ดีเอสไอเตรียมแถลงสรุปคดีการตาย 91 ศพ ช่วงสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเร็วๆนี้ แย้มมีนักการเมืองระดับสั่งการต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ถวิล” ระบุคดีที่จะส่งฟ้องศาลต้องชี้ชัดสาเหตุการตายแต่ละศพว่าเกิดจากระงับเหตุโดยประมาท เจตนาฆ่า หรืออุบัติเหตุ ย้ำแม้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุ้มครอง แต่ทำเกินกว่าเหตุไม่ได้ และต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
+++++++++
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าดีเอสไอได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการตาย 91 ศพ ระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553แล้ว จะแถลงให้ทราบอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ ซึ่งนักการเมืองที่เป็นผู้สั่งการต้องรับผิดชอบด้วย
“แนวทางการสอบสวนหลักฐานต่างๆชี้ชัดว่ามีการเสียชีวิต 91 ศพจริง มีการยิงจากอาวุธปืนจริง ซึ่งจะต้องดำเนินการไปตามกระบวนการกฎหมายที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะนักการเมืองที่เคยประกาศว่าจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
นายถวิล เปลี่ยนศรี ในฐานะอดีตเลขานุการ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า การสืบสวนสอบสวนคดีทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีความคืบหน้าตามสมควร แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันจึงได้ข้อสรุปที่ว่า อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต
“คดีที่จะส่งสำนวนฟ้องต้องมีการระบุสาเหตุการเสียชีวิตให้ชัด ซึ่งการเสียชีวิตก็มีทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ และสื่อมวลชน เช่น เกิดจากการระงับเหตุโดยประมาท หรือเจตนาฆ่าประชาชน หรือโดยอุบัติเหตุ เป็นต้น เพราะแม้ในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่รัฐได้รับการคุ้มครองจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ถ้ากระทำการโดยประมาทอย่างร้ายแรง หรือเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม หรือแม้แต่กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนมีอาวุธ ย่อมต้องมีกระบวนการตรวจสอบ และให้ความเป็นธรรมทางกฎหมายต่อทั้งสองฝ่าย”
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555
ปชป.เล่นไม่เลิก โยงข้อมูล ยกโต้ง-เศรษฐา หุ้นส่วนธุรกิจ !!?
ปชป.เล่นไม่เลิก โยงข้อมูล ยก “โต้ง-เศรษฐา” หุ้นส่วนธุรกิจ ส่งว.5โฟร์ซีซั่นผลประโยชน์ทับซ้อน
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี นางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ในฐานะทีมรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงข้อสังเกต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น โดยนายอรรถพร กล่าวว่า ยังมีข้อสงสัยว่าวงหารือดังกล่าว มีการคุยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้มีตัวละครที่น่าสนใจคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง เพราะได้ยอมรับว่าร่วมพูดคุยด้วย อีกทั้งข้อมูลจาก “สำนักข่าวอิศรา” ระบุว่า มีการเชื่อมโยงกันระหว่างนายกิตติรัตน์ กับนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารบริษัทแสนสิริ เพราะทั้ง2 รายได้ถือหุ้นในบริษัทเดียวกันอย่างน้อย 3 บริษัทคือ1.บริษัทคาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ 2.บริษัทเอซี.ซีเนียร์ จำกัด 3.บริษัทรัตนโกสินทร์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด ทั้งนี้ทั้ง 3 บริษัทเป็นบริษัทที่นายกิตติรัตน์ ถือหุ้นมากที่สุด และเมื่อนำหุ้นของนายเศรษฐาและนายกิตติรัตน์ถือหุ้นร่วมกัน ถือว่าเป็นจำนวนหุ้นเกือบทั้งหมด นั่นหมายถึงว่าทั้งสองเป็นเจ้าของบริษัท มีความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ และน่าจะได้รับประโยชน์จากการหารือครั้งดังกล่าว
น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า อยากให้นายกฯมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และในวันพรุ่งนี้ (1 มี.ค.) พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นกระทู้ถามสด และอยากให้นายกฯมาชี้แจงด้วยตัวเอง โดยอย่าบ่ายเบี่ยงข้อสงสัยหรือมอบให้รองนายกฯชี้แจงแทน เหมือนที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลที่ทีมรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์นั้น นำมาจากสกู๊ปข่าวที่มีชื่อว่า “เปิดหลักฐาน “กิตติรัตน์” หุ้นส่วน “แสนสิริ”-บิ๊กอสังหาฯ โยงปม “ปู ว.5” โฟร์ซีซันส์?” ในเว็ปไซต์สำนักข่าวอิศรา
เตรียมดันกระทู้ถามจริยธรรม “ปู” ว.5
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีการตั้งกระทู้ถามสดในวันที่ 1 มี.ค. ว่า กรณีการตั้งกระทู้ถามเรื่องภารกิจว .5ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีน.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนั้น ทางวิปฝ่ายค้านจะต้องมีการหารือกับประธานสภาฯ ก่อนว่ากระทู้ดังกล่าวได้ตกไปตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.ไปแล้วหรือยัง ซึ่งทางวิปฝ่ายค้านเห็นว่าคงจะต้องมีการถกเถียงเรื่องนี้ในห้องประชุมสภาฯ เพราะคาดว่าประธานสภาฯ คงจะอ้างว่ากระทู้ดังกล่าวได้วินิจฉัยให้ตกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ทางวิปจะมีการเตรียมยื่นกระทู้ถามสดสำรองไว้ ซึ่งจะเป็นหัวข้อของเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เนื้อหาที่จะถามก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับว.5 เหมือนเดิม
ส่วนการยื่นกระทู้ถามสดกรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม นั้น นายบุญยอด กล่าวว่า ที่ประชุมของวิปฝ่ายค้านยังคงมีการถกเถียงและยังไม่ได้ข้อสรุป โดยวิปส่วนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้ได้มีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้เห็นไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกระทู้ถามเพื่อให้ร.ต.อ.เฉลิมได้มีโอกาสมาแก้ตัวอีก และบางส่วนเห็นว่าควรจะตั้งกระทู้ถามสดในเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาปากท้องของประชาชน เรื่องของราคาสินค้าแพง น้ำมันแพง หรือเรื่องของการขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจ ทั้งนี้ คงต้องรอข้อสรุปของวิปฝ่ายค้านในช่วงเช้าของวันที่ 1 มี.ค. อีกครั้งหนึ่ง
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี นางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ในฐานะทีมรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงข้อสังเกต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น โดยนายอรรถพร กล่าวว่า ยังมีข้อสงสัยว่าวงหารือดังกล่าว มีการคุยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นได้มีตัวละครที่น่าสนใจคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง เพราะได้ยอมรับว่าร่วมพูดคุยด้วย อีกทั้งข้อมูลจาก “สำนักข่าวอิศรา” ระบุว่า มีการเชื่อมโยงกันระหว่างนายกิตติรัตน์ กับนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารบริษัทแสนสิริ เพราะทั้ง2 รายได้ถือหุ้นในบริษัทเดียวกันอย่างน้อย 3 บริษัทคือ1.บริษัทคาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ 2.บริษัทเอซี.ซีเนียร์ จำกัด 3.บริษัทรัตนโกสินทร์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด ทั้งนี้ทั้ง 3 บริษัทเป็นบริษัทที่นายกิตติรัตน์ ถือหุ้นมากที่สุด และเมื่อนำหุ้นของนายเศรษฐาและนายกิตติรัตน์ถือหุ้นร่วมกัน ถือว่าเป็นจำนวนหุ้นเกือบทั้งหมด นั่นหมายถึงว่าทั้งสองเป็นเจ้าของบริษัท มีความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ และน่าจะได้รับประโยชน์จากการหารือครั้งดังกล่าว
น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า อยากให้นายกฯมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และในวันพรุ่งนี้ (1 มี.ค.) พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นกระทู้ถามสด และอยากให้นายกฯมาชี้แจงด้วยตัวเอง โดยอย่าบ่ายเบี่ยงข้อสงสัยหรือมอบให้รองนายกฯชี้แจงแทน เหมือนที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลที่ทีมรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์นั้น นำมาจากสกู๊ปข่าวที่มีชื่อว่า “เปิดหลักฐาน “กิตติรัตน์” หุ้นส่วน “แสนสิริ”-บิ๊กอสังหาฯ โยงปม “ปู ว.5” โฟร์ซีซันส์?” ในเว็ปไซต์สำนักข่าวอิศรา
เตรียมดันกระทู้ถามจริยธรรม “ปู” ว.5
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีการตั้งกระทู้ถามสดในวันที่ 1 มี.ค. ว่า กรณีการตั้งกระทู้ถามเรื่องภารกิจว .5ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีน.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนั้น ทางวิปฝ่ายค้านจะต้องมีการหารือกับประธานสภาฯ ก่อนว่ากระทู้ดังกล่าวได้ตกไปตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.ไปแล้วหรือยัง ซึ่งทางวิปฝ่ายค้านเห็นว่าคงจะต้องมีการถกเถียงเรื่องนี้ในห้องประชุมสภาฯ เพราะคาดว่าประธานสภาฯ คงจะอ้างว่ากระทู้ดังกล่าวได้วินิจฉัยให้ตกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ทางวิปจะมีการเตรียมยื่นกระทู้ถามสดสำรองไว้ ซึ่งจะเป็นหัวข้อของเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เนื้อหาที่จะถามก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับว.5 เหมือนเดิม
ส่วนการยื่นกระทู้ถามสดกรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม นั้น นายบุญยอด กล่าวว่า ที่ประชุมของวิปฝ่ายค้านยังคงมีการถกเถียงและยังไม่ได้ข้อสรุป โดยวิปส่วนหนึ่งเห็นว่าเรื่องนี้ได้มีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้เห็นไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกระทู้ถามเพื่อให้ร.ต.อ.เฉลิมได้มีโอกาสมาแก้ตัวอีก และบางส่วนเห็นว่าควรจะตั้งกระทู้ถามสดในเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาปากท้องของประชาชน เรื่องของราคาสินค้าแพง น้ำมันแพง หรือเรื่องของการขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจ ทั้งนี้ คงต้องรอข้อสรุปของวิปฝ่ายค้านในช่วงเช้าของวันที่ 1 มี.ค. อีกครั้งหนึ่ง
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ทักษิณ. รอมชอม ชนชั้นสูง แก้ รธน. เร่งกลับไทย บนสัญญาณ พล.อ.เปรม. ปรองดอง !!?
