--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

มิตรหรือศัตรู มันก็..ไม่ต่างกัน

สมราคา “ไข่มุกดำวีระกานต์ มุสิกพงศ์” เปิดอกเปิดใจเป็นครั้งแรกผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “สปริงนิวส์” ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อนวันเกิดเหตุ “ขอคืนพื้นที่แดงราชประสงค์” ไว้ได้อย่างมีนัยยิ่ง

ทั้งกรณีแกนแดงสายเหยี่ยวหวังใจที่จะยึดอำนาจแกนแดงสายพิราบ “นายหัว วีระ” ก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “มันมีจริง” หรือแม้กระทั่ง วาระกัดจิก“สายเกิน เจรจา” ที่อดีตประธาน นปช. ระบุว่า “ชีวิตประชาชนมีคำว่าสายด้วยหรือ” มันก็ล้วน กินยาวบาดใจไปถึงเครดิตของผู้สั่งการ อย่างล้ำลึกนัก

แต่ประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเรื่องลับๆ ของคนระดับแกนนำมุ่งหวังทาง การเมือง ที่แอบไปเจรจาต้าอ้วย เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง โดยอ้างชีวิตประชาชนที่เหล่าแกนนำปลุกเร้าขึ้นมาเป็นผนัง ทองแดงกำแพงเหล็ก

มันก็ได้สร้างความงงงวยให้กับเหล่า แกนตามผู้จงรักภักดี ที่ฟังแล้วต้องถึงกับอุทานว่า...มันด่ากันแทบตาย แล้วสุดท้าย พวกมันแอบไปคุยกันตอนไหน???

นั่นมันก็ไม่ต่างกับสิ่งที่แกนนำเหลืองแดง หน้ากระดานเรียงหนึ่งขึ้นเวที เปิดปฏิบัติการสาวไส้ให้กากิน แฉเบื้องลึกเบื้อง หลัง แฉโน่นแฉนี่ แต่ไม่เคยเหลียวมองดูเบื้องหลังของตนเองและเบื้องหน้าของประชาชน

แกนแดงลงรายละเอียดเป็นฉากๆ จากวงประชุมลับแห่งการปฏิวัติ 19 กันยาฯ กินยาวไปถึงปมยุบไทยรักไทย ยุบพลังประ ชาชน และไม่ยุบประชาธิปัตย์

แกนเหลืองก็เดินหน้าแฉแหลกตั้งแต่เหตุซุกหุ้น ขายหุ้น เลี่ยงภาษี ขายชาติ ขายแผ่นดิน ว่ากันไปถึงวาระประธานาธิบดี เชื่อมโยงไปสู่ อาการตีตนเสมอเจ้า และไม่ จงรักภักดี..

ว่ากันง่ายๆ คือพยายามชี้นำให้ประ ชาชน ลุยถั่วฝ่ายตรงกันข้าม แบบเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ “ความจริงวันนี้ผ่านโฟกัสเมือง ไอ้ที่นั่งด่าๆ กัน มันก็ดันเซย์ฮัลโหลเจรจาในทางลับกัน อย่างต่อเนื่อง แล้วตกลงสุดท้ายประโยชน์ มรรคผลมันบังเกิดกับใครกันแน่ระหว่างแกนนำหรือแกนตามที่เผอิญเป็นประชาชน

สั้นๆ และกระชับ ถอดสมการให้เห็น เป็นรูปธรรม “ประชาธิปัตย์” และ “พันธ มิตรฯ” หรือ “พันธมิตรฯ” กับ “พรรค การเมืองใหม่” เกิดอาการแตกคอกันนั้น เหล่าแกนนำเหลืองและแกนนำพรรคสะตอ จะมีเหตุผลใดมาอธิบายให้ประชาชนผู้เป็น แฟนคลับฟังได้ชัดอย่างรื่นหูและไม่สะดุด.. มันก็ยังไม่ผ่านเข้าสู่โสตประสาทแม้แต่เดซิเบลเดียว

หรือแม้กระทั่ง สิ่งที่ “ไข่มุกดำ” ออกมายอมรับในข้อสงสัยเรื่องปฏิบัติการแดง ยึดอำนาจแดง  แต่ใช้ลีลาการพูดสไตล์นักการเมืองในการเลี่ยงบาลี แก้เกี้ยว แต่ในที่สุดก็หนีไม่ออกเพราะเงื่อนงำ ในเหตุการณ์เหล่านั้น มันก็ล้วนมีอยู่จริง

สุดท้ายเรื่องราวแห่งคืนวันสังหารใน หลายเหตุการณ์ แม้จะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ประชาชนทั้งเหลืองทั้งแดง ก็ยังไม่สามารถ พิสูจน์ทราบว่า ใครกันแน่ที่ฆ่าประชาชน???

แต่สิ่งที่ประชาชนได้พิสูจน์ทราบและเห็นเป็นกระจ่างคือ..

วันนี้ “รัฐบาลผ้าขาว” แปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นทุจริตยิ่งกว่า “รัฐบาลโคตรโกง”

วันนี้ “กำนัน สปก. 4-01” เป็นเพื่อนเลิฟกับ “พ่อมดเขมรจอมหักเหลี่ยม”

วันนี้ “ครูใหญ่” กับ “หลงจู๊” ผนึกกำลังพร้อมเสียบซีกไหนก็ได้แค่ขอให้พรรค ตัวแปรก๊วนนี้ได้เป็นรัฐบาล

วันนี้ “ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น” สำรอกเลือด กลืนน้ำลาย กลับลำไปขัดตาทัพให้กองกำลังผู้ทรงเกียรติของ “นายใหญ่”

วันนี้ แม้แต่ “ไม้บรรทัด” ผู้เคยเอ่ย ปากว่าเหม็นเบื่อการเมือง ยังคิดใหม่ ทำใหม่ด้วยการเอาตัวลงไปคลุกกับกลิ่นสาบการเมืองอีกคำรบ

วันนี้ “กองทัพ” อันเป็นคีย์แมนแห่ง “วาระปฏิวัติ” ยังตบเท้าออกมาการันตี ประเทศนี้ไม่มียึดอำนาจแน่นอน

วันนี้ “แอ็กติวิสต์นักประชาธิปไตย เสื้อเหลือง” กลับออกมาเรียกร้องให้ประ ชาชนเฮโลไปกาในช่อง “โหวตโน” ประหนึ่ง ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง

วันนี้ “แก๊งเข้าป่าสายคอมมิวนิสต์” ได้ปรากฏกายอย่างดาษดื่น และนั่นก็มีแนว คิดทั้งล้มและปกป้องเจ้า

แต่ที่น่าสลดหดหู่หัวใจไปมากกว่านั้นคือ..

การเมืองไทยไม่ต่างจากลิเกแห่งอำนาจ โรงใหญ่ วาระ “เหลือง-แดง” ยังคงดำเนิน และเคลื่อนต่อไป สุดท้ายคนที่เดินตามก้น วาทะ “ไพร่-อำมาตย์” ที่ผู้เสพติดอำนาจ ปั้นแต่งขึ้นมา

ไม่ว่า “มิตร” หรือ “ศัตรู” สภาพมันก็ไม่ต่างกัน นั่นคือเอวังให้กับ..แก๊งศรีธนญชัยใส่สูท!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผมขอสนับสนุนให้คุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาเป็นนายกรัฐมนตรี

ชำนาญ จันทร์เรือง

จากการลุกขึ้นเหน็บแนมฝ่ายค้านของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า รัฐบาลช่วยเหลือน้ำท่วมล่าช้า แต่นายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กลับลงพื้นที่ถึงประชาชนก่อน และหากสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงจะได้รับเลือกนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ควรที่จะเชิญนายสรยุทธ์มาเป็นได้

ประสมเข้ากับการโวยวายของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าสื่อมวลชนที่ลงไปทำข่าวทุกวันนี้ ทำเพื่อโปรโมทตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ พยายามทำเหมือนรัฐบาลไม่ทำอะไร ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวนแผนประชาสัมพันธ์กันใหม่ ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเชิญ(ความหมายก็คือบีบคอ)สื่อช่อง 9 และ 11 ลงไปทำข่าวการเตรียมสร้างและซ่อมแซมบ้านในพื้นที่ประสบอุทกภัย ทำให้ผมเกิดอาการคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนออกมา แต่เสียดายของเก่าที่กินเข้าไปแล้วจะเสียของ ก็เลยต้องกลั้นไว้

เรื่องของการเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นของพรรคประชาธิปัตย์นี้ผมได้ยินมานานแล้ว ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ไม่นึกว่าจะใจแคบได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วผมไม่ได้เป็นแฟนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของคุณสรยุทธ์แต่อย่างใดเพราะผมเป็นคนตื่นสาย เว้นเสียแต่ว่าวันไหนมีงานหรือชั่วโมงบรรยาย ส่วนตอนเย็นก็ดูบ้างไม่ดูบ้างแล้วแต่โอกาส หรือดูดูอยู่ก็กดช่องเปลี่ยนเสียหลายครั้งเพราะหัวข้อเรื่องการสนทนาไม่ถูกใจ แต่โดยภาพรวมแล้วผมกลับชื่นชมการกระทำของคุณสรยุทธ์และต้นสังกัดของเขาที่มีวิสัยทัศน์และมีน้ำใจต่อเพื่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันเองหรือชาวญี่ปุ่น

