“หุบปาก แล้วไปเลือกตั้ง - Vote No” !!!
การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย (ที่แท้จริง)
แน่นอนที่สุด, ผู้คนต้องไปเลือกตั้งผู้แทน ที่เขาเห็นว่าดีที่สุด
ถึงแม้จะรู้ว่า ‘คนที่เขาเลือก จะไม่ได้รับเลือกตั้ง’ ก็ตาม !!!
แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย (แบบของปลอม)
ถ้าจะต้องเลือกใครสักคน ก็คงจะเลือกคนที่ให้คำมั่นสัญญาน้อยที่สุด เพื่อที่ว่า จะได้ผิดหวังน้อยที่สุด???
...
เกมส์เลือกตั้งระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน จะเป็นไปอย่างไร – สุดท้ายจะก็ต้องมีผู้แพ้ และผู้ชนะ
แต่มีอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เลือกเล่นเกมส์ที่มีแต่ได้ – ไม่มีเสีย, โดยไม่สนใจว่า ‘พันธมิตร’ พี่น้องเอ๋ยยย... จะจากหายไป ทีละคนสองคน
ยิ่งเชียร์ให้ Vote No มากเท่าไหร่ – จำนวนผู้ออกไปใช้สิทธิ์ในครั้งนี้โดยรวม ก็น่าจะเพิ่มมากขึ้น
เพราะหนึ่ง ; ออกไปเลือก Vote No ตามที่ พธม.ว่ามา, สอง ; ออกไปลงคะแนน ให้กับพรรคที่ตัวเองชอบ เพื่อสู้กับเสียง Vote No
เพราะกลัวว่า เสียง Vote No จะมาแย่งฐานคะแนนเสียงเก่าของตน – จนอาจทำให้แพ้พลิกล็อกก็ได้
เพราะคนที่กลัวเสียง Vote No ก็คือ “พวกที่เคยชนะ-หรือแพ้มาแบบสูสี”, เที่ยวนี้คงต้องเหนื่อยหนักยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา
แต่เสียงชาวบ้าน “ที่ไม่เคยไปเลือกตั้ง” – “ทำอย่างไรพวกเขา ก็ไม่ไปใช้สิทธิ์” - - จะ Vote No หรือ No Vote ก็ไม่ต่างกัน
ส่วน ส.ส.เจ้าของพื้นที่ “ที่ไม่เคยแพ้” การเลือกตั้ง, งานนี้ก็คงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร (เหมือนกับทุกครั้งทีผ่านมา)
เพราะเขาย่อมรู้ดีว่า เสียงที่เลือกพวกเขา มาจากคนกลุ่มไหน – ต้องจ่ายเท่าไร
และยังรู้ด้วยว่า “คนที่ไม่ออกไปเลือกตั้ง คือ คนกลุ่มไหน, เพราะเหตุอะไร” !!!
(พูดไปทำไมมี – พูดไปไม่ได้ประโยชน์อะไร หุบปากไว้ดีกว่า !!!)
เรื่องอื่นๆ ในบ้านเมืองนี้ ก็เช่นเดียวกัน
เรื่องปัญหาจราจร – คนที่รู้จริง ก็คือ ตำรวจจราจรในพื้นที่นั้นๆ
เรื่องทหารจะทำรัฐประหาร หรือไม่, คนที่รู้ดี ก็คือ ทหารที่กุมอำนาจอยู่ในขณะนั้น
เรื่องประชาธิปไตย, คนที่รู้ดี ก็คือ นักวิชาการที่ (มุดหัว-หุบปาก) อยู่ในสังคมนั้น
มันก็เป็นเช่นนี้แล, “หุบปาก แล้วไปเลือกตั้ง” !!!
โดย.Schopenhauer"
//////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
ประณามประเทศไทยใช้ระเบิดดาวกระจายในกัมพูชา
องค์กรต่อต้านการใช้ระเบิดดาวกระจาย ประณามประเทศไทยว่าใช้ระเบิดดาวกระจายในกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาห้ามใช้ระเบิดดาวกระจาย

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่กรุงเจนีวา องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายเผยว่า จากการลงสำรวจพื้นที่สรุปได้ว่าประเทศไทยเคยใช้ระเบิดดาวกระจายตามแนวตะเข็บชายแดนกัมพูชาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน ทั้งระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทยที่เข้าร่วมการประชุมกับองค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายก็ยืนยันว่ามีการใช้ระเบิดดากระจายจริง
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายระบุว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระเบิดดาวกระจายหลังจากที่มีสนธิสัญญาห้ามใช้ระเบิดดาวกระจาย พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายได้กล่าวประณามไทยที่ใช้ระเบิดดาวกระจายและเรียกร้องร้องให้ไทยและกัมพูชาให้คำมั่นว่าจะไม่มีการใช่ระเบิดชนิดนี้อีกในอนาคต และเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาห้ามใช้ระเบิดดาวกระจาย”
“เป็นเรื่องน่าตกใจที่มีประเทศหนึ่งประเทศใดใช้ระเบิดดาวกระจายภายหลังจากที่มีสนธิสัญญาห้ามการใช้อาวุธชนิดนี้แล้ว” ลอร่า ชิสแมน ผู้อำนวยการองค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายกล่าว และว่า “ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำในการต่อต้านการใช้ระเบิดสังหารบุคคล จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่ประเทศไทยจะใช้อาวุธที่สังหารและก่อความบาดเจ็บแก่บุคคลอย่างไม่เลือกหน้าเช่นนี้”
ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมานั้นทูตไทยประจำองค์การสหประชาชาติยืนยันว่ามีการใช้ระเบิดดาวกระจายแบบทวิประสงค์ ขนาด 155 มิลลิเมตร โดยให้เหตุผลว่าไทยใช้ระเบิดชนิดดังกล่าวในการ “ป้องกันตนเอง” โดยยึดหลัก “ความจำเป็น, ความได้สัดส่วน และเป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมทางการทหาร” และกล่าวหาว่าฝ่ายกัมพูชาใช้จรวดจำนวนมากโดยมุ่งประสงค์ต่อพลเรือนในพื้นที่ประเทศไทย

ซิสเตอร์เดนิส ค็อกแลน ผู้นำขององค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายซึ่งได้เข้ามาร่วมสำรวจพื้นที่กล่าวว่า “ระเบิดดาวกระจายได้คร่าชีวิตชาย 2 คน อีก 2 คนสูญเสียแขน และยังมีพลเรือนอีก 5 คนที่ได้รับบาดเจ็บ บริเวณนี้ต้องถูกเคลียร์พื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่จะมีมากขึ้น กัมพูชาจะต้องให้ความสนับสนุนเพื่อทำให้แน่ใจว่าพื้นที่นี้ปลอดภัยต่อพลเรือน”
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายยังเรียกร้องให้ประเทศไทยให้ข้อมูลรายละเอียดซึ่งรวมถึงพื้นที่ทั้งหมดที่มีการใช้ระเบิดชนิดดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลเตือนภัยในระดับที่เพียงพอและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการเก็บกู้ระเบิด
ทั้งนี้ ประเทศกัมพูชาและประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านการใช้ระเบิดดาวกระจายซึ่งมีสมาชิกร่วมลงนามแล้ว 108 ประเทศ แต่ทั้งสองประเทศได้ร่วมในกระบวนการเจรจาที่กรุงออสโล และยังได้เข้าร่วมในการประชุมประเทศภาคีครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศลาวเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ระเบิดดาวกระจาย, ภาพจาก New Mandala
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่กรุงเจนีวา องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายเผยว่า จากการลงสำรวจพื้นที่สรุปได้ว่าประเทศไทยเคยใช้ระเบิดดาวกระจายตามแนวตะเข็บชายแดนกัมพูชาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน ทั้งระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทยที่เข้าร่วมการประชุมกับองค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายก็ยืนยันว่ามีการใช้ระเบิดดากระจายจริง
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายระบุว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระเบิดดาวกระจายหลังจากที่มีสนธิสัญญาห้ามใช้ระเบิดดาวกระจาย พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายได้กล่าวประณามไทยที่ใช้ระเบิดดาวกระจายและเรียกร้องร้องให้ไทยและกัมพูชาให้คำมั่นว่าจะไม่มีการใช่ระเบิดชนิดนี้อีกในอนาคต และเข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาห้ามใช้ระเบิดดาวกระจาย”
“เป็นเรื่องน่าตกใจที่มีประเทศหนึ่งประเทศใดใช้ระเบิดดาวกระจายภายหลังจากที่มีสนธิสัญญาห้ามการใช้อาวุธชนิดนี้แล้ว” ลอร่า ชิสแมน ผู้อำนวยการองค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายกล่าว และว่า “ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำในการต่อต้านการใช้ระเบิดสังหารบุคคล จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่ประเทศไทยจะใช้อาวุธที่สังหารและก่อความบาดเจ็บแก่บุคคลอย่างไม่เลือกหน้าเช่นนี้”
ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมานั้นทูตไทยประจำองค์การสหประชาชาติยืนยันว่ามีการใช้ระเบิดดาวกระจายแบบทวิประสงค์ ขนาด 155 มิลลิเมตร โดยให้เหตุผลว่าไทยใช้ระเบิดชนิดดังกล่าวในการ “ป้องกันตนเอง” โดยยึดหลัก “ความจำเป็น, ความได้สัดส่วน และเป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมทางการทหาร” และกล่าวหาว่าฝ่ายกัมพูชาใช้จรวดจำนวนมากโดยมุ่งประสงค์ต่อพลเรือนในพื้นที่ประเทศไทย
การสำรวจพื้นที่ขององค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจาย
ในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนเมษายนปีนี้ สมาชิกขององค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายได้ลงสำรวจพื้นที่ซึ่งอาจมีการใช้ระเบิดดาวกระจายในกัมพูชาโดยรอบเขาพระวิหาร และพบระเบิดดาวกระจายทั้งที่ยังไม่มีการระเบิด และชิ้นส่วนที่เกิดจากการระเบิดของระเบิดชนิดนี้ องค์กร Norwegian People’s Aid ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในไทยยืนยันว่าพบระเบิดดาวกระจายชนิด M42, M46 และ M85
อัทเล คาร์เซ็น จากองค์กร Norwegian People’s Aid กล่าวว่า มีประชากรราว 5,000 คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเสนเจย ในเขตกัมพูชาซึ่งต้องเสี่ยงต่อระเบิดเหล่านี้ และย้ำว่าไทยต้องให้ข้อมูลเพื่อช่วยในการเคลียร์พื้นที่เหล่านี้ให้ปลอดภัยสำหรับพลเรือนเพื่อให้พวกเขาได้กลับบ้านซิสเตอร์เดนิส ค็อกแลน ผู้นำขององค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายซึ่งได้เข้ามาร่วมสำรวจพื้นที่กล่าวว่า “ระเบิดดาวกระจายได้คร่าชีวิตชาย 2 คน อีก 2 คนสูญเสียแขน และยังมีพลเรือนอีก 5 คนที่ได้รับบาดเจ็บ บริเวณนี้ต้องถูกเคลียร์พื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่จะมีมากขึ้น กัมพูชาจะต้องให้ความสนับสนุนเพื่อทำให้แน่ใจว่าพื้นที่นี้ปลอดภัยต่อพลเรือน”
องค์กรต่อต้านระเบิดดาวกระจายยังเรียกร้องให้ประเทศไทยให้ข้อมูลรายละเอียดซึ่งรวมถึงพื้นที่ทั้งหมดที่มีการใช้ระเบิดชนิดดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลเตือนภัยในระดับที่เพียงพอและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการเก็บกู้ระเบิด
ทั้งนี้ ประเทศกัมพูชาและประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านการใช้ระเบิดดาวกระจายซึ่งมีสมาชิกร่วมลงนามแล้ว 108 ประเทศ แต่ทั้งสองประเทศได้ร่วมในกระบวนการเจรจาที่กรุงออสโล และยังได้เข้าร่วมในการประชุมประเทศภาคีครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศลาวเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554
ไสม้า..ชิชะ ท้าเขาเหยง..เหยง!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำงานบ่เป็น...ดี๊ดีแต่ปากเก่ง??
จนปัญญา สิ้นความสามารถ เข็นผลงาน ออกมาโชว์ออฟ ให้ชาวบ้านได้เห็น
หวังใช้ “ภาพลวงตา” โดยประกาศท้า “ดีเบต” กับ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”ทุกเช้าเย็น
แต่พอเจอคนจริง “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” สส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ สายพันธมิตร ..ลุกขึ้นมาท้าสวน ให้ “อภิสิทธิ์”ลาจากเก้าอี้นายกฯ..ตนเองพร้อมลาออกจาก สส...ปรากฏว่าที่ท้าเขาไปทั้งแผ่นดิน ศรีษะหด!!!
ใจกล้าดีแต่ท้าพรรคเพื่อไทย...พอถูกลูกพรรคท้าทาย?..กลับสวมหัวใจมด??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตามล้างตามเช็ด!!!
เรื่องนี้ “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” สส.นครราชสีมา ประธานกรรมาธิการการทหาร..ประกาศก้อง ตามแกะรอย ให้รู้ความจริงกันอย่างเบ็ดเสร็จ??
ฝ่ายทหาร?..เบิกกระสุน “สไนเปอร์” ๒พันกว่านัด..ช่วงสลายทำลาย “ม๊อบแดง”.. จนคนตาย ๙๑ศพ เจ็บอีกเป็นเบือ
แต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ..แย้มโอษฐ์ ทหารใช้กระสุนยางยิง?..ใครจะเชื่อ
ดังนั้น,เมื่อความจริงยังไม่แตกโพละ “พ.ต.ท.สมชาย” ก็ไม่รามือ ต้องลากคนสั่งการ มาลงโทษอย่างจั๋งหนับ!!!
“พ.ต.ท.สมชาย”จึงขอเตือน...ใครจะกลบเกลื่อน?..ทั้งที่มือเปื้อนเลือด คงไม่ได้ดอกครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาแรง “เบรก”ไม่หยุด!!
ถือเป็น “คนกลาง” ที่รับได้ ..สำหรับ “ท่าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขามูลนิธิชัยพัฒนา ที่กล่าวกันว่า เป็นสุภาพบุรุษ??
