--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กนก รัตน์วงศ์สกุล เผยธาตุแท้ เขียนลง FB. อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย !!?

นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรข่าวเครือเนชั่น ได้โพสต์เผยแพร่บันทึกบนแฟนเพจ Kanok Ratwongsakul ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ซึ่งตั้งชื่อหัวข้อว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย” โดยกล่าวเปรียบเทียบการที่เขาไม่สามารถเข้าสู่ระบบในเฟซบุ๊กของเขา ก่อนที่จะมีผู้ช่วยเหลือทำให้สามารถกลับมาเล่นใหม่ได้ ว่า ยังไม่เท่ากับบ้านเมืองถูกยึด ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคการเมืองในการควบคุมของระบอบทักษิณ

นายกนก ระบุว่า บ้านตนหรือบ้านคุณหากถูกยึด ก็เดือดร้อนมากแล้ว แต่ยังไม่เท่าบ้านเมืองของเรา ถูกยึด สงกรานต์ปี 2552 มีคนทำลายการประชุมอาเซียน แขกเหรื่อผู้นำระดับประเทศ ต้องรีบเผ่นหนีแทบไม่ทัน ผู้บริหารประเทศเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็แทบเอาตัวไม่รอด นายกฯ กับรองนายกฯ คุมความมั่นคง ถูกไล่ทุบรถอย่างถ่อยเถื่อน เลขานายกฯ ถูกทุบ และลากตัวออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า คนชาติเดียวกันจะทำได้ หลังจากนั้น แกนนำหลายคนไม่ถูกคุมตัว บ้างมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง บ้างได้รับการประกันตัว สงกรานต์ปี 2553 คนหน้าเดิมหวนกลับมาก่อเหตุซ้ำที่รุนแรงกว่าปี 52 อย่างไม่น่าเชื่อ

“เขาเกณฑ์คนต่างจังหวัด อ้างว่า มาเรียกร้องประชาธิปไตย อ้างว่า ต่อสู้เผด็จการ ทั้งที่หลังเผด็จการ ปี 49 มีนายกฯ เป็นคนของเขาถึง 2 คน พวกเขาทำไมไม่รู้สึกว่าต้องเรียกร้องประชาธิปไตย ทำไมไม่ออกมาต่อสู้กับทหาร หรืออำมาตย์ พอคนที่ 3 ขึ้นมาเป็นนายกฯ จาก ส.ส.ชุดเดียวกันโหวตในสภาแท้ๆ พวกนี้ไม่ยอมรับ ต่อสู้ตามระบอบแพ้ในสภาแล้ว จึงออกมายึดถนน ยึดสี่แยก” นายกนก ระบุ

พิธีกรข่าวเครือเนชั่น ยังระบุอีกว่า ยังมีการโจมตีองคมนตรี มีบางคนจาบจ้วงสถาบันบนเวทีชุมนุม ประจวบเหมาะกับมีเว็บไซต์ลบหลู่สถาบันมากมาย มีใบปลิวอ่านผวนคำกลับมาก็เห็นชัดเจนว่า ด่าทอสถาบันรุนแรง ชายชุดดำฆ่าทหาร ลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 ฆ่าตำรวจ ประชาชน ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ส่วนแกนนำราว 20 คน ที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง กำลังจะได้เป็น ส.ส.นอกจากนี้ประเทศไทยก็กำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น

“พวกเราจะไม่ช่วย พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทยแล้วหรือ” พิธีกรชื่อดังระบุในตอนท้าย
สำหรับรายละเอียดของบันทึกดังกล่าวฉบับเต็มมีดังนี้

“อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”
by Kanok Ratwongsakul on Sunday, 12 June 2011 at 12:26


กลับมาแล้วพี่น้อง กลับเข้าบ้านตัวเองได้แล้วครับ ไม่ใช่ทำกุญแจหาย แต่ถูกผู้ไม่หวังดียึดกุญแจไป ดีที่มีแขกรับเชิญที่ช่อง 9 เขาช่วยกู้คืนมาได้ ผมขอบคุณมากครับ (เขาไม่ประสงค์ออกนาม) จะไปเปิดเพจใหม่ก็เสียดายข้อมูลที่เพจนี้

บ้านผมหรือบ้านคุณหากถูกยึด ก็เดือดร้อนมากแล้ว แต่ยังไม่เท่า “บ้านเมืองของเรา” ถูกยึด! สงกรานต์ปี 2552 มีคนทำลายการประชุมอาเซียน แขกเหรื่อผู้นำระดับประเทศ ต้องรีบเผ่นหนีแทบไม่ทัน ผู้บริหารประเทศเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็แทบเอาตัวไม่รอด นายกฯ กับรองนายกคุมความมั่นคง..ถูกไล่ทุบรถอย่างถ่อยเถื่อน เลขานายกฯ ถูกทุบและลากตัวออกมาอย่างไม่น่าเชื่อว่า คนชาติเดียวกันจะทำได้

หลังจากนั้น..แกนนำหลายคนไม่ถูกคุมตัว บ้างมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง บ้างได้รับการประกันตัว สงกรานต์ปี 2553 คนหน้าเดิมหวนกลับมาก่อเหตุซ้ำที่รุนแรงกว่าปี 52 อย่างไม่น่าเชื่อ!

เขาเกณฑ์คนต่างจังหวัด อ้างว่ามาเรียกร้องประชาธิปไตย อ้างว่าต่อสู้เผด็จการ ทั้งที่หลังเผด็จการ ปี 49 มีนายกฯ เป็นคนของเขาถึง 2 คน พวกเขาทำไมไม่รู้สึกว่าต้องเรียกร้องประชาธิปไตย..ทำไมไม่ออกมาต่อสู้กับ ทหารหรืออำมาตย์ พอคนที่ 3 ขึ้นมาเป็นนายกฯ จาก ส.ส.ชุดเดียวกันโหวตในสภาแท้ๆ พวกนี้ไม่ยอมรับ

ต่อสู้ตาม ระบอบแพ้ในสภาแล้ว จึงออกมายึดถนน ยึดสี่แยก โจมตีองคมนตรี มีบางคนจาบจ้วงสถาบันบนเวทีชุมนุม ประจวบเหมาะกับมีเว็บไซด์ลบหลู่สถาบันมากมาย มีใบปลิวอ่านผวนคำกลับมาก็เห็นชัดเจนว่า ด่าทอสถาบันรุนแรง! ชายชุดดำฆ่าทหาร! ลอบยิงเอ็ม 79 ฆ่าตำรวจ ประชาชน

ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ลำพังแค่แกนนำราว 20 คนที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง..กำลังจะได้เป็น ส.ส.ก็ยากจะทำใจแล้ว แต่นี่..เรากำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น?!?

ไม่น่าเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ทำลายชาติ ใน 2 ปีที่ผ่านมา กำลังผ่านไปเหมือนเกิดอัคคีภัยธรรมดาๆ ลำพังแค่แกนนำราว 20 คนที่ยุให้คนเผาบ้านเผาเมือง..กำลังจะได้เป็น ส.ส.ก็ยากจะทำใจแล้ว แต่นี่..เรากำลังจะได้รัฐบาล ได้นายกฯ ที่รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำเพื่อคนๆ เดียว เพื่อคนในตระกูลเดียวเท่านั้น?!?
พวกเรา...จะไม่ช่วยพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทยแล้วหรือครับ?

ต่อมาบันทึกชิ้นดังกล่าวของนายกนก ได้ถูกเว็บไซต์ต่างๆ หยิบยกไปนำเสนอต่อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเว็บไซต์ในเครือข่ายของคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวกลับไปตรวจสอบบันทึกในหน้าแฟนเพจของเฟซบุ๊กนายกนก กลับพบว่าถูกลบออกไปแล้ว

สำหรับ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล เป็นผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดังในเครือเนชั่น โดยจบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวทางช่องฟรีทีวี เช่น ช่อง 7 และ โมเดิร์นไนน์ อีกด้วย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระวัง ตีท้ายครัว เพื่อไทย ปูพรม ภาคเหนือ !!?

เข้มข้นขึ้นตามลำดับ แม้จะยังไม่มีความรุนแรง แต่ก็เริ่มจะมีเค้าลางเป็นกระแสข่าวออกมาบ้างแล้ว ล่าสุดคณะอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้งที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธาน ได้แบ่งพื้นที่เลือกตั้งที่ ’น่าจะต้องจับตา” เป็น 3 สี ประกอบด้วย ’พื้นที่สีเหลือง” เป็นพื้นที่มีการแข่งขันกันรุนแรงแต่ยังไม่ถึงขั้นเกิดกระทบกระทั่ง ’พื้นที่สีส้ม” เป็นพื้นที่จับตามองและต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษและ ’พื้นที่สีแดง” คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วจะต้องส่งกำลังลงไปจับตาดูเป็นพิเศษ

’พื้นที่สีเหลือง” มี 3 จังหวัด คือ กทม.เขต 11, 13, 18, 19, 27 และ 29, ปัตตานี เขต 3 และ ยะลา เขต 2

’พื้นที่สีส้ม” มี 20 จังหวัดคือ กทม.เขต 28, จ.นนทบุรี เขต 5, 6, ปทุมธานี เขต 2, สมุทรปราการ เขต 7, พระนครศรีอยุธยา เขต 1, 5, ลพบุรี เขต 2, ปราจีนบุรีเขต 2, ชลบุรี เขต 6, นครราชสีมา เขต 7, บุรีรัมย์ เขต 6, 8, อุบลราชธานีเขต 2, 8, สกลนคร เขต 1, 3, 6, เชียงราย เขต 5, พะเยา เขต 1, แม่ฮ่องสอน เขต 1, ลำปาง เขต 2, 4, พิษณุโลก เขต 1, ราชบุรี เขต 1, 3, นครศรีธรรมราช เขต 4 และภูเก็ต เขต 2

’พื้นที่สีแดง” มี 3 จังหวัดคือ เชียงราย เขต 4, นครสวรรค์ เขต 1 และนราธิวาส เขต 3

เมื่อมีการแข่งขันทางการเมืองอย่างเข้มข้น จึงไม่แปลกหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกลับหาเสียงในพื้นที่ ’ภาคเหนือ” เป็นครั้งที่ 2 ในระยะเวลาห่างกันไม่เท่าไร

ถ้าจำได้ ’วันเปิดตัว” น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นเลือก จ.เชียงใหม่ จากนั้นไป จ.เชียงราย ไป จ.พะเยา แต่การไปอีกครั้งคราวนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เน้นลงไปที่เขตเลือกตั้ง ที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะใน จ.เชียงราย ในเขตเลือกตั้งที่ 4

เขตนี้เป็นการต่อสู้ที่เรียกว่า ศึกตระกูลวันไชยธนวงศ์ เพราะ ’ตัวเต็ง” ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย ล้วนนามสกุลเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยมี นายสมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์ อดีต ส.ส.เชียงรายที่ส่งลูกชาย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ ลงสมัครส่วนพรรคเพื่อไทยส่งนายรังสรรค์ ซึ่งเป็นหลานนายสมบูรณ์ลงสู้
นอกจากนี้ เขตเลือกตั้งที่ 5 ตระกูล “วันไชยธนวงศ์” ก็ส่ง น.ส.อทิติ วันไชยธนวงศ์ บุตรสาวลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย แข่งกับ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีต ส.ส.ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย

จ.เชียงราย ปัจจุบันมี 7 เขตเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี 50 พรรคพลังประชาชนกวาด ’ยกจังหวัด” แต่ครั้งนี้ ’ไม่หมู” อย่างที่คิด เพราะพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ ทำหน้าที่เป็นคุณครูใหญ่อยู่นั้น มีการเมือง 2 ตระกูลใหญ่ในจังหวัดร่วมสู้ด้วยคือ ตระกูล ’จงสุทธนามณี” และตระกูล ’วันไชยธนวงศ์”

ต้องรู้ด้วยว่า นายสมบูรณ์นั้นก่อนหน้านี้ก็อยู่พรรคเพื่อไทย แต่ไม่นานก็หักด่านไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย จนถูกคนในพรรคเพื่อไทย และนายใหญ่จากดูไบ ชี้หน้าว่าเป็น ’งูเห่า” ว่ากันว่า ’งูเห่า” ที่ว่านี่แหละคือกลุ่มที่พรรคเพื่อไทยต้องจัดการให้สิ้นซากไม่ให้เป็นตัวอย่างในทางการเมืองต่อไป

เพราะถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา นั่นก็แสดงว่า ’ชินวัตร” กำลังสิ้นมนต์ขลัง

ที่ว่ากันว่ากระแสดีนั้นอาจจะดีจริงในแง่ของพรรค แต่ในแง่ของ ’ตัวบุคคล” ในหลายพื้นที่ภาคเหนือของพรรคเพื่อไทยเริ่มจะมีปัญหาออกมาให้เห็น

ภาคเหนือกับภาคอีสาน คือ 2 ภาคการเมืองที่พรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือ ภาคอีสาน 126 เขตพรรคเพื่อไทยตั้งเป้า 100 ที่นั่ง ภาคเหนือ 96 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยตั้งเป้า 45-50 ที่นั่ง ฉะนั้นการไปหาเสียงโดยลืมดูฐานเสียงตัวเองจึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง

หากไม่ระวังพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือมีสิทธิถูกพรรคภูมิใจไทย ’ตีท้ายครัว” เข้าให้ก็เป็นได้.