พูดถึงการศึกษาหรือความรู้ความสามารถของคุณสรยุทธ์ไม่ได้ด้อยกว่านายกรัฐมนตรีของไทยคนไหนหรือนักการเมืองทั้งหลายที่อยู่ในสภาในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญคือก็ใจถึงพึ่งได้กว่าหลายๆคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือตัวนายกรัฐมนตรีเองที่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆชูป้ายทวงจักรเย็บผ้าที่รัฐบาลเคยสัญญาว่าจะให้แล้วไม่ให้ว่า “ดีแต่พูด”จนเธอกลายเป็นขวัญใจคนใช้แรงงานไปโดยปริยาย

ครั้นหันมามองพรรคฝ่ายค้านที่ยังหาหัวไม่ได้ สุดท้ายแว่วว่าจะมาลงที่น้องสาวของคุณทักษิณโดยการันตีว่าเป็นผู้หญิงเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น สร้างตัวมาจากตำแหน่งเล็กๆจนไต่เต้าเป็นผู้บริหารระดับ หรือเป็นสายตรงกับคุณทักษิณ น้องสาวพูดก็เหมือนคุณทักษิณพูด ฯลฯ แต่ผมกลับมองว่าอย่างไรก็ตามเธอก็คือร่างทรงของคนอื่น ผมไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่เป็นหุ่นกระบอกของใคร

ฉะนั้น ผมจึงขอสนับสนุนให้คุณสรยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์หรือนายกรัฐมนตรีที่เป็นร่างทรงของคนอื่น โดยมีเงื่อนไขว่า

๑) ต้องยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่เป็นปัญหาถ่วงความเจริญของประเทศชาติ และเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์จากการแต่งตั้งของ”แก๊งแต่งตั้ง”ทั้งหลาย โดยให้เหลือเพียงการบริหารราชการส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นดังเช่นนานาอารยประเทศทั้งหลายที่เป็นรัฐเดี่ยวและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ

๒) ต้องยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาที่มาจาการสรรหาจากเทวดาเพียงเจ็ดคนเสีย แล้วให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด รวมถึงทบทวนถึงที่มาของกรรมการในองค์กรอิสระทั้งหลายด้วย

๓) ต้องสอบสวนให้ได้ผลของการสังหารหมู่ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ทหาร หรือนักข่าวต่างประเทศ แล้วนำตัวมาลงโทษ

๔) ต้องให้ทหารกลับกรมกอง ไม่ต้องเสนอหน้ามายืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติเพราะไม่ใช่หน้าที่

๕) ต้องเพิ่มเติม พรบ.ธรรมนูญศาลยุติธรรมมิให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคณะรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์เพราะไม่มีในตำรากฎหมายใดใดในโลกหรือในประเทศไทยบัญญัติไว้เช่นนั้น แต่ศาลฎีกาไทยกลับไปรับรองการกระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่เป็นการกระทำความผิดฐานกบฏตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ อย่างชัดเจน

๖) ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันฯ มิให้ใครนำมาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งผู้อื่น โดยกำหนดตัวผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีให้ชัดเจน มิใช่ปล่อยให้ใครก็ได้ฟ้องมั่วจนเปรอะเช่นในปัจจุบันนี้

๗) ต้องดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องในเนื้อหาที่ปรากฏว่ามีการวิ่งเต้นคดี ไม่ว่าจะเป็นตุลาการหรือเจ้าหน้าที่กรณีคลิปหลุดศาลรัฐธรรมนูญอันอื้อฉาว มิใช่ไปมุ่งดำเนินคดีเฉพาะผู้จัดทำคลิปแต่อย่างเดียว

๘) ต้องจัดให้มีการปฏิรูปที่ดินให้ชัดเจน ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือที่ดินที่ได้เอกสารสิทธิ์มาโดยไม่ชอบเอามาจัดสรรให้ผู้ที่ไม่มีที่ทำกินได้ใช้ประโยชน์

๙) ต้องให้อำนาจตุลาการมีการยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน มิใช่หลุดลอยเป็นอิสระจากการตรวจสอบของประชาชนเช่นในปัจจุบัน เอะอะอะไรก็อ้างความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งๆที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีแต่อย่างใดแต่เป็นการบริหารจัดการสำนวนคดี เช่น กรณีศาลปกครองกับ ปปช. หรือกรณีเงินค่ารถประจำตำแหน่งแต่ไม่ได้เอาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของเงิน ฯลฯ

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้อ่านคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก มีแต่ซูเปอร์แมนเท่านั้นกระมังที่ทำได้ ซึ่งก็อาจจะจริงแต่อย่าลืมว่าคุณสรยุทธ์เคยเป็นซูเปอร์แมนมาแล้วในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกล้าฉีกตัวมาจากค่ายเนชั่น การจัดทำรายการลักษณะของการเล่าข่าวจนทำให้จากอาตี๋ธรรมดากลายเป็นเศรษฐีหลายร้อยล้าน การระดมความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนผมเชื่อว่าไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก คุณสรยุทธ์ ฯลฯ

คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะมีหัวพรรคให้เลือก ช็อปปิงอยู่มากมาย แล้วลองออกนโยบายเช่นว่านี้ดูสิครับ รับรองว่าประชาธิปัตย์หรือคุณทักษิณไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พท.ยันทักษิณเสนอนิรโทษกรรม ทางออกประเทศ

เพื่อไทย ยัน "ทักษิณ" เสนอนิรโทษกรรม เป็นทางออกประเทศ ด้าน ปชป. บอกนิรโทษกรรมไม่ตอบโจทย์ประเทศ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางการนิรโทษกรรม ว่า ตนมองเป็นทางออกของบ้านเมือง เพราะขณะนี้ ทุกกลุ่มก็ต่างถูกดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็น พันธมิตรฯ นปช. บ้านเลขที่111 และ 109 ถ้านิรโทษกรรมบ้านเมืองจะดีขึ้นแน่นอน เพราะหลังจากการปฏิวัติปี 49 ประชาชนมีความเห็นต่างทางการเมือง การนิรโทษกรรม จึงเป็นแนวทางในการสมานฉันท์ ส่วนอดีตนายกฯจะทำเพื่อตัวเองหรือไม่ ตนมองว่าก็มีบางกลุ่มมองอย่างนั้น แต่ต้องมองด้วยความเป็นธรรม การนิรโทษกรรมจะทำให้ประเทศดีขึ้น เป็นสิ่งที่ยุติความขัดแย้ง การมองแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ ควรให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีกองทัพและดีเอสไอ ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.กับอีก 2 แกนนำ ว่า วันนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ต้องปล่อยเป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลเอาเรื่องความจงรักภักดี มาใช้ประโยชน์ทางการเมืองและชอบทำตัวเป็นศาลเสียเอง เรื่องนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามหลักการ

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส. กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นเดียวกันนี้ว่า กฎหมายนิรโทษกรรมไม่ตอบโจทย์การเมืองไทยในขณะนี้ และเชื่อว่าจะสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น คดีความผิดที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคำพิพากษานั้นเป็นความผิดอาญา ซึ่งจะออกกฎหมายเพื่อเลิกรากันไปไม่ได้ อีกทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีมาแล้ว แต่เมื่อคำพิพากษาของศาลไม่ตรงกับความต้องการจึงหนีไป เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต้องถูกดำเนินคดีจากการกระทำต่างๆเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบ แต่แนวทางการปรองดองไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ผู้มีความผิดใช้ช่องทางอะไรก็ได้เพื่อไม่ต้องรับโทษ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช .กล่าวว่า ถึงที่สุดประเด็นนิรโทษกรรมจะไม่มีทางเป็นจริงได้ และกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีหรือไม่มีการนิรโทษกรรม เพราะคนเสื้อแดงมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่ต้องการความยุติธรรม ไม่มี 2มาตรฐานในสังคม และจะไม่ยอมให้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซงกระบวนการต่างๆ

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

สมเจตน์.. ดีใจ หลังได้เป็น ส.ว.สรรหา ลั่นจะไม่ให้คนเลวมีโอกาสบริหารประเทศ

อดีตเลขา คมช. เผยภาคภูมิใจที่ได้รับการสรรหาเป็นวุฒิสมาชิก ลั่นจะทำทุกด้านให้บ้านเมืองปกติสุข เอาความสามัคคีกลับคืนมา จะทำทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสบริหารประเทศ นอกจากนี้ “กลุ่ม 40 ส.ว.” กลับเข้ามาได้ถึง 21 คน ขณะที่สัก กอแสงเรือง – วันชัย สอนศิริ - เดชอุดม ไกรฤทธิ์ ได้เป็น ส.ว.สรรหาด้วย

ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาใหม่จำนวน 73 คน ได้เริ่มมี ส.ว.ที่ได้รับเอกสารรับรองจาก กกต. แล้ว ได้ทยอยเดินทางมาแสดงตนต่อ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่อาคารรัฐสภา 2 นั้น

โดยเมื่อวานนี้ (12 เม.ย.) ISN รายงานว่า พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เลนานุการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการแสดงตนว่า รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ได้รับโอกาสจากการสรรหาให้มาทำงานเพื่อประเทศชาติและบ้านเมืองอีกครั้ง เมื่อถามต่อว่ารู้สึกอย่างไรกับข้อวิจารณ์ที่พยายามผูกโยงกับกองทัพ พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า เป็นธรรมดาตนไม่สามารถปฏิเสธความเป็นทหารของตนได้ แต่ต้องดูในสิ่งที่ตนได้ปฏิบัติมาว่าได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนหรือประโยชน์ ของใคร หรือประโยชน์ของประเทศชาติ นั่นคือความเป็นมาของตน ต่อไปเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนจะยืนหยัดในอุดมการณ์อย่างนี้ได้ต่อไป หรือไม่

เมื่อถามว่าตั้งใจจะมาทำงานด้านใดเป็นพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว. พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า ด้านไหนก็ได้ทุกด้านที่จะทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความปกติสุข มีความรักความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมาสู่ประเทศให้ได้ ให้ประเทศเรามีความร่มเย็นอีกครั้ง

“พยายามที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสมารับผิดชอบ บริหารประเทศ ผมได้เรียนแล้วว่าผมไม่ปฏิเสธตัวผมเองได้ ผมมาจากทหาร แน่นอนที่ต้องมีความผูกพันกับกองทัพ ทหารมีหลายแบบ ต้องดูว่าจะพิสูจน์ตัวผมเองได้อย่างไร” พลเอกสมเจตน์ กล่าว

เมื่อถามว่ามั่นใจว่าการทำงานจะมาจากการตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า การทำงานย่อมต้องมาจากความเห็นของตนของเพื่อนสมาชิก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องอยู่บนจุดที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ เมื่อถามย้ำว่าจะให้เวลาพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เป็นนอมินีของใครใช่หรือไม่ พลเอกสมเจตน์ กล่าวสั้นๆ ว่า ผมเป็นนอมินีของของประเทศชาติ

ขณะที่ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในจำนวน ส.ว.สรรหา 73 ราย เป็นอดีต ส.ว.สรรหาชุดเดิม 31 ราย เป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ถึง 21 คน อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายสมชาย แสวงการ

ขณะที่ ส.ว. สายทหารคือ พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ผอ.ททบ.5 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.6 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหม น้องชาย พล.อ.ประวิตร

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ เครือข่ายของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายวันชัย สอนศิริ ทนายความและผู้จัดรายการคลายปมทางช่อง 11 นายสัก กอแสงเรือง และ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตนายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง นายปัญญา เบ็ญจศิริวรรณ พี่ชายของสามี นางนาตยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายสุธรรม พันธุศักดิ์ เจ้าของทิฟฟานี่ บิดา น.ส.อริสา พันธุศักดิ์ อดีตผู้สมัครนายกอบจ.ชลบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์

รวมถึงยังมีอดีตข้าราชการและบุคคลที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.ต.นพ.เฉลิมชัย เครืองาม ส่งโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย น.ส.วิชุดา รัตนเพียร น้องสาวนายประวิช รัตนเพียร อดีต รมต.หลายกระทรวง ม.ร.ว.วุฒิเลิศ เทวกุล ส่งโดยสถาบันพระปกเกล้า พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช อดีตประธานวุฒิสภา นายสม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุปสรรคของการหยุดยิงในลิเบีย .

อุปสรรคของการหยุดยิงในลิเบีย
สหภาพแอฟริกาและรัฐบาลตุรกีพยายามที่จะเจรจาให้มีการหยุดยิงในลิเบีย ขณะที่ผู้นำลิเบีย มูอัมมาร์ กัดดาฟี ส่งสัญญาณว่าเห็นพ้องกับข้อเสนอของสหภาพแอฟริกาที่นำโดยเจค็อบ ซูมา โดยมีเงื่อนไขที่ว่า NATO ต้องหยุดโจมตีทางอากาศก่อน
ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในทางตะวันออกของลิเบีย ต่างปฏิเสธเงื่อนไขในการหยุดยิง และยังยึดมั่นต่อความต้องการเดิมที่จะให้ กัดดาฟี ลงจากตำแหน่ง ส่วนกองกำลัง NATO ยังคงโจมตีทางอากาศในลิเบียฝั่งตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
การเจรจาเพื่อให้หยุดยิงยังเต็มไปด้วยปัญหาและมีความสลับซับซ้อน แต่ก็ทำให้เห็นว่าในห้วงเวลาที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ในลิเบียก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างตะวันออกและตะวันตกอยู่จริง นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปตามที่คิดนัก แต่ก็ทำให้สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า ควรจะหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างชาติ (nation-building) ในโลกอิสลาม



และต้องยอมรับว่ากัดดาฟียังทรงอำนาจ ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งได้เกิดขึ้นในทุกฝ่าย ทั้งในฝ่ายต่อต้านทางฝั่งตะวันออกของลิเบีย ทั้งในกองกำลังลิเบีย กองกำลัง NATO ต่างก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ลำบากในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติการทางทหาร
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลิเบียในฝั่งตะวันออกได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจที่จะยึดครองตะวันออกและปล่อยให้ตะวันตกเป็นของกองกำลังกัดดาฟี ปัญหาของกองกำลังฝ่ายต่อต้านคือความรู้จากการฝึกฝนเพื่อปฏิบัติการรบและการใช้อาวุธที่เข้าขั้นอ่อนหัดมาก แต่ถ้าจับตาดูการสู้รบที่เกิดขึ้นในแหล่งพลังงานทั้งหลายทั้งใน Brega, Ras Lanuf, Zawiya และ Sidra จะเห็นว่ามีความยากลำบากยิ่งในการพยายามทำให้กองกำลังกัดดาฟีถอยร่นกลับไป
ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังกัดดาฟีกลับมีความรอบคอบกว่า ในการถอนกำลังเพื่อไปสร้างฐานที่มั่นในตัวเมืองทางฝั่งตะวันตก ซึ่งไม่เหมือนกับกองกำลัง NATO พยายามที่จะแผ่ขยายกองกำลังทางอากาศที่เต็มไปด้วยความกังวลว่าจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนชาวลิเบีย



แม้กองกำลังกัดดาฟี จะสามารถควบคุมแหล่งที่สามารถผลิตพลังงานหลักในภูมิภาคได้ เช่น Ajdabiya แต่ก็ไม่เท่าฝ่ายต่อต้านที่สามารถยึด Benghazi ได้ อีกทั้งรถถังของกัดดาฟียังถูกกองกำลัง NATO โจมตีทางอากาศไปแล้วจำนวนมาก กองกำลังของกัดดาฟีแม้จะสามารถดำรงอยู่ในสนามรบได้ แต่ก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีจำนวนจำกัดเพราะถูกกองกำลัง NATO คอยลาดตระเวนและตรวจตราการขนส่งอาวุธทั้งทางทะเลและทางอากาศ
ทำให้รัฐบาลลิเบียต้องยอมรับที่จะมีจุดยืนอันนำไปสู่การเจรจาให้มีการหยุดยิง แม้ว่าตัวของกัดดาฟีเองจะต้องพ่ายแพ้ แต่ก็อาจทำให้กองกำลังที่ยังคงภักดีต่อเขาสามารถเคลื่อนไหวเพื่ออ้างสิทธิ์จากการควบคุมจากชาติตะวันตกได้


ขณะที่ด้านกองกำลัง NATO เอง ก็เผชิญกับปัญหาที่ยากลำบาก ตราบใดที่กองกำลังของกัดดาฟียังสามารถที่จะตั้งฐานที่มั่นในตัวเมืองได้ NATO ก็ยิ่งประสบปัญหาจากการหลีกเลี่ยงกับความเสี่ยงของการเข้าโจมตี เนื่องจากอาจกระทบต่อพลเรือนที่ต้องบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กัดดาฟียังคงมีอำนาจในการปฏิเสธที่จะหยุดยิงได้
ส่วนสหรัฐฯ ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางยุทธศาสตร์จากฝั่งตะวันตกในภูมิภาคบริเวณอ่าวเปอร์เซียมากขึ้น ที่มีอิหร่านกำลังจับจ้องกับภาวะสุญญากาศทางอำนาจในอิรัก อันเนื่องมาจากการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ โดยที่สหรัฐฯ เองอาจต้องถอนตัวจากความคิดที่จะคุมเชิงและพยายามที่จะทำให้รัฐบาลลิเบียจนตรอกในการคิดต่อกรด้วย ซึ่งผลที่ได้กลับมาอาจไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปนัก

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////// 

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

นายกฯพระราชทาน (2)