หากการเมืองเกิดสุญญากาศ ไม่มีเลือกตั้ง
จับตา “ท่านสุเมธ” จะเป็นอัศวินม้าขาว เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนกลาง”
โดย “ดร.สุเมธ” เข้าได้ทุกสี.. “ฝ่ายทหาร” ก็เปิดแขนอ้ารับ เพื่อพาชาติให้พ้นวิกฤติ!!
บัญชีนายกฯคนต่อไป... “มาร์ค”เป็นคนล้มละลาย?..ชื่อหดหาย เริ่มไม่เข้ารอบสักนิด??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนอยู่ระหว่าง “เขากระทิง”!!!
“พิษณุโลก””” เขตเลือกตั้ง ของ “เสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที เป็นที่ต้องแย่งชิง??
“ไก่” จุติ ไกรฤกษ์ ไม่กล้าปล่อยมือ..โอกาสสอบตกจาก สส. มีอยู่ทุกเมื่อ
ยิ่งตอนนี้ “ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สร้างผลงานมีแต่คนเบื่อ
ทำให้ “รัฐมนตรีไก่” ต้องเร่งลงพ้นที่ทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ มิได้ขาด เชียวแล!!!
ขนาดลงไปพบชาวบ้าน....เสียงที่เขาลือลั่น?...เลือกตั้งนั้น “รัฐมนตรีไก่”มีลางแพ้??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “จอมประท้วง”ที่รกสภา..รกโลก??
ดีแต่ลุกขึ้นประท้วง.. ผลงาน ของ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” สส.ประชาธิปัตย์ ราคาสายตาชาวบ้าน จึงต๊ก..ตก??
ด้วยคุณภาพเป็นคนน้ำใหม่ ..น่าจะเป็น “ดาวสภา” นักอภิปรายตัวยงที่ดี
รับบท “ไม้ประดับ” ลุกประท้วงยันเต้ จึงมีแต่เสียงยี้
พอถึงสมัยเลือกตั้ง “สส.บุญยอด” จะลงเลือกตั้งที่เขตหลักสี่ คนจนพากันเมินเสร็จสรรพ
ยิ่ง “สมชาย ไพบูลย์” นปช.รุ่น๒ผู้ใจเย็น..เขาประกาศจองเวร?..ตามเล่นถึงสนามเลือกตั้ง เชียวนะครับ????
ที่มา.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
จนปัญญา สิ้นความสามารถ เข็นผลงาน ออกมาโชว์ออฟ ให้ชาวบ้านได้เห็น
หวังใช้ “ภาพลวงตา” โดยประกาศท้า “ดีเบต” กับ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”ทุกเช้าเย็น
แต่พอเจอคนจริง “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” สส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ สายพันธมิตร ..ลุกขึ้นมาท้าสวน ให้ “อภิสิทธิ์”ลาจากเก้าอี้นายกฯ..ตนเองพร้อมลาออกจาก สส...ปรากฏว่าที่ท้าเขาไปทั้งแผ่นดิน ศรีษะหด!!!
ใจกล้าดีแต่ท้าพรรคเพื่อไทย...พอถูกลูกพรรคท้าทาย?..กลับสวมหัวใจมด??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตามล้างตามเช็ด!!!
เรื่องนี้ “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” สส.นครราชสีมา ประธานกรรมาธิการการทหาร..ประกาศก้อง ตามแกะรอย ให้รู้ความจริงกันอย่างเบ็ดเสร็จ??
ฝ่ายทหาร?..เบิกกระสุน “สไนเปอร์” ๒พันกว่านัด..ช่วงสลายทำลาย “ม๊อบแดง”.. จนคนตาย ๙๑ศพ เจ็บอีกเป็นเบือ
แต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ..แย้มโอษฐ์ ทหารใช้กระสุนยางยิง?..ใครจะเชื่อ
ดังนั้น,เมื่อความจริงยังไม่แตกโพละ “พ.ต.ท.สมชาย” ก็ไม่รามือ ต้องลากคนสั่งการ มาลงโทษอย่างจั๋งหนับ!!!
“พ.ต.ท.สมชาย”จึงขอเตือน...ใครจะกลบเกลื่อน?..ทั้งที่มือเปื้อนเลือด คงไม่ได้ดอกครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาแรง “เบรก”ไม่หยุด!!
ถือเป็น “คนกลาง” ที่รับได้ ..สำหรับ “ท่าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขามูลนิธิชัยพัฒนา ที่กล่าวกันว่า เป็นสุภาพบุรุษ??
หากการเมืองเกิดสุญญากาศ ไม่มีเลือกตั้ง
จับตา “ท่านสุเมธ” จะเป็นอัศวินม้าขาว เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนกลาง”
โดย “ดร.สุเมธ” เข้าได้ทุกสี.. “ฝ่ายทหาร” ก็เปิดแขนอ้ารับ เพื่อพาชาติให้พ้นวิกฤติ!!
บัญชีนายกฯคนต่อไป... “มาร์ค”เป็นคนล้มละลาย?..ชื่อหดหาย เริ่มไม่เข้ารอบสักนิด??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนอยู่ระหว่าง “เขากระทิง”!!!
“พิษณุโลก””” เขตเลือกตั้ง ของ “เสี่ยไก่” จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที เป็นที่ต้องแย่งชิง??
“ไก่” จุติ ไกรฤกษ์ ไม่กล้าปล่อยมือ..โอกาสสอบตกจาก สส. มีอยู่ทุกเมื่อ
ยิ่งตอนนี้ “ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สร้างผลงานมีแต่คนเบื่อ
ทำให้ “รัฐมนตรีไก่” ต้องเร่งลงพ้นที่ทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ มิได้ขาด เชียวแล!!!
ขนาดลงไปพบชาวบ้าน....เสียงที่เขาลือลั่น?...เลือกตั้งนั้น “รัฐมนตรีไก่”มีลางแพ้??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “จอมประท้วง”ที่รกสภา..รกโลก??
ดีแต่ลุกขึ้นประท้วง.. ผลงาน ของ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” สส.ประชาธิปัตย์ ราคาสายตาชาวบ้าน จึงต๊ก..ตก??
ด้วยคุณภาพเป็นคนน้ำใหม่ ..น่าจะเป็น “ดาวสภา” นักอภิปรายตัวยงที่ดี
รับบท “ไม้ประดับ” ลุกประท้วงยันเต้ จึงมีแต่เสียงยี้
พอถึงสมัยเลือกตั้ง “สส.บุญยอด” จะลงเลือกตั้งที่เขตหลักสี่ คนจนพากันเมินเสร็จสรรพ
ยิ่ง “สมชาย ไพบูลย์” นปช.รุ่น๒ผู้ใจเย็น..เขาประกาศจองเวร?..ตามเล่นถึงสนามเลือกตั้ง เชียวนะครับ????
ที่มา.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ล้วงลึก"สาวนักสืบ"ปราบกิ๊ก-ล่าเมียน้อย ทึ่ง!ราชการหญิงใกล้เกษียณ ซุก"ชู้หนุ่ม" ไว้เลี้ยงดูเพียบ!
ภายหลังจากที่สำนักข่าวเอเอฟพี ได้อ้างข้อมูลชายไทยนิยมมีภรรยาน้อยมากขึ้นและไม่ได้มีเพียงแค่เพียงคนเดียว แต่กลับมีภรรยาน้อย หรือกิ๊กมากถึง 2-3 คน ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ อำนวยพร มณีวรรณ์ นักสืบเอกชนหญิงชาวไทย มาเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2554 นั้น
อำนวยพร หรือพี่กุ้ง เผยว่า จากประสบการณ์ในการตามสืบกิ๊ก ควานหาชู้ของเธอ พบว่า ในส่วนของคนที่เป็นข้าราชการจะนอกใจคู่สมรสของตัวเองเยอะมากๆ (น้ำเสียงเน้นย้ำ) ส่วนใหญ่ชู้หรือกิ๊กก็จะอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หากเป็นข้าราชการฝ่ายชายก็จะนิยมมีเมียน้อย มีกิ๊กที่เป็นหญิงสาววัยอ่อนกว่ามาก ที่น่าสนใจคือ ข้าราชการหญิงที่มาอายุในวัยใกล้เกษียณ ก็มักคบผู้ชายเด็กกว่า ซุกซ่อนในสำนักงาน คอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้เงินทุกอย่าง กลับบ้านดึกๆ ออกนอกบ้านไปงานนู้น งานนี้ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้สามีของเขาก็เกิดความหวาดระแวงให้ตามสืบ เรียกว่า ต่างคนต่างสงสัย พอๆกัน ก้าวออกจากบ้านไป ก็ไว้ใจใครกันไม่ได้เลย

วิธีการ "สืบ" ของพี่อำนวยพรนั้น เธอเผยว่า ทำกันเป็นทีมงานมีหลายคน ตามสืบหลายเรื่อง หลากรูปแบบ ซึ่งตัวหลักก็จะเป็นตัวเธอเอง เริ่มต้นมาจากที่มีผู้มาใช้บริการที่มีปัญหาในความสัมพันธ์โทรมาคุยก่อน หรือเข้ามาหาที่สำนักงานเลย เมื่อคุยตกลงแล้ว เขาก็จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคู่รักเขาเองว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำงานที่ไหน ไปที่ใดบ่อย ตารางเวลาในการไปนู่นมานี่เป็นอย่างไร บอกเล่ารูปพรรณสัณฐาน เอารูปมาให้ดู เป็นต้น ที่สำคัญต้องดูว่า เขามีเรื่องตบตี หรือตามสืบกันมาเองก่อนหน้านี้หรือเปล่า จากนั้นทางเราก็จะมีการวางแผนก่อน ว่าจะเริ่มตาม เริ่มสืบจากตรงไหน ก็จะจัดคนให้เหมาะกับการตามสืบในเรื่องนั้นๆ ว่าทีมงานคนนั้น คนนี้ ถนัดในรูปแบบไหน ซึ่งบางครั้งมันต้องมีการปลอมตัว มีอุปกรณ์ในการสืบหลากหลายไป ที่ขาดไม่ได้คือ กล้องถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง หรือวิดีโอ จีพีเอส ต้องเลือกให้ต่างกันไปตามสถานการณ์ กล้องอาจจะเป็นกล้องตัวเล็ก กล้องรูเข็ม กล้องปากกา เครื่องอัด เครื่องดักฟัง
การตามสืบนั้นต้องมีการเตรียมพร้อม เอาอุปกรณ์ไว้ตรงไหน เป้าหมายพิกัดที่ใด ต้องรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน มีปฏิภาณ ไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอด มีความพริ้วไหว คล่องแคล่ว ขาดไม่ได้คือ ต้อง นิ่ง มีสติ ไม่วู่วาม หรือตื่นตระหนก ซึ่งทีมงานของเราก่อนเข้ามาทำตรงนี้ก็จะต้องได้รับการฝึกมาอย่างดี ถึงจะลงพื้นที่ปฏิบัติการตามสืบ

หลักฐานเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอประกอบได้ว่า บุคคลนั้นๆ มีชู้ มีกิ๊ก ซุกเมียน้อย ?
