--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฮือฮากันทั้งรุ่น!!

งานพบปะสังสรรค์ ตท.รุ่น ๑๕ หรือ จปร.รุ่นที่ ๓๑..รุ่นเดียว กับ “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” ผบ.พล.ร.๙ ผู้วายชีพ เพราะ “ฮ.” ตกนั่นปะไร ล่ะคุณ??
เพื่อนร่วมรุ่น บรรจงจับเอาชื่อออก จากงานที่เลี้ยงตามประเพณี ที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ศุกร์ที่ ๒๒ กรกฏาฯ..เพื่อนทหารและตำรวจ ได้หยิบเอาชื่อ “ผู้การตะวัน” ออกจากการจับรางวัล
แต่ไฉน, ชื่อที่คัดออกหยิบออก กลับโผล่ขึ้น..จนเพื่อน ๆ ขนลุกกันไปทั้งงาน
อีกอย่าง น่าเป็นความผูกพัน ระหว่าง “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” กับพ้องเพื่อนที่รักใคร่กันมานาน จึงแสดงปาฏิหาริย์ ให้เห็น!!!
นับเป็นความน่ารัก...ที่ดวงวิญญาณ “พล.ต.ตะวัน”ได้มาทัก!...สมัครพรรคพวกได้มีการตื่นเต้น??

-------------------

เป็นความสูญเสียอย่างมหันต์!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บอกปัดแก้ต่าง เป็นเพราะ “อากาศปิด” คงจะไม่ได้ ดอกนะท่าน??
อยากกราบเรียนให้รู้เหมือนกัน..ที่ผ่านมา “ฮ.” ของ “สำนักงานตำรวจ” เคยตกร่วงกราว เหมือน “ฮ.เบลล์” ของ “ทหาร” หรือเปล่าหนอ
เหตุที่ความปลอดภัย ของฝ่ายทหาร มีไม่เพียงพอ
ก็น่าจะมาจากการ เปลี่ยนถ่าย “อะไหล่”ไม่ตามสเป็ก..ที่ “ฮ.” ตำรวจบินกันปร๋อ เพราะเขาให้ “การบินไทย” เปลี่ยนน็อตตามชั่วโมงบิน แต่ฝ่ายทหารให้ใครเปลี่ยนเห็น ฮ. ตกกันจัง!!
ฮ.ตกเสียหายไม่เป็นไหร่...แต่ที่มีคนตาย?...โทษแต่อากาศปิด คงไม่ได้กระมัง??

--------------------

ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดา!!
“บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๒๓ พรรคเพื่อไทย คนนี้น่าจับตา
สัมพันธ์แนบชิดกับ “ ทักษิณ ชินวัตร” มีไม่เท่าไหร่?...แต่เมื่อคราวโอลิมปิกที่จีน “บิ๊กอ๊อด” เป็นผู้พา “นายห้างดูไบ”หนี
โอกาสเกาะลิฟท์แก้ว เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ก็มี
ยิ่งฐานของน้องรักน้องเลิฟ “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” ประธานใหญ่นวนคร ที่ได้ดูแลนายทหารใหญ่ ๆ มีทั้ง “พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี” , “พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร” รวมอยู่กันครบเซ็ท
ถ้า “บิ๊กอ๊อด” ขึ้นมาเป็นใหญ่...ขุนศึกรุ่นต่างๆ จะไปไหน?..ล้วนอยู่ใต้อาณัติกันเบ็ดเสร็จ

--------------------

ไม่เคยเห็นหัวผู้ใหญ่!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คงเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร??
ทั้งที่ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” หรือ “ท่านหมอผี” ทำคุณเอาไว้พรรคประชาธิปัตย์เอาท่วมท้น ก่อนที่ “อภิสิทธิ์” จะเข้ามาแจ้งเกิดบนถนนการเมือง
ผลักไสไล่ส่ง ให้“ท่านสัมพันธ์” มา ลงสส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ ๔๘ อย่างไม่ใช่เรื่อง
ขณะเดียวกันใช้กำลังภายใน ผลักดันให้ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ลงปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๓๖ ทั้งที่ก่อเรื่องสร้างเหตุ ให้ “ประชาธิปัตย์” ขัดใจกับพรรคอื่น ๆ จนเขาพากันเป็นศัตรู!!
ที่ “อภิสิทธิ์”พาประชาธิปัตย์เจ๊ง...ก็เพราะความอวดเก่ง?...ที่เล็งไม่เห็นหัวผู้ใหญ่เท่าที่รู้

--------------------

“สัมพันธ์สวาท” เห็นที จะต่อติดยาก!!!
บอกได้เลยว่า วันนี้ “ท่านนิพนธ์ พร้อมพันธ์ุ” ปฏิเสธ ที่จะมองหน้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “นายกฯมาร์ค”
เรื่องเกาเหลากินใจระหว่าง “ท่านนิพนธ์” กับ “อภิสิทธิ์” มีอยู่เป็นกอง
แต่เรื่องที่มองกันไม่ติด ..เมื่อ “ท่านนิพนธ์” ฝากฝังให้ “สุธรรม ลิมสุวรรณ” เด็กสร้างเด็กปั้น ลง สส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ ๕๐ หรือ ต้น ๕๐ แต่ “อภิสิทธิ์” โยกไปลงอันดับที่ ๙๓ โดยไม่แคร์คำขอร้อง
เหมือนกับว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่ “อภิสิทธิ์” ใหญ่คนเดียวเช่นนั้น!!
ก้อชอบทำตัวใหญ่คับพรรค....คนดีๆ จึงพากันตีจาก?...เพราะเขาเซ็ง “มาร์ค”ขึ้นทุกวัน

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เยอรมันไฟเขียว แม้ว เข้าประเทศ-ผลประโยชน์มาก่อน !!?

เยอรมันไฟเขียว “แม้ว” เข้าประเทศ-ผลประโยชน์มาก่อน !?

ถ้าข่าวที่อ้างรายงานโดยสื่อเยอรมันระบุว่าทางการเยอรมันโดยกระทรวงการต่างประเทศนั้นได้ประกาศยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา มันก็สะท้อนให้เห็นภาพหลายอย่างตามมา ทั้งในเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างประเทศ

หลังจากทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีซื้อที่ดินผืนงามย่านรัชดาภิเษก โดยเขาหลบหนีไม่ยอมมารับฟังคำพิพากษาดังกล่าว ขณะเดียวกันยังถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตอีกหลายคดี แต่จำต้องยุติลงชั่วคราวเนื่องจากหลบหนีหมายจับของศาล

จากนั้นทางการไทยก็ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูต(พาสปอร์ตแดง) และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ขณะเดียวกันมีหลายประเทศในยุโรปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาสั่งห้ามเข้าประเทศ โดยเฉพาะ อังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของเขารวมทั้งเงินฝากในธนาคารด้วย