“ชนชั้นสูง” เป็นกลุ่ม คนมีอำนาจแวดล้อมสถาบันสูงสุดของสังคม โดยทั่วไปมักเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “อำมาตย์” ซึ่งมีแนวคิด พื้นฐานเป็นพวกอนุรักษนิยม แต่มักแสดงออกในรูปแบบ “เสรีนิยม”
ในทางการเมืองนับตั้งแต่ช่วงปี 2544 ถึงปัจจุบัน หากใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเส้นแบ่ง อำนาจแล้ว ชนชั้นสูงจำแนกได้ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก ศูนย์กลางอำนาจคนกลุ่มนี้มีกองทัพคอยหนุนหลัง และฝ่ายนี้เกี่ยวพันกับการ แทรกแซงการเมืองอย่างเด่นชัดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับฝ่ายที่สอง เป็นพวก “ยืดหยุ่น” แต่ค่อนข้างเอนเอียงมาทาง พ.ต.ท.ทักษิณ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ทำงาน ด้านเศรษฐกิจให้กับสถาบัน แต่ไร้อำนาจกองทัพสนับสนุนด้วยลักษณะทางอำนาจ กลุ่มชนชั้นสูงทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจผสมส่วน เป็นเนื้อเดียวกันได้ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มขยับบทบาท มากขึ้น ใช้อำนาจรัฐบาลและมวลชนเสื้อแดงเป็นช่องทางเจรจาต่อรองเป็นระยะๆ กับกลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น เพื่อปูลู่ทางไปสู่การรอมชอมกับสถาบัน ในอนาคต แต่ถึงที่สุด กลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายนี้ยังไร้พลังอำนาจชี้ขาดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นจากข้อหาการเมือง แม้เขายืนยันเทิดทูนสถาบันและยื่นข้อเสนอขอ “เป็นพวก” แล้วก็ตาม
>> ลู่ทางเจรจาของ “ทักษิณ”
เมื่อดุลอำนาจประเทศแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มมากฝ่าย ชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น ทำได้แค่เริ่มคิดด้านบวกกับ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มเสื้อแดงมากขึ้น พวกเขาแยกแยะมวลชนที่รักพ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม นปช.แดง ทั้งแผ่นดิน ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกจากกลุ่มคนเสื้อแดงสุดขั้วที่เรียก “แดงสยาม” ซึ่งมีแนวคิด “ปฏิรูปสถาบัน”
กลุ่มคนชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น ประเมินคนเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูปว่า คือพวกสนับสนุน (เชียร์) พ.ต.ท.ทักษิณ (แต่ไม่เอาสถาบัน) เป็นขบวนการจัดตั้ง ของฝ่ายที่กีดกัน พ.ต.ท.ทักษิณกับสถาบันไม่ให้จูนความคิดเข้าหากันได้ การแยกแยะคนเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูปเช่นนี้ พุ่งตรงไปที่ “เนวิน ชิดชอบ” ว่า เป็นหัวหน้าใหญ่ และเป็นผู้อยู่ เบื้องหลังสร้างกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูป ขึ้นมา เพื่อมุ่งหวังให้สถาบันเข้าใจ พ.ต.ท. ทักษิณ และนปช.แดงทั้งแผ่นดินไปในทำนองว่า นิยมความรุนแรง มุ่งหวังล้มสถาบัน และต้องการเปลี่ยนระบอบปกครองประเทศ
แน่ล่ะ การสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น เท่ากับเปิดโอกาสให้ “กลุ่มเนวิน” ได้ประโยชน์กับการโหนอำนาจสถาบันมาเกื้อหนุนอำนาจการเมืองได้แบบไร้กังวลด้วยท่าทีใหม่ของกลุ่มคนชนชั้นสูง ฝ่ายยืดหยุ่นนั้น นับเป็นสัญญาณใหม่ที่เกิดขึ้นและเริ่มเป็นลู่ทางช่วย พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู หลังจากที่ ถูกกลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายเกลียด พ.ต.ท. ทักษิณ รุมกระหน่ำทำลายให้ย่อยยับมา นานกว่า 5 ปี แต่ไม่สำเร็จ
สาเหตุที่ช่วย เพราะส่วนหนึ่งเชื่อ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นคนสุดขั้ว สุดโต่ง ไม่ใช่พวกมีแนวคิดจ้องล้มสถาบัน รวมทั้งเล็งเห็นความสำคัญว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ต้องคดีคอร์รัปชั่น หลบลี้ภัยการเมืองยังมีประโยชน์กับประเทศชาติ และมากความสามารถนำประเทศไทย ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ แต่เหตุผลส่วนสำคัญแล้ว กลับเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงท่าที “ขอเป็นพวก” มากขึ้น
ฝ่ายชนชั้นสูงกลุ่มนี้ มีความเห็นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเพียงกลุ่มทุนใหม่ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยมก้าวหน้า โดยสะท้อนความ “ก้าวหน้า” ตามแนว ทางระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนเชื่อ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักประสานประโยชน์ให้ทุกฝ่ายได้รับแบบ “Win-Win” คือ สถาบันก็ชนะ และประชาชนก็ได้ประโยชน์ควบคู่กันไปด้วยการประเมินเช่นนี้ ย่อมเกิดประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างยิ่ง ราวกับเป็นการหาเหตุผลมาสร้างความ รอมชอมเพื่อหวังได้ชุบชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งบนผืนดินไทย
>> แก้ รธน.เพื่อรอมชอม
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายชนชั้นสูงที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มค่อยๆขาดความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ สาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการจูงใจให้สถาบันเล่นงานพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นไปตาม ที่กล่าวหาไว้ คือ ไม่สามารถทำลายได้ ซ้ำร้ายประชาชนกลับกลายเป็นพลังเสื้อแดงคอยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มมากขึ้น และขยายไปทั่วประเทศ เมื่อโหมแรงต่อสู้แล้วยังไม่ชนะ กลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่นจึงแทรกตัวมาสร้างแนวทางใหม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเจรจา โดยหวังดึงมาเป็นพวก เพราะมองว่า พลังของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นพวก เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ มีรูปแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่พลังปฏิวัติ หรือพวกที่จ้อง โค่นล้มระบอบปกครองสังคม ดังนั้น การต่อรองจึงเริ่มด้วยช่องทางใช้การแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อแยกสลายพลังมวลชนเสื้อแดงกลุ่ม ปฏิรูปออกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และออก จากกลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เป้าหมาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ส่วนหนึ่งฝ่ายชนชั้นสูงบางกลุ่มพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อลดความ ขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
และที่สำคัญเพื่อต้องการลดการต่อต้านสถาบันที่ถูกจุดพลุด้วยการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่ง กำลังลุกลามไปทั่วประเทศในบรรดาปัญญาชนและนักวิชาการให้อ่อนแรงลง
แปลความได้ว่า การชูประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมุ่งหวังไม่ให้มวลชน เสื้อแดงฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมมือกับ มวลชนแดงสยามกลุ่มเร่งให้เกิดการปฏิรูปสถาบันหลักของสังคมด้วยการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั่นเอง
แต่การชูแนวคิดปรองดอง ซึ่งมีแก่นพื้นฐานอยู่ที่ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” นั้น กลับทำให้พลังฝ่ายชนชั้นสูงที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีกองทัพและกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยคอยหนุนหลังอยู่เริ่มตื่นตัวคึกคัก และนัดรวมพลต่อต้านอย่างเข้มข้น
>> พิสูจน์อนาคต
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองดีๆ ที่พรรคเพื่อไทย และฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ แอบเป็นปลื้มและวาดหวังอนาคต “ปรองดอง” อย่างเป็นสุขใจแกนนำพรรคเพื่อไทยยิ้มด้วยแววตาผ่อนคลายทุกข์เมื่อเห็น พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกงานวันกองทัพไทยร่วมกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วทักทายด้วยอาการมิตรภาพทางอำนาจไม่เพียงเท่านั้น ในงานปรองดองซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พล.อ.เปรม ได้มาร่วมงานอย่างชื่นมื่นจนสร้างความตกตะลึงให้กับกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองและฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ
พล.อ.เปรม ทักทาย พูดคุยกับยิ่งลักษณ์อย่างกันเองและเต็มไปด้วยอาการ “เอ็นดู” หนำซ้ำ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผ่าน พ.ร.ก. 2 ฉบับที่เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการแก้ไขเศรษฐกิจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ด้วยแล้ว
แน่ล่ะ...กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเห็นภาพเยี่ยงนี้ ย่อมเกิดอาการใจหายทางดุลอำนาจยิ่งนัก ใจหายเพราะเกรงว่า พล.อ.เปรม จะหันไปจับมือสร้างสังคมปรองดองกับยิ่งลักษณ์ จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้เปรียบในดุลอำนาจ การเมืองใจหายเพราะประเมินกันว่า พล.อ. เปรม ส่งสัญญาณลดการสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองและพรรคประชาธิปัตย์ลงแต่การใจหายกับปรากฏการณ์ พล.อ.เปรม นั้น กลับสร้างแรงฮึดเข้มข้น ให้กลุ่มอำนาจ 2 ฝ่ายอย่างน่าสนใจยิ่ง
กลุ่มแรกคือ กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งพลังเกิดอ่อนล้าและเก็บตัวค่อนข้างเงียบมานาน เริ่มก่อหวอดนัดรวมกลุ่มสร้างพลังต่อต้านการแก้ไข รธน. โดยเริ่มนัดประกาศแนวทางในวันที่ 10 มีนาคมนี้
กลุ่มสอง เป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ไม่พอใจ “ระบบอำมาตย์” เมื่อเห็นพรรคเพื่อไทยเริ่มแนบสนิทกับพล.อ.เปรม พลังคนกลุ่มนี้ย่อมเกิดอาการบาดหมาง กับพรรคเพื่อไทยได้
รวมความแล้ว ในสถานการณ์แก้ไข รธน. พรรคเพื่อไทยกำลังผจญอุปสรรคอำนาจทั้งกลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองที่จ้องหาโอกาสขับไล่ งานนี้ พรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ คงออกอาการเหนื่อย เป็นแน่...ที่แน่ๆ อาการเหนื่อยนั้น ย่อมมา จากปรากฏการณ์ของพล.อ.เปรม ซึ่งมี ทั้งภาพ “ด้านปรองดองและปลุกพลังต่อต้านรัฐบาล” ไปพร้อมๆ กัน สัญญาณภาพเช่นนี้ หมายถึงสถานการณ์มะรุมมะตุ้ม ปั่นป่วนบนการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วสร้างความยัดเยียด ข้อหาหมิ่นเหม่ให้สังคมหวาดเสียวระทึก ไปกับการผสมโรงของพลัง “ฉีกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้งหนึ่ง บทสรุป แนวโน้มสังคมไทยยังวนเวียนไปกับความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจ เดิมอีก วนเวียนจนกว่าจะเกิดฝ่ายชนะ เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด แล้วโอกาสปรองดองคงมีลู่ทางเกิดขึ้นได้ลางๆ