นักสืบสาวในวัย 42 ปี บอกว่า ก็ติดตามดูจากพฤติกรรมการแสดงออกกับคนที่เป้าหมายอยู่ด้วยนั่นล่ะ ถ้ามีการจับมือ ถือแขน กอดจูบ ลูบคลำ ไปกินข้าว ดูหนัง แสดงออกทางกายในลักษณะที่ไม่น่าจะใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันธรรมดาแน่ๆ เราก็ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ แต่ในกรณีถ้าเขาไปด้วยกัน เรื่องการจดจำทะเบียนรถ หรือลู่ทางในการติดตาม ไปยังบ้าน คอนโด โรงแรม ก็ต้องวางแผนให้ดี แต่คงไม่ต้องถึงขนาดไปเจาะผนังเพื่อส่องดูว่าเขาทำอะไรกันหรอกนะ (หัวเราะ)
ใช่ว่า แต่เพียงคนไทยในแดนสยามทั้งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดเท่านั้นที่มาจ้าง พี่อำนวยพรให้สืบหาชู้ หากิ๊ก แต่ คนไทยในเมืองนอกก็มีจำนวนไม่น้อยที่ออนไลน์ สายตรงมาให้สืบหาความจริงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีคนต่างชาติมาใช้บริการไม่ได้หยุดหย่อน ซึ่งบางครั้งพี่อำนวยพรเองก็ต้องบินไปสืบถึงเมืองนอก เรียกว่า แอดวานซ์ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ "คุยกับนักสืบ" ในเว็บไซต์ http://www.decha.com/ ซึ่งเป็นของสำนักงานของเธอเอง ที่เปิดให้บุคคลมาพูดคุย ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่อันหลากหลายอีกด้วย

"จริงๆ งานแบบนี้ตื่นเต้น และสนุกมากนะ โดยเฉพาะกับเคสที่ลูกค้าให้มาแต่รูปถ่ายสามี ที่เป็นภาพเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว คือมันลุ้น เวลาเราไปตามหาเป้าหมาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เราไม่เคยเห็นหน้า ต้องสังเกตรูปพรรณ สัณฐาน ลักษณะเฉพาะบุคคลนั้นๆให้ได้ จากรูปถ่ายเก่าๆ ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่ลูกค้าให้มาก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงซักทีเดียว เราก็ต้องพยายามตามสืบจนหาเป้าหมายและการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้ ต้องสังเกตหมด ทั้งรูปหน้า ใบหน้า ทรงผม บุคคลิก การแต่งตัว ยิ่งชาวต่างชาตินี่ยากเลย เพราะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด แต่เราต้องสืบหาให้ได้ และเราก็จะลุ้นระทึกไปตลอด คนนั้นใช่มั้ย คนนี้ใช่มั้ย "
เห็นการตามสืบอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจังขนาดนี้ หลายคนคงอยากทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการ สืบชู้ ล่ากิ๊ก นี้ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ พี่กุ้งบอกว่า ถ้าให้ตามสืบ ในระยะเวลา 7 วัน สนนราคาอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท หรือเฉลี่ยวันละ 5,000 บาท อันนี้เป็นกรณีการสืบติดตามพฤติกรรมแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ได้หวือหวามาก แต่ถ้าเป็นการสืบแบบที่ซับซ้อนมาก เนื่องจากเป้าหมายเป็นพวกที่ไม่ธรรมดา มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีคนคุ้มกัน เข้าถึงตัวได้ยาก ต้องมีการเตรียมการมาอย่างดี ใช้กำลังคนมาก ก็จะตกอยู่ที่ ราคา 3-4 หมื่นบาท ต่อวัน คือสาเหตุที่ต้องราคาสูงขนาดนี้ในการตามสืบ ก็เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เสี่ยงมากๆ ไม่ค่อยมีคนทำกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความแยบยล ต้องไม่ทำให้ใครสงสัย จับได้ ไม่งั้นทุกอย่างจบ
"เราไม่ทำตัวว่ารู้มาก ให้ข้อมูลมาแค่ไหน ก็แค่นั้น บางคนที่ให้สืบสามี หรือภรรยา เขาไม่ได้มาคุยด้วยตัวเองตรงๆ ใช้ให้คนอื่นมาคุยแทนก่อน ซึ่งเขาอาจอายด้วยชื่อเสียง หน้าตาทางสังคม แต่พอต้องติดต่อกันมากขึ้น เขาก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน จรรยาบรรณของเราก็ไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผยอยู่แล้ว และไม่คิดจะไปละลาบละล้วงเรื่องอะไรของเขาด้วย การทำอาชีพนักสืบ ไม่เพียงแต่จะสืบสิ่งที่เขาอยากรู้เพียงเท่านั้นนะ หลายๆครั้งเรายังต้องเป็นที่ปรึกษา คอยแก้ไขปัญหา เป็นศิราณีให้เขาอีกด้วย(หัวเราะ) บางคนก็โทรมาหา ปรึกษาเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในปัญหาชีวิตให้เราฟังมากกว่า บางครั้งไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ"
"สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้" สโลกแกนที่ พี่อำนวยพรตั้งไว้ เธอบอกว่า การสืบหากิ๊ก ไล่ล่าชู้นั้น เป็นการคลายเรื่องค้างคา ความสงสงสัยของคนที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เรื่องที่หาทางออก หรือลงมือด้วยตัวเองในการล่าหาความจริงไม่ได้ เขาจึงไว้วางใจนักสืบ ซึ่งก็มีหลายคนถามว่า การทำแบบนี้ จะทำให้คู่รัก ครอบครัวเขาแตกแยกหรือเปล่า แต่เมื่อตนมาเทียบกับกระแสตอบรับที่มีคนมาใช้บริการแล้วประสบความสำเร็จ ก็รู้ว่า การทำแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นการช่วยเหลือคนมากกว่า ซึ่งการที่ตนตั้งสำนักงานตามสืบพวกชู้ พวกกิ๊ก เมียน้อยทั้งหลายแหล่แทนที่จะลดลง แต่เปล่าเลย พบว่า ปัจจุบันคนนอกใจคู่ของตนเองกลับเพิ่มมากขึ้นในปริมาณมาก
"ไม่รู้ว่า เป็นเพราะโลกมันจะวิบัติ โลกจะแตกหรือเปล่านะ คน 2 คนคุยกันไม่รู้เรื่อง ความซื่อสัตย์ต่อคนรักก็ลดน้อยลง บางครั้งคู่รักที่มีปัญหากันมันก็มาจากหลายๆ สาเหตุ เราไม่รู้ว่า เขามีปัญหาอะไรกัน อีกอย่างการออกไปทำงานนอกบ้าน ได้พบปะผู้คน เจอสังคมใหม่ๆ ความใกล้ชิด สนิทสนม ก็อาจทำให้จิตใจของคนเปลี่ยนแปลง พลั้งเผลอไปได้ บางคู่ไม่เข้าใจกัน ก็ไปหาคนอื่นที่คุยแล้วเข้าใจกันมากกว่า หาเพื่อนคุยแก้เหงา มันก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวตามมา ทั้งที่มีครอบครัวอยู่แล้ว "
มากน้อยเพียงใดที่ว่า ผู้ชายไทยเจ้าชู้ที่สุด
พี่กุ้งระบุว่า จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีความเจ้าชู้กันหมด กระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ว่าใครจะแสดงออกมากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะแค่ผู้ชายไทย ชาติอื่นๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด ผู้หญิงก็เจ้าชู้ บางคนมีสามีเป็นตัวเป็นตน ก็มาจ้างให้สืบว่า กิ๊ก มีคนอื่นหรือเปล่าด้วยซ้ำ เป็นสืบซ้อนสืบ ผู้ชายมีอายุบางคน ประมาณ 80 ปี ก็มาจ้างให้สืบว่า บรรดากิ๊ก คบชายอื่นไหม เกิดความหึงหวงกันขึ้นมา ขณะที่ ผุ้หญิงอายุมากๆ 60 ปีขึ้นไป ก็มาจ้างให้สืบสามีตัวเอง ไปซุกอีหนูไว้ที่ไหนบ้าง เนื่องจากหวงสมบัติ จะเห็นได้ว่า พอคนเริ่มมีอายุ เริ่มแก่ จุดประสงค์ในการจ้างให้สืบมันต่างกันไป ก็แล้วแต่ความคิด ความต้องการของแต่ละคน
"มาตรฐานจิตใจมันต่ำลงนะ ไม่ว่าจะศีลธรรม จริยธรรม รวมถึงข้อกฎหมาย มันพูดยากเพราะปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เรานอกใจคู่ของตัวเอง มันก็โทษไม่ได้ทั้งหมดว่าใครผิด ใครถูก เราไม่ได้อยู่กับเขา เราไม่รู้ปัญหา บางครั้ง เราก็อาจลืมมองตัวเองว่าเป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงไม่รักเรา เขาถึงเปลี่ยนไป หรือเราเปลี่ยนไปหาคนอื่น เพราะทุกคนก็มองอยู่ที่แค่ตัวเอง ปัญหามันเลยเกิดไม่หยุดไม่หย่อน"
เห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตามชู้ ปราบกิ๊ก เปิดโปงเมียน้อยแบบนี้แล้ว เมื่อถามถึงชีวิตคู่ของพี่อำนวยพรบ้าง ว่าเป็นอย่างไร เธอบอก "โสด" ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้คบใคร อาจเป็นด้วยว่า พอมีคนมาเล่า มาปรึกษา มาให้ตามสืบเรื่องนู้น เรื่องนี้ รู้ปัญหาของคนอื่นไปเสียทุกเรื่องว่าเป็นอย่างไร รู้มากไป มองคนได้ทะลุ ทำให้เธอเกิดความกลัวที่จะตกลงปลงใจฝากชีวิตไว้กับใครสักคนหนึ่ง

ปิดท้ายที่ว่า ทำงานแบบนี้ มีลูกค้ามาจีบบ้างไหม อำนวยพรรับว่า มีเยอะแยะ บางคนถึงกับบอกว่า ไม่ต้องสืบให้แล้ว เดี๋ยวเขาจะมาจีบเอง ซึ่งเธอก็ได้ปฏิเสธไปหลายราย ด้วยการทำงานตรงนี้ต้องระวังตัว และวางตัวดีเป็นพิเศษ เธอจะไม่ให้ความหวังใคร ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
"อยู่แบบนี้ไปดีที่สุด สบายใจกว่า ไม่ต้องมานั่งทุกข์ คิดมากกับใคร บางคนทำดีกับเรามากๆ ต่อหน้า แต่ลับหลังไม่ใช่ เหมือนใส่หน้ากากเข้าหากัน ชีวิตจริง มันไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชายที่เพอร์เฟค เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้ว่าจะรักกันไปตลอดกาลนานได้หรอก เราต้องรักตัวเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ และนั่น จะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด"
ด้วยเหตุฉะนี้ ท่าทางคงจะเป็นเรื่องจริงที่ นักสืบสาว อำนวยพร กล่าวกับเอเอฟพีว่า "คนที่สามารถเชื่อถือได้คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น ถ้ายังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ อย่าได้ไปเชื่อพวกเขาเป็นอันขาด"
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สัมภาษณ์เพิ่มเติมจากนักสืบคดีชู้ชื่อดังรายนี้ เจ้าของฉายา"สายสืบปราบกิ๊ก" ถึงกรณีดังกล่าว โดยเธอระบุว่า ที่มาในการตามสืบเรื่องการมีภรรยาน้อย ชู้ หรือ กิ๊ก หรือส่งเสียเลี้ยงดู ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็แล้วแต่ เริ่มมาจากเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งมีคนมาจ้างให้เธอตามสืบสามีที่ต้องสงสัยว่าไปมีภรรยาน้อย เพื่อที่ลูกค้ารายนั้นจะได้นำหลักฐานไปฟ้องหย่า จากนั้นมาเมื่อประสบผลสำเร็จ ก็มีการบอกต่อกันมาเรื่อยๆ ซึ่งต้องบอกว่า ปัจจุบัน คนที่แต่งงาน หรือไม่ได้แต่งงานกัน ต่างนอกใจคู่รั
ของตัวเองไปมีเมียน้อย มีชู้ มีกิ๊ก กันเยอะมากๆ
ไม่เฉพาะแต่หญิงมาจ้างให้สืบฝ่ายชาย แต่ฝ่ายชายก็มีมาจ้างให้ติดตามพฤติกรรมของฝ่ายหญิงด้วย เรียกว่า ทั้งหญิงสืบชาย ชายสืบหญิง มีอัตราส่วนพอๆ กันแล้วเดี๋ยวนี้ หรือแม้กระทั่งบุคคลเพศที่ 3 ก็มาใช้บริการสืบจากตนเช่นกัน มีทุกเพศทุกวัยจริงๆ ในทุกวงการก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน ส.ส. ส.ว. นักการเมือง ข้าราชการ ครู ทหาร ตำรวจ แพทย์ ดารา นักร้อง นักธุรกิจ ไฮโซ พนักงานบริษัท ฯลฯ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อยู่ในวัยคนทำงานที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ฐานะปานกลางขึ้นไปจนถึงสังคมชั้นสูง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษา ตนจะไม่รับเลย เพราะค่าใช้จ่ายตรงนี้ค่อนข้างสูงมาก ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการเยอะจนล้น ตนก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนจะมีปัญหากันมากขนาดนี้
อำนวยพร หรือพี่กุ้ง เผยว่า จากประสบการณ์ในการตามสืบกิ๊ก ควานหาชู้ของเธอ พบว่า ในส่วนของคนที่เป็นข้าราชการจะนอกใจคู่สมรสของตัวเองเยอะมากๆ (น้ำเสียงเน้นย้ำ) ส่วนใหญ่ชู้หรือกิ๊กก็จะอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หากเป็นข้าราชการฝ่ายชายก็จะนิยมมีเมียน้อย มีกิ๊กที่เป็นหญิงสาววัยอ่อนกว่ามาก ที่น่าสนใจคือ ข้าราชการหญิงที่มาอายุในวัยใกล้เกษียณ ก็มักคบผู้ชายเด็กกว่า ซุกซ่อนในสำนักงาน คอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้เงินทุกอย่าง กลับบ้านดึกๆ ออกนอกบ้านไปงานนู้น งานนี้ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้สามีของเขาก็เกิดความหวาดระแวงให้ตามสืบ เรียกว่า ต่างคนต่างสงสัย พอๆกัน ก้าวออกจากบ้านไป ก็ไว้ใจใครกันไม่ได้เลย
วิธีการ "สืบ" ของพี่อำนวยพรนั้น เธอเผยว่า ทำกันเป็นทีมงานมีหลายคน ตามสืบหลายเรื่อง หลากรูปแบบ ซึ่งตัวหลักก็จะเป็นตัวเธอเอง เริ่มต้นมาจากที่มีผู้มาใช้บริการที่มีปัญหาในความสัมพันธ์โทรมาคุยก่อน หรือเข้ามาหาที่สำนักงานเลย เมื่อคุยตกลงแล้ว เขาก็จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของคู่รักเขาเองว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำงานที่ไหน ไปที่ใดบ่อย ตารางเวลาในการไปนู่นมานี่เป็นอย่างไร บอกเล่ารูปพรรณสัณฐาน เอารูปมาให้ดู เป็นต้น ที่สำคัญต้องดูว่า เขามีเรื่องตบตี หรือตามสืบกันมาเองก่อนหน้านี้หรือเปล่า จากนั้นทางเราก็จะมีการวางแผนก่อน ว่าจะเริ่มตาม เริ่มสืบจากตรงไหน ก็จะจัดคนให้เหมาะกับการตามสืบในเรื่องนั้นๆ ว่าทีมงานคนนั้น คนนี้ ถนัดในรูปแบบไหน ซึ่งบางครั้งมันต้องมีการปลอมตัว มีอุปกรณ์ในการสืบหลากหลายไป ที่ขาดไม่ได้คือ กล้องถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง หรือวิดีโอ จีพีเอส ต้องเลือกให้ต่างกันไปตามสถานการณ์ กล้องอาจจะเป็นกล้องตัวเล็ก กล้องรูเข็ม กล้องปากกา เครื่องอัด เครื่องดักฟัง
การตามสืบนั้นต้องมีการเตรียมพร้อม เอาอุปกรณ์ไว้ตรงไหน เป้าหมายพิกัดที่ใด ต้องรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน มีปฏิภาณ ไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอด มีความพริ้วไหว คล่องแคล่ว ขาดไม่ได้คือ ต้อง นิ่ง มีสติ ไม่วู่วาม หรือตื่นตระหนก ซึ่งทีมงานของเราก่อนเข้ามาทำตรงนี้ก็จะต้องได้รับการฝึกมาอย่างดี ถึงจะลงพื้นที่ปฏิบัติการตามสืบ
หลักฐานเท่าไหร่ ถึงจะเพียงพอประกอบได้ว่า บุคคลนั้นๆ มีชู้ มีกิ๊ก ซุกเมียน้อย ?