ที่มา: เดลินิวส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กองทัพสหพันธรัฐว้า หน่วย 171 จัดการซ้อมรบตรงข้าม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

หน่วย 171 กองทัพสหรัฐว้า UWSA ซึ่งมีที่ตั้งบริเวณชายแดนไทยทางภาคเหนือ เรียกระดมกำลังพลในสังกัดเพื่อซ้อมรบและฝึกการใช้อาวุธเพื่อเพิ่มความชำนาญ

มีรายงานจากแหล่งข่าวชายแดนแจ้งว่า เมื่อวันที่ 6-7 มิ.ย. ที่ผ่านมา หน่วย 171 ของกองทัพสหรัฐว้า UWSA ซึ่งมีพื้นที่เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทยทางภาคเหนือ มีคำสั่งเรียกระดมพลหน่วยต่างๆ ทั้งทหารใหม่และหน่วยอาสาสมัครพลเรือนในพื้นที่เมืองสาด และเมืองโต๋น รัฐฉานภาคตะวันออก โดยให้ไปรวมตัวกันที่บ้านห้วยอ้อ อยู่ตรงข้ามบ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อทำการซ้อมรบและฝึกการใช้อาวุธต่างๆ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 มิ.ย. นี้

โดยตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีทหารและหน่วยอาสาสมัครพลเรือนได้ไปรวมตัวกันที่บ้านห้วยอ้อแล้วราว 300 – 400 นาย ในจำนวนนี้มีทั้งทหารใหม่และกำลังพลอาสาสมัครพลเรือน โดยทางกองทัพว้า UWSA จะมีการสาธิตการใช้อาวุธทั้งปืนเล็ก ปืนกล ไปจนถึงการยิงปืนใหญ่ชนิดต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้กำลังพลได้มีความชำนาญในการรบและการใช้อาวุธ

สำหรับหน่วย 171 กองทัพสหรัฐว้า UWSA มีกำลังพล 5 กองพลน้อย เคลื่อนไหวในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย ฝั่งรัฐฉาน ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วยกองพลน้อยที่ 778 รับผิดชอบพื้นที่ บ้านคายโหลง บ้านตากแดด และน้ำกั๊ด ตรงข้ามจังหวัดแม่ฮ่องสอน, กองพลน้อยที่ 775 รับผิดชอบพื้นที่บ้านห้วยอ้อ บ้านปุ่งป่าแขม ตรงข้ามอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่, กองพลน้อยที่ 772 รับผิดชอบพื้นที่เมืองเต๊าะ เมืองทา และเมืองจ๊อด ตรงข้ามอ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่, กองพลน้อยที่ 518 รับผิดชอบพื้นที่เมืองยอน ตรงข้าม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และกองพลน้อยที่ 248 รับผิดชอบพื้นที่บ้านหัวป่าง บ้านหัวยอด ตรงข้าม อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org


ที่มา.ประชาไท
++++++++++++

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิบ-หม่ำ-เจี๊ยะกัน พุงจะแตก!!

เมื่อ “คุณบี เตชะอุบล” เป็นหัวหอก นำผู้ถือหุ้นรายย่อย บริษัท เดินเรือโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์จำกัด (มหาชน) หรือ “ทีทีเอ” ทวงถามความเป็นธรรม จึงไม่ใช่เรื่องแปลก??
จาก ๖ ปี ที่ผู้บริหารคุมเกมสั่งการ ทำให้มูลค่าการตลาด (มาเก็ต แคพ) จาก ๓ หมื่นล้าน หดจู๋เหลือ ๑.๕ หมื่น
หุ้น ของ “ทีทีเอ” ที่พุ่งกระฉูดหุ้นละ ๓๘ บาท ก็ตกระเนระนาด เหลือ ๑๘บาท..ผู้ลงทุนรายย่อยเสียหาย แทบล้มทั้งยืน
แต่ผู้บริหาร ยังอย่างหนาตราห้าห่วง ขึ้นเงินเดือนคนระดับสูง ๘ ราย เพิ่มอีก ๒ เท่า จาก ๓๕ ล้าน เป็น ๗๒ ล้าน..และยังปรับเงินเดือนคณะกรรมการเพิ่มอีก ๑๓๑ ล้าน ทั้งที่บริหารขาดทุน
ที่ “คุณบี” ลุกมาสู้นะเออ..ไม่ใช่เป็นการเทคโอเว่อร์..แต่เธอสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ไม่ให้ผู้บริหาร เอาเปรียบไงล่ะคุณ

---------------

เป็น “ดาวรุ่ง” พุ่งแรง มาอย่าง “ชอบธรรม”
เขาไงล่ะ, “คุณบี เตชะอุบล” ซีอีโอ บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่นำกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย “ทีทีเอ” ทวงถามสิทธิ์ ไม่ให้ผู้บริหารโหลยโท่ย ทำการ ปู้ยี่ปู้ยำ
นับแต่,เข้ามาช่วยบริหารกิจการในครอบครัว ก็ไปโลดติดท็อปไฟต์
“คุณบี”เองนั้นเล่า.. มีเพื่อนพ้องน้องพี่ เป็น “ลูกผู้นำประเทศ” อยู่อย่างมากมาย
หลายพรรคการเมืองไทย, เห็นศักยภาพทำงานที่โดดเด่น จึงดึงเข้าร่วมทีมเศรษฐกิจ เพื่อให้ช่วยงานกัน หนุบหนับ!!
พรรคใดได้ “คุณบี” ร่วมงาน...ขอรับประกัน...พารัฐบาลไปสวยแน่นอนขอรับ

-----------------------
เลือด “คุณพ่อ” ยังแร๊ง..แรง!!
อุดมการณ์ ของ “ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” ผู้วายชนม์ไปแล้ว ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อ ๒ คุณลูกผู้เดินเข้าสู่ถนนการเมือง ทั้ง “น้องเต้ย” พลพีร์ สุวรรณฉวี, “น้องเติ้ง” พีรพล สุวรรณฉวี ๒ ผู้สมัครแห่งพรรครวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน รักษาแนวทางคุณพ่อ ไว้มั่นคง
ได้รับความเมตตา เอ็นดู สงสาร จากพ่อแม่พี่น้องชาวโคราช จึงพากันเสริมส่ง
รวมทั้งยังมี สส. ที่รักคุณพ่อไพโรจน์ สุวรรณฉวี อย่าง “คงกฤช หงส์วิไล” ผู้สมัครส.ส.ปราจีนบุรี ในค่าย “คุณแม่นก” ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มาช่วยหาเสียง คะแนนจึงวิ่งสุดกู่
ขานชื่อไม่กลัวพลาด..ทั้ง “น้องเต้ย-น้องเติ้ง” ได้เป็น สส.โคราช...เพราะชาวบ้านเทเสียงสะอาด ให้จมหู

-------------------

แกว่งปากหาอะไร!!

พวก สส.สันดานดิบ พรรคเก่าแก่ มักกล่าวหาเขาไปทั่ว??
รู้เอาไว้นะ? “คุณปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าประตูวิวาห์พาสุข ชายผู้เป็นดวงใจ “ป๊อบ”อนุสรณ์ อมรฉัตร” อย่างสดชื่นและชอบธรรม
มีมังกรการเมือง “บรรหาร ศิลปอาชา” สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพ ฉลองความชุ่มฉ่ำ
เมื่อ มีพยานรัก “น้องไปป์” ดช.ศุภเสกข์ ชินวัตร ก็เลี้ยงทะนุถนอม ปานดวงใจไม่มีเสีย
“ท่านบรรหาร”รู้จัก “น้องปู”มานาน...ที่คิดร่วมรัฐบาล...เพราะเป็นเจ้าภาพงานแต่งงาน ใช่มั้ยล่ะเนี่ย???

-----------------

๑ ใน ผู้ทรงคุณวุฒิ!!!

ถ่ายทอดวิชา ให้กับ “คุณปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯหญิงคนแรก อย่างเยี่ยมยุทธ์???
“ จาตุรนต์ ฉายแสง” กำกับซีน สคริปต์ ให้กับ “ยิ่งลักษณ์” ได้นิ่งและเนียน
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี มาลูกไม้ไหน ก็แพ้ อย่างเหี้ยนเตียน
เพราะสมัย “จาตุรนต์” ท่องบู๊ลิ้มการเมือง “นายกฯมาร์ค” เจอสอนมวย ซะหมอบกระแต
“จาตุรนต์”สอนวิชาไม่มีปิด...เห็นท่า “นายกฯอภิสิทธิ์”..ต้องแพ้ลูกศิษย์ อย่าง “น้องปู”แน่..แน่???

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประยุทธ์. ถามใครขวางหน่วย ปส.315 เอี่ยวยาเสพย์ติดหรือเปล่า !!?

“ไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์” เตรียมแจ้งความโฆษกกองทัพบกฐานกล่าวหาเท็จว่าข่มขู่ชุดเฉพาะกิจ “ปส.315” “สรรเสริญ” แจงไม่ได้บอกว่าชักปืน แค่บอกว่าลูกน้องไพโรจน์เปิดชายเสื้อให้ดูปืน ผบ.ทบ.ลั่นยอมไม่ได้ หากมีใครขวาง “ปส.315” เล็งเพิ่มกำลังเป็นชุดละ 50 – 100 นาย “ดูซิว่าจะมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า” พร้อมให้ทัพภาค 2 ตรวจสอบหมู่บ้านเสื้อแดง และขอประชาชนทบทวนดูหมู่บ้านเสื้อแดงถูกต้องหรือไม่

ผู้สมัครเพื่อไทยเล็งแจ้งความกลับกองทัพบก หลังถูกฟ้องว่าข่มขู่หน่วย ปส.315

วานนี้ (9 มิ.ย.) เว็บไซต์สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 พรรคเพื่อไทย ได้นำภาพถ่ายมาแถลงยืนยันว่า ไม่ได้พาพาอาวุธ ข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติด 315 หรือ ชุดเฉพาะกิจ 315 ตามที่ถูกกองทัพแจ้งความดำเนินคดี และว่าวันเกิดเหตุได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านว่า มีทหารขับรถฮัมวี่เข้ามา จึงเข้าไปสอบถาม และขอดูเอกสาร ซึ่งได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งให้ประสานกับ กกต. เพื่อไม่ให้ขัดต่อกระบวนการเลือกตั้ง

“ยืนยัน ไม่ได้กระชากเอกสารมาดู หรือพูดจาข่มขู่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ได้สอบถามตำรวจ ก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี เป็นเพียงการลงบันทึกการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น ดังนั้น ขอให้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ยุติการออกมาพูดกล่าวหา อย่าให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล วันนี้ กำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง” นายไพโรจน์กล่าว และว่า จะไปแจ้งความดำเนินคดี พ.อ.สรรเสริญ เพราะเป็นการกล่าวหาเท็จ ทำให้ได้รับความเสียหาย

ขณะที่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ยื่นเรื่องไปยังกองทัพบก กกต. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ทบทวนเรื่องการปฏิบัติการของทหาร-ตำรวจ ตามมาตรการ 315 ของรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้ได้ไปให้ข้อมูลกับ กกต.แล้ว และจะเชิญเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูลด้วย ต้องการเรียกร้องไปยังรัฐบาลรักษาการว่า ไม่ควรทำในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ควรเปิดพื้นที่ให้ประชาชนรับฟังนโยบาย เพื่อตัดสินใจในการเลือกตั้ง

“ส่วนกรณีการกล่าวหานายไพโรจน์ ขอให้มีการนำหลักฐานมาแสดง เพราะเท่าที่ตรวจสอบ เป็นการกลั่นแกล้งนายไพโรจน์ ซึ่งพรรคก็จะมีมาตรการทางกฎหมายต่อไป” นายวิชาญ กล่าว

