--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปสู่... รัฐไทยใหม่ รัฐประชาธิปไตย

ขบวนประชาธิปไตยที่ก่อตัวมาตั้งแต่กลางปี 2549 ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ได้ขยายตัวเติบใหญ่ จนปัจจุบัน กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดงที่มีจำนวนนับล้านคนทั่วประเทศ ได้ผ่านบทเรียนการต่อสู้อันยากลำบาก กระทั่งต้องสูญเสียอย่างสาหัสในการเคลื่อนไหวเมษายน-พฤษภาคม 2553 ประสบการณ์อันนองเลือดและเจ็บปวดทำให้ขบวนประชาธิปไตยยกระดับขึ้นสู่ขั้นตอนใหม่ เกิดการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ค่อย ๆ ตกผลึกทางความคิด ชัดเจนถึงเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของขบวนว่า จะเดินต่อไปอย่างไรเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยที่แท้จริง

1. เป้าหมายคือ “รัฐประชาธิปไตย”บทเรียนที่ผ่านมา ทำให้รู้ชัดว่า ประเทศไทยยังคงล้าหลังในทางเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนส่วนข้างมากของสังคมยังยากจน มิใช่เพราะโง่หรือ “ขี้เกียจ” แต่เป็นเพราะขาดโอกาสในการศึกษา บริการทางการแพทย์ อาชีพ และแหล่งเงินทุน อันเนื่องมาจากระบอบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หากแต่มีเนื้อในที่เป็นระบอบเผด็จการจารีตนิยมที่รวมศูนย์อำนาจและโภคทรัพย์ไปยังผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง มีเปลือกนอกที่สลับกันเป็นช่วง ๆ ระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผย กับระบอบรัฐสภาและรัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอ ระบอบนี้มีรัฐประหารและตุลาการเป็นเครื่องมือสำคัญ เคลือบคลุมด้วยการครอบงำทางความคิดของลัทธิเทวสิทธิ์
หนทางที่จะให้ประเทศไทยบรรลุความเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจรุ่งเรือง ประชาชนมั่งคั่งก็คือ ต้องทำให้การเมืองเป็นประชาธิปไตย ไปบรรลุเป้าหมายที่ สร้างระบอบประชาธิปไตยที่ปวงประชามหาชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา ขบวนประชาธิปไตยได้มีคำขวัญว่า สร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งในเบื้องต้นหมายถึง “รัฐไทยที่ทุกคนเท่าเทียมกัน มีความยุติธรรมและไม่เป็นสองมาตรฐาน” สะท้อนถึงความเรียกร้องต้องการของคนเสื้อแดงที่เจ็บแค้นจากความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติที่ได้รับจากผู้ปกครองตลอดหลายปีมานี้

รัฐไทยใหม่ที่ว่านี้ในทางรูปธรรมคืออะไร? คำตอบคือ เป็นรัฐไทยที่มีระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีและทันสมัย ดังที่มีอยู่แล้วในบรรดาประเทศอารยะ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรปเหนือและสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย สเปน ฝรั่งเศส คานาดา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น นัยหนึ่ง รัฐไทยใหม่ก็คือรัฐประชาธิปไตยเสรีนิยม นั่นเอง

การไปบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ให้ความเสมอภาคทางการเมืองแก่ประชาชน และมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสังคมไปยังประชาชนอย่างถ้วนหน้า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในวันนี้จึงมี “ลักษณะปฏิวัติสังคม” นัยหนึ่ง ขบวนประชาธิปไตยจะต้องเดินแนวทาง “ปฏิวัติประชาธิปไตยเสรีนิยม”
รัฐไทยใหม่ที่เป็นรัฐประชาธิปไตยนั้น มีลักษณะพื้นฐานสามประการคือ

        1. ความเห็นชอบจากประชาชน ผู้ที่เข้าสู่อำนาจการเมืองต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย และการใช้อำนาจนั้นในการปกครองบ้านเมืองต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ในทางรูปธรรมคือ อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องมาจากการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านระบบเลือกตั้งตัวแทนที่เสมอภาคและยุติธรรม

        2. สิทธิพื้นฐานสามประการของประชาชน รัฐที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนมีหน้าที่สำคัญในเบื้องต้นคือ ให้การปก
ป้องคุ้มครองสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานสามประการของปัจเจกชน ได้แก่
         · สิทธิในชีวิตและร่างกายที่ไม่อาจละเมิดโดยผู้อื่นและโดยรัฐ
         · สิทธิในการพูด แสดงความคิดเห็น และจัดตั้งสมาคมหรือพรรคการเมือง ที่เจตนาสุจริตและไม่ถูกจำกัดโดยรัฐ
         · สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล ที่จะแสวงหาโอกาส ประกอบอาชีพ ทำธุรกรรม สะสมและสืบทอดแก่ทายาท

        3. การจำแนกและตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสาม เพื่อจำกัดการใช้อำนาจรัฐมิให้เป็นอันตรายต่อสิทธิ
เสรีภาพของปัจเจกบุคคล เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจการเมืองที่อาจเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย
อุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดในเศรษฐกิจการเมืองไทยปัจจุบันคือ ระบอบเผด็จการจารีตนิยม ซึ่งหลายสิบปีมานี้ ได้ตั้งหน้าบ่อนทำลายการเติบโตของหน่ออ่อนประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า และลงเอยเป็นการใช้กำลังปราบปรามประชาชนหรือรัฐประหารทุกครั้ง หนทางไปสู่เป้าหมายของขบวนประชาธิปไตยจึงต้องเป็นการ “ขจัดระบอบเผด็จการจารีตนิยม” ลิดรอนและขจัดอำนาจเผด็จการทางการเมืองทั้งที่แฝงเร้นและเปิดเผย ทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ให้อำนาจอธิปไตยมาอยู่ในมือของปวงประชามหาชนชาวไทยอย่างแท้จริง โดยหลังจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจในทางปฏิบัติแล้ว ต้องทำให้เป็นรูปแบบระบอบการเมืองที่ยั่งยืนและชอบธรรมด้วยการปฏิรูปรัฐธรรมนูญตามหลักการประชาธิปไตยข้างต้นให้สมบูรณ์

2. ยุทธศาสตร์ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ”การปกครองของกลุ่มเผด็จการทั้งหลายประกอบด้วยอำนาจสองด้านคือ อำนาจทางวัตถุ กับอำนาจทางความคิด อำนาจทางวัตถุคือการใช้กำลังรุนแรงของอำนาจรัฐข่มขู่ จับกุมคุมขัง กระทั่งเข่นฆ่าผู้ที่ต่อต้าน เครื่องมือนี้ประกอบด้วยกลไกตำรวจ ศาล คุกตะราง และกองทัพ ส่วนอำนาจทางความคิดคือการครอบงำทางความเชื่อและอุดมการณ์ ใช้ข้ออ้างทางศีลธรรมคุณความดี ความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์มาสร้างความชอบธรรมของตนในจิตใจประชาชน นัยหนึ่ง อำนาจทางวัตถุเป็นการปกครองทางร่างกาย อำนาจทางความคิดเป็นการปกครองทางจิตใจ

การปกครองเผด็จการทั่วโลกที่อยู่ได้ต่อเนื่องยาวนานนั้น ต้องอาศัยการครอบงำทางความคิดจิตใจเป็นด้านหลัก ใช้กลไกการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาครัฐ การศึกษา ศาสนา และสื่อมวลชนกระแสหลัก เพื่อเคลือบคลุมให้ระบอบปกครองมีภาพของความดีงามสูงส่ง มีความถูกต้องชอบธรรม เพื่อสร้าง “ความยินยอมพร้อมใจ” ในหมู่ประชาชน จากนั้นจึงเสริมด้วยการใช้อำนาจทางวัตถุ คือกลไกอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ ศาล คุกตะราง เจาะจงปราบปรามบุคคลเฉพาะรายที่ไม่สวามิภักดิ์