นักสืบสาวในวัย 42 ปี บอกว่า ก็ติดตามดูจากพฤติกรรมการแสดงออกกับคนที่เป้าหมายอยู่ด้วยนั่นล่ะ ถ้ามีการจับมือ ถือแขน กอดจูบ ลูบคลำ ไปกินข้าว ดูหนัง แสดงออกทางกายในลักษณะที่ไม่น่าจะใช่เพื่อนหรือคนรู้จักกันธรรมดาแน่ๆ เราก็ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ แต่ในกรณีถ้าเขาไปด้วยกัน เรื่องการจดจำทะเบียนรถ หรือลู่ทางในการติดตาม ไปยังบ้าน คอนโด โรงแรม ก็ต้องวางแผนให้ดี แต่คงไม่ต้องถึงขนาดไปเจาะผนังเพื่อส่องดูว่าเขาทำอะไรกันหรอกนะ (หัวเราะ)
ใช่ว่า แต่เพียงคนไทยในแดนสยามทั้งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดเท่านั้นที่มาจ้าง พี่อำนวยพรให้สืบหาชู้ หากิ๊ก แต่ คนไทยในเมืองนอกก็มีจำนวนไม่น้อยที่ออนไลน์ สายตรงมาให้สืบหาความจริงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีคนต่างชาติมาใช้บริการไม่ได้หยุดหย่อน ซึ่งบางครั้งพี่อำนวยพรเองก็ต้องบินไปสืบถึงเมืองนอก เรียกว่า แอดวานซ์ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ "คุยกับนักสืบ" ในเว็บไซต์ http://www.decha.com/ ซึ่งเป็นของสำนักงานของเธอเอง ที่เปิดให้บุคคลมาพูดคุย ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่อันหลากหลายอีกด้วย
"จริงๆ งานแบบนี้ตื่นเต้น และสนุกมากนะ โดยเฉพาะกับเคสที่ลูกค้าให้มาแต่รูปถ่ายสามี ที่เป็นภาพเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว คือมันลุ้น เวลาเราไปตามหาเป้าหมาย ซึ่งเป็นบุคคลที่เราไม่เคยเห็นหน้า ต้องสังเกตรูปพรรณ สัณฐาน ลักษณะเฉพาะบุคคลนั้นๆให้ได้ จากรูปถ่ายเก่าๆ ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่ลูกค้าให้มาก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงซักทีเดียว เราก็ต้องพยายามตามสืบจนหาเป้าหมายและการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้ ต้องสังเกตหมด ทั้งรูปหน้า ใบหน้า ทรงผม บุคคลิก การแต่งตัว ยิ่งชาวต่างชาตินี่ยากเลย เพราะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด แต่เราต้องสืบหาให้ได้ และเราก็จะลุ้นระทึกไปตลอด คนนั้นใช่มั้ย คนนี้ใช่มั้ย "
เห็นการตามสืบอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจังขนาดนี้ หลายคนคงอยากทราบว่า ค่าใช้จ่ายในการ สืบชู้ ล่ากิ๊ก นี้ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ พี่กุ้งบอกว่า ถ้าให้ตามสืบ ในระยะเวลา 7 วัน สนนราคาอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท หรือเฉลี่ยวันละ 5,000 บาท อันนี้เป็นกรณีการสืบติดตามพฤติกรรมแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ได้หวือหวามาก แต่ถ้าเป็นการสืบแบบที่ซับซ้อนมาก เนื่องจากเป้าหมายเป็นพวกที่ไม่ธรรมดา มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีคนคุ้มกัน เข้าถึงตัวได้ยาก ต้องมีการเตรียมการมาอย่างดี ใช้กำลังคนมาก ก็จะตกอยู่ที่ ราคา 3-4 หมื่นบาท ต่อวัน คือสาเหตุที่ต้องราคาสูงขนาดนี้ในการตามสืบ ก็เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เสี่ยงมากๆ ไม่ค่อยมีคนทำกัน ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความแยบยล ต้องไม่ทำให้ใครสงสัย จับได้ ไม่งั้นทุกอย่างจบ
"เราไม่ทำตัวว่ารู้มาก ให้ข้อมูลมาแค่ไหน ก็แค่นั้น บางคนที่ให้สืบสามี หรือภรรยา เขาไม่ได้มาคุยด้วยตัวเองตรงๆ ใช้ให้คนอื่นมาคุยแทนก่อน ซึ่งเขาอาจอายด้วยชื่อเสียง หน้าตาทางสังคม แต่พอต้องติดต่อกันมากขึ้น เขาก็กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน จรรยาบรรณของเราก็ไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผยอยู่แล้ว และไม่คิดจะไปละลาบละล้วงเรื่องอะไรของเขาด้วย การทำอาชีพนักสืบ ไม่เพียงแต่จะสืบสิ่งที่เขาอยากรู้เพียงเท่านั้นนะ หลายๆครั้งเรายังต้องเป็นที่ปรึกษา คอยแก้ไขปัญหา เป็นศิราณีให้เขาอีกด้วย(หัวเราะ) บางคนก็โทรมาหา ปรึกษาเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในปัญหาชีวิตให้เราฟังมากกว่า บางครั้งไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ"
"สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้" สโลกแกนที่ พี่อำนวยพรตั้งไว้ เธอบอกว่า การสืบหากิ๊ก ไล่ล่าชู้นั้น เป็นการคลายเรื่องค้างคา ความสงสงสัยของคนที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เรื่องที่หาทางออก หรือลงมือด้วยตัวเองในการล่าหาความจริงไม่ได้ เขาจึงไว้วางใจนักสืบ ซึ่งก็มีหลายคนถามว่า การทำแบบนี้ จะทำให้คู่รัก ครอบครัวเขาแตกแยกหรือเปล่า แต่เมื่อตนมาเทียบกับกระแสตอบรับที่มีคนมาใช้บริการแล้วประสบความสำเร็จ ก็รู้ว่า การทำแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นการช่วยเหลือคนมากกว่า ซึ่งการที่ตนตั้งสำนักงานตามสืบพวกชู้ พวกกิ๊ก เมียน้อยทั้งหลายแหล่แทนที่จะลดลง แต่เปล่าเลย พบว่า ปัจจุบันคนนอกใจคู่ของตนเองกลับเพิ่มมากขึ้นในปริมาณมาก
"ไม่รู้ว่า เป็นเพราะโลกมันจะวิบัติ โลกจะแตกหรือเปล่านะ คน 2 คนคุยกันไม่รู้เรื่อง ความซื่อสัตย์ต่อคนรักก็ลดน้อยลง บางครั้งคู่รักที่มีปัญหากันมันก็มาจากหลายๆ สาเหตุ เราไม่รู้ว่า เขามีปัญหาอะไรกัน อีกอย่างการออกไปทำงานนอกบ้าน ได้พบปะผู้คน เจอสังคมใหม่ๆ ความใกล้ชิด สนิทสนม ก็อาจทำให้จิตใจของคนเปลี่ยนแปลง พลั้งเผลอไปได้ บางคู่ไม่เข้าใจกัน ก็ไปหาคนอื่นที่คุยแล้วเข้าใจกันมากกว่า หาเพื่อนคุยแก้เหงา มันก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปในเชิงชู้สาวตามมา ทั้งที่มีครอบครัวอยู่แล้ว "
มากน้อยเพียงใดที่ว่า ผู้ชายไทยเจ้าชู้ที่สุด
พี่กุ้งระบุว่า จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีความเจ้าชู้กันหมด กระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ว่าใครจะแสดงออกมากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะแค่ผู้ชายไทย ชาติอื่นๆ ก็เจ้าชู้เหมือนกันหมด ผู้หญิงก็เจ้าชู้ บางคนมีสามีเป็นตัวเป็นตน ก็มาจ้างให้สืบว่า กิ๊ก มีคนอื่นหรือเปล่าด้วยซ้ำ เป็นสืบซ้อนสืบ ผู้ชายมีอายุบางคน ประมาณ 80 ปี ก็มาจ้างให้สืบว่า บรรดากิ๊ก คบชายอื่นไหม เกิดความหึงหวงกันขึ้นมา ขณะที่ ผุ้หญิงอายุมากๆ 60 ปีขึ้นไป ก็มาจ้างให้สืบสามีตัวเอง ไปซุกอีหนูไว้ที่ไหนบ้าง เนื่องจากหวงสมบัติ จะเห็นได้ว่า พอคนเริ่มมีอายุ เริ่มแก่ จุดประสงค์ในการจ้างให้สืบมันต่างกันไป ก็แล้วแต่ความคิด ความต้องการของแต่ละคน
"มาตรฐานจิตใจมันต่ำลงนะ ไม่ว่าจะศีลธรรม จริยธรรม รวมถึงข้อกฎหมาย มันพูดยากเพราะปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เรานอกใจคู่ของตัวเอง มันก็โทษไม่ได้ทั้งหมดว่าใครผิด ใครถูก เราไม่ได้อยู่กับเขา เราไม่รู้ปัญหา บางครั้ง เราก็อาจลืมมองตัวเองว่าเป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงไม่รักเรา เขาถึงเปลี่ยนไป หรือเราเปลี่ยนไปหาคนอื่น เพราะทุกคนก็มองอยู่ที่แค่ตัวเอง ปัญหามันเลยเกิดไม่หยุดไม่หย่อน"
เห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตามชู้ ปราบกิ๊ก เปิดโปงเมียน้อยแบบนี้แล้ว เมื่อถามถึงชีวิตคู่ของพี่อำนวยพรบ้าง ว่าเป็นอย่างไร เธอบอก "โสด" ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้คบใคร อาจเป็นด้วยว่า พอมีคนมาเล่า มาปรึกษา มาให้ตามสืบเรื่องนู้น เรื่องนี้ รู้ปัญหาของคนอื่นไปเสียทุกเรื่องว่าเป็นอย่างไร รู้มากไป มองคนได้ทะลุ ทำให้เธอเกิดความกลัวที่จะตกลงปลงใจฝากชีวิตไว้กับใครสักคนหนึ่ง
ปิดท้ายที่ว่า ทำงานแบบนี้ มีลูกค้ามาจีบบ้างไหม อำนวยพรรับว่า มีเยอะแยะ บางคนถึงกับบอกว่า ไม่ต้องสืบให้แล้ว เดี๋ยวเขาจะมาจีบเอง ซึ่งเธอก็ได้ปฏิเสธไปหลายราย ด้วยการทำงานตรงนี้ต้องระวังตัว และวางตัวดีเป็นพิเศษ เธอจะไม่ให้ความหวังใคร ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
"อยู่แบบนี้ไปดีที่สุด สบายใจกว่า ไม่ต้องมานั่งทุกข์ คิดมากกับใคร บางคนทำดีกับเรามากๆ ต่อหน้า แต่ลับหลังไม่ใช่ เหมือนใส่หน้ากากเข้าหากัน ชีวิตจริง มันไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชายที่เพอร์เฟค เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้ว่าจะรักกันไปตลอดกาลนานได้หรอก เราต้องรักตัวเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ และนั่น จะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด"
ด้วยเหตุฉะนี้ ท่าทางคงจะเป็นเรื่องจริงที่ นักสืบสาว อำนวยพร กล่าวกับเอเอฟพีว่า "คนที่สามารถเชื่อถือได้คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น ถ้ายังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ อย่าได้ไปเชื่อพวกเขาเป็นอันขาด"
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
อัยการนัดสั่งคดีแนวร่วมพันธมิตรฯ บุกสนามบิน 10 พ.ค.
วันอังคาร ที่ 05 เม.ย. 2554 กรุงเทพฯ 5 เม.ย. - พล.อ.ปฐมพงษ์ และแนวร่วม พธม. 10 คน รายงานตัวอัยการ พนง.สอบสวน หอบหลักฐานร่วมแสนหน้า สั่งฟ้องมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน บุกดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ส่งอัยการนัดสั่งคดี 10 พ.ค. อธิบดีอัยการคดีอาญา ระบุสั่งสอบเพิ่มสำนวน “ไชยวัฒน์” กับพวก 3 คนแล้ว รอคัดคำพิพากษาศาลแพ่งสั่งพันธมิตร ฯ ชดใช้ ทอท.พิจารณาพร้อมสำนวนใหม่ด้วย
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.อ.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.บก.น.9 พนักงานสอบสวน คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ นำตัว พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค น.ส.เมธาวดี เบญจาราชจารุนันธ์ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นายสุทิน วรรณบวร น.ส.ราตรี ชวนบุญ นางอัจฉรา สุวรรณวาศ นายอธิวัฒน์ บุญชาติ นายไทกร พลสุวรรณ และ น.ส.ต้นฝัน แสงอาทิตย์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เข้ารายงานตัวต่อนายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 พร้อมส่งมอบสำนวนหลักฐานจำนวน 26 ลัง เอกสารกว่า 80,000 หน้า และความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ข้อหากระทำการแสดงให้ปรากฏด้วยวาจาอันไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหาอื่น ๆ แต่ไม่ปรากฏข้อหาร่วมกันก่อการร้าย เพื่อพิจารณาสั่งคดี
นายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 กล่าวว่า อัยการต้องใช้เวลาตรวจสำนวนพยานหลักฐานระยะหนึ่ง พร้อมพิจารณารายละเอียดของหนังสือขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาด้วย ขณะที่อัยการนัดผู้ต้องหาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความกลุ่มพันธมิตร ฯ กล่าวว่า คดีนี้เหลือผู้ต้องหากว่า 80 คนที่ยังไม่ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน และมีบางส่วนได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เพราะเห็นว่าการตั้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนนั้นเกินจริง และมีพยานหลักฐานไม่ชัดเจน โดยผู้ต้องหาที่เหลือกว่า 80 คนจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อส่งตัวต่ออัยการ ในวันที่ 10 พ.ค.นี้
ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า อัยการพิจารณาสำนวนหลักฐานแล้วเห็นว่า ลักษณะพฤติการณ์เกี่ยวพันเหตุการณ์หลายส่วน ซึ่งต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่จะมีความเห็นสั่งคดีได้ โดยอัยการได้แจ้งให้สอบเพิ่มตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. ขณะที่อัยการจะได้นำผลคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ตัดสินให้แกนนำพันธมิตร ฯ กับพวก ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 522 ล้านบาทเศษ แก่บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน) หรือ ทอท. มาพิจารณาด้วย ส่วนที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนเพิ่มเติมในวันนี้อีก 10 คน อัยการก็จะได้พิจารณาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งต้องดูว่าประเด็นข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดีครบถ้วนหรือไม่ .
