--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รมว.พลังงาน ขี่ม้าสีอะไร ทำไมรัฐบาล ปู-1 ถึงกล้านัก. สั่งเลิกกองทุนเสือนอนกิน..!!?

หลังสิ้นสุดการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย...ภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ได้เริ่มหันมาทวงสัญญากับการใช้นโยบายหาเสียงแบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...จนถูกอกถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะนโยบาย “ด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ ไม่แพ้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท...เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่คนไทยไม่สามารถขาดแคลนได้ 

ขณะที่หลายรัฐบาลต่างใช้วิธีการบริหารแก้ปัญหาไม่ให้ราคาสูง สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยไม่เป็นท่า
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้สึกท้าทายกับปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศออกมาอย่างความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นทำให้ประชาชนตกตะลึงว่า...

“สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำหากได้เป็นรัฐบาล คือการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ...ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาทต่อลิตร...ทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 6.78 บาท และดีเซล ลดลง 2.20 บาท...เพราะราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ เป็นต้นทุนของทุกประเภท จะให้พ่อแม่พี่น้องมาแบกรับภาระได้อย่างไร”
แต่ปัญหาเร่งด่วนเช่นนี้...เห็นจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ ซึ่งก็คือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ โดยเป็นผู้ที่จะลงมาดูแลในส่วนของพลังงานทั้งหมด

สำหรับประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจจะมีในปริมาณค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ บางครั้งวิกฤตการณ์ของโลกอาจจะทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศไทยยังต้องมีการสั่งน้ำมันเข้าเป็นจำนวนมาก

นายพิชัย มองว่า...ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ก่อนอื่นเราต้องให้คนไทยมีพลังงานใช้กันอย่างเพียงพอ และมีคุณค่ามากที่สุด...ที่สำคัญ ประชาชนต้องใช้พลังงานเหล่านั้นอย่างมีความสุข คือ แบบสบายๆ ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

แต่ปัญหาคือ...เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไร หากตัดสินใจยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซซีเอ็นจีสำหรับเครื่องยนต์เอ็นจีวี และ แอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) จะเอาเงินมาจากไหนในการอุดหนุน
เพราะกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อดูแลเศรษฐกิจได้ แต่ที่ผ่านมามีการตรึงราคาเป็นระยะเวลานานเกินไปจนแทบจะถาวร ซึ่งหากตรึงนาน เกินไปก็ไม่ไหว เพราะจะยิ่งสูญเสียงบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผล

ในแต่ละปีประเทศไทยใช้เงินกองทุนน้ำมัน ในการอุดหนุนเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนปีละหลายหมื่นล้านบาท

หากคำนวณคร่าวๆ พบว่า...การยกเลิกเก็บเงินน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตรทำให้กองทุนฯ สูญเสียรายได้ 16 ล้านบาทต่อเดือน
ยกเลิกเก็บเบนซิน 91 สูญเสียรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท และยกเลิกเก็บดีเซล สูญเสียรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมเงินที่สูญเสียกว่า 3,416 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันกองทุนฯ มีภาระหนักในการชดเชยแอลพีจีเดือนละ 4,000 ล้านบาท และ ก๊าซซีเอ็นจี เกือบ 400 ล้านบาท

นักวิชาการและผู้ค้าน้ำมันจำนวนมากจึงขอให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาแบบรอบคอบ เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจึงไม่มีวันที่จะควบคุมได้ หากเข้าไปคุมรัฐบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเหมือนกับอดีตเข้าให้อีก
นั่นเป็นปัญหาที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน มองเห็นเป็นเส้นสายโยงใยเชื่อมถึงกัน...แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรให้ออกมาดี และยั่งยืน

จะแก้ด้วยวิธีการเอารายได้จากส่วนอื่นมารองรับ หรือ จะปฏิรูปการใช้พลังงานของคนไทยทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าพลังงานสะอาด และรณรงค์เพื่อให้เกิดการใช้

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกหนึ่งที่ดูจะสดใส และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการนั่นก็คือ...นโยบาย “ด้านพลังงานทดแทน” ที่กระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการอัดเม็ดเงิน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในการเข้าไปช่วยพัฒนาพลังงานทางเลือก...ซึ่งรัฐบาลจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่ต้องไปสนใจตัวกลางหรือนายหน้าที่จ้องเข้ามาทำธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์

ซึ่งในต่างประเทศ...โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ที่มีการใช้ปริมาณพลังงานสูงลิ่ว...เขามีความคิดไปถึง “การจุดไฟในน้ำ” กันมาแล้ว
ซึ่งมันมิใช่วิธีการเอาชนะธรรมชาติ...แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนอย่างคุ้มค่า
โดยการค้นพบที่น่าทึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในห้องทดลองของ จอห์น คันเซียส (John Kanzius) นักวิจัยด้านโรคมะเร็งในเคาน์ตีอีรี เพนซีลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะที่กำลังพยายามแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเครื่องให้กำเนิดความถี่วิทยุ เพื่อนำไปใช้บำบัดรักษาคนไข้โรคมะเร็ง โดยในระหว่างที่ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปในน้ำทะเล ซึ่งอยู่ในหลอดทดลอง น้ำทะเลเกิดติดไฟขึ้นมา
ปัจจุบันการค้นพบของคันเซียส ได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิทยาศาสตร์และถูกนำไปวิจัยค้นคว้าพัฒนาเป็นพลังงานใหม่ เพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนที่ได้จากน้ำมาใช้ประโยชน์สูงสุด

นี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการทางด้านพลังงานที่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องมองให้ทะลุแตกฉาน...อะไรที่เหมาะสมกับคนไทย และประเทศไทย
หากประเทศไทยมีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก...ก็สมควรที่จะหยิบจับเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ใช้

เพราะส่วนใหญ่พลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง “น้ำมัน” มีต้นเหตุมาจากการทำธุรกิจเพื่อเก็งกำไรทั้งสิ้น!!
ดังนั้น...กระทรวงพลังงานต้องตัด”วงจรอุบาทว์”ดังกล่าวออกไปให้จงได้
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับด้านพลังงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ด้วยการลดราคาน้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่ยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงในระยะเริ่มต้น...เพราะดูเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมายังแก้ไขไม่ถูกที่คัน

ลองนึกสภาพความเป็นจริงว่า...ประชาชนโดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ที่มีรายได้พอจะถอยรถยนต์สักคันหนึ่ง...เกือบร้อยละ 30 ต้องนำรถที่ซื้อมาดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนเป็นการใช้เชื้อเพลิงแก๊ส...ซึ่งมีความประหยัดมากกว่า...แต่ผู้ใช้ก็จำเป็นต้องควักเงินจำนวนหลักหมื่นบาทเพื่อติดตั้งถังถังแก๊ส
มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า...ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเป็นที่พึ่งแห่งตน...เพราะรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาไม่ไหว

สิ่งสำคัญที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ กระทรวงพลังงาน ต้องคิดให้ตกผลึกเวลานี้ก็คือ...จะทำอย่างไรเพื่อให้ภาระต้นทุนการซื้อน้ำมันของประชาชนลดลง? และจะทำอย่างไรเพื่อให้มีพลังงานให้ประชาชนใช้อย่างยั่งยืน โดยการพึ่งพาประเทศอื่นให้น้อยที่สุด?

เพราะหากลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงานลงได้...เชื่อว่าประชาชนคนไทยจะสามารถนำเงินในส่วนที่เหลือไปเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต และคนในครอบครัว ให้เกิดเป็นรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
มันจึงเป็นงานหนักและงานใหญ่ของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน...ซึ่งต้องตีโจทย์สำคัญนี้ให้แตก...มีความคิดสร้างสรรค์...และลงมือทำงานอย่างรอบคอบ
แต่สำหรับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคนชื่อ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาเคยผ่านการจับงานชิ้นใหญ่ๆ มาเยอะ...และสามารถทำให้งานเหล่านั้นสำเร็จลงได้
งานเล็กๆ ไม่...แต่งานใหญ่ต้องให้พิชัยทำ!

