--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประยุทธ์. ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!?


“ประยุทธ์”ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!

ผ่าประเด็นร้อน

จะเป็นเพราะต้องการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างที่มีความพยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพกรณีที่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ลำในเวลาไล่เลี่ยกันเพียง 8 วันเท่านั้น และเกิดอุบัติเหตุในภารกิจเดียวกัน ในบริเวณใกล้เคียงกัน

อุบัติเหตุทั้งสามครั้งทำให้มีนายทหารระดับสูงคือ พล.ต.ตะวัน เรื่องศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เสียชีวิต รวมไปถึง นักบิน ช่างเครื่อง ทหารและพลเรือนต้องเสียชีวิตรวมแล้ว 17 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าจนประเมินไม่ได้

ในครั้งแรกที่เริ่มเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ประเภท “ฮิวอี้” ทำให้ทหารเสียชีวิตรวม 5 ศพ ก็ค่อนข้างสรุปตรงกันว่าเป็นเพราะสภาพอากาศปิด ไม่อำนวยแม้เศร้าสลดอย่างไรก็พอทำใจยอมรับได้ว่านี่คืออุบัติเหตุเหลือวิสัย แต่ถัดมาก็มาเกิดซ้ำขึ้นอีกกับเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอร์ค” ที่ถือว่าทรงประสิทธิภาพที่สุดที่กองทัพบกนำเข้าประจำการ สร้างความสูญเสียอีก 9 ศพ และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมก็มาเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 เสียชีวิตอีก 3 ศพ รอดตายราวปาฏิหาริย์ อีก 1 นาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส

หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ถึงเพียงนี้ แม้หลายคนยอมรับตรงกันว่าภารกิจทั้งกู้ภัยช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมันสุดหิน สุดอันตราย ยากลำบากอยู่ในป่าดงดิบที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ก็ตาม แต่ประเด็นก็คือ ต้องสอบสวนหาสาเหตุให้กระจ่าง เพราะเราไม่ต้องการให้ทหาร โดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย หรือทหารระดับรองลงมาไปเสี่ยง เนื่องจากเป็นความสูญเสียที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแบบนี้อีกแล้ว

แม้ว่าในเบื้องต้นจะสรุปค่อนข้างตรงกันว่าสาเหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่ต้อง “สะกิดเตือน” กันดังๆไปถึงผู้บัญชาหารทหารบก ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานสั่งสอบสวนให้ละเอียดอีกทางหนึ่งด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนมันก็เป็นธรรมดาที่ทำให้ทหาร นักบินเกิดความหวดผวากันบ้าง ไม่เว้นแม้แต่คนไทยทั่วไปที่ช็อกและสลดหดหู่จนบอกไม่ถูก

อย่างไรก็ดีแทนที่ ผู้บัญชาการทหารบกจะเปิดใจกว้างยอมรับให้มีการตรวจสอบและสอบสวน หาสาเหตุอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสบายใจกันทุกฝ่าย ที่สำคัญเป็นการสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับกำลังพลที่ต้องใช้อากาศยานของกองทัพบกปฏิบัติภารกิจ แต่นี่ตรงกันข้ามกลับแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กล่าวหาว่าคนที่ออกมาวิจารณ์ดังกล่าวมีเจตนาทำให้กองทัพเสียหายไปเสียอีก

อย่างไรก็ดีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดและพฤติกรรมของ ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้สวนทางกัน เพราะขณะกล่าวตอบโต้คนที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนหาสาเหตุในทุกด้านเพื่อความปลอดภัยของกองกำลังพลนั้น ในทางลับกลับสั่งระงับการบินของเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันตัวเองก็ยังไม่กล้าใช้เป็นพาหนะเดินทางไปประกอบภารกิจ ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างก็คือเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเดินทางโดยรถยนต์ไปร่วมงานศพ นายทหารที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว ที่จังหวัดกาญจนบุรี

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นแล้วว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงกับไม่กล้าขึ้นบิน เพราะถ้ามั่นใจก็ต้องแสดง “ภาวะผู้นำ” ปลุกขวัญทหารแบบนี้ ไม่ใช่มาแสดงอาการกราดเกรี้ยวต่อหน้าสื่อ แล้วบอกว่านี่คือการแสดงภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าแปลกพิลึก

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือมีการแสดงให้เห็นว่าคิดจะใช้จังหวะแบบนี้เตรียมเสนอของบประมาณในปี 2555 กับรัฐบาลใหม่เพื่อจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหม่จำนวน 30 ลำ ใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท ซึ่งหากว่ากันด้วยความเป็นธรรมมันก็สมควรตั้งงบซื้อ หรือปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ แต่คำถามก็คือในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้อง “เคลียร์” ทุกข้อสงสัยให้กระจ่างเสียก่อน เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ ตรงกันข้ามดีเสียอีกที่ทุกฝ่ายมีความกระตือรือร้น เป็นเจ้าของกองทัพ เพราะกองทัพเป็นของประชาชน เป็นหลักการปกติทั่วไปอยู่แล้ว

ดังนั้นหากต้องทำให้ทุกอย่างตรงประเด็นก่อนที่จะไปเรื่องอื่นให้เลยเถิดถึงเรื่องอื่น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้องสร้างภาวะผู้นำอย่างแท้จริงด้วยการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วและโปร่งใส เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หรือหากเป็นไปได้น่าจะถึงเวลา “สังคายนา” กันภายในกันสักครั้ง เพราะนี่แหละคือการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างแท้จริง !!

ที่มา: ผู้จัดการ
*************************

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อภิวันท์.แซงขุนค้อนจ่อซิว ประธานสภา พายัพ.ยันภายใน 10 ส.ค.เห็นหน้า ครม.ครบแน่ !!?

นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่าหาก ส.ส.ต้องการเป็นรัฐมนตรี จะต้องไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในต่างประเทศว่า เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น บอกได้เลยว่าคนที่ไปวิ่งเต้นไม่ได้เป็นแน่นอน เพราะตอนนี้เรามีหมูอยู่ หากไก่จะวิ่งให้ได้เป็นหมู คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หมูที่เรามีอยู่ตอนนี้ ยังเป็นเนื้อสันหรือสามชั้นหรือกระดูกอยู่ เราต้องไปเลือกให้เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งการเสนอชื่อรัฐมนตรีในส่วนของภาคอีสานนั้นมีรูปแบบการเสนอชื่ออยู่ 2 แบบ คือ 1.การเสนอไปแบบยกตะกร้า เพื่อให้พรรคได้มีการคัดเลือก หรือ 2.เสนอไปแบบขนมชิ้นอร่อยๆ 2-3 ชิ้นเพื่อให้พรรคได้ทดลองเลย

นายพายัพกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการจัด ครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก หากผู้สื่อข่าวต้องการรู้ถึงตำแหน่งใน ครม.ทั้งหมดขอให้มาถามตนในวันที่ 10 สิงหาคม เพราะเท่าที่ได้ประเมินระยะเวลา หากเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 สิงหาคม ก็น่าจะได้มีการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกินวันที่ 3 สิงหาคม จากนั้นในวันที่ 4-5 สิงหาคม น่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นการจัด ครม. ซึ่งน่าจะเห็นหน้าตา ครม.อย่างชัดเจนไม่เกินช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม

ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินระยะเวลาในการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินวันที่ 3-4 สิงหาคม จากนั้นวันที่ 7-8 สิงหาคม น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็จะมีความชัดเจนเรื่องคณะรัฐมนตรี

แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนว่าตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่มีชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนั้น นายวิทยาได้แสดงความจำนงกับแกนนำพรรคเพื่อไทยขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ทำให้เหลือเพียงนายสมศักดิ์กับ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งทำให้ พ.อ.อภิวันท์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยมากกว่านายสมศักดิ์แรงขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็นแคนดิเดตอันดับที่ 1 ส่วนนายสมศักดิ์ แม้จะมีประสบการณ์และชื่อเสียงจากการที่เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก จึงอาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดซีแทน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ โดยมีชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่มีบทบาทในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแม่นยำเรื่องข้อบังคับและเกมการเมือง รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ที่แม่นยำเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ และเป็นตัวแทน ส.ส.ภาคอีสาน ที่จะมารับโควตาในส่วนของภาคอีสาน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีความเคลื่อนไหวล่าสุด พบว่ามีชื่อนายฐานิส เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย หลานชายนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีชื่อแรงเข้ามาแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แข่งกับนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มีรายชื่อแคนดิเดตตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวมาตลอด เนื่องจากกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกระทรวงในโควตาของพรรคประชาราช ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เป็นรัฐมนตรี

ที่มา : มติชนออนไลน์
*************************

การกลับมาของผู้สมรู้ร่วมคิดก่อการรัฐประหาร !!?

นายเทพไท เสนพงศ์มีประวัติในเรื่องของการพูดในสิ่งที่น่าอับอาย เมื่อครั้งยังเป็นในโฆษกส่วนตัวของนายมาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเทพไทสร้างความน่าอับอายขายขี้หน้าให้กับให้เจ้านายตนเองมาหลายหน ด้วยการพูดจาโป้ปดและเหยียดเชื้อชาติอย่างโจ่งแจ้ง ปัจจุบัน พรรคของเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างราบคาบให้กับเพื่อไทยมากกว่าร้อยที่นั่ง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากเป็นประวัติการณ์ เรายินดีที่จะยอมปล่อยให้นายเทพไทห่างหายไปจากฉากเหตุการณ์นี้และหางานทำใหม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ต่างจากพรรคของเขา นายเทพไทเหมือนจะไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงได้ว่าประเทศไทยหมดความอดทนกับตัวเขาและพรรคพวกของเขาแล้ว แม้ว่าพรรคของเขาพยายามจะเปลี่ยนผลการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม (อีกครั้ง) โดยการพยายามหาทางทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบ โดยปราศจากข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเทพไทยังมีหน้ามาแนะนำให้คนเสื้อแดง “ยุติบทบาท” และเรียกร้องให้ว่าทีนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสนับสนุน “การสลายตัว” ของหมู่บ้านเสื้อแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในภาคอีสาน

ไม่ว่านายเทพไทหรือพรรคประชาธิปัตย์จะพูดอย่างไร แต่คนเสื้อแดงกลับมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดงสามารถช่วยให้รัฐบาลใหม่ซึมทราบประเภทอุดมคติที่ชอบด้วยหลักการ ซึ่งมักจะถูกลืมเลือนไปในระหว่างการทำงานทอย่างหนักของการเมืองในรูปแบบรัฐสภา ในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวเพื่อต่อต้านความพยายามของกองทัพ ศาลและพรรคประชาธิปัตย์ที่จ้องจะทำลายหรือล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเทพไทเรียกคนเสื้อแดงว่าเป็น “มวลชนกดดันนอกสภา” ซึ่งเป็นพลังที่ไม่มีที่ให้ยืนในระบอบประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เข้าร่วมกับกิจกรรมการเมืองนอกสภา ผ่านทางตุลาการที่แทรกแซงกิจการการเมือง ตามที่นายจรัล ดิษฐาอภิชัยได้อธิบายไว้ในบทความล่าสุดของเขาว่า การบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 เป็นไปเพื่อเปิด “ช่องทางประตูหลัง” หลายช่องให้กับกลุ่มอำมาตย์ เพื่อเปลี่ยนและทำลายผลการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย โดยถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าผู้คบคิดแผนการรัฐประหารกลับบ้านเข้าค่ายทหารและยอมแพ้ แต่พวกเขาเพียงเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อสร้างแผนการที่ซับซ้อนมากขึ้น หาผลประโยชน์จากรัฐธรรมนูญที่มีตำหนิไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และใช้การเมืองควบคุมศาลเพื่อแทรกแซงและสอดแทรกกระบวนการทางประชาธิปไตย

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน แต่มันชัดเจนว่าหนทางสู่ประชาธิปไตยยังอีกยาวไกล กลุ่มอำมาตย์ไทยยังคงทีวิธีการหลากหลาย นับตั้งแต่การตั้งข้อหาทางกฎหมายที่มีแรงจูงใจทางการเมืองไปจนถึงการทำรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อกำจัดรัฐบาลใหม่ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกปล่อยให้เป็นรัฐบาลในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการปฏิรูปในสิ่งที่จำเป็น แต่การคัดค้านของศาลและการที่กองทัพไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน เป็นไปได้ว่าจะมีการขัดขวางความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยรัฐบาลทหารในปี 2550 การยกเลิกข้อจำกัดของเสรีภาพส่วนบุคคล และสอบสวนการสังหารหมู่ของประชาชนทั้ง 92 รายเมื่อปีที่แล้ว
เมื่อหลายเดือนที่แล้ว เราได้เตือนถึง “ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ที่กำลังถักทอขึ้นเพื่อพยายามปกป้องรักษาอำนาจของกลุ่มอำมาตย์ ผ่านทางการข่มขู่และใช้สถาบันรัฐที่สำคัญเป็นเครื่องมือ “ภัยรัฐประหารยุคใหม่”ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยหลายครั้งก่อนหน้านี้ แม้แต่ภายหลังที่ประชาชนไทยขับไล่เหล่านายพลออกจากอำนาจในปี 2516 และ 2519 กลุ่มอำมาตย์ยังหาทางตะกุยตะกายกลับมา โดยการใช้ความวุ่นวายที่ร้ายแรง (ในยุค70) หรือควบคุมกระบวนการทางการเมือง (ในกลางยุค90) ”ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2551 โดยการกระทำของกลุ่มพันธมิตรและการไม่กระทำการในหน้าที่ของกองทัพ และทำให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนกลายเป็นอัมพาต รวมถึงวางรากฐานให้กับการสอดแทรกของศาลรัฐธรรมนูญ เกือบสองเดือนก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ อดีตนายรัฐมนตรี นายอนันต์ ปัญญารชุนอธิบายให้เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐอเมริกาฟังถึงสิ่งที่กำลังจะถูกเปิดเผยออกมา โดยสิ่งนั้นจะ “ไม่ใช่รัฐประหารแบบตามที่ประชาคมโลกเข้าใจ”