ที่มา. สำนักข่าวไทย
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.อ.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.บก.น.9 พนักงานสอบสวน คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ นำตัว พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค น.ส.เมธาวดี เบญจาราชจารุนันธ์ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นายสุทิน วรรณบวร น.ส.ราตรี ชวนบุญ นางอัจฉรา สุวรรณวาศ นายอธิวัฒน์ บุญชาติ นายไทกร พลสุวรรณ และ น.ส.ต้นฝัน แสงอาทิตย์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เข้ารายงานตัวต่อนายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 พร้อมส่งมอบสำนวนหลักฐานจำนวน 26 ลัง เอกสารกว่า 80,000 หน้า และความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ข้อหากระทำการแสดงให้ปรากฏด้วยวาจาอันไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหาอื่น ๆ แต่ไม่ปรากฏข้อหาร่วมกันก่อการร้าย เพื่อพิจารณาสั่งคดี
นายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 กล่าวว่า อัยการต้องใช้เวลาตรวจสำนวนพยานหลักฐานระยะหนึ่ง พร้อมพิจารณารายละเอียดของหนังสือขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาด้วย ขณะที่อัยการนัดผู้ต้องหาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความกลุ่มพันธมิตร ฯ กล่าวว่า คดีนี้เหลือผู้ต้องหากว่า 80 คนที่ยังไม่ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน และมีบางส่วนได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เพราะเห็นว่าการตั้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนนั้นเกินจริง และมีพยานหลักฐานไม่ชัดเจน โดยผู้ต้องหาที่เหลือกว่า 80 คนจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อส่งตัวต่ออัยการ ในวันที่ 10 พ.ค.นี้
ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า อัยการพิจารณาสำนวนหลักฐานแล้วเห็นว่า ลักษณะพฤติการณ์เกี่ยวพันเหตุการณ์หลายส่วน ซึ่งต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่จะมีความเห็นสั่งคดีได้ โดยอัยการได้แจ้งให้สอบเพิ่มตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. ขณะที่อัยการจะได้นำผลคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ตัดสินให้แกนนำพันธมิตร ฯ กับพวก ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 522 ล้านบาทเศษ แก่บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน) หรือ ทอท. มาพิจารณาด้วย ส่วนที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนเพิ่มเติมในวันนี้อีก 10 คน อัยการก็จะได้พิจารณาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งต้องดูว่าประเด็นข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดีครบถ้วนหรือไม่ .
ที่มา. สำนักข่าวไทย
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
Start กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ
มดงานอาชีวะ สร้างชาติ เปลี่ยนโลก
การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ สอง (พ.ศ.2552-2561) นั้น มีสาระสำคัญ เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง มีคุณภาพ และมีเป้าหมายภายในปี 2561 จะเกิดการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ อย่างเป็นระบบ
ในขณะที่การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (เอฟทีเอ) นั้นได้ส่งผลให้กลุ่มประ เทศสมาชิกอาเซียนเกิดความตื่นตัวเตรียม ความพร้อมต่อการค้าเสรีที่จะนำไปสู่ธุรกิจ อุตสาหกรรมใหม่ๆ การปฏิรูปการศึกษาเพื่อ รองรับความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลให้มีศักยภาพในการแข่งขัน กับนานาประเทศ
ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาสายวิชาชีพเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สำนัก งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตบุคลากรจึงได้ดำเนินการแสวงหาความร่วมมือ จากผู้ประกอบการภาคเอกชนทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาอาชีวะแบบทวิภาคี มุ่งสมรรถนะอาชีพเป็นหลักด้วยการปฏิบัติจริงในสถานการณ์จริง และนำ ความรู้และประสบการณ์ไปใช้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
“วิรัตน์ คันธารัตน์” ผู้อำนวยการ เชี่ยวชาญ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการศึกษาสายอาชีพ ภายใต้หลักสูตร “ทวิภาคี” ได้แสดงความ เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการบริหารสถานศึกษามาอย่างยาวนาน ซึ่งเขาได้เล็ง เห็นว่า “มดงาน” เป็นสรรพกำลังหลักใน การสร้างชาติสร้างเมืองดังนี้
เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัด ตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นหน่วยงานอิสระ ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาสมรรถนะหรือทักษะ กำหนดเกณฑ์ ทางด้านวิชาชีพในแต่ละอาชีพ แล้วจึงออก ใบรับรองวิชาชีพว่ามีความสามารถในระดับ ไหน เมื่อจบออกไปแล้วจะได้ค่าครองชีพ หรือเงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะเปลี่ยนค่านิยมของผู้เรียนและผู้ปกครอง จากเดิมที่นิยมส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาสายสามัญ และรับปริญญาตรี
ในอดีตหลักสูตรวิชาชีพอาชีวะ เรามุ่งเน้นให้นักเรียนนักศึกษาร่ำเรียนหลักสูตร ในตำรา ครูอาจารย์ให้แบบฝึกหัด ทำการบ้านในห้องเรียน และได้กำหนดให้นักศึกษา ฝึกอบรมตามสถานประกอบการเอกชนต่างๆ ระยะสั้น 20 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ซึ่งสถานประกอบการยืนยันว่าระยะเวลาสั้นเกินไป เด็กฝึกงานพอจะเรียนรู้งานก็ต้องกลับไปเรียนในสถานศึกษา ไม่เพียงพอที่จะ ทำให้นักเรียนเหล่านั้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสนองตอบความต้องการของผู้ประกอบการหรือตลาดแรงงานได้อย่างแท้จริง สอศ.จึงได้ผลักดันให้มีการเรียนระบบทวิภาคี ตาม พ.ร.บ.มาตรา 8 การอาชีวศึกษา 2552
ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจว่า การมีส่วนร่วม ในสังคมจะนำไปสู่ความสำเร็จที่งดงามเสมอ เขายืนยันว่า ที่ผ่านมา สอศ.ได้แสวงหา ความร่วมมือจากภาคเอกชนมากมาย ทั้งภาค อุตสาหกรรม การเกษตร พาณิชยกรรมว่า ระบบบทวิภาคี ต้องฝึกงานตั้งแต่ต้น จึงต้องให้นักเรียนไปยังสถานที่จริง ซึ่งการ มีความรับผิดชอบ วุฒิภาวะจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องปลูกฝังฝึกฝนจากประสบการณ์จริงเรียกว่า “เด็กฝึกงาน” ทั้งนี้ครูนิเทศจะพิจารณาจากสมุดบันทึกหรือตารางที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้ให้ สถานประกอบการกำหนดให้ครูฝึกมอบหมายภารกิจใดให้นักเรียนได้ปฏิบัติมีผลบวก ลบ อย่างไร
สอศ.ได้ตกลงกับสถานประกอบการ ที่ร่วมทำเอ็มโอยู ว่าจะต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับเด็กฝึกงาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้บางองค์กรยังมีอาหารให้เด็กรับประทาน 2 มื้อ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรทวิภาคีได้ตอบโจทย์รากหญ้าได้เป็นอย่างดีตามนโยบายรัฐบาล เรียนฟรี ระหว่างเรียนมีเงินใช้ จบแล้วมีงานทำ
เสน่ห์ของเด็กอาชีวะอยู่ตรงที่ เมื่อจบ หลักสูตรทวิภาคี จะได้รับใบรับรองการผ่าน งานจากสถานประกอบการหรือฉบับวิชาชีพ ปวช.-ปวส. ก็จะได้รับใบประกาศฉบับวิชาชีพ ชั้นสูง พร้อมกับหนังสือรับรองการผ่านงาน จากสถานประกอบการ 2 ใบด้วยกัน ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ประกอบการจะเลือกใครระหว่างผู้จบมีคุณวุฒิวิชาการ หรือผู้ที่มีคุณวุฒิ และใบประกาศรับรองการทำงาน จากสถานประกอบการ และในอนาคตอัน ใกล้สอศ. ได้ดำเนินการผลักดันสถาบัน คุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กที่เรียนสายอาชีพจบระดับปริญญาตรีสายวิชาชีพ เช่นเดียวกับสายสามัญนั่นเอง
“วิรัตน์ คันธารัตน์” ยังสะท้อน มุมมองถึงปัญหาภาพลักษณ์ของอาชีวะ โดยเฉพาะนิยามที่ว่า “นักเรียน นักเลง” ว่า เด็กอาชีวะทะเลาะกันหรือตีกันต้องแก้ ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ อาชีวะเองเป็นเพียงปลายเหตุ ต้องมองถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลัก ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่อนุบาล เด็กบ้านแตกอยู่กับย่า ตา ยาย ไม่เคยเห็น หน้าพ่อหน้าแม่ แม้มีแม่ที่ส่งเสียเล่าเรียน เขาก็เรียกแม่บังเกิดเกล้าว่า... “ผู้หญิงคน นั้น” เพราะตลอดระยะเวลากว่าสิบปีเด็ก เหล่านี้ไม่เคยมีสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกเลย นี่คือปัญหาใหญ่ที่สังคมจะต้องช่วย กันแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาของอาชีวะ
ฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ลงนามกับ สอศ. ดำเนินการสอนหลักสูตรทวิภาคีบ้าง “ภัทรา ศิลาอ่อน” ประธานกรรมการ บริษัท เอสแอนด์พี เล่าให้ฟังว่า เอสแอนด์พี ดำเนินธุรกิจด้านอาหารมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้สั่งสมประสบการณ์พัฒนาเมนูอาหารคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศ ตอบสนองความต้องการลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจอาหาร เอสแอนด์พี จึงได้ลงนาม ความร่วมมือกับ สอศ. เพื่อส่งเสริมพัฒนา บุคลากรด้านอาหาร และโภชนาการแก่นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษา สังกัด สอศ. โดยการพัฒนาหลักสูตรด้านอาหาร และโภชนาการ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดอบรมความรู้และเทคโนโลยีให้แก่ครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัด สอศ. พร้อมทั้งสนับสนุนวิทยากร มาบรรยายความรู้และเทคนิคในสาขาวิชา อาหารและโภชนาการ
“ดิฉันเชื่อมั่นว่าการศึกษาในรูปแบบ ทวิภาคีที่มีการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง จะทำให้นักเรียนนักศึกษาพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เด็กจะมาเรียนประสบการณ์จริง จากเราสัปดาห์ละ 4 วัน และเรียนวิชาการ ที่สถาบันอีก 2 วัน ส่วนเด็กต่างจังหวัดจะเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเรามีเบี้ยเลี้ยงให้เด็กๆ ตามลำดับชั้น ปวช.1-3 วันละ 150, 170 และ 180 บาท ส่วนปวส.1-2 ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 185-195 บาท โดยที่เอสแอนด์พี มีอาหารให้น้องๆ รับประทานวันละ 2 มื้อ ส่วนนักเรียนที่ประจำสำนักงานทำบัญชีไม่มีอาหารจะเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 50 บาท”
นั่นคือความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับภาคเอกชน ซึ่งเอสแอนด์พีรับประกันว่า นักเรียนที่ผ่านหลักสูตรทวิภาคี จะมีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานยังสาขา ต่างประเทศอย่างแน่นอน
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ สอง (พ.ศ.2552-2561) นั้น มีสาระสำคัญ เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง มีคุณภาพ และมีเป้าหมายภายในปี 2561 จะเกิดการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ อย่างเป็นระบบ
ในขณะที่การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (เอฟทีเอ) นั้นได้ส่งผลให้กลุ่มประ เทศสมาชิกอาเซียนเกิดความตื่นตัวเตรียม ความพร้อมต่อการค้าเสรีที่จะนำไปสู่ธุรกิจ อุตสาหกรรมใหม่ๆ การปฏิรูปการศึกษาเพื่อ รองรับความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลให้มีศักยภาพในการแข่งขัน กับนานาประเทศ
ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาสายวิชาชีพเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สำนัก งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตบุคลากรจึงได้ดำเนินการแสวงหาความร่วมมือ จากผู้ประกอบการภาคเอกชนทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาอาชีวะแบบทวิภาคี มุ่งสมรรถนะอาชีพเป็นหลักด้วยการปฏิบัติจริงในสถานการณ์จริง และนำ ความรู้และประสบการณ์ไปใช้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
“วิรัตน์ คันธารัตน์” ผู้อำนวยการ เชี่ยวชาญ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการศึกษาสายอาชีพ ภายใต้หลักสูตร “ทวิภาคี” ได้แสดงความ เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการบริหารสถานศึกษามาอย่างยาวนาน ซึ่งเขาได้เล็ง เห็นว่า “มดงาน” เป็นสรรพกำลังหลักใน การสร้างชาติสร้างเมืองดังนี้
เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัด ตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นหน่วยงานอิสระ ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาสมรรถนะหรือทักษะ กำหนดเกณฑ์ ทางด้านวิชาชีพในแต่ละอาชีพ แล้วจึงออก ใบรับรองวิชาชีพว่ามีความสามารถในระดับ ไหน เมื่อจบออกไปแล้วจะได้ค่าครองชีพ หรือเงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะเปลี่ยนค่านิยมของผู้เรียนและผู้ปกครอง จากเดิมที่นิยมส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาสายสามัญ และรับปริญญาตรี
ในอดีตหลักสูตรวิชาชีพอาชีวะ เรามุ่งเน้นให้นักเรียนนักศึกษาร่ำเรียนหลักสูตร ในตำรา ครูอาจารย์ให้แบบฝึกหัด ทำการบ้านในห้องเรียน และได้กำหนดให้นักศึกษา ฝึกอบรมตามสถานประกอบการเอกชนต่างๆ ระยะสั้น 20 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ซึ่งสถานประกอบการยืนยันว่าระยะเวลาสั้นเกินไป เด็กฝึกงานพอจะเรียนรู้งานก็ต้องกลับไปเรียนในสถานศึกษา ไม่เพียงพอที่จะ ทำให้นักเรียนเหล่านั้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสนองตอบความต้องการของผู้ประกอบการหรือตลาดแรงงานได้อย่างแท้จริง สอศ.จึงได้ผลักดันให้มีการเรียนระบบทวิภาคี ตาม พ.ร.บ.มาตรา 8 การอาชีวศึกษา 2552
ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจว่า การมีส่วนร่วม ในสังคมจะนำไปสู่ความสำเร็จที่งดงามเสมอ เขายืนยันว่า ที่ผ่านมา สอศ.ได้แสวงหา ความร่วมมือจากภาคเอกชนมากมาย ทั้งภาค อุตสาหกรรม การเกษตร พาณิชยกรรมว่า ระบบบทวิภาคี ต้องฝึกงานตั้งแต่ต้น จึงต้องให้นักเรียนไปยังสถานที่จริง ซึ่งการ มีความรับผิดชอบ วุฒิภาวะจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องปลูกฝังฝึกฝนจากประสบการณ์จริงเรียกว่า “เด็กฝึกงาน” ทั้งนี้ครูนิเทศจะพิจารณาจากสมุดบันทึกหรือตารางที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้ให้ สถานประกอบการกำหนดให้ครูฝึกมอบหมายภารกิจใดให้นักเรียนได้ปฏิบัติมีผลบวก ลบ อย่างไร
สอศ.ได้ตกลงกับสถานประกอบการ ที่ร่วมทำเอ็มโอยู ว่าจะต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับเด็กฝึกงาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้บางองค์กรยังมีอาหารให้เด็กรับประทาน 2 มื้อ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรทวิภาคีได้ตอบโจทย์รากหญ้าได้เป็นอย่างดีตามนโยบายรัฐบาล เรียนฟรี ระหว่างเรียนมีเงินใช้ จบแล้วมีงานทำ
เสน่ห์ของเด็กอาชีวะอยู่ตรงที่ เมื่อจบ หลักสูตรทวิภาคี จะได้รับใบรับรองการผ่าน งานจากสถานประกอบการหรือฉบับวิชาชีพ ปวช.-ปวส. ก็จะได้รับใบประกาศฉบับวิชาชีพ ชั้นสูง พร้อมกับหนังสือรับรองการผ่านงาน จากสถานประกอบการ 2 ใบด้วยกัน ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ประกอบการจะเลือกใครระหว่างผู้จบมีคุณวุฒิวิชาการ หรือผู้ที่มีคุณวุฒิ และใบประกาศรับรองการทำงาน จากสถานประกอบการ และในอนาคตอัน ใกล้สอศ. ได้ดำเนินการผลักดันสถาบัน คุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กที่เรียนสายอาชีพจบระดับปริญญาตรีสายวิชาชีพ เช่นเดียวกับสายสามัญนั่นเอง
“วิรัตน์ คันธารัตน์” ยังสะท้อน มุมมองถึงปัญหาภาพลักษณ์ของอาชีวะ โดยเฉพาะนิยามที่ว่า “นักเรียน นักเลง” ว่า เด็กอาชีวะทะเลาะกันหรือตีกันต้องแก้ ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ อาชีวะเองเป็นเพียงปลายเหตุ ต้องมองถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลัก ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่อนุบาล เด็กบ้านแตกอยู่กับย่า ตา ยาย ไม่เคยเห็น หน้าพ่อหน้าแม่ แม้มีแม่ที่ส่งเสียเล่าเรียน เขาก็เรียกแม่บังเกิดเกล้าว่า... “ผู้หญิงคน นั้น” เพราะตลอดระยะเวลากว่าสิบปีเด็ก เหล่านี้ไม่เคยมีสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกเลย นี่คือปัญหาใหญ่ที่สังคมจะต้องช่วย กันแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาของอาชีวะ
ฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ลงนามกับ สอศ. ดำเนินการสอนหลักสูตรทวิภาคีบ้าง “ภัทรา ศิลาอ่อน” ประธานกรรมการ บริษัท เอสแอนด์พี เล่าให้ฟังว่า เอสแอนด์พี ดำเนินธุรกิจด้านอาหารมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้สั่งสมประสบการณ์พัฒนาเมนูอาหารคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศ ตอบสนองความต้องการลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจอาหาร เอสแอนด์พี จึงได้ลงนาม ความร่วมมือกับ สอศ. เพื่อส่งเสริมพัฒนา บุคลากรด้านอาหาร และโภชนาการแก่นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษา สังกัด สอศ. โดยการพัฒนาหลักสูตรด้านอาหาร และโภชนาการ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดอบรมความรู้และเทคโนโลยีให้แก่ครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัด สอศ. พร้อมทั้งสนับสนุนวิทยากร มาบรรยายความรู้และเทคนิคในสาขาวิชา อาหารและโภชนาการ
“ดิฉันเชื่อมั่นว่าการศึกษาในรูปแบบ ทวิภาคีที่มีการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง จะทำให้นักเรียนนักศึกษาพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เด็กจะมาเรียนประสบการณ์จริง จากเราสัปดาห์ละ 4 วัน และเรียนวิชาการ ที่สถาบันอีก 2 วัน ส่วนเด็กต่างจังหวัดจะเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเรามีเบี้ยเลี้ยงให้เด็กๆ ตามลำดับชั้น ปวช.1-3 วันละ 150, 170 และ 180 บาท ส่วนปวส.1-2 ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 185-195 บาท โดยที่เอสแอนด์พี มีอาหารให้น้องๆ รับประทานวันละ 2 มื้อ ส่วนนักเรียนที่ประจำสำนักงานทำบัญชีไม่มีอาหารจะเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 50 บาท”
นั่นคือความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับภาคเอกชน ซึ่งเอสแอนด์พีรับประกันว่า นักเรียนที่ผ่านหลักสูตรทวิภาคี จะมีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานยังสาขา ต่างประเทศอย่างแน่นอน
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
สไตล์ไม้บรรทัด
เมื่อวันเสาร์ ที่สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย
เป็นการเปิดตัว ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อย่างทางการในการเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่แทรกกลางระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีกราว 2 เดือนข้างหน้า
ภายใต้คอนเซ็ปต์ 'มิสเตอร์ไม้บรรทัด'
ในงานมีการแจกไม้บรรทัด เขียนข้อความ 'รวมพลังให้กำลังใจปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ คนดีไม่มีเสื่อม' ให้สื่อมวลชนและผู้ร่วมงานเป็นที่ระลึก
ชัดเจนว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ร.ต.อ.ปุระชัย จะลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1
หาเสียงชูนโยบาย 'จัดระเบียบสังคม' ซึ่งเคยสร้างชื่อให้ร.ต.อ.ปุระชัย ตอนเป็นรมว.มหาดไทย สมัย 'รัฐบาลทักษิณ' จนได้ฉายา 'มือปราบ สายเดี่ยว'
ส่วนพรรคที่จะสังกัดอยู่ระหว่างขออนุมัติจาก กกต. ชื่อว่า 'พรรครักษ์สันติ'
ร.ต.อ.ปุระชัย ชี้แจงเหตุผลที่ไม่ร่วมกับพรรคประชาสันติ ตามข่าวก่อนหน้านี้เพราะต้องการเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างบ้านใหม่ด้วยตัวเอง ตั้งแต่การออกแบบ ตอกเสาเข็ม เทคาน ขึ้นโครงสร้าง
เพื่อให้บ้านซึ่งหมายถึงพรรคที่ตั้งขึ้นเป็นไปตามกฎกติกาทุกอย่าง ไม่ให้มีช่องโหว่ที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาเป็นเหตุเล่นงานภายหลังได้
ถ้าไปซื้อบ้านที่มีอยู่แล้วตรงนี้จะเป็นข้อเสี่ยง
มาถึงคำถามสำคัญเกี่ยวกับโพลสำรวจพบเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้เป็นทางเลือกใหม่ในตำแหน่ง นายกฯ ร.ต.อ.ปุระชัย แบ่งรับแบ่งสู้ บอกเป็นเรื่องอีกไกล ต้องรอให้ได้รับเลือกตั้งก่อน
เพราะถึงเสียงดี แต่ไม่รู้จะมีคะแนนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดเอแบคโพล หัวข้อคะแนนนิยมต่อพรรคการเมืองในบรรยากาศโหมโรงปลุกกระแสเลือกตั้ง
พบคะแนนนิยมประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย สูสีคู่คี่กันในระดับร้อยละ 26.4 กับ 25.5 ซึ่งในทางสถิติไม่ถือว่าแตกต่างกัน ขณะที่พรรคอื่นๆ ได้ร้อยละ 15.4
โดยมีคนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินใจ และกำลังมองหาพรรคที่ดีกว่าสองพรรคใหญ่ถึงร้อยละ 32.7 ซึ่งถือเป็นพื้นที่ว่างสำหรับทุกพรรค
ตรงนี้เองที่ร.ต.อ.ปุระชัย ฝากเอาไว้ว่าถ้าใครคิดจะ 'โนโหวต' ก็ให้เปลี่ยนใจมาโหวตเลือก 'ปุระชัย' ดีกว่า
ออดอ้อนขอคะแนนเสียงกันตรงๆ ตามสไตล์ 'นายไม้บรรทัด' เปรี๊ยะเลย
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์.เหล็กใน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
ไอวอรี่โคสต์ เสียชีวิตแล้วกว่า 800 ราย: ลี้ภัยไปลิเบอร์เรียนับแสน .
ชาวไอวอรี่โคสต์เสียชีวิตแล้ว 800 ราย
คณะกรรมการสภากาชาดระหว่างประเทศ ระบุว่ามีชาวไอวอรี่โคสต์เสียชีวิตไปแล้ว 800 ราย โดยนาย Guillaume Ngefa รองผู้อำนวยการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติระบุว่าการกระทำในไอวอรี่โคสต์นั้นถือเป็นการสังหารหมู่โดยยอดผู้เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ถึงวันพุธที่ผ่านมาสูงถึง 220 ราย จากการปะทะกับหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลประธานาธิบดี อาลาสเซน แควตตาร่า แห่งไอวอรี่โคสต์
“รัฐบาลยืนกรานที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับกองทัพของไอวอรี่โคสต์ ข้อครหานี้ถือเป็นการหมิ่นประมาท” ถ้อยแถลงของรัฐบาล
และกล่าวย้ำว่า “รัฐบาลคาดว่านี่คือการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายตรงข้าม”
“กองทัพที่ยังคงภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี โรลองต์ กาแบกโบ น่าจะมีส่วนร่วมจากปฏิบัติการดังกล่าว ในการเป็นทหารที่ได้รับการจ้างวานและแสดงความป่าเถื่อนต่อประชาชนในทางตะวันตกของไอวอรี่โคสต์”
การปะทะเดือดในไอวอรี่โคสต์เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลประกาศว่าประธานาธิบดีกาแบกโบชนะแม้จะมีประเด็นครหาว่าเขาโกงการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม นานาชาติและองค์การสหประชาชาติกลับให้การรับรองและประกาศยอมรับว่า แควตตาร่าเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง
การดำเนินการท่ามกลางการสังหารหมู่ชาวไอวอรี่โคสต์
หัวหน้าฝ่ายกิจการเพื่อมนุษยธรรมแห่งองค์การสหประชาชาติกล่าวเตือนว่า การดำเนินการเพื่อรักษาสันติภาพ และความมั่นคงของสาธารณรัฐลิเบอร์เรีย (Republic of Liberia) อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงยิ่ง หากประชาคมระหว่างประเทศไม่ได้จัดเตรียมทรัพยากรอย่างเพียงพอในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งลิเบอร์เรียถือเป็นประเทศหลักที่จะรับภาระในการรองรับผู้ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไอวอรี่โคสต์ (Côte d’Ivoire)Valerie Amos รองเลขาธิการองค์การสหประชาชาติฝ่ายกิจการเพื่อมนุษยธรรมและรับผิดชอบประสานงานฝ่ายบรรเทาทุกข์ในภาวะฉุกเฉินได้กล่าวหลังการเยือนลิเบอร์เรียเป็นครั้งที่ 2
“เราจำเป็นต้องดำเนินต่อไปและต้องแน่ใจว่าประเทศนี้จะสามารถให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้อง รองรับผู้ลี้ภัยจากไอวอรี่โคสต์ได้” นาง Amos กล่าว
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
คิดแบบ..เฟอร์รารี่ !!??
โดย สรกล อดุลยานนท์
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชน)
เห็นการแก้ปัญหาอุทกภัยภาคใต้ของรัฐบาลแล้วผมคิดถึงเรื่องโรงพยาบาลเด็ก กับ "เฟอร์รารี่" ขึ้นมา
โรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกแบบห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กด้วยวิธีการใหม่
เขาติดต่อทีมงานของ "เฟอร์รารี่" มาช่วยวางแผน
ทีมงานชุดนี้ คือทีมในสนามแข่งรถสูตร 1 แบบเดียวกับรถแข่งที่ "กระทิงแดง" นำมาโชว์ที่ถนนราชดำเนิน
เพราะในสนามแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลก หากเกิดปัญหากับตัวรถขึ้นมา ทีมนี้ต้องจัดการแก้ปัญหาในเวลาที่เร็วที่สุด
ไม่ใช่ชั่วโมง ไม่ใช่นาที
แต่เขาคิดเป็น "วินาที"
ทุกอย่างต้องคิดละเอียดทุกขั้นตอน
เอา "เวลา" เป็นตัวตั้ง
ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเด็ก มีเป้าหมายเดียวกับทีมเฟอร์รารี่ คือต้องนำเด็กที่ป่วยหนักเข้าห้องฉุกเฉินให้เร็วที่สุด อุปกรณ์ทุกอย่างต้องพร้อมที่สุด และแพทย์ต้องปฏิบัติการให้เร็วที่สุด
หลักคิดแบบนี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ควรนำมาใช้กับการแก้ปัญหาน้ำท่วม
เอา "เวลา" มาเป็น "เป้าหมาย"
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
1.การสื่อสารติดต่อกับภาครัฐ 2.ที่พัก-ห้องน้ำ 3.อาหาร-น้ำดื่ม 4.ยารักษาโรค 5.เสื้อผ้า
ทุกปัญหาต้องกำหนดเป้าหมายการแก้ปัญหาด้วย "เวลา"
เกิดน้ำท่วมขึ้น ต้องสามารถติดต่อหน่วยงานรัฐได้ภายในเวลาเท่าไร
เมื่อหน่วยงานของรัฐรู้ปัญหา ต้องส่งความช่วยเหลือไปถึงมือผู้เดือดร้อนภายในเวลาเท่าไร
ต้องกำหนดแผนงานและเป้าหมายเวลาเป็น "ชั่วโมง"
ไม่ใช่ 3 วัน 7 วัน ชาวบ้านยังต้องช่วยตัวเองอยู่เลย
อย่าลืมว่าคนที่เดือดร้อน 1 ชั่วโมง ก็เหมือนกับ 1 วัน
"นาฬิกาความรู้สึก" มันวิ่งเร็ว
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เรือท้องแบนต้องเตรียมพร้อม อาหาร-น้ำดื่ม ต้องออกแบบไว้เลย ต้องไม่เสียง่าย เปิดกินง่าย และมีวัสดุห่อหุ้มไม่ให้เปียกน้ำ ฯลฯ
เลิกเสียทีเถอะครับ น้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช-กระบี่ แต่ส่งอาหาร-น้ำดื่มจากกรุงเทพฯไปช่วย
ทำไมไม่ซื้อจากจังหวัดใกล้ๆ เพื่อลดเวลาการขนส่ง
ทำไมไม่วางแผนประสานงานกับเทสโก้โลตัส บิ๊กซี หรือบริษัทเครื่องดื่มไว้ก่อน
มีปัญหาเมื่อไรก็ประสานงานให้ส่งจากจังหวัดใกล้เคียงไปก่อนเลย
อย่าลืมว่า "เวลา" มี "ราคา"
"ธนินท์ เจียรวนนท์" เจ้าสัวซีพี เจ้าของแนวคิด "2 สูง" ที่ "อภิสิทธิ์" นำมาใช้เคยบอกไว้ว่า "คนทำผิดครั้งแรกไม่ผิด แต่ทำผิดในสิ่งเดิม ครั้งที่ 2 นั่นคือ ความผิดที่แท้จริง"
น้ำท่วมครั้งนี้ ผมเห็นทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างหนัก
แต่ที่น่าเสียดาย คือแผนในการแก้ปัญหาไม่ดีเลย
ครับ ถ้าน้ำท่วมใหญ่แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 10 ปี รัฐบาลยังสามารถอ้างเหตุผลได้ว่าเหนือความคาดหมาย
แต่น้ำท่วมใหญ่เพิ่งเกิดไม่นาน ไม่กี่เดือนเอง
รอยแผลยังสดๆ อยู่เลย
การแก้ปัญหาควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่หรือครับ !