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
นายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์ เผชิญการต่อต้านท้าทายอย่างหนัก ทั้งจากกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายสถาบันเอง และอยู่นอกเครือข่าย จนแทบจะริเริ่มอะไรที่เป็นของตนเองไม่ได้ สถานการณ์บังคับให้นายกฯพระราชทานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามประนีประนอมกับข้อเรียกร้องของทุกกลุ่ม ผลก็คือ "มะเขือเผา" นั่นคือจะรักษาโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำไว้ตามเดิมก็ไม่ได้ หรือนำสังคมไปสู่การปรับเปลี่ยนให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นก็ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากประเมินนายกฯสัญญา ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็อาจกล่าวได้ว่าท่านล้มเหลว แต่ถ้าประเมินนายกฯสัญญาจากภารกิจเฉพาะหน้า คือระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อรอให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องถือว่าท่านได้ประคองบ้านเมืองให้พ้นจากสถานการณ์จลาจล ไปสู่ "ระเบียบ" ใหม่ได้ แม้อย่างทุลักทุเลเต็มทีก็ตาม ฉะนั้นหากจะประเมินนายกฯพระราชทานผู้นี้กันจริงๆ แล้ว ต้องย้อนกลับไปศึกษาว่า ในท่ามกลางข้อจำกัดของสถานการณ์ ท่านได้เตรียมบ้านเมืองเข้าสู่ "ระเบียบ" ใหม่ได้ดีหรือไม่อย่างไร

นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่ในหมู่ตุลาการเท่านั้น ภายใต้ระบอบเผด็จการผูกขาดถึง 16 ปี มีบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนกว้างขวางถึงเพียงนี้อยู่ไม่กี่คน ทั้งยังได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจนได้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีอีกด้วย ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า จะหาใครเป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ได้เหมาะไปกว่าท่านได้ยาก เป็นสมาชิกของเครือข่ายสถาบันคนเดียว ที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในสังคม จึงอยู่ในฐานะที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายของสถาบันกับเครือข่ายอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอก โดยเฉพาะเครือข่ายอีกมากที่เกิดขึ้นจากการลุกฮือของประชาชนใน 14 ตุลา โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา และนักวิชาการ

แต่สังคมไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าการเชื่อมต่อโดยรักษาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบันจะเป็นไปได้ (เช่นจะเชื่อมต่อราชการพลเรือนและทหารกับกรรมกรและชาวนาเช่าที่ดิน ซึ่งเกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นแล้วได้อย่างไร) ท่านจึงเป็นได้แต่เพียง "มะเขือเผา"

แม้ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อนายกฯพระราชทานที่สุดดังเช่น 14 ตุลา นายกฯพระราชทานก็ยังเป็น "มะเขือเผา" สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจาก 14 ตุลาอย่างเทียบกันไม่ได้ นายกฯพระราชทานจะทำอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการสถาปนาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน กลับคืนมาให้เหมือนเดิม หรือนำประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองในช่วงนี้ ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังจะเหลือใครอีกที่ได้รับความไว้วางใจกว้างขวางจากทุกฝ่ายเท่าอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อดำรงตำแหน่งนายกฯพระราชทาน อาจารย์ประเวศ วะสี หรือ คุณอานันท์ ปันยารชุน หรือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล!

ในส่วนข้อเสนอให้ "เว้นวรรค" การเมืองภายใต้นายกฯ พระราชทาน เพื่อชำระการเมืองไทยให้ปลอดพ้นจากการทุจริตในการเลือกตั้ง และการฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น นับเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองอย่างสุดประมาณ

แก่นแท้ของนายกฯพระราชทาน ไม่ใช่การส่งซุปเปอร์แมนลงมาขจัดกวาดล้างความชั่วร้ายทางการเมืองให้สิ้นซาก เพื่อรองรับนักการเมืองบริสุทธิ์ (และไร้เดียงสา) ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้งในภายหน้า แต่เพื่อสร้างหรือปรับดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆ ในเครือข่ายสถาบัน และนอกเครือข่ายกันเสียใหม่ ให้อยู่ร่วมกันได้ โดยยอมรับอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน ไม่ใช่การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่สะอาดบริสุทธิ์ในโลกอุดมคติ

เพื่อบรรลุจุดประสงค์นั้นได้ นายกฯพระราชทาน ต้องประนีประนอมกับเครือข่ายต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเครือข่ายสถาบัน และนอกเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่กับระบบที่เอื้อต่อการทุจริตหลายรูปแบบ ไม่ว่าตัวนายกฯพระราชทานจะมีความดีและความซื่อสัตย์อย่างไรก็ตาม ย่อมต้องหลับตาให้แก่การทุจริตฉ้อฉลซึ่งหน่วยต่างๆ ทั้งในและนอกเครือข่ายสถาบันหาผลประโยชน์อยู่ทั้งสิ้น นายกฯพระราชทานคนใดจะไปขัดขวางการหากำไรจากการสั่งซื้ออาวุธของกองทัพ อย่างเก่งก็เพียงปรามอย่าให้มากหรือประเจิดประเจ้อเกินไปเท่านั้น

นายกฯพระราชทานที่ไร้เดียงสาทางการเมืองขนาดนั้น เห็นจะมีแต่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

นายกฯธานินทร์ กรัยวิเชียร คิดว่า "บารมี" ของสถาบันเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะนำไปสู่การปรับระบบเพื่อประกันความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจเดิมได้ แทนที่นายกฯคนนี้จะใช้เวลาของตนในการผนึกเครือข่ายของสถาบัน และขยายไปสู่เครือข่ายภายนอก กลับรอนเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกลงจนเหลือแคบนิดเดียว ในที่สุด กำลังใหญ่ที่สุดของเครือข่ายสถาบัน คือกองทัพ ก็ก่อรัฐประหารซ้อนและขจัดเขาออกไป

ตรงกันข้ามกับนายกฯธานินทร์ คือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์

นายกฯเปรม ติณสูลานนท์ ใช้ประโยชน์จากการต้องอิง "บารมี" ของสถาบันได้ดีที่สุด เขาผนึกกองทัพเข้ามาเป็นฐานสนับสนุนที่สำคัญ อาศัย "บารมี" ของสถาบัน ขจัดกลุ่มกระด้างกระเดื่องในกองทัพออกไป ยิ่งกว่านี้ยังประนีประนอมกับเครือข่ายภายนอก เช่น นักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ จนสามารถประคองนายกฯพระราชทานไปตลอดรอดฝั่ง 8 ปี ในช่วงนั้นก็สามารถสถาปนาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน ให้เด่นชัดและหนักแน่นมากขึ้นไปพร้อมกันด้วย แต่เครือข่ายนอกสถาบันก็เติบโตขึ้นภายใต้รัฐบาลของพลเอกเปรมด้วย สุดกำลังที่จะประนีประนอมหรือ co-opt ได้หมดหรือได้ไหว อย่างไรก็ตาม พลเอก เปรมฉลาดพอจะรู้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ-สังคมของประเทศ เปลี่ยนไปจนเกินกว่าจะผดุงระบบการเมืองแบบนายกฯ พระราชทาน (ในลักษณะที่เขาได้ใช้ประโยชน์มา 8 ปี) ได้ต่อไปแล้ว จึงยอมสละตำแหน่งในที่สุด

น่าสนใจที่จะเปรียบเทียบนายกฯพระราชทานสองคนสุดท้าย

นายกฯอานันท์ ปันยารชุน รู้ดีว่าจะอิง "บารมี" ของสถาบันเป็นที่ตั้งอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เขาเลือกจะผนึกกำลังกับบางกลุ่มในเครือข่ายของสถาบัน โดยเฉพาะในปีกเสรีนิยม และอาศัยเครือข่ายของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ เชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนชั้นกลางในเขตเมือง จนกลายเป็นขวัญใจของคนชั้นกลางไปในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เขามีพลังต่อรองอันแข็งแกร่งกับทุกกลุ่มในเครือข่ายของสถาบัน รวมทั้งกองทัพด้วย นายกฯอานันท์จึงเป็นนายกฯพระราชทานที่แปลกที่สุด กล่าวคือต้องพึ่งพิง "บารมี" ของสถาบันน้อยลงตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วงอานันท์ 1 เพราะเงื่อนไขทางการเมืองทำให้นักการเมืองซึ่งอยู่นอกเครือข่ายของสถาบันไม่มีปากมีเสียง ยิ่งนายอานันท์ "ทำงานเป็น" ก็ยิ่งได้รับความนิยมจากสื่อและคนชั้นกลางในเขตเมืองมากขึ้น

นับว่าประจวบเหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนั้นของสังคมไทยด้วย คนชั้นกลางซึ่งเติบโตและขยายตัวอย่างมากกลายเป็นฐานสนับสนุนอันแข็งแกร่งของนายกฯพระราชทานผู้นี้ เหล่าผู้คนนอกเครือข่ายสถาบันเหล่านี้ถูกเชื่อมต่อเข้ามายังเครือข่ายในฐานะมิตร และยอมรับอำนาจนำของเครือข่ายสถาบันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

