ในศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นปรกติของนานาอารยะประเทศและกับประเทศไทย...ความผิดใดๆ จะได้รับการแยกแยะว่า...เป็นไปโดย...ตั้งใจหรือไม่...
คดีฆ่าคนตายจำนวนมาก...ศาลสถิตยุติธรรม...มีคำพิพากษาให้รอลงอาญา...เพราะว่าการฆ่านั้นเกิดจากอุบัติเหตุไม่ใช่เจตนา
ขับรถชนคนตาย...คือการขับรถชนคนโดยประมาท...หากญาติผู้ตายพอใจในการช่วยเหลือและรูปแบบของการเกิดเหตุเป็นเรื่องสุดวิสัย...คำพิพากษาจะพ่วงคำว่าโดยไม่เจตนาและยกประโยชน์นั้นไว้ให้กับจำเลย
เช่นเดียวกัน...
ประโยชน์จากการต่อสู้ในรูปคดี...มักจะใช้ให้เป็นประโยชน์กับผู้ถูกกล่าวหา...
ต้องขอแสดงความคารวะอย่างจริงใจมายังกรรมการเลือกตั้ง คุณสดศรี สัตยธรรม...ที่เป็นเสียงเดียวที่ไม่โหวตให้ จตุพร พรหมพันธ์ุ ต้องรับโทษจากการไม่ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
เพราะระหว่างนั้น...จตุพร พรหมพันธ์ุ ถูกจองจำอยู่ในคุกคลองเปรม ในคดีที่ถูกกล่าวหาและไม่ได้รับการประกันตัวตามที่ขอมา...
และ จตุพร พรหมพันธ์ุ...ได้แสดงความประสงค์จะไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง...แต่ถูกปฏิเสธ
คณะกรรมการเลือกตั้ง...มีหน้าที่ทำให้คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถึงขนาดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า แม้แต่คนในต่างประเทศยังผ่อนปรนให้ไปลงคะแนนได้...
ประสาอะไรกับผู้ต้องหาที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างเก๋ไก๋ว่า...ให้นับว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ หากยังไม่มีคำพิพากษา...
สิทธิ์ในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง...เป็นสิทธิ์สำคัญที่สุดในการเลือกผู้บริหารประเทศ...เพียงเสียงเดียวสามารถชี้ขาดตัวรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี...
คนไทยทั้งหลาย...จึงต้องได้สิทธิ์นี้...ตราบเท่าที่เขาแสดงความประสงค์...กรรมการเลือกตั้งต้องสนับสนุนในทุกๆ แนวทางให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์...
แต่แปลก...ทั้งๆ ที่รู้ว่า จตุพร พรหมพันธ์ุ อยากใช้สิทธิ์...แต่ติดที่ประกันตัวไม่ได้...แต่กลับไม่ยอมรับรู้และ...ถือว่าไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทำให้ จตุพร พรหมพันธ์ุ เสียหาย...เสียสถานะผู้แทนราษฎร์ในรัฐสภา...
ประเทศนี้ต้องการการปรองดอง...แต่โอกาสสำหรับการปรองดองนั้น...ต้องอยู่บนความเท่าเทียมภายใต้ความเป็นคนไทยด้วยกัน ผิดไปจากนั้นก็ต้องใช้สงครามกับแพ้ชนะเป็นตัวพิพากษา
แบบลิเบียกับกัดดาฟี่
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ย้อนรอย.. รัฐเดินสายฟื้นความเชื่อมั่น กลุ่มทุนญี่ปุ่น !!?
ผ่าเบื้องหลัง มาตรการยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ชิ้นส่วนยานยานต์ และเครื่องจักร
มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2554 ที่อนุมัติให้ยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งเครื่องจักร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผลักดันเข้าสู่การประชุมครม.เป็นวาระจรเพื่อพิจารณาจรเรื่องที่ 5
หากย้อนกลับไปดูรายงานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.)ที่มี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2554 และผลการเยือนประเทศญี่ปุ่น ที่นายกิตติรัตน์ ได้รายงานให้ที่ประชุมครม.รับทราบเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา จะพบว่าการยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนยานยนต์ครั้งนี้ มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
เริ่มจาก 14 พ.ย. 2554 ดร.วีรพงษ์ หารือกับภาคเอแกชนญี่ปุ่น นำโดยนาย Setsuo luchi ประธานเจโทรประเทศไทย และนาย Kyoichi Tanada กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โต้โยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย
เจโทรและหอการค้าญี่ปุ่น เสนอมาตรการเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในประเทศไทย 5 ประเด็น คือ
1.มาตรการระยะสั้นเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การให้วีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การเร่งรัดขั้นตอนและยกเว้นภาษีวัตถุดิบและอุปกรณ์นำเข้าในการทำความสะอาด ฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรม และติดตั้งเครื่องจักร การเร่งรัดการซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคในโรงงาน การจัดการขยะและของเสีย รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตนิคมอุตสาหกรรม และการอำนวยความสะดวกในขั้นตอนและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน
2.มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนานาชาติรวมทั้งบริษัทประกันภัย ได้แก่การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรม ประกาศแนวทางการบริหารจัดการน้ำในอนาคต และแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการป้องกันน้ำท่วมและภัยพิบัติในอนาคต
3.มาตรการสร้างโอกาสการจ้างงานสำหรับแรงงานไทย ได้แก่ การสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะแก่เอสเอ็มอี เพื่อให้ยังคงการจ้างพนักงานไว้ การให้เงินกู้ระยะสั้นแก่เอสเอ็มอี และบริษัทต่างประเทศในเครือ และการลดขั้นตอนในการนำวิศวกรหรือแรงงานไทยบางส่วนไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นชั่วคราว
4.มาตการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ได้แก่ ส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยในช่องทางต่างๆ เช่นงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์สำหรับอุตสาหกรรม การส่งเสริมและเชิญชวนสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคต่างๆให้มาลงทุนในไทย และการรณรงค์การมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
5.การขยายตลาดสำหรับอุตสาหกรรมไทยโดยส่งเสริมการเชื่อมโยงในภูมิภาค ได้แก่ การส่งเสริมเอฟทีเอ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และส่งเสริมการลงทุนในประเทศต่างๆในภูมิภาค รวมทั้งญี่ปุ่น
ขณะที่โตโยต้า ได้ขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการประกอบรถยนต์ใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.พิจารณาการสนับสนุนให้ครอบคลุมบริษัทเอสเอ็มอี ญี่ปุ่น ที่มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย
2.รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย
3.ส่งเสริมเรื่องการพัฒนาแรงงานสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากโตโยต้า มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีหน้า จึงต้องแรงงานจำนวนมาก
15 พ.ย. 2554 นายวีระพงษ์ นำผลการหารือร่วมกับนักลงทุนญีปุ่นเสนอให้ที่ประชุมกยอ.นัดแรกรับทราบ พร้อมกับมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาข้อเสนอของนักลงทุนญี่ปุ่น
18 พ.ย. 2554 กระทรวงการคลัง ทำหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค.1005/ล1830 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการลดภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสนอเรื่องให้ครม.ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและชินส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาประกอบรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในจำนวนและอัตราที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประกอบการรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ประสบความเสียหายจากอุทกภัย
กระทรวงการคลังอ้างว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นไปตามมติครม.เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2554 ที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการผลกระทบจากอุกทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังอ้างว่า ได้รับหนังสือจากบริษัท เอเชี่ยนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด ขอให้ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูปแบบและรุ่นเดียวกับที่บริษัทสามารถผลิตได้ในประเทศก่อนโรงงานประสบอุทกภัย เพื่อทดแทนการผลิตในประเทศเป็นการชั่วคราวจนกว่าโรงงานจะเริ่มดำเนินการได้ โดยรถยนต์สำเร็จรูปที่นำเข้าดังกล่าวให้ได้รับสิทธิเหมือนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ
25 พ.ย. 2554 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่งข้อเสนองของกระทรวงการคลังให้นายกิตติรัตน์ พิจารณาเพื่อเสนอต่อที่ประชุมครม. โดยมีความเห็นประกอบการพิจารณาว่า มาตรการ “ภาษีศุลกากรเพื่อบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม” ที่กระทรวงการคลัง เสนอ. เป็นมาตรการใหมยังไม่เคยเสนอให้ครมงพิจารณา มีเพียงการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรเท่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน(กศอ.) ที่มีนายกิตติรัตน์ เป็นประธานพิจารณาก่อน
27 - 28 พ.ย. 2554 ดร.วีรพงษ์ นายกิตติรัตน์ พร้อมคณะเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยได้เข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของประเทศญี่ปุ่น อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม รัฐมนตรีกระทรวงการบริการการเงิน และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และ สมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น(Keidanren)
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอให้ไทยเร่งรัดดำเนินการในการช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประกอบด้วย 4 ข้อ คือ
1.การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหาย 2.อำนวยความสะดวกในเรื่องการออกใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 3.การจัดหาน้ำบริสุทธิ์(purified water) และน้ำสะอาด(clean water) ให้เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และ4.การจัดหาระบบไฟฟ้าให้ทันเวลาในการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต
ขณะที่ Keidanren ขอให้ทางรัฐบาลไทยเร่งรัดการดำเนินการใน 2 เรื่อง เพื่อฟื้นฟูภาคธุรกิจญี่ปุ่นในไทย คือ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ และวัตถุดิบ รวมถึงการออกใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ให้กับบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายและสามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูระบบการผลิตในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
29 พ.ย. 2554 นายกิตติรัตน์ เสนอมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ รถยนต์สำเร็จรูป และเครื่องจักร ให้ครม.พิจารณาเป็นวาระพิจารณาจรเรื่องที่ 5 โดยแจ้งว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อครม. โดยที่เรื่องดังกล่าวยังไม่ผ่านการพิจารณาของกศอ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหลิม เดลิเวอรี่ !!?
เมื่อแผนอภัยโทษภาคพิสดารได้ไม่คุ้มเสีย..“นายห้างดูไบ” จึงรีบร่อนจดหมายแสดงสปิริตไม่ขอรับสิทธิพิเศษ ในฐานะ “นักโทษวีไอพี”โดยอ้างว่า อาจทำให้พระองค์ท่านลำบากใจ..
“อุ้มทักษิณกลับบ้าน” ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่โปรแกรมเมอร์ย่านบางบอน ประกาศก้องมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 แล้วว่า..ผมนี่แหละจะเป็นคนนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย..หนทางการกลับบ้านเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มมีเค้าลางเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหลังจากคณะ รัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 มีการ “ประชุมลับ” เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา..ดันแอบถกวาระร้อนแห่งทศวรรษ “อภัยโทษคน แดนไกล”
การชิมลางแอบโยนภูเขาถามทางลูกใหญ่ในประเด็นการออก “พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ 54” แบบลับๆ ล่อๆ หวังหยั่งกระแสสังคมในสภาวะที่คนค่อนประเทศโงหัวไม่ขึ้นหลังจมอยู่ใต้บาดาล มานานแรมเดือน นับเป็นหมากกลทาง การเมืองที่ “เซียนเหลิม” ผู้ช่ำชองกลศึกนั้นวางแพลนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ย..
แต่เมื่อแผนการที่รับปากรับคำกับ “นายใหญ่” เอาไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะ หาวิธีนำเจ้านายกลับบ้าน ไม่ว่าจะฝืนออก “พ.ร.ฎ.อภัยโทษ” หรือจะลุยถั่วออก “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” หวังไปตายเอาดาบหน้า?!?!
แต่ผลสรุปออกมาสุดท้ายก็ตายด้วย ดาบแรกดาบนี้ซะแล้ว..เป็นดาบที่อภัยโทษบุคคลทั่วไปแต่ไม่อภัยให้แม้วคนเดียว.. เพราะทันทีที่มีการตั้งเรื่อง “อภัยโทษ 54” เวอร์ชั่นสารวัตรเหลิมที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมตัดเงื่อนไขความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นและยาเสพติดออกจาก พ.ร.ฎ. อภัยโทษตามออเดอร์ของกุนซือด้านกฎหมายขาประจำ..ก็เกิดกระแสกดดันจาก นักวิชาการหลากหลายสถาบันฯ ทำการต่อต้านพรรคเพื่อไทยที่ไม่เลือกเวลาลักไก่ ออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ “คนพิเศษ” เพียงคนเดียว
แผนการลักไก่ดังกล่าวมีหรือม็อบโค่นทักษิณในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรบางอย่าง” จะไม่รีบกุลีกุจอออกมาโวยวายปลุกม็อบสู้.. เมื่อแผนอภัยโทษภาคพิสดารได้ไม่คุ้มเสีย..“นายห้างดูไบ” จึงรีบร่อนจดหมาย แสดงสปิริตไม่ขอรับสิทธิพิเศษในฐานะ “นักโทษวีไอพี” โดยอ้างว่า อาจทำให้พระองค์ท่านลำบากใจ.. เท่านั้นแหละท่าน รมว.ยุติธรรม “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ก็รีบแก้เกี้ยวออกมาแถลงผ่านสื่อว่า.. พ.ร.ฎ. อภัยโทษ 54 ยังคงใช้หลักการเดิมที่พรรค ประชาธิปัตย์ตั้งเรื่องเอาไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2554 ไม่มีการแก้เนื้อหาหรือเงื่อนไขเพื่อเอื้อประโยชน์ผู้กระทำความผิด คดีทุจริต หรือคดียาเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น..