สำหรับประเทศเยอรมันนั้นตามรายงานโดยสื่อต่างประเทศระบุว่าได้มีคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศเมื่อราวปี 2552 และล่าสุดเพิ่งมีรายงานว่าได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในรายละเอียดกรณียกเลิกคำสั่งห้ามเข้าประเทศของเยอรมันมันก็มีข้อน่าสังเกตหลายอย่างตามมา และถือว่าเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะยังเป็นช่วงที่มีคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทางการเยอรมันนีทำการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 จากกรณีบริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากรณีที่เกิดขึ้นได้สร้างรอยร้าวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุครัฐบาลรักษาการของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เพราะหลังจากนั้นก็มีการเชิญเอกอัครราชทูตเยอรมันมาประท้วง และมีแถลงการณ์ตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศตามมา ซึ่งภาพก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับ รัฐบาลไทยในปลายยุคของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เริ่มไม่ลงรอย

ประกอบกับก่อนหน้านี้หากจำกันได้ก็เคยมีรายงานว่ามีทีมทนายความของ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกด้วย แต่ต่อมาก็มีการปฏิเสธกันอย่างสิ้นเชิงเรื่องจึงเงียบหายไป อย่างไรก็ดีเมื่อล่าสุดมีรายงานข่าวชิ้นใหม่ก็คือ ทางการเยอรมันยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็ย่อมนำมาปะติดปะต่อรวมกันได้ว่าทั้งสองกรณีน่าจะเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันทางไหนก็ต้องมาวิเคราะห์กันทีละประเด็น

ถ้าพิจารณากันแบบรวบรัดตัดความแล้วก็ต้องเริ่มจากความสัมพันธ์ที่เริ่มเสื่อมทรามลงระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในยุคปลาย เพราะหากย้อนไปฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่หลุดปากมาว่าที่ผ่านมาบริษัทวอเตอร์บาวน์ พยามยาม “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อขอให้รัฐบาลไทย “ชำระหนี้” ให้จงได้ ความหมายก็คือ “วิ่งเต้น” กันทุกวิถีทาง แต่ไม่สำเร็จ

ความหมายต่อมาก็คือ เมื่อวิ่งเต้นกับรัฐบาลหนึ่งไม่สำเร็จ ก็ต้องหาทางวิ่งเต้นกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งทางการเยอรมันก็ย่อมรู้ข้อมูลดีอยู่แล้วไม่ต่างจากคนไทยว่าคนที่มีอำนาจและเป็น “เจ้าของ” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง มันจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศในอนาคตหรือไม่

การเปิดไฟเขียวให้ ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็เหมือนเป็นการปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางด้านอื่นตามมาหรือไม่ เพราะรู้กันอยู่แล้วรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กำลัง “ตกกระป๋อง” เพราะอย่างที่เข้าใจกันก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่ล้วนตามมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐาน หรือหลักการทางกฎหมาย หรือความยุติธรรมที่ตายตัวที่มักอ้างบังหน้าแต่อย่างใดไม่

กรณีที่เกิดขึ้นกับ ทักษิณ ที่เกิดขึ้น หากเป็นจริงตามรายงานข่าวต่างประเทศยืนยัน ประกอบกับความบาดหมางในเรื่องการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่มีบริษัทวอเตอร์บาวน์ มาเกี่ยวข้องนั้น มันก็สะท้อนให้เห็นว่าทางการเยอรมันได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่อย่างชัดเจนแล้ว และที่สำคัญก็คือเป็นการเลือกที่จะต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาลใหม่ที่ชี้นำโดย ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นมันจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้

ขณะเดียวกันมันก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อ กษิต ภิรมย์ กว่าสองปี ที่ทำหน้าที่ก็ประสบความ “ล้มเหลว” ในทุกเรื่อง และกรณีเยอรมัน ถือว่าเกิดขึ้นล่าสุด !!

ที่มา: ผู้จัดการ
////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พล.อ.ไวพจน์ ผ่าทหาร-การเมือง ใช้ประโยชน์-ครอบงำ-ไร้สมดุล..!!?


โดย : ปกรณ์ พึ่งเนตร
ทหาร กองทัพไทย กับการเมืองไทยผูกติดมาตลอด ในหลายรูปแบบ ล่าสุดรัฐประหาร2549 ไล่รัฐบาล ทรท.ไป ปัจจุบันกับรัฐบาลใหม่ พท. จะเป็นเช่นไร

พลวัตการเมืองไทยในห้วงครึ่งทศวรรษมานี้ นับจากการรัฐประหารเที่ยวล่าสุดเมื่อปี 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กองทัพ" เข้ามามีบทบาททางการเมืองสูงมาก และกลายเป็นจุดเปราะบางอันสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคู่ขัดแย้งกับทหารโดยตรง
ประเด็นที่เกี่ยวกับ "บทบาท" ที่เหมาะควรของทหาร และ"ระยะห่าง" หรือ "ความสัมพันธ์" ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลควรเป็นอย่างไร เพื่อขับเคลื่อนการเมืองไทยต่อไปในทิศทางที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น นับเป็นโจทย์ที่น่าค้นหาคำตอบไม่น้อยทีเดียว

พลเอกไวพจน์ ศรีนวล อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งผ่านงานการเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานเดิมของเขา คือสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ทั้งยังร่วมกับองค์กรเอกชนต่างประเทศจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปกองทัพสำหรับประเทศกำลังพัฒนาด้วย เพ่งมองภาพความเปราะบางนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ

พลเอกไวพจน์ ชี้ว่า ปัญหากองทัพหรือทหารเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกประเทศ ไม่เฉพาะไทย สาเหตุประการหนึ่งเป็นเพราะกองทัพมีทรัพยากรบุคคลมาก จึงช่วยงานพัฒนาในประเทศที่ยังไม่พร้อมได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจำกัดบทบาทอยู่เพียงแค่นี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร

แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ฝ่ายการเมืองเองจึงพยายามใช้ทหารเป็นเครื่องมือ เมื่อเลือกใช้ทหาร ฝ่ายทหารก็ชอบ เพราะได้งบประมาณมากขึ้น แล้วก็แสดงบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางประเทศกลายเป็นการครอบงำฝ่ายการเมืองไปเลย ซึ่งเป็นสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา

ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ไวพจน์ บอกว่า ต้องสร้างสมดุลด้วยการ "ปฏิรูปกองทัพ" หรือ Military Reform ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คิดและทำมานานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้า
"สาเหตุที่การปฏิรูปกองทัพทำได้ไม่ค่อยดี เพราะ 1.การเปลี่ยนแปลงกองทัพเป็น Political Issue หรือประเด็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนด้วย คือต้องมี Political Will หรือเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน แน่วแน่ แต่บ้านเราฝ่ายการเมืองไม่เข้มแข็ง กลับใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ กองทัพก็เอนจอย (enjoy - สนุกสนาน) เพราะได้อำนาจต่อรองเพิ่ม ทั้งงบประมาณ และสถานะ เนื่องจากกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมืองไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และจะไม่คืบหน้าต่อไปถ้าการเมืองยังไม่เข้มแข็งอยู่แบบนี้"

