--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ปลดชนวน ปรองดอง ของ คนไกลบ้าน !!?

เมื่อถึงช่วงปิดเบรกกันยาวๆในช่วงเวลาแห่งความชุ่มฉ่ำ “มหาสงกรานต์ปีมังกรไฟ” การเมืองไทยก็ขยับไปสู่ “โหมดพักรบชั่วคราว!” แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังออกมาปลุกปั่นกระแส..จับจองพื้นที่การเมืองไปเกือบทั้งหมด แถมมีการแย่งซีนสงกรานต์! ผ่านอีเวนต์ใหญ่ “ทักษิณ..ออนทัวร์” มีการทำพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ และบายศรีสู่ขวัญ ที่นครหลวงเวียงจันทน์-ลาว ก่อนที่ “คนแดนไกล” จะย้ายวิกไปเสียมราฐ-กัมพูชา เพื่อปรากฎตัวบนเวทีไฮด์ปาร์ค “เสื้อแดง” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ทั้งสองอีเวนต์การเมือง ได้มีอดีตคนไทยรักไทย และ “ม้าใช้” จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจนชาวคณะ “เสื้อแดง” อีกเรือนหมื่น ที่ข้ามฟากไปสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ และแห่ไปรดน้ำดำหัว “คนไกลบ้าน”

ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินเพื่อนบ้าน “ทักษิณ” ก็ทำให้ “กองเชียร์” เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง “วิชั่น!” ในการเดินหน้า “ขับเคลื่อนประเทศไทย” ให้ก้าวสู่แนวหน้าในกลุ่มอาเซียน หรือรับการก้าวไปสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แถมยังมีรายการขยับลูกคอโดยอดีตนายกฯ ขวัญใจคนจน! ที่มาโชว์น้ำเสียงด้วยเพลง “Let it Be” ของวง “เดอะบีตเทิลส์” หรือ “สี่เต่าทอง” ซึ่งแน่นอนว่า..ทำนองขับขานดังกล่าว ถูกตีความ ได้ว่า..เป็นการประชด หรือแดกดันพวกคัดค้าน “ปรองดอง” ที่พลพรรค “คนรักแม้ว” กำลังขับเคลื่อนกันอยู่!

เหมือนเป็นการส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งไทย ทำให้สังคมกำลังเฝ้าดูว่า...มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกความหมายหนึ่งของ Let it Be ก็คือ การเดินหน้าต่อไป โดย “ก้าวข้าม” หรือ “ทิ้ง” ปัญหาบางประการที่อยู่นอกเหนือการจัดการไว้เบื้องหลัง

ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลาง “กองเชียร์เสื้อแดง” ก็คงไม่น่าแปลกที่ “ทักษิณ” จะรู้สึกฮึกเหิม! จนปล่อย “วาทกรรม” ที่ซ่อนความต้องการเบื้องลึกออกมาจนหมดเปลือก!

ไม่ว่าจะเป็น “สงกรานต์ปีนี้ก็มีนิมิตหมายอันดีที่เราจะมีความสุขด้วยกันสักที 3-4 เดือน ข้างหน้าผมกลับมาแน่!” หรือ..“ปีนี้เป็นปีที่ดีของคนไทย มีอะไรหลายอย่างที่บอกเหตุว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง” และปิดท้ายก่อนเดินทางออกจากกัมพูชา ได้มีการระบุว่า “อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว...แต่ถ้าจะกลับต้องให้ทุกอย่าง ดีและลงตัวกว่านี้”

สิ่งที่ย้ำแล้วย้ำอีกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือโอกาสกลับสู่ “แผ่นดินเกิด” ชักนำ “กระแส” ให้ไปเล่นในทาง “สนับสนุน” หรือกระทั่ง “ต่อต้าน” ขณะที่ “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” และการทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นวาระหลักของรัฐสภา ทุกอย่างล้วนเข้าทางเกมการเมืองพะยี่ห้อ “ทักษิณ” ไปแล้ว

แนวโน้มของ “หมากตราดูไบ” ตอนนี้ยังแบ่งบทกันเล่น ให้ตัว “ทักษิณ” ผ่าน “กลุ่มคนใกล้ชิด” และ “เครือข่ายเสื้อแดง” ปูพรมด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวางฐานกำลัง” จากการวางตัวข้าราชการ-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่ปรับเปลี่ยนกันล็อตใหญ่ ตลอดจนการจัดตั้ง “ฐานมวลชน” มาเป็นกำลังรบสำคัญให้รัฐนาวาน้องเลิฟ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยพลิกหมากไปสู่ “การตลาดนำการเมือง” เพื่อเข้ายึดกุมกระแส..

แม้จะดูเป็น “เกมการเมือง” ที่เหนือชั้น.. ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ทักษิณ” ยังอยู่ในสถานะของ “นักโทษหนีคดี” เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก ดังนั้นการกลับบ้านของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเสี่ยงกับ “โทษจำคุก” ซ้ำยังอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้าน! อย่างรุนแรงจากพวกที่ไม่เอาด้วย

ฉะนั้นแล้ว! ก็จำเป็นจะต้องมีกระบวนการ “ปลดล็อก” เพื่อลบล้างความผิด “โทษจำคุก 2 ปี” ให้เรียบร้อยไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ “แกนนำเพื่อไทย” ก็ยืนยันว่า เงื่อนไขที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “ทักษิณ” จะได้กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการสร้าง “บรรยากาศ” ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง-แตกแยก ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหน.. โดยใช้ “กลไกขับเคลื่อน” ผ่านกระบวนการสร้างความปรองดอง ที่กำลังดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน

ส่วนกระบวนการนำพา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่มาตุภูมิ! ก็มีแนวทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 เส้นทาง คือ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จากการดำเนินงานของ “ส.ส.ร.3” เพื่อส่งไปให้ “รัฐสภา” เป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย และผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม ด้วยการออก “พ.ร.บ.ปรองดอง” ภายหลังจากที่ “รัฐสภา” มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแนวทาง นี้จะเป็นเส้นทางที่ “สั้น” และ “รวดเร็ว” มากกว่าแนวทางแรก

แน่นอนว่า การพาทักษิณกลับบ้านทั้ง 2 กรณีนั้น ย่อมมี “เสียงข้างมาก” เป็นตัวหนุนนำ ดังนั้นไม่ว่า “หวยล็อก” จะออกมาเช่นไร..ผลประโยชน์ย่อมจะตกอยู่กับ “ทักษิณ” ขึ้นอยู่กับ..ได้มาก-ได้น้อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ “นักปั้นมือทอง” อย่าง “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เคยเสนอแนวทาง.. แหวกกระแสสังคม ด้วยการให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ.. แต่เป็นการรับโทษด้วยการ “กักบริเวณ” เช่นเดียวกับที่อดีตรัฐบาลทหารพม่ากระทำต่อ “ออง ซาน ซูจี” โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก

มาถึงตอนนี้ “ป๋าเหนาะ” ยังคงเสนอให้ “ทักษิณ” ปฏิเสธไม่เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูก “ยึดทรัพย์” ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งในครั้งนั้น ไม่มีเสียงตอบรับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มา ล่าสุด “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อในรัสเซีย ได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ว่า “..เรื่องการกลับบ้านนั้น อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แต่ผมก็จะไม่ เรียกร้องขอเป็นผู้นำประเทศอีกแน่ ขอย้ำไว้เลยว่า ผมจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเด็ดขาด ส่วนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้นั้น ผมคงไม่เรียกร้องเอากลับคืน”

แม้เรื่อง “กลับบ้าน” กับเรื่องไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะพูดกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กับมุกของ “ป๋าเหนาะ” ที่บอกไม่ให้เอาเงินคืน ถือเป็นเรื่องที่พูดกันเป็นครั้งแรก

จึงมีข้อสังเกตว่า..จะเป็นการลดดีกรีความขัดแย้ง หรือลด เงื่อนไขเพื่อให้การปรองดองดำเนินไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อีกครั้งหรือไม่!!!