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในทางการเมืองนับตั้งแต่ช่วงปี 2544 ถึงปัจจุบัน หากใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเส้นแบ่ง อำนาจแล้ว ชนชั้นสูงจำแนกได้ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก ศูนย์กลางอำนาจคนกลุ่มนี้มีกองทัพคอยหนุนหลัง และฝ่ายนี้เกี่ยวพันกับการ แทรกแซงการเมืองอย่างเด่นชัดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับฝ่ายที่สอง เป็นพวก “ยืดหยุ่น” แต่ค่อนข้างเอนเอียงมาทาง พ.ต.ท.ทักษิณ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ทำงาน ด้านเศรษฐกิจให้กับสถาบัน แต่ไร้อำนาจกองทัพสนับสนุนด้วยลักษณะทางอำนาจ กลุ่มชนชั้นสูงทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจผสมส่วน เป็นเนื้อเดียวกันได้ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มขยับบทบาท มากขึ้น ใช้อำนาจรัฐบาลและมวลชนเสื้อแดงเป็นช่องทางเจรจาต่อรองเป็นระยะๆ กับกลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น เพื่อปูลู่ทางไปสู่การรอมชอมกับสถาบัน ในอนาคต แต่ถึงที่สุด กลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายนี้ยังไร้พลังอำนาจชี้ขาดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นจากข้อหาการเมือง แม้เขายืนยันเทิดทูนสถาบันและยื่นข้อเสนอขอ “เป็นพวก” แล้วก็ตาม
>> ลู่ทางเจรจาของ “ทักษิณ”
เมื่อดุลอำนาจประเทศแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มมากฝ่าย ชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น ทำได้แค่เริ่มคิดด้านบวกกับ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มเสื้อแดงมากขึ้น พวกเขาแยกแยะมวลชนที่รักพ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม นปช.แดง ทั้งแผ่นดิน ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกจากกลุ่มคนเสื้อแดงสุดขั้วที่เรียก “แดงสยาม” ซึ่งมีแนวคิด “ปฏิรูปสถาบัน”
กลุ่มคนชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่น ประเมินคนเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูปว่า คือพวกสนับสนุน (เชียร์) พ.ต.ท.ทักษิณ (แต่ไม่เอาสถาบัน) เป็นขบวนการจัดตั้ง ของฝ่ายที่กีดกัน พ.ต.ท.ทักษิณกับสถาบันไม่ให้จูนความคิดเข้าหากันได้ การแยกแยะคนเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูปเช่นนี้ พุ่งตรงไปที่ “เนวิน ชิดชอบ” ว่า เป็นหัวหน้าใหญ่ และเป็นผู้อยู่ เบื้องหลังสร้างกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มปฏิรูป ขึ้นมา เพื่อมุ่งหวังให้สถาบันเข้าใจ พ.ต.ท. ทักษิณ และนปช.แดงทั้งแผ่นดินไปในทำนองว่า นิยมความรุนแรง มุ่งหวังล้มสถาบัน และต้องการเปลี่ยนระบอบปกครองประเทศ
แน่ล่ะ การสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น เท่ากับเปิดโอกาสให้ “กลุ่มเนวิน” ได้ประโยชน์กับการโหนอำนาจสถาบันมาเกื้อหนุนอำนาจการเมืองได้แบบไร้กังวลด้วยท่าทีใหม่ของกลุ่มคนชนชั้นสูง ฝ่ายยืดหยุ่นนั้น นับเป็นสัญญาณใหม่ที่เกิดขึ้นและเริ่มเป็นลู่ทางช่วย พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู หลังจากที่ ถูกกลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายเกลียด พ.ต.ท. ทักษิณ รุมกระหน่ำทำลายให้ย่อยยับมา นานกว่า 5 ปี แต่ไม่สำเร็จ
สาเหตุที่ช่วย เพราะส่วนหนึ่งเชื่อ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นคนสุดขั้ว สุดโต่ง ไม่ใช่พวกมีแนวคิดจ้องล้มสถาบัน รวมทั้งเล็งเห็นความสำคัญว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ต้องคดีคอร์รัปชั่น หลบลี้ภัยการเมืองยังมีประโยชน์กับประเทศชาติ และมากความสามารถนำประเทศไทย ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ แต่เหตุผลส่วนสำคัญแล้ว กลับเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงท่าที “ขอเป็นพวก” มากขึ้น
ฝ่ายชนชั้นสูงกลุ่มนี้ มีความเห็นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเพียงกลุ่มทุนใหม่ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยมก้าวหน้า โดยสะท้อนความ “ก้าวหน้า” ตามแนว ทางระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนเชื่อ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักประสานประโยชน์ให้ทุกฝ่ายได้รับแบบ “Win-Win” คือ สถาบันก็ชนะ และประชาชนก็ได้ประโยชน์ควบคู่กันไปด้วยการประเมินเช่นนี้ ย่อมเกิดประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างยิ่ง ราวกับเป็นการหาเหตุผลมาสร้างความ รอมชอมเพื่อหวังได้ชุบชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งบนผืนดินไทย
>> แก้ รธน.เพื่อรอมชอม
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายชนชั้นสูงที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มค่อยๆขาดความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ สาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการจูงใจให้สถาบันเล่นงานพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นไปตาม ที่กล่าวหาไว้ คือ ไม่สามารถทำลายได้ ซ้ำร้ายประชาชนกลับกลายเป็นพลังเสื้อแดงคอยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มมากขึ้น และขยายไปทั่วประเทศ เมื่อโหมแรงต่อสู้แล้วยังไม่ชนะ กลุ่มชนชั้นสูงฝ่ายยืดหยุ่นจึงแทรกตัวมาสร้างแนวทางใหม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเจรจา โดยหวังดึงมาเป็นพวก เพราะมองว่า พลังของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นพวก เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ มีรูปแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่พลังปฏิวัติ หรือพวกที่จ้อง โค่นล้มระบอบปกครองสังคม ดังนั้น การต่อรองจึงเริ่มด้วยช่องทางใช้การแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อแยกสลายพลังมวลชนเสื้อแดงกลุ่ม ปฏิรูปออกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และออก จากกลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เป้าหมาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ส่วนหนึ่งฝ่ายชนชั้นสูงบางกลุ่มพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อลดความ ขัดแย้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
และที่สำคัญเพื่อต้องการลดการต่อต้านสถาบันที่ถูกจุดพลุด้วยการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่ง กำลังลุกลามไปทั่วประเทศในบรรดาปัญญาชนและนักวิชาการให้อ่อนแรงลง
แปลความได้ว่า การชูประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมุ่งหวังไม่ให้มวลชน เสื้อแดงฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมมือกับ มวลชนแดงสยามกลุ่มเร่งให้เกิดการปฏิรูปสถาบันหลักของสังคมด้วยการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั่นเอง
แต่การชูแนวคิดปรองดอง ซึ่งมีแก่นพื้นฐานอยู่ที่ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” นั้น กลับทำให้พลังฝ่ายชนชั้นสูงที่เกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีกองทัพและกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยคอยหนุนหลังอยู่เริ่มตื่นตัวคึกคัก และนัดรวมพลต่อต้านอย่างเข้มข้น
>> พิสูจน์อนาคต
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองดีๆ ที่พรรคเพื่อไทย และฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ แอบเป็นปลื้มและวาดหวังอนาคต “ปรองดอง” อย่างเป็นสุขใจแกนนำพรรคเพื่อไทยยิ้มด้วยแววตาผ่อนคลายทุกข์เมื่อเห็น พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกงานวันกองทัพไทยร่วมกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วทักทายด้วยอาการมิตรภาพทางอำนาจไม่เพียงเท่านั้น ในงานปรองดองซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พล.อ.เปรม ได้มาร่วมงานอย่างชื่นมื่นจนสร้างความตกตะลึงให้กับกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองและฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ
พล.อ.เปรม ทักทาย พูดคุยกับยิ่งลักษณ์อย่างกันเองและเต็มไปด้วยอาการ “เอ็นดู” หนำซ้ำ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผ่าน พ.ร.ก. 2 ฉบับที่เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการแก้ไขเศรษฐกิจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ด้วยแล้ว
แน่ล่ะ...กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเห็นภาพเยี่ยงนี้ ย่อมเกิดอาการใจหายทางดุลอำนาจยิ่งนัก ใจหายเพราะเกรงว่า พล.อ.เปรม จะหันไปจับมือสร้างสังคมปรองดองกับยิ่งลักษณ์ จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้เปรียบในดุลอำนาจ การเมืองใจหายเพราะประเมินกันว่า พล.อ. เปรม ส่งสัญญาณลดการสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองและพรรคประชาธิปัตย์ลงแต่การใจหายกับปรากฏการณ์ พล.อ.เปรม นั้น กลับสร้างแรงฮึดเข้มข้น ให้กลุ่มอำนาจ 2 ฝ่ายอย่างน่าสนใจยิ่ง
กลุ่มแรกคือ กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งพลังเกิดอ่อนล้าและเก็บตัวค่อนข้างเงียบมานาน เริ่มก่อหวอดนัดรวมกลุ่มสร้างพลังต่อต้านการแก้ไข รธน. โดยเริ่มนัดประกาศแนวทางในวันที่ 10 มีนาคมนี้
กลุ่มสอง เป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ไม่พอใจ “ระบบอำมาตย์” เมื่อเห็นพรรคเพื่อไทยเริ่มแนบสนิทกับพล.อ.เปรม พลังคนกลุ่มนี้ย่อมเกิดอาการบาดหมาง กับพรรคเพื่อไทยได้
รวมความแล้ว ในสถานการณ์แก้ไข รธน. พรรคเพื่อไทยกำลังผจญอุปสรรคอำนาจทั้งกลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองที่จ้องหาโอกาสขับไล่ งานนี้ พรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ คงออกอาการเหนื่อย เป็นแน่...ที่แน่ๆ อาการเหนื่อยนั้น ย่อมมา จากปรากฏการณ์ของพล.อ.เปรม ซึ่งมี ทั้งภาพ “ด้านปรองดองและปลุกพลังต่อต้านรัฐบาล” ไปพร้อมๆ กัน สัญญาณภาพเช่นนี้ หมายถึงสถานการณ์มะรุมมะตุ้ม ปั่นป่วนบนการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วสร้างความยัดเยียด ข้อหาหมิ่นเหม่ให้สังคมหวาดเสียวระทึก ไปกับการผสมโรงของพลัง “ฉีกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้งหนึ่ง บทสรุป แนวโน้มสังคมไทยยังวนเวียนไปกับความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจ เดิมอีก วนเวียนจนกว่าจะเกิดฝ่ายชนะ เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด แล้วโอกาสปรองดองคงมีลู่ทางเกิดขึ้นได้ลางๆ
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ก๊กอีสาน เปิดบ้านรับ ยิ่งลักษณ์. ผนึกบารมี พล.ต.อ.ประชา-พายัพ. !!?