ทั้งการเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551...และเคยเป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน...รวมไปถึงการเป็น “Energy Keyman” ซึ่งเหล่ากูรูด้านพลังงานให้ความสนใจเป็นอย่างมากเวลานี้
เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ...ที่สำคัญ เป็นคนที่มองเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง...

โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ถูกจัดลำดับใน บัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. เป็นลำดับที่ 124 แต่สุดท้ายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย...รวมไปถึงคณะทีมที่ปรึกษาในการทำงานทั้งหลาย...พวกเขามองเห็นอะไรในตัว นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ

สุดท้าย...ประชาชนคงต้องจับตาดูการทำงานของเขาในวันข้างหน้า...แล้วจะรู้ว่าคนๆ นี้มีดีอะไร?! ถ้าเขาเป็น”พระเอก” จะขี่ม้าขาวมา หรือขี่ม้าสีอะไร?? เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่าได้กระพริบ!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักวิชาการให้คะแนนรัฐบาล 5.5 !!?

อาจารย์จุฬาฯ ให้คะแนนรัฐบาล 5.5. ชี้ ‘แม้ว’ แย่งซีนจ้อนโยบายทำ ‘ยิ่งลักษณ์’ ดับ ตอกย้ำ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มอง ‘ปู’ เปิดตัวแถลงไม่คม

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวเนชั่น” ถึงภาพรวมการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันแรกว่า ตัวนโยบายภาพรวมถือว่าดี แต่การแถลงนโยบายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังขาดความเป็นผู้นำ ยังไม่คม ไม่เด่น ใช้การอ่านเหมือนไม่ใช่เจ้าของนโยบาย ทำให้ตัวนโยบายและนายกฯไม่ได้ไปด้วยกัน

ส่วนนโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และเรื่องการปรองดองยังเป็นนามธรรม หรืออาจทำได้ยาก ทำให้การทำงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ของรัฐบาลต้องเก่งกว่านี้

ขณะที่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศวันเดียวกัน โดยให้รายละเอียดของแต่ละนโยบายได้อย่างดีนั้น ก็เป็นไปตามสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อย่างชัดเจน เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ คิด และกำกับนโยบาย ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงการนำสารมาสู่สภา

"หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดนโยบายจริง ทั้งน้ำเสียง น้ำหนักของคำพูดจะดีกว่านี้ ทำให้ความเชื่อถือดูลดน้อย ขณะที่การเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ภาพผู้นำประเทศไม่ใช่ตัวจริง หากจะให้คะแนนการแถลงนโยบายรัฐบาลตนขอให้ 5.5 จาก 10 คะแนน ส่วนคะแนน 4.5 ที่หายไป คือความเป็นไปได้ของนโยบายเป็นไปได้ยาก รวมถึงความหนักแน่นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในการแถลงนโยบายที่ดูน้อยลง"

ทั้งนี้ นายกฯยังขาดทักษะ และความสมเหตุสมผลของนโยบายในบางเรื่อง เพราะยังขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คิดว่าตัวนโยบายยังขาดน้ำหนัก ครม.ครึ่งหนึ่งในรัฐบาลคงทำตามนโยบายไม่ได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหยุดเคลื่อนไหว ปล่อยให้ 6 เดือนจากนี้ นายกรัฐมนตรีและครม.ได้ทำนโยบายให้เต็มที่ โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ครม.บวกนายกฯเป็นมวยรอง ภาพจึงดูจืดชืดและขาดน้ำหนัก แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณปล่อย รัฐบาลอาจจะได้ 7-8 คะแนนได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศักดิ์ศรี.. ผู้นำประเทศต้องมี !!?

ใช้ความเครียดแค้น ถอนพาสปอร์ตแดง ถูกที่ไหนกันล่ะพี่??
ยุค “โคไมนี่”, ผู้นำอียิปต์ ยึดอำนาจ “ชาร์” เขายังไม่ยึดพาสปอร์ต แต่ประการใด
“มาร์กอส” แห่งฟิลิปปินส์ ถูกขับออกนอกประเทศ ยังให้ ใช้พาสปอร์ต กันอย่างสบาย
ถามว่า “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตผู้นำประเทศไทย ซึ่งนำความรุ่งเรืองมาสู่มหาประชาชนชาวบ้านให้อยู่ดี สุขสบาย..แต่กลับถูกถอนพาสปอร์ต..เพื่อไม่ให้มีบทบาทช่วยเหลือประเทศ!!!
“ทักษิณ” เป็นผู้นำชั้นดี.....แต่ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้?...ต้องบอกว่านี่, คือความทุเรศ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกลือจิ้มเกลือ!!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงวันสิ้นลายเสือ??
เมื่อหลักฐาน ปูดพะเนินเทินทึก เข้าไปหาตัว
ที่สาหัสสากรรจ์เป็นอันมากส์.. ก้อ, “เทพเทือก” แหละทูนหัว
เพราะการนำร่อง นำสืบ ของ “ดีเอสไอ” ใต้คอนโทรล “ท่านอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” ดูน้ำหนักล็อกเป้า โดนเข้าอย่างจั๋งหนับ!!
“รัฐบาลอภิสิทธิ์”อยู่สุขกันทั่วหน้า...แต่ปัญหาเทลงมา?..ที่หน้า “พี่เทพ”คนเดียวได้ไงล่ะครับ?

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งกว่า “กาวตราช้าง”!!!
เส้นทางชีวิตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนดัง???
ยังนั่งตำแหน่ง “ประมุขสำนักสีเขียว” ได้อย่าง ไม่มีปัญหา...
แต่ที่ระเหเร่ร่อน...ถูกปรับก่อน น่าจะเป็น “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” เสธ.ทบ. ที่จะตกหลุมอำนาจ หลุดจากอำนาจ ไปก่อนสิจ๋า
นึกเสียว่า “สมบัติผลัดกันชม” ..ยามน้ำขึ้นท่านก็ใหญ่ ยามน้ำลง ท่านก็ต้องไปตามวิถี!!!
อย่านึกอะไรให้ชอกช้ำ....ยึดหลักคำพระนำ?...ว่าสัจจะธรรม ของคนมักเป็นเช่นนี้???

+++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อ “หัวโขนหลุด”!!!
“ข้าราชการ” ที่เคยพินอบพิเทา ก็โกยหนีอ้าว กันอย่างสุด...สุด???
จากที่ “อดีตรัฐมนตรีบุญจง วงศ์ไตรรัตน์” มท. ๒ เคยไปไหน...มีคาราวาน ทั้งนายอำเภอ และ ผู้ว่าราชการจังหวัด มารอรับกันสลอน
เมื่อ “คุณพี่บุญจง” ไร้ตำแหน่ง เขา...ก็บินหนี จากจร
ฉะนั้น, ขอให้ “คุณพี่บุญจง” อย่ายึดติดกับอำนาจ และวาสนา ..เห็นได้จากวันนี้, ที่เคยมีคนตามเป็นพรวน...ปัจจุบันที่บ้านท่าน กลับอันตรธานหายวับ ไม่ยอมมาปรากฎ!!!
พอไม่มีหัวโขนสวมใส่... “คุณพี่บุญจง”ก็เหนื่อยใจ?...เพราะใครต่อใคร หนีหายกันหมด

+++++++++++++++++++++++++++++++++

มาตามนัด!!!
เป็นพวกที่เลือกข้างชัด..ชัด??
ทั้ง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” พิธีกรฝีปากเอกแห่งช่อง ๑๑ และ “ฟองสมาน จามรจันทร์” นักเล่าข่าวหญิงแห่งคลื่นเอเอ็มทหาร....
จากนี้,คงใส่เกียร์ถอยหลัง ไม่ได้จัดรายการเหมือนก่อน แล้วสิท่าน
เมื่อมาด้วยการเมือง ก็ต้องไปด้วยการเมือง...แม้จะมีคุณภาพเต็มร้อย แต่เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องไปจากคลื่น!!!!
ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่เป็นการรังแก?...ใครอย่าสาระแน ว่าเป็นการ “ทวงแค้นคืน”??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สุชาติ ธาดาธำรงเวช..โผล่เป็น ปธ.เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรฯ..!!?

ประกาศหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินกองทุนหมู่บ้าน กองทุน SME ก่อน ลั่นต้องนำ”ทักษิณ”กลับบ้าน

อุดรธานี (21 สค.2554) ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทยชูธงแดงนำสมาชิกเดินหน้าเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งใหม่ ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกาศต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 สิงหาคม 2554 นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เดินทางเป็นประธานเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง 6 หมู่บ้าน ยกระดับเป็นตำบลเสื้อแดง ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง โดยมีนายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย นายอานนท์ แสนน่าน เลขานุการหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี นำชาวบ้านกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน

นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หมู่บ้านเสื้อแดงคือหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน เพราะการกระทำของรัฐบาลที่ผ่านมา บริหารงานแบบ 2 มาตรฐาน คนเสื้อแดงอุดรธานีไม่มีวันตาย หรือแตกดับ จะก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้ริเริ่ม ที่จะทำให้หมู่บ้านเสื้อแดงเกิดจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย หลักพัน และหลักแสน บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ป้าย “ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทุกหมู่บ้านจะเป็นสีแดง

“การผนึกกำลังแสดงพลัง ด้วยสัญญาลักษณ์เชิงต่อสู้ มีธงแดงติดไว้หน้าบ้านทุกหลังคาเรือน รวมคนเสื้อแดงตามหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง ถึงแม้การต่อสู่ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ ที่ทุกคนต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่เราจะต้องใช้สติปัญญาที่จะก้าวต่อไป“

ในขณะที่ นายสุชาติ กล่าวในพิธีเปิดช่วงหนึ่งว่า ในการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ต่อไปจะมีการมอบเงินกองทุนให้หมู่บ้านเสื้อแดงฯ หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุน รวมถึงกองทุน SME ให้กับหมู่บ้านเสื้อแดงอีก หมู่บ้านละ 5 แสนบาท โดยหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินก่อน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มรสุมการเมืองลูกใหม่เริ่ม ตั้งเค้า เมื่อรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ หาเรื่องใส่ตัว!!?

ตามกำหนดการ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคมที่จะถึงนี้ แต่ดูเหมือนการเริ่มต้นของรัฐบาลตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า ’หาเรื่องใส่ตัว“ ซะมากกว่าถูกคู่กรณีทางการเมืองอย่างพรรคฝ่ายค้าน ’ตามขุดคุ้ย“

นอกจากแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ’สัญญาหน้าฝน“ ไว้เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจะถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ถูกตั้งคำถามถึงระยะเวลาเพื่อให้สัญญาเหล่านั้นเกิดผลเป็น ’รูปธรรม“ ขึ้นมาแล้ว ยังถูกถามถึงนโยบายบางอย่างว่าเป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายสืบสายโลหิตผู้เป็น ’ต้นแบบ“ ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับความต้องการของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มุ่งเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมให้กับ ’มวลชน“ ผ่านข้อเสนออย่างการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูญเสีย 91 ศพ ศพละ 10 ล้านบาท รวมถึงข้อเสนอที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ มิหนำซ้ำยังโดนมรสุมจากข่าวผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่ชื่อ วิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริหารจัดการสื่อมวลชน 3 ฉบับ

ทั้งหมดนี้เป็น “ความเคลื่อนไหว” ที่มีปลายทางอยู่ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเป็นสำคัญ ถือเป็น ’มรสุมการเมือง“ ที่ตั้งเค้าอย่างรวดเร็วกับรัฐบาลซึ่งในทาง
นิตินัยแล้วเป็น “รัฐบาลผสม” ขณะที่ในทางพฤตินัยแล้วเป็น ’รัฐบาลพรรคเดียว“ เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

น่าสนใจว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความจงใจของพรรคเพื่อไทย เป็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงหรือเป็น ’สถานการณ์“ ที่ไหลมาบรรจบกันพอดี

นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ไว้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 79 ช่วงหนึ่งถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้ว่า

“ผมฟังจากรัฐมนตรีบางคนเล่าให้ฟังว่าในการประชุมครม. นายกฯ พูดดี ขอให้รอดูท่านชี้แจง อย่างไรก็ตาม คิดว่านายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงทุกข้อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือ รมต. แต่ละด้านไปชี้แจงอย่างเช่นด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง แล้วนายกฯ ก็อาจจะสรุปรวบยอดเป็นเรื่อง ๆ ไป คนบริหารธุรกิจขนาดนี้คงไม่มีปัญหาในการโต้ตอบ นายกฯ เป็นผู้หญิงจึงอ่อนน้อมถ่อมตนนิดหน่อย ไม่เหมือนผู้ชายที่ตูมตาม”

ถือเป็น ’ข้อคิด“ จากนายกรัฐมนตรีคนที่ 21

รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นมาท่ามกลางความคาดหวังจากคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เข้ามาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสร้างความปรองดอง พร้อม ๆ กับความไม่สมหวังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้จึงถือว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีเวลาและยังเป็นที่พึ่งที่หวังของคนส่วนมากอยู่

นี่กระมังที่เป็น ’เกราะ“ ป้องกันชั้นดีให้รัฐบาลที่มา พร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงยิ่ง ได้รับโอกาสในการทำงานและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามสภาพความเป็นจริง และนี่แหละที่จะเป็น ’เกราะ“ ที่สำคัญหากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะใช้โอกาสตรงนี้ คลายปมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

กรณี วีซ่ารัฐบาลญี่ปุ่น นั่นคือเรื่องแรก เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนที่ตรงกันว่า เป็นการร้องขอจากรัฐบาลตามที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงข่าว เป็นการทำหน้าที่ของ รมว.การต่างประเทศที่ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่แต่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งและการดำเนินการตามกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนโยบายหรือไม่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคเพื่อไทยระบุว่า จะเร่งรัดให้เสร็จภายใน 3 เดือน ก็เป็นเรื่องที่สร้างความกังขาว่า นี่ใช่เรื่องที่รัฐบาล ’สัญญา“ ไว้ว่าจะทำทันทีหรอกหรือ

ยิ่งความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง ที่แม้จะมี ’บางฝ่าย“ เห็นว่าไม่ควรเคลื่อนไหวเพราะจะกลายเป็น ’ภาระ“ กลายเป็นประเด็นไปกลบเกลื่อนความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ดูเหมือนแกนนำบางส่วนก็ยังคงเดินหน้า ทั้งการมีข้อเสนอศพละ 10 ล้านบาท ทั้งการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว ’แนวร่วม“ ทั้งการจัดการชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์

หรือกรณี ’ข้อหา“ ที่กรรมการบริหารพรรคถูก ’กล่าวหา“ ว่ามีส่วนเข้าไปจัดการบริหารสื่อ

ทั้งหมดนี้แม้จะถูกมองว่าเป็น ’ด้านลบ“ กับรัฐบาลและทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตกเป็นเป้าทางการเมืองและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าแก้ไขปัญหา แต่หากมองโดยดูจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหากจะต้องใช้เวลา เพราะตามธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลมี ’น้อยมาก“ และเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยิ่งอยู่นานคะแนนความนิยมทางการเมืองจะยิ่งสูงขึ้น

