังเป็นรูปแบบทุนนิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สร้างแรงจูงใจในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และไม่มีแรงกระตุ้นให้เพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยธุรกิจ

ทุนนิยมพวกพ้องเป็นปัญหาในตัวเอง ความล้มเหลวของการพัฒนาในหลายประเทศมีสาเหตุมาจากการมีลักษณะเป็นทุนนิยมพวกพ้อง ทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาการกระจายรายได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และที่ร้ายที่สุด หลายประเทศที่มีระบบทุนนิยมเช่นนี้นำมาซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจ

ดังนั้น ความท้าทายในการเปิดประเทศพม่าครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องจะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจยังไง หรือจะเปิดเสรีให้มากขึ้นด้วยวิธีใด แต่เป็นเรื่องว่า พม่าจะหลุดพ้นจากการเป็นทุนนิยมแบบพวกพ้องได้อย่างไร

มิเช่นนั้นแล้ว พม่าจะประสบความล้มเหลวในการปฏิรูปครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่จะเหลือไว้ให้ชาวพม่าดูต่างหน้า ก็คือ กระเป๋าเจมส์บอนด์

ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++