แม้กระนั้น นายอานันท์ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายของนักการเมืองเข้ากับเครือข่ายของสถาบันได้ เมื่อนักการเมืองกลับเข้ามานั่งในสภาสมัยอานันท์ 2 มรสุมทางการเมืองก็เริ่มตั้งเค้า กระเทือนไปถึงความแตกร้าวในเครือข่ายสถาบันเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นวงการทหารหรือวงการตุลาการ



แต่ภาวะชั่วคราวเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ของรัฐบาลอานันท์ 2 มีส่วนอย่างมากที่สร้างความอดทนให้แก่ศัตรู นายอานันท์จึงถอนตัวออกไปจากการเมืองได้โดยไม่บอบช้ำ

แต่เมื่อนายกฯพระราชทานคนสุดท้าย คือพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นรับตำแหน่ง สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว คนนอกเครือข่ายสถาบันที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนชั้นกลางในเขตเมืองเท่านั้น หากรวมถึงคนชั้นกลางระดับล่างอีกมาก นายกฯสุรยุทธ์ประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าที่จะเชื่อมต่อคนหน้าใหม่ๆ เหล่านี้ให้เข้ามาสนับสนุนอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน แม้เขาจะพยายามใช้เส้นสาย (connection) ส่วนตัว เพื่อเชื่อมต่ออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับคนที่ถูกจัดว่าเป็น "คนจน" และกลุ่มร่วมพัฒนาชาติไทย (ซึ่งผิดเป้า)

ในที่สุด นายกฯสุรยุทธ์ก็ต้องหันมาผนึกกำลังกับหน่วยต่างๆ ในเครือข่ายให้แข็งแกร่ง กลายเป็นการ "ตั้งป้อม" เผชิญหน้ากับคนชั้นกลางระดับล่าง และนำเครือข่ายสถาบันออกไปเผชิญกับการต่อต้านของปรปักษ์โดยตรงเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกัน การ "ทำงานไม่เป็น" ของเขา บวกกับวิธีการผนึกกำลังของเครือข่ายที่ค่อนข้างไร้เดียงสา คือสมยอมกับข้อเรียกร้องของหน่วยต่างๆ โดยเฉพาะกองทัพ ที่อยู่ในเครือข่ายสถาบัน อย่างไร้อำนาจต่อรองโดยสิ้นเชิง ก็ยิ่งบ่อนทำลายพันธมิตรเดิมของเครือข่ายสถาบันลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทุน คนชั้นกลางในเขตเมือง หรือนักวิชาการ

ว่ากันที่จริงแล้ว นายกฯพระราชทานไม่เคยแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศได้เลยสักคน เพราะที่จริงแล้วภารกิจของเขาไม่ใช่การแก้ปัญหาทางการเมือง แต่รักษาโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไว้ให้คงเดิมหรือโน้มไปยิ่งกว่าเดิมต่างหาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองอย่างหนัก และเราเคยพยายามแก้มาแล้วด้วยการปฏิรูปการเมืองในทศวรรษ 2530 จนเป็นผลให้เกิดรัฐธรรมนูญ "ฉบับประชาชน" ขึ้น แม้ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่มุ่งหวัง แต่สิ่งที่การเคลื่อนไหวครั้งนั้นสอนเราก็คือ ปัญหาทางการเมืองทั้งหลายนั้นแก้ได้โดยสังคมเอง (แม้ต้องผ่านเส้นทางทุรกันดาร) หากล้มเหลวก็ต้องเรียนรู้ข้อผิดพลาด และแก้กันต่อไปโดยสังคม จะอาศัยอำนาจนำของสถาบันใดๆ แก้ให้ไม่ได้ ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานจึงเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจากความไร้เดียงสาทางการเมือง หรือความฉ้อฉลทางการเมืองเพื่อมุ่งประโยชน์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คู่ชิงนายกฯใน-นอกสภาฯ เส้นทางของ ยิ่งลักษณ์ - อภิสิทธ์ กับ2เคมเปญเด็ด


ในตึกชินวัตร ชั้น 24 มีห้องประชุม "ลับ"

ก่อนเสียงโฟนอินจาก "ทักษิณ ชินวัตร" จะดังขึ้นที่พรรคเพื่อไทย คำราม-ปราม พวกเชียร์ "ว่าที่นายกฯ" คนในพรรค

ที่ตึกชินวัตร มีวาระการประชุม "ลับ" พิจารณาประเด็น แคมเปญเลือกตั้ง และวาระหัวหน้าพรรค โดย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นั่งหัวโต๊ะ

วาระแคมเปญการเมือง บรรทัดสุดท้าย เป็นข้อสรุป ที่ถูกเสนอจากปาก "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" แกนนำ นปช.

แคมเปญการเมืองมีเป้าหมายชู "ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ" ทางอ้อมจากนอกวง เข้าสู่การโหวตในสภาผู้แทนราษฎร

ด้วยการรณรงค์ทั่วประเทศ บรรทัดเดียวจบ คือ "เลือกเพื่อไทย ชนะเลือกตั้ง เป็นรัฐบาล"

การเข้าสู่การเมืองแบบเต็มตัวของ "ยิ่งลักษณ์" อาจจะเกิดขึ้นทันที ที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกา "ยุบสภา"

ชื่อนายกฯ "นอกสภา" จึงถูกสรรหาไว้แล้วจากตึก "ชินวัตร"

ทำให้ค่ายประชาธิปัตย์ จัดทัพสู้ศึกเลือกนายกฯคนที่ 28 ด้วยการชูแคมเปญ "ต้องเลือกนายกฯในสภา"

ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ประธานวอร์รูมการเมือง ดีดลูกคิดการเมือง เตรียมแคมเปญ ดักทางทั้งใน-นอกสภา

เกมนอก-ในสนามเลือกตั้ง จึงตั้งความหวังไว้ที่ การปั้นตัวเลข ส.ส.ให้ได้ไม่น้อยกว่า 250 เสียง

เกมในสภา-หลังปิดหีบเลือกตั้ง หวังล็อกมือ-ล็อกเสียง "ข้างมาก" จากทุกพรรคในสภา เพื่อ "โหวต" ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้ "อภิสิทธิ์"

วิธีการที่ค่ายประชาธิปัตย์เตรียมตั้งรับคือ "หลักการโหวต" ที่พรรคอันดับ 1 หรืออันดับ 2 มีสิทธิ์เสนอชื่อหัวหน้าพรรค เข้าชิงเก้าอี้นายกฯ และวัดคะแนนด้วยการโหวต

"การตั้งรัฐบาลต้องตั้งในสภา" ชำนิ-อ้างหลักการ-ธรรมเนียมปฏิบัติ

"เขามีสิทธิได้ตั้งรัฐบาลก่อน แต่ถ้าคนฝ่ายเขาเสนอตัวนายกฯ แล้วแพ้โหวตเราก็มีสิทธิ์เสนอชื่ออภิสิทธิ์แข่ง และเราแข่ง 3 ครั้งแล้ว แพ้ 2 ครั้ง ชนะ 1 ครั้ง"

"ขึ้นอยู่กับส.ส.ในสภา ว่าจะเลือกใครเป็นนายกฯ"

เส้นทางการเมืองของ "ยิ่งลักษณ์" อยู่ที่ "ทักษิณ" ผู้ถือไพ่-เล่นเผ ภายใต้โพลที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ว่าจะ "ชนะเลือกตั้ง"

เส้นทางการเมืองของ "อภิสิทธิ์" เปิดหน้า-เปิดตัว ภายใต้แคมเปญและผลโพล ที่ยังอยู่ในตัวเลข 50/50

สัญญาณ-บรรทัดสุดท้าย การชิงชัยเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ยังอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

กิจกรรม กลุ่มพยาบาลภาคสนาม VHG วันที่ 10-04-54

"อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป" เชื่อสังคมไทยหลังเลือกตั้งไม่สงบจนกว่าจะจัดสรรอำนาจลงตัว

กลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปได้แถลงว่า รัฐบาลไทยจะต้องทำทุกวิถีทางให้การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม อีกทั้งการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมและปราศจากการแทรกแซงจากชนชั้นนำ เพื่อลดเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่การชุมนุมประท้วงและความรุนแรง

"ประเทศไทย : ความสงบก่อนพายุอีกลูกจะมาเยือน?" รายงานฉบับล่าสุดจากอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป กล่าวว่าเกือบหนึ่งปีหลังจากที่มีการสลายการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่การปรองดองทางการเมืองกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ประกาศว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเดือนกรกฎาคม 2554 แต่ก็มีข่าวลือว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารหรือการแทรกแซงทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้การเลือกตั้งต้องชะงักลง

"แม้ว่าการเลือกตั้งนั้นจะไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ถ้าหากว่าประเทศไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มาจากเสียงของประชาชนได้สำเร็จก็จะส่งผลให้ความชอบธรรมของรัฐบาลนั้นสูงขึ้น" รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิเคราะห์อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวและว่า "เนื่องจากเดิมพันในครั้งนี้สูงมาก การแข่งขันจึงมีแนวโน้มที่จะดุเดือด การสังเกตการณ์การเลือกตั้งทั้งโดยองค์กรภายในประเทศ ระดับภูมิภาคและนานาชาติ รวมทั้งการเผยแพร่ข้อตกลงกฎกติกาการเลือกตั้งเพื่อให้สาธารณชนรับรู้ในวงกว้างอาจจะมีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งได้"