เป็นความสุขจากงานฉลองวันคล้ายวันเกิด "พายัพ ชินวัตร" ประธานภาคอีสาน พี่ชายนายกรัฐมนตรีที่มีอายุครบรอบ 55 ปี
เป็น ความสุขจากการต้อนรับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากมาเยือนภาคอีสาน ซึ่งเป็น "ขุมกำลังใหญ่" ของพรรคเพื่อไทย และนับเป็นการมาเยือนครั้งแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่นับเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ผันชีวิตเข้าสู่สนามการเมือง
การต้อนรับครั้งนี้จึงถูก จัดขึ้นอย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งการชุมนุมของมวลชนนับหมื่นที่ "สนามทุ่งศรีเมือง" และงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีกนับพันที่ "บ้านอีสาน คันทรี โฮม" บ้านพักส่วนตัวของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม
เมื่อ เจ้าบ้านเป็น "อินทรีอีสาน" ทุกวินาทีในงานเลี้ยงจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยไอดินกลิ่นอีสานแท้ ทั้งอาหาร การแสดง แม้กระทั่งการแต่งกายของแขกเจ้าบ้าน ทำให้มีความสุขทั้งผู้มาเยือนและผู้เป็นเจ้าภาพ
โดยเฉพาะผู้มา เยือนอย่าง "ยิ่งลักษณ์" ที่อดใจไม่ไหวขอคว้าไมค์ร้องเพลง "ดาวกระดาษ" ของปนัดดา เรืองวุฒิ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็เปิดเวทีเรียกขวัญให้มวลชนด้วยเพลง "นึกเสียว่าสงสาร" ของอ้อย กะท้อน เพื่อส่งสัญญาณถึงพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง
"ผมขอบอกกับทุกคนตรงนี้ว่า ร้องเพลงนี้เมื่อไรแล้วนึกถึงประชาธิปัตย์ทุกที และที่พิเศษสุดต้องขอร้องเพลงนี้ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะพรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลอีก 2 ปี"
และคนที่มีความสุขมากยิ่ง กว่ากลับเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพอย่าง พล.ต.อ.ประชา "การจัดงานครั้งนี้ต้องละเอียด เพราะชาวอุดรฯมีหลายกลุ่ม เราก็ต้องให้เกียรติทุกกลุ่ม เชิญให้ครบทุกคน และถือเป็นเกียรติที่นายกรัฐมนตรีให้ความเป็นกันเอง ถามผมตอนนี้ ผมก็ดีใจที่ทำให้นายกฯยิ่งลักษณ์มีความสุขได้"
พล.ต.อ.ประชาเล่าถึง การมาเยือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้ง 3 ครั้ง ต่างวาระ ต่างอารมณ์ "ครั้งแรกคือช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ก็เหนื่อยกันมาก ผมและพรรคยังหนักใจว่าจะชนะหรือไม่ ครั้งที่สองอยู่ในช่วงก่อนโค้งสุดท้าย ก็เบาใจลงหน่อย เพราะเมื่อเช็กเสียงดูแล้ว
เริ่มรู้ว่ามีโอกาสชนะ แต่ครั้งล่าสุดนี้สบายใจที่สุด เพราะเรามาเยือนกันในฐานะที่เป็นรัฐบาล"
พล.ต.อ. ประชาระบุว่า การที่เลือกภาคอีสานเป็นพื้นที่การประชุม ครม.สัญจรครั้งที่ 2 เมื่อผนึกกำลังกับนายพายัพ ชินวัตร ที่เป็นประธานภาคและตนเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค จะยิ่งทำให้ฐานการเมืองในภูมิภาคนี้แผ่ขยายออกไปไกลได้มากยิ่งขึ้น
"ฐาน การเมืองเป็นเรื่องของอนาคตก็จริง แต่พรรคจะใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาทุกพื้นที่ให้มีความเจริญเท่าเทียมกัน อย่างการประชุมครั้งหน้าก็จะเดินทางไปภูเก็ตวันที่ 21-22 มีนาคม เพราะเรามีความคิดว่าจะพัฒนาทุกภูมิภาค เราจะไม่ทอดทิ้งใคร แม้พื้นที่นั้นจะไม่มีเก้าอี้ ส.ส.ของเราก็ตาม"
นอกจากนี้เขายัง ประเมินสถานการณ์ว่า เมื่อฐานที่มั่นยังคงมีคะแนนเสียงมั่นคง และรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าทำนโยบายอย่างต่อเนื่อง ก็ใกล้ถึงเวลาที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ในฐานะผู้ให้กำเนิดพรรคเพื่อไทย
"ถาม ว่าเป็นไปได้หรือไม่ มันก็เป็นไปได้ ท่านถือเป็นผู้ให้กำเนิดพรรคเพื่อไทยที่มาจากรากฐานของพรรคไทยรักไทย ท่านเป็นผู้ใหญ่ของพรรค เป็นธรรมดาที่สมาชิกจะต้องการให้ท่านกลับมา แต่ต้องรอจังหวะดี ๆ ต้องรอไทม์มิ่ง (เวลา) เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไทม์มิ่งดี การเมืองนิ่ง ก็น่าสนใจ"
แต่คำว่า "การเมืองนิ่ง" ในอุดมคติของ "อินทรีอีสาน" ไม่ได้มีหมายความแค่เพียงนายกฯพบกองทัพ หรือนายกฯพบประธานองคมนตรี
"คง ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจะนิ่งแล้ว เพราะท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ให้ความสนใจเรื่องงานมาก่อน ไม่อยากให้เอาการเมืองมาเล่นกับบ้านเมือง แต่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ มีสันติสุข การเมืองนิ่งก็
หมายถึงสังคมต้องไม่มีความขัดแย้ง และต้องให้เกิดความปรองดองเสียก่อน"
พล.ต.อ. ประชายังขยายความทิ้งท้ายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้การเมืองนิ่ง แต่จะนิ่งหรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทั้ง 99 คน
"เรายังไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร จะออกแบบรัฐธรรมนูญเป็นแบบไหน ตอนนี้พรรคก็เลยไม่ได้หวังอะไรมาก แต่ถ้าถามว่า ถ้ามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย นั่นก็หมายความว่าบรรยากาศการเมืองก็กำลังจะเกิดความปรองดองที่ดีขึ้น"
ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักษิณ.เปิดหน้าชัดเจน ผู้ขับเคลื่อนนโยบาย !!?
เริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับท่าทีของ 'ทักษิณ' ที่ประกาศเตรียมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ มี.ค. 2555 เป็นต้นไป...
เกาะติดความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง"
- ปมแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะผ่านฉลุยวาระแรก ไปด้วยเสียงสมาชิกรัฐสภามากถึง 399 แต่ระหว่างทางจากนี้ไปจนกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรูปเป็นร่าง มีแนวโน้มว่า อาจจะถูกหลายฝ่ายหลายกลุ่มรุมขวางอย่างหนัก
- จริงอยู่ที่ว่า แม้ "รูปแบบ" จะมองเห็นว่าเป็นประชาธิปไตย แต่หลายฝ่ายก็ไม่มั่นใจใน "เนื้อหา" ว่า จะซ่อนวาระอะไรไว้บ้าง เพราะเหตุผลสำคัญในการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับ 50 ที่ฝ่ายรัฐบาลและมวลชนที่สนับสนุนระบุว่าเป็นมรดกจากเผด็จการทหารนั้น มีประเด็นสำคัญที่ถูกจับตา คือ "องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" ที่ถูกโจมตีว่ามาจากอำนาจเผด็จการ จะถูกรื้อหรือไม่
- ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง
- งานนี้ ฝ่ายที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐบาล จะต้องแสดงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องล้มล้างฉบับเก่าแล้วยกร่างฉบับใหม่ให้กระจ่าง อย่าลืมว่าอีกหลายล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลก็มีสิทธิที่ไม่เห็นด้วย
- เก็บตกบรรยากาศ รวมพลมวลชนคนเสื้อแดง ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555 คึกคักคลาคล่ำไปด้วยบรรดาแกนนำหัวแถวยันท้ายแถว ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ช่วงวีดิโอลิงค์ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มาจากบ้านพัก ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์... ที่ได้เห็นความจริง อย่างไม่ต้องคาดเดาถึงการบริหารผ่านน้องสาว
- เริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับท่าทีของ นายกฯ ดูไบ ที่ประกาศเตรียมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ มี.ค. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งความจริงแล้วอดีตนายกฯ ทักษิณ พยายามช่วยงานรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะการประสานสัมพันธ์กับนานาประเทศที่เจ้าตัวมีคอนเนคชั่น ทุกประเทศก่อนที่น้องสาวจะไปเยือน นอกจากจะเป็นหน่วยล่วงหน้าเดินทางไปเจรจาปูทางให้น้องสาวไว้ก่อนแล้วยังตามไปสานต่อ
- ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งกลับจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากไปๆ มาๆ อยู่ระยะหนึ่ง เพื่อเจรจาและประสานกับทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนของจีน ว่าด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ให้รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว อีกทั้งยังประสานทำให้ผู้แทนจากประเทศจีนเข้ามาพบปะกับรัฐมนตรีของไทย
- หลายอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน ที่กำลังจะกลายเป็นโครงการความร่วมมือกันในอนาคตเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ทั้งระบบ ให้เสร็จภายในวาระของรัฐบาลนี้
- รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง" ภายในประเทศ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คาดว่า จะเริ่มต้นด้วยเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ และ กทม.-นครราชสีมา ในปลายปีนี้
- นอกจากนี้ อดีตนายกฯ ยังเจรจาเรื่องการจัดหา "แทบเล็ต" จากจีนให้ เด็ก ป. 1 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ผลเจรจาเรื่องราคาและสเปคเครื่องเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เตรียมจะให้รัฐบาลเพื่อไทย ขยายนโยบายแจกให้เด็ก ม. 1 เพิ่มอีกเกือบล้านเครื่อง
- ทิ้งท้ายบนเวทีโบนันซ่า นายกฯ ดูไบ แปลงเพลง "เล่าสู่กันฟัง"..."น้ำที่ท่วมทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว เธอเป็นหนี้อยู่หรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง ฉันยังมีน้องสาวเป็นนายกฯ อยู่ทั้งคน"...ได้ใจแฟนคลับจนเคลิ้มไปทั้งคืน!