ตามธรรมชาติของคนทำงาน ย่อมมีข้อตำหนิติติงเป็นธรรมดา ยิ่งทำแล้วงานไม่เข้าก็ยิ่งสร้างความเสียหายไปอีกเท่าทวีคูณ ดังนั้น การเดินทางทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีพื้นที่ การเดินหน้าเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมวลชนคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก พร้อม ๆ กับการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

เป็นการเลือกที่จะเดินไปพร้อมกัน มากกว่าการเลือกที่จะก้าวด้านหนึ่งด้านใดออกไปก่อน

การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมสรรพ ทั้งมวลชน ทั้งการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง ทั้งการได้เป็นรัฐบาล ถืออำนาจรัฐ และการมี ’ทุน“ สนับสนุนทางการเมืองที่มโหฬาร ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รณรงค์เพื่อเช็กเรตติ้งการเมืองผ่านการ ’โหวตโน“ และพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยังอยู่ในสภาพ ’แพแตก“

ที่สำคัญ รัฐบาลยังไม่ได้ตอบสนองต่อ ’ความหวัง“ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ลดภาษีนิติบุคคล เริ่มโครงการรับจำนำข้าว ฯลฯ

รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงมีสภาพอย่างที่เห็นคือ เดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ทางทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดง

แต่ ’โอกาส“ ในทางการเมืองนั้นมีเวลา แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้ไปอย่างพร่ำเพรื่อ

สภาพวันนี้จึงเหมือนกับว่ารัฐบาลกำลัง ’เล่นเกมเร็ว“ เพราะเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าทางการเมืองอย่างการกลับมาของคนบ้านเลขที่ 111 จะผลิกโฉมหน้ารัฐบาลอีกครั้ง.

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กิตติรัตน์

จะมีสักกี่คน...ที่ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรี เท่ากับที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เคยปฏิเสธมา...

กระบี่สำคัญที่ทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ได้รับความเชื่อถือในระดับที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน... ก็คือเขา...

กิตติรัตน์...ขอวางมือในขณะที่คนทุกๆ ฝ่ายขอร้องให้เขาอยู่ต่อ...

จะมีสักกี่คนที่ได้รับการเสนอให้ทำงานและบริหารในกิจการขนาดใหญ่เกือบจะทุกชนิด แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับฟุตบอลและอยากจะสร้างฟุตบอลไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก

แค่ 6 ปี... หลังจบปริญญาตรี...เขาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของบริษัทมหาชน...

20 ปีหลังปริญญาตรี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...หลายฝ่ายคิดว่าเป็นส้มหล่น...เพราะคนที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้า... ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ หรือ วิชิต สุรพงษ์ชัย... ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ... กิตติรัตน์ ก็ได้รับการทาบทามวางตัว

กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์... และนโยบายรับจำนำข้าวในราคาตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท... นี่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นความเป็นความตายของรัฐบาลนี้...

ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้... ความจนของชาวนาไทยก็จะสิ้นสุด...ธุรกิจราคาล้านๆ บาท... ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย... จึงต้องพึ่งพาคนที่เธอไว้ใจและเชื่อถืออย่างที่สุด

การกำจัดคนกลางออกจากวงการค้าข้าว... คือการเผชิญหน้ากับ...ขบวนการมาเฟียที่มีอายุยืนยาวที่สุด การช่วงชิงความมั่งคั่งมั่งมีจาก มาเฟียข้าว เอามาจ่ายแจกให้กับชาวนา...ย่อมต้องเผชิญกับอิทธิพลและคลื่นลมมากมาย

นี่อาจจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์...

ยิ่งใหญ่เพราะว่า 100 ปีที่ผ่านมา...บนความยากจนข้นแค้นของชาวนา...ได้สร้าง ธนราชันย์ขึ้นมาเป็นเจ้าของของ...สถาบันการเงิน...ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อยู่ในใจประชาชน!!

“ซุเปอร์พี” พินิจ จารุสมบัติ ยังเสมอต้นเสมอปลาย ขยันขันแข็ง ออกไปพบปะกับชาวหนองคายทุกคน??
ใครมีสารทุกข์สุขดิบ เดือดร้อนประการใด “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ก็เป็นธุระแก้ไขทันที
อีกทั้งสร้างเกียรติคุณให้ชาวหนองคาย โดยไปทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ให้โรงเรียนวิสิทธิ์อำนวยฯ เป็นบ่อเกิดทางปัญญา ชั้นดี
สิ่งใดที่ทำให้ “ชาวหนองคาย” อยู่ดี กินดี เรียนดี มีความรู้ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” เดินหน้าทำอย่างไม่หยุดยั้ง!!!
เป็นนักการเมืองที่คบได้สนิทใจ....ใครมีอะไร... “คุณพี่พินิจ” ก็ลงแก้ไขให้ทุกครั้ง???

++++++++++++++++++++++++++++

ทำ “ประเทศชาติ” ให้สะอาด!!!
หยุด! ไม่ให้ “ยาเสพติด” ได้ระบาด???
ต้องบอกว่า...นโยบายของสมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ “อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน...ทำให้เยาวชนไทย ห่างไกล ยาเสพติด
“ท่านสุวัจน์” นำนักกีฬาระดับบิ๊กซุเปอร์โฟร์ ทั้ง เทนนิส-สนุกเกอร์-กอล์ฟ มาเป็นแบบอย่าง ให้เยาวชนเดินตาม จนท๊อปฮิต
ทุกวันนี้, เยาวชนไทย ต่างหันมาเล่นกีฬากันอย่างสร้างสรรค์ ไม่หมกมุ่น งมงาย อยู่กับยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ.. ทำให้อนาคตของชาติ กระปรี้กระเปร่า พากันสุขสรรค์!!!
เครดิตแห่งความดี....ขอยกให้ “คุณพี่สุวัจน์”คนนี้?...เอาไปรับประทานเต็มที่ขอรับท่าน

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ทองแท้” ผู้ไม่ กลัวไฟ!!!
เป็นน้ำโพลารีสชั้นเยี่ยม เป็นนักการเมืองชั้นยอด..ขอบอกว่า “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” ส.ส.กทม.เขต ๔ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้ำใหม่????
อนาคตใสปิ๊ง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ เสมอมา
นับแต่เป็น “ผู้แทน” มีแต่ผลงานที่เข้าต๊า..เข้าตา
ไม่สร้างปัญหา,แบ่งแยกสีเสื้อใด ๆ ..เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ และเดินสายกลาง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ...ดูอนาคตกันแล้ว “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” น่าได้เป็นรัฐมนตรี!!!
ประชาธิปัตย์กลับมาใหญ่...เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่ไปไหน..ต้องหล่นใส่ “คุณอนุชา”จ๊ะคุณพี่

+++++++++++++++++++++++++++++++++

จัดแถวเรียงหนึ่ง ไปเรียบร้อย!!
ชื่นมื่น ชื่นชม “รัฐมนตรีปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เก๋ไก๋กว่า “รัฐมนตรีอภิสิทธิ์” มิใช่น้อย?
มาดูแถวสองกันบ้าง...ผู้ที่จะเข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาความมั่นคง” กลั่นกรองงานให้กับ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ยืนตะเบ๊ะท่าฮึกเหิม อยู่ตรงนู้น ก้อ, “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”
จะเข้ามามีบทบาท เป็นหูเป็นตา ดูแลกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” และ กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ “กอ.รมน.”
ใครที่จะมาจับ “คุณยิ่งลักษณ์” ดองเป็นปูเค็ม คงไม่ง่ายคงไม่หมู!!
เมื่อมี “บิ๊กพัลลภ”เป็นแบ็ค....ขืนใครตะลุยแหลก?...ต้องแหกด่าน “บิ๊กพัลลภ”ก่อนถึงตัว “นายกฯปู”??