การปูพรมแดงกลับบ้านเกิดเที่ยวล่าสุดนี้ ทั้งรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังเป็นยิ่งยวด ในการผลักดัน “กระบวนการปรองดอง” ตลอดจนการ “เกี้ยเซี้ย!” กับคู่ขัดแย้ง เพื่อให้การเจรจาตกผลึก ก่อนนำไปสู่การผลักดันเป็นกฎหมาย

ทั้งหลายทั้งปวง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า.. “วิกฤติความขัดแย้ง!” ยังคงเป็นปัญหาในหลากมิติ และเกี่ยวพันกับผู้คนหลายระดับชั้น โดยเฉพาะเมื่อ “การปรองดอง” ยังถูกต้องสงสัยว่า..ผูกโยงต่ออนาคตการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่ “ระดับแกนในค่ายเพื่อไทย” จะประเมินออกมาว่า..ไม่ง่ายนัก! ที่จะทำให้ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หรือปิดเกมในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่ “นายใหญ่” คาดหวังเอาไว้.. เพราะยังมีโอกาสพลาดพลั้ง จนทำให้ “วาระปรองดอง” ล่มปากอ่าว...ซึ่งไม่เพียงตัว “ทักษิณ” จะไม่ได้กลับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้ “วิกฤติ ประเทศไทย” ขยายวงออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดกรุ.ม็อบ 21 เมษาฯ เดินเกมคว่ำนิรโทษกรรม !!?

การนัดรวมพลครั้งใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. ได้กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่สังคมกำลังเฝ้าจับตา..! หลังจากมีข่าว “เครือข่ายเสื้อเหลือง” นัดชุมนุมใหญ่ ที่สโมสรกองทัพบก เพื่อคัดค้าน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” โดยซีกตรงข้าม รัฐนาวาอ้างว่า..เป็นการ “มัดมือชก” และมีคิวที่ “ค่ายเพื่อไทย” เตรียมดันเป็น “วาระร้อน” ในสภาผู้แทนราษฎร

ทว่า.. คล้อยหลังเพียงข้ามคืน “แกนนำขาใหญ่แห่งม็อบพันธมิตรฯ” ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพิภพ ธงไชย ก็ออกมา..ดักคอ! ยืนกรานว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมต้านนิรโทษกรรม แต่การชุมนุมสามารถทำได้เพื่อปกป้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

เป็นการออกตัวว่า..งานนี้พันธมิตรฯ ไม่มีเอี่ยว!

ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหว ดังกล่าวเป็นใคร.. และเหตุใด “แกนนำพันธมิตร” ต้องลุกลี้ลุกลนออกมาแถลงข่าวปฏิเสธการชุมนุมครั้งนี้ว่า..ไม่ใช่การจัดกิจกรรมของ “พันธมิตร”

เป็นการชี้ชัดว่า.. ห้ามกลุ่มอื่นใด เอาชื่อ “พันธมิตร” ไปทำกิจกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้าอยากจะเคลื่อนไหวก็ต้อง “สร้างมวลชน” ขึ้นมาเอง โดยห้ามชุบมือเปิบ หรือดึงมวลชนในซีก “พันธมิตร” ไปเป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรมทางการเมือง แม้ว่าหนึ่งในแกนนำการชุมนุมหนนี้ คือ “บวร ยสินทร” แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “แนวร่วมพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ก็ตามที

สำหรับการเดินเกมคว่ำนิรโทษกรรมหนนี้ ได้ปรากฏ “แนวรุก..ตัวใหม่!” อย่างกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ที่มีหัวขบวนคือ “บวร ยสินทร” แห่งกลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน โดยมี “กัปตัน..นักร้อง” น.ต.ถนิต พรหมสถิต อดีตนักบินการบินไทย เป็นประธานจัดการชุมนุมถ่ายโอนอำนาจจากนักการเมือง พร้อมด้วยแนวร่วมฯ อาทิ พายัพ ยังปักษี, พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส, พล.ร.ต.พัฒนะ จิรนันท์ และ สุขุม วงประสิทธิ โดยทั้งหมดได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้มีการชุมนุมใหญ่ทางการเมือง เมื่อวันเสาร์ที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา

แม้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก จะออกมาแตะเบรก! สั่งห้าม “ม็อบ” เข้าไปใช้สถานที่ภายในสโมสรกองทัพบกก็ตาม แต่ทาง “กลุ่มเรียกคืนอำนาจฯ” ก็ยืนยันจะใช้พื้นที่ด้านนอกทำกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าจรดค่ำ

โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา แห่งกลุ่มสยามสามัคคี ได้เป็นผู้นำแกนนำกลุ่มนี้ ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา นอกจากนี้ทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ นำโดย “ชุมพล ลีลานนท์” ผู้ประสานงาน พธม.จังหวัดพะเยา ระบุ..ได้เตรียมระดมกลุ่มพันธมิตร ทั่วประเทศไปร่วมทำกิจกรรมที่สโมสรทหารบก ซึ่งการรวมตัวกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินการกันอยู่ในสภา โดยอ้างว่าเป็นการใช้ “เสียงข้างมาก!” ดำเนินการตามความต้องการของซีกรัฐนาวา โดยไม่เปิดรับฟังประชาชน

การันตีเบื้องต้น น่าจะมีผู้ชุมนุม มากันเรือนหมื่น!!

แต่เอาเข้าจริงๆ ได้มีผู้ชุมนุมมากันแค่ 200-300 คนเท่านั้น.. ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ “ขาใหญ่ พธม.” ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย! เพราะเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน ระหว่างช่วงการชุมนุมม็อบ พันธมิตรฯ เมื่อปี 2548-2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

สำหรับกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมคัดค้านกฎหมายแก้กรรม! กอปรไปด้วย สหธรรมิก 4 องค์กร คือ สมาพันธ์พลเมืองฐานราก (สพฐ.), องค์การโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดิน เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อทพช.), องค์การทรัพยากรทางทะเล เพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.) และสภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาใหญ่

ด้าน น.ต.ถนิต พรหมสถิต ประธาน จัดการชุมนุมฯ ย้ำหัวตะปูว่า.. การชุมนุมครั้งนี้เป็นภาคประชาชน ไม่มีสีเสื้อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการสร้างสภาปรองดองโดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง ที่มาชุมนุมก็มาจากตัวแทนจากภาคประชาชนที่มีความเดือดร้อนด้านต่างๆ

“กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมือง เนรคุณแผ่นดิน” มีแนวคิดในเรื่องปฏิรูปการเมืองให้เกิดระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านอำนาจจากนักการเมืองในปัจจุบัน..

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตรวจพบแก๊สพิษเกินค่ามาตรฐานหลุมไฟอ.นครไทย !!?

รายงานจากพิษณุโลก ที่หลุมไฟ ม.9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก นำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแกสพิษในบรรยากาศ ที่สามารถตรวจหาก๊าซพิษได้มากกว่า 100 ชนิด โดยตรวจสารพิษบริเวณรอบ ๆ หลุมไฟเนื้อที่ประมาณ 1 งาน

นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า หลังจากมีการพบปรากฏการณ์หลุมไฟ ไฟลุกจากใต้ดินในอ.นครไทย ในวันนี้ กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด หรือ miran มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ซึ่งตรวจพบหลายชนิด ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า

ที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ หรือ CS 2 ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 3 ppm นั้น เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟล์ เป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ เวลารอยจะรอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะ เจ็บหน้าอก ปวดกล้าวเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพารากิลสันที่สั่นตลอด รวมท้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้อง ไม่ควรมารับสารพิษชนิดเลย เวลานี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลอง สารชนิดอาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง แต่เรายังไม่ยืนยัน คนตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างไกล

นายกิตติ กล่าวว่า แก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก ส่วนที่ติดไฟลุกไหม้นั้น แก๊สคาร์บอนไดซัลไฟล์ก็มีคุณสมหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้มาตรวจพบสารพิษที่เป็นอันตรายบริเวณนี้แล้ว ได้ประสานกับอบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย นำเชือกกั้น มากั้นผู้คน ไม่ให้เข้ามาใกล้หลุมไฟแห่งนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควบจะห่างกว่า 500 เมตร

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันที่ 25 เมษายนนี้ปรากฏว่า มีชาวอ.นครไทยแห่มาชมปรากฏการณ์ไฟลุกใต้ดินอย่างมาก โดยพยายามเข้ามาให้ใกล้หลุม เพื่อชมไฟลุกจากพื้นดิน แต่ก็ยังอยู่ในแนวกั้นที่อบต.หนองกะท้าวทำไว้

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เตือนภัยอากาศร้อนระวังเป็นลมแดดถึงตาย

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ เตือนประชาชนระวังภัยอากาศร้อนจัดให้หลีกเลี่ยงการทำงานตากแดดในระยะนี้เพราะจะเสี่ยงทำให้เสียชีวิต ขณะที่ปัญหาสภาพอากาศที่ร้อนส่งผลให้มีผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นสาเหตุจากน้ำดื่มกับอาหารที่ไม่สะอาด

นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในระยะนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดประชาชนควรที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากจะเสี่ยงให้เจ็บป่วยด้วยโรคลมแดด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปและมีสุขภาพอ่อนแอ อุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศา จะทำให้มีเหงื่อไหลออกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ บางรายมีโรคแทรกซ้อน ก็จะทำให้เสียชีวิตลงได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งในการป้องกันหากพบว่าพบผู้ป่วยเป็นลมแดด เบื้องต้นควรปฐมพยาบาลให้ผู้ป่วยนอนราบลงพื้นด้วยอากาศปลอดโปร่งจากนั้นให้นำชุบน้ำเช็ดตามร่างกาย ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ได้ดูแลต่อไป

นอกจากนี้โรคระบบทางเดินอาหารหรือโรคอุจจาระร่วงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยท้องร่วงมากกว่า 1 พันรายหรือกว่า 300 คนต่อวัน ซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในรับประทานน้ำดื่มที่ไม่สะอาดโดยเฉพาะอาหารประจำถิ่นการเปิดพิสดาร อาหารสุกๆดิบๆ ควรที่จะงดเว้นในระยะนี้

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

เสื้อแดงเชียงใหม่ลั่นต้อง"ไพรมารี่โหวต"ซ่อมส.ส.เขต3 ไม่เว้นเด็กเจ๊แดง ขู่ฝืนเจอสั่งสอน ทาบ"4ดร."ชิง

ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ พร้อมแกนนำประชาชนพื้นที่เขต 3 อ.สันกำแพง อ.แม่ออน อ.ดอยสะเก็ด กว่า 30 คน แถลงการณ์ที่ข่วงสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 เมษายน กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 วันที่ 11-17 พฤษภาคม และเลือกตั้งวันที่ 2 มิถุนายนนี้ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า พรรคไม่ควรส่งผู้สมัครที่ประชาชนในพื้นที่ไม่รู้จัก ไม่เคยลงพื้นที่ ไม่มีความรัก ความศรัทธา ไม่พบปะดูแลประชาชน

ทั้งนี้ นปช.เชียงใหม่ และแกนนำประชาชนพื้นที่ เขต 3 มีมติขอให้พรรคเพื่อไทย นำระบบไพรมารี่โหวตมาใช้ โดยให้ประชาชนในพื้นที่สรรหาตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. ให้พรรคพิจารณาส่งลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพื่อได้ ส.ส.เป็นคนในพื้นที่พบปะดูแลประชาชนตลอดเวลา ซึ่งตรงกับเจตนารมย์ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยพูดไว้เมื่อปี

2542 ว่าจะนำระบบดังกล่าวมาใช้ครั้งแรกในประเทศ และนำร่องพื้นที่บ้านเกิดที่ อ.สันกำแพง เป็นแห่งแรก เพื่อเป็นต้นแบบคัดเลือก ส.ส.ทั่วประเทศ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้าด้วย

ด.ต.พิชิต เผยกรณีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำกลุ่มวังบัวบาน มารดาน.ส.ชินณิชาสนับสนุนนายเกษม นิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)เชียงใหม่ ลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 ว่า ไม่มีปัญหา แต่ต้องร่วมโหวตเป็นตัวแทนพรรค ถ้าประชาชนเขต 3 สนับสนุนและเห็นด้วย มีคุณสมบัติครบถ้วน ทุกคนก็ต้องยอมรับและเคารพกติกา หากนายเกษม มีคุณสมบัติไม่พอ ก็ต้องเลือกบุคคลอื่นแทน

"เสื้อแดงทาบทามผู้มีความรู้ความสามารถระดับดอกเตอร์ 4 ราย มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่แล้ว ซึ่งทุกคนตอบรับ แต่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อน ถ้าผ่านก็ต้องทำการโหวตเพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคมหาชน ไม่ใช่บริษัทห้างร้านหุ้นส่วนจำกัด จะส่งใครลงสมัครก็ได้แต่เป็นมหาชนที่ทุกคนมีสิทธิลงสมัครได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยบอกว่า กระบวนการสรรหาผู้สมัคร มวลชนส่งคนให้พรรคเลือก และพรรคส่งคนกลับมาให้มวลชนเลือก หรือไพรมารี่โหวต" ด.ต.พิชิต กล่าว

หากพรรคส่งคนที่ประชาชนไม่เห็นชอบ หรือเป็นเผด็จการในพรรค อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเลือกตั้ง ส.ส. หรือนายก อบจ.ปทุมธานี ที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ยับเยิน ซึ่งพรรคอาจเหลือ ส.ส.ในสภา 263 คน แต่ไม่กระทบรัฐบาลและพรรคร่วม เพียงเสียที่นั่ง ส.ส.ให้ประชาธิปัตย์ 2 ที่นั่งเท่านั้นเอง ซึ่งผู้เป็นตัวแทนพรรคควรผ่านความเห็นชอบจากประชาชนก่อน ไม่เช่นนั้นอาจถูกลงโทษ หรือสั่งสอนจากมวลชนเสื้อแดงอีกครั้ง

"เสื้อแดงเคารพมติพรรคจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ได้ แต่ควรฟังคนเสื้อแดงบ้าง เพราะร่วมต่อสู้กันมาจนได้จัดตั้งรัฐบาลต้องฟังเสียงเราบ้าง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เสื้อแดงเสนอพิจารณาก็ต้องดูว่าเป็นบุคคลที่พึงพอใจหรือไม่ สมควรเป็นตัวแทนพรรคและประชาชนหรือไม่ ถ้ามีคุณสมบัติครบ มีมวลชนสนับสนุนก็ต้องยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ ตามระบอบประชาธิไตยคนเสื้อแดงไม่ได้ดื้อรั้น หรือไม่มีเหตุผล ไม่กดดันหรือสร้างความแตกแยกในพรรค แต่อยากบอกผู้ใหญ่ในพรรคฟังเสียงพวกเราสักนิด เพราะคัดสรรสิ่งที่ดีแก่พรรคเพราะเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สุดในโลก" ด.ต.พิชิต กล่าว

นายเกษมนิมมลรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ และอดีตผู้ช่วย น.ส.ชินณิชา ซึ่งเป็นคนสนิท นางเยาวภาที่สนับสนุนลงสมัคร ส.ส.เขต 3 เผยกรณีเสื้อแดงเรียกร้องใช้ระบบไพรมารี่โหวต คัดเลือกบุคคลลงสมัครแทนเครือญาติหรือคนสนิทนักการเมือง ว่า เสื้อแดงมีหลายกลุ่มต่างความคิด มีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของพรรคพิจารณาคัดเลือกบุคคลลงสมัครเอง ซึ่งตนก็ต้องเคารพและทำตามมติพรรค ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัคร ส.ส.ก็ตาม ก็พร้อมสนับสนุนและทำงานช่วยเหลือเต็มที่

นายเกษมกล่าวว่ากรณีเลือกตั้ง ส.ส.ปทุมธานี เป็นคนละเรื่องกับเลือกตั้ง จ.เชียงใหม่ เพราะ ส.ส.ลาออกไปลงสมัครนายก อบจ.เอง แต่กรณี น.ส.ชินณิชา ถูกศาลตัดสินให้พ้นสภาพเป็น ส.ส. จึงมีเลือกตั้งซ่อม เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณและแยกแยะเหตุผลได้ ซึ่งมั่นใจว่ามวลชน เขต 3 ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้โอกาสรัฐบาลทำงานจนครบวาระ ที่สำคัญเป็นบ้านเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนตัวรับฟังความคิดเห็นและเคารพการตัดสินใจเสื้อแดงทุกกลุ่ม และพร้อมทำงานกับทุกมวลชน

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดพิมพ์เขียว : โครงการพักหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท !!?