การล่มสลายของระบอบเผด็จการทั้งหลายจึงเริ่มจากการเสื่อมของอำนาจครอบงำทางความคิด เมื่อผู้ปกครองค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมทางความคิด จิตใจและอุดมการณ์ในหมู่มวลชน พวกเขาก็จะสูญเสียสถานะความเป็นผู้ปกครองอันชอบธรรมในสายตาประชาชนไปด้วย ยิ่งผู้ปกครองสูญเสียพลังครอบงำทางความคิดในหมู่ประชาชนไปมากเท่าใด พวกเขาก็จำต้องหันมาใช้อาวุธทางอำนาจรัฐที่เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จากข่มขู่คุกคาม เป็นจับกุมคุมขัง เป็นการเข่นฆ่าอย่างเปิดเผย ซึ่งกลับยิ่งเป็นการเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์ของตนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ การปกครองใดที่ต้องใช้อำนาจและกำลังรุนแรงในการกดขี่ประชาชนเป็นด้านหลัก การปกครองนั้นก็ไม่อาจอยู่ได้นาน เมื่อฝ่ายประชาชนสามารถรวมตัวจัดตั้ง ต่อสู้ต่อต้าน ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของเผด็จการในที่สุด

นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พวกเผด็จการจารีตนิยมของไทยได้สูญเสียฐานะครอบงำทางความคิดจิตใจในหมู่ประชาชนไปอย่างรวดเร็ว และจำต้องหันมาใช้กลไกอำนาจรัฐที่เป็นความรุนแรงอย่างเปิดเผยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงการฆ่าหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 การต่อสู้ให้ได้ชัยชนะของประชาธิปไตยนั้นต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจรัฐจากปัจจุบันที่ฝ่ายเผด็จการเป็นหลัก ให้ฝ่ายประชาธิปไตยมาเป็นด้านหลัก แต่การเปลี่ยนดุลกำลังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจทางความคิดก่อน นั่นคือ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องชนะศึกทางความคิด ให้ประชาชนส่วนข้างมากของสังคม “รู้ความจริง” อันเป็นเนื้อแท้ภายใต้หน้ากากนักบุญของพวกเผด็จการ กระทั่งในวันหนึ่ง เมื่อ “ความจริง” ทั้งหมดได้ไปสู่ประชาชนเป็นจำนวนส่วนข้างมากพอแล้ว ความชอบธรรมของระบอบปกครองเผด็จการก็จะสิ้นสุดลง

ฉะนั้น หนทางไปสู่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยคือ การเคลื่อนไหวรณรงค์เผยแพร่ทางความคิด ให้ประชาชนจำนวนมากได้ “รู้ความจริง” ถึงเนื้อแท้ของการปกครองเผด็จการ ให้ผู้คนจำนวนมากขึ้น ๆ มีจุดยืนหันมาสู่ประชาธิปไตย ปฏิเสธการปกครองเผด็จการจารีตนิยม ทั้งยกระดับคุณภาพด้วยการรวมตัวจัดตั้งและเคลื่อนไหวตามสภาพการณ์ เมื่อปริมาณและคุณภาพของประชาชนที่ “รู้ความจริง” มีมากขึ้นถึงจุดที่เปลี่ยนดุลกำลังทางความคิดได้ การเปลี่ยนผ่านดุลกำลังในอำนาจรัฐก็จะเกิดขึ้นในรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขเฉพาะในขณะนั้น

ยุทธศาสตร์การเอาชนะเผด็จการในขั้นตอนปัจจุบันจึงเป็นการ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ”

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปะทะไทย-กัมพูชา การค้าชายแดนยังคงปกติ

นายอิสิวุฒิ ตั้งเกียรติ นายกสมาคมผู้ประกอบการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า เหตุไทยและกัมพูชาปะทะกันที่ชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบมาถึงภาคการค้าด้านชายแดนด้านนี้แต่อย่างใด โดยการค้ายังคงดำเนินไปตามปรกติ รวมทั้งการเดินทางเข้า-ออก ของชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การปะทะกัน ส่งผลให้ชาวกัมพูชาที่ทำการค้า บริเวณตะเข็บชายแดนด้าน จ.จันทบุรี ตลอดจนชาวกัมพูชาที่อยู่ติดกับ จ.จันทบุรี ทั้ง จ.พระตะบอง และกรุงไพลิน ต่างวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์นี้กว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต่างหวั่นผลกระทบที่จะตามมา ที่จะมีผลต่อการค้าต่อกันทางด้านการค้า การประกอบอาชีพต่างๆ ของชาวกัมพูชา ที่ทำมาหากินอยู่ตามตะเข็บชายแดนด้าน จ.จันทบุรี เพราะเกรงว่าจะมีการปิดพรมแดน ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อชาวไทยและชาวกัมพูชาเอง

" เหตุการณ์การปะทะกันด้านชายแดน จ.สุรินทร์ ไม่ใช่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการค้า การเข้าออกของชาวไทย ชาวกัมพูชา ที่เดินทางผ่านทางด้านชายแดน จ.จันทบุรี ในขณะนี้ แต่ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นทางด้านการค้า ณ บริเวณชายแดน จ.จันทบุรี ในตลอดช่วงกว่า 10 วันมานี้ก็คือ ผู้ประกอบการค้าชาวกัมพูชา ต่างลดการสั่งซื้อสินค้าบริโภคและอุปโภคไทยลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุมาจากสินค้าไทยมีราคาแพงขึ้น " นายกสมาคมผู้ประกอบการค้าชายแดนฯ กล่าว

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////

ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชายุติแล้ว จนท.ตาย1เจ็บ5

จากทวิตเตอร์ policespokesman ทวีตข้อความว่า การปะทะชายแดนไทย-เขมรใกล้ปราสาทตาควาย,ตาเมือน สถานการณ์การปะทะยุติแล้ว จนท.ตาย1เจ็บ5ประชาชนปลอดภัยทรัพย์สินเสียหายอยู่ระหว่างตรวจสอบ

สำหรับรายชื่อทหารบาดเจ็บ-ตายจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชารวม6นายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุโดนสะเก็ดระเบิด ถูกนำตัวส่ง รพ.ศูนย์สุรินทร์

1.จ.ส.อ.ธนเศรษฐ สาคร (ยังไม่ทราบสังกัด)
2.ส.อ.กิตติเดช ทองศรี (ยังไม่ทราบสังกัด)
3.ทหารพรานศุภชัย ฤทธิ์แสง (ยังไม่ทราบสังกัด)
4.ทหารพรานอดิเรก แซ่อึ้ง (ยังไม่ทราบสังกัด)
5.ทหารพรานทองเลื่อน ศรีสุข (ยังไม่ทราบสังกัด)
6.ทหารพรานบุญฤทธิ์ บัวงาม สังกัด ร้อยทหารพราน 2606 เบื้องต้นมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คืบหน้าทหารไทย-กัมพูชาปะทะเดือด ทหารไทยตายแล้ว1เจ็บ6

เกิดเหตุทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ตกเข้าในหมู่บ้าน ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายในเบื้องต้น 3 หลัง ชาวบ้าน 20 หมู่บ้านใน ต.บักได ต้องเร่งอพยพออกจากบ้านกันอย่างอลหม่าน