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชน)
เห็นการแก้ปัญหาอุทกภัยภาคใต้ของรัฐบาลแล้วผมคิดถึงเรื่องโรงพยาบาลเด็ก กับ "เฟอร์รารี่" ขึ้นมา
โรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกแบบห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กด้วยวิธีการใหม่
เขาติดต่อทีมงานของ "เฟอร์รารี่" มาช่วยวางแผน
ทีมงานชุดนี้ คือทีมในสนามแข่งรถสูตร 1 แบบเดียวกับรถแข่งที่ "กระทิงแดง" นำมาโชว์ที่ถนนราชดำเนิน
เพราะในสนามแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลก หากเกิดปัญหากับตัวรถขึ้นมา ทีมนี้ต้องจัดการแก้ปัญหาในเวลาที่เร็วที่สุด
ไม่ใช่ชั่วโมง ไม่ใช่นาที
แต่เขาคิดเป็น "วินาที"
ทุกอย่างต้องคิดละเอียดทุกขั้นตอน
เอา "เวลา" เป็นตัวตั้ง
ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเด็ก มีเป้าหมายเดียวกับทีมเฟอร์รารี่ คือต้องนำเด็กที่ป่วยหนักเข้าห้องฉุกเฉินให้เร็วที่สุด อุปกรณ์ทุกอย่างต้องพร้อมที่สุด และแพทย์ต้องปฏิบัติการให้เร็วที่สุด
หลักคิดแบบนี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ควรนำมาใช้กับการแก้ปัญหาน้ำท่วม
เอา "เวลา" มาเป็น "เป้าหมาย"
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
1.การสื่อสารติดต่อกับภาครัฐ 2.ที่พัก-ห้องน้ำ 3.อาหาร-น้ำดื่ม 4.ยารักษาโรค 5.เสื้อผ้า
ทุกปัญหาต้องกำหนดเป้าหมายการแก้ปัญหาด้วย "เวลา"
เกิดน้ำท่วมขึ้น ต้องสามารถติดต่อหน่วยงานรัฐได้ภายในเวลาเท่าไร
เมื่อหน่วยงานของรัฐรู้ปัญหา ต้องส่งความช่วยเหลือไปถึงมือผู้เดือดร้อนภายในเวลาเท่าไร
ต้องกำหนดแผนงานและเป้าหมายเวลาเป็น "ชั่วโมง"
ไม่ใช่ 3 วัน 7 วัน ชาวบ้านยังต้องช่วยตัวเองอยู่เลย
อย่าลืมว่าคนที่เดือดร้อน 1 ชั่วโมง ก็เหมือนกับ 1 วัน
"นาฬิกาความรู้สึก" มันวิ่งเร็ว
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เรือท้องแบนต้องเตรียมพร้อม อาหาร-น้ำดื่ม ต้องออกแบบไว้เลย ต้องไม่เสียง่าย เปิดกินง่าย และมีวัสดุห่อหุ้มไม่ให้เปียกน้ำ ฯลฯ
เลิกเสียทีเถอะครับ น้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช-กระบี่ แต่ส่งอาหาร-น้ำดื่มจากกรุงเทพฯไปช่วย
ทำไมไม่ซื้อจากจังหวัดใกล้ๆ เพื่อลดเวลาการขนส่ง
ทำไมไม่วางแผนประสานงานกับเทสโก้โลตัส บิ๊กซี หรือบริษัทเครื่องดื่มไว้ก่อน
มีปัญหาเมื่อไรก็ประสานงานให้ส่งจากจังหวัดใกล้เคียงไปก่อนเลย
อย่าลืมว่า "เวลา" มี "ราคา"
"ธนินท์ เจียรวนนท์" เจ้าสัวซีพี เจ้าของแนวคิด "2 สูง" ที่ "อภิสิทธิ์" นำมาใช้เคยบอกไว้ว่า "คนทำผิดครั้งแรกไม่ผิด แต่ทำผิดในสิ่งเดิม ครั้งที่ 2 นั่นคือ ความผิดที่แท้จริง"
น้ำท่วมครั้งนี้ ผมเห็นทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างหนัก
แต่ที่น่าเสียดาย คือแผนในการแก้ปัญหาไม่ดีเลย
ครับ ถ้าน้ำท่วมใหญ่แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 10 ปี รัฐบาลยังสามารถอ้างเหตุผลได้ว่าเหนือความคาดหมาย
แต่น้ำท่วมใหญ่เพิ่งเกิดไม่นาน ไม่กี่เดือนเอง
รอยแผลยังสดๆ อยู่เลย
การแก้ปัญหาควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่หรือครับ !
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
งานเข้าไม่หยุด ปิดฉากไม่สวย
ในตอนแรกนั้นดูเหมือนการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศล่วงหน้าว่าจะยุบสภาช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. จะเป็นตัวหล่อเย็นช่วยลดความร้อนแรงทางการเมืองลงไปได้มาก
เห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยต่างคนต่างอยู่ ก็เริ่มขยับหันมากลมเกลียวกันมากขึ้น บางพรรคถึงขั้นประกาศจับมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
หวังผลข้ามช็อตไปยังสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งที่จะผนึกกำลังต่อรองกลับเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ว่า 2 พรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะ
ขณะที่ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยก็ลดดีกรีการตรวจสอบรัฐบาลลงหลังจบศึกซักฟอก เพราะต้องเอาเวลามาจัดทัพจัดแถวหาคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งยังต้องรีบเร่งหาตัวผู้นำพรรคที่จะมาชูเป็นนายกฯ ให้ได้โดยเร็ว
ทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้โฟนอินส่งสัญญาณ ถึงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ให้เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง โดยตนเองพร้อมอำนวยความสะดวกทุกอย่างไม่ว่าการวางนโยบายหาเสียงหรือการวางท่อน้ำเลี้ยง
ในจังหวะการเปิดตัวของพรรคใหม่ที่มีชื่อ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นหัวหน้าพรรค ก็สามารถดึงดูดความสนใจของคนเกลียดมาร์ค-เบื่อแม้วได้ไม่น้อย
รวมถึงการที่บรรดานักการเมืองต่างพรรคพร้อมใจกันผลักดันกฎหมายลูก 3 ฉบับรองรับการเลือกตั้งและการทำงานของกกต. จนผ่านสภาวาระแรกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังได้รับการยืนยันจากเหล่าขุนทหารโดย เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลา โหม ว่ากองทัพพร้อมหนุนการเลือกตั้ง จะไม่มีการทำปฏิวัติแน่นอน
ถ้ามองอย่างผิวเผินจึงดูเหมือนสถาน การณ์ในช่วงวาระสุดท้ายของรัฐบาล การเมืองจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเริ่มผ่านไปนานเข้า ขณะที่ห้วงเวลาการยุบสภาตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ระบุยังเหลืออีก 1 เดือน ทำให้เกิดกระแสข่าวสารพัดต่างๆ นานา จนหลายคนเริ่มไขว้เขว ไม่มั่นใจจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง แล้วก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ได้พยายามเคลื่อนไหวโน้มน้าวสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนเอง
ไม่ว่าการเรียกร้องให้มีการยุบสภาแต่ไม่ให้มีการเลือกตั้ง ให้เว้นวรรคนักการเมือง 3 ปี ขอพระราชทานนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 7
นอกจากนี้ยังมีการพยายามที่จะกดดันให้ กกต.ลาออก เพื่อทำแท้งการเลือกตั้ง ซึ่งบังเอิญสอดรับกับกรณีนางสดศรี สัตยธรรม ประกาศพร้อมไขก๊อกหากได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
นางสดศรีอ้างว่าไม่สบายใจที่มีความต้องการสกัดกั้นกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับไม่ให้เสร็จ อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ยังดูแปลกๆ เหมือนกับโยนลูกให้ กกต.รับไปทั้งหมด
ถึงแม้ต่อมา กกต.ทั้ง 4 คนที่เหลือจะยืนยันว่าพร้อมอยู่ต่อเพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ลุล่วง
แต่จากนั้นไม่กี่วันก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ใครหลายคนซึ่งกำลังใจจดจ่ออยู่กับการเลือกตั้ง ต้องเกิดอาการหวาดระแวง คือเหตุการณ์สภาล่ม 3 วันติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากกฎหมายลูก 3 ฉบับถึงจะผ่านสภาวาระแรก แต่เท่ากับเพิ่งจะคลอดได้แค่ครึ่งตัว เหลืออีกครึ่งตัวคือวาระ 2 และ 3 กำลังจ่อเข้าสภาวันที่ 7 เม.ย.
ทั้งฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้งเร็ว และฝ่ายที่ไม่อยากให้เลือกตั้งเลย รวมถึงฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้ง แต่อยากให้ยืดเวลาออกไปก่อน ก็เลยต้องไปลุ้นกันอีกยก
การที่สภาล่ม 3 วันติดต่อกันผลเสียหายที่ตามมา นอกจากทำให้การพิจารณาเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ต้องเลื่อนออกไป
ยังเกิดการพูดกันมากว่าสาเหตุที่ส.ส.ไม่ยอมมาประชุมจนทำให้สภาล่มนั้น
เป็นเพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาล่วงหน้าชัดเจน ทำให้ส.ส.ต้องแย่งชิงกันลงพื้นที่แข่งกันหาเสียงแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าขืนอยู่ประชุมสภาอาจไม่ได้กลับมาเป็นส.ส.
อย่างที่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวเปรียบเปรย ว่าสภาตอนนี้เหมือนบริษัทปิดแล้ว พนักงานรู้ว่าตนเองต้องตก งานจึงต้องไปหางานใหม่ จะให้มาอยู่ได้อย่างไร
ตามมาติดๆ กับเสียงตัดพ้อจากส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ใจดำ ไม่ยอมให้ ส.ส. พรรคลงพื้นที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะมัวแต่ห่วงสภาจะล่ม
ทั้งที่ภาคใต้เป็นฐานเสียงของพรรคแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์มีคำถามขึ้นมาจนได้ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ ควร ฉับไวต่อการลงไปดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่านี้หรือไม่
แล้วก็เป็นอะไรที่เหมือนซ้ำเติมรัฐบาลกับโครงการสำรวจอีสานโพล ของมหา วิทยาลัยขอนแก่น ระบุเสียงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลของชาวอีสานลดต่ำลงทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากชาวอีสานมองว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องราคาสินค้าและค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้เป็นรูปธรรม
ไปๆ มาๆ ก็เหมือนวกกลับมาที่ความไร้ฝีมือด้านการ บริหารประเทศ และความเชื่องช้าต่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งเป็นบุคลิกเดิมๆ ของประชาธิปัตย์
จากปัญหาที่พันกันจนยุ่งเหยิงจากเรื่องหนึ่งโยงไปอีกเรื่องหนึ่ง ชนิดคาถา "ยุบสภา" ที่นายกฯ ท่องบ่นรายวันก็ช่วยคลี่คลายอะไรไม่ได้
ถึงยังหาความแน่นอนไม่ได้ว่าการเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว
แต่ที่แน่ๆ คือมีสัญญาณหลายอย่างบ่งชี้รัฐบาลชุดนี้ปิดฉากตัวเองไม่สวย แน่นอน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยต่างคนต่างอยู่ ก็เริ่มขยับหันมากลมเกลียวกันมากขึ้น บางพรรคถึงขั้นประกาศจับมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
หวังผลข้ามช็อตไปยังสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งที่จะผนึกกำลังต่อรองกลับเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ว่า 2 พรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะ
ขณะที่ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยก็ลดดีกรีการตรวจสอบรัฐบาลลงหลังจบศึกซักฟอก เพราะต้องเอาเวลามาจัดทัพจัดแถวหาคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งยังต้องรีบเร่งหาตัวผู้นำพรรคที่จะมาชูเป็นนายกฯ ให้ได้โดยเร็ว
ทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้โฟนอินส่งสัญญาณ ถึงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ให้เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง โดยตนเองพร้อมอำนวยความสะดวกทุกอย่างไม่ว่าการวางนโยบายหาเสียงหรือการวางท่อน้ำเลี้ยง
ในจังหวะการเปิดตัวของพรรคใหม่ที่มีชื่อ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นหัวหน้าพรรค ก็สามารถดึงดูดความสนใจของคนเกลียดมาร์ค-เบื่อแม้วได้ไม่น้อย
รวมถึงการที่บรรดานักการเมืองต่างพรรคพร้อมใจกันผลักดันกฎหมายลูก 3 ฉบับรองรับการเลือกตั้งและการทำงานของกกต. จนผ่านสภาวาระแรกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังได้รับการยืนยันจากเหล่าขุนทหารโดย เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลา โหม ว่ากองทัพพร้อมหนุนการเลือกตั้ง จะไม่มีการทำปฏิวัติแน่นอน
ถ้ามองอย่างผิวเผินจึงดูเหมือนสถาน การณ์ในช่วงวาระสุดท้ายของรัฐบาล การเมืองจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเริ่มผ่านไปนานเข้า ขณะที่ห้วงเวลาการยุบสภาตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ระบุยังเหลืออีก 1 เดือน ทำให้เกิดกระแสข่าวสารพัดต่างๆ นานา จนหลายคนเริ่มไขว้เขว ไม่มั่นใจจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง แล้วก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ได้พยายามเคลื่อนไหวโน้มน้าวสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนเอง
ไม่ว่าการเรียกร้องให้มีการยุบสภาแต่ไม่ให้มีการเลือกตั้ง ให้เว้นวรรคนักการเมือง 3 ปี ขอพระราชทานนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 7
นอกจากนี้ยังมีการพยายามที่จะกดดันให้ กกต.ลาออก เพื่อทำแท้งการเลือกตั้ง ซึ่งบังเอิญสอดรับกับกรณีนางสดศรี สัตยธรรม ประกาศพร้อมไขก๊อกหากได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
นางสดศรีอ้างว่าไม่สบายใจที่มีความต้องการสกัดกั้นกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับไม่ให้เสร็จ อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ยังดูแปลกๆ เหมือนกับโยนลูกให้ กกต.รับไปทั้งหมด
ถึงแม้ต่อมา กกต.ทั้ง 4 คนที่เหลือจะยืนยันว่าพร้อมอยู่ต่อเพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ลุล่วง
แต่จากนั้นไม่กี่วันก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ใครหลายคนซึ่งกำลังใจจดจ่ออยู่กับการเลือกตั้ง ต้องเกิดอาการหวาดระแวง คือเหตุการณ์สภาล่ม 3 วันติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากกฎหมายลูก 3 ฉบับถึงจะผ่านสภาวาระแรก แต่เท่ากับเพิ่งจะคลอดได้แค่ครึ่งตัว เหลืออีกครึ่งตัวคือวาระ 2 และ 3 กำลังจ่อเข้าสภาวันที่ 7 เม.ย.