“สรรเสริญ” แจงไม่ได้บอกว่าชักปืน แต่บอกว่าลูกน้องนายไพโรจน์เปิดชายเสื้อให้ดูปืน

ขณะที่ มติชนออนไลน์ รายงานคำพูดของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ซึ่งกล่าวว่า ไม่ได้พูดว่านายไพโรจน์ชักปืน แต่ลูกน้องของนายไพโรจน์ได้เปิดชายเสื้อให้เจ้าหน้าที่ดูปืนที่พกมาที่เอว ในลักษณะข่มขู่ รวมถึงได้มีการกระชากเอกสารจากมือไปอ่าน จึงถือเป็นการไม่ให้เกียรติและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้แจ้งความไว้แล้วที่สถานีตำรวจนครบาลหนองจอก ในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ของทหาร ไม่จำเป็นที่ต้องแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบก่อน เพราะไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และไม่ได้เป็นการแทรกแซงการเลือกตั้ง เพราะได้ประกาศไปแล้วว่า จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ก่อนยุบสภา หลังพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่าถูกกลั่นแกล้ง

ผบ.ทบ.ลั่นยอมไม่ได้ หากมีใครขวาง ปส.315

ด้าน สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยวานนี้ (9 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้ได้รับรายงานยืนยันว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของชุดปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพย์ติด 315 (ปส. 315) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

ซึ่งการกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นสิ่งที่ตนเองยอมรับไม่ได้ และไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาปิดล้อมเจ้าหน้าที่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ของชุดแผนยุทธการ 315 หลังจากนี้อาจจะมีการเพิ่มจำนวนทหารเข้าไปปฏิบัติภารกิจมากขึ้น พร้อมกันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมาย หรือยาเสพติดด้วยหรือไม่ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้กองทัพเกิดความบาดหมางกับพรรคการเมืองใด นอกจากผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเท่านั้น

ลั่นจะส่งกำลังเพิ่มชุดละ 50 ถึง 100 นาย “ดูซิว่าจะมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า”

ขณะที่สื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆได้แก่ กรุงเทพธุรกิจ, คมชัดลึก, เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์, เดลินิวส์ เป็นต้น ได้รายงานตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเพิ่มกำลังทหารในการปฏิบัติการอีกโดยอาจส่งทหารลงไปปฏิบัติการชุดละ 50 ถึง 100 นาย

“ท่านเป็นใครมาจากไหน แล้วท่านมาขมขู่เจ้าหน้าที่ได้อย่างไร ซึ่งผมไม่ยอม หากให้ทหารไป 2 คน แล้วมีปัญหา ก็จะเอาทหารไป 50 คน ดูซิว่าจะมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า ถ้าไม่ได้อีก 50 ก็เป็น 100 ก็ต้องใช้วิธีการนั้น ถ้าทหารเข้าไปน้อย แล้วเข้าไปไม่ได้ ก็เอาทหารเข้าไปให้มาก ให้เขาจัดตั้งเจ้าหน้าที่มากขึ้น และอาจจะมี ส.ห. ที่มีอำนาจหน้าที่กฎหมายทางทหารลงไปด้วย ท่านมาปิดล้อมทหารไม่ได้ มาปิดล้อมเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ไม่ได้ ผมสอบสวนในชั้นต้นเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าท่านมากดดันทหารให้ออกจากพื้นที่ ไม่ให้เขาทำงาน ผมถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ผมให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผมสงบปากสงบคำไปเยอะ พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการเลือกตั้ง อยากจะโฆษณาอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าท่านมาพาดพิงทหาร และมารังแกทหาร ผมรับไม่ได้” ผบ.ทบ.กล่าว

ลั่นไม่เข้าใจว่ามาขวางเพราะอะไร ถามกลับมีส่วนร่วมกับขบวนการยาเสพย์ติดหรือ

ในข่าวยังรายงานคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม เราจะไม่หยุดในการทำหน้าที่ของ ปส. 315 เพราะเป็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่เข้าใจว่าขัดขวางเพราะอะไร เพราะงานการเมืองหรือเปล่า เราไม่เคยไปยุ่งกับการเมืองของท่าน การไม่ให้ทหารทำหน้าที่ ก็ไม่ทราบว่า ท่านไปมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับขบวนการหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงาน ตนถือว่าน่าจะมีส่วนร่วมหรือไม่ ก็ต้องมีการสอบสวนว่า มี พยาน หลักฐาน หรือไม่ เพราะฉะนั้น อย่าเข้ามาหาเรื่องตรงนี้ เพราะจะทำให้มองว่าท่านมีประโยชน์เกื้อกูลกันหรือไม่กับการทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ จะหาเสียงหรือเลือกตั้ง อย่านำทหารไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเคยบอกแล้วว่า ใครให้เกียรติเรา เราก็ให้เกียรติท่านเสมอ ขอยืนยันว่า กองทัพบกไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตนไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตนยังเป็นตนเองอยู่อย่างนี้ หน้าที่คือรักษาประเทศชาติ ราชบัลลังก์ ถือเป็นหน้าที่ของทหารทุกคน เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

พร้อมให้กองทัพภาค 2 ตรวจสอบหมู่บ้านเสื้อแดง ชี้คนไทยไม่ควรแบ่งแยกสี

นอกจากนี้ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ ยังรายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความเห็นต่อกรณีหมู่บ้านคนเสื้อแดงว่า ได้มีการตรวจสอบความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองเท่านั้น โดยให้กองทัพภาคที่ 2 เข้าไปดูแลเพิ่มขึ้น และขอให้ประชาชนทบทวนดูว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ พร้อมระบุว่า คนไทยไม่ควรมีการแบ่งแยกสีและควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศ

ผู้บัญชาการทหารบก ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการร้องเรียนว่า พลทหารวิเชียร เผือกสม กองพลพัฒนาที่ 4 ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องของการฝึกทหารใหม่ซึ่งอาจจะมีความผิดพลาด ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายจนทำให้เสียชีวิต แต่ได้สั่งการให้มีการสอบสวน หากพบว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายก็จะต้องมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำ

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดวอร์รูมลับ ยิ่งลักษณ์. ชง 6 แคมเปญ โชว์ซีนเศรษฐกิจ เดี่ยวไมโครโฟน-ยึดจอ-ยกแผง !!?


ละครการเมืองกำลังถึงฉาก "พีก" สะเทือนอารมณ์คนดู

ทั้งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังปะทะทางความคิด โชว์กึ๋น ชิงคะแนนผู้ชม

ฝ่าย "อภิสิทธิ์" ยังคงโชว์ความเป็นตัวของตัวเอง พูด-คิด-ทำ-โต้ ด้วยตัวเอง

ต่างจากฝ่าย "ยิ่งลักษณ์" ที่ใช้ทุกสรรพกำลัง ในเพื่อไทย-ชินวัตร-นักการเมืองพี่เลี้ยงจากบ้าน 111 ทุกเครือข่าย สนับสนุนภาพลักษณ์

อีก 3 สัปดาห์ก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 พรรค จึงดวลหมัดเฉพาะเรื่อง "เศรษฐกิจ" และลีลา-ท่าที กับทหาร โน้มน้าวชนชั้นสูง-ชนชั้นกลาง และคนในกองทัพ

ข่าว-ยิ่งลักษณ์จะไปพบหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงเป็น 1 ใน "บท" ที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องแสดง

สคริปต์เรื่อง "ปรองดอง" แม้ยังย่ำอยู่กับที่ แต่ยังยืนยันเนื้อหาว่าด้วยหลักนิติธรรม-นิติรัฐ ไม่ให้หลุดกรอบ

ฉากหน้าเปิดประเด็น "พร้อมเจรจา" พร้อม ๆ กับฉากใต้ดิน ที่มีนักการเมืองระดับ "คอนเน็กชั่นพิเศษ" เดินสาย มุดกองทัพ เพื่อส่ง "สาส์น" จาก "ทักษิณ ชินวัตร"

นักการเมืองผู้มากด้วยเพื่อน-พี่ในกองทัพ จงใจเจรจาเพื่อ "แก้ไข" สัญญาณที่ถูกปล่อยเข้าหูทหารก่อนหน้านี้ที่มีนัยว่า "ชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อาจจะเป็นเต็งหนึ่งว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม"

สัญญาณใหม่มีความหมายชัดเจน กว่าว่า "เป็นไปได้ยากที่จะมีชื่อ พล.อ. ชัยสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นกับคนสำคัญในตระกูลชินวัตร"

แหล่งข่าว-ข้อมูลจาก "ทักษิณ" ถูกส่งตรงถึงกองทัพด้วยว่า "หากทักษิณ ให้ความสำคัญกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ คงบรรจุไว้ในบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไปแล้ว ไม่ให้ไปลงสมัคร ส.ส.เขตหินอย่างจังหวัดราชบุรี แข่งกับนักการเมืองสายแข็งจากภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์หรอก"

ทีมงานยุทธศาสตร์ของพรรคประเมินว่า ประเด็น "ปรองดอง" เป็นประเด็นอ่อนไหว เปิดไปแล้ว "เสี่ยง"

หากประเมินสถานการณ์ผิดพลาด แทนที่จะได้แต้ม อาจเสียแต้มในโค้งสุดท้าย แล้วยากจะกู้คืน จึงจำเป็นต้องกำหนดแผน-บท-สคริปต์อย่างระมัดระวัง

ดังนั้น "ยิ่งลักษณ์" จึงจะไม่ใช้ประเด็นปรองดองเป็นเรื่องนำ แต่จะเบี่ยง-พลิ้วไปเปิดประเด็นเศรษฐกิจเป็นบทนำ

ที่สำคัญ จังหวะที่ทุกองคาพยพในเพื่อไทยต้องหลีก "ซีน" ให้ "ยิ่งลักษณ์" โชว์เดี่ยว

เป็นจังหวะที่แม้แต่ "ทีมเศรษฐกิจ" ทั้ง 4 คน ต้อง "ถอย" ไปยืนแถวหลัง เป็นเพียงวอลเปเปอร์ประกอบฉากเท่านั้น

ทั้งมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ โอฬาร ไชยประวัติ สุชาติ ธาราดำรงเวช และพิชัย นริพทะพันธ์ ต้องยุติบทบาทการพูดต่อสาธารณะเรื่องเศรษฐกิจ

มีหน้าที่เพียงเป็นคน "ขยายความ" หรือ "อธิบายเพิ่ม" ที่มาและหลักคิดของนโยบายเท่านั้น

ทีมหลัก-กุนซือสำคัญ "ทีมเล็ก" ที่มีองค์ประชุมเพียง 5 คน สรุปตาราง แคมเปญให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องแสดงอีก 3 สัปดาห์ โดยเน้นบทพูดนโยบายเศรษฐกิจอีก 5-6 เรื่อง

โดยเฉลี่ยจะเปิดนโยบายใหม่ ๆ สัปดาห์ละ 2 เรื่อง แบ่งเป็นเปิดประเด็นช่วงต้นสัปดาห์ 1 เรื่อง และช่วงเสาร์-อาทิตย์ 1 เรื่อง

ทุกเรื่องจะแตกต่าง-เพิ่มเติมตัวเลขที่ "มากกว่า" นโยบายของพรรรคประชาธิปัตย์อย่างเห็นได้ชัด

เช่นเรื่อง "เบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาท" ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาธิปัตย์ได้คะแนนนิยมมากที่สุด ถูก "ยิ่งลักษณ์" ต่อเติมตัวเลขขึ้นเป็นอัตรา 600-1,000 บาท

แหล่งข่าวในทีมเล็ก-องค์ประชุมน้อยเล่าคีย์เวิร์ดว่า "ในช่วงโค้งสุดท้ายคุณยิ่งลักษณ์จะเปิดนโยบายที่โดนใจประชาชนหลายเรื่อง แต่ทีมเศรษฐกิจ ทุกคนถูกกำชับห้ามพูดก่อน ห้ามแย่งซีนว่าที่นายกฯ"

ทีมเศรษฐกิจครึ่งหนึ่งของพรรคจึงปฏิเสธ-ยกเลิกนัดกับสื่อเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงเวลานี้ทำแต่เพียงช่วยดูเนื้อหาใน "สคริปต์" ให้อ่านง่าย เข้าใจเร็วเท่านั้น

จังหวะก้าว-จังหวะคิดและจังหวะปราศรัยของ "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกกำหนดไว้แล้วตามตาราง โดยเตรียมเปิดนโยบายที่ตรงจุด ตรงเวที ตรงกลุ่มเป้าหมาย และโดนใจทั้ง 6 แคมเปญ

ทั้งนี้ ทุกนโยบาย ทุกแคมเปญ แผนการในปฏิทินพรรคระบุว่า จะทยอยเปิดตัวก่อนวันที่ 26 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า

ไม่นับรวมวันปราศรัยใหญ่ ปิดเกมการรณรงค์หาเสียงในกรุงเทพมหานคร ที่เพื่อไทยจองสนามกีฬาราชมังคลา กีฬาสถานไว้ปิดฉากอย่างอลังการในวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2554 เพื่อชิงภาพข่าว-ชิงพาดหัวในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม ก่อนโหวต 1 วัน

บทสำคัญ ซีนโดนใจจะถูกใช้เรียกคะแนนเห็นใจในโค้งสุดท้าย เพื่อให้กองเชียร์ "ปิดโหวต" แบบแลนด์สไลด์
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------------

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทเรียนที่ดินรัชดาฯ ของกองทุนฟื้นฟู


โดย.ดร.โสภณ พรโชคชัย

เป็นข่าวดังขึ้นมาอีกแล้ว ที่ดินข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยซื้อคืนจากคุณหญิงพจมานนั้น เชื่อว่าหากขายคงขายได้ขาดทุน และนี่ยังเป็นบทเรียนของการเสพข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเสียประโยชน์ได้!

กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กำลังจะเปิดจำหน่ายใบเสนอราคาเพื่อประมูลที่ดินข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่รวม 33-0-81.8 ไร่ ในระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2554 และได้กำหนดวันยื่นซองและเปิดซองประกวดราคาในวันที่ 17 สิงหาคม 2554 [1]
ที่ดินแปลงนี้กองทุนฯ ซื้อคืนมาจากคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ในราคา 772 ล้านบาท พร้อมด้วยค่าเสียหาย ค่าออกแบบอาคารที่จะก่อสร้างจำนวน 39 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่นัดชำระอีกประมาณ 40 ล้านบาท หรือรวมเป็นต้นทุนที่กองทุนฯ ได้จ่ายไปแล้วเป็นเงิน 851ล้านบาท นับถึงปลายปี 2552 [2] หากนับถึงปัจจุบันก็คงเป็นเงินเกือบ 1,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว

ที่ดินแปลงนี้ซื้อขายตั้งแต่สิ้นปี 2546 ในราคา 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด แม้กองทุนฯ จะซื้อมาในราคา 2,000 ล้านบาทในอดีตก็ตาม ซึ่งแสดงว่าตีราคาเกินจริงในอดีตที่ผ่านมา ถ้าการซื้อขายไม่ได้ตามราคาตลาดจริง คตส. หรือ คมช. คงฟ้องเอาผิดในประเด็นนี้มากกว่าการเอาผิดในแง่กฎหมายเรื่องสามีในฐานะนายกรัฐมนตรีลงนามให้ภริยาซื้อที่ดิน จนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้ลงโทษพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา [3]

เงินจำนวน 772 ล้านบาทที่รัฐบาลได้ไป ณ สิ้นปี 2546 ถ้าคิดจากดอกเบี้ย 7.5% ตามที่ศาลวินิจฉัยข้างต้น บัดนี้ก็เป็นเงินสูงถึง 1,738 ล้านบาทแล้ว การประมูลซื้อ ณ ปี 2554 จะได้เงินถึงจำนวนนี้หรือไม่ ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน เชื่อว่า จะไม่สามารถประมูลได้สูงถึง 1,738 ล้านบาท การนี้แสดงให้เห็นว่า การที่กองทุนฯ ซื้อที่ดินคืนมาและทั้งยังเพิ่มต้นทุนที่ดินเป็นเกือบพันล้านจากดอกเบี้ยที่จ่ายไปและค่าออกแบบอาคารของคุณหญิงพจมาน ทำให้กองทุนฯ กลับยิ่งขาดทุนกว่าการขายไปให้กับคุณหญิงพจมานเสียอีก

ทำไมราคาที่ดินแปลงนี้จึงไม่เพิ่มขึ้นถึง 1,738 ล้านบาท สาเหตุก็คือศักยภาพของที่ดินมีข้อจำกัดทางกฎหมายตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร <4> ที่ห้ามก่อสร้างห้องแถวหรือตึกแถว อาคารที่สูงเกิน 9 เมตร อาคารที่มีพื้นที่รวมเกิน 1,000 ตารางเมตร โรงงาน อาคารที่ใช้ประกอบการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจ สถานบริการ โรงแรม โรงมหรสพ ตลาด สถานที่เก็บสินค้า สถานที่เก็บและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สถานที่เก็บวัตถุระเบิด หอถังน้ำ สุสาน และป้ายโฆษณา [4] ทั้งนี้เพื่อไม่ให้บังทัศนียภาพของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

การที่ที่ดินแปลงนี้มีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้ ทำไมคุณหญิงพจมานจึงซื้อในราคาตลาดและซื้อในราคาที่สูงกว่าผู้ประมูลรายอื่นในปี พ.ศ.2546 กรณีนี้คงเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากผู้ซื้อต้องการซื้อไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัย แบบที่จะสร้างคงเป็นคฤหาสน์เพื่อให้สมฐานะ กรณีที่อยู่เหนือกลไกตลาดเช่นนี้ก็คงคล้ายกับกรณีบ้านของคหบดีใหญ่ เช่น บ้านของ มรว.คึกฤทธิ์ ย่านสวนพลูที่ไม่รื้อไปทำอาคารชุดตามความต้องการตลาด เพราะทายาท คงมีฐานะดี ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่กลับรักษาสภาพเดิมไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เป็นต้น

ในห้วงหนึ่งของการกล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ มีข่าวร่ำลือหนาหูว่า หลังจากที่ครอบครัวนี้ซื้อที่ดินดังกล่าวไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ใช้อำนาจทางการเมืองแก้ไขข้อกฎหมาย อนุญาตให้ตนสามารถก่อสร้างสูงได้ ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น ข้อนี้ไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตามการชี้ถึงประเด็นนี้อาจมีความอ่อนไหวทางการเมือง แต่ผู้เขียนขอยืนยันในความเป็นกลาง และเขียนตามหลักวิชาการ ไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือทำลายทางการเมืองแก่ฝ่ายใด

ความจริงปรากฏว่าข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าวยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ หากยังจำข่าวเรื่อง “จีนทุ่มงบสร้างศูนย์วัฒนธรรมในไทย” [5] มูลค่า 1,200 ล้านหยวนหรือ 5,600 ล้านบาทข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยนั้น ปรากฏว่าในตอนแรกไม่สามารถสร้างได้เพราะติดข้อกฎหมายนี้ที่ยังไม่เคยมีการยกเลิก แต่ในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็มีมติให้แก้ไขศูนย์วัฒนธรรมจีน สามารถสร้างอาคารหอประชุม พื้นที่ 2,800 ตามรางเมตร สูง 12.55 เมตร 2 อาคาร และอาคารอื่น ๆ [6]

ล่าสุดข่าวเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เสนอญัตติร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท บริเวณโดยรอบศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในท้องที่แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร (ฉบับที่...) พ.ศ... แก่สภากรุงเทพมหานคร สภาฯ มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการวิสามัญพิจารณา โดยไม่กำหนดระยะเวลาในการพิจารณา [7]

ดังนั้นข่าวเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งแก้ข้อกฎหมายการควบคุมการใช้ที่ดินเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับครอบครัว จึงไม่เป็นความจริง กรณีนี้ไม่ได้แก้ต่างแทน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นข้ออุทาหรณ์ให้ผู้เกี่ยวข้องในแวดวงวิชาการอสังหาริมทรัพย์ได้ทราบไว้ เพราะในช่วงที่ผ่านมา มีครูบาอาจารย์หลายท่านพูดไปในทำนองเดียวกันนี้ ผู้ที่ไม่ได้ตรวจสอบก็เชื่อตาม ๆ กันไป การขาดการตรวจสอบข้อมูลเป็นจุดอ่อนสำคัญ หากใครไปหลงซื้อที่ดินที่มีข้อจำกัดในการก่อสร้างและมีศักยภาพจำกัดในราคาสูง ก็อาจได้รับความเสียหายในการลงทุน

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของผู้เขียน การที่ทางราชการจะจำกัดการก่อสร้างใด ๆ ไม่ว่าจะโดยรอบสถานที่สำคัญ หรือริมถนนระยะ 15 เมตรแรกจากเขตทาง หรืออื่นใดในภายหลัง รัฐบาลสมควรชดเชยการด้อยสิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายด้วย หาไม่ก็จะเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการกำหนดการใช้ที่ดิน และทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในหมู่ประชาชนนั่นเอง

อ้างอิง
[1] “กองทุนฟื้นฟูฯ กำหนดเปิดขายซองประมูลที่ดินรัชดาฯ 19 ก.ค.-1 ส.ค.นี้” ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 พฤษภาคม 2554
[2] “ศาลสั่งกองทุนฟื้นฟูฯคืนเงิน ‘คุณหญิงพจมาน’” กรุงเทพธุรกิจ 24 กันยายน 2553
[3] “ศาลฏีกาสั่งจำคุก ‘ทักษิณ’ 2 ปี – ‘พจมาน’ รอด” กรุงเทพธุรกิจ 21 ตุลาคม 2551
[4] ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทบริเวณโดยรอบศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในท้องที่แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2532
[5] “จีนทุ่มงบสร้างศูนย์วัฒนธรรมในไทย” หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 11 พฤศจิกายน 2553
[6] “กทม.เว้นข้อบัญญัติ ครม.ให้ตั้งศ.วัฒนธรรมจีน” ไทยรัฐ 26 พฤษภาคม 2553
[7] “ขอความเห็นชอบออกข้อบัญญัติก่อสร้างรอบศูนย์วัฒนธรรม” ไทยรัฐ 27 พฤศจิกายน 2553

ที่มา.ประชาไท
----------------------------------------

ทองแท้..ไม่กลัวไฟ !!?

“พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”, “พินิจจารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” และ “กรพจน์ อัศวินวิจิตร” เข็นนโยบาย ออกมาโดนใจ??ระงับเช็คบิลอย่างเด็ดขาด “เลิกเก็บภาษีสรรพสามิต” อันทำนาบนหลังคนมาหลายปี
ขุนพลเศรษฐกิจ หยั่งกะ “กรพจน์ อัศวินวิจิตร” มองแล้วว่า เอาเปรียบคนไทย สิ้นดี
โดยเน้นน้ำมัน “เบนซิน” ไม่เกิน ๓๕ บาทต่อลิตร, และ “โซลาร์”ไม่เกินลิตรละ ๓๐ บาท
“น้ำมัน” ยิ่งราคาถูก...เป็นการปลดทุกข์?...เพิ่มความสุข ให้แก่คนไทยทั้งชาติ??

++++++++++++++++++

มาเต็ม “แพ็จเก็จ” ด้วยนโยบาย ชั้นดี!!
ได้ “คุณพี่กรพจน์ อัศวินวิจิตร” มาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเศรษฐกิจ “พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ใครจึงก็มองข้ามพรรคนี้ไม่ได้ เสียแล้วล่ะคุณพี่??
เพราะออกนโยบายมา.. “ สร้างความร่ำรวยแก่คนในชาติ” เสร็จสรรพ
ยกเว้นภาษีเงินได้ ๕ ปี แก่ “แรงงานใหม่” ดีจริงๆ ให้ดิ้นตาย สิครับ
ไหนจะปลดหนี้อีนุงตุงนังให้กับเกษตรกร, หนำซ้ำค่าแรงก็ขึ้นพรวด ๆ ขั้นต่ำวันละ ๓๕๐ บาท, ๒๐ ปี เด็กที่เกิดวันนี้ ต้องโคตรรวยมหาเศรษฐีมีเงินล้าน ใช้กันทั่วหน้า!!!
เป็นนโยบายจับต้องได้....ทำให้คนไทยรวยทันใด?...พรรคนี้ไม่เชียร์ไม่ได้ แล้วล่ะคุณน้า??

+++++++++++++++++++++++++

ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก!!!
ยกให้ “คุณพี่วิฑูรย์ นามบุตร” อดีตรัฐมนตรีปลากระป๋องเน่า พรรคปชป. ไงล่ะที่รัก??
ยังเป็น “กล่องดวงใจ” ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เสื่อมคลาย
อยู่ในคิวนั่งแทน เป็น “ผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์” อันดับที่ ๒๐ ก็ตีตั๋วเป็น “ผู้แทน”สบาย
แต่ช่วงหลังๆ ที่ไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี” ท่านก็นั่งขลุกสนุกสนานนับแต้ม เรียงแต้ม ประจำ อยู่เสมอ!!
ในเมื่อเก่งนับเลขเสียจัง...ถ้าได้เป็น “ขุนคลัง”?...ถือว่ามือฉมัง เป็นอันมากส์เลยล่ะเธอ?

+++++++++++++++++++++++++

มีแต่ “วงศาคณาญาติ”!!!
สืบทอดตำแหน่ง จากพ่อสู่ลูก.. ลูกไปสู่หลาน.. และจากญาติผู้พี่ไปสู่ผู้น้อง..นี่แหละความเป็น “ประชาธิปัตย์”??
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ดันก้นลูกบุญธรรม ลูกเลี้ยง “เอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ”ลงสนามกรุงเทพฯข้าง “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ก็ส่งสายเลือดในโลหิตบุตรชาย “ณัฐ บรรทัดฐาน” ลงสมัคร สส .กทม.ใน ๓๓ เขต เช่นกัน
ข้าง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไม่เสียที สวมวิญญาณเป็น “ป๋าดัน”
ส่งญาติผู้น้อง “ชีรเวช เวชชาชีวะ” บุตรชายซึ่งเป็นน้องของคุณพ่อ“ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ลงสมัครสส.บัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ อยู่อันดับที่ ๗๑ แจ๋วจริง ๆ แฮะ!!
สายเลือดใหม่แต่ละคน..เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น?..เป็นคนในครอบครัว ทั้งนั้นแหละ??