การถอยเพื่อดูเชิงของ “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” อย่างน้อยก็สยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านลงไปได้บ้าง.. เพราะทันทีที่ “อินทรีอีสาน” สั่งถอยตามนาย.. “ม็อบเสื้อเหลือง” ก็สั่งยกเลิกการชุมนุมลงทันทีเช่นเดียวกัน.. งานนี้แกนนำพันธมิตรฯ ต้องแอบขอบพระคุณ “เสี่ยแม้ว” อยู่ลึกๆ.. เพราะการจะปลุกม็อบให้ตื่นในภาวะน้ำยังท่วมบ้านอยู่นั้น นับเป็นเรื่องยากโคตรๆ.. ไอ้ครั้นจะไม่ปลุกม็อบออกมาต้านในประเด็น ร้อนฉ่าอย่างนี้ เดี๋ยวมวลชนจะสงสัยในอุดมการณ์หลัก “ไม่เอาทักษิณ” ?!?!
แต่ที่สบายตัวสุดๆ เห็นจะเป็น “เจ้าพ่อบางบอน” เพราะหลังจากปล่อยของออกไปแล้วไม่ได้รับการขานรับ..แกก็แอบ ไปนั่งจิบไวน์ขวดละครึ่งแสนสบายใจเฉิบ.. เพราะสิ่งที่รับปากว่าจะทำให้ในช็อตแรกเรื่องอภัยโทษก็ได้ทำไปแล้ว.. ช็อตต่อไป ก็นั่งดีดลูกคิดคำนวณตัวเลขความยากง่ายกันใหม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน??? แล้วค่อยมา “ตีตั๋วใหม่” กันนะครับ..นายใหญ่..ไม่รู้ว่า “เพื่อไทย” หรือว่า “เสื้อแดง” อยากให้ “เสี่ยดูไบ” กลับมาเมืองไทยจริงๆ หรือเปล่า??? เพราะหากเจ้าของ เงินอยู่เมืองนอก มันมีมุกให้ดูดเงินนายใหญ่ มาใช้จ่ายได้อยู่เรื่อยๆ..จริงป่ะ!!!
แต่หากนายทุนกลับมาคุมเกมทุกอย่างเองที่บ้านเกิด.. “มุกเอาทักษิณกลับบ้าน” ต้องม้วนเสื่อทำมาหารับประทานไม่ได้อีกต่อไป..แล้ว “เสี่ยเหลิมเดลิเวอรี่” จะพลิกบทบาทตัวเองจากรับบริการ “นำคนเข้าประเทศ” มาเป็น “รับส่งออกนักการเมือง” ไปอยู่ต่างประเทศด้วยหรือเปล่า???
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“อุ้มทักษิณกลับบ้าน” ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่โปรแกรมเมอร์ย่านบางบอน ประกาศก้องมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 แล้วว่า..ผมนี่แหละจะเป็นคนนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย..หนทางการกลับบ้านเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มมีเค้าลางเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหลังจากคณะ รัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 มีการ “ประชุมลับ” เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา..ดันแอบถกวาระร้อนแห่งทศวรรษ “อภัยโทษคน แดนไกล”
การชิมลางแอบโยนภูเขาถามทางลูกใหญ่ในประเด็นการออก “พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ 54” แบบลับๆ ล่อๆ หวังหยั่งกระแสสังคมในสภาวะที่คนค่อนประเทศโงหัวไม่ขึ้นหลังจมอยู่ใต้บาดาล มานานแรมเดือน นับเป็นหมากกลทาง การเมืองที่ “เซียนเหลิม” ผู้ช่ำชองกลศึกนั้นวางแพลนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ย..
แต่เมื่อแผนการที่รับปากรับคำกับ “นายใหญ่” เอาไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะ หาวิธีนำเจ้านายกลับบ้าน ไม่ว่าจะฝืนออก “พ.ร.ฎ.อภัยโทษ” หรือจะลุยถั่วออก “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” หวังไปตายเอาดาบหน้า?!?!
แต่ผลสรุปออกมาสุดท้ายก็ตายด้วย ดาบแรกดาบนี้ซะแล้ว..เป็นดาบที่อภัยโทษบุคคลทั่วไปแต่ไม่อภัยให้แม้วคนเดียว.. เพราะทันทีที่มีการตั้งเรื่อง “อภัยโทษ 54” เวอร์ชั่นสารวัตรเหลิมที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมตัดเงื่อนไขความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นและยาเสพติดออกจาก พ.ร.ฎ. อภัยโทษตามออเดอร์ของกุนซือด้านกฎหมายขาประจำ..ก็เกิดกระแสกดดันจาก นักวิชาการหลากหลายสถาบันฯ ทำการต่อต้านพรรคเพื่อไทยที่ไม่เลือกเวลาลักไก่ ออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ “คนพิเศษ” เพียงคนเดียว
แผนการลักไก่ดังกล่าวมีหรือม็อบโค่นทักษิณในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรบางอย่าง” จะไม่รีบกุลีกุจอออกมาโวยวายปลุกม็อบสู้.. เมื่อแผนอภัยโทษภาคพิสดารได้ไม่คุ้มเสีย..“นายห้างดูไบ” จึงรีบร่อนจดหมาย แสดงสปิริตไม่ขอรับสิทธิพิเศษในฐานะ “นักโทษวีไอพี” โดยอ้างว่า อาจทำให้พระองค์ท่านลำบากใจ.. เท่านั้นแหละท่าน รมว.ยุติธรรม “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ก็รีบแก้เกี้ยวออกมาแถลงผ่านสื่อว่า.. พ.ร.ฎ. อภัยโทษ 54 ยังคงใช้หลักการเดิมที่พรรค ประชาธิปัตย์ตั้งเรื่องเอาไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2554 ไม่มีการแก้เนื้อหาหรือเงื่อนไขเพื่อเอื้อประโยชน์ผู้กระทำความผิด คดีทุจริต หรือคดียาเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น..
การถอยเพื่อดูเชิงของ “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” อย่างน้อยก็สยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านลงไปได้บ้าง.. เพราะทันทีที่ “อินทรีอีสาน” สั่งถอยตามนาย.. “ม็อบเสื้อเหลือง” ก็สั่งยกเลิกการชุมนุมลงทันทีเช่นเดียวกัน.. งานนี้แกนนำพันธมิตรฯ ต้องแอบขอบพระคุณ “เสี่ยแม้ว” อยู่ลึกๆ.. เพราะการจะปลุกม็อบให้ตื่นในภาวะน้ำยังท่วมบ้านอยู่นั้น นับเป็นเรื่องยากโคตรๆ.. ไอ้ครั้นจะไม่ปลุกม็อบออกมาต้านในประเด็น ร้อนฉ่าอย่างนี้ เดี๋ยวมวลชนจะสงสัยในอุดมการณ์หลัก “ไม่เอาทักษิณ” ?!?!
แต่ที่สบายตัวสุดๆ เห็นจะเป็น “เจ้าพ่อบางบอน” เพราะหลังจากปล่อยของออกไปแล้วไม่ได้รับการขานรับ..แกก็แอบ ไปนั่งจิบไวน์ขวดละครึ่งแสนสบายใจเฉิบ.. เพราะสิ่งที่รับปากว่าจะทำให้ในช็อตแรกเรื่องอภัยโทษก็ได้ทำไปแล้ว.. ช็อตต่อไป ก็นั่งดีดลูกคิดคำนวณตัวเลขความยากง่ายกันใหม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน??? แล้วค่อยมา “ตีตั๋วใหม่” กันนะครับ..นายใหญ่..ไม่รู้ว่า “เพื่อไทย” หรือว่า “เสื้อแดง” อยากให้ “เสี่ยดูไบ” กลับมาเมืองไทยจริงๆ หรือเปล่า??? เพราะหากเจ้าของ เงินอยู่เมืองนอก มันมีมุกให้ดูดเงินนายใหญ่ มาใช้จ่ายได้อยู่เรื่อยๆ..จริงป่ะ!!!
แต่หากนายทุนกลับมาคุมเกมทุกอย่างเองที่บ้านเกิด.. “มุกเอาทักษิณกลับบ้าน” ต้องม้วนเสื่อทำมาหารับประทานไม่ได้อีกต่อไป..แล้ว “เสี่ยเหลิมเดลิเวอรี่” จะพลิกบทบาทตัวเองจากรับบริการ “นำคนเข้าประเทศ” มาเป็น “รับส่งออกนักการเมือง” ไปอยู่ต่างประเทศด้วยหรือเปล่า???
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554
โออิชิ.. งัดกลยุทธ์ฟื้นยอดหลังน้ำลด ทุ่ม 450 ล้าน เพิ่ม 30 สาขา !!?
โออิชิ กรุ๊ป เชื่อ กำลังซื้อผู้บริโภคหลังน้ำลด จะฟื้นในไตรมาส 1 ปีหน้า หลังผลประกอบการปีนี้เจอผล กระทบน้ำท่วมต่ำกว่าเป้า 10% แย้มเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2-3 แบรนด์ ชี้ร้านปิ้งย่างยังมีช่องทำตลาด ทุ่ม 450 ล้าน ขยายสาขาเพิ่มอีก 30 สาขาในปีหน้า ควักอีก 30 ล้าน ใจป้ำปิดร้านโออิชิ บุฟเฟ่ต์ และโออิชิ เอ็กซ์เพรส ให้กินฟรีกระตุ้นยอดขาย...
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี เฉลี่ยไม่ต่ำ 15% ต่อปี ดังนั้นปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่จำนวน 2-3 แบรนด์ จากปัจจุบันมีแบรนด์ร้านอาหารที่เปิดให้บริการจำนวน 5 แบรนด์ คือ โออิชิ บุฟเฟต์,โออิชิ ราเมน, โออิชิ เอ็กซ์เพรส, ชาบูชิ และนิคูยะ รวม 125 สาขาทั่วประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบของแบรนด์ร้านอาหารใหม่ที่จะนำมาเปิดให้บริการนั้น บริษัทได้พัฒนาขึ้นมาเอง เนื่องจากเริ่มมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาธุรกิจร้านอาหาร ยกเว้นร้านอาหารในรูปแบบที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็จะซื้อแฟรนไชส์เข้ามา เช่น แบรนด์คาเซกูเตะ เป็นต้น
สำหรับการขยายสาขาใหม่ในปีหน้านั้น บริษัทจะขยายเพิ่มอีกจำนวน 30 สาขา แบ่งเป็นสาขาของร้านชาบูชิ 15 สาขา, โออิชิ ราเมน 5 สาขา, โออิชิ เอ็กซ์เพรส 2 สาขา ร้านคาเชกูเตะ 3 สาขา และร้านคูนิยะ 5 สาขา ซึ่งในส่วนของร้านคูนิยะ ถือเป็นร้านอาหารแบรนด์ใหม่ล่าสุด บริษัทจะหันมารุกการขยายสาขามากขึ้น เนื่องจากร้านอาหารในสไตล์ปิ้งย่างยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาด โดยการขยายสาขาดังกล่าว บริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้ที่ประมาณ 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ลงทุนไป 300 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทยังได้ใช้งบ 30 ล้านบาท ในการจัดแคมเปญ "ให้โออิชิคืนความสุขให้คนไทย" ด้วยการมอบความสุขเพื่อคนไทย ผ่านการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจรับประทานอาหารฟรี ในร้านอาหารโออิชิ บุฟเฟ่ต์ และโออิชิ เอ็กซ์เพรส ทุกสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดวันที่ 11 ธ.ค.นี้ จำนวน 5 รอบ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนรับประทานฟรีในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ เวลา 11.00-15.00 น.ที่ร้านโออิชิ สาขาสยามดิสคัฟเวอร์รี่ พร้อมกันนี้ยังออกบัตรส่วนลดคนไทยหัวใจวิเศษ "Hero Card" รวมถึงการออกแคมเปญ "อิ่มทุก 100 บาท โออิชิคืนให้ 100 บาท"
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัท ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารสิ้นปีนี้คาดว่า จะอยู่ที่ 4,100-4,200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ประมาณ 10% หรือจาก 4,500 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทมีการขยายธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีหน้าจะกลับมามีอัตราการเติบโตที่ 30% สูงกว่าปกติทุกปีที่ จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 25%
กำลังซื้อผู้บริโภคหลังน้ำลดลง เชื่อว่าจะเริ่มคลี่คลายได้ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้าต่อเนื่องไปจนถึงเดือน เม.ย. 2555 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีวันหยุดเทศกาลเยอะ จึงทำให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย แต่หลังจากเดือน เม.ย. ของไตรมาส 2 กำลังซื้อจะเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายเงินไปพอสมควร ซึ่งช่วงเวลานั้นบริษัทอาจจะมีการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกครั้ง”
ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/eco/220581
ที่มา: ไทยรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แพทย์เขมรเผยตรวจอาการ วีระ.. แล้ว ไม่ได้ป่วย-เป็นโรคที่ทำให้กระทบต่อสุขภาพ !!?