นายวินันท์ สุขประสบ กำนันตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ได้อพยพลูกบ้าน 20 หมู่บ้าน เกือบหมื่นคนออกจากหมู่บ้านมาร่วมกัน 3 จุด ประกอบด้วย ที่โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก ที่บ้านโคกกลาง และที่นิคมสร้างตนเอง อ.ปราสารท ซึ่งเป็นจุดอพยพตามแผนที่ทางภาครัฐได้เตรียมการไว้หากเกิดภัยสงคราม

“ขณะนี้ชาวบ้านหลายคนอยู่ในอาการหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเสียงปืนเล็ก และปืนใหญ่ยิงเข้าใส่หมู่บ้านในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอลหมาน จนเกิดความวุ่นวาย” นายวินันท์ กล่าว

ในเบื้องต้นได้มีการประสานไปยังที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก และสภ.พนมดงรัก เจ้าหน้าที่ อพปร. เข้ามาช่วยเหลือในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากเนื่องจากเหตุเกิดในช่วงเช้า ทำให้หลายคนยังไม่ได้ทานอาหาร จึงอยากวิงวอนทางภาครัฐเร่งช่วยเหลือในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และสุขาเคลื่อนที่ โดยด่วน

แหล่งข่าวรายงานว่ามีกระสุนปืนใหญ่จากเขมรยิงเข้ามาบริเวณบ้านไทยสันติสุข ต.บักได โดยทหารเขมรได้ยิงปืนมาจากตีนเขา โดยทหารเขมรนำกำลังรับจากกองพลน้อย 42 กองพลทหารภูมิภาคที่ 4 ประเทศกัมพูชา ที่มี พล.ท.เจียมอน ผบ.กองพลภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.พระวิหาร-จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และเป็นผู้บัญชาการ โดยตั้งกำลังห่างจากชายแดนไทย 6 กม. อยู่บริเวณ บ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยมีอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ รถถัง อาวุธขนาดกลาง มีปืน ค. ปืนอาร์พีจี 7 จำนวนมาก

สำหรับกองกำลังทหารเขมรได้แยกกันอยู่ 2 จุดคือ ปราสาทตาเมือนควาย 1 จุด จำนวน 500 นาย และตาเมือนธม 1 จุด อีก 500 นาย ซึ่งแต่ละจุดมีรถถังจุดละ 5 คัน โดยกองกำลังเขมรที่อยู่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ได้รับการสนับสนุนกองกำลังทหารบก บันเตียเมียนเจย จำนวน 1 กองพัน โดยมีอาวุธหนักปืนใหญ่ประมาณ 3 กระบอก รถถัง 5 คัน ซึ่งเป็นกองกำลังที่เดินทางมาจากชายแดนเขาพระวิหาร เข้ามาสมทบกองพลน้อย 42

ความคืบหน้าล่าสุด ผลจากการปะทะ เป็นเหตุให้ทหารพรานเสียชีวิต 1นาย ทราบชื่อ บุญชิด บัวงาม สังกัดร้อยทหารพราน2606 จากจุดปะทะปราสาทตาควาย และมีทหารได้รับบาดเจ็บ 6 นาย มี 3 นายเจ็บหนักเพราะสะเก็ดระเบิด

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ตท.10"เพื่อไทย"จวกทหารตบเท้าป้องผบ.ทบ.

พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะเตรียมทหารรุ่น 10 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายทหารผนึกกำลังกันออกมาปกป้องสถาบันเบื้องสูงว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้คิดเรื่องนี้ ทหารออกมาทำเช่นนี้อยากถามว่าออกมาปกป้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ใช่หรือไม่ เหมือนเป็นการออกมาขู่ประชาชนมากกว่า ใครหมิ่นสถาบันหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของศาลที่จะตัดสินว่าใครผิดหรือใครถูก แต่เรื่องนี้เป็นการพูดของคนเพียงคนเดียวบนเวทีชุมนุม ดังนั้นหากจะเอาผิดก็ต้องเอาผิดที่คนเพียงคนเดียวไม่ใช่พรรค เพราะพรรคไม่ได้เข้าไปรู้เรื่องอะไรด้วย และตนยืนยันว่าจะไม่ลาออกตามพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอน

ด้านพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะจปร. 7 กล่าวว่า ยืนยันว่าตนจะไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตามพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน เพราะตนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ดังนั้นเวลาที่พรรคเกิดปัญหาขึ้นตนก็พร้อมที่จะยืนหยัดร่วมแก้ไขปัญหากับพรรคต่อไป และตนจะเดินทางไปร่วมงานเปิดตัวนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในวันที่ 23 เม.ย.ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตด้วย

ขณะที่พล.ท.พิรัช สวามิวัศน์ คนสนิทพล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ยืนยันว่านายทหารในพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน เพราะนายทหารเหล่านี้เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 กับพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะลาออกจากพรรค ส่วนกรณีที่พล.อ.ชวลิตตัดสินใจลาออกนั้น เป็นเหตุผลส่วนตัว แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบให้นายทหารคนอื่นๆ ลาออกตามอย่างแน่นอน

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไทย-เขมร ปะทะเดือดปราสาทตาควาย

ไทย-เขมร ปะทะเดือดอีก ที่ปราสาทตาควาย ยิงกันไม่หยุด ยังไม่ทราบความเสียหาย

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัด สุรินทร์ได้รายงานว่า เมื่อช่วงเวลา 06.00 น.ได้เกิดการประทะกันอย่างหนัก ระหว่าง ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย บ้านไทยสันติสุข อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองร้อยทหารพรานที่ 23 โดยมีการระดมยิงใส่กันด้วยอาวุธหนัก อย่างต่อเนื่อง และถึงขณะนี้ก็ยังมีการยิงกันอยู่

รายงานจากพื้นที่เบื้องต้นระบุ กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาตกลงในหมู่บ้าน จึงได้มีการอพยพชาวบ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก ไปยังบ้านตาลวก ต.บักได ขณะที่ชาวบ้านรายงานว่า เห็นทหารไทยบาดเจ็บ 3-4 นาย มีรายงานจากพื้นที่ด้วยว่า บริเวณช่องกร่าง ใกล้บ้านบุอำเปาว์ บ้านรุน บ้านหัวอ่าง ต.บักได ห่างจากชายแดนระหว่าง 8-12 กิโลเมตร ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังมาก และมีเสียงปืนยิงตอบโต้กันจำนวนนับพันนัด จนถึงเวลาเกือบ 8 นาฬิกา การยิงโต้ตอบกันยังดำเนินต่อไป


//////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

คมปาก. ปลอดประสพ เฉือนปาก เทพเทือก

นับนิ้วเช้าเย็น-ปชป.ได้200ที่นั่ง
“เพื่อไทย”เกทับ! การันตี 265 อั๊พ!

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์สนั่นเมือง กับการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่าเบื้องหลังจริงๆแล้ว อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง
แต่ที่น่าตลกก็คือ คนบางคนไม่รู้จัก ไม่ได้คุ้นเคย หรือว่าใกล้ชิดกับ พล.อ.ชวลิต เลยสักนิด กลับมีการวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ ว่าเพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้

โดยเฉพาะความพยายามสร้างกระแสที่ว่า เกิดจากกรณีการขึ้นเวที นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ของแกนนำ นปช. ซึ่งถูกมองว่าเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย

ซึ่งประเด็นที่เกิดแรงกดดันนั้นก็เป็นเพราะมีการไปตีความในเรื่องคำพูดของแกนนำ นปช. โดยเป็นการตีความที่ขึ้นกับขั้วหรือจุดยืนของผู้ตีความนั่นเอง เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมา

แต่หากดูใบลาออกของ พล.อ.ชวลิต ไม่ได้มีการอธิบายความใดๆไว้เลย เป็นแค่ใบลาออกที่แจ้งความจำนงว่าต้องการลาออกเท่านั้นเอง โดยไม่ได้ยกเหตุผลในเรื่องความอึดอัดใจ หรือแรงกดดันอะไรทั้งสิ้น
ซึ่งนายบรรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังกล่าวถึงการที่ พล.อ.ชวลิต ลาออกจากการเป็นประธานพรรคเพื่อไทย เพียงแค่ว่า......