คลังเปิดพิมพ์เขียวโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย-ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เป็นหนี้แบงก์รัฐคงค้างต่ำกว่า 5 แสนบาท ขอเข้าโครงการ 2 พ.ค.-20 ส.ค.55

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันเปิดเผยว่า
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ "การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท" ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล

โครงการพักหนี้ฯ ได้เริ่มดำเนินการระยะแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการพักหนี้ให้กับประชาชนที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วนและมีปัญหาการชำระหนี้ โดยเน้นช่วยเหลือประชาชนที่มีหนี้คงค้าง ไม่เกิน 500,000 บาท ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 6 แห่ง รวมประชาชนผู้มีสิทธิทั้งหมด 775,090 ราย ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการ 15 พฤศจิกายน 2554 จนถึง 15 เมษายน 2555 มีประชาชนมายื่นความจำนงแล้ว 661,508 ราย คิดเป็นร้อยละ 85.35 ของจำนวนประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด ในจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติแล้ว 428,384 ราย คิดเป็นร้อยละ 55.27 ของประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมด หรือร้อยละ 64.76 ของประชาชนที่มายื่นความจำนง มูลหนี้ที่ได้รับการดูแลแล้ว 52,301,87 ล้านบาท

โครงการระยะแรกนี้จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2555 นี้ เพื่อเป็นการดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างต่อเนื่อง และบรรเทาความเดือดร้อนด้านการเงินให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม รัฐบาลจึงได้มีมติปรับปรุงโครงการพักหนี้ฯ ไปพร้อม ๆ กับขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่ประชาชนกลุ่มที่มีหนี้ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน
500,000 บาท ที่มีสถานะหนี้ปกติ โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ดังนี้

1. ปรับปรุงโครงการพักหนี้เดิมที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนที่เข้าใช้สิทธิโครงการนี้มีความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้ โดยกำหนดให้

1.1 สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องเข้าดูแลประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ให้ได้รับการฟื้นฟูศักยภาพจนสามารถเริ่มชำระหนี้คืนตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้หลังจาก 12 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย ลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจะยังได้รับสิทธิจากโครงการเช่นเดิม

1.2 ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาล นำเงินชดเชยไปขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

2. ให้รางวัลประชาชนที่เป็นลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติ ที่มีหนี้ไม่เกิน 500,000 บาท ก่อนวันที่ 24 เมษายน 2555 ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ยหรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่ลูกหนี้สถานะหนี้ปกตินี้คาดว่าจะมีประชาชนที่เป็นเกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์จากโครงการพักหนี้ฯ เพิ่มอีก 3,758,226 ราย/บัญชี คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 459,113.05 ล้านบาท

ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังกล่าว สามารถสมัครใจเข้าใช้สิทธิตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ดังนี้

(1) เลือกพักเงินต้นและ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 ปี (ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2555
ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558)

(2) มีสิทธิขอกู้เพิ่มใหม่ได้ตามความสามารถในการชำระหนี้ ในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับอนุมัติการกู้เพิ่ม

(3) ลูกหนี้ต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้หลังเข้าโครงการฯ

นอกจากนี้ สำหรับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ตามโครงการระยะแรก (ช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาการชำระหนี้) สามารถขอเปลี่ยนเข้าร่วมโครงการพักหนี้ใหม่สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกตินี้ได้ โดยแสดงความจำนงกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานะหนี้ให้เป็นสถานะหนี้ปกติก่อนเข้าร่วมโครงการฯ
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าผลจากโครงการพักหนี้ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 0.4 - 0.7 ต่อปี หรือ 44,000 – 77,000 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม จะมีการดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการพักหนี้ฯ อย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็น

1) การขาดวินัยทางการเงินของลูกหนี้ โดยกำหนดให้ภายหลังจากลูกหนี้เข้าโครงการแล้ว หากมีการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ ลูกหนี้จะต้องออกจากโครงการทันที

2) กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แนะนำและติดตามดูแลการใช้เงินของลูกหนี้ที่ประหยัดได้จากการเข้าโครงการครั้งนี้

3) การบรรเทาและช่วยเหลือผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ กระทรวงการคลังจะชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี และจัดหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและแหล่งเงินเพิ่มทุน เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการดำเนินการ รวมถึงแยกบันทึกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินงานปกติ (Public Service Account : PSA) เพื่อประเมินผลกระทบอย่างโปร่งใสต่อไปประชาชนที่มีสิทธิและสนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม 2555
จน ถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ณ สถาบันการเงินเฉพาะกิจสาขาที่ท่านเป็นลูกค้า

โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ หรือติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์ ดังนี้สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.
02 273 9020 ต่อ 3697 / 3212

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555

ธนาคารออมสิน โทร. 1115

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 1357

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 1302

ที่มา.กรุงเทพธรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

สึนามิ การเมือง !!?

สึนามิการเมือง
รู้เรื่องนี้เข้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสเคือง
เพราะจุดประเด็น เรื่องอาฟเตอร์ช็อค ว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และ สร้างความปรองดองเพื่อคนเพียงคนเดียว จะเกิดปัญหาบานใหญ่
แต่ สึนามิที่เกิด เมื่อ “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา สร้างความเซอร์ไพร์ซ
ให้ สส. พรรคชาติไทยพัฒนา อพยพโยกย้าย เข้าไปเป็นสมาชิก “พรรคเพื่อไทย” สร้างภูมิคุ้มกันให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เต็มที่
เจอแผนนี้เข้าไปบอกตรง ๆ ...ไอ้พวกฉลาดแกมโกง?..ที่ใช้อำนาจนอกระบบเพื่อแหกโค้ง เป็นนายกฯ ก็เป็นหมันไปนะซี่

++++++++++++++++++++++

เดินทางหลังผู้ใหญ่ไม่กัด
ใครที่ตามเห่าตามหอน ชักเล่นงาน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ถนัด
นอกจากเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่งกายชุดประจำชาติ เกาหลี จีน ได้เนี๊ยบนิ้ง จนใครสรรเสริญ
หันมาแต่งชุด “พระราชทาน” ตามต้นฉบับ “ซูเปอร์ป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ ก็งามสง่าไม่ขัดเขิน
ต้องถือว่า “นายกฯปู” เป็นศิษย์ครูรักพักจำ ที่ถอดไอดอลมาจาก “ซุปเปอร์ป๋า” ที่พูดน้อย แต่ทำงาน มีประสิทธิภาพเต็มร้อย
“ป๋าเปรม” อยู่เป็นนายกฯ ๘ปีสบาย... “นายกฯปู”เดินตามสไตล์?..คงอยู่ได้ ๘ปี เป็นอย่างน้อย

++++++++++++++++++++++

เข้าขากันเป็นอย่างยิ่ง
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก กับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกฯรัฐมนตรีหญิง
ผิดกับ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งมาจากค่ายทหาร
ดูเหมือนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่จริงแล้วขัดกัน
แต่กับ “นายกฯปู” กับ “บิ๊กตู่” แล้ว ร่วมทำงานผสมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนพยัคฆ์ติดปีกบิน
ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี.... “นายกฯปู”คนนี้...บทบาททำท่าว่าจะเหนือ “ทักษิณ”

++++++++++++++++++++++

เสพภาพโป๊
ตอนแรกใส่กันเต็มเกย์ ออกอาการเดือดขั้นโมโห
“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” ต้นตำหรับไทยเข้มแข็ง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เกรี้ยวกราดด่าแบบจิกกบาล ว่า “สุดเซ็งกับตัวแทนประชาชน”
ขั้นภาพที่โพสต์จับได้จะจะ ว่าเป็น “สส.ณัฎฐ์ บรรทัดฐาน” คนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน “พ่อบัญญัติ บรรทัดฐาน” ก็รูดซิปปาก กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ช่วยพวกตนไปอีกหน
อย่างไรก็ดี, อย่าเอาโทษทางสภาประหารอนาคต “สส.ณัฐ” ผู้แทนสมัยแรกป้ายแดงให้ดับ
บางคนสร้างวีรกรรมปี้ป่น...ออกคำสั่งฆ่าประชาชน?...ยังหน้าด้านหน้าทน อยู่ได้เหมือนเดิมขอรับ

+++++++++++++++++++++

คนทั้งโลกมองอนาคต
“ประชาธิปัตย์” ย่ำอยู่กับที่ ถูกคนก้าวข้าม ไปเสียทั้งหมด
ขณะที่ประเทศอังกฤษ จัดระบบ “การเดินรถทางอากาศ” เหมือนเครื่องบิน ที่มีเพดานบิน เพื่อจะไม่ได้ชน กันวินาศ
ประเทศฮอลแลนด์ ผลิตรถที่เดินกลางอากาศได้แล้วเป็นคันแรก..ทุกชาติต่างทึ่งในความสามารถ
แต่ “ประชาธิปัตย์” ของ “เดอะมาร์ก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเครียดแค้น เจ็บช้ำใจฝังหุ่น อยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร” หยิบมาเป็นประเด็น ทำให้ชาติร้าวลึก
ใจเปิดกว้างชาติก็ไปลิ่ว...หากแม้ใจปลาซิว...เล่นแต่เรื่องขี้ประติ๋ว คนเขาก็เสียความรู้สึก

ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทักษิณ.ตะเพิด สุเมธ พ้นพรรค ขู่ ใครอย่าทำอีก !!?