ขั้วหนึ่งในความขัดแย้งทางการเมืองนี้คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งสนับสนุนกลุ่มชนชั้นนำ อาทิ กองทัพและศาล อีกขั้วหนึ่งคือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ความขัดแย้งนี้ได้ทำให้เกิดความแตกแยกที่ร้าวลึกในประเทศไทย

การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2553 นำไปสู่การปะทะระหว่างรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ การปะทะทำให้มีผู้เสียชีวิต 92 คน ซึ่งรวมถึงพลเรือน 21 คนและทหารอีกห้านายในเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน แม้ว่าจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรง แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงแข็งแกร่งและเตรียมที่จะต่อสู้อีกครั้งหนึ่งในสนามเลือกตั้ง โดยให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแนวร่วมของพวกเขา

กลุ่มพธม. ได้แสดงท่าทีต่อต้านการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นและเรียกร้องให้มวลชนคนเสื้อเหลืองไม่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองใด แกนนำพธม. อ้างว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะจัดการเลือกตั้งในสภาวะที่การเมือง "สกปรก" พวกเขาคาดหวังว่าอาจจะเกิดการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มีคุณธรรมเพียบพร้อมเพื่อมาทำการเมืองให้ "สะอาด" ผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพธม. ได้ลดจำนวนลง การเคลื่อนไหวชาตินิยมสุดขั้วในกรณีควาขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหารกับประเทศกัมพูชาในปีนี้มีคนเข้าร่วมการชุมนุมน้อยกว่าการเคลื่อนไหวในปี 2551 มาก กลุ่มพธม. ก็เริ่มขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็นแนวร่วมต่อต้านทักษิณมาด้วยกัน

นอกจากประเด็นว่าการเลือกตั้งจะเสรีและยุติธรรมหรือไม่ การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดสภาวการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งและจะเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้น โดยมีแนวโน้มว่ารัฐบาลที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นรัฐบาลผสม กลุ่มคนเสื้อแดงได้ขู่ว่าจะชุมนุมประท้วงอย่างหนักหน่วง ถ้าหากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งแต่ไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งนั้นจะไม่ผิดรัฐธรรมนูญ แต่ความชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตยของรัฐบาลใหม่นั้นจะถูกท้าทายในทันที ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าหากว่าพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็น "หุ่นเชิด" ของอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล กลุ่ม พธม. และกลุ่มชนชั้นนำ ก็คงจะออกมาต่อต้านรัฐบาลเช่นกัน

"การทำให้ทุกฝ่ายยอมรับผลของการเลือกตั้งยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับสังคมไทย แต่ความพยายามบิดเบือนผลการเลือกตั้งโดยฝ่ายชนชั้นนำนั้น แน่นอนว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงและความรุนแรง" นายจิม เดลลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าวและว่า "ประเทศไทยคงจะต้องเผชิญกับการชุมนุมประท้วงซึ่งมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากลุ่มชนชั้นนำกับผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งจะจัดสรรอำนาจกันได้ลงตัว รวมทั้งเห็นพ้องกันในเรื่องบทบาทและตำแหน่งแห่งที่ของชนชั้นนำประเพณีในระบอบประชาธิปไตยได้"

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

"ทักษิณ"สดุดีวีรชน10เมษาฯย้ำไม่ตายฟรี ลั่นอีกไม่นานกลับไทย เป็นห่วงความปลอดภัยแกนนำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.40 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์มายังที่ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม ว่า ได้ยินเสียงของคนเสื้อแดงไกลข้ามโลกจนมาถึงดินแดนที่เรียกหาประชาธิปไตยคือ ตะวันออกกลาง ได้ข่าวว่าที่ถ.ราชดำเนินฝนตก คนเสื้อแดงก็เตรียมร่มมากาง ขอชื่นชมในความอดทน

นอกจากนี้ ขอสดุดีดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคน เชื่อว่าคนเสื้อแดงทุกคนเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่มองไกลไปกว่าตัวเอง แต่เสียสละเพื่อประเทศไทยและอนาคตของลูกหลาน 1ปีที่แล้วไม่ควรมีคนเสียชีวิต ถ้าประชาธิปไตยไม่ถูกทำลาย เหตุการณ์นี้ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 21 คน และมีทหารเสียชีวิต 6 คน ซึ่งพยานหลักฐานอยู่ในสำนวนของทนายความที่จะส่งศาลโลกแล้ว

ปีที่แล้ว ขณะที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม ตนอยู่ในซาอุดิอาระเบีย เข้าเฝ้าเจ้าชายของที่นั่น เพื่อปูทางสถาปนาทำความเข้าใจ 2 ประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกลับประคมประหงมข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนักการทูตซาอุดิอาระเบีย

"แต่วันนั้นต้องหยุดทุกอย่าง ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น" ทั้งนี้ ได้คุยกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ติดคุก ทุกคนต่างให้ตนรักษาสุขภาพ ตนคิดว่าพวกเขาไม่ยอมแพ้ ถ้าประเทศไทยไม่เกิดความยุติธรรม

อดีตนายกฯ กล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างกติกาอย่างเป็นกลางและเป็นธรรม ผู้มีอำนาจต้องมีความยุติธรรม กรรมการก็ต้องมีความยุติธรรม ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการโกง ผู้ที่ทำจะเสียใจไปตลอดชีวิต ตนอยากขอร้องให้การเลือกตั้งเป็นการตัดสินใจของประชาชน มีความบริสุทธิ์ ขอให้กรรมการเป็นกลาง เคารพการตัดสินใจของประชาชน แล้วบ้านเมืองจะเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น

"วันนี้เห็นแกนนำหลายคนปราศรัยบนเวที ขอขอบคุณทุกคนที่มีใจมุ่งมั่นและเสียสละ แต่ยังเป็นห่วงความปลอดภัย ขอให้แกนนำและพี่น้องคนเสื้อแดงปลอดภัย อดทนอีกนิดเดียว มั่นใจว่าจะได้ก้าวสู่จุดเปลี่ยนที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

"วีรชนที่ตายต้องไม่ตายฟรี ไม่เจ็บฟรี ผมจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อเยียวยาบุคคลที่บริสุทธิ์ ที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้นเอง"

อดีตนายกฯ กล่าวว่า วันนี้ขอบคุณน้ำใจคนเสื้อแดง ตนรับรู้ได้อยู่ตลอดเวลา หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสตอบแทนบุญคุณ ตนไม่เคยลืมบุญคุณของวีรชนผู้เสียสละ "ไม่ช้าแล้ว ความเป็นธรรม ประชาธิปไตยจะกลับมาหา อีกไม่ช้าประชาชนจะมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด หวังว่าการเลือกตั้ง ประชาชนจะตัดสินใจเด็ดขาดชัดเจน"  พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ก่อนทิ้งท้ายว่า "คงไปเจอเร็วๆ ประเทศไทยครับ"


ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เมื่อ "ปอย-พสิษฐ์ ศักดาณรงค์" เล่านิทานเรื่อง "ผจก.สนามฟุตบอล-กก.ตัดสิน" บนเวทีเสื้อแดง



 เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 10 เมษายน ที่เวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ได้นำนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเปิดตัว พร้อมให้ปราศรัยต่อหน้าผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นเวลาประมาณ 20 นาที

นายพสิษฐ์กล่าวปราศรัยโดยเล่านิทานเปรียบเทียบเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลให้คนเสื้อแดงฟัง 1 เรื่อง โดยตั้งคำถามว่าใครชอบดูการแข่งขันฟุตบอลบ้าง? อยากให้การแข่งขันมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่? ถ้ามีการล็อกผลการแข่งขันหรือทีมชนะไว้ล่วงหน้าแล้วยังอยากจะดูฟุตบอลคู่นั้นอยู่ไหม? และเมื่อมีทีมแข่งขัน 2 ทีม ทีมหนึ่งถูกกลั่นแกล้งโดยตลอด แต่อีกทีมกลับถูกช่วยเหลือโดยตลอด แล้วกรรมการก็เข้าข้างฝ่ายหนึ่ง อยากถามว่าในสนามแข่งขันจะเหลืออะไรไหม?