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกาะติดความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง"
- ปมแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะผ่านฉลุยวาระแรก ไปด้วยเสียงสมาชิกรัฐสภามากถึง 399 แต่ระหว่างทางจากนี้ไปจนกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรูปเป็นร่าง มีแนวโน้มว่า อาจจะถูกหลายฝ่ายหลายกลุ่มรุมขวางอย่างหนัก
- จริงอยู่ที่ว่า แม้ "รูปแบบ" จะมองเห็นว่าเป็นประชาธิปไตย แต่หลายฝ่ายก็ไม่มั่นใจใน "เนื้อหา" ว่า จะซ่อนวาระอะไรไว้บ้าง เพราะเหตุผลสำคัญในการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับ 50 ที่ฝ่ายรัฐบาลและมวลชนที่สนับสนุนระบุว่าเป็นมรดกจากเผด็จการทหารนั้น มีประเด็นสำคัญที่ถูกจับตา คือ "องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" ที่ถูกโจมตีว่ามาจากอำนาจเผด็จการ จะถูกรื้อหรือไม่
- ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง
- งานนี้ ฝ่ายที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐบาล จะต้องแสดงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องล้มล้างฉบับเก่าแล้วยกร่างฉบับใหม่ให้กระจ่าง อย่าลืมว่าอีกหลายล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลก็มีสิทธิที่ไม่เห็นด้วย
- เก็บตกบรรยากาศ รวมพลมวลชนคนเสื้อแดง ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555 คึกคักคลาคล่ำไปด้วยบรรดาแกนนำหัวแถวยันท้ายแถว ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ช่วงวีดิโอลิงค์ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มาจากบ้านพัก ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์... ที่ได้เห็นความจริง อย่างไม่ต้องคาดเดาถึงการบริหารผ่านน้องสาว
- เริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับท่าทีของ นายกฯ ดูไบ ที่ประกาศเตรียมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ มี.ค. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งความจริงแล้วอดีตนายกฯ ทักษิณ พยายามช่วยงานรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะการประสานสัมพันธ์กับนานาประเทศที่เจ้าตัวมีคอนเนคชั่น ทุกประเทศก่อนที่น้องสาวจะไปเยือน นอกจากจะเป็นหน่วยล่วงหน้าเดินทางไปเจรจาปูทางให้น้องสาวไว้ก่อนแล้วยังตามไปสานต่อ
- ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งกลับจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากไปๆ มาๆ อยู่ระยะหนึ่ง เพื่อเจรจาและประสานกับทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนของจีน ว่าด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ให้รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว อีกทั้งยังประสานทำให้ผู้แทนจากประเทศจีนเข้ามาพบปะกับรัฐมนตรีของไทย
- หลายอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน ที่กำลังจะกลายเป็นโครงการความร่วมมือกันในอนาคตเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ทั้งระบบ ให้เสร็จภายในวาระของรัฐบาลนี้
- รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง" ภายในประเทศ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คาดว่า จะเริ่มต้นด้วยเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ และ กทม.-นครราชสีมา ในปลายปีนี้
- นอกจากนี้ อดีตนายกฯ ยังเจรจาเรื่องการจัดหา "แทบเล็ต" จากจีนให้ เด็ก ป. 1 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ผลเจรจาเรื่องราคาและสเปคเครื่องเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เตรียมจะให้รัฐบาลเพื่อไทย ขยายนโยบายแจกให้เด็ก ม. 1 เพิ่มอีกเกือบล้านเครื่อง
- ทิ้งท้ายบนเวทีโบนันซ่า นายกฯ ดูไบ แปลงเพลง "เล่าสู่กันฟัง"..."น้ำที่ท่วมทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว เธอเป็นหนี้อยู่หรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง ฉันยังมีน้องสาวเป็นนายกฯ อยู่ทั้งคน"...ได้ใจแฟนคลับจนเคลิ้มไปทั้งคืน!
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เส-นี-ยด !!?
ถ้าเป็นสำนวนกำลังภายในของ...หนังจีน...ฤทธิ์มีดสั้น ที่พูดถึงอิทธิฤทธิ์ของ "มีดบิน" ของพระเอกในเรื่อง...ลี้กิมฮวงก็ต้องแสดงความเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่ากับ...พรรคประชาธิปัตย์...
เพราะไม่ว่าจะเขวี้ยงมีดบินไปกี่ครั้ง...มันก็พลาดเป้าไปแทบจะทุกครั้ง
และแทบจะทุกครั้งที่มันพลาดเป้า...มันกลับพุ่งเข้ามาเสียบอกตัวเอง
ใครจะเชื่อว่า...พรรคการเมืองนิยมของคนไทยในยุคพ่อแม่ปู่ย่า...จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้...ใครจะคาดหมายได้...ตัวตลกไม่กี่ตัวของพรรคการเมืองที่มีอายุเนิ่นนานเกินกว่าชั่วอายุคนพรรคนี้...จะสร้างความตกต่ำให้กับพรรคได้ถึงขนาดนี้
มาดของหัวหน้าพรรคที่ไร้ข้อตำหนิ กับวาจาที่สยบคนในสภาและหน้าจอโทรทัศน์ในเงียบงัน คนอย่าง ชวน หลีกภัย หาไม่ได้อีกแล้วหรือในพรรคการเมืองพรรคนี้
การอภิปรายอย่างแม่นยำในเนื้อหา...แสบมันฮา...แบบ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี วันนี้ไม่มีในอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์
หนักแน่นไปด้วยเหตุผลครบครันไปด้วยเรื่องราวข้ออ้าง...คนอย่าง ศุภชัย พานิชภักดิ์ และ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ไม่มีหามาทดแทนไม่ได้สักคนเลยหรือ
ใครจะเป็น ถนัด คอร์มันตร์ และ พิชัย รัตตกุล...
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...อำนาจของคนที่จะนั่งบนเก้าอี้หัวหน้าพรรคการเมืองไม่ใช่อยู่ที่สำนวนโวหาร...ที่สำคัญกว่านั้น...คือความเป็นจริงในเนื้อหา ข้อกล่าวหาที่ปราศจากข้อโต้แย้ง ความเป็นจริงที่ถูกนำเสนออย่างสุภาพเป็นผู้ดี...ไม่ใช่การป้ายสีและพูดจาสองแง่สองง่ามในสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันไม่ได้...
หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า...ต้องเป็นมากกว่าหุ่นเชิด ต้องควบคุมทหารราบพลเลวของพรรค...ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ต้องให้เกียรติกับศัตรูเท่ากับที่สถานะแห่งตน...หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า ต้องมีบารมีมากกว่าอำนาจ
กรณี ว.5 ของ นายกรัฐมนตรีเพื่อไทย...ในโรงแรมใหญ่กลางกรุงนั้น...กำไรที่คิดว่าจะได้ กลายเป็นขาดทุนอย่างมากมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องราว แต่เพราะวิธีการนำเสนอที่ต่ำทรามและแสนสถุล ของตัวตลกไม่กี่ตัวในหมู่พวกท่าน
คนดีๆ ในพรรคท่านนั่นแหละ...เขารู้สึกกัน
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะไม่ว่าจะเขวี้ยงมีดบินไปกี่ครั้ง...มันก็พลาดเป้าไปแทบจะทุกครั้ง
และแทบจะทุกครั้งที่มันพลาดเป้า...มันกลับพุ่งเข้ามาเสียบอกตัวเอง
ใครจะเชื่อว่า...พรรคการเมืองนิยมของคนไทยในยุคพ่อแม่ปู่ย่า...จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้...ใครจะคาดหมายได้...ตัวตลกไม่กี่ตัวของพรรคการเมืองที่มีอายุเนิ่นนานเกินกว่าชั่วอายุคนพรรคนี้...จะสร้างความตกต่ำให้กับพรรคได้ถึงขนาดนี้
มาดของหัวหน้าพรรคที่ไร้ข้อตำหนิ กับวาจาที่สยบคนในสภาและหน้าจอโทรทัศน์ในเงียบงัน คนอย่าง ชวน หลีกภัย หาไม่ได้อีกแล้วหรือในพรรคการเมืองพรรคนี้
การอภิปรายอย่างแม่นยำในเนื้อหา...แสบมันฮา...แบบ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี วันนี้ไม่มีในอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์
หนักแน่นไปด้วยเหตุผลครบครันไปด้วยเรื่องราวข้ออ้าง...คนอย่าง ศุภชัย พานิชภักดิ์ และ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ไม่มีหามาทดแทนไม่ได้สักคนเลยหรือ
ใครจะเป็น ถนัด คอร์มันตร์ และ พิชัย รัตตกุล...