"พ.ต.ท.ทักษิณ"ตะเพิด"สุเมธ" ชี้ ทำให้พรรคเสียหาย ดูถูกประชาชน ยัน ไม่ต้องอ้างว่ารัฐบาลขาลง

รายงานว่าในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามายังโทรศัพท์ของนายสาโรช หงษ์ชูเวช คนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ โดยช่วงหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ไม่ต้องตกใจผลเลือกตั้งปทุมธานี อย่าเป็นส.ส.ที่ขี้ตกใจ ประชาชนเลือกแบบนี้เพราะเขาลงโทษ ไม่พอใจส.ส. เป็นรายบุคคล ที่ไปดูถูกเขา เลือกไปเป็นส.ส.ไม่นานก็ลาออกไปสมัครนายกฯอบจ. ทั้งที่พรรคไม่เห็นด้วยแต่แรกและได้ทัดทานไว้แล้วก็ยังไม่เชื่อ แต่ในพื้นที่อื่นอย่าให้เกิดแบบนี้

“ไอ้คนนี้คราวหน้าไปหาที่อื่นอยู่ พรรคไม่รับแล้ว ทำให้พรรคเสียหาย จะทำอะไร ขอให้ทุกคนคิดถึงพรรค เบื้องต้นคิดถึงชาติก่อน แล้วมาพรรค แล้วค่อยคิดถึงตัวเอง อย่าเอาตัวเองนำหน้า ถ้าคิดจะเป็นนักการเมืองที่ดี คนนี้พรรคไม่ส่งต่อแล้ว ไปหาที่อื่นอยู่ ผลเลือกตั้งอบจ.ปทุมธานี เพราะเขาดูถูกประชาชน ทำให้ประชาชนผิดหวัง ไม่ต้องมาอ้างว่ารัฐบาลขาลง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

"ส่วนปัญหาเลือกตั้งท้องถิ่นที่อื่น อย่างเชียงราย ใครก็ตามที่พรรคเตือนแล้ว ไม่สนับสนุนให้ลง แล้วไปแข่งกัน ไปตัดคะแนนกันเอง พรรคก็อย่าไปสนับสนุน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ให้ ส.ส. ชี้เป้าใครมีปัญหาเรื่องจำนำข้าว

จากนั้นได้มีส.ส.ลุกขึ้นถามปัญหาการจำนำราคาข้าวตกต่ำว่าจะทำอย่างไรเพราะธกส. และ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ใช่คนของเรา พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบกลับว่า อย่าบ่นไปเรื่อยเปื่อย ให้ชี้จุดปัญหามาเลยว่าอยู่ที่ไหน ผู้บริหารธกส.คนไหน หรือปัญหาที่กำนันคนไหนที่มีปัญหา ให้แจ้งมาเลย จากนั้นพรรคจะตั้ง นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าไปรวบรวมปัญหาทุกพื้นที่ เราอย่าไปฟังคนเสียประโยชน์มาบ่น แล้วมาบั่นทอนนโยบาย ทำให้โดยรวมเสียหาย ส่วนเรื่องปัญหามันสำปะหลัง มันมีปัญหาแต่แรกอยู่แล้ว เราเข้ามา โรงงานประท้วงไม่ให้ความร่วมมือ แต่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ไปเจรจากับจีน จะขอให้เขาแปรรูปมาทำเป็นเอทานอล อีกไม่กี่วันราคาจะขึ้นแล้ว

กำชับ ส.ส.เข้าร่วมประชุม ชี้ ใครไม่มารู้
ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้กล่าวขอบคุณส.ส. ในพรรคที่ร่วมต่อสู้แก้รัฐธรรมนูญ และทำเรื่องปรองดอง การปรองดองเป็นเรื่องสำคัญเป็นการเปลี่ยนประเทศ ให้น่าเชื่อถือ ให้ประเทศเดินไปข้างหน้า มีประชาธิปไตย เราจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ได้ เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม สร้างประเทศให้มีประชาธิปไตย ปรองดอง เป็นเกมวัดใจ ใครดำน้ำอึดกว่าก็จะชนะขอให้เข้าประชุมกันอดทนหน่อย “ผมเช็คชื่อตลอด ใครไม่มาประชุมผมรู้นะ”พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Let it Beช่างแมลงสาบเถอะ !!?

ช่วงสงกรานต์หยุดยาว การเมืองไทยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าศูนย์ กลางไปรวมอยู่ที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ลาวและกัมพูชา ทั้งยังถือเป็น “ปรากฏการณ์” ที่สะท้อนถึงบารมีและอิทธิพลของ พ.ต.ท.ทักษิณในทางการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มอำมาตย์ และบรรดาสลิ่มต้องคิดหนักหากจะกำจัด พ.ต.ท. ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนสงกรานต์ก็มีกระแสข่าวการวางแผนลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวปล่อย หรือข่าวลวงก็ตาม ล้วนแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังเกรงกลัวบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน แม้แต่การปรากฏตัวผ่านสไกป์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ

โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาคัดค้านทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการพยายามสร้างความปรองดอง เพราะกลัวแค่คนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้าน อย่างตัวเป็นๆ ไม่ใช่ “ผี” หรือ “ปิศาจ” อย่างที่พยายาม ปลุกระดมให้คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 5 ปีที่ผ่านมา
จนมีการตั้งคำถามว่า “ศูนย์กลางของวิกฤตการเมือง” คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ตั้งโจทย์จับเข่าคุยกัน?
ความรักและศรัทธา

นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @oak_ptt เมื่อวันที่ 16 เมษายนหลังกลับจากเสียมเรียบ โดยกล่าวขอบคุณคนเสื้อแดงที่เดินทางไปร่วมงานรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชา ซึ่งนอกจากมีความสุขตามประสาลูกที่ได้เจอพ่อแล้ว ยังประทับใจอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่หลั่ง ไหลเข้าไปในกัมพูชาเพื่อร่วมรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณ

“ทราบจากทาง ตม.กัมพูชาว่าเฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบนั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่านเลยครับ ถ้างานนี้จัดที่เมืองไทยในขณะที่คุณพ่อผมมีตำแหน่งทางการเมือง คนมาร่วมงานเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เกือบ 6 ปีแล้วที่คุณพ่อถูกปฏิวัติและต้องพ้นจากตำแหน่ง พ่อแม่พี่น้องก็ยังให้ความรักและศรัทธาในตัวคุณพ่อผมอยู่ ยังให้ความเมตตาอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมต้องขอกราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ”

นายพานทองแท้เขียนอีกว่า “ภาพที่ผมเห็น เสียม เรียบเต็มไปด้วยพี่น้องคนไทยกว่าครึ่งแสน เป็นการยืนยันความเชื่ออันนี้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมและครอบครัวมีแรงและกำลังใจในการยืนต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อปากท้องของพี่น้องประชาชนไปได้อีกนาน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนะครับ แต่ในรูปแบบใดๆก็ตามที่สามารถช่วยพี่น้องเป็นการตอบแทนได้ มีพี่น้องหลายท่านก่อนกลับได้ยืนยันกับผมว่าไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็จะขอมาร่วมงานอีกทุกๆปี ก็อยากจะบอกว่าครอบครัวผมยินดีและซึ้งใจในไมตรีจิตของทุกๆท่าน แต่อยากจะขอภาวนาให้สงกรานต์หน้าจัดที่ประเทศไทยได้ไหม เพราะผมคิดถึงคุณพ่อ
สงครามจิตวิทยา

“เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดี ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล”

คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่พูดกับคนเสื้อแดงและสื่อนับร้อยที่ไปทำข่าว โดยอ้างเป็นปีมหามงคลว่ามีความหวังจะได้กลับบ้านในปีนี้ จึงเหมือนเป็นการทำสงครามจิตวิทยาให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำมาตย์ยิ่งเก็บกดและจินตนาการไปต่างๆนานา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณออกตัวว่าถ้ากลับปีนี้ไม่ได้ก็อาจกลับหลังปี 2556 อย่างที่โหราจารย์หลายสำนักทำนาย

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะดึงสถา บันเบื้องสูงที่เป็น “จุดอ่อน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโจม ตีทันทีว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะเหมือนเป็น การกดดันสถาบัน และยังพาดพิงถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ถ้ามีกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีกระบวนการที่เป็นสากลยุติธรรม ใครก็รับได้และไม่กลัวอยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำผิด นี่บังเอิญว่าเราเป็นภาคียูเอ็น (สหประชาชาติ) ที่ว่าไม่รับศาลเดียว แต่เราก็ตั้งศาลเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว”
เกมของ “ทักษิณ”

การพูดถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ต่างกับเรื่องสถาบัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรตามมา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเล่นเกมนี้เองมากกว่า เหมือนการเดินทางไปพบผู้นำประ เทศและนักธุรกิจระดับสูงในประเทศต่างๆ การให้สัมภาษณ์อะไร หรือแม้แต่ทำธุรกิจ ฝ่ายตรงข้ามจึงได้แต่จินตนาการด้วยความหวาดระแวงและวิตกจริต แล้วนำมายึดโยงกับการเมืองเกือบทุกเรื่อง ทั้งที่บางครั้งแทบไม่มีข้อมูลเลยก็ตาม

พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่ เป็น “ศูนย์กลางของการเมือง” ตั้งแต่ปรากฏการณ์สนธิ (ลิ้มทองกุล) ที่รับหน้าเสื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปลาย ปี 2548 และลงทุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพียง เพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณให้สิ้นซาก

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ยังต้องเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเร่ร่อนไปมาเหมือนเจ้าไม่มีศาล ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องปลดล็อกโทษจำคุก 2 ปีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ได้ว่าไม่ชอบธรรมและไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล แม้จะไม่ได้ทรัพย์สินจำนวน 46,000 ล้านบาทคืนก็ตาม
ส่วนอีก 4 คดีที่รอการพิจารณาในศาลนั้น ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าแทบเอาผิด พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้เลย

นิรโทษกรรม-ปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ยอมรับว่าเป็นนักโทษหลบหนีคุกและหมายจับ แต่พร้อมจะกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการออกกฎหมายเพื่อล้มล้างผลพวงรัฐประหารทั้งหมดที่จะมีผลให้ทุกคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระ ทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโมฆะ แต่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามสร้างกระแสให้เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนพยายามบิดเบือน กรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” ให้เป็น “แพะ” เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้การฆ่าประชาชนเกือบร้อยและบาดเจ็บพิการเป็นความชอบธรรม ที่

วันนี้ “คนสั่งยังลอยหน้า และคนฆ่าก็ยังลอยนวล”

ปัญหาการปรองดองจึงไม่ได้อยู่ที่การนิรโทษกรรม ให้ “ฆาตกร” หรือคนผิด แต่ต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้ก่อนนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองและให้สังคมนำไปเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดหายนะกับบ้านเมืองอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้านหัวชนฝา แม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่หลายประเด็นขัดกับหลักนิติรัฐและทำลายการเมืองตามระบอบประชา ธิปไตยเยี่ยงอารยประเทศ
ประชาธิปัตย์ด่าไปเสี้ยมไป

อย่างล่าสุดที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีพรรคเพื่อไทยเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใครทั้งพรรคเพื่อไทยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินหน้าต่อไปหากมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งสถานะของประเทศไทยวันนี้มีหลายวิบัติคือ

1.มนุษย์วิบัติ ไม่เคารพต่อคำพิพากษา ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ดำเนินการใดๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบนิติรัฐ นิติธรรมแล้ว คำว่า “ช่างแม่มัน” อาจจะเกิดขึ้นจริง

2.ตรรกะวิบัติ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณร้องเพลง Let it Be สะท้อนให้เห็นถึงความอำมหิตในใจ เพราะให้สัมภาษณ์ที่ลาวว่ามารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ต้องยอมรับการนิรโทษกรรมและเสียสละในฐานะเป็นคนส่วนน้อยเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นสงกรานต์ในประเทศไทยปีหน้า

3.นิติรัฐวิบัติ การจ้องล้มล้างกระบวนการต่างๆที่ตัดสินความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ

4.ประชาธิปไตยวิบัติ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอ้าง 15 ล้านเสียง เหมือนกับว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อให้นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน

ไม่ต่างกับนายอภิสิทธิ์ที่อภิปรายถึงการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ว่าติดขัดเรื่องการนิรโทษกรรมและคดีของ คตส. จึงจำเป็นต้องตอบโจทย์ พ.ต.ท. ทักษิณให้ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะปั่นป่วนต่อไป ประ เด็นสำคัญอยู่ที่หลักของบ้านเมืองจะเสียหรือไม่ ส่วนที่มีการสร้างวาทกรรมว่าถ้าไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้ายก็จะไม่ปรองดองกับฆาตกรนั้น อยากให้ระวัง เพราะทั้งผู้ก่อการร้ายและฆาตกรเป็นคนเดียวกัน ทั้งท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นคน 3 คนคือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพร้อมจะรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศ

“ผมต่อให้ 2 ต่อ 1 ผมกับคุณสุเทพ 2 คน ไม่รับการนิรโทษกรรม แลกกับคุณทักษิณไม่นิรโทษกรรมคนเดียว ที่เหลือนิรโทษให้หมด อย่างนี้ประชาชนไม่ต้องเดือดร้อน และคุณทักษิณกลับมาสู้คดีเลย วันนี้อย่าลากสภาไปรองรับการตอบโจทย์ของใคร ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาของบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าทำให้คำว่าปรองดองถูกปล้น และอย่าให้นายปรองดองถูกลักพาตัวแล้วไปเอาเสื้อนิรโทษกรรมมาคลุมใส่ พวกผมไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนหากกระบวนการนั้นจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

แต่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการกลับบ้านแบบเท่ๆของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการอาศัยการเจรจาใน พ.ร.บ.ปรองดองที่ดำเนินการกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องถูกจับหรือชดใช้โทษที่ถูกตัดสินไป ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นตัวเองกับนายสุเทพและ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว จะให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย และ 2.กรณีของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นปัญหาที่มาจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ต้องมีการฟ้องร้องต่อไป จะเอามาแลกกันไม่ได้ เพราะเป็นวาระที่ต่างกัน แต่นายอภิสิทธิ์พูดจนเกิดความสับสนไปหมด ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีความเสียหายที่ต่างกัน ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณคนที่เสียหายคือรัฐ ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์คนที่เสียหายคือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียญาติหรือครอบครัว ซึ่งต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะยอมแลกด้วยมั้ย
เพื่อไทยเดินหน้าการปรองดอง

ด้านพรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่า คงทำในนามพรรค ไม่ใช่ในนามรัฐบาล และจะทำแน่นอน เพราะ บรรยากาศปรองดองทั่วไปดีหมดแล้ว กองทัพกับรัฐบาล ก็ดี แนวทางคงยึดรูปแบบของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาการสร้างความปรองดองฯของสภาผู้แทนราษฎร หากมีการนิรโทษกรรมคงไม่มีปัญหาแรงต่อต้านอะไร ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไร เหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรองดองก็ “ช่างศีรษะมัน” ไม่ต้องไปสนใจ

นายเสนาะเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เรียกร้องที่จะเอาเงิน 46,000 ล้านบาทคืนด้วย โดยให้คิดว่าเป็นการบริจาคเพื่อการกุศล พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมาหลังออกกฎหมายนิรโทษกรรม

ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะกลับประเทศในปีนี้ว่า เข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดในบริบทของคนที่คิดถึงบ้านมากจึงอยากกลับประเทศให้เร็วที่สุด เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องของนักการเมือง เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะทำหน้าที่ออกกฎหมายปรองดอง ซึ่งเหลือเวลาอีก 8 เดือนจะสิ้นปี จึงไม่ถือว่าเร่งรัดอะไร

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้จะนำเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจผ่านทางนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่จัดทำร่วมกับความคิดเห็นต่างๆออกมาเป็นข้อเสนอแนะ แล้ว ครม. จะนำมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง เชื่อว่าภายใน 3-4 เดือนน่าจะออกมาเป็นกฎหมายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรติดขัด

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ไม่ได้รอ พ.ร.บ. หรือกฎหมายฉบับไหนเป็นพิเศษ หวังแต่เพียงการหาทาง ออกจากวิกฤตนี้ให้ได้ และไม่ควรมีใครหากำไรกับความขัดแย้งนี้ โดยเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการความปรองดองเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์ ส่วนใครจะได้รับผลพลอยได้และได้รับความยุติธรรมเป็นเรื่องรอง
ให้อภัยไม่ใช่ให้ลืม