เชื่อว่ากลุ้มใจในหลายเรื่อง
แต่ยอมรับว่าโดยส่วนตัวแล้วยังไม่ได้คุยกัน จึงไม่ทราบถึงสาเหตุการลาออกที่แท้จริง ??
ในขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการลาออกจากพรรคเพื่อไทยของ พล.อ.ชวลิต ว่ารู้สึกใจหาย เสียดายและคิดถึง

แต่ก็เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาช้านานจะไม่ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ชวลิต กับพรรคขาดหายไปไหน

ที่ผ่านมาได้ทราบมาบ้างว่า พล.อ.ชวลิตถูกอะไรบางอย่างบีบคั้นใจ จนต้องบ่นกับตนมานานว่ามีอะไรทิ่มแทงใจตลอดเวลา ซึ่งในส่วนของพรรคก็เข้าใจ พล.อ.ชวลิต
แต่ก็เชื่อว่าการลาออกนั้นไม่กระทบกระเทือนกับกระแสพรรค
เพราะ พล.อ.ชวลิตยังไม่ได้มีการแจ้งความจำนงจะลงเลือกตั้งในเขตใด

“พล.อ.ชวลิตเป็นที่เคารพของ ส.ส.อีสาน โดยเฉพาะที่จังหวัดนครพนม แต่ไม่เชื่อว่าจะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย วู่วามลาออกตาม พล.อ.ชวลิตไป เพราะส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าการไปของ พล.ชวลิต เป็นการไปเพียงชั่ว

คราวเท่านั้น” นายปลอดประสพกล่าว
สำหรับในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้นได้หารือและเห็นตรงกันว่าจะปรับท่าที และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่มีปัญหาอย่างที่เคยเกิดขึ้นอีก

ส่วนเรื่องที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เคยประกาศจะมาร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยนั้น จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร นายปลอดประสพ ยอมรับว่า ไม่ทราบ เพราะนายเสนาะก็มีพรรคของตัวเองอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็ร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ทั้งตอนเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
กรณีที่เกิดขึ้น ทำให้มีการฉกฉวยจังหวะ มองในทำนองที่ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะแตก และอาจจะมีผลต่อการเลือกตั้ง และจำนวนส.ส.ก็เป็นได้

ซึ่งบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยยังเชื่อมั่นว่า การลาออกของ พล.อ.ชวลิตในครั้งนี้ ไม่น่าที่จะกระทบไปถึงผลการเลือกตั้ง

ในขณะที่นายปลอดประสพ ได้มีการหยิบยกในเรื่องของผลโพลล่าสุดที่ได้ผลสรุปออกมาว่า พรรคเพื่อไทย ได้เสียงมากถึง 267 เสียง ว่าทางพรรคประเมินจำนวนเสียงที่พรรคจะได้รับเลือกจากประชาชนอยู่ตลอดเวลา

และผลก็ออกมาว่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 265 เสียง
อีกทั้งในส่วนของพื้นที่ กทม.คาดว่าจะได้ 16-18 เสียง จาก 33 เสียง
โดยส่วนที่เหลือเว้นไว้ให้พรรครักษ์สันติ 3 เสียง

อย่างไรก็ตาม ในฐานะ”พรรคคู่ปรับทางการเมือง” ย่อมไม่มีการยอมกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จึงไม่แปลกที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะพูดถึงแนวโน้มภายหลังเลือกตั้งจะมีพรรคไหนที่ได้ ส.ส.เกิน 200 เสียงบ้าง ว่า การเป็นเลขาธิการพรรค ทำให้เดี๋ยวนี้เก่งเลข เนื่องจากต้องนั่งนับอยู่ทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น นับตลอดเวลา

โดยแม้จะเชื่อว่าผลที่ได้จะอยู่ที่ 200 กว่าเสียง แต่คงยากที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
“มั่นใจว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนเห็นเหตุการณ์และวิกฤตการณ์ของบ้านเมือง ประชาชนก็เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่สามารถพาบ้านเมืองฟันฝ่าวิกฤตการณ์เหล่านี้มาได้ คิดว่ามีคะแนนนิยมที่อยู่ในใจประชาชนอยู่ โดยนายอภิสิทธิ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนผมเป็นรองนายกฯ ที่ดีที่สุด”นายสุเทพพูดแบบที่สามารถมองได้ว่าเข้าข้างตัวเองสุดๆ
หรือเชื่อมั่นในกำลังหนุนพิเศษแบบสุดๆเลยก็เป็นได้.....!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คนใช้เน็ตโล่งอกพ.ร.บ.คอมพ์ใหม่ออกไม่ทันยุบสภา

“อภิสิทธิ์” เบรกคณะรัฐมนตรีพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ที่เพิ่มโทษหนักขึ้นและเปิดช่องให้ตีความการกระทำผิดกว้างขวางมากขึ้น ยืนยันสภาชุดนี้พิจารณากฎหมายไม่ทันเพราะจะถูกยุบต้นเดือนหน้าแน่นอน

ที่รัฐสภา น.ส.สฤนี อาชวนันทกุล ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองเน็ต เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในการประชุมวันที่ 20 เม.ย. นี้ เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาหลายมาตราที่เพิ่มมานั้นทำให้ผู้ดูแลระบบหรือเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ถูกเอาผิดได้ง่ายขึ้น และมีโทษหนักกว่าเดิม ขณะที่โปรแกรมหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการเข้าถึงข้อมูลอาจกลายเป็นโปรแกรมที่ผิดกฎหมาย การสำเนาข้อมูลจึงเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าผิดกฎหมาย

นอกจากนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไม่มีสัดส่วนที่เชื่อมโยงกับภาคประชาชน ขณะเดียวกันข้อกำหนดหลายมาตราก็ไม่มีความชัดเจน เพียงแต่กำหนดเอาไว้กว้างๆ เปิดช่องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายตีความความผิดกว้างมากเกินไป ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีโอกาสทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว จึงอยากให้ทบทวนการออกกฎหมายและเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนพิจารณาด้วย

ทั้งนี้ ได้ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่จำนวน 560 คน ให้นายกรัฐมนตรีประกอบการพิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญ น.ส.สฤนีเข้าไปพูดคุยในห้องทำงานเพื่อสอบถามรายละเอียด หลังการพูดคุย น.ส.สฤนีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีอธิบายเงื่อนเวลาที่เหลือของสภาให้ฟังว่าจะมีการยุบสภาต้นเดือนหน้า ดังนั้น สภาสมัยนี้จะพิจารณาร่างกฎหมายไม่ทันก่อนหมดวาระแน่นอน ส่วนการประชุม ครม. ในวันที่ 20 เม.ย. จะยังไม่พิจารณาร่างกฎหมาย สำหรับข้อเสนอเรื่องให้ถอนร่างกฎหมายออกมาทำประชาพิจารณ์ก่อนเพื่อเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น นายกรัฐมนตรีไม่รับปากว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ทางแพร่ง

โดย ฐากูร บุนปาน

ถ้าเป็นคติโบราณของไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนไว้ว่าอะไรที่มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์อยู่ในตัว

หรือถ้าเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ เขาก็สอนไว้แทบทุกตำราว่า "There is no such thing as a free lunch." หรือ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้มีต้นทุนทั้งนั้น มีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย มีได้ก็ต้องมีเสีย