++++++++++++++++++++++++++++++

เป็น “เงื่อนไข” ข้อเดียว!!!
ที่นายกฯหญิงแห่งประเทศไทย “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ให้แดงเข้ามาเกี่ยว??
เพื่อไม่ให้กระแส ที่กราดเกรี้ยว ลงมาเล่นงาน “รัฐบาลปู๑” แบบโหมกระหน่ำ..
แต่รับประกันซ่อมฟรีว่า ภายใน ๖ เดือน “นปช.แดงทั้งแดง” ต้องได้เป็น “รัฐมนตรี”อย่างสง่างาม
ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” คิดจะกินอาหารให้อร่อย ก็ต้องคอยใจเย็น..เย็น!!!!!
รัฐมนตรีได้เป็นแน่นอนล่ะน้อง...อดใจอย่าได้เรียกร้อง?..ถึงเวลายังไง ก็ต้องได้เป็น???

ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

ถอดถอน.. คนเคยกันเองที่ เล่นกันแรง !!?

รัฐบาลควรมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองมากกว่าที่จะต้องออกมาชี้แจงในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

นายนพดล ปัทมะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็เคยนั่งเก้าอี้เดียวกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศมาก่อนให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.

ก็เป็นเรื่องที่ใช่เลย ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ พึงระวังไว้ว่าไม่ควรไปทำอะไร ’นอกลู่นอกทาง“ และทำการในลักษณะเพื่อคนหนึ่งคนใด ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรจะทำ

แต่การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง อดีต รมว.วัฒนธรรมและ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา แถลงข่าวระบุว่า จะยื่น ’ถอด
ถอน“ นายสุรพงษ์ โดยใช้เสียง 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดหรือ 125 คน จากนั้นยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินคดีอาญากับนายสุรพงษ์และอาจจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.หากเข้าข่าย

กรณีนี้ไม่ใช่จู่ ๆ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านจะลุกขึ้นมา ’ชงเองกินเอง“ แต่เป็นข่าวที่ปรากฏออกตามสื่อมวลชนและมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งจากตัวนายสุรพงษ์เอง จากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและจากโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละส่วนพูดไม่ตรงกันเอาซะเลย

เรื่องนี้ถือเป็น ’เรื่องใหญ่“ ที่คนระดับรัฐมนตรีไม่ควรไปดำเนินการเช่นนี้

ที่สุดแล้ว นายสุรพงษ์ ก็กลายเป็น ’รูโหว่“ ของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนได้

แต่หากดูโจทก์ ดูจำเลยแล้วจะพบว่า ครั้งหนึ่งนายนิพิฏฐ์กับนายสุรพงษ์ เคยกอดคอสู้คดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยกัน

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ ผ่าน @SatitTrang เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมัยสุรพงษ์เป็น ส.ส.ปชป.ไม่เคยจับงานด้านต่างประเทศเลย ภารกิจตอนนั้นคือตรวจสอบทักษิณเรื่องโทรคมนาคม ไปดูรายงานการประชุมสภาได้ และสุรพงษ์มีบทบาทต้านทักษิณแข็งขันมากเพราะอยู่ไอบีเอ็มมาก่อน จนถูกฟ้องมีคดีต้องให้นิพิฏฐ์ช่วยจึงรอดมาได้ เวลามา ปชป.ตอนนั้นสุรพงษ์มักจะมาพร้อมคำทำนายต่าง ๆเรื่องการหมดอำนาจของทักษิณ จนคนใน ปชป.งงจนวันนี้ว่าสุรพงษ์คนนี้คนเดียวกับตอนนั้นรึเปล่า

แต่การเมืองก็อย่างที่รู้ ’ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร“ และนายสุรพงษ์ก็ไม่ใช่ ’ครั้งแรก“ นายนพดล นั้นเคยมาก่อนและเป็นรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ถูกเบรกกระแสจาก’นักร้องอาชีพ“ อย่าง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย

“พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าในช่วงปลายรัฐบาลรักษาการพรรคประชาธิปัตย์ มีการทิ้งทวนหลายโครงการซึ่งพรรคจะยื่นเรื่องให้รัฐบาลใหม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการประกวดราคาก่อสร้างบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกหรืออีสวอเตอร์ มูลค่า 900 ล้านบาทน่าจะมีการล็อกสเปก โครงการจ้างก่อสร้างอาคารปฏิบัติการและระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระเปลี่ยนเที่ยวบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,909 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบปรับอากาศอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินและสะพานเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 645 ล้านบาท ที่มีเวลาในการเตรียมข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาสั้นมาก”

ส.ส.มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ชาติ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเหมือนที่ร้อง ’รายวัน“ สมัยเป็นฝ่ายค้าน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ’กระบวนการ“ เพราะหากไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว แค่เริ่มยังโดนขนาดนี้ เป็นห่วงขาเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วซะจริง ๆ.

ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////

ตร.เร่งพิสูจน์ 169 ศพสงสัยเป็นเสื้อแดง-ฝัง 3 วัดระยองช่วงปี 53 !!?

พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับคำสั่งจากพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม และพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. ให้เดินทางเข้าตรวจสอบในพื้นที่ต.ชากพง และต.ห้วยยาง อ.แกลง จ.ระยอง หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าสงสัยมีการนำศพนับร้อยศพมาฝังไว้ที่วัดในอ.แกลง เมื่อปี 2553 และยังสงสัยว่าอาจเป็นศพนปช.-คนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมประท้วงช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 แล้วหายสาญสูญไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.กลุ่มงานคดีแพ่ง พ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ.บ้านกร่ำ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดฝ่ายความมั่งคงอำเภอแกลง นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำคนเสื้อแดงระยอง พร้อมกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเริ่มตรวจสอบจุดแรกที่วัดคลองตากวา หมู่ 1 ต.ชากพง ซึ่งมีพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เป็นเจ้าอาวาส

พระอธิการวิรัตน์ ให้การว่า ช่วงเดือน ส.ค.2553 มีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล และนายตี๋ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทำงานอยู่ที่สมาคมพุทธสตร์สงเคราะห์อำเภอแกลงนำศพมาฝังไว้บริเวณวัด โดยแจ้งว่าได้นำศพเหล่านี้มาจาก จ.ชุมพร เป็นศพไร้ญาติ และพ้นคดีทางกฎหมายหมดแล้ว ขอนำมาฝังเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อน จากนั้นปี 2555 จะขุดศพนำไปเผารวมกันทั้งหมด

“อาตมาไม่เคยเห็นสภาพศพว่าเป็นอย่างไร เพียงเขาบอกว่ามีเพียงแต่กระดูก ห่อผ้าขาว ใส่โลงมา ใส่บนรถเทรลเลอร์ 18 ล้อมาที่วัด แล้วใช้รถแบ็กโฮขุดหลุมฝัง บริเวณสวนป่ารอบๆ หน้าวัดไว้เป็นแถวยาว ศพที่นำมาฝังไว้ 72 ศพเป็นผู้ชายทั้งหมด”พระอธิการวิรัตน์กล่าว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบบริเวณที่พระอธิการวิรัตน์ให้การว่า เป็นที่ฝังศพทั้ง 72 ศพบริเวณด้านหน้าวัดคลองตากวา พบมีหลุมฝังศพจริง มีหลุมศพอยู่เรียงรายเป็นแถวยาวประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งอายัดศพทั้งหมดเอาไว้ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และห้ามเคลื่อนย้าย ศพออกเด็ดขาด