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...อำนาจของคนที่จะนั่งบนเก้าอี้หัวหน้าพรรคการเมืองไม่ใช่อยู่ที่สำนวนโวหาร...ที่สำคัญกว่านั้น...คือความเป็นจริงในเนื้อหา ข้อกล่าวหาที่ปราศจากข้อโต้แย้ง ความเป็นจริงที่ถูกนำเสนออย่างสุภาพเป็นผู้ดี...ไม่ใช่การป้ายสีและพูดจาสองแง่สองง่ามในสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันไม่ได้...
หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า...ต้องเป็นมากกว่าหุ่นเชิด ต้องควบคุมทหารราบพลเลวของพรรค...ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ต้องให้เกียรติกับศัตรูเท่ากับที่สถานะแห่งตน...หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า ต้องมีบารมีมากกว่าอำนาจ
กรณี ว.5 ของ นายกรัฐมนตรีเพื่อไทย...ในโรงแรมใหญ่กลางกรุงนั้น...กำไรที่คิดว่าจะได้ กลายเป็นขาดทุนอย่างมากมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องราว แต่เพราะวิธีการนำเสนอที่ต่ำทรามและแสนสถุล ของตัวตลกไม่กี่ตัวในหมู่พวกท่าน
คนดีๆ ในพรรคท่านนั่นแหละ...เขารู้สึกกัน
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ถวายเฮลิคอปเตอร์ !!?
*** สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เข้าเฝ้าฯน้อมเกล้าฯถวายเฮลิคอปเตอร์เพื่อใช้เป็นพระราชพาหนะ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังความปลื้มปีติแก่ ผบ.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นล้นพ้น
*** ที่ผ่านมาการปราบปรามยาเสพติดกำลังฮอต มีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชนไม่ขาดสาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มือปราบรุ่นใหญ่ รวมทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. สรุปผลงาน 4 เดือนที่ผ่านมานำเข้ายานรกน้อยลง สกัดตั้งแต่ชายแดน ทั้งภาคเหนือ-อีสาน ริมฝั่งโขง แถมมีการร่างกฤษฎีกาพิจารณาการลงโทษ ให้นักโทษคดียาเสพติดถูกประหารชีวิตภายใน 60 วันหลังศาลตัดสิน ไม่เกี่ยวกับคดีอื่น อยู่ในระหว่างร่างตรวจสอบ
*** ยังไม่จบง่ายๆสำหรับคดีแก๊งอิหร่านระเบิดเขย่ากรุง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ยืนยันแก๊งคนร้ายชาวตะวันออกกลางมีเป้าหมายสังหารบุคคล เพราะการลงมือเหมือนกับระเบิดสังหารเหยื่อที่จอร์เจียและอินเดีย แต่เพื่อความไม่ประมาท ผบ.ตร. สั่งด่วนให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. สอบสวนผู้ต้องหาว่ายังมีเครือข่ายกบดานในไทยอีกหรือไม่ ล่าสุดขยายผลมีคนไทยร่วมขบวนการด้วย จึงกำชับให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. วางกำลังคุมเข้มแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ
*** ชาวบ้านฝากชมมาสำหรับ พ.ต.อ.สมชาย ชำนิ ผกก. สภ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย มนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม เป็นนายตำรวจนักพัฒนา ชาวบ้านเดือดร้อนเข้าพบปรึกษาหารือได้ทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ
*** ฉากมาที่เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย สัปดาห์ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. โดยมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เสนอวาระสำคัญพิจารณาเพิ่มอัตราระดับผู้บัญชา-ผู้การ-รองผู้การ-ผู้กำกับ-รองผู้กำกับ-สารวัตร-รองสารวัตร และพนักงานสอบสวน รวมแล้วกว่า 2,000 อัตรา ส่งผลให้การแต่งตั้งโยกย้ายโผ พ.ต.อ. ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน มี.ค. นี้โล่งสะดวกขึ้น
*** เยียวยาไฟใต้รายละ 7.5 ล้านบาท พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. พูดชัด จำนวนผู้ที่จะได้รับการเยียวยานั้นได้รวบรวมข้อมูลไว้บางส่วน แต่ยังเปิดเผยจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนชาวบ้านที่ถูกยิง 4 ศพ ในพื้นที่ปัตตานี หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เข้าข่ายที่จะได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ เบื้องต้นได้มอบให้รายละ 500,000 บาท
*** ปิดท้าย พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิ์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร นครบาล จัดตรวจสุขภาพให้ตำรวจจราจรเกือบ 5,000 นาย จนถึงวันที่ 5 มี.ค. นี้ ที่โรงพยาบาลตำรวจ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
*** ที่ผ่านมาการปราบปรามยาเสพติดกำลังฮอต มีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชนไม่ขาดสาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มือปราบรุ่นใหญ่ รวมทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. สรุปผลงาน 4 เดือนที่ผ่านมานำเข้ายานรกน้อยลง สกัดตั้งแต่ชายแดน ทั้งภาคเหนือ-อีสาน ริมฝั่งโขง แถมมีการร่างกฤษฎีกาพิจารณาการลงโทษ ให้นักโทษคดียาเสพติดถูกประหารชีวิตภายใน 60 วันหลังศาลตัดสิน ไม่เกี่ยวกับคดีอื่น อยู่ในระหว่างร่างตรวจสอบ
*** ยังไม่จบง่ายๆสำหรับคดีแก๊งอิหร่านระเบิดเขย่ากรุง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ยืนยันแก๊งคนร้ายชาวตะวันออกกลางมีเป้าหมายสังหารบุคคล เพราะการลงมือเหมือนกับระเบิดสังหารเหยื่อที่จอร์เจียและอินเดีย แต่เพื่อความไม่ประมาท ผบ.ตร. สั่งด่วนให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. สอบสวนผู้ต้องหาว่ายังมีเครือข่ายกบดานในไทยอีกหรือไม่ ล่าสุดขยายผลมีคนไทยร่วมขบวนการด้วย จึงกำชับให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. วางกำลังคุมเข้มแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ
*** ชาวบ้านฝากชมมาสำหรับ พ.ต.อ.สมชาย ชำนิ ผกก. สภ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย มนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม เป็นนายตำรวจนักพัฒนา ชาวบ้านเดือดร้อนเข้าพบปรึกษาหารือได้ทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ
*** ฉากมาที่เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย สัปดาห์ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. โดยมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เสนอวาระสำคัญพิจารณาเพิ่มอัตราระดับผู้บัญชา-ผู้การ-รองผู้การ-ผู้กำกับ-รองผู้กำกับ-สารวัตร-รองสารวัตร และพนักงานสอบสวน รวมแล้วกว่า 2,000 อัตรา ส่งผลให้การแต่งตั้งโยกย้ายโผ พ.ต.อ. ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน มี.ค. นี้โล่งสะดวกขึ้น
*** เยียวยาไฟใต้รายละ 7.5 ล้านบาท พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. พูดชัด จำนวนผู้ที่จะได้รับการเยียวยานั้นได้รวบรวมข้อมูลไว้บางส่วน แต่ยังเปิดเผยจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนชาวบ้านที่ถูกยิง 4 ศพ ในพื้นที่ปัตตานี หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เข้าข่ายที่จะได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ เบื้องต้นได้มอบให้รายละ 500,000 บาท
*** ปิดท้าย พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิ์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร นครบาล จัดตรวจสุขภาพให้ตำรวจจราจรเกือบ 5,000 นาย จนถึงวันที่ 5 มี.ค. นี้ ที่โรงพยาบาลตำรวจ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ศาลยังไม่ให้ประกันคดีโทษรุนแรงกลัว‘อากง’วัย62ปีหลบหนี !!?