"2.กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพยังมีลักษณะยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิมๆ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ถูกชี้นำโดยประเทศมหาอำนาจ แม้จะยึดผลประโยชน์ชาติ หรือ National Interest แต่ทิศทางยังมีอคติ เพราะอยู่ภายใต้การชี้นำของมหาอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ จึงไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ชาติแบบเต็มร้อย แต่กลับเป็นไปในลักษณะตอบสนอบเฉพาะกลุ่ม"

ในทัศนะของ พลเอกไวพจน์ เขาให้น้ำหนักไปที่กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าเป็นจุดอ่อนทั้งในระดับกองทัพเองและรัฐบาล เขาขยายความว่า ในระดับผู้นำกองทัพหรือนายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ที่ผ่านมา แม้ทำให้กองทัพมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เป็นการเปลี่ยนเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน คือเมื่อเดินตามฝรั่ง ก็จะมุ่งเปลี่ยนแปลงเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งเกิดผลน้อย หากจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลจริงๆ ต้องเปลี่ยนคู่กัน 2 แนวทาง คือ โครงสร้างการบริหารจัดการ และทิศทางการก้าวเดินซึ่งต้องเปลี่ยนด้วย

เมื่อหันไปพิจารณาในระดับการเมืองหรือรัฐบาล จะเห็นว่าฝ่ายการเมืองเองก็ไม่มีกรอบคิดทิศทางที่ชัดเจน ใครขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ก็ปรับโครงสร้างนิดหน่อย ซื้ออาวุธนิดหน่อย ก็ถือว่าได้ปฏิรูปกองทัพแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังมีจุดอ่อนการปฏิรูปเพื่อทำให้เกิดสมดุลระหว่างกองทัพกับการเมืองอยู่มาก

"นายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ในบ้านเรามองแนวคิดแต่ Military Strategy (ยุทธวิธีทางทหาร) คือใช้กำลัง แล้วก็จัดซื้ออาวุธ ถามว่าเดินถูกทางไหม มันก็ถูก แต่ถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ต้องมองให้เหนือกว่าเรื่องยุทธวิธีทางทหาร คือต้องมองไปที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง หรือ Security Strategy"

อย่างไรก็ดี พลเอกไวพจน์ ชี้ว่าสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เพราะในประเทศเหล่านั้นประชาชนจะศรัทธากองทัพมาก และกองทัพมีอิทธิพลมาก เมื่อเสนอยุทธศาสตร์อะไรไป ผู้กุมนโยบายด้านความมั่นคงก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ปัญหาจึงแก้ไม่ได้เพราะมองเฉพาะยุทธวิธีทางทหาร

"ยกตัวอย่างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้ามองแค่กรอบ Military Strategy ก็สั่งให้เอากำลังไปวาง แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย จุดอ่อนคือกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ไม่ได้รับการพัฒนา ประชาชนไม่สามารถหวังพึ่งกองทัพให้แก้ปัญหาชาติได้ เพราะแก้ได้แค่ระดับยุทธวิธี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากองทัพแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติไม่ได้เลย รวมทั้งปัญหาภาคใต้ด้วย เพราะมองแต่ยุทธวิธีทางทหาร เมื่อผนวกกับการเมืองก็อ่อนแอ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ จึงยิ่งไม่กล้าปรับเปลี่ยน ทำให้เจตจำนงทางการเมืองไม่แจ่มชัด ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พัฒนาไม่ได้"

พลเอกไวพจน์ เสนอว่า การจะก้าวข้ามปัญหานี้ องค์กรเหนือกองทัพต้องแสดงบทบาทมากขึ้น อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และฝ่ายการเมือง จะมาใช้กองทัพแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นปัญหาจะทับถม

"ปัญหาของกองทัพกับปัญหาของฝ่ายการเมือง จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือการกำหนดนโยบายยุทธศาตร์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่หรือขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้ ปัญหาต่างๆ จึงแก้ไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่รีบแก้ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุนี้ การก้าวเดินต่อไปจะยิ่งไร้ทิศทาง"

"ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ยังเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดเวทีไปฟังปัญหา จากนั้นก็นำประเด็นที่รับฟังมากำหนดเป็นนโยบาย วิธีการแบบนี้แม้จะถูกต้องแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระดับชาติ เพราะปัญหามันไม่ได้ง่ายแบบเดิมแล้ว ไม่เหมือนยุคสงครามเย็น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อนสูง ไม่ใช่เรื่อง 1+1 = 2 อีกต่อไป"

"อย่างเช่นการจะสร้างความปรองดอง แล้วบอกว่าคนในชาติมีแต่ความแตกแยก จริงๆ แล้วแตกแยกไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นผลกระทบ ฉะนั้นต้องมองย้อนกลับไปว่าสาเหตุของความแตกแยกเกิดจากอะไร ด้วยเหตุนี้การโฆษณาให้ปรองดองจึงไม่เกิดผลอะไร เพราะต้องเข้าใจและหาวิธีแก้ปัญหาที่แก่น"

"เช่นเดียวกับนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ประชาชนชอบเพราะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นจึงใช้วิธีเดิมๆ ต่อไปอีกไม่ได้ เรากำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากนี้ก็จะมีการแถลงนโยบาย และทำแผนปฏิบัติ แต่ถ้ายังเป็นแผนเดิม ทิศทางก็เดิมๆ ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ"

ส่วนการปฏิรูปกองทัพด้วยการปรับลดขนาดลงเพื่อให้มีความคล่องตัวและพัฒนาประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้นนั้น พล.อ.ไวพจน์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะภัยคุกคามในลักษณะที่เป็น Traditional Treat (ภัยคุกคามแบบเก่า) ในยุคสงครามเย็น ได้เปลี่ยนเป็น Nontraditional Treat หรือภัยคุกคามแบบใหม่ไปแล้ว

"การต่อสู้กับภัยคุกคามแบบเดิม คือการรบด้วยกำลังทหาร ใครที่มีกำลังพลมากกว่า อาวุธมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะนั้น ปัจจุบันแทบจะหมดไปแล้ว ทุกวันนี้ทุกประเทศพยายามเป็นมิตรกัน มีการรวมกลุ่มกัน เช่น อาเซียน และมีองค์กรระหว่างประเทศคอยแก้ไขความขัดแย้ง อาทิ องค์การสหประชาชาติ ฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดการรบขนาดใหญ่มีน้อยมาก"

"ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มี 4 เรื่องหลัก คือ ยาเสพติด แรงงานข้ามชาติ ภัยพิบัติ และก่อการร้าย จึงต้องถือว่ารูปแบบเปลี่ยนไป การลดกำลังพลของกองทัพลงจึงเป็นเหตุเป็นผล ปัจจุบันเทคโนโลยีมีมากขึ้น สามารถใช้แทนได้ และยังเป็นการป้องปรามทางยุทธศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วย เรื่องแบบนี้เราก็เคยคิดกัน แต่อาจจะละเลยไป"