ต่อมา ตำรวจและคณะเดินทางไปต่อไปที่วัดห้วยยาง หมู่ที่ 3 ต.ห้วยยาง พบพระครูสังฆรักษ์ วุฒิสาโร เจ้าอาวาส ซึ่งให้การว่ามีคนนำศพมาขอฝังในพื้นที่วัดช่วงดังกล่าวจริง โดยพระครูสังฆรักษ์พาไปดูหลุมฝังศพอยู่ในป่าสวนยางด้านหลังวัด ซึ่งมีจำนวน 65 หลุมศพ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบที่วัดสมอโพรง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น พบหลุมฝังศพอีกจำนวน 32 หลุมศพ เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดหลุมศพทั้ง 2 วัดจำนวน 97 หลุมศพ ซึ่งเมื่อรวมกับที่วัดคลองตากวา จำนวน 72 หลุมศพแล้วมีทั้งสิ้น 169 หลุมศพ

พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้มาตรวจสอบศพเหล่านี้ว่าเป็นศพใครมาอยู่ที่ จ.ระยองได้อย่างไร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่หายไปจากการชุมนุมประท้วงครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะมีคนเสื้อแดงหายไปเป็นจำนวนมากในการชุมนุม จึงสั่งอายัดศพทั้งหมด และต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าศพเหล่าเป็นใครมาจากไหน ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอทุกศพ ทั้งนี้ วันเดียวกันนี้ได้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนที่ไปเอาศพมาฝัง ใครเป็นคนให้เอาฝัง มีหนังสือรับรองการตายหรือไม่ ที่มาที่ไปของศพเหล่านี้

“จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดทั้ง 3 แห่งทราบว่าศพจำนวนมากดังกล่าวถูกนำมาฝากฝังไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2553 ไม่มีหลักฐานการตายที่ชัดเจน โดยทางมูลนิธิพุทธศาสตร์สงเคราะห์ อ.แกลง นำมาจาก จ.ชุมพร มาฝากฝังไว้และจะทำการขุดในปี 2555 โดยในเบื้องต้นได้สั่งอายัดศพทั้งหมดไว้ และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ จะดำเนินการขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบดีเอ็นเอ” พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าว

ด้านพ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ. บ้านกร่ำ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งให้ดำเนินการตรวจศพปริศนาที่นำมาฝังไว้ในพื้นที่สภ.บ้านกร่ำ เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ามีมูลนิธิแห่งหนึ่งในอ.แกลง ได้นำศพไร้ญาติมาฝากฝังไว้ที่จริง พบว่าจำนวน 169 ศพ จึงแจ้งอายัดหลุมฝังศพทั้งหมดไว้แล้ว 169 หลุม พร้อมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ที่วัดคลองตาวา อ.แกลง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำเตือนก่อนคุณทักษิณไปญี่ปุ่น: ใครฉลาด? ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?

โดยวีรพัฒน์ ปริยวงศ์เมื่อ 15 สิงหาคม
นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ที่มา facebook.com/verapat.pariyawong

พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่คุณทักษิณเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่เป็นธรรม จึงปฏิเสธการจับกุมโดยหลีกไปอาศัยอยู่ ณ ต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคุณทักษิณได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจที่ประเทศญี่ปุ่น และมีการให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย แม้จะมีรายงานข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ยอมรับว่าได้หารือเรื่องดังกล่าวกับทูตของญี่ปุ่นก็ตาม (http://bit.ly/p91HBp)

ล่าสุด (15 สิงหาคม 2554) สำนักข่าว Kyodo ประเทศญี่ปุ่นรายงานการแถลงข่าวโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า กงสุลใหญ่แห่งญี่ปุ่น ณ ดูไบ ได้ออกหนังสือตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่ออนุญาตให้คุณทักษิณสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ หลังได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย (“in response to a request from Thailand” http://bit.ly/qVFL8h)

สำนักข่าว AFP รายงานคำแถลงข่าวของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นในทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งว่าไม่มีนโยบายห้ามคุณทักษิณเดินทางไปประเทศอื่น และขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ (“The Thai government… takes a policy of not prohibiting former prime minister Thaksin from visiting any country and requested that Japan issue a visa” http://bit.ly/mRPUg2)

หากคำพูดของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเชื่อถือได้ สื่อมวลชนไทยสมควรต้องกลับมาถามรัฐบาลไทยที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันว่า ที่มีคนบอกว่ารัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่าครั้งนี้นั้น ใครพูดจริง ใครโกหก???

ความจริงหากจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็น่าจะบอกว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ICCPR ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ) ก็รับรองสิทธิเสรีภาพของคุณทักษิณให้สามารถเดินทางได้อย่างเสรีภายในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ หากคุณทักษิณเข้าไปในประเทศนั้นโดยถูกกฎหมาย

อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ก็สื่อความให้รัฐบาลไทยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แน่นอนว่าหากคุณทักษิณเดินทางเข้ามาสู่เขตบังคับของกฎหมายไทย ไทยก็ย่อมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

ในเมื่อสุดท้ายคุณทักษิณก็ยังคงเป็นมนุษย์ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตัวคุณทักษิณอยู่แต่เดิมก็มิได้หายไปไหน การที่คุณทักษิณได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อเดินทางไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และก็คงอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะไปห้ามญี่ปุ่นได้ ไทยจะไปยุ่มย่ามเรื่องภายในก็จะหาว่าแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ

อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 ได้เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุก เช่น คุณทักษิณ ให้เข้าญี่ปุ่นได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีสมควร

แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีไปช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จนมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุมคุณทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้น เป็นการฉลาดหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่!

ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?

เกิดคำถามตามมาว่า ในเมื่อคุณทักษิณมีความผิดตามกฎหมายไทย ถูกศาลฎีกาไทยพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหากคุณทักษิณเดินไปญี่ปุ่น ไทยจะขอให้ญี่ปุ่นส่งตัวคุณทักษิณกลับมารับโทษในประเทศไทยในลักษณะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่?

ตอบว่าไทยขอได้ แต่ญี่ปุ่นจะส่งตัวคุณทักษิณมาหรือไม่ เป็นไปได้ยาก หากตอบโดยไม่ต้องนึกถึงข้อกฎหมายใดๆ การที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้คุณทักษิณเข้าเมืองมากล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ แล้วค่อยเข้าจับกุมส่งตัวนั้น คงจะดูแปลกอยู่

และหากพิจารณาในข้อกฎหมาย ก็จะพบอุปสรรคหลายด่าน ดังนี้

ด่านที่ 1: ไทยและญี่ปุ่นยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

จริงอยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2552 ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาอีกฉบับ คือสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ความจริงสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีที่ไทยจับคนญี่ปุ่นที่ทำผิดกฎหมายไทย แล้วอาจส่งตัวคนญี่ปุ่นนั้นกลับไปจำคุกที่ญี่ปุ่นตามโทษกฎหมายไทย ในทางเดียวกัน ญี่ปุ่นก็อาจส่งตัวคนไทยที่ทำผิดกฎหมายญี่ปุ่นกลับมาจำคุกที่ไทย

แต่กรณีคดีของคุณทักษิณนั้น เป็นกรณีที่คนไทยต้องโทษจำคุกตามกฎหมายไทย จึงไม่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว (นอกจากคุณทักษิณเข้าญี่ปุ่นแล้วดันทะลึ่งทำผิดกฎหมายบ้านเขาแล้วถูกจำคุก ไทยก็อาจขอให้ส่งตัวมาได้)

ด่านที่ 2: ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งได้ แต่ส่งยาก

การที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ไม่ได้แปลว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะทำไม่ได้ เพียงแต่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องอาศัยกฎหมายภายในประเทศและ “วิถีทางการทูต” (diplomatic channel)” ซึ่งอาศัยดุลพินิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ