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง 7 นักวิชาการยื่นประกัน “อากง” ระบุคดีร้ายแร้ง ข้อต่อสู้คดีไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าไม่ได้ทำผิดจริง หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี ด้านทนาย “โจ กอร์ดอน” เผยอัยการยื้อคดีขอยืดเวลาอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 3 อีก 30 วัน ทำให้ขอพระราชทานอภัยโทษไม่ได้ทั้งที่สารภาพและศาลตัดสินไปแล้ว แกนนำ ครก. 112 มั่นใจรวบรวมรายชื่อครบหมื่น เสนอแก้ม.112 ได้ทันกำหนด
ความคืบหน้ากรณีที่นักวิชาการ 7 คน ใช้ตำแหน่งพร้อมและหลักทรัพย์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัวนายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” วัย 62 ปี จำเลยคดีหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ศาลสั่งจำคุก 20 ปี จากกรณีส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสเข้าโทรศัพท์มือถือคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์อ่านคำวินิจฉัยสรุปว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีกับพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วนับว่าร้ายแรง ประกอบกับข้อที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังไม่มีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี และที่จำเลยอ้างเหตุความเจ็บป่วยไม่ปรากฏว่าถึงขนาดจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ทั้งทางราชการก็มีโรงพยาบาลที่จะรองรับให้การรักษาจำเลยได้อยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”
นายอานนท์ นำภา ทนายความของโจ กอร์ดอน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แจ้งว่า อัยการได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลเป็นครั้งที่ 3 (ครั้งละ 30 วัน) มีกำหนดถึงวันที่ 8 มี.ค. นี้ หลังโจ กอร์ดอน รับสารภาพ และศาลตัดสินลงโทษเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2554 ให้จำคุก 5 ปี สารภาพลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งคือ 2 ปี 6 เดือน ส่งผลให้คดีของโจ กอร์ดอน ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยยังคงต้องอยู่ในเรือนจำโดยที่ยังไม่สามารถทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ อัยการสามารถขอขยายเวลาอุทธรณ์ไปได้เรื่อยๆไม่มีกำหนด จึงอยากตั้งคำถามว่าเป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องติดคุกยาวหรือไม่ เพราะเมื่อคดีไม่สิ้นสุด ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ทั้งที่สารภาพไปแล้ว
ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) เปิดเผยความคืบหน้าการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ว่าที่ผ่านมามีปัญหาทางเทคนิคทำให้ดูเหมือนล่าช้า แต่ตอนนี้แก้ไขแล้ว และพยายามออกไปพบประชาชนให้มากขึ้น มั่นใจว่าจะได้รายชื่อครบ 10,000 ชื่อตามกำหนด 112 วันแน่นอน เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องนี้มาก
ผศ.ดร.ยุกติยอมรับว่า การที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ประกอบกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนชัดเจน ส่งผลให้คนเสื้อแดงเกิดความลังเลพอสมควร แต่กลุ่มที่สนับสนุนให้แก้ไขก็ยังมีความเหนียวแน่น
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดที่ 2 ในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ เปิดเผยว่า ตรวจพบการเคลื่อนไหวในลักษณะบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงใน 9 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นครสวรรค์ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สงขลา และกรุงเทพฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเฝ้าติดตามพฤติกรรม ซึ่งการบ่อนทำลายมีทั้งพวกที่คิดล้มล้างและจาบจ้วง
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคืบหน้ากรณีที่นักวิชาการ 7 คน ใช้ตำแหน่งพร้อมและหลักทรัพย์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัวนายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” วัย 62 ปี จำเลยคดีหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ศาลสั่งจำคุก 20 ปี จากกรณีส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสเข้าโทรศัพท์มือถือคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์อ่านคำวินิจฉัยสรุปว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีกับพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วนับว่าร้ายแรง ประกอบกับข้อที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังไม่มีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี และที่จำเลยอ้างเหตุความเจ็บป่วยไม่ปรากฏว่าถึงขนาดจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ทั้งทางราชการก็มีโรงพยาบาลที่จะรองรับให้การรักษาจำเลยได้อยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”
นายอานนท์ นำภา ทนายความของโจ กอร์ดอน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แจ้งว่า อัยการได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลเป็นครั้งที่ 3 (ครั้งละ 30 วัน) มีกำหนดถึงวันที่ 8 มี.ค. นี้ หลังโจ กอร์ดอน รับสารภาพ และศาลตัดสินลงโทษเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2554 ให้จำคุก 5 ปี สารภาพลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งคือ 2 ปี 6 เดือน ส่งผลให้คดีของโจ กอร์ดอน ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยยังคงต้องอยู่ในเรือนจำโดยที่ยังไม่สามารถทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ อัยการสามารถขอขยายเวลาอุทธรณ์ไปได้เรื่อยๆไม่มีกำหนด จึงอยากตั้งคำถามว่าเป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องติดคุกยาวหรือไม่ เพราะเมื่อคดีไม่สิ้นสุด ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ทั้งที่สารภาพไปแล้ว
ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) เปิดเผยความคืบหน้าการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ว่าที่ผ่านมามีปัญหาทางเทคนิคทำให้ดูเหมือนล่าช้า แต่ตอนนี้แก้ไขแล้ว และพยายามออกไปพบประชาชนให้มากขึ้น มั่นใจว่าจะได้รายชื่อครบ 10,000 ชื่อตามกำหนด 112 วันแน่นอน เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องนี้มาก
ผศ.ดร.ยุกติยอมรับว่า การที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ประกอบกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนชัดเจน ส่งผลให้คนเสื้อแดงเกิดความลังเลพอสมควร แต่กลุ่มที่สนับสนุนให้แก้ไขก็ยังมีความเหนียวแน่น
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดที่ 2 ในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ เปิดเผยว่า ตรวจพบการเคลื่อนไหวในลักษณะบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงใน 9 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นครสวรรค์ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สงขลา และกรุงเทพฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเฝ้าติดตามพฤติกรรม ซึ่งการบ่อนทำลายมีทั้งพวกที่คิดล้มล้างและจาบจ้วง
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกรัฐมนตรี เร่งแก้ปัญหาราคาอาหารแพง !!?
รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เช้าวันนี้ (25 ก.พ.55) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการสดจากตลาดศูนย์การค้ามีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยเนื้อหารายการส่วสนใหญ่ เป็นการพูดถึงปัญหาราคาสินค้าแพง ที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาราคาสินค้าแพง อยู่ในนโยบายรัฐบาลที่ต้องแก้ไข โดยที่ไม่แทรกแซงราคา จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยคำนึงถึงอุปสงค์และอุปทานเป็นหลักในส่วนของผลผลิตไข่ไก่ที่ล้นตลาด มอบหมายให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ปริมาณการนำเข้าแม่พันธุ์ไก่เสรี ซึ่งทำให้ราคาไข่ไก่ถูกลง แต่หลังจากแปรสภาพและถึงมือผู้บริโภค ในวันนี้ยังมีราคาแพงอยู่ ซึ่งจะต้องบริหารจัดการราคาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นธรรม โดยขณะนี้ ร้านอาหารธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ได้คำนวณต้นทุนวัตถุดิบไข่ไก่ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พบว่า ไข่ไก่ถูกแปรสภาพจำหน่ายเป็นไข่เจียว สามารถจำหน่ายได้ในราคาจานละ 15 บาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะเร่งขยายโครงการ 1 ธงฟ้า 1 ชุมชน เกิดขึ้นให้มากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อให้ร้านอาหารธงฟ้า เป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค และอยากเชิญชวนร้านค้าต่างๆ เข้าร่วมโครงการอาหารธงฟ้า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะหากร่วมมือกันเป็นจำนวนมากแล้ว จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในกลไกตลาดร่วมกัน สุดท้ายจะช่วยให้ร้านค้ามีกำไรได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนปัญหา สุกรล้นตลาด เริ่มนำปัญหาราคาหน้าฟาร์ม , ราคาชำแหละ , ราคาหน้าเขียง และแปรสภาพขายให้ผู้บริโภคนั้นเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร ซึ่งในขณะนี้ราคาเนื้อหมูนั้น เบื้องต้นแก้ปัญหาในระยะสั้นด้วยการสั่งคุมราคาไปก่อน จากนั้นต้องหาจุดสมดุลของราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ที่มา:เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะเร่งขยายโครงการ 1 ธงฟ้า 1 ชุมชน เกิดขึ้นให้มากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อให้ร้านอาหารธงฟ้า เป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค และอยากเชิญชวนร้านค้าต่างๆ เข้าร่วมโครงการอาหารธงฟ้า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะหากร่วมมือกันเป็นจำนวนมากแล้ว จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในกลไกตลาดร่วมกัน สุดท้ายจะช่วยให้ร้านค้ามีกำไรได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนปัญหา สุกรล้นตลาด เริ่มนำปัญหาราคาหน้าฟาร์ม , ราคาชำแหละ , ราคาหน้าเขียง และแปรสภาพขายให้ผู้บริโภคนั้นเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร ซึ่งในขณะนี้ราคาเนื้อหมูนั้น เบื้องต้นแก้ปัญหาในระยะสั้นด้วยการสั่งคุมราคาไปก่อน จากนั้นต้องหาจุดสมดุลของราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ที่มา:เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ถกสภาเลิกตี2-สว.ปัดวุ่นรับเงินผ่านร่างแก้ รธน. !!?
บรรยากาศการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการอภิปรายในช่วงดึกเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้ง 3 ฝ่าย สลับกันอภิปราย โดยส่วนใหญ่ ส.ว. เลือกตั้ง ต่างสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า ปี 2550 เป็นผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย โดย ส.ว. หลายคนก็รอแก้ไขมาหลายปีแล้ว เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และต้องได้รับการยอมรับ อีกทั้งหลายมาตราก็เป็นปัญหา ทั้งนี้ ส.ว. หลายคนยังออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการให้สินบน เพื่อให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ส่วน ฝ่ายค้าน ได้โจมตีว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรทำเป็นมาตรา และควรชี้ว่าแต่ละมาตรามีข้อบกพร่องอย่างไร รวมทั้งเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะมีเวลาอีกนาน แต่รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาเร่งด่วนคือเรื่องปากท้องของประชาชน หรือ แก้ปัญหาปรองดองก่อน ทั้งนี้ เนื้อหาการแก้ไขก็ไม่ชัดเจนและเกรงว่าจะแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือ ช่วยเหลือคน ๆ เดียว และจะยกเลิกองค์กรอิสระหรือไม่ ขอให้นายกฯและรัฐบาลยืนยันว่า จะไม่ยุ่งกับ 3 เรื่องนี้ และห่วงว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยก จนกระทั่งเวลา 02.10 น. พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ได้สั่งพักการประชุมและให้เริ่มใหม่วันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น. รวมเวลาในการอภิปรายวันแรก 16 ชั่วโมง
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากที่วิปรัฐบาล นัดหมายกับวิป 2 ฝ่าย เบื้องต้นทราบว่าจะมีการขอขยายเวลาจากฝ่ายค้าน ให้เท่ากับฝ่ายรัฐบาล คือ ขยายออกไปอีก 1.30 ชั่วโมง ดังนั้น จึงจะขยายเวลาให้กับทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภา ตามที่ขอมา คือ ทุกฝ่ายจะได้อภิปรายรวม 9.30 ชั่วโมง โดยเมื่ออภิปรายเสร็จ จะลงมติรับหลักการหรือไม่ ในทันที ทั้งนี้ ส่วนตัว ให้คะแนนการอภิปราย วานนี้ 8 เต็ม 10
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากที่วิปรัฐบาล นัดหมายกับวิป 2 ฝ่าย เบื้องต้นทราบว่าจะมีการขอขยายเวลาจากฝ่ายค้าน ให้เท่ากับฝ่ายรัฐบาล คือ ขยายออกไปอีก 1.30 ชั่วโมง ดังนั้น จึงจะขยายเวลาให้กับทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภา ตามที่ขอมา คือ ทุกฝ่ายจะได้อภิปรายรวม 9.30 ชั่วโมง โดยเมื่ออภิปรายเสร็จ จะลงมติรับหลักการหรือไม่ ในทันที ทั้งนี้ ส่วนตัว ให้คะแนนการอภิปราย วานนี้ 8 เต็ม 10
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ปฏิรูป..รัฐธรรมนูญ !!?