แต่นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ประ จำภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ศึกษาและคลอดตำราแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ มองเส้นทางสู่ความปรองดองท่ามกลางกองไฟความขัดแย้งว่า คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เคยให้หลักการไว้ว่า 1.ต้องหาความจริงให้ชัด แต่เปิดเผยหรือไม่นั้นมีคำถามได้ 2.พอมีความจริงแล้วต้องนำไปสู่ความยุติธรรม และ 3.มีสิ่งที่เรียกว่าความพร้อมรับผิด แปลว่าถ้าคุณเป็นคนทำร้ายผู้อื่น ทำผิดอะไรต้องรับความผิดนั้น แต่ความพร้อมรับผิดไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การลงโทษ โมเดลการสมานฉันท์จึงไม่ใช่เรื่องการลงโทษ แต่ต้องให้อภัยที่ต้องมาพร้อมความรับผิด

ดังนั้น การให้อภัยไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่เงื่อนไขการให้อภัยจะต้องจำ แต่จำแล้วให้อภัย การทำเรื่องความสมานฉันท์ เรื่องปรองดองจึงมีความเสี่ยง เช่น พอพูดความจริงแล้วทนรับได้หรือไม่ เพราะสังคมไทยน่าเกลียดน่ากลัว จะทนได้หรือไม่หากพวกที่ยิงกันในความขัดแย้งครั้งก่อนๆเป็นพวกเดียวกันเอง
ช่างแม่มัน...แมลงสาบ

ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่เวทีลานศูนย์ วัฒนธรรมเสียมเรียบ ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่มาให้กำลัง ใจหลายหมื่นคนเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน ซึ่งไฮไลท์ของ งาน พ.ต.ท.ทักษิณได้ร้องเพลง “Let it Be” โดยมีการแปลง เนื้อร้องบางท่อนเป็นภาษาไทยว่า “ช่างแม่มัน” ใครขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนขวางแก้รัฐ ธรรมนูญ ช่างแม่มัน และจะเป็นจะตายก็ช่างแม่มัน

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ถูกปฏิวัติก็ไม่เคยหยุดคิดทำงานให้บ้านเมืองและประชา ชน กระทั่งประชาชนเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย และน้องสาวคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นึกไม่ถึงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำงานได้ดีขนาดนี้ และที่ดีกว่าตนเองมากคือมุ่งมั่นทำงาน ไม่ตอบโต้ฝ่ายค้าน แตกต่างจากตนที่ซัดมาก็ซัดไป ทั้งยังให้กำลังใจน้องสาวผ่านผู้สื่อข่าวว่า so far so good อย่าตกใจทางการเมืองที่ชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูด ขอให้อดทนและนิ่งเข้าไว้ แต่ที่สอนนี่ตัวเองก็ทำไม่ได้ นายกฯยิ่งลักษณ์นิ่ง แต่ตนไม่นิ่ง เป็นคนสมองไวอย่างเดียวไม่พอ ปากไวด้วย

“วันนี้ต้องก้าวข้ามผมให้ได้ การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนสักที ก้าวข้ามผมสิ เขย่งนิดเดียวก็พ้นแล้ว มันยุติธรรมหรือไม่ ถ้ายุติธรรมแล้วจะเข้ามา ตอนนี้มันเหมือนต้นไม้ที่เป็นพิษ ต้นเหตุเกิดจากการปฏิวัติ แล้วตั้ง คตส. และกระบวนการยุติธรรม เมื่อต้นไม้เน่าทั้งต้นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ไม่กลัว เอาเลย ยินดี”

ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาว นานมากว่า 5 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการปลดล็อกวิกฤตของบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ การปรองดองจึงต้องอยู่กับฝ่ายกระทำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ “อีแอบ” ที่อยู่เหนือกลุ่มอำมาตย์ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดและรอดพ้นจากการถูกยุบพรรคได้อย่างปาฏิหาริย์จนถูกตั้งฉายาให้เป็น “พรรคแมลงสาบ”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์รดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเขย่าเพื่อให้ได้กลับบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเกมเหนือชั้นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้สื่อและประชาคมโลกไม่ลืมวิกฤตการเมืองไทยที่ยังจมปลักอยู่กับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบ ขณะที่ประเทศต่างๆพยายามก้าวออกสู่วังวนอุบาทว์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอาหรับ หรือแม้แต่พม่าที่ปิดประเทศมากว่าศตวรรษ

คนไทยหลายหมื่นคนทั้งที่ลาวและกัมพูชาที่ไปรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณท่ามกลางการอารักขาและให้ความ สะดวกอย่างเต็มที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่กัมพูชาขัดแย้งกับไทยในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธยิงถล่มกันเมื่อปีที่ผ่านมานั้น วันนี้กลับมีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ นักวิชาการจึงมองอีกแง่ว่า “ปรากฏการณ์ทักษิณ” เหมือนเป็นการเปิดประตูอาเซียนที่ประกาศให้ปี 2558 เป็นเขตการค้าเสรีอาเซียนสู่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันอย่างแท้จริง

น่าแปลกใจที่ “ทักษิณ” สามารถทำตัว “เท่” เดินทางไปได้ทั่วโลก และเข้าเยี่ยมเยือนประมุขของประเทศต่างๆในประเทศอาเซียน และได้รับการต้อนรับราวกับว่าเป็นบุคคล ที่มีตำแหน่งสำคัญจากประเทศไท
จะมีก็เพียงแต่ “ราชอาณาจักรไทย” เท่านั้น...ที่ยังกลับเข้ามาอย่าง “เท่” ไม่ได้!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพื่อไทย แพ้ย่อยยับเสียเก้าอี้ส.ส.-ชวด นายก อบจ.ปทุมฯ .

พรรคเพื่อไทยเสียหายย่อยยับเมื่อแพ้เลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 ปทุมธานี ให้กับคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ แถม ส.ส. ที่ลาออกไปชิงเก้าอี้นายก อบจ. ยังแพ้เลือกตั้งให้กับอดีตนายก อบจ. คนเก่าอย่างไม่เห็นฝุ่น “พร้อมพงศ์” อ้างประชาชนยังมีอารมณ์ค้างจากปัญหาน้ำท่วม “สุริยะใส-เทพไท” ประสานเสียงรัฐบาลขาลง เสื้อแดงเสื่อม “กรณ์” ดีใจปักธงพื้นที่เสื้อแดงสำเร็จ
++++++++++++
พรรคเพื่อไทยเสียท่าให้พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จังหวัดปทุมธานี
แทนว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี ส.ส. เก่าของพรรคที่ลาออกไปลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อผลนับคะแนนออกมาปรากฏว่า นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้ 24,119 คะแนน ขณะที่นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน
คนใช้สิทธิน้อยแค่ 37%

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง ระบุว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิน้อยมากเพียง 37% เท่านั้น ส่วนภาพรวมการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากไม่มีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งจะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการโดยเร็ว ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงแสดงความยินดีกับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนความนิยมตกต่ำของรัฐบาล เพราะมีคนมาใช้สิทธิน้อย

“ปัจจัยหนึ่งที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้คือปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา เพราะจากการลงพื้นที่หาเสียงพบว่าประชาชนยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีอยู่ เพราะไม่พอใจในการช่วยเหลือ ซึ่งพรรคจะนำผลการเลือกตั้งที่ออกไปปรับปรุงการทำงานต่อไป”

“ธิดา” โบ้ยไม่เกี่ยวเสื้อแดง
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าววว่า การพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับกระแสคนเสื้อแดงลดลง เพราะการทำงานของพรรคและรัฐบาลไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง ในจังหวัดปทุมธานีมีคนเสื้อแดงอยู่หลายกลุ่ม การจะเลือกใครถือเป็นสิทธิ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณประชาชน เพราะพรรคไม่มี ส.ส. ในจังหวัดนี้มานานมากแล้ว ชัยชนะครั้งนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยต้องปรับปรุงการทำงาน อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิน้อยถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะแสดงให้เห็นว่าประชาชนเบื่อการเมือง
ปชป. ไม่หวังชนะที่เชียงใหม่

ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ แทน น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงทางการเมืองตัดสิทธิทางการเมือง กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคกำลังคัดเลือกตัวบุคคล แต่ต้องยอมรับว่าพื้นที่นี้พรรคมีโอกาสน้อย เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคมีคะแนนตามหลังคู่แข่งอยู่มาก ต่างจากที่ปทุมธานีที่ห่างกันไม่มาก
“กรณ์” ดีใจปักธงถิ่นเสื้อแดง

นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่มีผลต่อคะแนนในสภามากนัก แต่มีผลต่อการประเมินคะแนนนิยมของพรรคการเมืองได้อย่างน่าสนใจ มีบทเรียนให้กับทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ โดยเพื่อไทยได้รับบทเรียนสำคัญคือ อย่าดูถูกประชาชนด้วยการที่ให้ ส.ส. คนเดิมลาออกไปสมัครนายก อบจ. ทั้งที่เพิ่งได้รับเลือกมาได้แค่ 8 เดือน ทำเหมือนเป็นของเล่น และคะแนนเสียงเป็นของตาย และยังเป็นสัญญาณเตือนเพื่อไทยว่าอย่ามัวแต่หมกมุ่นแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนละเลยการดูแลประชาชนที่เดือดร้อน และชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการปักธงในพื้นที่คนเสื้อแดงพื้นที่หนึ่ง และยอมรับว่าสภาพแวดล้อมเป็นใจต่อพรรคมากกว่าปรกติ จนทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหน้าแตกในที่สุด
ชี้ 3 ปัจจัยทำเพื่อไทยแพ้

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้พรรคประชาธิปัตย์มีอยู่ 3 ข้อคือ 1.ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเป็นคนนอกพื้นที่ ต่างกับผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง 2.การบริหารงานของนโยบายของรัฐบาลนี้ผิดพลาด ทั้งที่เป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย แต่การช่วยเหลือประชาชนช่วงน้ำท่วมกลับล่าช้าและไม่ทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องก็ล้มเหลว ทำให้คนตกงานและสินค้าราคาแพง 3.ชาวบ้านเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง ที่จู่ๆว่าที่ร้อยตรีสุเมธก็ลาออกจาก ส.ส. ไปลงเลือกตั้งนายก อบจ. เพราะหวังจะได้บริหารงบประมาณของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านรับไม่ได้
ชี้ชัดเพื่อไทยขาลง

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวเช่นกันว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยมาจากปัจจัย 3 เรื่องคือ 1.การบริหารจัดการอุทกภัยล้มเหลว ทำให้พื้นที่เสียหายมากและเยียวยาล่าช้า 2.นโยบายล้มเหลวหลายเรื่องไม่เป็นจริงตามที่หาเสียงไว้ 3.การชิงบทบาทกันเองระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับแกนนำพรรคเพื่อไทย ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเป็นขาลงของพรรคเพื่อไทย
เพื่อไทยแพ้อดีตนายก อบจ.

สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ซึ่งมีผู้สมัคร 5 คน ประกอบด้วย นายชาญ พวงเพ็ชร์ หมายเลข 1 (อดีตนายก อบจ.) ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ หมายเลข 2 นายสุพจน์ ศรีสุวรรณ หมายเลข 3 นายชานุ หอมหวน หมายเลข 4 และนายสมนึก สอนเนย หมายเลข 5

ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. นายชาญมีคะแนน 100,000 กว่าคะแนน นำว่าที่ร้อยตรีสุเมธที่ลาออกจาก ส.ส. มาลงสมัครชิงตำแหน่งกว่าครึ่ง เนื่องจากอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้มาเพียง 50,000 กว่าคะแนนเท่านั้น

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปชป.ชี้เหตุเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งที่ จ.ปทุมธานี วานนี้ ว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนที่ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะการทุ่มเททำงานหนักของผู้สมัคร แต่ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็น ว่าความล้มเหลวของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลคะแนนหายไปที่ จ.ปทุมธานี เขต 5 เพียงเขตเดียว ถึงกว่าสองหมื่นคะแนน

ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์เรื่องค่าครองชีพ การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ การทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ การทุจริตคอรรัปชั่นเงินเยียวยา ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่สนใจ และไม่ใช่มาต่อล้อต่อเถียงกับฝ่ายค้าน เรื่องการปฏิบัติงาน จึงขอเรียกร้อง รัฐบาลหันกลับไปให้ความสนใจ กับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ลดค่าครองชีพ และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

ลิ่วล้อสอพลอเกินหน้า !!?

ลิ่วล้อสอพลอเกินหน้า อยู่เป็น “รัฐบาล” จนเหนียงยาน แต่ทว่า “ยางพารา” กลับไร้ราคา เพราะ “กลุ่มขบวนการแมลงสาป” เป็นโป๊กเกอร์ยี่ปั๊วใหญ่ ค้ายางให้กับ “สิงคโปร์” พอ “ทักษิณ” ก้าวสู่บัลลังก์ “นายกรัฐมนตรี” ตัดวงจรอุบาทว์ ปรับยางขึ้นไป ๑๒๐ บาท..มันก็ฟิวส์ขาด โมโห นี่, “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรฯ จะทำให้ “ยางพารา” ไต่เพดาดบิน ราคาดีกว่ายุค “ทักษิณ” แมลงสาปหัวเก่า จึงจับมือกับนายทุนสิงคโปร์ เพื่อล้ม “รัฐบาลปู” ให้จั๋งหนับ บางพรรคดูว่ามีค่า..แท้จริงพวกขี้รดบนหลังคา?...หาความจริงใจ ไม่ได้จริงๆ ขอรับ
--------------------------------
กรรมออนไลน์ติดจรวด ฮุบที่หลวง แผ่นดินแห่งประเทศ ไปเป็นของตนเอง เวรกรรมจึงไล่กวด ติดตามดู “ท่านบุญเชิด คิดเห็น” อธิบดีกรมที่ดินป้ายแดงใหม่เอี่ยม เข้ามาสางคดี “เขาแพง” เมืองสุราษฏร์ธานี บุคคลใดที่โมเมเอาแผ่นดินคนไทยทั้งประเทศ ไปครอบครอง งานนี้เจอดี พระสยามเทวาธิราช ท่านแลเห็น ใครเอาสมบัติของหลวงชีวิตบั้นปลาย ต้องชอกช้ำ ถือว่าเป็นอุทาหรณ์...คนที่ไม่รู้ข้าวแดงแกงร้อน...ตอนแก่ต้องติดคุกชดใช้กรรม
---------------------------------
วาทะกรรม “หลอกลวง” ใครหนอ ยืมมือประชาชน เพื่อ “ฆ่าคนดี” ป่าวประกาศกลางโรงหนัง “ปรีดีฆ่าในหลวง” พา “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นจุดรวม ของเหล่าประชาธิปไตย ก้อ,กุเรื่อง สร้างเหตุการณ์เมือง โพนทะนา ว่า “จำลองพาคนไปตาย” เดี๋ยวนี้สร้างวาทศิลป์ ขึ้นมาหากินกันอีกแล้วว่า “ชายชุดดำฆ่าประชาชน”, “ใช้พวกมากลากไปเป็นเผด็จการรัฐสภาฯ”, “แก้รัฐธรรมนูญเพื่อคนเพียงคนเดียว”, หนำซ้ำย้อนอดีตนำหนังม้วนเก่าออกมาโหมโรงฉาย ไปดึง “สถาบัน” เข้ามาเกี่ยว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เค้าผูก..จากพวกคดในข้องอในกระดูก..ที่สร้างทุกข์แก่ชาติสถานเดียว
----------------------------------
ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกล้าสู้ครหา อย่างไม่เกรงกลัวใคร โครงการ “ไทยเข้มแข็ง” ว่ากันว่า “อีแร้ง” ลงกินเป็นห่าฝน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สะอาดหมดจด ต้องตั้งกรรมการ สอบสวน ดูสักหน เมื่อทาง “ประชาธิปัตย์” ยืนกระต่ายขาเดียว งบแสน..แสนล้านบาท ใช้ถูกต้องตามกติกา หลายคนว่ามีเปิบกันสด ๆ...เหมือนน้ำตาลใกล้มด?..มีหรือจะอด ใครซดมั่ง ต้องลากตัวออกมา
----------------------------------
แพงจนหูฉี่ แพงเป็นบ้าเป็นหลัง ล้วนออกจากปาก ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วที่ถูกเป็น “ทุกข์แผ่นดิน” มั่ง “อภิสิทธิ์” มัวทำอะไร ชาวสวนสับประรด ประจวบคีรีขันธ์ ร้องกันลั่น ..ผลผลิตสับประรด ถูกบรรลัย ทั้งที่โรงงานสับประรดกระป๋องเจ้าใหญ่ เป็นของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์..ปล่อยผลผลิตราคาถูก น่ารับซื้อราคาแพงได้ เพื่อช่วยประชาชน ให้อิ่มปากอิ่มท้อง ประชาธิปัตย์ออกมาเต้น...แต่ปล่อยให้ประชาชนตายทั้งเป็น?..นี่จะเล่นตีสองหน้าไปถึงไหน ล่ะพ่อแม่พี่น้อง ที่มา:

คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++