เว็บไซต์ "พนมเปญโพสต์" รายงานข่าวว่า จากกรณีที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย ของกัมพูชา ระบุว่า แพทย์จากไทยพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ จะเข้าตรวจอาการ นายวีระ สมความคิด ที่เรือนจำเพรย์ซอว์ ในวันที่ 2 ธ.ค. นี้ เพื่อรับรองว่า นักโทษรายนี้ไม่มีปัญหาสุขภาพ นั้น นายซุน เลียน หัวหน้าเรือนจำ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า แพทย์ของเรือนจำได้ทำการตรวจเลือด นายวีระ แล้ว ไม่พบว่ามีโรคที่ทำให้กระทบต่อสุขภาพของเขาแต่อย่างใด แต่เพื่อความชัดเจนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทางกัมพูชาก็จะอนุญาตให้แพทย์จากไทยเข้าตรวจอีกครั้ง ขณะที่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ยังมีสุขภาพดี จึงไม่ได้เสนอขอให้มีการตรวจสุขภาพ
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รมว.กลาโหมย้ำจีนไม่ติดใจคดี ลูกเรือ13ศพ เผยผู้ต้องสงสัยมีทั้งคนในและนอกราชการ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความพร้อมในการประชุม จีบีซี กับทางกัมพูชาว่า ได้ประสานไปยังกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแล้ว ทั้งนี้ต้องการให้หารือกันภายในเดือนนี้ หากข้ามไปเป็นปีหน้าอาจจะไม่ทัน ซึ่งการประชุมที่ล่าช้าในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อคำสั่งของศาลโลกที่ให้ถอนทหาร เนื่องจากเป็นคนละกรณี ขณะเดียวกัน ไทยก็ได้ทำตามคำสั่งชั่วคราวของศาลโลกอยู่แล้ว ส่วนกรณี 13 ศพ ลูกเรือจีนนั้น ขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน และยังไม่มีการฟ้องร้อง ทั้งนี้ เชื่อว่าทางจีนจะไม่ติดใจในเรื่องนี้ ภายหลังที่ได้หารือพบปะกันกับทูตจีน ก็คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขณะที่ผู้ต้องสงสัยมีทั้งทหารรวมไปถึงคนในและนอกราชการด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------
ที่มา: มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------
ตชด.ปะทะเดือด แก๊งยาบ้าริมโขง ยึด 1.2 แสนเม็ด !!?
ตชด. 237 โชว์ผลงานสกัดจับยาบ้าข้ามโขง โดยปะทะเดือดกับแก๊งทำลายชาตินานกว่า 10 นาที ในพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม ก่อนยึดยาบ้าซุกยางรถยนต์ตบตา 1.2 แสนเม็ด ค่ากว่า 20 ล้านบาท...
กรณี ตชด. ปะทะเดือดแก๊งค้ายาบ้าริมแม่น้ำโขง ก่อนยึดของกลางจำนวนมากครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 1 ธ.ค. พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ พรมจันทร์ ผบ.ร้อย ตชด. ที่ 237 อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม พร้อมด้วย ร.ต.ท.จรัส ศรีมีชัย หัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด นำกำลังแถลงการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 1.2 แสนเม็ด หลังจากสืบทราบจะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม จึงนำกำลังออกสกัดจับกุม
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. ตรวจพบคาราวานขนยาเสพติดเดินขึ้นมาจากริมฝั่งแม่ น้ำโขงพื้นที่บ้านโพนทอง ต.นาแข อ.บ้านแพง แล้วนำวัตถุต้องสงสัยวางไว้ริมถนนจึงแสดงตัวขอตรวจค้น ทำให้เกิดการยิงปะทะกันนานกว่า 10 นาที ก่อนคาราวานขนยาเสพติดจะหลบหนีโดยทิ้งยางอะไหล่รถยนต์เอาไว้ 1 เส้น
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบยางรถยนต์ดังกล่าวปรากฏ ยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติก 63 ถุง ตรวจนับได้ 1.2 แสนเม็ด สันนิษฐานว่า คาราวานขนยาเสพติดใช้วิธีซุกซ่อนยาบ้าในยางรถยนต์ตบตาเจ้าหน้าที่นำมาส่งให้กับขบวนการค้ายาบ้านำส่งขาย ซึ่งของกลางครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทั้งนี้ จะได้เร่งขยายผลและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ที่มา.ไทยรัฐ
///////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
รอยต่อแห่งอำนาจยามนี้ มีเพียง ทักษิณ. เท่านั้น ถึงจะ เอาอยู่ !!?
ต่อลมหายใจให้ยาวนานที่สุด น่าจะเป็นทางออกเดียว ในยามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พึ่งกระทำได้ในยามนี้
ภาวะที่ไม่มีตัวเลือกอื่นที่เด่นชัดกว่าที่เป็นอยู่ ที่สำคัญไม่มีใครที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้ใจนอกจากน้องสาวตัวเอง"
อย่างน้อยก็หลังเดือนพ.ค. 2555 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะมี "ตัวเลือก" มากขึ้น แต่ก็นั่นแหละติดกับดัก "ไม่ไว้ใจใคร" ทำให้คิดได้แต่โมเดลเดิมๆ "ดัน" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะมีสิทธิทางการเมือง เข้ามาแตะมือต่อ ซึ่งนั้นก็คงอีกยาวนาน รอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผลนั่นเอง!
เพราะว่าสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อแห่งอำนาจเช่นนี้...มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น จะ "เอาอยู่" เพราะทราบกันดีว่าฝ่ายตรงกันข้ามก็ค่อยหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา
มหาอุทกภัยช่วงนี้ ก็ได้ทำลายความน่าเชื่อถือหรือแบรนด์ทักษิณ ชินวัตร ลดไปพอสมควร เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือการบั่นทอนประสิทธิภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรง
เพียงแต่ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ทรุดมากหรือจมไปกับน้ำ เพราะด้วยเหตุ คนทั่วไปจะลงความเห็นว่ามีความผิดพลาดในเชิงนโยบายในการบริหารวิกฤติน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นตัดสินใจช้า...ตัดสินใจไม่ตรงกับปัญหา ความเป็นผู้นำน้อย...ใช้บุคลากรไม่ถูกกับงาน รวมถึงมีเรื่องของทุจริต ในกระบวนการ รวมถึงปัญหาการบริหารที่ไปคนละทิศทางกับ กทม.
แต่สิ่งที่ประคับประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ให้จมไปมากกว่านี้ เพราะประชาชนทราบดีว่า ปริมาณฝนอยู่เหนือความคาดหมาย ภัยธรรมชาติยากจะเข้าใจ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ หลายฝ่ายพอจะให้อภัยกันได้
เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็น่าจะหนักหนาใกล้เคียงกัน ....!
แต่หัวสำคัญ ที่ส่วนใหญ่ยังเห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควรเดินหน้าต่อ...น่าจะเป็นเรื่องของการ "รักษาระบบ"
แม้ว่าบางเสียงยังหลงเสน่ห์ของทหาร..แต่บทเรียนการรัฐประหารล่าสุด 19 ก.ย. 2549 ได้ทำลายความชอบธรรมของกระบวนการยึดอำนาจลงไปพอสมควร กลุ่มคนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าที่จะเรียกร้องให้กลับมาอีก
การเดินตามระบอบประชาธิปไตย...ที่ผู้นำมาจากเลือกตั้ง จึงเป็นเกราะป้องกันและประคับประคองให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอยู่ในเส้นทางโอกาส ต่อไป "อีกระยะ"
เหตุที่บอกว่า "อีกระยะ"...เพราะโดยเนื้อแท้ประชาธิปไตยแบบไทยแล้ว ไม่ได้การันตีเสมอไปว่า"รัฐประหาร"จะดับสูญจากสยามประเทศ ถามใครเวลานี้ก็ไม่เชื่อ หลังจากที่หลงเชื่อไปครั้งหนึ่งแล้วก่อน 19 ก.ย.2549
เพราะเหตุผลและความชอบธรรม..สามารถหาได้ในสายลม ความชอบธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าการยึดอำนาจแต่ละครั้ง จะทำให้"คนเชื่อ"ได้อย่างไรมากกว่า และดูเหมือนว่าปมหรือเบื้องหลังของตระกูลชินวัตร นั้นมีมูลที่จะนำไปสู่ความเชื่อได้ไม่ยากนัก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่อมทราบดี การ"ถอย"พ.ร.ฎ.อภัยโทษ คือการอ่านเกมที่ถูกต้อง เพราะหากยิ่งดันทุรังต่อไป ไม่ได้หายไปเฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเท่านั้น แต่อาจจะนำไปสู่"ถอน"อำนาจขั้วทักษิณ อีกรอบหนึ่ง
แม้ว่าโดยรวมคนส่วนใหญ่ยังต้องการปกป้องระบบประชาธิปไตย และให้โอกาสรัฐบาลเดินหน้าต่อ...แต่ในทางกลับหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถ"ยกระดับ"ตัวเองขึ้นมาได้ ก็อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงได้เช่นกัน
การปรับคณะรัฐมนตรี ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถต่ออายุ ลดแรงกดดันไปได้ระยะหนึ่ง...แต่ไม่เสถียรอย่างแน่นอน หากนายกรัฐมนตรี ยังชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ที่สำคัญไปกว่านั้น ในระยะยาว ซึ่งเป็นช่วงรอยแต่แห่งอำนาจเช่นนั้น...ผู้ที่เหมาะสมที่สุด จะประคับประคองอำนาจของกลุ่มได้ต่อไป ก็มีเพียง "ทักษิณ ชินวัตร" เท่านั้น ถึงจะเอาอยู่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
ภาวะที่ไม่มีตัวเลือกอื่นที่เด่นชัดกว่าที่เป็นอยู่ ที่สำคัญไม่มีใครที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้ใจนอกจากน้องสาวตัวเอง"
อย่างน้อยก็หลังเดือนพ.ค. 2555 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะมี "ตัวเลือก" มากขึ้น แต่ก็นั่นแหละติดกับดัก "ไม่ไว้ใจใคร" ทำให้คิดได้แต่โมเดลเดิมๆ "ดัน" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะมีสิทธิทางการเมือง เข้ามาแตะมือต่อ ซึ่งนั้นก็คงอีกยาวนาน รอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผลนั่นเอง!
เพราะว่าสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อแห่งอำนาจเช่นนี้...มีเพียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น จะ "เอาอยู่" เพราะทราบกันดีว่าฝ่ายตรงกันข้ามก็ค่อยหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา
มหาอุทกภัยช่วงนี้ ก็ได้ทำลายความน่าเชื่อถือหรือแบรนด์ทักษิณ ชินวัตร ลดไปพอสมควร เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือการบั่นทอนประสิทธิภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรง
เพียงแต่ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ทรุดมากหรือจมไปกับน้ำ เพราะด้วยเหตุ คนทั่วไปจะลงความเห็นว่ามีความผิดพลาดในเชิงนโยบายในการบริหารวิกฤติน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นตัดสินใจช้า...ตัดสินใจไม่ตรงกับปัญหา ความเป็นผู้นำน้อย...ใช้บุคลากรไม่ถูกกับงาน รวมถึงมีเรื่องของทุจริต ในกระบวนการ รวมถึงปัญหาการบริหารที่ไปคนละทิศทางกับ กทม.
แต่สิ่งที่ประคับประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ให้จมไปมากกว่านี้ เพราะประชาชนทราบดีว่า ปริมาณฝนอยู่เหนือความคาดหมาย ภัยธรรมชาติยากจะเข้าใจ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ หลายฝ่ายพอจะให้อภัยกันได้
เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็น่าจะหนักหนาใกล้เคียงกัน ....!