ได้ฤกษ์ขึ้นโครงตีจั่วกันเป็นที่เรียบร้อยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย ประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองไม่แพ้ชาติใดในโลก! รัฐบาลเองก็เดินหน้าเต็มสูบแก้ไขมาตรา 291 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) งานนี้ถือเป็นการพิจารณาเป็นวาระลับเฉพาะกระทรวงยุติธรรมได้เสนอเหตุผลว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ประกอบด้วย บุคคลจากหลายสายอาชีพ
เป็นองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานปฏิรูปการเมือง โดย จะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 จังหวัดละคนผสมที่ประชุมรัฐสภาสรรหา 22 รวม 99 คน กำหนดกรอบจัดทำร่าง รธน.แล้วเสร็จ 180 วัน ส่งให้ กกต.จัดทำประชามติให้เสร็จภายใน 15 วัน หากไม่ผ่านตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่ 4 ใหม่ แต่คนเก่าเข้าร่วมไม่ได้ขณะเดียวกันผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ขึ้นมาทำงานควบคู่ในฐานะคณะที่ปรึกษา ตามมาตรา 244 โดยกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจในการติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอ แนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ตลอด ถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
สำหรับคณะที่ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย จำนวน 4 คน ได้แก่ ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ 4 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต ส.ส.ร. ปี 2550
ส่วนคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของ 10 อรหันต์ หรือคณะที่ ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ถือว่าน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจาก จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว หลายคนยังเป็นเหมือนตัวแทนจากฝ่าย “Conservative” จับประเด็นจากทั้ง อ.วิษณุ เครืองาม และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ต่างก็เคยหนุนตักพรรคเพื่อไทยในยุครุ่งเรืองมาแล้ว ทั้งสิ้น แต่เมื่อป๋าสั่งให้ถอนสมอ..ทั้งสองท่านก็รีบถอนแบบไม่ต้องลังเลแม้แต่น้อย.. ถ้าจะเรียกได้ว่า “เด็กป๋า” ก็คงไม่ผิด อะไรนัก
สำหรับลักษณะการทำงานของทั้งทีมเชื่อว่านี้น่าคู่ขนานกันไปอย่างราบรื่น โดยฝ่าย ส.ส.ร. เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญตาม ที่คณะที่ปรึกษาตีธง โดยไม่ต้องสับสน เพราะแม้ถึงทั้ง 2 ทีมจะมีที่มาจากคนละฟากฝั่ง แต่จากปรากฏการณ์ดนตรีกล่อมใจสลายกำแพงที่เป็นโอกาสให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันเพื่อเคลียร์ปัญหาคาใจกันไปเรียบร้อย ทำให้เชื่อว่า การทำงานเพื่อประเทศจะดำเนินไปอย่างคล่องตัวและสะดวกขึ้น
แม้แต่กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผลพวงที่น่าพอใจ และเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปด้วยดีจนต้องบันทึกไว้เป็นอีกหน้า หนึ่งของประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ไทยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ แค่การแก้ไข..แต่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะมีการจัดทำโดยมีรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นแม่แบบทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจะมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก จนถึง ขั้นตอนสุดท้าย
หากเป็นได้ดังนั้นแล้ว ประชาชนจะมีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และรู้สึกหวงแหน เพราะตนเองเป็นเจ้าของ และย่อม พยายามปกป้องรักษา..ใครจะล้มล้าง ฉีกทิ้งทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่แหละ..รัฐธรรมนูญ ฉบับในฝัน!!!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานปฏิรูปการเมือง โดย จะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 จังหวัดละคนผสมที่ประชุมรัฐสภาสรรหา 22 รวม 99 คน กำหนดกรอบจัดทำร่าง รธน.แล้วเสร็จ 180 วัน ส่งให้ กกต.จัดทำประชามติให้เสร็จภายใน 15 วัน หากไม่ผ่านตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่ 4 ใหม่ แต่คนเก่าเข้าร่วมไม่ได้ขณะเดียวกันผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ขึ้นมาทำงานควบคู่ในฐานะคณะที่ปรึกษา ตามมาตรา 244 โดยกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจในการติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอ แนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ตลอด ถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
สำหรับคณะที่ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย จำนวน 4 คน ได้แก่ ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ 4 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต ส.ส.ร. ปี 2550
ส่วนคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของ 10 อรหันต์ หรือคณะที่ ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ถือว่าน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจาก จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว หลายคนยังเป็นเหมือนตัวแทนจากฝ่าย “Conservative” จับประเด็นจากทั้ง อ.วิษณุ เครืองาม และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ต่างก็เคยหนุนตักพรรคเพื่อไทยในยุครุ่งเรืองมาแล้ว ทั้งสิ้น แต่เมื่อป๋าสั่งให้ถอนสมอ..ทั้งสองท่านก็รีบถอนแบบไม่ต้องลังเลแม้แต่น้อย.. ถ้าจะเรียกได้ว่า “เด็กป๋า” ก็คงไม่ผิด อะไรนัก
สำหรับลักษณะการทำงานของทั้งทีมเชื่อว่านี้น่าคู่ขนานกันไปอย่างราบรื่น โดยฝ่าย ส.ส.ร. เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญตาม ที่คณะที่ปรึกษาตีธง โดยไม่ต้องสับสน เพราะแม้ถึงทั้ง 2 ทีมจะมีที่มาจากคนละฟากฝั่ง แต่จากปรากฏการณ์ดนตรีกล่อมใจสลายกำแพงที่เป็นโอกาสให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันเพื่อเคลียร์ปัญหาคาใจกันไปเรียบร้อย ทำให้เชื่อว่า การทำงานเพื่อประเทศจะดำเนินไปอย่างคล่องตัวและสะดวกขึ้น
แม้แต่กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผลพวงที่น่าพอใจ และเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปด้วยดีจนต้องบันทึกไว้เป็นอีกหน้า หนึ่งของประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ไทยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ แค่การแก้ไข..แต่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะมีการจัดทำโดยมีรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นแม่แบบทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจะมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก จนถึง ขั้นตอนสุดท้าย
หากเป็นได้ดังนั้นแล้ว ประชาชนจะมีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และรู้สึกหวงแหน เพราะตนเองเป็นเจ้าของ และย่อม พยายามปกป้องรักษา..ใครจะล้มล้าง ฉีกทิ้งทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่แหละ..รัฐธรรมนูญ ฉบับในฝัน!!!
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ประยุทธ์ > ชี้ไทยต้องนิ่ง พูดมากไม่เกิดประโยชน์ หวั่นกลายเป็นคู่ขัดแย้ง !!?
ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปหน่วยบัญชาการพิเศษ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ที่ จ.ลพบุรี ต่อคำถามที่ว่าหน่วยรบพิเศษมีหน่วยงานด้านการข่าวจะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะงานด้านความมั่นคงว่า งานด้านการข่าวจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง และมีการย้ำเตือนมาตลอด โดยเฉพาะภัยคุกคามในช่วงนี้มีอะไรบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างต้องขยับเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลงานปรากฏงานด้านการข่าว ทหารรับผิดชอบหลักในด้านการป้องกันชายแดนและงานข่าวกรองด้านการรบ คือ ข่าวที่รับมาและมาเข้าหน่วยข่าวกรอง มีการวิเคราะห์ออกมาจนเป็นผลิตผลและน่าเชื่อถือได้ก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติของกองกำลังตามแนวชายแดน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีศูนย์ปฏิบัติการ 6 ศูนย์รับผิดชอบภัยคุกคาม 6 อย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องการป้องกันการก่อการร้ายด้วย ซึ่งกองทัพจะใช้ในลักษณะการประสานความร่วมมือการด้านการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตำรวจ รัฐบาล และเชื่อมต่อกับในส่วนของต่างประเทศ ก่อนจะนำเข้ามาสู่ประชาคมข่าวกรองมีการประเมินกันทุกสัปดาห์ก่อนจะนำไปปฏิบัติ งานข่าวเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ มีการฝึกอบรมโดยเฉพาะหลักสูตรข่าวลับ ที่ต้องมีการทำงานที่ลึกลงไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแหล่งข่าวทั้งโลกไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ร้ายอาศัยในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอในการก่อเหตุ ดังนั้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง กล้องซีซีทีวี การเฝ้าระวังของประชาชน ถ้าช่วยกันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทั่วโลก
"ทุกวันนี้โลกเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โทษกันไปมาก็ไม่จบ ทั้งนี้ ต้องดูว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การเข้ามาในประเทศไทยต้องควบคุมที่ดี รวมถึงการเฝ้าระวัง ที่ผ่านมาอาจจะมีช่องว่างจึงต้องกวดขัน ทั้งนี้ เรื่องการก่อการร้ายเราอย่าไปเป็นคู่ขัดแย้งดีที่สุด ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไป เราอย่าไปลงความเห็นว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ยิ่งพูดทำให้เกิดความเสียหาย ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดไปหมดแล้ว หากจะพูดกันไปมาทุกวันจะไม่เกิดประโยชน์" ผบ.ทบ.ระบุ
ที่มา:มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีศูนย์ปฏิบัติการ 6 ศูนย์รับผิดชอบภัยคุกคาม 6 อย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องการป้องกันการก่อการร้ายด้วย ซึ่งกองทัพจะใช้ในลักษณะการประสานความร่วมมือการด้านการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตำรวจ รัฐบาล และเชื่อมต่อกับในส่วนของต่างประเทศ ก่อนจะนำเข้ามาสู่ประชาคมข่าวกรองมีการประเมินกันทุกสัปดาห์ก่อนจะนำไปปฏิบัติ งานข่าวเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ มีการฝึกอบรมโดยเฉพาะหลักสูตรข่าวลับ ที่ต้องมีการทำงานที่ลึกลงไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแหล่งข่าวทั้งโลกไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ร้ายอาศัยในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอในการก่อเหตุ ดังนั้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง กล้องซีซีทีวี การเฝ้าระวังของประชาชน ถ้าช่วยกันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทั่วโลก
"ทุกวันนี้โลกเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โทษกันไปมาก็ไม่จบ ทั้งนี้ ต้องดูว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การเข้ามาในประเทศไทยต้องควบคุมที่ดี รวมถึงการเฝ้าระวัง ที่ผ่านมาอาจจะมีช่องว่างจึงต้องกวดขัน ทั้งนี้ เรื่องการก่อการร้ายเราอย่าไปเป็นคู่ขัดแย้งดีที่สุด ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไป เราอย่าไปลงความเห็นว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ยิ่งพูดทำให้เกิดความเสียหาย ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดไปหมดแล้ว หากจะพูดกันไปมาทุกวันจะไม่เกิดประโยชน์" ผบ.ทบ.ระบุ
ที่มา:มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)