++++++++++++++++++++++++

ลูกผู้ชาย “ล้างแค้น ๑๐ ปี” ก็ไม่สาย!!
“สง่า ธนสงวนวงศ์” รอชำระแค้นนี้มานาน แล้วล่ะเจ้านาย??
นับตั้งแต่ “สนธยา คุณปลื้ม” แห่งกลุ่มชลบุรี เขี่ยทิ้งและถีบส่ง ..โดยให้น้องชาย “อิทธิพล คุณปลื้ม” มาลงสมัคร สส.แทน
มาเที่ยวนี้, “คุณพี่สง่า ธนสงวนวงศ์” ได้ที ..ถึงเวลาชำระแค้น
เมื่อลงสมัคร สส. กับ “พรรคเพื่อไทย” เบอร์ ๑.. ที่คะแนนนำมาลิ่ว เป็นตัวยืน!!
“คุณป๋าสง่า” เขาบอก...ขอคิดต้นทบดอก?...ขอเป็น “หัวหอก” ขอถอนแค้นคืน???

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาร์ค VS ปู ในโลกของสังคมออนไลน์ !!?

โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ 
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าหน้านี้จะกลายเป็นหน้าการเมืองกับเขาไปด้วย แล้วก็อย่าคิดว่าผมจะตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์วิจารณ์ว่าเนื้อหาสารพัดนั้นของใครดีกว่าใคร

ผมเพียงแค่ตั้งเป็นข้อสังเกตเพื่อเล่าสู่กันฟังว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งในโลกออนไลน์ ที่มีเว็บไซต์เครือข่ายสังคมต่างๆ มีบทบาทอยู่ในชีวิตประจำวันของคนหลายคนสูงมากๆ

ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่มีการใช้สื่อออนไลน์เพื่อผลในการเลือกตั้ง มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ว่าได้ ถึงจะไม่ใช่ปัจจัยที่เป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งกันก็ตามที

เอาแค่ตัวอย่างของ 2 พรรคใหญ่ที่มีแกนนำเป็น "แคนดิเดตนายกฯ" กันอยู่อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ของ "มาร์ค อภิสิทธิ์" และพรรคเพื่อไทย ของ "ปู ยิ่งลักษณ์" ก็ช่วยให้เห็นภาพการช่วงชิง การขับเคี่ยวกันสนุกแล้วละครับ

ว่าถึงเรื่องของการใช้ "สื่อใหม่" หรือ "นิวมีเดีย" นั้นแน่นอนละครับว่า ในฐานะเป็นคนใช้มาก่อน และใช้งานมานานกว่าอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย่อมมีเปรียบอยู่บ้างเล็กน้อยในแง่ของการแพร่ หลายและเป็นที่รู้จัก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การ ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใกล้ชิดกับธุรกิจ โทรคมนาคมมาไม่น้อยเหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดขับ แต่กลับเป็นคนใกล้ชิดเทคโนโลยีอย่างมากเหมือนกัน

ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย มีเว็บไซต์ของพรรคอยู่เหมือนๆ กัน (www.democrat.or.th/ และ www.ptp.or.th/) ในเว็บไซต์ก็อีนุงตุงนังพอๆ กันเพราะว่ามีหลายๆ อย่างปะปนกันอยู่ในนั้น จนเมื่อมีประกาศการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนจะแยกเว็บไซต์ออกมาอีกเว็บ สำหรับรณรงค์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ (http://www.democrat.or.th/th/) ในนั้นก็จะมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหลายๆ แหล่ง ทั้งเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และอีกสารพัดโมบายล์ ฟอร์แมตละครับ

โดยส่วนตัว นายกฯมาร์คก็ยังมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง (http://www.abhisit.org/cover/ DMCPT.html) แล้วก็มีเฟซบุ๊ก กับทวิตเตอร์ส่วนตัวอีกต่างหาก (http://www.facebook. com/Abhisit.M.Vejjajiva กับ http://twitter. com/#!/PM_Abhisit)

ในส่วนของพรรคนั้น ทีมงานโฆษกพรรคเป็นผู้รับผิดชอบ ในขณะที่เว็บ, เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ส่วนตัวนั้น ก็มีทีมงานรับผิดชอบอยู่ในระดับหนึ่ง ตัวนายกฯเข้ามามีเอี่ยวด้วยอยู่แน่นอนละแต่ไม่ใช่ตลอดเวลาเพราะภารกิจและอื่นๆ อีกมากมาย ว่ากันว่าจะมีคนคอยคัดกรองคำถามต่างๆ เพื่อนำเสนอแล้ว เพื่อให้นายกฯตอบอีกต่อหนึ่งในทุกๆ เช้าของวัน โดย ที่มี "เลขาฯกอร์ปศักดิ์" (สภาวสุ) กับ "หมอท็อป" (นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์) เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในงานด้านนี้

คนที่จริงจังกับการใช้สื่อใหม่และเว็บไซต์เครือข่ายสังคมมากที่สุดในฝ่ายรัฐบาลเห็นจะเป็นรัฐมนตรีคลังอย่าง กรณ์ จาติกวณิช มีเว็บไซต์ของตัวเอง, เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ของตัวเองเหมือนกัน (http://www.facebook. com/pages/Korn-Chatikavanij/ 71254499739 กับ http://twitter.com/#!/ KornDemocrat) แถมยังจัดการโน่นนี่นั่นด้วยตัวเองแทบทั้งหมด มีทีมงานเป็นลูกมือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง

คนที่ใกล้ชิดบอกว่า ท่านรัฐมนตรียืนยันว่าเรื่องอย่างนี้มีแต่ตัวเองรู้ดีที่สุดว่าอยากได้อะไรและต้องทำอย่างไร

หันมาดูทางฝ่ายเพื่อไทยบ้าง นอกจากเว็บไซต์ของพรรคที่แน่นอนละครับ ต้องมีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ให้ติดตามกันครบครันทั้งทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาติดตัวเหมือนกัน

ที่ไม่ค่อยมีใครได้รับรู้ก็คือ เว็บไซต์กับเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ส่วนตัวของคุณยิ่งลักษณ์ ที่ดูเหมือนพัฒนามาจากหน้าเว็บ "เฟรนด์ ออฟ ยิ่งลักษณ์" ตั้งแต่เมื่อครั้งตกเป็นจำเลยในคดีที่กระทรวงการคลังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอสซีแอสเซท (ว่ากันว่า รัฐมนตรีกรณ์ กับ ปู ยิ่งลักษณ์ ทำความรู้จักกันนอกเหนือปกติธรรมดาก็ตอนนั้นแหละครับ)

ตอนนี้ นอกจากจะมีเว็บไซต์แล้วยังมีเฟซบุ๊กให้บรรดาแฟนานุแฟนได้ติดตาม หรือเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ทั้งที่ http://www. facebook.com/Y.Shinawatra หรือที่ http:// on.fb.me/yingluck ส่วนทวิตเตอร์ก็สามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @PouYingluck ครับ

คนที่รู้เรื่องดีบอกว่า ในทันทีที่เป็นที่ชัดเจนว่า คุณยิ่งลักษณ์ พร้อมที่จะลงคลุกฝุ่นการเมืองในนามพรรค กราฟิคของหน้าเว็บต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทันทีเหมือนกัน

นอกเหนือจากแฟนเพจเป็นรายบุคคลแล้ว "ปู ยิ่งลักษณ์" ยังมีกลุ่มต่างๆ เข้ามาเป็นแนวร่วมอีกมากมาย อาทิ on.fb.me/welovePoo หรือ on.fb.me/vote4YL และ on.fb.me/ YL1LadyPM เป็นอาทิ

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยคุ้นเคยกับการใช้งานสื่อใหม่ๆ มากพอตัว จึงมีอุปกรณ์อย่างน้อย 5-6 ชนิด ติดตัวอยู่ตลอดเวลาสำหรับสื่อสารกับใครต่อใครได้ในรูปแบบตามที่ต้องการ

รักใคร ชอบใคร เชียร์ใครก็ว่ากันไปตามสะดวก ติดตามกันได้ตามความพอใจ

ภาษาแถวบ้านเขาว่า แฟนใครแฟนมันครับผม!


(จากหนังสือพิมพ์มติชน )
++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศาลฎีกาฯ ไม่รับฟ้อง "ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก"เพิกถอน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

ที่แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งยกคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ ลต.4494/2554 ที่ พล.ต.ณพล คชแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภา และระงับการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.นี้ เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับโดยไม่ผ่านการออกเสียงประชามติ โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 54 โดยนายกฯได้ประชุมร่วมกับนายอภิชาต ประธาน กกต. เพื่อกำหนดวิธีการและหลักการหาเสียง โดยไม่ให้กระทบกระเทือนหรืออ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการแทรกแซงการทำงานตามอำนาจหน้าที่ของประธานกกต. ขณะที่การหารือดังกล่าวอาจเป็นการให้คุณหรือให้โทษกับพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ มีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย รวมทั้ง กกต. ไม่คัดค้านที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา ที่สละสัญชาติไทยถือสัญญาณมอนเตเนโกร ได้ใช้การโฟนอินกำหนดนโยบายให้พรรคเพื่อไทยและสมาชิกผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา อีกทั้ง กกต.ยังไม่ดำเนินการใดๆกับนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ซึ่งเข้ามาแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลและการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ

ภายหลัง นายสมคิด หอมเนตร หนึ่งในผู้ฟ้อง ซึ่งเดินทางมาฟังคำสั่ง กล่าวว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดเช่นกัน แต่ศาลปกครองสูงสุดก็ไม่รับคดีพิจารณา ขณะที่วันนี้ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีความเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจนั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสาม ให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. อย่างไรก็ดีถือว่าตนได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองอย่างดีที่สุด ซึ่งตามช่องทางกฎหมาย เมื่อมีการวินิจฉัยอำนาจศาลชัดเจนแล้ว คงไม่มีทางอื่นที่จะยื่นฟ้องอีก แต่ถ้าหากจะเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบคงต้องร้องเรียน ป.ป.ช. แต่กว่าที่จะดำเนินการคงใช้เวลานานซึ่งจะไม่ทันเวลาที่จัดเลือกตั้ง 3 ก.ค.นี้

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++

ผลัดกันทารุณ

ถึงเร็วไปนิด แต่ดีตรงที่ประชาชนจะได้รับความชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ถึงโฉมหน้ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าหากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เป็นอันจะไม่มีภูมิใจไทยอยู่ในสารบบ 'พรรคร่วม' อย่างแน่นอน
ในแถลงการณ์เพื่อไทยลงนามโดยหัวหน้าพรรค ระบุว่า ตามที่มีข่าวทำนองว่าภูมิใจไทยและเพื่อไทย อาจร่วมทำงานการเมืองและร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

คณะกรรมการบริหารพรรคประชุมกันแล้ว ขอเรียนว่าเพื่อไทยมีอุดมการณ์ และวิธีทำงานแตกต่างจากภูมิใจไทยเป็นอย่างมาก
ดังนั้น พรรคมีจุดยืนที่จะไม่ร่วมทำงานการเมืองและร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้งครั้งนี้
ต่อมาวันรุ่งขึ้นพรรคภูมิใจไทยก็ออกแถลงการณ์กู้หน้า หลังจากมีผู้สมัครและแกนนำพรรคบางคนไปหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา บอกกับชาวบ้านว่า
พร้อมจับมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล
แถลงการณ์ภูมิใจไทย นอกจากบรรยายสรรพคุณพรรคตนเองแล้ว ยังประกาศกลับลำ 180 องศา "วันนี้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
และยังว่า การแยกตัวออกมาตั้งพรรคใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือ สิ่งยืนยันว่าไม่เอาเพื่อไทยแล้ว

เหมือนต้องการจะบอกว่า ไม่ใช่เพื่อไทยที่เป็นฝ่ายปฏิเสธไม่เอาภูมิใจไทยอยู่ฝ่ายเดียว แต่ภูมิใจไทยต่างหากที่มีจุดยืนไม่เอาเพื่อไทยตั้งแต่แรก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงแถลงการณ์ของเพื่อไทยว่าเป็นการกระทำทารุณทางการเมืองต่อภูมิใจไทย
จะว่าเป็นการแสดงความเห็นใจก็ไม่เชิง
เพราะนายสุเทพ ยังพูดต่อด้วยว่าเมื่อสถานการณ์ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ภูมิใจไทยควรยืนหยัดอยู่บนขาตัวเองให้ได้
ซึ่งแปลความได้เช่นกันว่า ภูมิใจไทยควรเลิกหาเสียงด้วยการโหนกระแสเพื่อไทยได้แล้ว
กระนั้นก็ตามการกล่าวหาเพื่อไทยทำทารุณกับภูมิใจไทย ถึงจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิด แต่คนพูดก็ต้องเข้าใจเพื่อไทยด้วยเช่นกัน