ด่านที่ 3: กฎหมายไทยให้อำนาจนักการเมือง ไม่ใช่อัยการ

พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ให้อัยการสูงสุดของไทยมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ แต่กระนั้น กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ “คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นอย่างอื่น” ได้ กล่าวคือหากอัยการสูงสุดต้องการขอ แต่คณะรัฐมนตรีไม่ต้องการให้ขอ สุดท้ายก็ขอไม่ได้

ด่านที่ 4: กฎหมายญี่ปุ่นไม่ให้ส่งฟรีๆ

แม้หากสุดท้ายคณะรัฐมนตรีไทยไม่ขัดข้อง ก็มิได้แปลว่าไทยขอแล้วญี่ปุ่นจะให้ทันที แต่กฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น คือ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2004 กำหนดว่า นอกจากฝ่ายไทยต้องส่งคำขอพร้อมเอกสารรายละเอียดที่เข้าเงื่อนไขต่างๆแล้ว มาตรา 3 ยังบังคับว่า ไทยต้องให้คำมั่นว่าจะส่งตัวผู้ร้ายจากไทยไปที่ญี่ปุ่นในลักษณะต่างตอบแทนอีกด้วย (reciprocity) กล่าวโดยง่ายก็คือ หากไทยไม่มีผู้ร้ายไปสัญญาแลก ญี่ปุ่นก็ไม่ส่งให้

ด่านที่ 5: รัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องพอใจ

ไทยต้องเอาผู้ร้ายไปสัญญาแลกเท่านั้นไม่พอ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 4 ยังกำหนดว่า ในกรณีที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นมีดุลพินิจพิจารณาอย่างกว้างขวางว่า “หากเป็นการไม่เหมาะสม” (deemed to be inappropriate) ญี่ปุ่นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำขอของไทย ซึ่งอะไรจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็คงสุดแท้แต่ที่ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะคิด

ด่านที่ 6: กฎหมายญี่ปุ่นระบุข้อห้ามไม่ให้ส่งตัว

แม้ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นการเหมาะสมที่จะส่งคุณทักษิณกลับมาประเทศไทย ก็มิใช่ว่าจะส่งได้ แต่ต้องผ่านด่านกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 2 ซึ่งกำหนดข้อห้ามไม่ให้ส่งตัวคุณทักษิณไว้อีกหลายกรณี หากเข้ากรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ส่งไม่ได้ อาทิ

- ห้ามส่งตัวหากเห็นว่าความผิดของคุณทักษิณเป็นความผิดทางการเมือง (political offense) หรือการขอให้ส่งตัวคุณทักษิณเป็นการพยายามนำตัวคุณทักษิณมาลงโทษทางการเมือง

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คดีความทั้งหมดที่มุ่งเล่นงานคุณทักษิณตั้งแต่กระบวนการรัฐประหารโค่นอำนาจทางการเมือง ฯลฯ แต่คุณทักษิณก็ต้องไม่ลืมว่าคดีที่ศาลฎีกาตัดสินนั้นเป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการประมูลที่ดิน ญี่ปุ่นอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง)

- ห้ามส่งตัวหากความผิดคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่มีโทษเบา กล่าวคือกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดว่า หากโทษความผิดคุณทักษิณเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ก็ห้ามส่งตัว

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คุณทักษิณถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี จึงเป็นกรณีโทษเบาที่ไม่ให้ส่งตัว แต่อย่าลืมว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ศาลไทยใช้ลงโทษคุณทักษิณนั้น มาตรา 122 ได้บัญญัติให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ว่าญี่ปุ่นจะตีความกฎหมายอย่างไร)

- ห้ามส่งตัวหากความผิดของคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ (double criminality)

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า ความผิดเรื่องการทุจริตที่เกิดจากการประมูลที่ดินโดยภรรยานายกรัฐมนตรีนั้น แม้กฎหมายไทยจะมองว่าผิด แต่กฎหมายญี่ปุ่นอาจไม่ถือว่าเป็นความผิด ก็ห้ามส่งตัว)
หากจะบอกว่าคุณทักษิณมั่นใจในข้อกฎหมายว่าไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่น้องคุณทักษิณต้องมานั่งตอบคำถามว่า ทำไมถึงไม่ขอส่งตัว หรือทำไมขอแล้วส่งมาไม่ได้ ก็อาจเข้าใจยากหน่อย

หรือกล่าวอีกทางหนึ่ง สุดท้ายใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ข้อนี้ตอบง่าย แต่งานนี้ใครฉลาดหรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก!!!

ฮือ!!?หวยยิ่งลักษณ์ ตรงเป๊ะป้ายรถเด็กพท.รวยอื้อ...

'มาดามปู' ให้โชค คนเสื้อแดง-รปภ.เพื่อไทยเฮ ถูกเลขท้ายหวยรัฐบาล 62 ตรงกับทะเบียนรถนายกฯหญิงเจ้าตัวหัวเราะร่า ก่อนรุดดูทะเบียนรถตัวเอง ขณะที่บางรายนำอายุ-วันเกิด “แม้ว” มาตีเป็นเลขเด็ดรวยถ้วนหน้า ด้านเซียนหวยเซ็งถ้วนหน้าเจ้ามือกินเรียบ เลขดังไม่ออก ส่วนผอ.กองสลาก เดินหน้าขอรัฐบาลใหม่ทบทวนถ่ายทอดสด ป้องกันประชาชนถูกหลอกลวง ขณะที่ ผบช.ภ.2 สนธิกำลังจับเจ้ามือหวยใต้ดินรายใหญ่เมืองพัทยา แฉมีเครือข่ายรับแทงพนันหวยจาก 108 เจ้ามือใหญ่ทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้าน

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประกาศผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 16 ส.ค. และผลปรากฏว่ารางวัลเลขท้าย 2 ตัว ออกหมายเลข 62 ทำให้บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลักประจำอยู่ที่ทำการพรรค ต่างส่งเสียงเฮแสดงความดีใจกันเป็นแถว รวมทั้งเจ้าหน้าที่พรรคหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคาร เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำลานจอดรถ ต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่ บางคนถึงกับเปรยว่า “นายกฯหญิงให้โชค” ทั้งนี้เนื่อง จากบรรดาคนเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ประจำพรรค ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลข 62 กันหลายคน

จากการสอบถามทราบว่า เลขดังกล่าวนอกจากจะเป็นเลขท้ายทะเบียนรถโฟล์คตู้สีดำป้ายแดง หมายเลข ว 1662 กรุงเทพฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วนั้น บางรายก็ยึดเอาอายุของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีอายุ 62 ปี บางคนก็ยึดเอาวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือวันที่ 26 ก.ค. และกลับเป็นเลข 62 ทั้งนี้แม้แต่โชว์เฟอร์ที่ขับรถให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกกับเขาด้วย โดยได้เดินมาบอกผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถูกเหมือนกัน แต่ซื้อน้อย” ขณะที่ทีมรักษาความปลอดภัย ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อ บางคนก็บอกว่าไม่เล่นหวย ทั้งนี้ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบถึงเรื่องดังกล่าว ถึงกับแสดงอาการตกใจ ก่อนที่จะสอบถามผู้สื่อข่าวว่า “จริงเหรอ เลขอะไรที่ออก” เมื่อ ผู้สื่อข่าวบอกว่าเป็นเลข 62 ซึ่งเป็นเลขของทะเบียนรถที่นายกรัฐมนตรีใช้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับยิ้มชอบใจ พร้อมหันไปถามคนใกล้ชิดว่าซื้อกันหรือเปล่า และก่อนขึ้นรถกลับก็ได้เดินไปดูทะเบียนรถตัวเองด้วย