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะประกาศว่าภารกิจได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหมือนที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายเทพไท เสนพงศ์แนะนำ นายเทพไทไม่ใช่สามารถอ้างศีลธรรมสูงส่งในขณะที่เขายังคงทำสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด เขาควรจะยอมรับผลการเลือกตั้งและเลิกสร้างความอับอายให้กับตนเองและพรรคของเขา หากประเทศไทยยังไม่บรรลุการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งได้ดำเนินมาเกือบ 80 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เราพึงพอใจกับเหตุการณ์อดีตในแต่ละครั้งที่เราก้าวข้ามมามากเกินไป ซึ่งทำให้กลุ่มอำมาตย์ใช้หาผลประโยชน์ด้วยการยึดอำนาจที่พวกเขาถูกบังคับให้สละก่อนหน้านี้กลับมา การเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยคือทางเดียวที่คนเสื้อแดงจะการันตีว่า ในที่สุดเราจะได้รับเสรีภาพที่ประชาชนหลายรายได้เสียสละชีวิตเพื่อให้ได้มา แทนที่จะรู้สึกพึงพอใจ นี่คือเวลาที่เราจะพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อทำภารกิจของเราให้สำเร็จลุล่วง

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อภิวันท์ลั่นไม่รับตำแหน่งรองปธ.สภา หนุนบิ๊กจิ๋ว-สำเภานั่ง กห.

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า พรรคได้มีมติมอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คัดเลือก ทั้งนี้ จะมีการพิจารณาจากบุคคลภายในพรรคก่อน และทางกลุ่มนปช.นั้นก็ไม่ได้กดดันหรือเรียกร้องให้ต้องมีส.ส.ในกลุ่ม นปช.เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วหากพรรคมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งใดก็พร้อมที่จะทำงาน แต่คงจะไม่ใช่ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีความชัดเจนภายใน 3-4 วันนี้

พ.อ.อภิวันท์ ยังกล่าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญงานของกองทัพเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในพรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลหลายคนที่มีความเหมาะสม อาทิ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค ส่วนคนนอกซึ่งเคยร่วมรัฐบาลมาแล้วจะมีโอกาสมาดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเขาคงจะไม่รับตำแหน่ง เพราะแนวนโยบายนั้นแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนนอกอย่างพล.อ.สำเภา ชูศรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นถือว่าเหมาะสม

ที่มา.เนชั่น
***********************

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ยืนยัน ไทยต้องชำระค่าชดเชยตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยืนยัน คำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใดๆอีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนประเทศไทยชำระเงินที่ค้างไว้เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการ “ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมันและจากประเทศอื่นๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย”

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก “เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่าการบังคับคดีในเรื่องนี้สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลลานด์ชูตใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะโบอิ้ง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินลำดังกล่าวออกมา ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนทากของเยอรมนีรายงานคำพูดของแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นคู่พิพาทกับรัฐบาลไทย ว่า “เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย” ทำให้วานนี้ (25 ก.ค.) ทางรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการดังกล่าวจากทางเยอรมัน และกล่าวว่า และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
แถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย
**************************************

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ป.ป.ช.ฟ้อง อภิรักษ์ กับพวกทุจริตซื้อรถดับเพลิงกว่า 6 พันล้าน !!?

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำสำนวนหลักฐาน 50 กล่อง 15,000 แผ่น ในคดีทจุริตจัดซื้อรถเรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กทม. มูลค่า 6,600 ล้านบาท ยื่นฟ้อง นายโภคิน พลกุล อดีตรมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อทิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผอ.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัทเอลลิคอตต์ฯ ประเทศออสเตรเลีย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้ว่ากทม.

เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับรองเอกสารได้กระทำการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 162 และพรบ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปี 2542
โดยขั้นตอนต่อจากนี้ศาลจะเปิดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาจะรับฟ้องคดีไว้หรือไม่ต่อไป

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************

ปราโมทย์ โชติมงคล. โปลิศการเมืองปราม ส.ส. 500 รมต.ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก !!?



บางห้วงเวลา "ส.ส." หรือ "ผู้ทรงเกียรติ" กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กระพือความแตกแยกให้รุนแรงขึ้น

บางห้วงมีการวางมวย บางวาระมีผรุสวาท

บางคราว-บางวาระ "ผู้ทรงเกียรติ" แสดงกิริยาไม่ทรงเกียรติ จนได้ฉายาประทับ "ถีบ-เถื่อน-ถ่อย"

"ปราโมทย์ โชติมงคล" ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะ "ตำรวจการเมือง"

เขาส่งคำเตือนไปถึงว่าที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" และฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภา ในฐานะผู้ตรวจพฤติกรรมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

- เลือกตั้งในสายตาผู้ตรวจการแผ่นดิน ถือว่ารับได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดได้เหมาะสม ในใจผม กกต.น่าจะประกาศรับรองผลได้เร็วขึ้นกว่าวันที่ 2 ส.ค. (เป็นวันสุดท้ายของการประกาศรับรองผล) ขณะนี้ เป็นช่วงรัฐบาลรักษาการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของคุณ ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำงานได้ มันเป็นช่องว่างที่นานเกินไป อาจทำให้เกิดผลกระทบได้ กกต.อาจจะประกาศรับรองผล ส.ส.ให้ครบ 475 คนให้เร็วที่สุด

- มองปรากฏการณ์ที่นักการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างไร
ในฐานะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินดูแลเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผมภาวนาให้คนเหล่านี้เข้ามาด้วยความพร้อม 1.พร้อมด้วยฐานะความเป็นอยู่ มีฐานะครอบครัวที่มั่นคง ไม่หาประโยชน์ ไม่มาเอาสตางค์ 2.พร้อมในความรู้ความสามารถ ใช้สติปัญญาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง

ค่านิยมของบ้านเรา ใครมาทำงานการเมืองไม่ว่าท้องถิ่น ระดับชาติ หรือรัฐมนตรี มันเห็นแววของความร่ำรวย จากเดิมที่เป็นครูประชาบาล เป็นผู้รับเหมาเล็ก ๆ แล้วมาเป็น สมาชิกท้องถิ่น กลับร่ำรวยขึ้นมา โดยไม่ปรากฏว่ามีอาชีพที่ชัดเจน มันทำให้คนรู้สึกว่างานการเมืองทำให้ร่ำรวย

- จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ผู้ตรวจการแผ่นดินกำลังเน้นเรื่องการส่งเสริม ปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรม เรากำลังบอกไปทุกเครือข่าย ทั้งภาครัฐเอกชน เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังมีปัญหามาก ทุจริตคอร์รัปชั่น ความแตกแยกทางความคิด การแพ้ชนะ ประเทศเพื่อนบ้านก็มีปัญหากันหมด

พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสอยู่เสมอว่า จะเอาแพ้ชนะกันมีประโยชน์อะไร ถ้าบ้านเมืองเสียหาย แต่ละพรรค ทุกคนก็เป็นคนไทย ถ้าพรรคไม่ดี ประเทศไทยจะดีได้อย่างไร

ดังนั้น ควรเปลี่ยนวิธีคิดได้หรือไม่ ประเทศจะได้สงบสุขเสียที โดยเฉพาะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องทำ ตัวให้เป็นแบบอย่าง สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งทางการเมือง คนเขาจับตามองทั้งประเทศ