จะได้อยู่ข้างเดียวฝั่งเดียวได้อย่างไร
สถานการณ์ก็คงจะคล้ายๆ กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังประสบอยู่ในเวลานี้

นั่นคือหลังจากสิ้นอำนาจ ต้องหนีคดีออกไปอยู่ในต่างประเทศ แม้จะยังไม่พ่ายแพ้ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่อาการก็หนักหนาสาหัสเต็มที
ที่ช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ (และอำนาจต่อรองทางการเมือง) ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีสามสี่ปัจจัยด้วยกัน

อำนาจเงินและผลงานเก่าๆ ที่ยังติดตรึงใจประชาชนจำนวนไม่น้อยนั้นก็ส่วนหนึ่ง

แต่ที่ออกแรงและมีบทบาทมากก็คือสององค์กรการเมืองที่ทำงานคู่ขนานกันอย่าง พรรคเพื่อไทย และ กลุ่มคนเสื้อแดง
ในภาวะที่ผลประโยชน์ยังสอดคล้องต้องตรงกัน คืออยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ จะต้องร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมมือกันป้องกันตัว (และตอบโต้)

ความผิดแผกแตกต่างระหว่างสองส่วนนี้อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่
แต่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คือเห็นโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะอยู่ข้างหน้าไม่ไกล

ความต่างระหว่างสองส่วน คือขบวนการประชาชน (และนักการเมืองที่เกาะอยู่กับซีกนี้) กับนักการเมืองประเภทนักเลือกตั้งอาชีพ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

เพราะไม่ว่าข่าวเรื่อง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายเสนาะ เทียนทอง หรือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กำลังเกาะกลุ่มกันบ้าง หรือจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่บ้าง จะเป็นจริงหรือไม่

แต่การออกมาเขย่ากันบ่อยๆ ว่าไม่พอใจหรือไม่สบายใจที่อีกฝ่าย ′ล้ำเส้น′ นั้นสะท้อนปรากฏการณ์นี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว

ส่วนการออกมาเขย่ากัน จะเป็นแค่กลยุทธ์เพื่อเรียกค่าตัวเพิ่มหรือไม่ ต้องให้ข้อเท็จจริงในระยะต่อไปเป็นเครื่องพิสูจน์

สถานการณ์แบบนี้แหละที่จะเป็นเครื่องทดสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนักบริหารอยู่หรือไม่
จะจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า แต่ว่าจะผูกพันไปถึงหลังการเลือกตั้งแล้วอย่างไร

มีข้อมูลเต็มมือจนกระทั่งตัดสินใจได้แน่นอนว่าจะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

หรือจะสามารถประสานจัดการกับความแตกต่างนี้ให้ทุเลาลงชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาไปจนกว่ามีอำนาจรัฐในมือ แล้วค่อยว่ากันอีกที

หรือมีทางออกทางอื่นที่ ′เซอร์ไพรส์′ กว่านี้

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่ง่าย

เพราะทุกทางล้วนแต่มีเดิมพันสูงลิบลิ่ว

ทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณเองและคนอื่นๆ


ที่มา.(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แผนสุดท้าย

คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน

บทบาทของผู้นำกองทัพ นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของทหารหาญอยู่แล้ว

การแสดงออกของผบ.ทบ.ถึงความไม่พอใจต่อคำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดง ไม่ใช่เรื่องแปลก

ทั้งเป็นความไม่พอใจในฐานะนายทหารที่ต้องพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิต!

เมื่อฟังอะไรที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ทหารเขาก็ต้องแสดงออกทันที ต้องปรามอย่างทันควัน

จะให้ใครมาละเมิดสถาบันที่คนไทยเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด ไม่ได้เป็นอันขาด

เพียงแต่คำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงดังกล่าว จะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันตามกฎหมายหรือไม่ ยังต้องไปพิสูจน์กันตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป

แต่อีกมุมหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายนักการเมืองและกลไกราชการบางหน่วยที่อยู่ในมือฝ่ายการเมือง

มุ่งจะขยายผลจากเหตุการณ์นี้เพื่อนำแกนนำเสื้อแดงกลับเข้าไปในคุกอีกหนให้ได้ น่าจะหวังผลแอบแฝงทางการเมือง

นั่นเพราะรู้กันดีว่า รัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาก่อน 19 พฤษภาฯจะเวียนมาบรรจบครบปี

อีกทั้งยุบเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์คะแนนกำลังตกรูด!?

เพราะบริหารประเทศชาติอย่างผิดพลาด

การเมืองแตกแยก การกินอยู่ของประชาชนเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยุคข้าวยากหมากแพงกลับมาให้เห็นกันจะจะในวันนี้

ทั้งหลายทั้งปวงมองไม่ออกว่า ชาวบ้านจะกาบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกรัฐบาลแบบนี้กลับมาทำไม

โอกาสของพรรคเพื่อไทยจึงสว่างสดใส

หรือไม่เช่นนั้นชาวบ้านก็อาจจะหันไปหาพรรคอื่น พรรคกลางๆ เพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง

แต่ทั้งหลายทั้งปวง มองไม่เห็นโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะกลับมาได้เลย!?

ครั้นมองไปยังแกนนำเสื้อแดง และมวลชนเสื้อแดงที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเป็นฐานใหญ่ให้กับพรรคเพื่อไทย

สองส่วนนี้ คือ โอกาสของพรรคเพื่อไทยบวกกับคะแนนเสียงอันมหาศาลของเสื้อแดง

ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ผลเลือกตั้ง

การรุกไล่บดขยี้เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจึงต้องเปิดฉากอย่างขนานใหญ่

เอาเข้าคุกให้ได้ แยกสลายตีทลายให้ได้

เป็นวิธีสุดท้ายที่ต้องกระทำก่อนเลือกตั้ง!

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ

เหตุผลที่...ชุมชนไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์!

“กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับท้าลมร้อนรับมหาสงกรานต์ ขอนำเสนอเรื่องร้อนในประเทศไทย แต่สูญเสียแล้วในประเทศญี่ปุ่น กับเหตุการณ์ รั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์อันมีต้นสายปลายเหตุ มาจากเหตุธรณีพิบัติใหญ่ 9 ริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนดัง แรงมาถึงโครงการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ 5 แห่งในประเทศไทย

อันเป็นสาเหตุที่ฝ่ายคัดค้านในจังหวัดอุบลราชธานีอย่าง “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ออกมาให้ความ เห็นถึงเหตุผลที่ชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีออกมาต่อต้าน และไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

>> สุด “วิน วิน” ซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้

“ที่บอกกันว่าข้างบ้านเราก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คงไม่ต้องอ้างถึงข้างบ้านหรอก ในประเทศญี่ปุ่นก็มี อเมริกาก็มี มันเป็นเหตุผลของเด็กอนุบาล แต่ถามกลับว่า แล้วจะพอนึกออกหรือเปล่าถึงเหตุผลที่เรา ควรจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เอาเป็นว่าข้อ แรกของผมถามว่า จำเป็นหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราซื้อจากลาวใช้ และลาวมีความ สามารถในการผลิตไฟทั้งหมดทั้งมวลประมาณ 5 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งเป็น 2 เท่ากว่า ที่ประเทศไทยใช้ไฟตลอดทั้งปี ผมว่า อีก 50 ปี เราก็สามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวได้อย่างสบายๆ แถมเรายังได้สานสัมพันธ์กับ ประเทศเพื่อนบ้านในอีกทางหนึ่ง บ้านเรา พัฒนากว่าเขา เราก็ใช้เงินซื้อกระแสไฟฟ้า จากเขา แล้วเอามาแปลงเป็นการผลิตสินค้า เอามาแปลงใช้ในภาคอุตสาหกรรมแล้วขายคืนให้เขามันไม่ดีกว่าหรือ อย่างนี้ผมว่า วิน วิน กว่า”