นายพสิษฐ์กล่าวเปรียบเทียบต่อว่า ในการแข่งขันฟุตบอลดังกล่าว นอกจากทีมฟุตบอล 2 ทีมแล้ว ยังมีคณะกรรมการ ประกอบ "หัวหน้ากรรมการ" และ "ไลน์แมน" นอกจากนี้ "หัวหน้ากรรมการ" ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ "ผู้จัดการสนาม" ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีหน้าที่เข้ามายุ่งกับเกมการแข่งขัน แต่ "ผู้จัดการสนาม" ก็ยังพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้คณะกรรมการตัดสินช่วยเหลือให้ทีมที่ตนเองชอบได้ถ้วยรางวัลไปครอบครอง

โดย "ผู้จัดการสนาม" สามารถเข้ามากำหนดการทำงานของคณะกรรมการได้ ก็เพราะ "ผู้จัดการสนาม" เคยมีบุญคุณต่อเนื่องกับ "หัวหน้ากรรมการตัดสิน" มาก่อน นอกจากนี้ ตัว "หัวหน้ากรรมการ" เอง ก็ยังอยากเลื่อนวิทยฐานะตนเองให้กลายเป็นเป็นบอร์ดบริหารของกรรมการสนามอีกด้วย

นายพสิษฐ์เล่านิทานเปรียบเทียบต่อว่า "ผู้จัดการสนาม" ได้พยายามทำทุกวิถีทาง โดยใช้ "มือวิเศษ" ช่วยเหลือทีมฟุตบอลที่ตนเองต้องการช่วย และใช้ "เท้าวิเศษ" กระทืบทีมฟุตบอลที่ตนเองไม่ชอบ ขณะที่ทีมอื่นๆ ที่เคยทำงานเชื่อมกับทีมฟุตบอลที่ "ผู้จัดการสนาม" ไม่ชอบ ก็จะถูกจัดการให้เข็ดหลาบไปด้วย จนต้องหันกลับไปทำงานเชื่อมกับทีมฟุตบอลที่ "ผู้จัดการสนาม" ชอบในท้ายที่สุด

อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าวต่อว่า ไม่ใช่เพียง "หัวหน้ากรรมการตัดสิน" เท่านั้น แต่ยังมี "ไลน์แมน" คนหนึ่ง ที่พูดจามีหลักเกณฑ์ และอยากเป็นใหญ่ พยายามประจบคณะกรรมการด้วยกัน รวมทั้ง "ผู้จัดการสนาม"

ดังนั้น "ผู้จัดการสนาม" จึงมีคนวิ่งทำงานให้ถึง 2 คนในสนามฟุตบอล นั่นคือ "หัวหน้ากรรมการ" และ "ไลน์แมน"

แต่ปัญหาในคณะกรรมการก็เกิดขึ้น เพราะ "หัวหน้ากรรมการตัดสิน" อยากเด่นคนเดียว "คณะกรรมการ" หรือ "ไลน์แมน" คนอื่น จึงต้องใช้ให้คนใกล้ชิด "หัวหน้ากรรมการ" ทำหน้าที่เป็นกาวใจหลายครั้ง กระทั่งเหตุการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นในหมู่คณะกรรมการเอง คนใกล้ชิด "หัวหน้ากรรมการ" ผู้นั้น ก็ยังถูก "คณะกรรมการ" อื่นๆ ร้องขอให้รับ "บทร้าย" เพื่อ "คณะกรรมการ" จะได้รับบทเป็นพระเอกเสียเอง

สำหรับการทำหน้าที่ของคณะกรรมการนั้น นายพสิษฐ์ระบุว่า "ผู้จัดการสนาม" ได้สั่งให้คณะกรรมการผู้ตัดสินปลดกัปตันทีมคนแรกของทีมที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลาออกจากตำแหน่ง ด้วยการไปหาความหมายของคำตามความต้องการของกรรมการเอง เมื่อกัปตันทีมคนแรกกระเด็นไป "ผู้จัดการสนาม" ก็วางแผนให้กัปตันทีมคนที่ 2 พ้นทาง รวมทั้งจัดการผู้เล่นทั้งหมดของทีมดังกล่าวด้วย จนต้องไปตั้งสโมสรกันใหม่

นอกจากนี้  "หัวหน้าคณะกรรมการ" และ "คนใกล้ชิด" ยังได้ไปนั่งคุยกับ "นักฟุตบอลอาวุโส" ให้มาช่วยเหลือทีมที่ "ผู้จัดการสนาม" ต้องการจะช่วยเหลือ จากนั้น "หัวหน้าคณะกรรมการ" จึงส่ง "คนใกล้ชิด" ไปพบกับกัปตันทีมของทีมที่ถูกช่วยเหลือ

นายพสิษฐ์กล่าวต่อว่า เมื่อทีมฟุตบอลที่ถูกช่วยได้ถ้วยไปครอบครองแล้ว ทีมฟุตบอลทีมนี้จะเล่นผิดกติกาอย่างไรก็ได้ มิหนำซ้ำ "หัวหน้ากรรมการ" ยังคอยหาจังหวะช่วยเหลือทีมฟุตบอลดังกล่าวอีก

"ในอนาคต ถ้าเล่นกันอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทีมที่ถูกแกล้งก็ต้องถูกกลั่นแกล้งตลอดไปชั่วกัปชั่วกัลป์หรือ? ทีมที่ได้รับการสนับสนุนก็จะถูกช่วยเหลือไปชั่วกัปชั่วกัลป์หรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น สนามกีฬาแห่งนี้จะพังแน่" อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าว

ในตอนท้ายของการปราศรัย นายพสิษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือ กรรมการอยากช่วยใครก็ช่วย ตามคำสั่งของ "ผู้จัดการสนาม" จึงอยากถามว่าเมื่อไหร่ "ผู้จัดการสนาม" จะหยุด และตอนนี้บ้านพักของกรรมการก็ไม่มีขื่อมีแปกันแล้ว เหลือเพียงแต่เสาค้ำ 4-5 ต้น

"วันนี้หูตาสว่างกันได้แล้ว ผมไม่กลัวตาย เขายิ่งไม่ให้มา ผมก็ยิ่งจะมา" นายพสิษฐ์กล่าวก่อนจะร้องเพลง "จงรัก" ปิดท้ายการปราศรัย

ที่มา.มคิชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

1ปี-คดียิง ฮิโรยูกิ.. เปิดคำให้การพยาน ในสำนวน ดีเอสไอ. ตายเพราะเจ้าหน้าที่

คอลัมน์ แฟ้มคดี


ครบรอบ 1 ปีพอดีเหตุการณ์ "10 เมษาเลือด" ซึ่งเป็นการปะทะกันครั้งแรกและครั้งรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่ม ผู้ชุมนุมเสื้อแดง บนถนนราชดำเนิน และอีกหลายจุดใกล้ๆ กัน

จากวันนั้น การนองเลือดลุกลามบานปลายไปจนถึง 19 พฤษภาคม

ในเหตุการณ์นั้นเกิดความสูญเสียมากมายทั้งฝ่ายทหาร และประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชน

ต่อมากลายเป็นคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ

การตายที่ดูเหมือนจะได้รับความสนใจ และมีผลกระทบในวงกว้างมากที่สุด ต้องยกให้กรณี "นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ" ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น

เพราะหลังเกิดเหตุรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาด้วยตัวเอง ขณะที่สถานทูตก็จี้คดีอย่างต่อเนื่อง

ในกาลต่อมา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ แถลงผลสอบสวนผู้เสียชีวิตรวม 89 ราย ในเหตุการณ์รุนแรงวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือตายด้วยฝีมือคนเสื้อแดง ตายโดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าใครลงมือ

รายของนายฮิโรยูกิ เป็น 1 ใน 13 ผู้เสียชีวิตที่ดีเอสไอสรุปว่าน่าจะเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อนส่งสำนวนทั้งหมดให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม

พรรคฝ่ายค้านโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย นำกรณีนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในฐานะผู้สั่งการ และเรียกร้องให้รับผิดชอบ

พร้อมกันนี้มีรายงานว่าฝ่ายทหารเองก็ไม่สบายใจกับผลสรุป 13 ศพของดีเอสไอ

ขณะเดียวกับทูตญี่ปุ่นก็เข้าทวงถามความคืบหน้าซ้ำอีกครั้ง พร้อมขู่ตอบโต้ทางการเมืองหากไม่สามารถหาผู้ก่อเหตุได้

ช่วงที่กำลังปั่นป่วนนี้เองตำรวจก็ส่งสำนวนนายฮิโรยูกิ คืนให้ดีเอสไอ โดยระบุว่าไม่พบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ!??

นายธาริต รีบรับลูกทันทีโดยระบุว่าจะสอบสวนเพิ่มเติม และหากไม่มีหลักฐานใหม่ก็จะพักคดีไว้ก่อน แต่อ้างว่าคดีมีอายุความถึง 20 ปี สามารถรื้อฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้!??