- ช่วงจัดตั้ง ครม. มองอย่างไรกับการต่อรองตำแหน่งของกลุ่มการเมือง
การจะแบ่งกลุ่ม แบ่งก๊วนก็ทำเถอะ เป็นข่าวทุกวันว่ากลุ่มไหนจะเอาตำแหน่งไหน ประชาชนเขามองแล้วก็เสื่อม

คนเป็นรัฐมนตรีต้องเสียสละ หากทุกคนคิดว่าเป็นเพื่อเป็นเกียรติ แล้วใช้ตำแหน่งหาประโยชน์ ก็จะแย่งกันเป็น

ดังนั้น ใครที่ไม่มีความสามารถก็อย่ามาเป็น ให้คนอื่นที่เขาสามารถทำได้มาทำแทน เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเรื่องเสียสละ ต้องทำงานให้บ้านเมือง ถ้าเป็นบริษัทของคุณก็ว่าไป

- รัฐบาลควรดูความรู้ความสามารถของคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากกว่าคัดเลือกคนจากกลุ่มก๊วน
แน่นอน...(เสียงสูง) เอาคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากำหนดนโยบาย ต้องเป็น คนเก่ง ต้องทำงานกับข้าราชการประจำ ได้ และมีความรู้พอสมควร ไม่ใช่เอาตัวแทนที่ไม่รู้เรื่องมาเป็นรัฐมนตรีแล้ว หาผลประโยชน์ หากเป็นเช่นนี้จะบริหารประเทศได้อย่างไร

ไม่ใช่มากำหนดโควตาจนทำให้ประชาชนกลุ้มใจอย่างทุกวันนี้ ผม เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่มาออกข่าวว่ากลุ่มไหนอยากได้ตำแหน่งอะไรยังไม่ ทันไร โผนั้น โผนี้ เดี๋ยวไปดูไบ ก็เสื่อมหมด

- คิดอย่างไรกับการนำคนใกล้ชิด ญาติสนิท นักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรี
ถ้าคนใกล้ชิดเป็นคนเก่ง มีความสามารถไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เอาพรรคพวกที่ไม่รู้เรื่องมาเป็น ทำงานไม่ได้ ข้าราชการก็ดูถูก

- ส.ส.ชุดใหม่จะมีพฤติกรรมด่าทอและมีภาพความรุนแรงหรือไม่
เวลาประชุมสภามันถ่ายทอดสู่สาธารณะ การที่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความแตกแยก ให้เกิดความร้าวฉาน ทำให้คนทั่วไปมองเป็นภาพความรุนแรง ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย คนจะเสื่อมศรัทธากับสถาบันนี้ เพราะเมื่อได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ แต่ไฉนผู้ทรงเกียรติกลับไปทำพฤติกรรมแบบนั้น

- ผู้ทรงเกียรติในยุคที่สังคมแตกแยกทางความคิดควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
คือ...ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังคิดว่าเป็นคนละพวก คิดว่าเป็นศัตรูกัน ก็จะทำทุกอย่างเพื่อล้มล้างศัตรู ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด ถ้าหากจะชนะคะคานกัน จะต้องเอาอีกฝ่ายให้ล่มสลายไป มันก็เสียหายทั้งสองฝ่าย

- หาก ส.ส.เคารพซึ่งกันและกันในสภา จะเป็นจุดเริ่มความปรองดองในสังคม
แน่นอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติแต่ถ้ามีความแตกแยก ทุกคนก้าวร้าว พูดจาไม่สุภาพ เสียดสี ด่าทอ อู้ย...(เสียงสูง) คนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส.รัฐมนตรียังทำเลย คนก็เอาบ้างสิ มันก็เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี มันก็เสื่อมทรามทั้งระบบ

- จริยธรรมอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่
หากพบว่าใครทำผิดจริง ๆ ก็ต้องเล่นงานแรง ๆ ให้เห็นประเด็นถอดถอนออกจากตำแหน่งไปเลย ตัดโอกาสไม่ให้กลับมา ต้องลงโทษอย่างชัดเจน เช่น กรณีพระรักเกียรติ สุขธนะ ที่ถูกลงโทษจำคุก (ในคดีทุจริตรับสินบน) ต้องจับแบบนี้ให้ได้เยอะ ๆ คนก็จะได้กลัว

- มองนโยบายประชานิยมที่พรรคการ เมืองใช้หาเสียงอย่างไร
ต้องทำด้วยเจตนาที่แท้จริง และไม่เป็นภาระผูกพันในอนาคตเรื่องการเงินมาก จะขึ้นค่าแรง 300 บาท ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ แต่อย่าเอาเงินไปแจก

- หากพรรคการเมืองไม่ทำ ตามที่หาเสียงไว้ ควรจะทบทวนตัวเองอย่างไร
ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อให้รัฐบาลใหม่เอาสิ่งที่ไปหาเสียงไว้มากำหนดเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภา

แม้จะบอกว่าเป็นรัฐบาลเพราะมี ส.ส. เยอะนั้น ไม่ได้ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองไปสัญญาประชาคมไว้ แม้ไม่มีการอภิปรายหรือลงมติก็ต้อง ลาออกเอง ต้องแถลงลาออก นั่นเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเขาทำกัน

การเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก แม้จะเอาเสียงข้างมากมายกมือแต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี นี่คือจิตสำนึกของคนที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่อยู่ไปนาน ๆ เพื่อหาประโยชน์ อย่างนี้ก็แย่ บ้านเมืองเสียหายหมด ทำไม่ได้ก็ต้องออกไป

- ในฐานะที่เป็นตำรวจทางการเมือง มีอะไรจะฝากถึง ส.ส.และรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังเดินเข้าสภา
ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นบุคคลที่สาธารณะคาดหวัง เป็นบุคคลที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐเพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่บ้านเมือง

ดังนั้น ท่านต้องเสียสละ ต้องมีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อประชาชนทั้งประเทศ

หากแม้นเห็นว่าทำไม่ได้แล้ว ควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำ ผมยืนยันว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งหลายแหล่ ไม่ใช่ตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างเดียว เป็นตำแหน่งที่ต้องเหนื่อยยาก เสียสละ ต้องมีความพร้อมทุกด้าน ภาระรับผิดชอบมีมากมาย ถ้ามันหนักหนาสาหัสก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำงานแทน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทหารขวัญเสียหลังฮ.ตก 3 ลำติด !!?