อย่าลืมว่าเมื่อ 2 ปีก่อนนายเนวิน ชิดชอบ และสมัครพรรคพวก ก็ได้ทำทารุณกับพรรคของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้
สาหัสไม่น้อยไปกว่ากันเลย

ที่มา.เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ใบตองแห้งออนไลน์: อุดมการณ์สื่อ Saga: สืบสวนกันเอง

เผลอแป๊บเดียว ผ่านวันงดสูบบุหรี่โลกมาอีกปีแล้ว ขอโทษที ไม่รู้ตัวเลย เพราะผมไม่ได้สูบบุหรี่โลก ผมซื้อบุหรี่สูบของผมเอง (มุขเก่า)

ดีใจด้วยนะครับที่สถิติคนสูบบุหรี่ลดลง จาก 12.26 ล้านในปี 2534 เหลือ 10.91 ล้านในปี 2552 (ลดลงตั้ง 1.35 ล้านคนใน 18 ปี หลังจากก่อตั้ง สสส.มาได้ 10 ปี) แต่น่าประหลาดใจที่เยาวชนอายุ 11-24 ปีสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 1.6 ล้านในปี 2550 เป็น 1.7 ล้านในปี 2552

เปล่า ผมไม่ได้ประหลาดใจตรงตัวเลขเพิ่มขึ้น ผมประหลาดใจที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวโดยใช้เกณฑ์อายุเด็ก 11-24 ปี ทั้งที่ควรจะแยกกัน เช่น อายุเกิน 20 เกิน 18 เด็ก ม.ต้น เด็ก ม.ปลาย เด็กมหาลัย
อย่างน้อย ผู้อายุเกิน 20 คุณก็อนุญาตให้เขาซื้อบุหรี่ได้ คุณควรแยกสถิติด้วยสิครับ อย่าตีขลุม

ในวิชาชีพข่าว วิธีแถลงข่าวแบบนี้เราเรียกว่าตีปี๊บ เพื่อสร้างความตระหนกตกใจ สร้างจุดขายให้สังคมแตกตื่นว่า โห เด็กอายุ 11 สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงตัวเพิ่มมันอาจอยู่ที่เด็กมหาลัยอายุ 18 ปีขึ้นไป หรือพวกที่เรียนจบทำงานแล้ว อายุ 22-24 ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเยาวชน เพราะเขาบรรลุนิติภาวะทำมาหากินเองได้แล้ว

จำได้ไหมครับว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เคยมี “แหล่งข่าวกรมควบคุมโรค” ออกมาให้ข่าวโดยไม่ระบุชื่อว่า “สำนักระบาดวิทยาได้สำรวจพฤติกรรมสุขภาพในนักเรียน พบผลสุดอึ้ง เด็กหญิง ม.2 สูบบุหรี่เกือบ 80% ส่วนเพศชายพกอาวุธถึง 23.7% ขณะที่ นร.อาชีวะชายนิยมกัญชา”

เนื้อข่าวบอกว่า สำนักระบาดวิทยาได้สำรวจพฤติกรรมสุขภาพในนักเรียนด้วยคอมพิวเตอร์มือถือ ปี 2552 จำนวน 51,110 คน ในกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาปีที่ 2 นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 และนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่านักเรียนที่มีประสบการณ์ใช้สารเสพติดประเภทกัญชา เป็น นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชาย มีอยู่ร้อยละ 23.6 ส่วน นร.ชั้น ม.5 เพศชาย มีอัตราการใช้กัญชาอยู่ที่ร้อยละ 13.7 ขณะที่ นร.ชั้น ม.2 ชาย พบใช้สารเสพติดประเภทกระท่อมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 5.4 ส่วนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ส่วนมากเป็น นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชาย สูบทุกวันร้อยละ 57.2 เพศหญิงสูบร้อยละ 23.2 ขณะที่ นร.ชั้น ม.5 เพศชายพบร้อยละ 41.4 ทั้งนี้ ยังมีรายงานจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่สูบเป็นบางวันพบใน นร.ชั้น ม.2 เพศหญิงมากที่สุด พบถึงร้อยละ 78.8 รองลงมาเป็น นร.ชั้น ม.5 เพศหญิงร้อยละ 61.8

สำหรับการแสดงความรุนแรง พบว่า ในรอบ 12 เดือนเคยพกอาวุธ นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชายร้อยละ 32.9 นร.ชั้น ม.5 เพศชายร้อยละ 24 นร.ชั้น ม.2 ชายร้อยละ 23.7 นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 หญิงร้อยละ 11.7
โห อะไรมันจะขนาดนั้น ถ้าผลสำรวจนี้เป็นจริง ประเทศชาติพินาศฉิบหายแน่นอน ตัวเลขเยาวชนสูบบุหรี่คงไม่ใช่แค่ 1.7 ล้านคน

สามัญชนคนธรรมดาลองเอาหัวแม่เท้าตรองดูก็ได้ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้สามัญสำนึก ว่าข่าวนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า แต่สื่อไทยไม่ใช้กระทั่งหัวแม่เท้า พากันพาดหัวว่า “อึ้ง! เด็กหญิง ม.2 สูบบุหรี่เกือบ 80%”
นี่มัน “ข่าวเต้า” ชัดๆ แต่ แหล่งข่าว ในกรมควบคุมโรคปล่อยออกมาโดยไม่รับผิดชอบ สื่อก็ตีข่าวโดยไม่รับผิดชอบ เพราะคิดว่ามันจะเป็นผลดีต่อศีลธรรมต่อการเข้มงวดพฤติกรรมเด็ก

ฉะนั้นคำถามก็คือ ตัวเลขคนสูบบุหรี่ ตัวเลขเพิ่มลดของกระทรวงสาธารณสุข และ สสส.เอามาจากไหน เอามาจากบริษัทบุหรี่หรือครับ หรือเอายอดขายบุหรี่มาคำนวณเอง แล้วคนสูบยาเส้นล่ะ ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ขึ้นราคาบุหรี่มาหลายรอบเนี่ย บุหรี่มวนเองทั้งแบบใช้เครื่องมวนใช้มือมวน ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ที่แน่ๆ คือ สสส.ซึ่งมีรายได้จากส่วนแบ่งจากภาษีเหล้าบุหรี่ 2% ตระเตรียมจะขยับขยายสำนักงานไปแถวๆ คลองเตย จากเดิมที่คิดว่าจะตั้งสำนักงานชั่วคราว คนไทยส่วนใหญ่เลิกเหล้าบุหรี่เมื่อไหร่ก็ยุบ สสส.เมื่อนั้น ฉะนั้น ซตพ.เหล้าบุหรี่จะอยู่ยั้งยืนยงไปชั่วกัลปาวสาน

ตรงนี้ขอนอกเรื่องสักนิดนะครับว่า สสส.คือองค์กรแรกที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่ NGO (แล้วเป็นตัวอะไรหว่า) ซึ่งมีงบประมาณแน่นอน โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐบาลและรัฐสภา จากนั้นก็มีองค์กรประเภทนี้ตามมาเป็นพรวนอย่างที่เขียนไว้แล้ว ได้แก่ TPBS, สสค.หรือ สสส.การศึกษา, กองทุนสื่อสร้างสรรค์ ซึ่งมีเค้กเป็นของตัวเองจากส่วนแบ่งภาษีบาป หรือภาษีโทรคมนาคมที่ กทช.เก็บมา

กสทช.ที่กำลังยุ่งเหยิง ฟ้องร้องนัวเนียเรื่องการสรรหาก็เหมือนกัน องค์กรนี้จะมีรายได้ 2% จากภาษีโทรคมนาคม เป็นเค้กก้อนใหญ่ที่สุด มากกว่า สสส.หลายเติบ ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ใครๆ ก็แย่งกันเป็น

ล่าสุดยังจะมีองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภคอีกนะครับ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่ารัฐบาลต้องอุดหนุนงบตามรายหัวประชากร ไม่น้อยกว่า 5 บาทต่อคน (60 ล้านคนก็ 300 ล้านบาท-องค์กรนี้ถ้าตั้งขึ้นมาแล้วคุณสารี อ๋องสมหวัง ไม่ได้เป็นเลขาธิการละก็ น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว)

ผมไม่ได้ติดใจ 300 ล้านหรือ 600 ล้าน แต่นี่คือวิธีกำหนดงบประมาณแบบมัดมือชกโดยมี สสส.เป็นต้นแบบ ซึ่งนอกจากไม่เป็นไปตามระบอบรัฐสภาแล้วยังผิดวินัยการเงินการคลัง นักข่าวเศรษฐกิจรุ่นเก่าเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่เสนอตั้ง สสส.ในรัฐบาลชวน ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลังขณะนั้นไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าผิดวินัยการเงินการคลัง แต่ตัวตั้งตัวดีผลักดันชงเรื่องให้นายชวนคือพิสิฐ ลี้อาธรรม ซึ่งได้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกในวันงดสูบบุหรี่โลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (และเป็น 1 ใน 35 อรหันต์กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 50)

แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากผมจัดหนักให้ สสส.ไปครั้งที่แล้ว ก็มีผู้บริหาร สสส.นัดคุย ซึ่งผมไม่ได้ปิดบัง ได้เล่าให้หลายๆ คนฟังแต่ยังไม่มีโอกาสเขียนถึง บางคนอาจเข้าใจว่าผมไปนัดเจอ สสส.แล้วเงียบจ้อย ถูกปิดปาก เปล่าหรอกครับ ก็ผมเสนอความเห็นไปหมดแล้ว พูดกันตรงๆ แล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาปรับตัว เพียงแต่ดูๆ มา 2-3 เดือน ยังไม่เห็นมีการปรับตัวซักเท่าไหร่

บอกก่อนว่า บรรยากาศการพูดคุยกับผู้บริหาร สสส.ระดับ ผอ.สำนัก เป็นไปด้วยดี เข้าใจกันดี ไม่ใช่ปัญหาตัวบุคคล สิ่งที่ผมเสนอ สรุปสำคัญๆ คือผมไม่อยากเห็นโฆษณาแฝง ที่มาในรูปบทความ สกู๊ป หรือข่าวพีอาร์ ผู้บริหารรายนี้ก็บอกว่าเห็นด้วยกับผม และพยายามจะไม่ให้มีการทำอย่างนั้น แต่ที่เห็นๆ กันอยู่ ไม่ใช่งบประมาณจากสำนักที่ดูเรื่องสื่อโดยตรง บางครั้งก็เป็นฝีมือเอเยนซีที่รับงานไปโปรโมท ข้อนี้ยินดีรับไปนำเสนอในองค์กร

อีกประเด็นที่ถกกัน ก็คือเรื่องให้ทุนสนับสนุนองค์กรต่างๆ ซึ่งมักจะเวียนเทียนอยู่ในองค์กรหน้าเดิม ในเครือข่ายลัทธิประเวศ ผู้บริหารรายนี้ชี้แจงว่า แนวทางการทำงานของ สสส.คือจะให้ทุนกับองค์กรที่ทำงานด้านนั้นอยู่แล้วและมีผลงานประจักษ์ สสส.ไม่ได้เปิด TOR ให้ทุกองค์กรเสนอโปรเจกท์เข้ามาแล้วถึงอนุมัติ แต่ สสส.เลือกจากองค์กรที่พิสูจน์ตัวเองแล้ว ซึ่งมันก็มักจะไปลงเอยที่องค์กรเครือข่ายหมอประเวศ แต่ไม่ใช่เลือกเพราะความเป็นเครือข่ายหมอประเวศ

โอเค มีเหตุผล แต่เห็นต่าง เพราะผมคิดว่าแนวทางการทำงานของ สสส.แบบนี้เป็นปัญหา เป็นมาแล้ว และจะเป็นต่อไป ขอสงวนสิทธิที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นกรณีๆ แต่ที่ผมขอทักท้วงไว้เบื้องต้นคือ สสส.ควรกลั่นกรองบุคคลที่รับโครงการ อย่างน้อยต้องมือสะอาด ผมยกตัวอย่างที่พูดในวงกว้างไม่ได้ ว่ามันมีบางโครงการที่คนรับไป มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส
ผอ.สำนักรายนี้ยินดีรับฟัง แต่ผมเข้าใจว่าคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