คำให้การพยานคดี"ฮิโรยูกิ"

สำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ ในคดีนายฮิโรยูกิ นอกจากจากชันสูตรศพโดยคณะแพทย์ชุดใหญ่แล้ว ยังมีคำให้การของพยานแวดล้อมที่อยู่ในนาทีเกิดเหตุด้วย

เริ่มจากคนแรก ร.ต.ท.อริย์ธัช อธิสุรีย์มาศ ร้อยเวรสน.พลับพลาไชย 1 เจ้าของคดีฆ่านาย ฮิโรยูกิ ระบุว่าวันเกิดเหตุได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองหลายรายจากโรงพยาบาลกลาง เมื่อตรวจสอบพบบัตรประจำตัวในศพชายผู้หนึ่งจึงทราบว่าคือนาย ฮิโรยูกิ นักข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์ จึงได้ร่วมกับแพทย์ชันสูตรพลิกศพและส่งศพไปผ่าตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ผลการตรวจศพพบว่านายฮิโรยูกิ เสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูงที่ทรวงอก ทำลายปอด หลอดเลือดแดงใหญ่



รายต่อมาคือ นายณัฐพงศ์ หรือ ม่อน โพธิยะ ให้การว่าเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 18.00 น. พยานพร้อมด้วย นายทศชัย เมฆงามฟ้า เดินทางจากแยกราชประสงค์มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว เห็นเจ้าหน้าที่ทหารผลักดันกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถนนตะนาว โดยได้ยินเสียงปืนเป็นระยะๆ

จนเวลาประมาณ 19.00 น. พยานและ นายทศชัย มาร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชา ธิปไตย โดยหลบอยู่หัวมุมถนนดินสอข้างรั้วโรงเรียนสตรีวิทยา พยานได้เห็นมีการยิงปืนจากทางกลุ่มทหาร จนเวลาประมาณ 20.00 น. พยานเห็นนายฮิโรยูกิ เดินออกมาจากแนวทหารมาอยู่ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา ขณะนั้นพยานเห็นนายฮิโรยูกิ ถูกยิงล้มลง และมีผู้ช่วยหามร่างออกมาทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานไม่เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้ยิงแต่เห็นแสงไฟลักษณะเหมือนออกจากปากกระบอกปืนออกมาจากกลุ่มทหาร

สอบตำรวจเห็นเหตุการณ์

พยานปากที่ 3 คือ ด.ต.ชาตรี อุตสาหรัมย์ ให้การว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้บันทึกภาพเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 20.00 น. มาสังเกตการณ์การชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงเข้าไปยืนหลบที่หลังต้นไม้บนทางเท้าก่อนถึงประตูโรงเรียนสตรีวิทยา และ ได้ยินเสียงปืนดังทีละนัดโดยต่อเนื่อง และห่างจากที่ยืนไปทางด้านหน้าประมาณ 50 เมตร เห็นทหารถืออาวุธปืนยาวในลักษณะเฉียงอาวุธอยู่แนวเดียวกับพยาน

ขณะนั้นพยานได้ยินเสียงดัง เหมือนของหนักหล่นกระแทกพื้นด้านหลัง เมื่อหันไปดูเห็นผู้สื่อข่าวต่างชาติทราบภายหลังว่า คือ นายฮิโรยูกิ แบกกล้องถ่ายวิดีโอขนาดใหญ่หงายหลังลงกับพื้นทางเท้าหันศีรษะไปทางรั้วโรงเรียนสตรีวิทยา พยานเข้าไปดูเห็นที่หน้าอกซ้ายของฮิโรยูกิ มีจุดรอยเลือดเล็กๆ และขยายใหญ่ขึ้น จึงทราบว่าถูกยิง จึงช่วยประคองลำตัวไว้บนตักและเรียกให้กลุ่มผู้ชุมนุมช่วยนำร่างออกไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

พยานไม่ทราบว่านายฮิโรยูกิ ถูกยิงจากทิศทางใด แต่แน่ใจว่าไม่ได้ถูกยิงมาจากอนุสาวรีย์ชัยประชาธิปไตย

ต่อมาคือพันเอกธรรมนูญ วิถี ให้การว่าได้รับคำสั่งจาก ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ร่วมปฏิบัติภารกิจขอคืนพื้นที่และเปิดเส้นทางการจราจรบนราชดำเนิน ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. ได้รับทราบจาก ผบ.พล. ว่ากำลังทหารที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ถนนตะนาว แยกคอกวัว ได้ถูกยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย ผบ.พล.จึงได้เรียกประชุมเพื่อวางแผนการถอนกำลัง เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จได้เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมากเกินไป

ขณะที่มีการเรียกประชุมมีระเบิดตกลงมาใกล้บริเวณที่นายทหารประชุมกันอยู่ สะเก็ดระเบิดถูกทหารได้รับบาดเจ็บหลายนายและ พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม และ สิบโทภูริวัฒน์ ประพันธ์ เสียชีวิต ส่วนพยานได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน มีระเบิดอีกลูกหนึ่งตกเข้าใส่กลุ่มทหารที่กำลังถอยร่นเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอีกหลายนาย กำลังพลจึงช่วยกันลำเลียงคนบาดเจ็บออกจากพื้นที่

พยานสั่งให้กำลังพลถอยกลับไปที่แยกสะพานวันชาติ ขณะที่ทหารถอนกำลังนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์เสื้อแดง ได้รุกไล่ติดตามเข้ามารุมทำร้ายโดยตลอด ในระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงปืนประปรายแต่ไม่ทราบว่ายิงมาจากฝ่ายใด จนกระทั่งได้มีการประสานกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างหยุดการกระทำ เหตุการณ์จึงได้สงบลง พยานให้การว่าเห็นนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ครั้งสุดท้ายขณะทำข่าวอยู่ที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา เมื่อช่วงเวลาเย็นและค่ำของวันเกิดเหตุ

หน่วยกู้ชีพให้รายละเอียด

นายขวัญชัย ศรีวิเวก หน่วยกู้ชีพ ให้การว่า มีอาชีพรับจ้างเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง แผนกบรรเทาสาธารณภัย ตามวันเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่บริเวณแยกคอกวัวและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ขณะที่กำลังปฐมพยาบาลและดูแลผู้บาดเจ็บก่อนนำส่งโรงพยาบาลอยู่นั้น เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ช่วยกันอุ้มร่างนายฮิโรยูกิ มาจากทางด้านถนนดินสอฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา นำส่งขึ้นรถกู้ภัยจึงปฐมพยาบาลและตรวจดูอาการเบื้องต้น พยานคาดว่านาย ฮิโรยูกิ น่าจะเสียชีวิตก่อนนำส่งรถกู้ชีพ โดยพยานได้นำตัวนายฮิโรยูกิส่งต่อที่โรงพยาบาลกลาง เมื่อเวลาประมาณ 21.15 น.

นายสรณคมน์ บัวพึ่งน้ำ นักข่าวอาชญากรรมหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ให้การว่าทำข่าวการชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ จนกระทั่งเวลา 14.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมถูกทหารขับไล่จนถอยร่นไปรวมตัวกันอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวาน จากนั้นเวลาประมาณ 19.50 น. พยานและกลุ่มผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติกำลังทำข่าวอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีเฮลิคอปเตอร์ของทหารบินมาโปรยแก๊สน้ำตาไปทั่วบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ต่อมาเวลาประมาณ 21.10 น. พยานเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมมีสัญลักษณ์ผ้าสีแดงโพกหัวและพันคอ จำนวน 3 คน อุ้มร่างของผู้ชายคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่าคือนายฮิโรยูกิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ออกมาจากถนนดินสอส่งขึ้นรถพยาบาล

ความเห็นพนักงานสอบสวน

ในตอนท้ายของสำนวนการสอบสวน สรุปความเห็นของพนักงานสอบสวนระบุว่า ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 21.00 น. ขณะที่นายฮิโรยูกิ กำลังทำข่าวการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ในเวลานั้นมีเหตุชุลมุนทำให้เจ้าหน้าที่ททหารและผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก โดยนายฮิโรยูกิ เข้าไปทำข่าวอยู่ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ทหาร จนถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงไม่ทราบขนาดเข้าบริเวณหน้าอกซ้าย ทะลุกล้ามเนื้อใต้รักแร้ออกทางต้นแขนขวาด้านหลัง มีผู้นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษปรากฏจากคำให้การของของ ด.ต.ชาตรี อุตสาหรัมย์ ให้การยืนยันว่านายฮิโรยูกิ ผู้ตายยืนอยู่ห่างจากพยานประมาณ 1 เมตร โดยยืนยันว่าทิศทางกระสุนปืนที่ยิงถูกนายฮิโรยูกิ ไม่ได้มาจากด้านกลุ่มผู้ชุมนุม และจากคำให้การของนาย ณัชพงศ์ หรือม่อน โพธิยะ ยืนยันว่าขณะเกิดเหตุเห็นนายฮิโรยูกิ ถูกยิง ล้มลงโดยเห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนจากทางเจ้าหน้าที่ทหาร

ประกอบกับเอกสารภาพจากวิดีโอคลิปจากกล้องของนายฮิโรยูกิ ซึ่งถ่ายก่อนจะถูกยิงเสียชีวิต คือเวลา 20.57 น. ถ่ายภาพเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่บริเวณเดียวกัน โดยถ่านเห็นด้านข้างซึ่งจะต้องหันหน้าไปทางแนวเจ้าหน้าที่ทหารเช่นเดียวกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งสอดคล้องกับบาดแผลของผู้ตาย

ทางคดีมีพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีทั้งปวง มีข้อเท็จจริงและเหตุผลพอสมควรเข้าข่ายน่าเชื่อว่าการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงเห็นควรส่งเรื่องกลับไปให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีความอาญามาตรา 150 เพื่อให้มีการไต่สวนของศาลต่อไป

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////