ผู้สื่อข่าว จ.กาญจนบุรี มีรายงานภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำศพ พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 กกล.สุรสีห์ พร้อมด้วย นายศรวิชัย คงตันนิกูล ช่างภาพ ททบ.5 รวม 2 ศพ จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คตก เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 54 เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 มาลงที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9

จากนั้นได้เคลื่อนศพด้วยรถยูนิม็อคจำนวน 2 คัน เพื่อนำไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น รพ.ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเย็นของวานนี้นั้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเก็บกู้ศพทหารที่เหลืออีก 7 นาย เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนาที่ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน

ล่าสุดปรากฏว่า เมื่อประมาณ 09.00 น. เฮลิคอปเตอร์ รุ่น เบลล์ 212 ที่นำศพ พล.ต.ตะวัน มาส่งเมื่อวานนี้นั้น ประสบอุบัติเหตุตกเป็นลำที่ 3 ในช่วง 8 วัน ทำให้บรรยากาศที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นไปด้วยความหดหู่และเงียบสงบ

โดย นักบินและช่างเครื่อง จากศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ซึ่งเดินทางมารอรับคำสั่งในการปฏิบัติภารกิจในการกู้และเคลื่อนย้ายศพ ต่างมีอาการซึมเศร้า และมีสีหน้าที่เคร่งเครียด เนื่องจากรู้สึกเสียขวัญ และหวาดผวาหากจำเป็นจะต้องขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจ

พ.ต.ธนะรัชต์ ศรีภมร นักบินศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ตำแหน่ง ผู้บังคับตอนซ่อมบำรุงอากาศยานปีกหมุน กล่าวว่า รู้สึกหดหู่ เพราะเกิดเหตุ ฮ.ตก ติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้พูดไม่ออก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมานาน ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจ และไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อนเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ตนขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจก็ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ในใจกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่ทราบว่า ขณะที่อยู่บนอากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้

ส่วนกรณีเหตุที่ ฮ.ทั้ง 3 ลำตก น่าจะเกิดจากสภาพอากาศเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่นักบินจะระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะสภาพอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์ เราได้มีการซ่อมแซมและตรวจสอบตามกำหนดระยะเวลาอยู่เป็นประจำ




ที่มา.เนชั่น
**************************

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขตปลอดทหาร !!?

โดย:พญาไม้

ทำไม...เบื้องแรกของการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา..จึงต้องเริ่มต้นด้วยข้อตกลงที่ว่า..จะต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมา
แต่ว่ากันไปแล้ว..การยุติความขัดแย้งทั้งสิ้นทั้งปวงประดามีนั้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการถอนทหารออกจากจุดแห่งความขัดแย้งทั้งสิ้น
เพราะทหารเป็นสัญญาลักษณ์แห่งสงคราม
เพราะทหารแพ้ชนะกันด้วยความตายและการสูญเสีย..ทหารจึงไม่ใช่อุปกรณ์แห่งความสงบและสันติสุข

เมื่อใดที่ผู้โง่เชลาใช้กองทหารเพื่อการปกครองบังคับ..เมื่อนั้นบั่นปลายของปัญหาก็คือการบาดเจ็บล้มตาย..
สหรัฐอเมริกา..มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก..ใช้เนชั่นแนลการ์ด..เมื่อปัญหานั้นใหญ่โตเกินกว่ากำลังตำรวจจะควบคุมไว้ได้...เขาไม่ใช้ทหาร..
ไม่ใช่แต่ที่จังหวัดศรีษะเกษ..แต่ไม่ว่าที่ไหนๆที่เป็นปัญหาในประเทศไทย..หากไม่ใช่สงครามรุกรานจากกองกำลังทหารของประเทศอื่นๆแล้ว..เขาไม่ใช้ทหาร..เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ..จนเกินกำลังจะรับมือของหน่วยงานตามปรกติ..

เขาจึงจะใช้ทหารและอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาทำสงครามกับภัยพิบัติ
ทหาร..จึงเป็นที่รักและเป็นเสียงปรบมือของประชาชน เพราะยามใดที่ทหารปรากฏตัวขึ้นมา..นั่นคือความอบอุ่นปลอดภัยของประชาชน
แต่ทุกครั้งในกรุงเทพ..คราวใดที่ทหารปรากฏกายขึ้นมา..นั่นคือการยึดอำนาจและการปราบปรามประชาชน ทหารจึงเป็นเครื่องมือของผู้ที่ประชาชนต่อต้านและแล้วในที่สุดหลังการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ผู้ใช้ทหารสังหารประชาชนก็จะเป็นผู้แพ้..
เร็วบ้างช้าบ้าง..แต่ในที่สุดก็เป็นผู้แพ้

จึงถึงเวลาหรือยัง..ที่จะให้กรุงเทพมหานครที่เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองนั้น เปลี่ยนเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาประเทศ..ให้เป็นเขตปลอดทหาร
พวกโง่เง่าป่าเถื่อนจะได้เลิกถามทหารเสียทีว่า..จะปฏิวัติหรือไม่..จะปฏิวัติเมื่อใด จะทนได้อีกนานแค่ไหน...พวกทหารก็จะได้ไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับการประดิษฐ์คำตอบ
จาก ศรีษะเกษ..กรุงเทพ ..หรือ 3 จังหวัดภาคใต้..หากจะให้สงบและหมดสิ้นปัญหา..ก็ต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมาให้ได้..ครับมันไม่ใช่เรื่องง่าย..

แต่มันเป็นทางจบของทุกๆปัญหา

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////

เหยียบกบาลคนจน. !!?

“นายทุนหน้าเลือด” เสวยสุขหาผลประโยชน์แรงงาน กับ “กลุ่มกรรมกรชั้นต่ำ” มาตลอดเวลา อย่างหน้าด้าน หน้าทน??
ออกมาตีฆ้องร้องป่าว คัดค้านกันตัวโยน ไม่ให้ขึ้นราคาขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาท..โดยไม่คิดเจียดความสุข ความเสมอภาค มาให้คนหาเช้ากินค่ำ กันมั่งเลยนะ
แค่ “นายทุน” งดเลี้ยงรับรอง จ่ายเงินใต้โต๊ะบางมื้อ..สามารถปรับเงินวันละ ๓๐๐ บาท ได้อย่างสบายมาก เลยนะจ๊ะ
ยิ่ง “รัฐบาลปู ๑” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯหญิง เกลียดการคอรัปชั่นเข้ากระดูกดำ ย่อมสามารถปรับค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท อย่างไม่มีปัญหา..เพราะไม่กินมูมมามใต้โต๊ะ ให้ชาติพัง!!
ส่วนบางพรรคที่เย้ย “รัฐบาลปู”..เพราะเขาสวมวิญญาณหมาหมู่?..กินกันจู้อีจู้ หาแต่สะตัง

sssssssssssssssssssss

“ไทย”เป็นเจ้าโลก “น้ำมัน” รู้ไหม!!
ขุดเอา “ทองคำดำ” น้ำมันดิบขึ้นมากลั่น...โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ นี่หมายความว่าอย่างไรกันจ๊ะเจ้านาย
รู้กันเอาไว้ด้วย เดี๋ยวนี้ไทยขุดน้ำมันได้ มากกว่า “เศรษฐีบรูไน”เชียวนะท่าน
ที่ “รัฐบาลปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลดน้ำมันลดมากระฉูด เบนซิน ๗ บาทต่อลิตร ดีเซล ๒ บาทต่อลิตร ทำได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องขายฝัน
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลพากันขายสัมปทาน เจี๊ยะเงินก้อนโตกันเท่านั้น...ไม่มีใครคิด “ขุดน้ำมัน” ขึ้นมาใช้เอง.. เหมือนกับ “มาเลเซีย” เพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ใช้น้ำมันถูกสุดขีด!!!
แค่ไม่ให้สัมปทาน รัฐบาลไม่หากิน..น้ำมันก็ราคาต่ำติดดิน?..ถูกลงหมดสิ้น แทบทุกชนิด

sssssssssssssssssssssss

สงครามตัวแทน!!!
ศึกชิงเก้าอี้ “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์” เป็นศึกลบรอยแค้น??
เมื่อกลุ่ม “อดีตนายกฯชวน หลีกภัย”, “พิเชษฐ์ พันธ์ุวิชากุล” หนุน “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” เจ๊ใหญ่ ซ้อใหญ่ แห่งแบงก์บัวหลวง ธนาคารกรุงเทพ เข้ามาเป็น
ข้าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ส่งเด็กสร้าง เด็กปั้น “วิฑูรย์ นามบุตร” ลงมาชิงธง เหมือนกันล่ะเนื้อเย็น
ฉะนั้นงานนี้, “นายหัวชวน” กับ “เทพเทือก” ที่แอบเหยียบตาปลากันลึกๆ ต้องเปิดศึกให้ดับกันไปข้าง!!!
เที่ยวนี้ “ท่านชวน” ออกฤทธิ์... “เทพเทือก”น่าหมดสิทธิ์?..คิดแข่งกับ “ท่านชวน”มีพังกับพัง??