ประเด็นสำคัญคือผมบอกว่า การที่หมอประเวศแกโดดลงมาอุ้มรัฐบาลอภิสิทธิ์หลังพฤษภาอำมหิต ด้วยข้อเสนอ “ปฏิรูปประเทศไทย” นั้นมันสร้างความขัดแย้ง และมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย แต่คนไม่เห็นด้วยแทบไม่มีช่องทางแสดงความเห็น ขณะที่หมอประเวศมีเครือข่าย มีงบประมาณของคณะกรรมการปฏิรูป มีงบโฆษณาของ สสส.ให้ใช้ทั้งทางตรงทางอ้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สสส.เข้าไปให้ทุนสนับสนุนสถาบันอิศรา แล้วสถาบันอิศราก็ตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยขึ้น สนอง need หมอประเวศ นำเสนอแต่ข้อมูลด้านดีๆ ของการปฏิรูป อันนี้ไม่ใช่ “ซื้อสื่อ” แล้วครับ แต่ภาพที่ออกมามันเหมือนซื้อสมาคมนักข่าวไปทั้งสมาคม

แน่นอน ตรงนี้ก็ถกกันพอสมควร แต่เอาเป็นว่าสิ่งที่ ผอ.สำนักท่านนี้ยอมรับคือ ศูนย์ข่าวปฏิรูปฯ ไม่ควรนำเสนอเฉพาะข้อมูลด้านดีของการปฏิรูป เมื่อมีคนคัดค้านก็ควรนำมาลงในเว็บไซต์ด้วย เป็นสิ่งที่เคยเสนอแล้ว แต่จะก้าวล่วงไปมากไม่ได้เพราะสถาบันอิศราก็มีอิสระของเขา

กล่าวโดยสรุปแล้ว เราสนทนาปราศรัยกันด้วยดี แต่ไม่มีอะไรในกอไผ่ โฆษณา สสส.เท่าที่ดูมา 2 เดือนกว่าก็ยังเหมือนเดิม บทความปฏิรูปการเมืองที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเป็น เนื้อที่โฆษณา ก็ยังลงอยู่หน้าตาเฉย ข่าวพีอาร์ก็ยังแย่งเนื้อที่ข่าวแมนยูฯ แชมป์ 19 สมัยในหนังสือพิมพ์กีฬา (อุตส่าห์ซื้อตั้ง 18 บาท เป็นสารพัดข่าวพีอาร์กับโฆษณา 9 บาท)

เพียงแต่ระยะนี้ สสส.อาจจะทำตัวโลว์โปรไฟล์ลงหน่อย ไม่ใช่เขากลัวผมหรอกครับ เขาต้องระมัดระวังในช่วงเลือกตั้ง เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล กิจกรรมใดๆ ที่เคยออกหน้าออกตา ก็ต้องลดลงบ้าง

แต่ย้ำอีกทีว่า ผู้บริหาร สสส.ที่มาคุยกับผมมีความจริงใจ และคุยกันเข้าใจ เพียงแต่คนคนเดียวคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะและวิถีการทำงานของทั้งองค์กรได้ง่ายๆ (ถ้าไม่จริงใจ ก็ไม่จำเป็นต้องมาคุยกับผม ปล่อยให้เป็นเสียงนกเสียงกาก็ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าหมอนักต่อต้านบุหรี่รายหนึ่ง ที่ส่งอีเมล์ไปทั่วตั้งข้อกังขาว่าผมมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า)

ส่วนฝ่ายผมเอง ก็ยอมรับว่าข้อมูลบางเรื่องคลาดเคลื่อนบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะตัวเลขต่างๆ (ถ้าเอามารวมเล่มเมื่อไหร่จะส่งให้ สสส.ตรวจทาน-ฮา) แต่ยังยืนยันในหลักการและประเด็นสำคัญ กระนั้นก็มีบางเรื่องที่คงฟังไม่ได้ศัพท์ เช่น ผมบอกว่าข้อมูลบางเรื่อง สสส.น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว อย่างเรื่องสถาบันอิศราจัดอบรม บสส.บสก.แล้วมีพวกแพทยสภาเข้าไปด้วย กระทั่งไปจัดสัมมนากับสมาคมบริษัทยาที่รีสอร์ท กลายเป็น สสส.ให้ทุนจัดอบรมสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนักข่าว บริษัทยา กับแพทย์พาณิชย์ เรื่องนี้ก็มีน้องในแวดวง NGO คนหนึ่ง เอาไปโพสต์ขึ้นเว็บก่อนแล้ว

ปรากฏว่าพูดกันต่อๆ ไป ใน สสส.พูดกันปากต่อปาก กลายเป็นน้องคนนี้คือแหล่งข่าวสำคัญ ตัวให้ข้อมูลใบตองแห้ง เอ้า chip หายเลย น้องผมกลายเป็นหมาหัวเน่า

แต่เนื้อหาสาระเรื่องที่เขาท้วงติงกลับไม่มีใครสนใจ แล้วเป็นไงละครับ ผมดูข่าวสถาบันอิศราล่าสุด มีการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 โดยการสนับสนุนของ สสส.มีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เป็นประธานรุ่น

นพ.อำนาจคือนายกแพทยสภาคนล่าสุด ก่อนหน้านี้เป็นเลขาธิการแพทยสภา เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็เอา นพ.สรรธวัช อัศวเรืองชัย หัวหน้าศูนย์วิจัยพัฒนาคุณภาพความปลอดภัย รพ.จุฬาฯ มาแถลง จวกยับเครือข่ายผู้ป่วย ปล่อยข้อมูลมั่ว (ตามที่สื่อพาดหัวข่าว)

เรื่องตลกคือ นายกแพทยสภาเข้ามาอบรม บสส.รุ่นที่ 3 ในโควต้าขององค์กรพัฒนาเอกชน/เครือข่ายสุขภาวะ ซึ่งมี 6 คน อีก 5 คนได้แก่ สุทธิ มาบตาพุด อัชฌาศัย ผู้ประสานงานพันธมิตรภาคตะวันออก, เจ้าหน้าที่ สสส. สวรส. กป.อพช. และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มากันคนละโลกกับแพทยสภาเลยนะเนี่ย

บสส.รุ่น 3 มีนักข่าว 28 คน ข้าราชการ 6 อาจารย์นิเทศศาสตร์ 5 ภาคธุรกิจ 7 ได้แก่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ปตท.ไทยออยล์ ปูนใหญ่ แบงก์กรุงเทพ ทรินิตี้พลัส ทรู และไทยนครพัฒนา (ปวดหัวตัวร้อนมีทิฟฟีแจกฟรีตลอดหลักสูตร)
ใครล่ะจะไม่อยากมาอบรมกับนักข่าว สร้างคอนเนคชั่นกับนักข่าว โดยมี สสส.เป็นสปอนเซอร์

ความเปลี่ยนแปลงที่สถาบันอิศรา
ข่าวข้างต้นผมก๊อปมาจากเว็บสถาบันอิศรานะครับ ไม่ได้มีแหล่งข่าววงในที่ไหนหรอก (ถูกปิดหมดทุกช่อง)

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา พร้อมด้วย นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและผู้อำนวยการหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 ให้การต้อนรับ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโอกาสบรรยายหัวข้อ "องค์กรอิสระกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ" จัดโดย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งนี้มี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ประธานรุ่น พร้อมด้วยสมาชิก ให้การต้อนรับ ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

ดีใจนะครับที่เชิญ อ.วรเจตน์ไปบรรยาย เท่าที่ดูข่าวเขาก็เชิญคนหลากหลายดี เชิญปริญญา เทวนฤมิตรกุล เชิญจรัญ ภักดีธนากุล เชิญ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
แต่ที่จะให้ดูไม่ใช่ประเด็นนี้หรอก เพราะต้องดูเปรียบเทียบอีกข่าว

การอบรมเชิงปฏิบัติการ "การสร้างวิทยากรข่าวสิทธิเด็ก"‏
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รักษาการ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาสถาบันอิศรา ร่วมมอบเกียรติบัตรให้กับผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างวิทยากรข่าวสิทธิเด็ก” จัดโดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ โครงการจัดตั้งคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ณ โรงแรมเทาทอง มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี

สองข่าวนี่ขึ้นพร้อมกัน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม เปล่า ไม่ใช่จะตั้งข้อกังขาว่าทำไม๊ มหาวิทยาลัยบูรพา ถึงมีความสัมพันธ์อันดีจังกับสมาคมนักข่าวและสถาบันอิศรา (นักวิชาการ 1 คนที่ได้ไปอบรมวิสคอนซิน ก็เป็นอาจารย์ ม.บูรพา เรื่องนี้นักข่าวเด็กๆ มันเมาท์กันแซดว่า ถ้าไม่ ม.บูรพา ก็หอการค้า ธุรกิจบัณฑิตย์ และศรีปทุม คอนเนคชั่นปึ้ก)

เอ้า นอกเรื่องอีกแล้ว ที่ผมตั้งข้อสังเกตคือ ข่าวแรกบอกว่า ประสงค์เป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็นนายกสมาคมนักข่าว และเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร บสส.ข่าวหลังบอกว่าประสงค์เป็นรักษาการผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็นที่ปรึกษา

ต้องย้อนอดีตก่อนว่า เดิมที ประสงค์เป็นนายกสมาคมนักข่าว พร้อมกับเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศรา (รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง ในฐานะที่ทำงานพาร์ทไทม์ยังไม่ออกจากไทยรัฐ) แต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ชวรงค์ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักข่าว แทนประสงค์ซึ่งครบวาระ 2 สมัย เป็นต่อไม่ได้อีก

ผมก็รอฟังมาระยะหนึ่งว่า เขาจะจัดสรรตำแหน่งกันอย่างไร เพราะชวรงค์ต้องออกจาก ผอ.สถาบันอิศรา จะควบ 2 ตำแหน่งไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อดูข่าวทั้งสองแล้ว ก็แปลว่า เขาใช้วิธีให้ประสงค์มา รักษาการ ผอ.สถาบันอิศราแทน (ไม่ทราบว่าได้เงินเดือนหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นไปตามระบบ ก็ต้องได้ครึ่งหนึ่ง เพราะประสงค์ยังไม่ออกจากมติชน)

แต่ขณะเดียวกัน ประสงค์ก็ยังเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบัน (แทนที่จะเป็นชวรงค์ ตามตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าว) ส่วนชวรงค์ขอมาเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร บสส.แทน (ซึ่งก็ได้ค่าตอบแทนตามระบบของ สสส.)
ฟังแล้วก็มึนๆ อยู่นะครับ แถมชวรงค์ยังไปเป็นประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยอีก (พร้อมกับยังเป็นประธานชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2552)

แต่ก็มีเรื่องดีนะครับ เข้าใจว่าประสงค์คงจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ตั้ง TCIJ. ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง ในฐานะที่เป็นมือข่าวสืบสวนอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นเรื่องดีที่ต้องสนับสนุนอย่างจริงใจ
ประสงค์เป็นนักข่าวที่เก่งมากนะครับ และมีความเป็นมืออาชีพ ถ้าพูดถึงทัศนะทางการเมือง เขาอาจจะไม่ต่างจากนักข่าวอีกมากคือถูกครอบงำด้วยความ เกลียดทักษิณ โดยเฉพาะประสงค์ซึ่งทำข่าวซุกหุ้นมากับมือ เกือบสิบปีมานี้ เขา โดน อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ถูกกระทำมาเยอะ ในฐานะคนที่ทำให้อัศวินควายดำเกือบตกเก้าอี้ ฉะนั้นต่อให้ประสงค์เกลียดทักษิณเข้ากระดูกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ หลังรัฐประหาร ประสงค์ก็ยังทำข่าวสืบสวนต่อไปโดยไม่เลือกข้าง เช่น เขาเป็นคนจุดประเด็น ตั้งคำถามต่อ ตุลาการภิวัตน์ ในหลายๆ โดยเฉพาะกรณีที่ ปปช.เข้ามาสอบอดีตประธานศาลปกครอง อ.อักขราทร จุฬารัตน์ ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งเปลี่ยนองค์คณะในคดีคุ้มครองชั่วคราว ระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

นี่เป็นข่าวสืบสวนชิ้นโบว์แดงเลยนะครับ และแสดงจุดยืนที่มั่นคงในวิชาชีพ เป็นนักข่าวก็ต้องเป็นนักข่าว เจาะข่าวโดยไม่เลือกข้าง ไม่เห็นแก่หน้าใคร