พลเอกไวพจน์ บอกด้วยว่า ระบบป้องปรามทางยุทธศาสตร์ก็เช่น การพัฒนาเรื่องการรบร่วม แทนการจัดซื้ออาวุธบางประเภท เช่น ปืนเล็ก ซึ่งไม่ได้ตอบสนองอะไรในทางยุทธศาสตร์ ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชน จึงต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและเอ็นจีโอจึงจะประสบความสำเร็จ

ทั้งหมดนี้คือทิศทางที่ควรจะเป็นของกองทัพในความเห็นของอดีตขุนพลด้านความมั่นคงอย่าง พล.อ.ไวพจน์ แต่การปรับบทบาทจะเป็นจริงได้หรือไม่ ต้องย้อนกลับไปถามฝ่ายการเมืองด้วยว่าเมื่อไรจะเลิกใช้กองทัพเป็นเครื่องมือเสียที!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประยุทธ์. ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!?


“ประยุทธ์”ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!

ผ่าประเด็นร้อน

จะเป็นเพราะต้องการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างที่มีความพยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพกรณีที่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ลำในเวลาไล่เลี่ยกันเพียง 8 วันเท่านั้น และเกิดอุบัติเหตุในภารกิจเดียวกัน ในบริเวณใกล้เคียงกัน

อุบัติเหตุทั้งสามครั้งทำให้มีนายทหารระดับสูงคือ พล.ต.ตะวัน เรื่องศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เสียชีวิต รวมไปถึง นักบิน ช่างเครื่อง ทหารและพลเรือนต้องเสียชีวิตรวมแล้ว 17 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าจนประเมินไม่ได้

ในครั้งแรกที่เริ่มเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ประเภท “ฮิวอี้” ทำให้ทหารเสียชีวิตรวม 5 ศพ ก็ค่อนข้างสรุปตรงกันว่าเป็นเพราะสภาพอากาศปิด ไม่อำนวยแม้เศร้าสลดอย่างไรก็พอทำใจยอมรับได้ว่านี่คืออุบัติเหตุเหลือวิสัย แต่ถัดมาก็มาเกิดซ้ำขึ้นอีกกับเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอร์ค” ที่ถือว่าทรงประสิทธิภาพที่สุดที่กองทัพบกนำเข้าประจำการ สร้างความสูญเสียอีก 9 ศพ และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมก็มาเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 เสียชีวิตอีก 3 ศพ รอดตายราวปาฏิหาริย์ อีก 1 นาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส

หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ถึงเพียงนี้ แม้หลายคนยอมรับตรงกันว่าภารกิจทั้งกู้ภัยช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมันสุดหิน สุดอันตราย ยากลำบากอยู่ในป่าดงดิบที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ก็ตาม แต่ประเด็นก็คือ ต้องสอบสวนหาสาเหตุให้กระจ่าง เพราะเราไม่ต้องการให้ทหาร โดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย หรือทหารระดับรองลงมาไปเสี่ยง เนื่องจากเป็นความสูญเสียที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแบบนี้อีกแล้ว

แม้ว่าในเบื้องต้นจะสรุปค่อนข้างตรงกันว่าสาเหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่ต้อง “สะกิดเตือน” กันดังๆไปถึงผู้บัญชาหารทหารบก ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานสั่งสอบสวนให้ละเอียดอีกทางหนึ่งด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนมันก็เป็นธรรมดาที่ทำให้ทหาร นักบินเกิดความหวดผวากันบ้าง ไม่เว้นแม้แต่คนไทยทั่วไปที่ช็อกและสลดหดหู่จนบอกไม่ถูก

อย่างไรก็ดีแทนที่ ผู้บัญชาการทหารบกจะเปิดใจกว้างยอมรับให้มีการตรวจสอบและสอบสวน หาสาเหตุอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสบายใจกันทุกฝ่าย ที่สำคัญเป็นการสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับกำลังพลที่ต้องใช้อากาศยานของกองทัพบกปฏิบัติภารกิจ แต่นี่ตรงกันข้ามกลับแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กล่าวหาว่าคนที่ออกมาวิจารณ์ดังกล่าวมีเจตนาทำให้กองทัพเสียหายไปเสียอีก

อย่างไรก็ดีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดและพฤติกรรมของ ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้สวนทางกัน เพราะขณะกล่าวตอบโต้คนที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนหาสาเหตุในทุกด้านเพื่อความปลอดภัยของกองกำลังพลนั้น ในทางลับกลับสั่งระงับการบินของเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันตัวเองก็ยังไม่กล้าใช้เป็นพาหนะเดินทางไปประกอบภารกิจ ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างก็คือเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเดินทางโดยรถยนต์ไปร่วมงานศพ นายทหารที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว ที่จังหวัดกาญจนบุรี

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นแล้วว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงกับไม่กล้าขึ้นบิน เพราะถ้ามั่นใจก็ต้องแสดง “ภาวะผู้นำ” ปลุกขวัญทหารแบบนี้ ไม่ใช่มาแสดงอาการกราดเกรี้ยวต่อหน้าสื่อ แล้วบอกว่านี่คือการแสดงภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าแปลกพิลึก

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือมีการแสดงให้เห็นว่าคิดจะใช้จังหวะแบบนี้เตรียมเสนอของบประมาณในปี 2555 กับรัฐบาลใหม่เพื่อจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหม่จำนวน 30 ลำ ใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท ซึ่งหากว่ากันด้วยความเป็นธรรมมันก็สมควรตั้งงบซื้อ หรือปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ แต่คำถามก็คือในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้อง “เคลียร์” ทุกข้อสงสัยให้กระจ่างเสียก่อน เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ ตรงกันข้ามดีเสียอีกที่ทุกฝ่ายมีความกระตือรือร้น เป็นเจ้าของกองทัพ เพราะกองทัพเป็นของประชาชน เป็นหลักการปกติทั่วไปอยู่แล้ว

ดังนั้นหากต้องทำให้ทุกอย่างตรงประเด็นก่อนที่จะไปเรื่องอื่นให้เลยเถิดถึงเรื่องอื่น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้องสร้างภาวะผู้นำอย่างแท้จริงด้วยการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วและโปร่งใส เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หรือหากเป็นไปได้น่าจะถึงเวลา “สังคายนา” กันภายในกันสักครั้ง เพราะนี่แหละคือการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างแท้จริง !!

ที่มา: ผู้จัดการ
*************************

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อภิวันท์.แซงขุนค้อนจ่อซิว ประธานสภา พายัพ.ยันภายใน 10 ส.ค.เห็นหน้า ครม.ครบแน่ !!?

นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่าหาก ส.ส.ต้องการเป็นรัฐมนตรี จะต้องไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในต่างประเทศว่า เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น บอกได้เลยว่าคนที่ไปวิ่งเต้นไม่ได้เป็นแน่นอน เพราะตอนนี้เรามีหมูอยู่ หากไก่จะวิ่งให้ได้เป็นหมู คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หมูที่เรามีอยู่ตอนนี้ ยังเป็นเนื้อสันหรือสามชั้นหรือกระดูกอยู่ เราต้องไปเลือกให้เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งการเสนอชื่อรัฐมนตรีในส่วนของภาคอีสานนั้นมีรูปแบบการเสนอชื่ออยู่ 2 แบบ คือ 1.การเสนอไปแบบยกตะกร้า เพื่อให้พรรคได้มีการคัดเลือก หรือ 2.เสนอไปแบบขนมชิ้นอร่อยๆ 2-3 ชิ้นเพื่อให้พรรคได้ทดลองเลย

นายพายัพกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการจัด ครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก หากผู้สื่อข่าวต้องการรู้ถึงตำแหน่งใน ครม.ทั้งหมดขอให้มาถามตนในวันที่ 10 สิงหาคม เพราะเท่าที่ได้ประเมินระยะเวลา หากเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 สิงหาคม ก็น่าจะได้มีการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกินวันที่ 3 สิงหาคม จากนั้นในวันที่ 4-5 สิงหาคม น่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นการจัด ครม. ซึ่งน่าจะเห็นหน้าตา ครม.อย่างชัดเจนไม่เกินช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม

ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินระยะเวลาในการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินวันที่ 3-4 สิงหาคม จากนั้นวันที่ 7-8 สิงหาคม น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็จะมีความชัดเจนเรื่องคณะรัฐมนตรี

แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนว่าตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่มีชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนั้น นายวิทยาได้แสดงความจำนงกับแกนนำพรรคเพื่อไทยขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ทำให้เหลือเพียงนายสมศักดิ์กับ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งทำให้ พ.อ.อภิวันท์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยมากกว่านายสมศักดิ์แรงขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็นแคนดิเดตอันดับที่ 1 ส่วนนายสมศักดิ์ แม้จะมีประสบการณ์และชื่อเสียงจากการที่เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก จึงอาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดซีแทน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ โดยมีชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่มีบทบาทในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแม่นยำเรื่องข้อบังคับและเกมการเมือง รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ที่แม่นยำเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ และเป็นตัวแทน ส.ส.ภาคอีสาน ที่จะมารับโควตาในส่วนของภาคอีสาน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีความเคลื่อนไหวล่าสุด พบว่ามีชื่อนายฐานิส เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย หลานชายนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีชื่อแรงเข้ามาแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แข่งกับนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มีรายชื่อแคนดิเดตตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวมาตลอด เนื่องจากกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกระทรวงในโควตาของพรรคประชาราช ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เป็นรัฐมนตรี

ที่มา : มติชนออนไลน์
*************************

การกลับมาของผู้สมรู้ร่วมคิดก่อการรัฐประหาร !!?

นายเทพไท เสนพงศ์มีประวัติในเรื่องของการพูดในสิ่งที่น่าอับอาย เมื่อครั้งยังเป็นในโฆษกส่วนตัวของนายมาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเทพไทสร้างความน่าอับอายขายขี้หน้าให้กับให้เจ้านายตนเองมาหลายหน ด้วยการพูดจาโป้ปดและเหยียดเชื้อชาติอย่างโจ่งแจ้ง ปัจจุบัน พรรคของเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างราบคาบให้กับเพื่อไทยมากกว่าร้อยที่นั่ง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากเป็นประวัติการณ์ เรายินดีที่จะยอมปล่อยให้นายเทพไทห่างหายไปจากฉากเหตุการณ์นี้และหางานทำใหม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ต่างจากพรรคของเขา นายเทพไทเหมือนจะไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงได้ว่าประเทศไทยหมดความอดทนกับตัวเขาและพรรคพวกของเขาแล้ว แม้ว่าพรรคของเขาพยายามจะเปลี่ยนผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม (อีกครั้ง) โดยการพยายามหาทางทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบ โดยปราศจากข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเทพไทยังมีหน้ามาแนะนำให้คนเสื้อแดง “ยุติบทบาท” และเรียกร้องให้ว่าทีนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสนับสนุน “การสลายตัว” ของหมู่บ้านเสื้อแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในภาคอีสาน

ไม่ว่านายเทพไทหรือพรรคประชาธิปัตย์จะพูดอย่างไร แต่คนเสื้อแดงกลับมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดงสามารถช่วยให้รัฐบาลใหม่ซึมทราบประเภทอุดมคติที่ชอบด้วยหลักการ ซึ่งมักจะถูกลืมเลือนไปในระหว่างการทำงานทอย่างหนักของการเมืองในรูปแบบรัฐสภา ในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวเพื่อต่อต้านความพยายามของกองทัพ ศาลและพรรคประชาธิปัตย์ที่จ้องจะทำลายหรือล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเทพไทเรียกคนเสื้อแดงว่าเป็น “มวลชนกดดันนอกสภา” ซึ่งเป็นพลังที่ไม่มีที่ให้ยืนในระบอบประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เข้าร่วมกับกิจกรรมการเมืองนอกสภา ผ่านทางตุลาการที่แทรกแซงกิจการการเมือง ตามที่นายจรัล ดิษฐาอภิชัยได้อธิบายไว้ในบทความล่าสุดของเขาว่า การบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 เป็นไปเพื่อเปิด “ช่องทางประตูหลัง” หลายช่องให้กับกลุ่มอำมาตย์ เพื่อเปลี่ยนและทำลายผลการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย โดยถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าผู้คบคิดแผนการรัฐประหารกลับบ้านเข้าค่ายทหารและยอมแพ้ แต่พวกเขาเพียงเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อสร้างแผนการที่ซับซ้อนมากขึ้น หาผลประโยชน์จากรัฐธรรมนูญที่มีตำหนิไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และใช้การเมืองควบคุมศาลเพื่อแทรกแซงและสอดแทรกกระบวนการทางประชาธิปไตย