ssssssssssssssssssssss

โลกเกลียด “อีดี้อามิน-กัดดาฟี”เข้าไส้!!
แต่เค้ายังมี ความห่วงหาอาทรแก่ประชาชน..มองชาวบ้านด้วยความห่วงใย?
ฉะนั้น,หลายประเทศเชื่อว่า เมื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ.ปูจ๋า” เดินหน้าเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
ปัญหาชายแดน ลาว-พม่า-เขมร-มาเลเซีย-เวียดนาม คงจะแก้จบ กันเสียที
โดยเฉพาะ “ปราสาทเขาพระวิหาร” จะเป็นแหล่งทำมาหากินระหว่าง คน ๒ ประเทศ..ไม่ต้องกรีฑาพล ยกกำลังพลคนทหารไปเผชิญหน้า เพื่อทำสงครามเหมือนที่ผ่านมา จนชาติพากันวิกฤติ!!
ที่ไม่เดือดร้อนก็ราษฎร..กลับมารักกันเหมือนครั้งก่อน..ไม่ต้องถูกไล่ต้อนหนีไฟสงคราม ให้หงุดหงิด??

ssssssssssssssssssssssss

เสพสม-สิงสู่ กันนัวเนีย!!
บางพรรค?..ไม่รู้ว่าใครเป็นผัว ใครเป็นเมีย??
ฉะนั้น,จะ “ป้ายสีใคร” กรุณาดูพฤติกรรมส่วนตัวของตัวเองซะก่อน มี “คุณธรรมสูงส่ง” จะไปกล่าวหาคนอื่นได้หรือเปล่า
ชักเบื่อเต็มทน ที่จะโยงเอา “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เกิดความเสื่อมเสีย ด้วยปัญญาอันโง่เขลา
น่าเอาผลงานมาเป็นเครื่องวัด การันตีว่าใครเก่งกว่าใคร..ไปโยงเอาพระเอกหล่นล่ำปึ๊ก มาให้ร้าย ระบายสีใส่ความ “น้องปู” ..ยิ่งทำให้เครดิต ของท่านพังครืน!!
โถ,ก็คนเขารู้กันไปทั่ว..บางพรรคเอาความดีใส่ตัว?...มักโยนชั่วให้กับคนอื่น???

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**********************************

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กกต.วูบ.. ทูตทั่วโลกรุมท้วง. อำนาจล้นฟ้า! สอบเองตัดสินเอง พินัยกรรมบาปจาก ปฏิวัติปี 49 !!?


ไม่ใช่เพียงเพราะว่า พรรคเพื่อไทย และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนเลือกตั้งจากประชาชนอย่างท่วมท้นเท่านั้น
แต่นี่คือการตัดสินใจของประชาชนคนไทยที่แสดงออกผ่านกระบวนการการเลือกตั้ง ซึ่งทุกคนหวังว่า จะเป็นระบบหรือกระบวนการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้เป็นอย่างดี
และจะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของปัญหาการเมืองของไทยที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการทำรัฐประหารขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2549 ซึ่งทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เพราะประชาชนคนไทย เบื่อหน่ายแล้วกับปัญหาการเมืองที่ทำให้บ้านเมืองเหมือนติดปลักโคลน จึงได้ตัดสินใจลงคะแนนในลักษณะของการมอบชัยชนะให้เบ็ดเสร็จและมากพอให้กับพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์
โดยหวังว่าจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องการแย่งชิงในการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น
ดังนั้นปรากฏการณ์ของใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ จึงถือเป็นปรากฏการณ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะต้องตระหนักและรอบคอบให้มากๆ
เพราะที่สำคัญ ยังมีปรากฏการณ์คู่ขนานที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย
นั่นคือ ท่าทีของประเทศต่างๆ ที่แสดงออกผ่านบรรดาคณะทูต ทั้งก่อนหน้ารู้ผล และภายหลังจากที่ปรากฏผลคะแนนการเลือกตั้งออกมาแล้ว

ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นชัดเจนที่สุด เพราะช่วงใกล้โค้งสุดท้ายในการเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะ ได้มีการไปเข้าพบนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่บ้านพักถนนวิทยุ ตามคำเชิญของสถานทูตสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การเมืองของไทยช่วงสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ใช้เวลากว่า 1 ช.ม.
โดยการหารือในครั้งนั้น เอกอัคร ราชทูตสหรัฐสอบถามถึงสถานการณ์การเมือง โดยแสดงความเป็นห่วงการเลือกตั้ง และให้ความมั่นใจว่า….
ทางการสหรัฐจะไม่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหาร หรือวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
มีการถามน.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งด้วยว่าเหนื่อยหรือไม่อย่างไร พร้อมทั้งระบุว่าเท่าที่ติดตามข่าวพบว่าประชาชนสนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก จึงขอเป็นกำลังใจเพราะปัจจุบันมีสตรีก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจำนวนมาก

หลังจากนั้นก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน นางคัทยา คริสทีนา โนร์ดการ์ด เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรนอร์เวย์ประจำประเทศไทย นางสาวคริสติน ชราเนอร์ เบอเกอเนอร์ เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และนายอาซีฟ อาหมัด เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ก็ได้มีการเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อหนึ่งคณะ
เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ต่างชาติเองก็ให้ความสนใจกับการเลือกตั้งของไทย
ที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามก็คือ นายอาซีฟ อาหมัด เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ที่ได้มีการให้สัมภาณ์ในวันนั้นว่า ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้มาเยือน พรรคเพื่อไทย ซึ่งในการพูดคุยได้พูดถึงสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ
และทราบว่าเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนเป็นวันคล้ายวันเกิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้มาอวยพรวันเกิด โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์มีวันเกิดวันเดียวกันกับเจ้าชายวิลเลียมของอังกฤษด้วย

สำหรับในประเด็นที่ว่าทุกฝ่ายควรยอมนับผลการเลือกตั้งครั้งครั้งนี้ใช่หรือไม่ นายอาซีฟได้มีการกล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า เมื่อเสียงส่วนใหญ่ออกมาอย่างไร ก็ควรที่จะรับฟังเสียงส่วนใหญ่
ส่วนว่า อังกฤษมีแนวทางที่จะทำเรื่องถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอเป็นผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งหรือไม่???
นายอาซีฟกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดว่า ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ทั้ง กกต. และพรรคประชาธิปัตย์อยากให้มีผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มี!!!