ถ้านักข่าวทุกคนเป็นมืออาชีพอย่างประสงค์ วงการสื่อก็คงไม่เสื่อมสิ้นเครดิตศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้
ส่วนตัวผมจึงมองว่า ถ้าประสงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศราไปซะเลย โดยไม่ต้องรักษาการ ก็จะเป็นเรื่องดียิ่ง ถึงแม้ประสงค์ยังไม่อยากออกจากมติชน (เพราะมีสิทธิรอบำเหน็จตามระเบียบว่าด้วยการเกษีณอายุ) ก็สามารถทำงานพาร์ทไทม์รับเงินเดือน ผอ.สถาบันครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ (เนื่องจากเท่าที่ระแคะระคาย หลังการแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ในมติชนปลายปีที่แล้ว จนทำข่าวเอียงกะเท่เร่ไปอีกข้าง ประสงค์ก็ถูกลดบทบาท ลูกน้องในทีมข่าวซุกหุ้นบางคน ตอนนี้ก็ลาออกมาทำงานให้สถาบันอิศรา)
ระเบียบว่าด้วยการเกษียณอายุของบริษัทมติชน คือพนักงานอายุครบ 60 มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินเดือนคูณจำนวนปีที่ทำงาน อายุ 55 ก็ขอเกษียณก่อนกำหนดได้ โดยคิดจำนวนปีบวกเพิ่มให้อีก 5 ปี มติชนเคยจะยกเลิกระเบียบนี้เมื่อเดือนมกราคม แล้วถูก มือมืด เอามาเขียนประจานลงประชาไท จนขายขี้หน้าประชาชี ต้องยอมกลืนเลือดกลับไปจ่ายบำหน็จตามเดิม คงจำกันได้นะครับ

เล่านอกเรื่องอีกหน่อย พรรคพวกในมติชนเขาเล่าว่า เสี่ยช้าง ขรรค์ชัย บุนปาน แกอ่านที่ มือมืด เขียนลงประชาไทแล้วหัวร่อก๊าก ฝากบอกคนเขียนว่า ทีหน้าทีหลังถ้าไม่อยากให้ใครรู้ ก็เปลี่ยนสำนวนและสไตล์การเขียนเสียบ้าง แต่นี่อ่านแล้วแกรู้ทันทีว่าใคร เพราะสำนวนภาษาติดอยู่ที่หน้าผาก

สรุปว่าอุตส่าห์ต่อสู้กันมาถึงเพียงนี้ ประสงค์ก็ต้องรอจนอายุ 55 เพื่อรับเงินบำเหน็จที่ (คาดกันว่า) ปาเข้าไปร่วมสองล้าน ซึ่งผมชูจักกะแร้เชียร์เต็มที่ เป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ ขนหน้าแข้งเสี่ยช้างไม่ร่วงหรอก (ถ้าไทยโพสต์มีบำเหน็จแบบนี้ จ้างให้ผมก็ไม่ลาออก)

กรรมการปฏิรูปกฎหมาย
แต่อย่างว่า แม้แต่องค์ปฏิมายังถูกกาเลเทน้ำ ประสงค์ก็กำลังโดนพวกเด็กๆ นักข่าวปากหอยปากปูนินทา

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจำนวน 11 ราย โดยนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ มี อ.คณิต ณ นคร เป็นประธาน อดีตกรรมการสิทธิฯ สุนี ไชยรส เป็นรองประธาน กรรมการก็มีคนคุ้นเคยเช่น ไพโรจน์ พลเพชร, สมชาย หอมลออ, อ.เสาวณีย์ อัศวโรจน์ อ.บรรเจิด สิงคะเนติ อดีต คตส.ทั้งคู่

แล้วก็มีประสงค์เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเป็นองค์กรอิสระ ตั้งขึ้นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 81 วรรค 3 มีสำนักงานของตัวเอง มีเลขาธิการเป็นข้าราชการประจำ คณะกรรมการ 11 คนมีวาระ 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ เพียงแต่กรรมการมี 2 ประเภทคือ กรรมการเต็มเวลา 6 คน ทำงานถาวร ไม่ประกอบอาชีพอื่นที่ได้ค่าตอบแทน กับกรรมการไม่เต็มเวลา มาในคราวที่มีการประชุมหรือว่างเว้นจากงานประจำ

แน่นอน ประสงค์เป็นกรรมการพาร์ทไทม์ (อีกแหละ) โดยกรรมการเต็มเวลาได้แก่ อ.คณิต (ซึ่งต้องลาออกจากคณบดีนิติศาสตร์ ธุรกิจบัณฑิตย์ แต่ยังเป็นประธาน คอป.ได้เพราะไม่ขัดข้อห้าม) เจ๊สุนี, อ.เสาวณีย์, สมชาย, ไพโรจน์ และสุขุมพงศ์ โง่นคำ อดีตมือกฎหมายพรรคพลังประชาชน (ฟังแล้วก็ยังงงๆ ว่าสมชายกับไพโรจน์ต้องลาออกจากงานองค์กรสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า เพราะถึงจะเป็นงาน NGO แต่ก็ได้ค่าตอบแทนนะครับ)

ส่วนกรรมการพาร์ทไทม์อีก 4 คนได้แก่ อ.บรรเจิด, อ.วิระดา สมสวัสดิ์, ชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ อดีตประธานสหภาพแรงงานแบงก์กรุงเทพ และ อ.กำชัย จงจักรพันธ์ อดีตคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (มือขวานริศ ชัยสูตร ตอนจะย้ายธรรมศาสตร์ ผมเคยไปสัมภาษณ์ นริศให้กำชัยมาพรีเซนส์แทน พรีเซนส์เก่ง สมเป็นนักกฎหมายธุรกิจการลงทุน ไม่น่าเป็นอาจารย์เล้ย)
คณะกรรมการชุดนี้เพิ่งสรรหาขึ้นมาเป็นชุดแรก โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นกรรมการสรรหา ก่อนหน้านี้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราว ก็มี อ.คณิตเจ้าเก่าเป็นประธาน แล้วก็มีตัวเจ็บๆ เช่น หมอชูชัย ศุภวงศ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ แพรนด้าจิวเวลรี นายทุนพันธมิตร (พ่อทูนหัวสุริยะใส), วิษณุ เครืองาม, สุรพล นิติไกรพจน์, สมชาย หอมลออ, สมหมาย ปาริจฉัตถ์ (มติชนอีกแหละ),อ.อมรา พงศาพิชญ์ และรสนา โตสิตระกูล สองรายหลังลาออกไปเมื่อได้เป็นประธานกรรมการสิทธิฯ และได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก

องค์ประกอบของคณะกรรมการ (ซึ่งเจ๊สดอยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น) ดูพิกลๆ อยู่ คือเหมือนมาจากเครือข่ายภาคประชาชน แต่ค่อนไปทางสีเหลือง กระนั้นก็ดันมีสุขุมพงศ์ โง่นคำ ซึ่งอยู่ในบ้านเลขที่ 109 (แต่เปิดประวัติดูจะไม่แปลกใจ สุขุมพงศ์เคยเป็นเลขาฯ วิษณุ เครืองาม)

อย่างไรก็ดี ในส่วนของประสงค์ เท่าที่เว็บไซต์คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย แสดงประวัติและวิสัยทัศน์เอาไว้ ถือว่ายอดเยี่ยมมากเลยครับ เพราะเขาบอกว่า

“ในปัจจุบันควรมุ่งเน้นการปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่ก่อให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคม ซึ่งได้แก่ความไม่เป็นประชาธิปไตย ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมด้านต่างๆ ดังนี้
1.ความไม่เป็นประชาธิปไตยซึ่งเห็นได้ชัดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ในหลายบทบัญญัติ เช่น การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา การให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้แต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ การกำหนดให้สถาบันตุลาการเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการสรรหาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ฯลฯ”

นับเป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน อย่างยากจะหาในบรรดาสื่อ ไม่ใช่แบบหยุ่น หย่อง ที่หลับหูหลับตาเชียร์ตุลาการภิวัตน์และรัฐธรรมนูญ 50 ตะพึดตะพือ

ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าประสงค์มีคุณค่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มากกว่ากรรมการอีกหลายๆ คนด้วยซ้ำ

แต่ปัญหาคือไอ้พวกเด็กๆ นักข่าวมันไม่คิดอย่างผมสิครับ มันมองต่างมุมว่า พี่เก๊ะ เล่นควบ 3 ตำแหน่ง ทั้งยังทำงานที่มติชน ทั้งรักษาการ ผอ.สถาบันอิศรา (และเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา) แล้วยังมาเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมายพาร์ทไทม์อีก

“เขาควรได้รับการยกย่อง... หรือควรได้รับข้อเสนอว่า... จะเอาอะไรก็สักอย่าง-อย่าพึงได้อภิสิทธิ์ทับซ้อน เพื่อการที่ยกย่องตัวเองบนผลประโยชน์ส่วนบุคคล”

เด็กๆ นักข่าวมันโพสต์ข้อความกันทันทีในทวิตเตอร์ที่สื่อสารกันเฉพาะนักข่าว
ไอ้เด็กเปรตพวกนี้มันร้ายนะครับ มันไปทำข่าว ซีฟ สืบสวนสอบสวนจนรู้ว่า กรรมการปฏิรูปกฎหมายเนี่ย ถ้าทำงานเต็มเวลาได้เงินเดือน 64,000 บาท มีค่าเดินทาง มีบำเหน็จ ส่วนกรรมการไม่เต็มเวลา กรมบัญชีกลางให้ใช้คำว่า เงินค่าตอบแทนรายเดือน เดือนละ 42,500 บาท มีค่าเดินทาง แต่ไม่มีบำเหน็จ

มันยังตั้งคำถามกันว่า แบบนี้ ขัดกับประกาศว่าด้วยการปฏิบัติตนของผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ข้อ 2(3) หรือเปล่า ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ไม่ควรเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับสายงานข่าวที่ตนรับผิดชอบ

แต่ที่เปรียบเทียบกันได้คล้ายคลึงที่สุด ก็คือตอนที่นักข่าวฮือค้าน ภัทระ คำพิทักษ์ นายกสมาคมนักข่าวฯ เข้าไปเป็น สนช.จนท้ายที่สุด โม่ง ต้องลาออกจากนายกสมาคม (แต่ก็ยังเป็น บก.ข่าวโพสต์ทูเดย์)

ผมแย้งว่า เฮ้ย มันไม่เหมือนกันนะ กรณีนั้น 3 นายกสมาคมสื่อ (รวมสมชาย แสวงการ และเจ๊หยัด) เข้าไปร่วมหอลงโลงกับเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งมันขัดต่ออุดมการณ์สื่อ ที่ต้องเชิดชูสิทธิเสรีภาพ

แต่เด็กพวกนี้มันบอกว่า ถ้า พี่เก๊ะ ทำได้ ต่อไปคนอื่นๆ ก็จะเอาอย่าง การทำงานสมาคม หรือองค์กรสื่อ จะกลายเป็นบันไดไปสู่การมีตำแหน่ง เป็นกรรมการนั่นกรรมการนี่ เป็นที่ปรึกษา ฯลฯ ผูกพันทับซ้อนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การทำงานเพื่อปกป้องสิทธิสื่อ หรือดูแลช่วยเหลือสวัสดิการของพวกน้องๆ อีกต่อไป

ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรละครับ ส่วนตัวผมยังอยากเห็นประสงค์ทำข่าวสืบสวนสอบสวนให้มติชน อยากเห็นประสงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศรา อยากเห็นประสงค์เข้าไปเสนอแนวคิดปฏิรูปกฎหมาย แต่ผมก็ชักวิตกกังวลว่าถ้าประสงค์ยังควบ 3 ตำแหน่งอยู่แบบนี้ แรงกดดันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงซุบซิบนินทาที่มาเข้าหูผมอยู่ตอนนี้ไง

ท้ายที่สุด เรื่องนี้จะจบลงยังไง ...ไม่ทราบสิครับ เพราะผมไม่มีข้อเรียกร้อง ได้แต่นำเสนอปัญหาตามที่ได้ยินได้ฟังมา ประสงค์จะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของประสงค์ ถ้าเห็นว่ายังควบ 3 ตำแหน่งได้ สามารถชี้แจงน้องๆ ได้ ผมก็ไม่ว่ากระไร ไม่มีส่วนได้เสีย เห็นดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าเห็นว่าควบไม่ไหว ก็แล้วแต่จะตัดสินใจเลือกอย่างไร (ซึ่งก็น่าเสียดายไปเสียทุกทาง)
ผมเองก็กระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกันที่ต้องนำเสนอ เพราะบอกแล้วว่าส่วนตัวผมชื่นชมประสงค์ (ถ้าเป็นคนอื่นเรอะ...เจ็บสาหัส) เพียงแต่นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แม้ออกจะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่มันเกี่ยวกับองค์กรสื่อ จึงจำใจต้องพูด พูดเพื่อให้ประสงค์ได้ทำหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่

พูดแล้วจบนะครับ จะไม่พูดอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเคลียร์กันในวงการสื่อ ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว เพราะบอกแล้วว่าผมไม่ติดใจ
ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายเปิดผนึกมาชี้แจงใบตองแห้งนะครับ
ใบตองแห้ง 

+++++++++++++