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน แต่มันชัดเจนว่าหนทางสู่ประชาธิปไตยยังอีกยาวไกล กลุ่มอำมาตย์ไทยยังคงทีวิธีการหลากหลาย นับตั้งแต่การตั้งข้อหาทางกฎหมายที่มีแรงจูงใจทางการเมืองไปจนถึงการทำรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อกำจัดรัฐบาลใหม่ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกปล่อยให้เป็นรัฐบาลในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการปฏิรูปในสิ่งที่จำเป็น แต่การคัดค้านของศาลและการที่กองทัพไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน เป็นไปได้ว่าจะมีการขัดขวางความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยรัฐบาลทหารในปี 2550 การยกเลิกข้อจำกัดของเสรีภาพส่วนบุคคล และสอบสวนการสังหารหมู่ของประชาชนทั้ง 92 รายเมื่อปีที่แล้ว
เมื่อหลายเดือนที่แล้ว เราได้เตือนถึง “ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ที่กำลังถักทอขึ้นเพื่อพยายามปกป้องรักษาอำนาจของกลุ่มอำมาตย์ ผ่านทางการข่มขู่และใช้สถาบันรัฐที่สำคัญเป็นเครื่องมือ “ภัยรัฐประหารยุคใหม่”ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยหลายครั้งก่อนหน้านี้ แม้แต่ภายหลังที่ประชาชนไทยขับไล่เหล่านายพลออกจากอำนาจในปี 2516 และ 2519 กลุ่มอำมาตย์ยังหาทางตะกุยตะกายกลับมา โดยการใช้ความวุ่นวายที่ร้ายแรง (ในยุค70) หรือควบคุมกระบวนการทางการเมือง (ในกลางยุค90) ”ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2551 โดยการกระทำของกลุ่มพันธมิตรและการไม่กระทำการในหน้าที่ของกองทัพ และทำให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนกลายเป็นอัมพาต รวมถึงวางรากฐานให้กับการสอดแทรกของศาลรัฐธรรมนูญ เกือบสองเดือนก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ อดีตนายรัฐมนตรี นายอนันต์ ปัญญารชุนอธิบายให้เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐอเมริกาฟังถึงสิ่งที่กำลังจะถูกเปิดเผยออกมา โดยสิ่งนั้นจะ “ไม่ใช่รัฐประหารแบบตามที่ประชาคมโลกเข้าใจ”

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะประกาศว่าภารกิจได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหมือนที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายเทพไท เสนพงศ์แนะนำ นายเทพไทไม่ใช่สามารถอ้างศีลธรรมสูงส่งในขณะที่เขายังคงทำสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด เขาควรจะยอมรับผลการเลือกตั้งและเลิกสร้างความอับอายให้กับตนเองและพรรคของเขา หากประเทศไทยยังไม่บรรลุการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งได้ดำเนินมาเกือบ 80 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เราพึงพอใจกับเหตุการณ์อดีตในแต่ละครั้งที่เราก้าวข้ามมามากเกินไป ซึ่งทำให้กลุ่มอำมาตย์ใช้หาผลประโยชน์ด้วยการยึดอำนาจที่พวกเขาถูกบังคับให้สละก่อนหน้านี้กลับมา การเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยคือทางเดียวที่คนเสื้อแดงจะการันตีว่า ในที่สุดเราจะได้รับเสรีภาพที่ประชาชนหลายรายได้เสียสละชีวิตเพื่อให้ได้มา แทนที่จะรู้สึกพึงพอใจ นี่คือเวลาที่เราจะพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อทำภารกิจของเราให้สำเร็จลุล่วง

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อภิวันท์ลั่นไม่รับตำแหน่งรองปธ.สภา หนุนบิ๊กจิ๋ว-สำเภานั่ง กห.

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า พรรคได้มีมติมอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คัดเลือก ทั้งนี้ จะมีการพิจารณาจากบุคคลภายในพรรคก่อน และทางกลุ่มนปช.นั้นก็ไม่ได้กดดันหรือเรียกร้องให้ต้องมีส.ส.ในกลุ่ม นปช.เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วหากพรรคมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งใดก็พร้อมที่จะทำงาน แต่คงจะไม่ใช่ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีความชัดเจนภายใน 3-4 วันนี้

พ.อ.อภิวันท์ ยังกล่าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญงานของกองทัพเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในพรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลหลายคนที่มีความเหมาะสม อาทิ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค ส่วนคนนอกซึ่งเคยร่วมรัฐบาลมาแล้วจะมีโอกาสมาดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเขาคงจะไม่รับตำแหน่ง เพราะแนวนโยบายนั้นแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนนอกอย่างพล.อ.สำเภา ชูศรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นถือว่าเหมาะสม

ที่มา.เนชั่น
***********************

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ยืนยัน ไทยต้องชำระค่าชดเชยตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยืนยัน คำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใดๆอีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนประเทศไทยชำระเงินที่ค้างไว้เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการ “ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมันและจากประเทศอื่นๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย”

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก “เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่าการบังคับคดีในเรื่องนี้สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลลานด์ชูตใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะโบอิ้ง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินลำดังกล่าวออกมา ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนทากของเยอรมนีรายงานคำพูดของแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นคู่พิพาทกับรัฐบาลไทย ว่า “เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย” ทำให้วานนี้ (25 ก.ค.) ทางรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการดังกล่าวจากทางเยอรมัน และกล่าวว่า และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
แถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย
**************************************

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ป.ป.ช.ฟ้อง อภิรักษ์ กับพวกทุจริตซื้อรถดับเพลิงกว่า 6 พันล้าน !!?

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำสำนวนหลักฐาน 50 กล่อง 15,000 แผ่น ในคดีทจุริตจัดซื้อรถเรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กทม. มูลค่า 6,600 ล้านบาท ยื่นฟ้อง นายโภคิน พลกุล อดีตรมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อทิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผอ.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัทเอลลิคอตต์ฯ ประเทศออสเตรเลีย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้ว่ากทม.

เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับรองเอกสารได้กระทำการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 162 และพรบ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปี 2542
โดยขั้นตอนต่อจากนี้ศาลจะเปิดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาจะรับฟ้องคดีไว้หรือไม่ต่อไป

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************

ปราโมทย์ โชติมงคล. โปลิศการเมืองปราม ส.ส. 500 รมต.ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก !!?



บางห้วงเวลา "ส.ส." หรือ "ผู้ทรงเกียรติ" กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กระพือความแตกแยกให้รุนแรงขึ้น

บางห้วงมีการวางมวย บางวาระมีผรุสวาท

บางคราว-บางวาระ "ผู้ทรงเกียรติ" แสดงกิริยาไม่ทรงเกียรติ จนได้ฉายาประทับ "ถีบ-เถื่อน-ถ่อย"

"ปราโมทย์ โชติมงคล" ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะ "ตำรวจการเมือง"

เขาส่งคำเตือนไปถึงว่าที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" และฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภา ในฐานะผู้ตรวจพฤติกรรมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

- เลือกตั้งในสายตาผู้ตรวจการแผ่นดิน ถือว่ารับได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดได้เหมาะสม ในใจผม กกต.น่าจะประกาศรับรองผลได้เร็วขึ้นกว่าวันที่ 2 ส.ค. (เป็นวันสุดท้ายของการประกาศรับรองผล) ขณะนี้ เป็นช่วงรัฐบาลรักษาการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของคุณ ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำงานได้ มันเป็นช่องว่างที่นานเกินไป อาจทำให้เกิดผลกระทบได้ กกต.อาจจะประกาศรับรองผล ส.ส.ให้ครบ 475 คนให้เร็วที่สุด