แต่หัวสำคัญ ที่ส่วนใหญ่ยังเห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควรเดินหน้าต่อ...น่าจะเป็นเรื่องของการ "รักษาระบบ"
แม้ว่าบางเสียงยังหลงเสน่ห์ของทหาร..แต่บทเรียนการรัฐประหารล่าสุด 19 ก.ย. 2549 ได้ทำลายความชอบธรรมของกระบวนการยึดอำนาจลงไปพอสมควร กลุ่มคนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าที่จะเรียกร้องให้กลับมาอีก
การเดินตามระบอบประชาธิปไตย...ที่ผู้นำมาจากเลือกตั้ง จึงเป็นเกราะป้องกันและประคับประคองให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอยู่ในเส้นทางโอกาส ต่อไป "อีกระยะ"
เหตุที่บอกว่า "อีกระยะ"...เพราะโดยเนื้อแท้ประชาธิปไตยแบบไทยแล้ว ไม่ได้การันตีเสมอไปว่า"รัฐประหาร"จะดับสูญจากสยามประเทศ ถามใครเวลานี้ก็ไม่เชื่อ หลังจากที่หลงเชื่อไปครั้งหนึ่งแล้วก่อน 19 ก.ย.2549
เพราะเหตุผลและความชอบธรรม..สามารถหาได้ในสายลม ความชอบธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าการยึดอำนาจแต่ละครั้ง จะทำให้"คนเชื่อ"ได้อย่างไรมากกว่า และดูเหมือนว่าปมหรือเบื้องหลังของตระกูลชินวัตร นั้นมีมูลที่จะนำไปสู่ความเชื่อได้ไม่ยากนัก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่อมทราบดี การ"ถอย"พ.ร.ฎ.อภัยโทษ คือการอ่านเกมที่ถูกต้อง เพราะหากยิ่งดันทุรังต่อไป ไม่ได้หายไปเฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเท่านั้น แต่อาจจะนำไปสู่"ถอน"อำนาจขั้วทักษิณ อีกรอบหนึ่ง
แม้ว่าโดยรวมคนส่วนใหญ่ยังต้องการปกป้องระบบประชาธิปไตย และให้โอกาสรัฐบาลเดินหน้าต่อ...แต่ในทางกลับหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถ"ยกระดับ"ตัวเองขึ้นมาได้ ก็อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงได้เช่นกัน
การปรับคณะรัฐมนตรี ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถต่ออายุ ลดแรงกดดันไปได้ระยะหนึ่ง...แต่ไม่เสถียรอย่างแน่นอน หากนายกรัฐมนตรี ยังชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
ที่สำคัญไปกว่านั้น ในระยะยาว ซึ่งเป็นช่วงรอยแต่แห่งอำนาจเช่นนั้น...ผู้ที่เหมาะสมที่สุด จะประคับประคองอำนาจของกลุ่มได้ต่อไป ก็มีเพียง "ทักษิณ ชินวัตร" เท่านั้น ถึงจะเอาอยู่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////
ปากแข็งขาสั่น !!?
มาร์ค อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนสำคัญ
แถไปได้อย่างเต็มร้อย
กล่าวหา มีการบีบ และกดดัน คณะกรรมการสอบสวนคดีสังหารหมู่ประชาชน ๙๑ ศพ ..ดูลีลา แห่งการเอนจอย
ไม่ยอมรับสักหน่อย ต่อความเป็นจริงที่แตกดังโป๊ะ....ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นใด ผลแห่งการสอบสวน ย่อมออกตามรูปคดี
ความจริงถูกหมกมานาน...พอความจริงแตกเท่านั้น..ไหง,กรรมการถึงถูกเฉ่งปี้
+++++++++++++++++++++++++++
หมดช่วงนาทีทอง
ไม่มีเวลา ของ “รัฐมนตรีไม้ประดับ” แล้วล่ะพี่น้อง
เมื่อรัฐมนตรีคุมสื่อ สาวบริสุทธิ์ สวยเช็งกะเด๊ะ “กฤษณา สีหลักษณ์” ผลงานไม่เข้าตากรรมการ
โดนรุสต๊อก ให้ออกพ้นจากตำแหน่ง คงถูกใจชาวบ้าน
ปล่อยให้ “สื่อในคราบโจร” รุมยำ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันละสามเวลา จนเสียศูนย์
คุมสื่อถ่อยไม่ได้....เมื่อถูกปรับโยกออกไป?...จึงถูกใจหลายฝ่ายสิคุณ
+++++++++++++++++++++++++++
๘ อรหันต์ทองคำ
นัยว่า, อยู่ในข่าย ที่จะหลุดจากห้วงอำนาจ สนามแม่เหล็ก..พ้นจากตำแหน่งไปอย่างชอกช้ำ
ได้แต่เห็นใจ “คุณพี่กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์” รมช.คมนาคม ที่จะเป็น “มิสเตอร์ปิ๋ว” หิ้วกระเป๋ากลับบ้าน ในการปรับคณะรัฐมนตรี
เป็นการล้างหน้าไพ่ใหม่ เพื่อให้ “รัฐบาลปู” เดินหน้าอย่างเต็มที่
ได้แต่บอกว่า, เสียดาย “รัฐมนตรีกิตติศักดิ์” ที่ต้องมาออกกันกลางอากาศ พร้อมกับรัฐมนตรีอีก ๘ คน ที่ถูกเช็คบิล
ถึงจะมาเป็นรัฐมนตรีช่วงสั้นๆ...แต่ก็ได้โชว์ผลงาน..การบริหารเอาไว้อย่างเหลือกิน
+++++++++++++++++++++++++++
เป็น “ลูกไล่”กองทัพ
ไม่เสียดาย.... หาก “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม ต้องใส่เกียร์ถอยหลัง ออกไปสิครับ
เป็นผู้นำจ่าฝูง แห่ง ๓ เหล่าทัพ....กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ..แต่ผลงงานกับลื่นไหล ไปอยู่ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายใหญ่ทัพบก จนคนฮือกันเกรียว
“รัฐมนตรีกลาโหม” ต้องเฉียบขาด สั่งการฉับไว ..ถึงจะสมกับเป็น “กระบี่มือเดียว”
กลับไปเลี้ยงหลาน ไขว้เปลกล่อมโอ้ระเห่เหลน อยู่ที่บ้านจึงเหมาะกว่า
จุดเด่นของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์”..ท่านมีเอกลักษณ์?...หักใครไม่เป็น จึงต้องไปตามกาลเวลา
+++++++++++++++++++++++++++
แข็งโป๊กกว่าใคร
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ผู้ยิ่งใหญ่
ถูกแซะ ถูกใส่ไฟ...ใครก็ล้มท่านไม่อยู่
ยังนั่งบัญชาการรบ เป็น “เจ้ากระทรวงหูกวาง” ใหญ่อู้ฟู่
เป็น “รัฐมนตรี” ที่โดนเจาะยางมากที่สุด...แต่ใคร ก็โค่นท่านลงจากอำนาจ ไม่ได้เสียที
เป็นรัฐมนตรีที่เนื้อหอม...โดนเล่นสะบักสะบอม?...งอมพระราม แต่ยังยึดตำแหน่งได้อยู่ดี
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
แถไปได้อย่างเต็มร้อย
กล่าวหา มีการบีบ และกดดัน คณะกรรมการสอบสวนคดีสังหารหมู่ประชาชน ๙๑ ศพ ..ดูลีลา แห่งการเอนจอย
ไม่ยอมรับสักหน่อย ต่อความเป็นจริงที่แตกดังโป๊ะ....ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นใด ผลแห่งการสอบสวน ย่อมออกตามรูปคดี
ความจริงถูกหมกมานาน...พอความจริงแตกเท่านั้น..ไหง,กรรมการถึงถูกเฉ่งปี้
+++++++++++++++++++++++++++
หมดช่วงนาทีทอง
ไม่มีเวลา ของ “รัฐมนตรีไม้ประดับ” แล้วล่ะพี่น้อง
เมื่อรัฐมนตรีคุมสื่อ สาวบริสุทธิ์ สวยเช็งกะเด๊ะ “กฤษณา สีหลักษณ์” ผลงานไม่เข้าตากรรมการ
โดนรุสต๊อก ให้ออกพ้นจากตำแหน่ง คงถูกใจชาวบ้าน
ปล่อยให้ “สื่อในคราบโจร” รุมยำ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันละสามเวลา จนเสียศูนย์
คุมสื่อถ่อยไม่ได้....เมื่อถูกปรับโยกออกไป?...จึงถูกใจหลายฝ่ายสิคุณ
+++++++++++++++++++++++++++
๘ อรหันต์ทองคำ
นัยว่า, อยู่ในข่าย ที่จะหลุดจากห้วงอำนาจ สนามแม่เหล็ก..พ้นจากตำแหน่งไปอย่างชอกช้ำ
ได้แต่เห็นใจ “คุณพี่กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์” รมช.คมนาคม ที่จะเป็น “มิสเตอร์ปิ๋ว” หิ้วกระเป๋ากลับบ้าน ในการปรับคณะรัฐมนตรี
เป็นการล้างหน้าไพ่ใหม่ เพื่อให้ “รัฐบาลปู” เดินหน้าอย่างเต็มที่
ได้แต่บอกว่า, เสียดาย “รัฐมนตรีกิตติศักดิ์” ที่ต้องมาออกกันกลางอากาศ พร้อมกับรัฐมนตรีอีก ๘ คน ที่ถูกเช็คบิล
ถึงจะมาเป็นรัฐมนตรีช่วงสั้นๆ...แต่ก็ได้โชว์ผลงาน..การบริหารเอาไว้อย่างเหลือกิน
+++++++++++++++++++++++++++
เป็น “ลูกไล่”กองทัพ
ไม่เสียดาย.... หาก “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม ต้องใส่เกียร์ถอยหลัง ออกไปสิครับ
เป็นผู้นำจ่าฝูง แห่ง ๓ เหล่าทัพ....กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ..แต่ผลงงานกับลื่นไหล ไปอยู่ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายใหญ่ทัพบก จนคนฮือกันเกรียว
“รัฐมนตรีกลาโหม” ต้องเฉียบขาด สั่งการฉับไว ..ถึงจะสมกับเป็น “กระบี่มือเดียว”
กลับไปเลี้ยงหลาน ไขว้เปลกล่อมโอ้ระเห่เหลน อยู่ที่บ้านจึงเหมาะกว่า
จุดเด่นของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์”..ท่านมีเอกลักษณ์?...หักใครไม่เป็น จึงต้องไปตามกาลเวลา
+++++++++++++++++++++++++++
แข็งโป๊กกว่าใคร
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ผู้ยิ่งใหญ่
ถูกแซะ ถูกใส่ไฟ...ใครก็ล้มท่านไม่อยู่
ยังนั่งบัญชาการรบ เป็น “เจ้ากระทรวงหูกวาง” ใหญ่อู้ฟู่
เป็น “รัฐมนตรี” ที่โดนเจาะยางมากที่สุด...แต่ใคร ก็โค่นท่านลงจากอำนาจ ไม่ได้เสียที
เป็นรัฐมนตรีที่เนื้อหอม...โดนเล่นสะบักสะบอม?...งอมพระราม แต่ยังยึดตำแหน่งได้อยู่ดี
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
ค้นบ้านปลัดหาเส้นทางเงิน ลาว ส่งซิกไทยรวบ โก้. ได้แน่ !!?