อีกด้านหนึ่งที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ประจำงวดที่ 40 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีทั้งบรรดาเซียนหวยที่มาร่วมชมการออกรางวัล และยังคงเดินหาซื้อลอตเตอรี่ในนาทีสุดท้ายก่อนออกรางวัลกันจำนวนมาก เพราะไม่มีฝน และมีเลขเด็ดในงวดนี้จำนวนมาก ทั้งนี้มี นายวรวิทย์ ลิมปชัยมนตรี ผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาเป็นประธานในการออกรางวัล โดยรางวัลเลขท้าย 3 ตัวที่ออกได้แก่หมายเลข 814 345 074 และ 005 ส่วนรางวัลเลขท้าย 2 ตัวได้แก่หมายเลข 62 และรางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 356960 ขณะที่รางวัลที่ 1 พิเศษชุดที่ 1 ได้แก่ชุดที่ 25 หมายเลข 356960 สุดท้ายรางวัลที่ 1 พิเศษ ชุดที่ 2 ได้แก่ชุดที่ 53 หมายเลข 356960 ในการออกรางวัลครั้งนี้ บรรดาเซียนหวยต่างร้องเสียงเซ็งแซ่ด้วยความผิดหวัง เนื่องจากบรรดาเลขดังที่ซื้อเก็งกันไว้นั้น ไม่ออกรางวัลเลย

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ. 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี นำกำลังตำรวจจากกองกำกับการสืบสวน ภ.จว.ชลบุรี สภ.บางละมุง และ สภ.เมืองพัทยา กว่า 50 นาย พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดพัทยาที่ ค. 422/2554 ลงวันที่ 16 ส.ค. เข้าตรวจค้นบ้านหรูเลขที่ 17/34 หมู่บ้านพัทยาแลนด์แอนด์เฮ้าส์ หมู่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวลักลอบจำหน่ายหวยใต้ดินรายใหญ่ระดับประเทศ จากการตรวจค้นพบภายในบ้านพบมีกลุ่มคน 68 คน กำลังนั่งจดบันทึกโพยหวย โดยมีนายสมภาร คำมณี อายุ 41 ปี รับเป็นเจ้าของบ้านและเจ้ามือ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางเป็นเครื่องแฟกซ์ 25 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 12 เครื่อง, เครื่องคิดเลข 63 เครื่อง, สมุดเงินฝากของธนาคารต่าง ๆ 20 เล่ม, เช็คเงินสด 10 เล่ม, เงินสด 1 แสนบาท, อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก และโพยหวยใต้ดินที่ถูกแฟกซ์มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกจำนวนมาก

พล.ต.ท.ไถง เปิดเผยว่า การจับกุมหวยใต้ดินในครั้งนี้ถือเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก แต่ก็ยังมีอีก 2-3 แห่งในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งจะได้ขยายผลจับกุมกันภายหลัง ส่วนรายนี้แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่รับแทงพนันหวยใต้ดินโดยรับจากเจ้ามือใหญ่จำนวน 108 รายทั่วประเทศ โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท ส่วนพนักงานที่ มาจดโพยหวยจากการสอบถามทราบว่าได้ค่าแรงวันละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า นายสมภาร เจ้าของบ้าน อดีตเคยทำธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบเครือข่าย จ.จันทบุรี แต่ภายหลังได้เลิกทำแล้วเนื่องจากถูกตำรวจกวดขันจับกุมอย่างหนัก จึงหันมาทำธุรกิจหวยใต้ดินเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ขณะที่รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้ามือหวยรายใหญ่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั้ง 108 ราย จะได้ขออำนาจศาลออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป.

ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดาบนั้นคืนสนอง !!?

รัศมีแห่งการเข่นฆ่า, ก็ฉวัดเฉวียน โฉบเฉี่ยว ดังฉึกแน่นฉับ ไปยัง “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สิพี่น้อง
เมื่อกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ “ดีเอสไอ” รื้อแฟ้มคดีลับ จากกรุเก่าที่เก็บเอาไว้.....
ทั้ง “อภิสิทธิ-สุเทพ” จะมาแหกปากร้องกระเชอ โดนรังแกตัวงอเป็นกุ้งคงไม่ถูก...เมื่อกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ใครก็รอดสันดอนไม่ได้...และไม่มีวันหนีหลุด
ขณะนี้ “ท่านธาริต” อธิบดีคนเขื่อง..กำลังตั้งเรื่อง?..เดินเครื่อง เล่นงานกันสุด..สุด??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข!!
แต่ทั้งหมดนี้, มิได้หมายความว่า, “นายกฯปู” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะให้อภัย??
“เสธ.ไก่อู” พันเอกสรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.สร้างวีรกรรมสนั่นประเทศ ไว้เช่นใด..ท่านน่าจะรู้ดี!!
แม้จะอ้างเป็น “คำสั่งหน่วยงาน”...แต่การออกแอ็กชั่นเกินไป มันมีผลลบนะพี่
ถึงได้รับคำสั่งทำตามหน้าที่, ก็ไม่ควรเอ็กเซอร์ไซด์.. จนคนเขา ดูว่า “ล้ำเส้น”!!!
เมื่อมีน้ำขึ้นก็มีน้ำลง...ก้อ,ขอให้ท่านปลง..ปลง?...เมื่อตำแหน่งของท่านคงกระเด็น??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สลายขั้ว สลายอำนาจ!!!
ดับทุกข์แห่งความแตกแยก ของ “ทหารวงศ์เทวัญ” และ “ทหารบูรพา” ได้..ถือว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เดินเกมฉลาด??
ยิ่งการประกาศ ไปโยกย้าย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซีซ่าร์ใหญ่แห่งกองทัพบก..ได้ใจขุนศึกใหญ่เป็นตับ
เมื่อ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รับประกันซ่อมฟรี ว่าจะไม่ย้าย “บิ๊กตู่” ก็น่า เป็นเช่นนั้นแหละครับ
แต่ขอให้ระวัง “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะมาถึงตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ได้วันละ ๒๔ ชั่วโมง!
คนในรัฐบาลไม่คิดปลดท่านสักเวลา...มีแต่ “ป,เอ๋ย ปลา”?...คิดหาหนทางปลดให้ท่านลง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ปั้นงานใหญ่-งานยักษ์”
ผลักดันเต็มที่ เพื่อสร้าง “สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “ของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็นที่ประจักษ์!!!
โปรเจ็กเลิศสะแมนแตน ของ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดูจะอลังการสร้างสรรค์ เป็นอย่างยิ่ง
ใช้งบประมาณ หลายพันล้าน เพื่อสร้างคุณอเนกอนันต์ แก่ “ตำรวจ”ทั้งประเทศ...เป็นการฝาก “ผลงานทิ้ง”
แต่กลัวว่า,งานนี้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ต้องฝันสลายกลายเป็นหมันแน่...เพราะโอกาสถูกย้ายแรงเหลือเกิน!!!
ขืนดื้อดันทุรังต่อไป....มีแต่กลับตาย?....ชิงออกไป ก่อนที่จะยับเยิน???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อฝนจาง..ฟ้าก็สว่างสดใส!!
ถูกเช็คบิล, เก็บเอากรุไปนั่งตบยุงอยู่ เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม...ด้วยอำนาจมืออำมหิต..ตรงนี้และที่นี่ ได้แต่เห็นใจ กับ เห็นใจ
เขาไง, “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีดีเอสไอ คนตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด
เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี, ท่านคงไม่ถูกดองเค็ม ให้นั่งอึดอัด
คงได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ทำงานดี..... ฝากผลงานชั้นดี เอาไว้ในแผ่นดิน ให้คนได้จดจำ โปรดจับตา “คุณพี่ทวี”อย่าให้พลาด....คนนี้ท่านเก่งท่านฉลาด...น่าจะผงาดเป็น “ปลัดกระทรวงยุติธรรม”????


คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////