เพียงแต่จะเป็นการเสียมารยาทและไม่เหมาะสมหรือไม่ หากอังกฤษและนานาประเทศเสนอตัวไป เพราะตามหลักการเป็นหน้าที่ขององค์กรกลางของแต่ละประเทศที่จะต้องสอบถามว่า”ใครต้องการสังเกตการณ์เลือกตั้งW
ซึ่งก็มี”เพื่อไทย”เพียงพรรคเดียวที่ทำหนังสือไปถึงสถานทูตอังกฤษให้เข้าร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง หาก กกต.ต้องเป็นผู้แสดงจุดยืนในการประสานกับทุกฝ่ายให้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง
ภายหลังพบปะกันแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า
“ท่านทูตอังกฤษเพิ่งมาพบปะพูดคุย ท่านอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยให้ทุกฝ่ายเคารพเสียงส่วนใหญ่”
นั่นคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ที่สะท้อนท่าทีของมิตรประเทศได้อย่างชัดเจน
และยิ่งชัดเจนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และผลคะแนนออกมาแบบทิ้งขาด ต่างประเทศยิ่งให้การยอมรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่มมากขึ้น เพราะถือว่าผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากเสียงของประชาชนมาแล้ว

โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ เดินทางเข้าพบ เพื่อแสดงความยินดี หลังได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก ประกอบด้วย Mr.Pinak Ranjan CHAKRAVARTY เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย Mr.Umaru Azores SULAIMAN เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐไนจีเรีย Mr. Richard Titus EKAI เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเคนย่า Mr.Shamel Elsayed NASSER และ Mr.Ron Hoffmann เอกอัครราชทูตแคนาดา พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย เพื่อแสดงความยินดีภายหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

เอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอินเดีย ส่งสาส์นแสดงความยินดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชนะการเลือกตั้งคะแนนท่วมท้น ซึ่งอินเดียถือเป็นประเทศประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นประเทศแรกที่ทำเขตการค้าเสรีของไทย ทั้งนี้จะมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้น
ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการที่เอกอัครราชทูตอินเดีย ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กกต.ของประเทศอินเดีย ไม่มีอำนาจมากเท่ากับ กกต.ของประเทศไทย !!!
เนื่องจากถ้ามีเรื่องร้องเรียนหลังเลือกตั้ง ที่ประเทศอินเดียจะไปร้องที่ศาล
แต่รู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการสอบสวน???
ซึ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างในช่วงรอยต่อระหว่างการเลือกตั้ง ตลอดจนถึงการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ อันจะทำให้เกิดความหวั่นไหวในประเทศได้

มุมมองที่ปรากฏในสายตาของชาวโลกเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทย เป็นสิ่งที่บรรดาผู้สร้างระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต. จะต้องย้อนคิด และตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า
กกต.ไทย มีอำนาจล้นฟ้าอย่างที่ถูกสายตาทั่วโลกหรือไม่!?!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการจัดการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรณีบัตรเลือกตั้ง ที่ใส่โลโก้พรรคเพื่อไทยเล็กที่สุดเหมือนกับจงใจ โดยที่คำอธิบายแก้ต่างของ กกต. ฟังอย่างไรก็ยากที่จะหาคนยอมรับได้ ว่าทำไมถึงผิดพลาดเพียงแค่พรรคเดียว แถมเป็นพรรคเต็งหนึ่ง และอยู่อันดับแรกของบัตรเลือกตั้งเสียด้วย

กกต. ไม่มีการตรวจปรู๊ฟบัตรเลือกตั้งก่อนการพิมพ์เลยหรืออย่างไร??
จากนั้นก็มีประเด็นในเรื่องของการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่เล่นเอาวุ่นวายและเสียสิทธิกันเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์พุ่งเข้าใส่ กกต.อย่างมากมาย ว่าทำงานไม่เป็น ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
หรือว่ามีอะไรที่ทำให้ต้องเกิดปัญหาขึ้นกันแน่??
เพราะการที่ไปเพิกถอนสิทธิ์ของผู้ที่เคยขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตตั้งแต่ปี 50 แต่ในปี 2554 คนเหล่านั้นไม่ได้มายื่นเรื่องขอใช้สิทธิ์นอกเขตซ้ำอีก กลายเป็นว่าต้องเสียสิทธิ์ไปพร้อมกันถึงกว่า 2 ล้านเสียง
กรณีเช่นนี้ทั่วโลกต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่กกต.ไทยกับเฉย ไม่รู้สึกรู้สม หรือคิดแก้ไขอะไรเลย รวมทั้งไม่ยอมชี้แจงให้เหตุผล

เช่นเดียวกับความโกลาหลในวันเลือกตั้ง ทั้งวันเลือกตั้งล่วงหน้า และวันเลือกตั้งจริง ที่รู้ทั้งรู้ว่าจะมีผู้ตื่นตัว และให้ความสำคัญไปใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีการเตรียมการรับมือ จึงทำให้เกิดภาพของผู้คนไปเข้าคิวรอใช้สิทธิกันยาวเหยียด รอคิวกันครึ่งค่อนชั่วโมง
จึงไม่แปลกที่ถูกชาวบ้านรุมด่าว่าทำงานไร้มาตรฐาน ไม่คุ้มค่าเงินเดือน
ไม่รู้ว่า 5 เสือ กกต. ไล่มาตั้งแต่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานใหญ่ นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม นายสมชัย จึงประเสริฐ และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น รู้สึกอะไรหรือไม่ และคิดจะดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูภาพลักษณ์ในครั้งนี้หรือไม่

ซ้ำร้าย การดำเนินการรับรองการเลือกตั้ง ก็มีลักษระของการเรื่อยๆมาเรียงๆไม่ได้กระฉับกระเฉงอย่างที่ควรจะเป็น ตลอดจนการตัดสินใจแขวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยเหตุผลเพียงว่ามีการร้องเรียนเกิดขึ้น
แม้จะมีการแขวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถที่จะลดกระแสวิพากษณ์วิจารณ์ลงไปได้
เนื่องจากเป็นการลงมติชนะแบบเฉียดฉิว 3 ต่อ 2
หรือเท่ากับมากกว่าเพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น ก็ทำอะไรก็ได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่หากเปรียบเทียบกับคะแนนเลือกตั้งของคนเป็นสิบๆล้านคนแล้ว ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะสร้างความเข้าใจกับประชาชนได้จริงๆ
คำถามที่ว่า คนเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ก็สามารถที่จะเบรกคะแนนเสียงของประชาชนทั่วประเทศเป็นสิบๆล้านได้เช่นนั้นหรือ???