เฉลิม' ย้ำมหากาพย์ปล้นสะท้านกรุง ไม่เกี่ยวกองทัพชี้โปลิศเพื่อนบ้านส่งสัญญาณข่าวดี จับ “ไอ้โก้” หัวโจกสำคัญได้แน่ พร้อมปูด “ระบบโพยก๊วน” ตัวกลางนักการเมืองมีเอี่ยว ลอบใช้บริการส่งทรัพย์สินไปฟอกยังต่างประเทศ แฉกลุ่มนี้ ใน กทม. มีแหล่งใหญ่อยู่ 9 แห่ง ฝังตัวมั่งคั่งย่านใจกลางเมือง ป.ป.ช. นำหมายศาลลุยค้นบ้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” แต่เช้าตรู่ เก็บหลักฐานเส้นทางเงินปริศนา ขณะที่เจ้าตัวกำลังตักบาตรสบายใจ ห้ามสื่อ-ตำรวจเข้า ด้าน ผบช.น. ระบุเรียกสอบปากคำ 7 ธ.ค. ทีมคลี่คลายคดีเผยเสี่ยโรงไม้ฝั่งลาว อดีตเป็นตำรวจป่าไม้ ก่อนลาออกจากราชการ อาสาพา หนีตะเข็บชายแดนตรงข้ามมุกดาหาร สั่งชุดจับกุมซุ่มโป่งตะครุบตัวแล้ว
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้าย บุกปล้นบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กวาดทรัพย์สินไปหลายร้อยล้านบาท ช่วงค่ำของวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 29 พ.ย. เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำโดย นายวรวิทย์ สุขบุญ ผู้ช่วยเลขาสำนักงาน ป.ป.ช. พร้อมหมายศาลเข้าค้น บ้านเลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวง-เขตวังทองหลาง ของนายสุพจน์ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมคดีปล้นเงินสะท้านกรุง เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้เข้าตรวจค้นส่วนต่าง ๆ ภายในบ้านพัก ขณะที่นายสุพจน์กำลังใส่บาตรตามปกติอยู่หน้าบ้าน โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปในบ้านแต่อย่างใด
หลังจากนั้น พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.วังทองหลาง ที่ดูแลคดีนี้ ได้เดินทางมายังสถานที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย แต่ไม่ได้เข้าไปยังภายในบ้าน เนื่องจากคณะเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการสอบสวนคดี กำลังตรวจสอบภายในบ้านของนายสุพจน์อยู่ จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ สว.สส. จัดกำลังดูแลอย่างเข้มงวดบริเวณรอบบ้าน ที่เป็นบ้านเดี่ยว 2 หลัง ปลูกแยกกันในรั้วเดียว และฝั่งตรงข้ามก็เป็นบ้านพักรับรองแขก ทั้งนี้บริเวณหลังบ้านเป็นลานกว้าง และภายในยังมีรถยี่ห้อหรูต่าง ๆ จอดอยู่ 7 คัน โดยปากซอยมีอพาร์ตเมนต์สูง 6 ชั้นตั้งอยู่ ซึ่งตรงกับที่ผู้ต้องหาให้การไว้ว่าเช่ารายวัน เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในบ้านก่อนจะลงมือปล้น
ต่อมาเวลา 12.40 น. นายวรวิทย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้เดินทางกลับออกมา พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการ ขอหมายค้นจากศาลอาญาเพื่อเข้าทำการตรวจค้นบ้านของนายสุพจน์ ซึ่งศาลก็ได้อนุมัติหมาย จึงเข้ามาทำการตรวจค้นตั้งแต่เวลา 06.30 น. โดยใช้เวลาประมาณกว่า 5 ชั่วโมง เบื้องต้นทำการตรวจค้นบ้าน 2 หลัง คือบ้านเลขที่ 77 และบ้านเลขที่ 29 เพื่อหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับทางคดี แต่ยังไม่ได้ทำการสอบปากคำนายสุพจน์ และบุคคลภายในบ้านแต่อย่างใด ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี อีกทั้งได้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ไม่สามารถบอกถึงรายละเอียดการเข้าตรวจสอบได้ หลังจากนี้จะนำข้อมูลที่ได้จากการเข้าตรวจค้นทั้งหมด กลับไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาต่อไป ส่วนจะเรียกตัวนายสุพจน์มาสอบปากคำเมื่อใด จะต้องรอทาง ป.ป.ช. ประชุมหารือกันอีกครั้ง
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นาย กล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า จากการตรวจค้นบ้านพักนายสุพจน์ ได้ยึดเอกสารหลักฐานทางการเงินและวัตถุพยานบางอย่าง เพื่อนำมาตรวจสอบประกอบการไต่สวน นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังได้มีคำสั่งอายัดเงินและทรัพย์สินของกลาง เป็นเงินสดกว่า 18 ล้านบาท และทองคำอีก 10 บาท ซึ่งตำรวจยึดได้จากของกลางคนร้าย และหากตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายและยึดเงินของกลางได้เพิ่มเติม ป.ป.ช. ก็จะประสานขออายัดต่อไปด้วย โดยได้ทำหนังสือแจ้งกับพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลางแล้ว นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในบ้าน ยังพบเงินสดบางส่วนที่อยู่ในลักษณะเป็นซองเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเบี้ยประชุมต่าง ๆ ที่นายสุพจน์ได้รับมา ซึ่ง ป.ป.ช. ไม่ได้ดำเนินการยึดเงินส่วนนี้ ส่วนการเรียกตัวนายสุพจน์มาชี้แจงนั้น ก็ต้องเป็นขั้นตอนที่ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการอยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจค้นไม่พบเงินสดจำนวนมากตามที่เป็นข่าว รวมถึงทรัพย์สินอื่นที่มีความผิดปกติเพิ่มเติมจากเดิม แต่ก็ได้มีการเก็บเอกสารเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ในสมัยที่นายสุพจน์เป็นปลัดกระทรวงคมนาคมซึ่งนำไปเก็บไว้ที่บ้าน โดยจะมีการนำมาตรวจสอบ พร้อมกับสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อหาความเชื่อมโยงในการหาเส้นทางเงินผิดปกติต่อไป
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช. น.)พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวว่า ข่าวลือที่ว่าตำรวจลาวจับกุมตัวนายวีระศักดิ์ไว้แล้วนั้นไม่เป็นความจริง แต่ยืนยันได้ว่านายวีระศักดิ์ ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศลาว บริเวณตะเข็บชายแดน ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีคนพบเห็นนายวีระศักดิ์จริง แต่หลบหนีไปจากพื้นที่ นอกจากนี้ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.บก.สส.บช.น. ลงพื้นที่เพื่อร่วมติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาด้วย ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ยังหลบหนีอยู่นั้น ขณะนี้ก็ยังเร่งติดตามอยู่ แต่ขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ไป ทำให้ยากต่อการติดตาม
พล.ต.ท.วินัย กล่าวต่อไปว่า ด้านนาย สุพจน์จะเรียกเข้ามาสอบสวนเรื่องเงินที่ถูกปล้นไป ในวันที่ 7 ธ.ค. แต่ยังไม่ระบุสถานที่ ซึ่งหากนายสุพจน์ต้องการให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำที่บ้านก็สามารถแจ้งได้ ทั้งนี้เงินของกลางที่ตำรวจไปตามยึดมาได้กว่า 18 ล้านบาท ยังคงอายัดเก็บไว้ภายใน สน.วังทองหลาง ซึ่งหากทาง ป.ป.ช. ต้องการนำไปตรวจสอบก็สามารถทำเรื่องมาได้
ด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ได้แบ่งกำลังชุดคลี่คลายคดี ของ บช.ภ. 4 ออกเป็น 6 ชุด ได้แก่เจ้าหน้าที่ชุดสืบของจังหวัด 5 ชุด ประกอบไปด้วยจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร รวมทั้งชุดสืบของภูธรภาค 4 โดยเน้นย้ำให้ทั้งหมดเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของนายวีระศักดิ์ อีกทั้งกระแสข่าวที่ว่าทางภรรยาและญาติของนายวีระศักดิ์ติดต่อเข้ามา เพื่อขอเจรจากับเจ้าตัวให้เข้ามอบตัวนั้น ยืนยันว่ายังไม่ได้รับการติดต่อแต่อย่างใด ส่วนของเงินที่เหลือที่คาดว่าน่าจะซุกซ่อนอยู่ในฝั่งไทย ก็ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนในแต่ละจังหวัดลงไปตรวจสอบ และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริเวณด่านตรวจตะเข็บชายแดนจ.เลย หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร และนครพนม พร้อมเพิ่มจุดตรวจจังหวัดละ 5 จุด ตรวจเข้มงวดตลอด 24 ชั่วโมง และตรวจความเคลื่อนไหวอย่างละเอียดภายในกล้องวงจรปิดทุกตัว ที่ติดไว้ตามจุดตรวจต่าง ๆ ประจำด่านตรวจ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ซ่อนเงินแต่อย่างใด
แหล่งข่าวฝ่ายสืบสวนรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ชุดคลี่คลายคดี ได้ลงพื้นที่แกะรอยเพื่อหาที่กบดานของนายวีระศักดิ์ และได้มีข้อมูลยืนยันจากพ่อค้าไม้ในฝั่งลาวว่า มีผู้พบเห็นเจ้าตัวนั่งรถไปกับเสี่ยโม่ง เจ้าของกิจการโรงไม้ขนาดใหญ่ในเมืองหินบูน แขวงคำม่วน โดยเสี่ยโม่งนี้รายงานเบื้องลึกพบว่าเป็นถึงอดีตตำรวจป่าไม้ลาว ต่อมาได้ออกจากราชการ มาเปิดกิจการโรงไม้ ซึ่งถือเป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางในพื้นที่ อีกทั้งมีผู้พบเห็นนายวีระศักดิ์ ไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในแขวงสะหวันนะเขตหรือแขวงสุวรรณเขต ฝั่งตรงข้ามกับ จ.มุกดาหาร จากนั้นก็ได้ย้อนกลับไปที่เมืองท่าแขก ก่อนที่จะเข้าไปย่านสะหวัน-เซโน ซึ่งย่านดังกล่าวถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและลาว ได้ประสานความร่วมมือลงพื้นที่ เฝ้าประกบอย่างใกล้ชิดแล้ว คาดว่าจะได้ตัวในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ตำรวจ บก.ภ.จว.กาญจนบุรี ยังได้ลงพื้นที่ตั้งจุดตรวจตามแนวชายแดน เพื่อตรวจความเคลื่อนไหวอย่างละเอียด เนื่องจากภรรยานายวีระศักดิ์และลูก 2 คน ยังอยู่ในพื้นที่ เกรงว่าเจ้าตัวจะแอบเดินทางกลับมาหาครอบครัวด้วย
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายสงสัยเรื่องสีเขียว มีเอี่ยวปล้นบ้านปลัดฯคมนาคมว่า ตนพูดเรื่องนี้ว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องของผลประโยชน์โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ได้บอกว่ากลุ่มคนสีเขียวมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่รู้ว่าผู้สื่อข่าวเอาไปรายงานข่าวได้อย่างไรว่าตนหมายถึงทหาร ซึ่งเป็นการไปหาเรื่องให้ตน ส่วนการติดตามจับกุมตัวนายวีระศักดิ์ หรือโก้ ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ซึ่งกำลังหลบหนีอยู่ในประเทศลาว พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ผบช.ภ.4 ได้รายงานให้ทราบว่าตำรวจของลาว แจ้งมาว่าจะได้ข่าวดีเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องการจับตัวนายวีระศักดิ์ได้ แต่ไม่ทราบว่าขณะนี้นายวีระศักดิ์ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ส่วนการที่ตนเป็นห่วงว่านายวีระศักดิ์อาจจะถูกฆ่าปิดปากนั้น ก็เพราะรู้ข้อมูลภายในจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับตำรวจ นอกจากนี้ยังมีเบาะแสว่านักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ได้ลักลอบทยอยนำเงินส่งไปยังประเทศที่มีเสรีทางการเงิน ผ่านระบบโพยก๊วน ที่ขณะนี้มีกลุ่มโพยก๊วนเจ้าใหญ่ ๆ ในกรุงเทพมหานคร 9 ราย แบ่งเป็นในเขตบางรัก 2 ราย ย่านเยาวราช 2 ราย ประตูน้ำ 3 ราย และพลับพลาไชยอีก 2 ราย ทำให้มีนักการเมืองบางคนสามารถนำเงินไปซื้อบ้านพักในประเทศอังกฤษ ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นที่ทราบกันดี แต่ตนไม่สามารถระบุชื่อได้ว่าเป็นใคร เพราะอาจถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้ เตือนระวังตายยกแก๊ง ทั้งนี้ในส่วนของคดีนายสุพจน์ เรื่องของความร่ำรวยผิดปกติ ขณะนี้ ป.ป.ช. และ ปปง. ทำงานได้ดี เชื่อว่าถ้าสืบจากก้อนเงินและทรัพย์สินก็คงได้อะไรมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระบบโพยก๊วน เป็นระบบการโอนเงินนอกระบบไม่ผ่านธนาคาร ที่หลีกเลี่ยงกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ มีการพัฒนามาจากชาวจีนที่มาอาศัยและทำมาหากินอยู่ในประเทศไทยในสมัยโบราณ โดยรูปแบบจะต้องมีพ่อค้าการเงินนอกระบบหรือตัวแทนหักบัญชี คอยทำหน้าที่เป็นคนกลางเสมือนเป็นนายธนาคาร ในการรับโอนหรือส่งมอบเงินให้แก่บุคคลที่ผู้ใช้บริการโพยก๊วนระบุ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ใช้บริการโพยก๊วนเอง หรือบุคคลอื่น ๆ ที่ผู้ใช้โพยก๊วนระบุไว้ก็ได้ ผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินจากวิธีการนี้ ต้องมีหลักฐานการรับเงินหรือโพยเท่านั้น ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับที่ตกลงกันระหว่างผู้ใช้บริการกับตัวแทนหักบัญชี โดยปลายทางที่โอนเงินไปนั้น จะนำหลักฐานเหล่านี้ไปรับเงินกับตัวแทนแต่ละสาขาประเทศ ลักษณะคล้ายโอนลอยเขียนยอดเงินในแผ่นกระดาษ นำเงินสดให้ตัวแทนหักบัญชีต้นทาง และไปรับเงินสดปลายทางอีกทอดหนึ่ง ซึ่งวิธีการนี้เงินจะไม่มีการเข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ จึงเป็นแหล่งที่ขบวนการฟอกเงินชอบใช้บริการ
ขณะที่ นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนายสุพจน์ ของกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมนัดแรกว่า ที่ประชุมมีมติให้ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ธ.ค. เพื่อขอข้อมูลการสอบสวนมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ และคาดว่าทางเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลกลับมาให้ได้ในวันที่ 9 ธ.ค. ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 ธ.ค. จากนั้นจะเชิญนายสุพจน์ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยคณะกรรมการจะวิเคราะห์ข้อมูลจากตำรวจและนายสุพจน์เป็นหลัก เพราะขณะนี้มีเพียงข้อมูลการให้ปากคำจากผู้ต้องหา และข้อมูลยังไม่ตรงกัน ทั้งนี้หากพบว่ามีความผิดจะส่งเรื่องให้ รมว.คมนาคม ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป
ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา มี นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี เป็นประธาน ได้พิจารณากรณีโจรบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ โดยเชิญ พล.ต.ต.สุธีร์ ผบก.น.4 และ พ.ต.อ.ธวัช ผกก.วังทองหลาง เข้าชี้แจง ความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน นายเกชากล่าวว่า พล.ต.ต.สุธีร์ ชี้แจงว่าในทางคดีมีความคืบหน้าพอสมควร เหลือคนร้ายอีกเพียง 3 รายที่ตำรวจกำลังไล่ล่าจับกุมโดยเฉพาะ นายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊ง อีกทั้งในสัปดาห์หน้านายสุพจน์จะเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะเชิญตำรวจเข้าชี้แจงอีกครั้งในวันที่ 13 ธ.ค. ก่อนจะเชิญ ป.ป.ช. และ ปปง. เข้าชี้แจงถึงเส้นทางเงินดังกล่าว แล้วจึงเชิญนายสุพจน์เข้าชี้แจงต่อไป ส่วนกรณีข้อสังเกตเงินดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ นั้น ต้องรอดูผลการสอบสวนของทางตำรวจ เส้นทางการเงิน ป.ป.ช. และ ปปง. ก่อน จึงจะทราบว่าเงินดังกล่าวเกี่ยวพันกับการประมูลสัญญาโครงการรัฐหรือไม่ นอกจากนี้ยังจะขอมติจากที่ประชุมเพื่อเชิญหน่วยงาน หรืออาจรวมถึงบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าชี้แจงด้วย.
ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentId=178832
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วาระครม.วันนี้ ลุยอนุมัติงบเยียวยาน้ำท่วม !!?
เปิดแฟ้มการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้พิจารณางบเยียวยาปชช.ด้านคุณภาพชีวิต จากพิษน้ำท่วม 1.9 หมื่นล้านเยียวยาโครงสร้างพื้นฐานอีก 1.2หมื่นล้าน
เริ่มจากคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ที่มี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะเสนอให้ที่ประชุมอนุมัติโครงการเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (กคฐ.) และโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านคุณภาพชีวิต(กคช.) รวมทั้งสิ้น 203 โครงการ งบประมาณรวม 19,787.403 ล้านบาท
สำหรับแผนงานโครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (กคฐ.) ประกอบด้วย 5 โครงการ วงเงินรวม 12,983.629 ล้านบาท คือ ด้านคมนาคมขนส่ง วงเงินงบประมาณ 4,444.523 ล้านบาท ด้านสถานที่ราชการและระบบสาธารณูปโภค วงเงินงบประมาณ 348.909 ล้านบาท ด้านศาสนาและโบราณสถาน 1,593.468 ล้านบาท ด้านสถานศึกษา 1,462.447 ล้านบาท ด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทาน 5,098.282 ล้านบาท
ส่วนโครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านคุณภาพชีวิต(กคช.) ที่จะเสนอให้ครม.พิจารณามีจำนวน 198 โครงการ งบประมาณรวม 6,803.77 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 14 โครงการ งบประมาณ 2,296.3 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 12 โครงการ งบประมาณ 778.19 ล้านบาท กระทรวงแรงงาน 6 โครงการ 1,283.02 ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5 โครงการ 130.85 ล้านบาท กระทรวงสาธาณสุข 8 โครงการ 669.40 ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย 153 โครงการ 1,645.93 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีวาระที่หน่วยงานต่างๆจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา คือ ข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน เรื่องแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2555-2559 ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนต์และวีดีทัศน์ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2555-2559 ของกระทรวงวัฒนะธรรม
ขณะที่กระทรวงการคลัง เสนอเรื่องการปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 )ฉบับที่ 20 เกี่ยวกับการนำภาคผนวกเดิมกลับมาใช้
นอกจากนั้นยังมีการพิจารณา งบประมาณเพื่อสร้างถนนสายเมียวดีพม่า-ตะนาวศรี ,การปรับค่าใช้จ่ายการศึกษานอกระบบ และการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงนักเรียนเตรียมทหาร จาก 76 บาทเป็น 106 บาท
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
มติโหวตหนุน ประชา.ฉลุยเทให้273ต่อ188เสียง ปู พูดชัดไม่ปรับครม. !!?
ประชา. ผ่านฉลุยญัตติไม่ไว้วางใจ 273 ต่อ 188 เสียง ไม่ลงคะแนน 15 เสียง งดออกเสียงอีก 5 คน เผยกลุ่ม "เนวิน" โหวตสวน ขณะที่กลุ่มมัชฌิมาโดดประชุม "น้องปู" พูดชัดยังไม่ปรับครม. เปรยรัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานดีพร้อมน้อมรับข้อบกพร่องไปแก้ไข “พิชัย” ยังไม่จบตามบี้จับโกหก “หมอวรงค์” โชว์หนังสือพ่อเมืองพิษณุโลกทำถึงปลัดมหาดไทย ยัน ส.ส.ประชาธิปัตย์บีบขอถุงยังชีพ ลั่นขัด รธน.266 แทรกแซงราชการ ขณะที่ ปชป.ตามบี้ต่อเตรียมยื่นถอดถอน ส.ส.เพื่อไทยอีก 2 คน พร้อมสั่งจับตางบฯฟื้นฟูน้ำท่วม หวั่นปากมันอีกรอบ ด้าน พท.เดินเกมลาก “มาร์ค-เทพ” ขึ้นศาลโลก ตัดสินคดี 91 ศพ ด้านดีเอสไอรับเปลี่ยนตัวพนักงานสอบคดีล้มเจ้าใหม่
มติสภาไว้วางใจ “ประชา”
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไปนัดพิเศษ มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อลงมติญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พร้อมยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาขอให้ถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ด้วย โดยรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก
ก่อนลงมติประธานได้เช็กองค์ประชุมด้วยการเสียบบัตรแสดงตน ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 489 เสียง จากนั้นประธานได้ขอให้ลงมติด้วยการเสียบบัตร ปรากฏว่าที่ประชุมลงมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา ด้วยเสียง 273 ต่อ 188 เสียง งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ทำให้เสียง ไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก ถือว่าที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา จากนั้นนายสมศักดิ์ได้สั่งปิดการประชุมทันที
15 รมต.ไม่ลงคะแนน
สำหรับผลการลงคะแนนไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชานั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในซีกรัฐบาล ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีใครแตกแถว ต่างยกมือสนับสนุน ในส่วนของรัฐมนตรีที่โหวตไม่ลงคะแนนจำนวน 15 คน ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย นางกฤษณา สีหลักษณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นางบุญรื่น ศรีธเรศ รมช.ศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรฯ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.เกษตรฯ ส่วนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ไม่แสดงตนในการโหวตลงมติ เพราะทำหน้าที่ประธานในการประชุม ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาคนที่สอง ลงมติไว้วางใจ
“ปุ-บิ๊กบัง” งดออกเสียง
ในส่วนของผู้ที่งดออกเสียง 5 เสียง ประกอบด้วย 1. นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภา คนที่หนึ่ง 2. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ 3. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ 4. นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ 5. นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
ฝ่ายค้านปัจจุบันมี ส.ส. 199 คนแต่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 188 คน หายไป 11 คน ประกอบด้วยพรรคประชา ธิปัตย์ 2 คน คือ นางนันทพร วีรกุลสุนทร ส.ส. กรุงเทพฯที่ป่วยเป็นโรคฉี่หนูรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และนายนิติรัฐ สุนทรวร ส.ส.สมุทร สาคร ส่วนพรรคภูมิใจไทย 4 คน คือ นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกุล ส.ส.สุโขทัย นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา ส.ส.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี นายรังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคมาตุภูมิ 2 เสียง คือ พล.อ. สนธิ และนายอนุมัติ เช่นเดียวกับ ร.ต.อ. ปุระชัย จากพรรครักษ์สันติ ที่งดออกเสียง รวมถึงพรรครักประเทศไทยอีก 2 เสียง คือ นายโปรดปราน โต๊ะราหนี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่มาประชุม และนายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่โหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา
ลูกน้อง“ชูวิทย์”โหวตสวน
ในส่วนของพรรครักประเทศไทย ที่มี ส.ส. 4 คนนั้น ปรากฏว่าการลงมติไม่เป็นเอกฉันท์ โดย 2 เสียงแรก คือ นายชูวิทย์และนายพงษ์ศักดิ์ เรือนเงิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงมติไม่ไว้วางใจ ในขณะที่นายชัยวัฒน์ โหวตสวนโดยลงคะแนนไว้วางใจให้กับ พล.ต.อ.ประชา ส่วนนายโปรดปรานไม่มาประชุม
นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล ส.ส.สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมา กล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ได้มาลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชาว่า ตนเข้าใจผิดว่ามีการประชุมในเวลา 10.00 น. ขณะที่ตัวเองไปพักที่ จ.ชลบุรี เพราะบ้านพักที่กรุงเทพฯน้ำยัง ท่วมอยู่จึงเดินทางมาไม่ทัน และทางพรรคก็ ไม่ได้แจ้งมาว่าจะลงมติในทิศทางใด พอมา ถึงสภาก็หาที่จอดรถอยู่นาน เขาก็ลงมติเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“น้องปู”ยังไม่ปรับ ครม.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า พล.ต.อ.ประชาตอบคำถามฝ่ายค้านในทุกข้อ ไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติมอีกจากที่เป็นข่าว ท่านให้ข้อมูลในทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัย เมื่อถามว่า คะแนนเสียงที่ออกมาจะนำไปสู่การทบทวนการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.ประชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในแง่การทำงานต้องให้กำลังใจทุกคน การทำงานไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องดีที่สุด อยากให้ดูในภาพรวมว่าทุกคนตั้งใจทำงาน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าอาจจะมีบ้างที่มีข้อบกพร่อง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาอาจทำไม่ได้ดีเท่าที่ควรซึ่งเราก็น้อมรับและจะนำข้อเสนอแนะดี ๆ มาปรับใช้ แต่ยืนยัน ว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยเจตนาที่จะช่วยเหลือประชาชน เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการพิจารณาปรับ ครม.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้
“เรื่องการปรับ ครม.ยังไม่มีแนวคิด ขอให้รัฐมนตรีได้ทำงานในส่วนของตัวเองก่อน เชื่อว่าประชาชนคลายข้อสงสัยไปได้ส่วนหนึ่ง แต่อาจมีบางส่วนที่ยังมีความข้องใจอยู่ รัฐบาลก็พยายามอธิบายให้เกิดความเข้าใจและเข้าไปดูแลเรื่องความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด
เปรยประเมินผลงานรายตัว
นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนบอกนายกฯว่าทุกวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว เมื่อเช้าก็เล่าให้ฟังว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนประทับใจการทำงานของนายกฯ ซึ่งนายกฯบอกว่าดีใจที่ทำงานเหนื่อยแล้วประชาชนเห็น เมื่อถามว่า นายกฯบอกว่าจะปรับ ครม.หรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า บอกว่ากำลังดูอยู่โดยใช้วิธีเก็บผลงานและประเมินไปเรื่อย ๆ จุดไหนงานอ่อนก็ต้องเรียกมาพูดคุยว่าต้องเร่งทำผลงาน เพราะถ้าไม่มีผลงานก็อยู่ไม่ได้