- มองปรากฏการณ์ที่นักการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างไร
ในฐานะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินดูแลเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผมภาวนาให้คนเหล่านี้เข้ามาด้วยความพร้อม 1.พร้อมด้วยฐานะความเป็นอยู่ มีฐานะครอบครัวที่มั่นคง ไม่หาประโยชน์ ไม่มาเอาสตางค์ 2.พร้อมในความรู้ความสามารถ ใช้สติปัญญาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง

ค่านิยมของบ้านเรา ใครมาทำงานการเมืองไม่ว่าท้องถิ่น ระดับชาติ หรือรัฐมนตรี มันเห็นแววของความร่ำรวย จากเดิมที่เป็นครูประชาบาล เป็นผู้รับเหมาเล็ก ๆ แล้วมาเป็น สมาชิกท้องถิ่น กลับร่ำรวยขึ้นมา โดยไม่ปรากฏว่ามีอาชีพที่ชัดเจน มันทำให้คนรู้สึกว่างานการเมืองทำให้ร่ำรวย

- จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ผู้ตรวจการแผ่นดินกำลังเน้นเรื่องการส่งเสริม ปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรม เรากำลังบอกไปทุกเครือข่าย ทั้งภาครัฐเอกชน เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังมีปัญหามาก ทุจริตคอร์รัปชั่น ความแตกแยกทางความคิด การแพ้ชนะ ประเทศเพื่อนบ้านก็มีปัญหากันหมด

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสอยู่เสมอว่า จะเอาแพ้ชนะกันมีประโยชน์อะไร ถ้าบ้านเมืองเสียหาย แต่ละพรรค ทุกคนก็เป็นคนไทย ถ้าพรรคไม่ดี ประเทศไทยจะดีได้อย่างไร

ดังนั้น ควรเปลี่ยนวิธีคิดได้หรือไม่ ประเทศจะได้สงบสุขเสียที โดยเฉพาะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องทำ ตัวให้เป็นแบบอย่าง สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งทางการเมือง คนเขาจับตามองทั้งประเทศ

- ช่วงจัดตั้ง ครม. มองอย่างไรกับการต่อรองตำแหน่งของกลุ่มการเมือง
การจะแบ่งกลุ่ม แบ่งก๊วนก็ทำเถอะ เป็นข่าวทุกวันว่ากลุ่มไหนจะเอาตำแหน่งไหน ประชาชนเขามองแล้วก็เสื่อม

คนเป็นรัฐมนตรีต้องเสียสละ หากทุกคนคิดว่าเป็นเพื่อเป็นเกียรติ แล้วใช้ตำแหน่งหาประโยชน์ ก็จะแย่งกันเป็น

ดังนั้น ใครที่ไม่มีความสามารถก็อย่ามาเป็น ให้คนอื่นที่เขาสามารถทำได้มาทำแทน เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเรื่องเสียสละ ต้องทำงานให้บ้านเมือง ถ้าเป็นบริษัทของคุณก็ว่าไป

- รัฐบาลควรดูความรู้ความสามารถของคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากกว่าคัดเลือกคนจากกลุ่มก๊วน
แน่นอน...(เสียงสูง) เอาคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากำหนดนโยบาย ต้องเป็น คนเก่ง ต้องทำงานกับข้าราชการประจำ ได้ และมีความรู้พอสมควร ไม่ใช่เอาตัวแทนที่ไม่รู้เรื่องมาเป็นรัฐมนตรีแล้ว หาผลประโยชน์ หากเป็นเช่นนี้จะบริหารประเทศได้อย่างไร

ไม่ใช่มากำหนดโควตาจนทำให้ประชาชนกลุ้มใจอย่างทุกวันนี้ ผม เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่มาออกข่าวว่ากลุ่มไหนอยากได้ตำแหน่งอะไรยังไม่ ทันไร โผนั้น โผนี้ เดี๋ยวไปดูไบ ก็เสื่อมหมด

- คิดอย่างไรกับการนำคนใกล้ชิด ญาติสนิท นักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรี
ถ้าคนใกล้ชิดเป็นคนเก่ง มีความสามารถไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เอาพรรคพวกที่ไม่รู้เรื่องมาเป็น ทำงานไม่ได้ ข้าราชการก็ดูถูก

- ส.ส.ชุดใหม่จะมีพฤติกรรมด่าทอและมีภาพความรุนแรงหรือไม่
เวลาประชุมสภามันถ่ายทอดสู่สาธารณะ การที่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความแตกแยก ให้เกิดความร้าวฉาน ทำให้คนทั่วไปมองเป็นภาพความรุนแรง ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย คนจะเสื่อมศรัทธากับสถาบันนี้ เพราะเมื่อได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ แต่ไฉนผู้ทรงเกียรติกลับไปทำพฤติกรรมแบบนั้น

- ผู้ทรงเกียรติในยุคที่สังคมแตกแยกทางความคิดควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
คือ...ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังคิดว่าเป็นคนละพวก คิดว่าเป็นศัตรูกัน ก็จะทำทุกอย่างเพื่อล้มล้างศัตรู ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด ถ้าหากจะชนะคะคานกัน จะต้องเอาอีกฝ่ายให้ล่มสลายไป มันก็เสียหายทั้งสองฝ่าย

- หาก ส.ส.เคารพซึ่งกันและกันในสภา จะเป็นจุดเริ่มความปรองดองในสังคม
แน่นอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติแต่ถ้ามีความแตกแยก ทุกคนก้าวร้าว พูดจาไม่สุภาพ เสียดสี ด่าทอ อู้ย...(เสียงสูง) คนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส.รัฐมนตรียังทำเลย คนก็เอาบ้างสิ มันก็เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี มันก็เสื่อมทรามทั้งระบบ

- จริยธรรมอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่
หากพบว่าใครทำผิดจริง ๆ ก็ต้องเล่นงานแรง ๆ ให้เห็นประเด็นถอดถอนออกจากตำแหน่งไปเลย ตัดโอกาสไม่ให้กลับมา ต้องลงโทษอย่างชัดเจน เช่น กรณีพระรักเกียรติ สุขธนะ ที่ถูกลงโทษจำคุก (ในคดีทุจริตรับสินบน) ต้องจับแบบนี้ให้ได้เยอะ ๆ คนก็จะได้กลัว

- มองนโยบายประชานิยมที่พรรคการ เมืองใช้หาเสียงอย่างไร
ต้องทำด้วยเจตนาที่แท้จริง และไม่เป็นภาระผูกพันในอนาคตเรื่องการเงินมาก จะขึ้นค่าแรง 300 บาท ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ แต่อย่าเอาเงินไปแจก

- หากพรรคการเมืองไม่ทำ ตามที่หาเสียงไว้ ควรจะทบทวนตัวเองอย่างไร
ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อให้รัฐบาลใหม่เอาสิ่งที่ไปหาเสียงไว้มากำหนดเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภา

แม้จะบอกว่าเป็นรัฐบาลเพราะมี ส.ส. เยอะนั้น ไม่ได้ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองไปสัญญาประชาคมไว้ แม้ไม่มีการอภิปรายหรือลงมติก็ต้อง ลาออกเอง ต้องแถลงลาออก นั่นเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเขาทำกัน

การเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก แม้จะเอาเสียงข้างมากมายกมือแต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี นี่คือจิตสำนึกของคนที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่อยู่ไปนาน ๆ เพื่อหาประโยชน์ อย่างนี้ก็แย่ บ้านเมืองเสียหายหมด ทำไม่ได้ก็ต้องออกไป

- ในฐานะที่เป็นตำรวจทางการเมือง มีอะไรจะฝากถึง ส.ส.และรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังเดินเข้าสภา
ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นบุคคลที่สาธารณะคาดหวัง เป็นบุคคลที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐเพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่บ้านเมือง

ดังนั้น ท่านต้องเสียสละ ต้องมีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อประชาชนทั้งประเทศ

หากแม้นเห็นว่าทำไม่ได้แล้ว ควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำ ผมยืนยันว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งหลายแหล่ ไม่ใช่ตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างเดียว เป็นตำแหน่งที่ต้องเหนื่อยยาก เสียสละ ต้องมีความพร้อมทุกด้าน ภาระรับผิดชอบมีมากมาย ถ้ามันหนักหนาสาหัสก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำงานแทน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทหารขวัญเสียหลังฮ.ตก 3 ลำติด !!?

ผู้สื่อข่าว จ.กาญจนบุรี มีรายงานภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำศพ พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 กกล.สุรสีห์ พร้อมด้วย นายศรวิชัย คงตันนิกูล ช่างภาพ ททบ.5 รวม 2 ศพ จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คตก เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 54 เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 มาลงที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9

จากนั้นได้เคลื่อนศพด้วยรถยูนิม็อคจำนวน 2 คัน เพื่อนำไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น รพ.ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเย็นของวานนี้นั้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเก็บกู้ศพทหารที่เหลืออีก 7 นาย เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนาที่ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน

ล่าสุดปรากฏว่า เมื่อประมาณ 09.00 น. เฮลิคอปเตอร์ รุ่น เบลล์ 212 ที่นำศพ พล.ต.ตะวัน มาส่งเมื่อวานนี้นั้น ประสบอุบัติเหตุตกเป็นลำที่ 3 ในช่วง 8 วัน ทำให้บรรยากาศที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นไปด้วยความหดหู่และเงียบสงบ

โดย นักบินและช่างเครื่อง จากศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ซึ่งเดินทางมารอรับคำสั่งในการปฏิบัติภารกิจในการกู้และเคลื่อนย้ายศพ ต่างมีอาการซึมเศร้า และมีสีหน้าที่เคร่งเครียด เนื่องจากรู้สึกเสียขวัญ และหวาดผวาหากจำเป็นจะต้องขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจ

พ.ต.ธนะรัชต์ ศรีภมร นักบินศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ตำแหน่ง ผู้บังคับตอนซ่อมบำรุงอากาศยานปีกหมุน กล่าวว่า รู้สึกหดหู่ เพราะเกิดเหตุ ฮ.ตก ติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้พูดไม่ออก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมานาน ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจ และไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อนเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ตนขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจก็ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ในใจกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่ทราบว่า ขณะที่อยู่บนอากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้

ส่วนกรณีเหตุที่ ฮ.ทั้ง 3 ลำตก น่าจะเกิดจากสภาพอากาศเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่นักบินจะระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะสภาพอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์ เราได้มีการซ่อมแซมและตรวจสอบตามกำหนดระยะเวลาอยู่เป็นประจำ




ที่มา.เนชั่น
**************************

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขตปลอดทหาร !!?

โดย:พญาไม้

ทำไม...เบื้องแรกของการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา..จึงต้องเริ่มต้นด้วยข้อตกลงที่ว่า..จะต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมา
แต่ว่ากันไปแล้ว..การยุติความขัดแย้งทั้งสิ้นทั้งปวงประดามีนั้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการถอนทหารออกจากจุดแห่งความขัดแย้งทั้งสิ้น
เพราะทหารเป็นสัญญาลักษณ์แห่งสงคราม
เพราะทหารแพ้ชนะกันด้วยความตายและการสูญเสีย..ทหารจึงไม่ใช่อุปกรณ์แห่งความสงบและสันติสุข

เมื่อใดที่ผู้โง่เชลาใช้กองทหารเพื่อการปกครองบังคับ..เมื่อนั้นบั่นปลายของปัญหาก็คือการบาดเจ็บล้มตาย..
สหรัฐอเมริกา..มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก..ใช้เนชั่นแนลการ์ด..เมื่อปัญหานั้นใหญ่โตเกินกว่ากำลังตำรวจจะควบคุมไว้ได้...เขาไม่ใช้ทหาร..
ไม่ใช่แต่ที่จังหวัดศรีษะเกษ..แต่ไม่ว่าที่ไหนๆที่เป็นปัญหาในประเทศไทย..หากไม่ใช่สงครามรุกรานจากกองกำลังทหารของประเทศอื่นๆแล้ว..เขาไม่ใช้ทหาร..เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ..จนเกินกำลังจะรับมือของหน่วยงานตามปรกติ..

เขาจึงจะใช้ทหารและอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาทำสงครามกับภัยพิบัติ
ทหาร..จึงเป็นที่รักและเป็นเสียงปรบมือของประชาชน เพราะยามใดที่ทหารปรากฏตัวขึ้นมา..นั่นคือความอบอุ่นปลอดภัยของประชาชน
แต่ทุกครั้งในกรุงเทพ..คราวใดที่ทหารปรากฏกายขึ้นมา..นั่นคือการยึดอำนาจและการปราบปรามประชาชน ทหารจึงเป็นเครื่องมือของผู้ที่ประชาชนต่อต้านและแล้วในที่สุดหลังการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ผู้ใช้ทหารสังหารประชาชนก็จะเป็นผู้แพ้..
เร็วบ้างช้าบ้าง..แต่ในที่สุดก็เป็นผู้แพ้

จึงถึงเวลาหรือยัง..ที่จะให้กรุงเทพมหานครที่เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองนั้น เปลี่ยนเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาประเทศ..ให้เป็นเขตปลอดทหาร
พวกโง่เง่าป่าเถื่อนจะได้เลิกถามทหารเสียทีว่า..จะปฏิวัติหรือไม่..จะปฏิวัติเมื่อใด จะทนได้อีกนานแค่ไหน...พวกทหารก็จะได้ไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับการประดิษฐ์คำตอบ
จาก ศรีษะเกษ..กรุงเทพ ..หรือ 3 จังหวัดภาคใต้..หากจะให้สงบและหมดสิ้นปัญหา..ก็ต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมาให้ได้..ครับมันไม่ใช่เรื่องง่าย..

แต่มันเป็นทางจบของทุกๆปัญหา

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////