ที่สำคัญ 2 คน ที่ไม่เห็นด้วยคือ นางสดศรี สัตยธรรม ซึ่งเป็นกกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง และนายสมชัย จึงประเสริฐ ซึ่งเป็นกกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย อันถือเป็นหน้าที่โดยตรงด้วยซ้ำ ที่ไม่เห็นด้วยกับอีก 3 กกต.
นายอภิชาต นายประพันธ์ และนายวิสุทธิ์ จึงทำให้เกิดภาพของ กกต.ไทย ที่มีอำนาจล้นฟ้าไปโดยปริยาย
และทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
แม้แต่ต่างประเทศ ที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ยังอดออกปากไม่ได้ว่า กกต.ไทยนั้น รู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ให้อำนาจ กกต. ในการสอบสวน
แทนที่จะใช้อำนาจของศาลยุติธรรม???

ประเด็นต่างๆ นับตั้งแต่การกำหนดกติกาการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ไปลากเอาการเลือกตั้งครั้งก่อนมาเป็นกรอบ เรื่องอำนาจในการแจกใบเหลืองใบแดง เรื่องการสั่งแขวนโดยเป็นการตัดสินใจของคนแค่ 2-3 คนเท่านั้นก็สามารถทำอะไรได้แล้ว
จึงมีคำถามว่า ควรที่จะมีการผ่าตัดโครงสร้างกลไกอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่???
ควรที่จะปฏิรูป กกต.ไทย ไม่ให้ถูกมองว่าไม่เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ และเป็นเพียงแค่ประเทศเดียวที่เป็นแบบนี้ได้แล้วหรือยัง???
โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้ ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 หรือเพียงแค่ 1 วันหลังการทำรัฐประหาร!!!

เป็นภาพที่ลดทอนสง่าราศรี และการยอมรับที่พึงมีต่อ กกต.ชุดนี้หรือไม่ เชื่อว่า 5 เสือ กกต.เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อหลายๆแขนง ที่ว่า กกต.นี่แหละที่จะกลายเป็นตัวจุดชนวนความวุ่นวายขึ้นมาอีกรอบ น่าจะเป็นกระจกสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า หลังทำหน้าที่รับรองบรรดา ส.ส. เสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดประชุมสภา จนกระทั่งมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้เรียบร้อยแล้ว
ผลงานที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้ สมควรที่ 5 เสือ กกต. จะรักษาศักดิ์ศรีให้สมกับที่เป็นเสือด้วยการลาออกไปเสีย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้มีการปฏิรูป กกต. ให้มีภาพลักษณ์ที่สง่างาม และสร้างความยอมรับความเชื่อถืออย่างแท้จริงเสียทีหรือไม่
ฝากไว้ให้ กกต.ทั้ง 5 เก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกัน!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////

รักนะแต่ทำไม่ได้ !?

รักนะแต่ทำไม่ได้ !?

เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
ท่าจะหนักหนาสาหัสตั้งแต่ไม่ทันได้เริ่มทำงาน นาทีนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนแรก “พี่แม้ว” คิดฝันอยากจะกลับมาควบคุมอำนาจรัฐอีกรอบ เพื่อให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องนิรโทษกรรมลบล้างความผิด หวังจะได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืนมา เลยต้องออกนโยบายขายฝันมักง่ายแบบ “จัดหนัก” ครบวงจรถ้วนหน้า ทั้งค่าแรงวันละ 300 บาท จบปริญญาตรีเข้าทำงานรับไปเลยเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 1,000 บาท จำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ฯลฯ จำกันไม่หวาดไม่ไหว จนสามารถทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะถล่มทลาย น้องสาวกำลังจ่อเป็นนายกฯหญิงคนแรก แต่ปัญหาก็คือ เมื่อจะต้องทำตามฝันนี่สิมันยากแสนเข็ญ

เพราะไหนจะต้องถูกขัดขวางจากฝ่ายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างเช่น เจ้าของภาคธุรกิจเอกชนจากนโยบายเพิ่มค่าแรงพรวดพราดถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ เพราะที่ผ่านมาขนาดจะเพิ่มให้วันละ 4-5 บาท ยังยื้อกันแทบตาย ที่สำคัญภาคเอกชนมันจะไปบังคับให้จ่ายก็ไม่ได้เสียด้วยสิ ที่สำคัญมันแบกรับภาระไม่ไหว เมื่อไม่ไหวก็ต้องเจ๊ง และเชื่อว่าในบริษัทเหล่านั้นต้องรวมถึง “บริษัทเสื้อแดง” ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่จำนวนไม่น้อยแน่นอน นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องเดียวโดดๆ ก่อน ล่าสุดกลุ่มธุรกิจเอกชนยักษ์ใหญ่ 3 องค์กร ในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบัน (กกร.) ก็ได้ออกโรงต้านตั้งแต่ “ไก่โห่” แถลงนำโดย ประธานสภาอุตฯ พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล เล่นกันแบบไม่ไว้หน้าแบบนี้ สนุกแน่ พี่น้องเสื้อแดง เอ้ย !!

แม้ว่ามองอีกมุมหนึ่งมันก็น่าเห็นใจเหมือนกัน ในฐานะลูกจ้างด้วยกันก็อยากให้มีการปรับขึ้นค่าแรงสูงๆ เพื่อจะได้ “ชักหน้าถึงหลัง” กันบ้าง แต่ขณะเดียวกันมันก็ต้องมองความเป็นจริง ต้องมองไปถึงสภาพเศรษฐกิจ การแข่งขัน และที่สำคัญต้องพิจารณาถึงความ “เห็นแก่ตัว” ของเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ ที่แน่นอนว่าต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด เอาเป็นว่าแม้แต่บริษัท แอทซี แอสเสท ของว่าที่นายกฯนั้น บริษัทที่รับสร้างบ้านจัดสรรจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้กับคนงานถึงวันละ 300 บาทหรือเปล่า นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องค่าแรงเพียวๆ ยังไม่นับคำสัญญาเรื่องข้าวของราคาถูกลง โดยเฉพาะการไปแตะเรื่องกองทุนน้ำมัน หิน โหดทั้งนั้น “น้องปู” จะรับไหวหรือเปล่าไม่รู้ เพราะเหมือนกับว่าเที่ยวนี้ “พี่แม้ว” จัดหนักเพื่อเอาใจแฟนเก่าๆ แต่เอาเข้าจริงๆ มันต้องไปเกี่ยวกับนายทุนภาคเอกชน ก็รู้อยู่แล้วว่า “เขี้ยว” แค่ไหน ประเภทอยู่ดีๆ ให้เสียสละนั้น ยากกก !!

เผลอแพล็บเดียว “เหลี่ยมจัด” ทักษิณ ชินวัตร ก็อายุครบ 62 ปีเข้าไปแล้ว ตอนแรกมีข่าวว่าจะจัดงานฉลองกับลิ่วล้อใหญ่โตที่ “บาหลี” อินโดฯ วันที่ 26 ก.ค. แต่ก็เจอกับลูกขยันแบบทุเรศของพวก “บัวแก้ว” ลูกน้องของ กษิต ภิรมย์ ในตอนจบ ที่ต้องบอกว่าทุเรศ ก็คือ ทำไมเพิ่งมาทำเป็นตาลีตาเหลือกไล่จับนักโทษหนีคุกกันเอาตอนนี้ ทำไมเวลาผ่านไปตั้งสองปีหกเดือน ทำได้แค่ยึด “พาสปอร์ตแดง” เท่านั้น อย่างอื่นไม่เห็นมี “น้ำยา” อะไร

ที่มา: ผู้จัดการ
///////////////////////////////////////