นายกฯได้โทรศัพท์หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บ้างหรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า ไม่ได้หารือ เห็นที่คุยบ่อยสุดคือ พล.ต.อ.ประชา อย่างไรก็ตามน้องไปป์ลูกชายจะเป็นคนที่ให้กำลังใจอย่างมาก อย่างบางวันกลับมาถึงบ้านก็จะเข้าไปถามว่าคุณแม่เหนื่อยไหม ตนก็จะคอยกระซิบบอกให้ลูกไปกอด นายกฯก็จะยิ้ม แต่พ่อไม่ต้อง เพราะถ้าพ่อกอดแล้วไม่ยิ้มก็จะเครียด หรือคิดว่ามาขออะไร
ปล่อยข่าวปรับ รมต.ไร้ผลงาน
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนพล.ต.อ.ประชา ส.ส.ภายในพรรคเริ่มจับกลุ่มหารือและประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า อาจมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี บางคน เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลให้ เข้มแข็ง เนื่องจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมามีบางกระทรวงทำงานได้ไม่เต็มที่หรือไม่กระตือรือร้นที่จะลงไปช่วยงาน ทำให้เกิดช่องว่างในการบริหารงานและเปิดช่องให้ฝ่ายค้านสามารถโจมตีการทำงานของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในข่ายที่จะมีการปรับเปลี่ยน อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นต้น เพราะก่อนหน้านี้ในพรรคได้มีการทำความเข้าใจในการทำงานของรัฐมนตรีไว้แล้ว หากไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นที่มีความพร้อมเข้ามาทำหน้าที่แทน
เผยหนังสือ ปชป.ขอถุงยังชีพ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ได้ให้ทีมงานส่งสำเนาหนังสือที่นายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิษณุโลก ทำหนังสือประทับตราด่วนที่สุด ที่พล 0016.2/ 26141 ลงวันที่ 28 พ.ย. 2554 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องขอชี้แจงกรณีการอภิปรายประเด็นที่พาดพิงถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า เมื่อประมาณกลางเดือน พ.ค. 54 ได้รับโทรศัพท์จาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ประสงค์ขอรับการสนับสนุนถุงยังชีพจำนวน 500 ถุง จึงได้เรียนไปว่าขณะนี้ถุงยังชีพของจังหวัดหมดแล้วไม่มีสนับสนุน
นพ.วรงค์ได้แจ้งยืนยันให้ทราบว่ายังมีถุงยังชีพอยู่ที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก อีก 500 ถุง เมื่อตรวจสอบจึงได้ทราบว่ามีอยู่จริง ซึ่งในสถานการณ์ขณะนั้นรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง หากจะปฏิเสธการสนับสนุนดังกล่าวก็เห็นว่าผู้ที่ขอร้องมาคือ ส.ส. ต้องการที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรและอาจถูกตำหนิได้ว่าไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาตให้ไปตามจำนวนเท่าที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก มีอยู่
ชี้ผิด รธน.แทรกแซงราชการ
นายพิชัย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากที่ตนชี้แจงเรื่องดังกล่าว นพ.วรงค์ได้กล่าวหาตนเองโกหกกลางสภา แต่จากเอกสารฉบับนี้เป็นการจับโกหกได้เป็นอย่างดีว่าใครกันแน่ที่พูดจริงหรือพูดเท็จ และถ้าเอาจริงนี่คือหลักฐานฟ้องว่า นพ.วรงค์มีพฤติการณ์เข้าข่ายแทรกแซง บีบบังคับการทำงานของส่วนราชการ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงตำแหน่ง ผอ.ศปภ.ว่า หากจะให้ตนเข้ามาเป็นคงไม่ได้ เพราะตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ก็เป็นประธานศูนย์อำนวยการภัยพิบัติแห่งชาติโดยตำแหน่งอยู่แล้ว เมื่อถามถึงความเหมาะสมกรณีที่มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นำสิ่งของที่นำไปบริจาคให้ประชาชน ติดป้ายชื่อให้ตัวเองจนถูกมองว่าเป็นการหาเสียง นายยงยุทธกล่าวว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีใครคิดอะไร ทุกคนต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว
“ตู่”เล็งฟ้องแพ่ง-อาญา ปชป.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการกล่าวหาตนเอง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่ากระทำการทุจริต ยักยอกทรัพย์ราชการนั้น เป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จต่อประธานวุฒิสภา ต่อประธานรัฐสภา และต่อ ป.ป.ช. ดังนั้นสัปดาห์หน้าตนจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และ 154 ส.ส.พรรคประชา ธิปัตย์ ที่ลงนามในญัตติ 2 ข้อหา คือ ฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท จากนั้นจะฟ้องคดีทางแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมนั้น ขอบอกว่าอย่าชักช้า เราทำงานช่วยเหลือประชาชนจึงไม่รู้สึกหวั่นไหว
อีกด้านหนึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการจัดซื้อถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามที่กระทรวงมหาดไทยยื่นเรื่องมาว่า จะเร่งสรุปผลสอบให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าระเบียบการใช้จ่ายเงินกองทุนที่มาจากการรับบริจาคเพื่อนำไปจัดซื้อนั้นเปิดช่องโหว่อยู่ เนื่องจากเป็นช่วงภาวะฉุกเฉินซึ่งมีข้อยกเว้นให้จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษได้
“มาร์ค”เล็งยื่นถอดถอนเพิ่ม
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึง การประเมินภาพรวมภายหลังการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชา ว่า ไม่ถือ
ว่าฝ่ายค้านเหนื่อยฟรี เราทำหน้าที่ตรวจสอบให้ประชาชนได้เห็นถึงข้อเท็จจริงในการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกระบวนการถอดถอนจะเดินหน้าต่อไป และจะมีการยื่นถอดถอน ส.ส.เพิ่มเติมด้วย กำลังดูตามข้อเท็จจริงว่าจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง และจะตรวจสอบถึงการที่เอกสารลับที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอนต่อ ป.ป.ช.รั่วไหลออกมาด้วย
นายกฯยืนยันว่าจะไม่ปรับ ครม.แสดงว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ส่งผลอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ เพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาดยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างประชาชน ดังนั้นนายกฯต้องเป็นผู้ รับผิดชอบ นอกจากนี้ตนได้กำชับ ส.ส.ของพรรคที่เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ให้ตรวจสอบการจัดสรรงบฯฟื้นฟูน้ำท่วม
“จารุพงศ์-แซม”เหยื่อรายใหม่
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคจะยื่นถอดถอดส.ส.เพื่อไทยเพิ่มเติมอีก 2 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กระทำความผิดต่อมาตรา 265-266 โดยนายจารุพงศ์ถูกแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. ส่วนนายยุรนันท์พบหลักฐานเซ็นชื่อรับของที่ ศปภ.สั่งซื้อจากเอกชน
สำหรับ ส.ส.เพื่อไทยเดิม 7 คน ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนไว้แล้วนั้น โดยในส่วนของ พล.ต.อ.ประชาได้ยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ส่วน ส.ส.อีก 6 คน แบ่งเป็น 4 ส.ส.ที่ถูกตั้งตามคำสั่ง ศปภ.เป็นกรรมการบริหารของบริจาค ขัดมาตรา 265-266 ได้แก่ นายการุณ โหสกุล นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กรุงเทพฯ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ ส่วนอีก 2 คนเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ต่อปัญหาประตูน้ำคลองสามวาและของบริจาคได้แก่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ รวม ส.ส.เพื่อไทยที่ถูกยื่นถอดถอนทั้งสิ้น 9 คน
พท.เดินเครื่องคดี 91 ศพ
ส่วนการเมืองด้านอื่นนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า การเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 91 ศพ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 เป็นความเจ็บปวดของประชาชนที่เสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวต้องมีผู้รับผิดชอบทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำหน้าที่ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
“เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย ผมจึงจะเสนอคดีดังกล่าวไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เพื่อให้ดำเนินคดี และไม่เกิดข้อครหาว่ารัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินคดีกับใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมจะเดินทางไปยังศาลโลกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 9 ธ.ค.และจะขอให้ศาลโลกรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ” นายสุนัยกล่าว
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนยื่นเรื่องต่อนายอภิสิทธิ์เมื่อปี 53 เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการเสียชีวิตของบิดา คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อมีการเสนอนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี
“มาร์ค-เทือก”พร้อมให้ปากคำ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่ อัยการให้พนักงานสอบสวนขอความร่วมมือมาให้ปากคำกรณีถูกกล่าวหาอ้างในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพเมื่อ เดือน เม.ย. 2553 ว่า ขอให้ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อเท็จจริง ส่วนหนังสือเชิญตนไปให้ปากคำเพิ่มเติมในวันที่ 2 ธ.ค.นั้น ยังไม่เห็นหนังสือ ถ้าเชิญมาก็ไม่มีปัญหา
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรอง นายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวสั้น ๆ ว่า ขอให้ส่งหนังสือเชิญมา ตอนนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือเชิญเลย
ดีเอสไอเปลี่ยนคนสอบคดีล้มเจ้า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมจะเป็นคนตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไร เจ้าหน้าที่ทุกคนทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ส่วนกลุ่มมวลชนสีต่าง ๆ จะออกมาชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ทำอย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม หาวิธีการอื่นแก้ปัญหาน่าจะดีกว่า
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงกรณีดีเอสไอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้าว่า มีการปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนบางคนจริงแต่ไม่ได้เปลี่ยนทั้งชุด เป็นไปตามคำสั่งของ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยดีเอสไอมีคำสั่งแต่งตั้ง พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมเป็นชุดพนักงานสอบสวนด้วย.
ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=178616
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////
มติสภาไว้วางใจ “ประชา”
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไปนัดพิเศษ มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อลงมติญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล พร้อมยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาขอให้ถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ด้วย โดยรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก
ก่อนลงมติประธานได้เช็กองค์ประชุมด้วยการเสียบบัตรแสดงตน ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 489 เสียง จากนั้นประธานได้ขอให้ลงมติด้วยการเสียบบัตร ปรากฏว่าที่ประชุมลงมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา ด้วยเสียง 273 ต่อ 188 เสียง งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ทำให้เสียง ไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก ถือว่าที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา จากนั้นนายสมศักดิ์ได้สั่งปิดการประชุมทันที
15 รมต.ไม่ลงคะแนน
สำหรับผลการลงคะแนนไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชานั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในซีกรัฐบาล ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีใครแตกแถว ต่างยกมือสนับสนุน ในส่วนของรัฐมนตรีที่โหวตไม่ลงคะแนนจำนวน 15 คน ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย นางกฤษณา สีหลักษณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นางบุญรื่น ศรีธเรศ รมช.ศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรฯ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รมช.เกษตรฯ ส่วนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ไม่แสดงตนในการโหวตลงมติ เพราะทำหน้าที่ประธานในการประชุม ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาคนที่สอง ลงมติไว้วางใจ
“ปุ-บิ๊กบัง” งดออกเสียง
ในส่วนของผู้ที่งดออกเสียง 5 เสียง ประกอบด้วย 1. นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภา คนที่หนึ่ง 2. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ 3. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ 4. นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ 5. นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
ฝ่ายค้านปัจจุบันมี ส.ส. 199 คนแต่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 188 คน หายไป 11 คน ประกอบด้วยพรรคประชา ธิปัตย์ 2 คน คือ นางนันทพร วีรกุลสุนทร ส.ส. กรุงเทพฯที่ป่วยเป็นโรคฉี่หนูรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และนายนิติรัฐ สุนทรวร ส.ส.สมุทร สาคร ส่วนพรรคภูมิใจไทย 4 คน คือ นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกุล ส.ส.สุโขทัย นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา ส.ส.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี นายรังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคมาตุภูมิ 2 เสียง คือ พล.อ. สนธิ และนายอนุมัติ เช่นเดียวกับ ร.ต.อ. ปุระชัย จากพรรครักษ์สันติ ที่งดออกเสียง รวมถึงพรรครักประเทศไทยอีก 2 เสียง คือ นายโปรดปราน โต๊ะราหนี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่มาประชุม และนายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่โหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา
ลูกน้อง“ชูวิทย์”โหวตสวน
ในส่วนของพรรครักประเทศไทย ที่มี ส.ส. 4 คนนั้น ปรากฏว่าการลงมติไม่เป็นเอกฉันท์ โดย 2 เสียงแรก คือ นายชูวิทย์และนายพงษ์ศักดิ์ เรือนเงิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงมติไม่ไว้วางใจ ในขณะที่นายชัยวัฒน์ โหวตสวนโดยลงคะแนนไว้วางใจให้กับ พล.ต.อ.ประชา ส่วนนายโปรดปรานไม่มาประชุม
นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล ส.ส.สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมา กล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ได้มาลงคะแนนเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชาว่า ตนเข้าใจผิดว่ามีการประชุมในเวลา 10.00 น. ขณะที่ตัวเองไปพักที่ จ.ชลบุรี เพราะบ้านพักที่กรุงเทพฯน้ำยัง ท่วมอยู่จึงเดินทางมาไม่ทัน และทางพรรคก็ ไม่ได้แจ้งมาว่าจะลงมติในทิศทางใด พอมา ถึงสภาก็หาที่จอดรถอยู่นาน เขาก็ลงมติเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“น้องปู”ยังไม่ปรับ ครม.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า พล.ต.อ.ประชาตอบคำถามฝ่ายค้านในทุกข้อ ไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติมอีกจากที่เป็นข่าว ท่านให้ข้อมูลในทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัย เมื่อถามว่า คะแนนเสียงที่ออกมาจะนำไปสู่การทบทวนการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.ประชาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในแง่การทำงานต้องให้กำลังใจทุกคน การทำงานไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องดีที่สุด อยากให้ดูในภาพรวมว่าทุกคนตั้งใจทำงาน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าอาจจะมีบ้างที่มีข้อบกพร่อง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาอาจทำไม่ได้ดีเท่าที่ควรซึ่งเราก็น้อมรับและจะนำข้อเสนอแนะดี ๆ มาปรับใช้ แต่ยืนยัน ว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยเจตนาที่จะช่วยเหลือประชาชน เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการพิจารณาปรับ ครม.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้
“เรื่องการปรับ ครม.ยังไม่มีแนวคิด ขอให้รัฐมนตรีได้ทำงานในส่วนของตัวเองก่อน เชื่อว่าประชาชนคลายข้อสงสัยไปได้ส่วนหนึ่ง แต่อาจมีบางส่วนที่ยังมีความข้องใจอยู่ รัฐบาลก็พยายามอธิบายให้เกิดความเข้าใจและเข้าไปดูแลเรื่องความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด
เปรยประเมินผลงานรายตัว
นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนบอกนายกฯว่าทุกวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว เมื่อเช้าก็เล่าให้ฟังว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนประทับใจการทำงานของนายกฯ ซึ่งนายกฯบอกว่าดีใจที่ทำงานเหนื่อยแล้วประชาชนเห็น เมื่อถามว่า นายกฯบอกว่าจะปรับ ครม.หรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า บอกว่ากำลังดูอยู่โดยใช้วิธีเก็บผลงานและประเมินไปเรื่อย ๆ จุดไหนงานอ่อนก็ต้องเรียกมาพูดคุยว่าต้องเร่งทำผลงาน เพราะถ้าไม่มีผลงานก็อยู่ไม่ได้
นายกฯได้โทรศัพท์หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บ้างหรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า ไม่ได้หารือ เห็นที่คุยบ่อยสุดคือ พล.ต.อ.ประชา อย่างไรก็ตามน้องไปป์ลูกชายจะเป็นคนที่ให้กำลังใจอย่างมาก อย่างบางวันกลับมาถึงบ้านก็จะเข้าไปถามว่าคุณแม่เหนื่อยไหม ตนก็จะคอยกระซิบบอกให้ลูกไปกอด นายกฯก็จะยิ้ม แต่พ่อไม่ต้อง เพราะถ้าพ่อกอดแล้วไม่ยิ้มก็จะเครียด หรือคิดว่ามาขออะไร
ปล่อยข่าวปรับ รมต.ไร้ผลงาน
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนพล.ต.อ.ประชา ส.ส.ภายในพรรคเริ่มจับกลุ่มหารือและประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า อาจมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี บางคน เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลให้ เข้มแข็ง เนื่องจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมามีบางกระทรวงทำงานได้ไม่เต็มที่หรือไม่กระตือรือร้นที่จะลงไปช่วยงาน ทำให้เกิดช่องว่างในการบริหารงานและเปิดช่องให้ฝ่ายค้านสามารถโจมตีการทำงานของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในข่ายที่จะมีการปรับเปลี่ยน อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นต้น เพราะก่อนหน้านี้ในพรรคได้มีการทำความเข้าใจในการทำงานของรัฐมนตรีไว้แล้ว หากไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นที่มีความพร้อมเข้ามาทำหน้าที่แทน
เผยหนังสือ ปชป.ขอถุงยังชีพ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ได้ให้ทีมงานส่งสำเนาหนังสือที่นายปรีชา เรืองจันทร์ ผวจ.พิษณุโลก ทำหนังสือประทับตราด่วนที่สุด ที่พล 0016.2/ 26141 ลงวันที่ 28 พ.ย. 2554 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องขอชี้แจงกรณีการอภิปรายประเด็นที่พาดพิงถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยมีเนื้อหาสรุปว่า เมื่อประมาณกลางเดือน พ.ค. 54 ได้รับโทรศัพท์จาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ประสงค์ขอรับการสนับสนุนถุงยังชีพจำนวน 500 ถุง จึงได้เรียนไปว่าขณะนี้ถุงยังชีพของจังหวัดหมดแล้วไม่มีสนับสนุน
นพ.วรงค์ได้แจ้งยืนยันให้ทราบว่ายังมีถุงยังชีพอยู่ที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก อีก 500 ถุง เมื่อตรวจสอบจึงได้ทราบว่ามีอยู่จริง ซึ่งในสถานการณ์ขณะนั้นรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง หากจะปฏิเสธการสนับสนุนดังกล่าวก็เห็นว่าผู้ที่ขอร้องมาคือ ส.ส. ต้องการที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรและอาจถูกตำหนิได้ว่าไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาตให้ไปตามจำนวนเท่าที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก มีอยู่
ชี้ผิด รธน.แทรกแซงราชการ
นายพิชัย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า หลังจากที่ตนชี้แจงเรื่องดังกล่าว นพ.วรงค์ได้กล่าวหาตนเองโกหกกลางสภา แต่จากเอกสารฉบับนี้เป็นการจับโกหกได้เป็นอย่างดีว่าใครกันแน่ที่พูดจริงหรือพูดเท็จ และถ้าเอาจริงนี่คือหลักฐานฟ้องว่า นพ.วรงค์มีพฤติการณ์เข้าข่ายแทรกแซง บีบบังคับการทำงานของส่วนราชการ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงตำแหน่ง ผอ.ศปภ.ว่า หากจะให้ตนเข้ามาเป็นคงไม่ได้ เพราะตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ก็เป็นประธานศูนย์อำนวยการภัยพิบัติแห่งชาติโดยตำแหน่งอยู่แล้ว เมื่อถามถึงความเหมาะสมกรณีที่มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นำสิ่งของที่นำไปบริจาคให้ประชาชน ติดป้ายชื่อให้ตัวเองจนถูกมองว่าเป็นการหาเสียง นายยงยุทธกล่าวว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีใครคิดอะไร ทุกคนต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว
“ตู่”เล็งฟ้องแพ่ง-อาญา ปชป.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการกล่าวหาตนเอง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่ากระทำการทุจริต ยักยอกทรัพย์ราชการนั้น เป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จต่อประธานวุฒิสภา ต่อประธานรัฐสภา และต่อ ป.ป.ช. ดังนั้นสัปดาห์หน้าตนจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และ 154 ส.ส.พรรคประชา ธิปัตย์ ที่ลงนามในญัตติ 2 ข้อหา คือ ฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท จากนั้นจะฟ้องคดีทางแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมนั้น ขอบอกว่าอย่าชักช้า เราทำงานช่วยเหลือประชาชนจึงไม่รู้สึกหวั่นไหว
อีกด้านหนึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบการจัดซื้อถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามที่กระทรวงมหาดไทยยื่นเรื่องมาว่า จะเร่งสรุปผลสอบให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าระเบียบการใช้จ่ายเงินกองทุนที่มาจากการรับบริจาคเพื่อนำไปจัดซื้อนั้นเปิดช่องโหว่อยู่ เนื่องจากเป็นช่วงภาวะฉุกเฉินซึ่งมีข้อยกเว้นให้จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษได้
“มาร์ค”เล็งยื่นถอดถอนเพิ่ม
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึง การประเมินภาพรวมภายหลังการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.ต.อ.ประชา ว่า ไม่ถือ
ว่าฝ่ายค้านเหนื่อยฟรี เราทำหน้าที่ตรวจสอบให้ประชาชนได้เห็นถึงข้อเท็จจริงในการบริหารจัดการที่ผิดพลาด และมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกระบวนการถอดถอนจะเดินหน้าต่อไป และจะมีการยื่นถอดถอน ส.ส.เพิ่มเติมด้วย กำลังดูตามข้อเท็จจริงว่าจะเกี่ยวข้องกับใครบ้าง และจะตรวจสอบถึงการที่เอกสารลับที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอนต่อ ป.ป.ช.รั่วไหลออกมาด้วย
นายกฯยืนยันว่าจะไม่ปรับ ครม.แสดงว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ส่งผลอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ เพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาดยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างประชาชน ดังนั้นนายกฯต้องเป็นผู้ รับผิดชอบ นอกจากนี้ตนได้กำชับ ส.ส.ของพรรคที่เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ให้ตรวจสอบการจัดสรรงบฯฟื้นฟูน้ำท่วม
“จารุพงศ์-แซม”เหยื่อรายใหม่
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคจะยื่นถอดถอดส.ส.เพื่อไทยเพิ่มเติมอีก 2 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กระทำความผิดต่อมาตรา 265-266 โดยนายจารุพงศ์ถูกแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ผอ.ศปภ. ส่วนนายยุรนันท์พบหลักฐานเซ็นชื่อรับของที่ ศปภ.สั่งซื้อจากเอกชน
สำหรับ ส.ส.เพื่อไทยเดิม 7 คน ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนไว้แล้วนั้น โดยในส่วนของ พล.ต.อ.ประชาได้ยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ส่วน ส.ส.อีก 6 คน แบ่งเป็น 4 ส.ส.ที่ถูกตั้งตามคำสั่ง ศปภ.เป็นกรรมการบริหารของบริจาค ขัดมาตรา 265-266 ได้แก่ นายการุณ โหสกุล นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กรุงเทพฯ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ ส่วนอีก 2 คนเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ต่อปัญหาประตูน้ำคลองสามวาและของบริจาคได้แก่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ รวม ส.ส.เพื่อไทยที่ถูกยื่นถอดถอนทั้งสิ้น 9 คน
พท.เดินเครื่องคดี 91 ศพ
ส่วนการเมืองด้านอื่นนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า การเสียชีวิตของประชาชนจำนวน 91 ศพ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 เป็นความเจ็บปวดของประชาชนที่เสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวต้องมีผู้รับผิดชอบทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำหน้าที่ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
“เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย ผมจึงจะเสนอคดีดังกล่าวไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เพื่อให้ดำเนินคดี และไม่เกิดข้อครหาว่ารัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินคดีกับใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมจะเดินทางไปยังศาลโลกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 9 ธ.ค.และจะขอให้ศาลโลกรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ” นายสุนัยกล่าว
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนยื่นเรื่องต่อนายอภิสิทธิ์เมื่อปี 53 เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการเสียชีวิตของบิดา คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อมีการเสนอนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี
“มาร์ค-เทือก”พร้อมให้ปากคำ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่ อัยการให้พนักงานสอบสวนขอความร่วมมือมาให้ปากคำกรณีถูกกล่าวหาอ้างในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพเมื่อ เดือน เม.ย. 2553 ว่า ขอให้ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อเท็จจริง ส่วนหนังสือเชิญตนไปให้ปากคำเพิ่มเติมในวันที่ 2 ธ.ค.นั้น ยังไม่เห็นหนังสือ ถ้าเชิญมาก็ไม่มีปัญหา
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรอง นายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวสั้น ๆ ว่า ขอให้ส่งหนังสือเชิญมา ตอนนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือเชิญเลย
ดีเอสไอเปลี่ยนคนสอบคดีล้มเจ้า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมจะเป็นคนตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไร เจ้าหน้าที่ทุกคนทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ส่วนกลุ่มมวลชนสีต่าง ๆ จะออกมาชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ทำอย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม หาวิธีการอื่นแก้ปัญหาน่าจะดีกว่า
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงกรณีดีเอสไอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนคดีล้มเจ้าว่า มีการปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนบางคนจริงแต่ไม่ได้เปลี่ยนทั้งชุด เป็นไปตามคำสั่งของ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยดีเอสไอมีคำสั่งแต่งตั้ง พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ร่วมเป็นชุดพนักงานสอบสวนด้วย.
ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=178616
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)