>> อานิสงส์เพิ่มอำนาจต่อรองกับเพื่อนบ้าน

“ลาวก็ขายไฟฟ้าได้ เราก็ขายสินค้า ได้ ลาวก็รวย ไทยก็รวย ดีกับทั้งสองฝ่าย เราก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์เลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรงก็ผลิตไฟฟ้าได้แค่ 1,500 เมกะวัตต์ แต่เราต้องลงทุนต่อ โรงเป็นแสนล้านบาท แล้วทำไมเราไม่ซื้อจากลาว เขาผลิตได้ตั้ง 50,000 เมกะวัตต์ ผมว่ายิ่งเราซื้อไฟฟ้าจากลาวมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกุมอำนาจทางเศรษฐกิจในลาวมาก ขึ้นเท่านั้น เพราะไฟฟ้าที่ลาวผลิตได้ทั้งปี เราซื้อมาใช้สักกว่าครึ่ง มันย่อมมีผลถึงอำนาจ ต่อรองในหลายๆ เรื่อง”

“ระหว่างเรากับลาว นั่นก็จะพัฒนา ความมีมิตรไมตรีต่อกันมากขึ้น นอกจากมิตรแล้ว เรายังเป็นพี่ไทยกับน้องลาว ในความหมายที่ไม่ใช่ไปดูถูกเขา เพราะเราซื้อ ไฟฟ้าจากเขาเป็นจำนวนมาก เพราะจีนจะ ซื้อมันก็ลำบาก เวียดนามจะซื้อมันก็มีภูเขา กั้น ถ้าจะซื้อมันต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่เราอยู่ใกล้แค่นี้ ทำไมเราไม่ซื้อ จะมาตั้ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เป็นพิษเป็นภัยต่อชุมชนทำไม ผมไม่เห็นเหตุผลเลยว่าเราจะ มาดิ้นรนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำไม แค่คุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้มันก็เพียงพอ และที่สำคัญคุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้ คุณต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่าคุณจะใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร”

>> พร้อมหรือยังที่จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

“ในทางกลับกัน ถ้าคุณจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถามว่าคุณต้องเตรียมความ พร้อมอะไร อย่างไรบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ มันต้องเป็นอำนาจของชุมชนที่จะอนุมัติ เช่นในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ชุมชนเขาอาจเอา เพราะเขาใช้ไฟมากแต่ที่สำคัญเขาติดทะเลซึ่งสามารถช่วยระบายความร้อนลงสู่ทะเลได้ เขาก็มีความพร้อมใน ส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือประโยชน์ที่คุณควรได้ เช่น ใช้ไฟตลอด หรือมีกองทุนช่วยเหลือชุมชน ซึ่งตรงนี้ที่อื่นเขามีแต่ประเทศไทยไม่มี เพราะอำนาจชุมชนไม่มี อำนาจมันอยู่ ที่กรุงเทพฯ ที่อื่นเขาสร้างเขาใช้ระบบไฟใครไฟมัน ชุมชนไหนสร้างก็ใช้ในชุมชนนั้น เพราะการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันต้อง สูญเสียทรัพยากรชุมชน ชุมชนก็ต้องได้ใช้ แต่เมืองไทยไม่ใช่อย่างนั้น อย่างมาสร้างที่อุบลราชธานี แต่คนอุบลฯ ไม่ได้ใช้ แต่กลับส่งไปในพื้นที่อุตสาหกรรม อย่างนี้มัน ก็ไม่แฟร์ ขยะบ้านคุณมันก็ต้องทิ้งบ้านคุณ ไม่ใช่เอามาทิ้งบ้านผม”

>> ขาดองค์ความรู้มีไปก็ไม่คุ้ม

“อย่างไรก็ดี ผมไม่ได้บอกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันไม่เหมาะที่จะสร้าง แต่มันต้องมีเงื่อนไขอย่างไรที่ต้องทำให้เหมาะ แต่ว่าเงื่อนไขเหล่านี้เมืองไทยไม่มี โดยเฉพาะการจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เราต้องใช้คนมีความรู้ ยิ่งความรู้ในเรื่องของซัพพลายเออร์ เพราะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้พรูโตเนี่ยมที่มีกัมมันตภาพรังสี ซึ่งในโลกนี้มีผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ประเทศ หากเราไม่มีความรู้ไม่มีการพัฒนาในด้านเหล่านี้ ประเทศผู้ผลิตหลักมันก็สามารถโก่งราคาวัตถุดิบเหล่านี้กับเราได้ มันก็จะเป็นเงื่อนไข เรื่องต้นทุนที่มันจะงอกออกมา จากเดิมที่เขาว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ประหยัดที่สุด แต่หากเราขาดเทคโนโลยีขาดองค์ความรู้ เงื่อนไขในเรื่องต้นทุนมัน ก็แทบจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไร และสมมติ ว่าเราจะทำจริงๆ มันก็ต้องส่งนักวิทยาศาสตร์ไปศึกษาที่เมืองนอกอีก 300-500 คน ก็คง ต้องใช้เวลาอีกเป็น 20 ปี แค่เงื่อนไขข้อนี้เรา ยังไม่พร้อม แล้วจะลุกลี้ลุกล้นรีบสร้างไปทำไม”

>> ความรู้ดีมาตรฐานสูงยังพลาด

“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย อย่างเช่น ถนนบ้านเราหากวัดกันตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมจะ มีอายุใช้งาน 20 ปี แต่นี่บ้านเรา 2 ปีมันก็เป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็น ว่ามาตรฐานการทำงานของบ้านเรามันต่ำ มาก เพราะฉะนั้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ สุ่มเสี่ยงเกิดมหันตภัยสูง มันจะมีปัญหาหรือไม่ จะมาบอกว่า อเมริกาก็มี เยอรมนีก็มี ญี่ปุ่นก็มี แล้วเป็นอย่างไร ที่จอมเทคโนโลยี อย่างญี่ปุ่นต้องมาประสบภัยพิบัติ ของเขา ความรู้ก็มี มาตรฐานก็สูง เขายังพลาดได้ ส่วนประเทศไทย ความรู้ก็ไม่มี มาตรฐานก็ต่ำ ดูแล้วยังไงยังไงก็คงจะสร้างลำบาก”

>> ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง

“ที่สำคัญก่อนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ประชาชนต้องมีอำนาจมากๆ การจะอนุมัติสร้างโรง ไฟฟ้านิวเคลียร์ ต้องให้หมู่บ้านนั้น ตำบลนั้น อำเภอนั้น เป็นผู้อนุมัติไม่ใช่ให้ ครม. เป็นผู้อนุมัติ เพราะฉะนั้นอำนาจท้องถิ่นต้องเข้มแข็งก่อน และต้องมีเงื่อนไขบอกชุมชนนั้นๆ ว่าเขาจะได้อะไรบ้าง เสีย อะไรบ้าง ยินยอมหรือไม่ แต่ระบบการ เมืองบ้านเรามันรวมศูนย์อยู่กรุงเทพฯ ถ้ามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขอเรียนตามตรงว่ามันก็ตายอย่างเดียว ถ้าจะสร้างก็ไปสร้างข้างบ้าน ครม. ข้างบ้านนายกฯ ก็สร้างกันไปสิครับ”

>> รวบหัวรวบหางสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

“ส่วนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีโครงการจะมาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มันก็ไม่มีวิธีคิดอะไรมากมายหรอก เขาก็คง คิดว่าคนอุบลฯ ยอมง่าย อย่างเขื่อนน้ำโจน เขาสร้างไม่สำเร็จ ก็ย้ายมาสร้างเขื่อนปากมูลที่อุบลราชธานี รอบนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็คงใช้ชุดความคิดเดิมๆ มารวบหัวรวบหาง การลงพื้นที่ทำประชาพิจารณ์ก็ใช้ คนของเขามาทำ แล้วก็เกณฑ์คนมาร่วมลง ประชาพิจารณ์ มันก็ทำกันอย่างนี้ แต่พอดี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเกิดเหตุเช่นนี้ ชาวบ้านที่ไหนเขาจะยอม ผลเสียมันก็อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น ประเทศไทยยังสามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้ได้ และยังขาดองค์ความรู้ แถมมาตรฐานยังต่ำ อีกทั้งท้องถิ่นยังไม่มีความเข้มแข็ง ที่สำคัญชุมชนยอมเสี่ยงผลิต แต่ยังไม่แน่ว่าจะได้ใช้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงความพร้อมหรือเหตุผลที่ชุมชนไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”

ค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำ และกระจ่างแจ้ง สำหรับเหตุผลที่ “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ยืนกรานและคัดค้านแสดง ความไม่ปรารถนาในการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

สนธิลั่น พธม. จะไม่ยุ่งถึงเวลาที่ อำมาตย์ - ทหาร - ปชป. ต้องเผชิญ “ทักษิณ” เอง !!??

สนธิให้สัมภาษณ์เอเอสทีวีในโอกาสครบ 2 ปี ที่ถูกลอบสังหาร แฉเป็นฝีมือหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพ คนในรัฐบาลมีส่วนรู้เห็น ทำให้คดีไม่คืบ ชี้ พธม. เคลื่อนไหวรอบนี้ทำให้เสื้อแดงหันมาดูเอเอสทีวีมากขึ้น เชื่อจะมีโหวตโนเกิน 3 ล้านคนรวมกับคนไม่ไปเลือกตั้งจะเกิน 50% ลั่นพ่อยกแม่ยกจะได้เห็นธาตุแท้ถ้า ปชป. กลับมาจับมือเพื่อไทยตบหน้าอำมาตย์

มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้สัมภาษณ์รายการพิเศษ ออกอากาศเมื่อเวลา 20.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี โดยนายสนธิให้สัมภาษณ์ในโอกาสครอบรอบ 2 ปี ที่ถูกลอบยิงใกล้สี่แยกบางขุนพรหม

สนธิแฉหน่วยทหารเป็นคนลอบสังหาร คนในรัฐบาลมีส่วน

นายสนธิได้กล่าวพาดพิงว่ามือสังหารที่ลงมือปฏิบัติการในวันนั้นเป็นทหารเฉพาะกิจหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีชื่อเรียกไม่เป็นทางการว่า ทีมสัตว์สงคราม เพราะไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี แล้วแต่นายสั่งให้กำจัดเป้าหมาย ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นเป็นใครมีคุณธรรมหรือไม่ รู้แต่ว่าต้องกำจัด อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ว่าทหารทุกคน เป็นบางคนเท่านั้นที่มีอำนาจและสายสัมพันธ์กับคนในรัฐบาล ซึ่งคนที่ลงมือบางคนถูกย้ายออกไปล่วงหน้าจากหน่วยดังกล่าวก่อนลงมือ ปฏิบัติการ โดยเสนาธิการทหารบกขณะนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ แต่กระบวนการลอบสังหารเป็นกระบวนการใหญ่ มีการสร้างเรื่องเพื่อกลบเกลื่น เช่น บอกว่าย้ายไปปฏิบัติการในภาคใต้ แต่ก็ย้ายไปแต่ชื่อ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ทำคดีนี้ไว้ลึกซึ้งพอสมควร และทยอยออกหมายจับได้ 3 คน แต่ยังจับตัวไมได้ เพราะบางคนหลบเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร อีกประการหนึ่งทีมงานที่ทำงานนั้นถูกเส้นสายทางการเมืองบังคับตลอด ทีมงานที่มาทำคดีทีแรกก็ดี แต่ช่วงหลังก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งถ้าโอนคดีให้ พล.ต.อ.อัศวินมาทำ คดีก็จะไม่ไปไหน มีการทำให้คดีชะงัก เพราะรัฐบาลนี้ยังคงมีอำนาจอยู่ คนที่อยู่เบื้องหลังและเกี่ยวข้องล้วนเป็นคนที่มีอำนาจในรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น

ไม่คาดหวังความคืบหน้าคดี เชื่อยังมีคนตามล่าสังหาร

นายสนธิกล่าวด้วยว่า ช่วงแรกๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคงไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล คิดว่ายังอินโนเซนต์อยู่ แต่ทำไปทำมานายอภิสิทธิ์ก็เริ่มเห็นว่ามันโยงกับใครในรัฐบาล เมื่อ พล.ต.อ.ธานีเกษียณอายุราชการก็เลยดึงเรื่องไว้ ไม่มีการแต่งตั้งใครมาทำคดีต่อ และพยายามโยนเรื่องไปให้ดีเอสไอหวังว่าจะกลบเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลนี้ยังมีอำนาจอยู่ คดีจะไม่ไปไหน เพราะคนที่สั่งการอยู่ในรัฐบาลเอง และเรื่องนี้สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในเรื่องการรักษาความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโส และคนร้ายลงมือในภาวะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการตั้งด่านทหารประจำตามสี่แยกต่างๆ แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ กล้องวงจรปิดก็ถูกทำลาย คนที่ดูแลกล้องวงจรปิดก็คือตำรวจ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้นรู้เรื่องหรือไม่ มีใครรายงานเรื่องกล้องเสียหรือไม่

นายสนธิ กล่าวด้วยว่าไม่คาดหวังเรื่องความคืบหน้าของคดี และเชื่อว่ายังมีขบวนการตามล่าสังหารตนอยู่ต่อไป ตราบใดที่มีการโกงกินและคนพวกนั้นคิดว่านายสนธิขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของ พวกเขา ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโสหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ แต่สื่อด้วยกันก็ไม่สนใจ เห็นอาชีพตัวเองถูกคุกคามเป็นเรื่องตลก พากันเงียบ เพราะรู้ว่าเบื้องหลังคือคนมีอำนาจ และสื่อหลายคนก็ร่วมมือกับผู้มีอำนาจ

“ผมผ่านความตายมาแล้ว เลยกลายเป็นเรื่องเฉยๆ ถ้าเราเอาหลักธรรมเข้ามาตอบ ข้อแรก ถ้าเราทำกรรมไว้ให้กับชาติบ้านเมือง มันคงตายไปแล้ว ผมโดนยิง 200 นัด กับเอ็ม 79 อีก 2 ลูก แต่มีแค่กระสุนถากหัว แต่ เสธ.แดงถูกยิงลูกเดียวตาย ถ้าเวรกรรมยังมาไม่ถึง และไม่ถูกกำหนดให้ตายก็คงไม่ตาย แต่ผมห่วงคนใกล้ตัวที่มาดูแลผม อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บหรือสูญเสีย ซึ่งผมไม่ต้องการ”

เชื่อการเมืองไทยไปไม่รอด แฉทหาร-อำมาตย์หนุนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ

นายสนธิ กล่าวถึงการเมืองไทยปัจจุบันว่า ตนมองว่าการเมืองไปไม่รอดอยู่แล้ว สมัยก่อนพวกทหาร พวกอำมาตย์มองว่า เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจการเมืองถึงไม่ดี ถ้าพวกเราได้พรรคการเมืองที่ดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล การเมืองจะดีขึ้น จึงสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ โดยเอาทหารไปข่มขู่พรรคร่วมให้มาตั้งรัฐบาล

แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์แล้วว่านักการเมืองไม่ว่าใครก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเข้ามาแล้วก็ชั่วเหมือนกันหมด การทุจริตสมัยนายอภิสิทธิ์รวมแล้วยังมากกว่าสมัยทักษิณอีก การแต่งตั้งข้าราชการไม่เป็นธรรมยุคนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ด้อยไปกว่ายุคทักษิณ แม้ว่าจะทำในนามพรรคร่วมรัฐบาลแต่นายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบด้วย เรื่องความปลอดภัยสมัยทักษิณตนไม่ถูกลอบยิงแต่ยุคนายอภิสิทธิ์ตนถูกยิง เรื่องความมั่นคงเกี่ยวกับการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุคนายอภิสิทธิ์มีแต่พูดไม่ทำอะไร ปล่อยให้เกิดต่อเนื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดีแต่พูดว่า “ใครจาบจ้วงเจอผม” แล้วให้ช่อง 5 เอาพระราชกรณียกิจมาเผยแพร่ นายเนวิน ชิดชอบ ก็คิดแค่ว่าการจงรักภักดีคือการจัดงาน นี่คือสติปัญญาของข้าราชการและนักการเมือง

ชี้ยุคอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากทักษิณ แถมไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการเสียแผ่นดิน

การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในสภาก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ การโกหกพกลมก็เหมือนกัน นายอภิสิทธิ์โกหกมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะสมัยนี้โกหกอย่างหน้าด้าน โกหกหน้าตาย ที่สำคัญคือไม่รู้สึกร้อนหนาวกับการที่ประเทศชาติสูญเสียแผ่นดิน กรณีเขมรสะท้อนถึงความล้มเหลวของทุกสถาบันโดยเฉพาะทหาร ซึ่งทหารยุคนี้ไม่ถูกฝึกและหล่อหลอมให้ปกป้องประเทศชาติ ลูกเมียทหารก็เอาแต่โชว์ฟอร์มเล่นเฟซบุ๊ก ถือกระเป๋าราคาแพง ไปเที่ยวยุโรป ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ประเทศชาติเป็นอย่างไรช่างมันขอให้เขาอยู่ได้

ส่วนนักการเมือง การเลือกตั้งคือการสลับเปลี่ยนขั้วกันไปมา เราออกมาสู้กับทักษิณด้วยหลักการ เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ามา หลักการของเราก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ เราจึงต้องออกมาประท้วง เพราะอภิสิทธิ์กับทักษิณไม่ต่างกัน เลวกว่าด้วยซ้ำ แต่โกหกแนบเนียนกว่า

เชื่อประชาชนจะเบื่อและโหวตโนถึง 3 ล้านคน รวมกับคนไม่ไปใช้สิทธิน่าจะเกิน 50%

นายสนธิกล่าวต่อว่า ความเบื่อหน่ายของประชาชนจะทำให้มีการกาช่องไม่เลือกใคร หรือ โหวตโนมากขึ้นในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ครั้งที่แล้วมีการโหวตโน 1.5 ล้านคน คาดว่างวดนี้น่าจะมี 3 ล้านคน บวกกับคนที่ไม่ออกไปเลือกตั้งเพราะเบื่อการเมือง รวมแล้วน่าจะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเราถูกคนกลุ่มน้อยมัดมือชกเพื่อเข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศเพื่อ ประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยพวกนี้ การโหวตโนที่จะมากกว่าทุกครั้งทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลัวมาก และกระแสไม่เอาการเลือกตั้งมีมากขึ้น อยากให้นักการเมืองหยุดสัก 3-5 ปี แล้วมาปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการปกครองประเทศชาติให้มีคุณธรรมจริยธรรมจริงๆ ไม่ให้มีการปล้นชาติบ้านเมือง สร้างหลักจริยธรรมในการปกครองบ้านเมืองอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นกระแสมากขึ้น แต่ถ้านักการเมืองไม่ยอมก็เป็นจุดจบของประเทศชาติ

ลั่นถึงเวลาที่อำมาตย์-ทหาร-ปชป. ต้องเผชิญกับทักษิณเอง โดยที่ พธม. จะไม่ยุ่ง

นายสนธิกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของพวกเรานั้นถูกต้อง พิสูจน์ชัดแล้ว แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องอยู่เฉยๆ ให้เขารบกันเอง อาจถึงเวลาที่กลุ่มอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ หรือทหารบางคนต้องเผชิญกับกลุ่มอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตร โดยที่เราไม่ต้องเข้ายุ่ง ให้เขารบกันเอง แต่สิ่งที่เราสู้มาประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่มาชุมนุม คนที่ดูการชุมนุมผ่านเอเอสทีวีมีเป็นจำนวนมาก และขณะนี้มีคนที่เคยคิดตรงข้ามกับเราคือเสื้อแดงที่หันมาดูเรา แท็กซี่ที่เคยเป็นศัตรูเราก็ฟังเรามากขึ้น ตรงนี้ถือว่าได้ผล อันที่สอง การที่เราออกมาครั้งนี้ เราไม่ได้ชุมนุมเพื่อตัวเราเอง แต่เราชุมนุมเรื่องชาติบ้านเมืองเรื่องการเสียดินแดนให้เขมร เพราะฉะนั้นเรายืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด สิ่งที่เราสู้มา เริ่มได้ผล วันนี้ความจริงเริ่มปรากฏ รัฐบาลยิ่งอยู่ไป ความจริงยิ่งโผล่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจบีซี หรือที่เราพูดมาตลอดว่าระวังรัฐบาลทำเช่นนี้จะเข้าทางเขมรที่ทำให้เรื่อง พรมแดนกลายเป็นเรื่องพหุภาคี นายอภิสิทธิ์ก็บอกไม่มีทาง วันนี้นายอภิสิทธิ์ก็พูดไม่ออก ซึ่งตอนนี้ก็มีอินโดนีเซียเข้ามาแล้ว เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่นายอภิสิทธิ์เคยบอกว่าเป็นของไทย ตอนนี้ก็ไม่พูดแล้ว บอกแค่ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน นายอภิสิทธิ์โกหกอะไรมาจึงถูกจับได้ตลอด คำถามคือนายอภิสิทธิ์ จะโกหกต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

เชื่อพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้ เมื่อท้ายสุดเพื่อไทย-ปชป. จะจับมือกันตบหน้าอำมาตย์

“ที่สำคัญคือคนที่เชื่อคุณอภิสิทธิ์อยู่ จะทนให้คุณอภิสิทธิ์โกหกต่อไปอีกนานแค่ไหน ถ้าทนได้ตลอดไปก็แสดงว่าอนาคตสังคมไทยมันไม่มีแล้ว” นายสนธิกล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่า การชุมนุมจะยุติลงเมื่อใด แม้ว่าโดยส่วนตัวอยากจะให้พี่น้องได้พัก เพื่อหยุดดูการต่อสู้กันของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย และเชื่อว่าท้ายที่สุด 2 พรรคนี้จะจับมือกันและร่วมกันตบหน้าอำมาตย์ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และถึงเวลาแล้วที่จะให้กลุ่มอำมาตย์เผชิญหน้ากับอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตรเอาเอง เมื่อถึงตอนนั้นพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้และได้รู้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ประชาชนไม่ว่าสีอะไร เมื่อได้เห็นการโกงกินแล้วจะออกมาร่วมกันต่อสู้อย่างแน่นอน และตราบใดที่ยังมีความถูกต้อง พันธมิตรฯ จะยังรวมตัวกันต่อไป และหากประเทศชาติต้องการความถูกต้อง ก็จะยังมีพันธมิตรฯ อยู่ต่อไป

ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////