ทั้งฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้งเร็ว และฝ่ายที่ไม่อยากให้เลือกตั้งเลย รวมถึงฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้ง แต่อยากให้ยืดเวลาออกไปก่อน ก็เลยต้องไปลุ้นกันอีกยก
การที่สภาล่ม 3 วันติดต่อกันผลเสียหายที่ตามมา นอกจากทำให้การพิจารณาเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ต้องเลื่อนออกไป
ยังเกิดการพูดกันมากว่าสาเหตุที่ส.ส.ไม่ยอมมาประชุมจนทำให้สภาล่มนั้น
เป็นเพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาล่วงหน้าชัดเจน ทำให้ส.ส.ต้องแย่งชิงกันลงพื้นที่แข่งกันหาเสียงแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าขืนอยู่ประชุมสภาอาจไม่ได้กลับมาเป็นส.ส.
อย่างที่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวเปรียบเปรย ว่าสภาตอนนี้เหมือนบริษัทปิดแล้ว พนักงานรู้ว่าตนเองต้องตก งานจึงต้องไปหางานใหม่ จะให้มาอยู่ได้อย่างไร
ตามมาติดๆ กับเสียงตัดพ้อจากส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ใจดำ ไม่ยอมให้ ส.ส. พรรคลงพื้นที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะมัวแต่ห่วงสภาจะล่ม
ทั้งที่ภาคใต้เป็นฐานเสียงของพรรคแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์มีคำถามขึ้นมาจนได้ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ ควร ฉับไวต่อการลงไปดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่านี้หรือไม่
แล้วก็เป็นอะไรที่เหมือนซ้ำเติมรัฐบาลกับโครงการสำรวจอีสานโพล ของมหา วิทยาลัยขอนแก่น ระบุเสียงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลของชาวอีสานลดต่ำลงทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากชาวอีสานมองว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องราคาสินค้าและค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้เป็นรูปธรรม
ไปๆ มาๆ ก็เหมือนวกกลับมาที่ความไร้ฝีมือด้านการ บริหารประเทศ และความเชื่องช้าต่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งเป็นบุคลิกเดิมๆ ของประชาธิปัตย์
จากปัญหาที่พันกันจนยุ่งเหยิงจากเรื่องหนึ่งโยงไปอีกเรื่องหนึ่ง ชนิดคาถา "ยุบสภา" ที่นายกฯ ท่องบ่นรายวันก็ช่วยคลี่คลายอะไรไม่ได้
ถึงยังหาความแน่นอนไม่ได้ว่าการเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว
แต่ที่แน่ๆ คือมีสัญญาณหลายอย่างบ่งชี้รัฐบาลชุดนี้ปิดฉากตัวเองไม่สวย แน่นอน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554
"ปุ"ลุยเอง! ตั้ง...รักษ์สันติ
ที่สมาคมแต้จิ๋ว มีงานแสดงวิสัยทัศน์ของร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครักษ์สันติ โดยนำภาพกิจกรรมสมัยทำงานทางการเมืองมาแสดง พร้อมเขียนสโลแกน “รวมพลังใจให้คนดี(ไม่มีเสื่อม)” และแจกไม้บรรทัดเล็กเป็นที่ระลึก โดยมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตรอง ผบ.ตร. มาร่วมให้กำลังใจด้วย และระบุว่ายังไม่ได้เข้าร่วมพรรคหรือตัดสินใจอนาคตทางการเมือง เพียงแต่มาให้กำลังใจเพื่อนเท่านั้น
ร.ต.อ.ปุระชัย แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาหลายปี การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนามาสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มใด ทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ สีสูงสุดของตนคือสีธงไตรรงค์ มาครั้งนี้ไม่ได้หวังจะมาแย่งอำนาจของพรรคไหน แต่เห็นประชาชนได้รับความเดือดร้อน ให้อยู่เฉยๆคงไม่ได้ เหมือนชาวบ้านบางระจันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองโดยมิได้หวังตำแหน่งว่าจะต้องเป็นขุนเป็นพระยา จึงขออาสากลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง
“จากผลการสำรวจความคิดของประชาชนพบว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะเลือกใครในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงอยากขอประชามติของประชาชนว่าต้องการให้ผมทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือไม่ ถ้าต้องการก็ขอให้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง หากจะโนโหวตก็ขอให้กาเลือกปุระชัย ไม่ว่าผมจะไปอยู่สังกัดพรรคใดก็ตาม” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
จากนั้นร.ต.อ.ปุระชัย ให้สัมภาษณ์ว่า การกลับมาทำงานการเมืองบอกตรงๆว่าไม่อยากทำ กำลังจะไปท่องโลกแล้ว แต่กลับมาอีกครั้งเพราะชาติต้องมาก่อน หากมีสิ่งใดที่ตนและเพื่อนช่วยเหลือให้ชาติผ่านวิกฤตได้ก็พร้อมจะทำ สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ชาติไปสู่ครรลองที่มีความสุข สามัคคีได้ ขณะนี้โลกมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ใช่เวลาที่คนในประเทศจะมาขัดแย้งกันเองได้ เช่น ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับทั้งไทยและต่างประเทศ จะทำอย่างไรให้เราสามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้
ต่อข้อถามว่าขณะนี้่ดำรงตำแหน่งใดและสังกัดพรรคใด ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตนอยู่พรรคใหม่ ไม่อยู่พรรคที่มีอยู่แล้ว โดยพรรคใหม่อยู่ระหว่างการจัดตั้งพรรค ยื่นเรื่องการจัดตั้งพรรคเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เชื่อว่าจะสามารถจัดตั้งพรรคได้ทัน แต่ถ้าไม่ทันจะลงเลือกตั้งครั้งต่อไป การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด ส่วนจะอยู่ตำแหน่งใด พรรคชื่ออะไร โดยมารยาทหากยังจัดตั้งไม่เรียบร้อยก็ไม่ควรพูด
“สาเหตุที่เลือกอยู่พรรคใหม่เพราะเหมือนการสร้างบ้าน เมื่อเราสร้างเองก็รู้ว่าโครงสร้างตรงไหนแข็งแรง ไม่แข็งแรง แต่หากเลือกซื้อบ้านที่สร้างไว้แล้ว เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตรงไหนที่ไม่แข็งแรงบ้าง พรรคการเมืองเป็นยิ่งกว่าบ้าน ฉะนั้นการสร้างพรรคใหม่จึงดีกว่าการไปอยู่พรรคอื่นที่สร้างไว้แล้วที่ต้องปรับตัวและไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
ต่อข้อถามถึงกระแสความนิยมที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯนั้น ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ขณะนี้เร็วและไกลเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว ต้องรอให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งก่อน ส่วนการเลือกนายกฯ ต้องเป็นการออกเสียงในสภาอีกครั้ง ยังไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคมยังคงต้องทำ ทั้งเรื่องยาเสพติด การค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความสามัคคีปรองดองให้กับประเทศ
เมื่อถามว่าการกลับสู่การเมืองครั้งนี้ต้องปรับเปลี่ยนบุคลิคหรือไม่ ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตอนนี้ตนเปลี่ยนไปเยอะ ช้าลง ต้องใส่แว่น พูดช้าลง และระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประสบการณ์ที่ต้องถูกฟ้องร้องจากคดีกล้ายาง คดีหวยบนดิน ทำให้ตนทำอะไรด้วยความระวังมากขึ้น เคยคิดว่าหากไม่ประพฤติชั่วก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ขณะนี้ไม่ใช่เพราะตนไม่ได้ทำอะไร ก็ถูกดำเนินคดีอาญาได้
“ผมและเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งพรรค อยากเห็นการเลือกตั้ง ไม่อยากเข้าสู่วังวนของรัฐประหาร อยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อดูจากการสำรวจความเห็นของประชาชนแล้วมีเสียงโนโหวตอยู่มาก ขอให้เลือกผมเข้าไปทำงาน หากจะให้ประเมินคะแนนของตัวเองคงต้องบอกว่าตอนนี้เสียงดี แต่จะมีคะแนนหรือไม่ยังไม่ทราบ เพราะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝากทุกคนว่าชาติเป็นสมบัติของทุกคนต้องรักษาทะนุถนอม อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอให้พรรคผมได้เป็นทางเลือกอย่าโนโหวต” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
ที่มา. ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ร.ต.อ.ปุระชัย แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาหลายปี การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนามาสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มใด ทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ สีสูงสุดของตนคือสีธงไตรรงค์ มาครั้งนี้ไม่ได้หวังจะมาแย่งอำนาจของพรรคไหน แต่เห็นประชาชนได้รับความเดือดร้อน ให้อยู่เฉยๆคงไม่ได้ เหมือนชาวบ้านบางระจันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองโดยมิได้หวังตำแหน่งว่าจะต้องเป็นขุนเป็นพระยา จึงขออาสากลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง
“จากผลการสำรวจความคิดของประชาชนพบว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะเลือกใครในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงอยากขอประชามติของประชาชนว่าต้องการให้ผมทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือไม่ ถ้าต้องการก็ขอให้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง หากจะโนโหวตก็ขอให้กาเลือกปุระชัย ไม่ว่าผมจะไปอยู่สังกัดพรรคใดก็ตาม” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
จากนั้นร.ต.อ.ปุระชัย ให้สัมภาษณ์ว่า การกลับมาทำงานการเมืองบอกตรงๆว่าไม่อยากทำ กำลังจะไปท่องโลกแล้ว แต่กลับมาอีกครั้งเพราะชาติต้องมาก่อน หากมีสิ่งใดที่ตนและเพื่อนช่วยเหลือให้ชาติผ่านวิกฤตได้ก็พร้อมจะทำ สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ชาติไปสู่ครรลองที่มีความสุข สามัคคีได้ ขณะนี้โลกมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ใช่เวลาที่คนในประเทศจะมาขัดแย้งกันเองได้ เช่น ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับทั้งไทยและต่างประเทศ จะทำอย่างไรให้เราสามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้
ต่อข้อถามว่าขณะนี้่ดำรงตำแหน่งใดและสังกัดพรรคใด ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตนอยู่พรรคใหม่ ไม่อยู่พรรคที่มีอยู่แล้ว โดยพรรคใหม่อยู่ระหว่างการจัดตั้งพรรค ยื่นเรื่องการจัดตั้งพรรคเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เชื่อว่าจะสามารถจัดตั้งพรรคได้ทัน แต่ถ้าไม่ทันจะลงเลือกตั้งครั้งต่อไป การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด ส่วนจะอยู่ตำแหน่งใด พรรคชื่ออะไร โดยมารยาทหากยังจัดตั้งไม่เรียบร้อยก็ไม่ควรพูด
“สาเหตุที่เลือกอยู่พรรคใหม่เพราะเหมือนการสร้างบ้าน เมื่อเราสร้างเองก็รู้ว่าโครงสร้างตรงไหนแข็งแรง ไม่แข็งแรง แต่หากเลือกซื้อบ้านที่สร้างไว้แล้ว เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตรงไหนที่ไม่แข็งแรงบ้าง พรรคการเมืองเป็นยิ่งกว่าบ้าน ฉะนั้นการสร้างพรรคใหม่จึงดีกว่าการไปอยู่พรรคอื่นที่สร้างไว้แล้วที่ต้องปรับตัวและไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
ต่อข้อถามถึงกระแสความนิยมที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯนั้น ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ขณะนี้เร็วและไกลเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว ต้องรอให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งก่อน ส่วนการเลือกนายกฯ ต้องเป็นการออกเสียงในสภาอีกครั้ง ยังไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคมยังคงต้องทำ ทั้งเรื่องยาเสพติด การค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความสามัคคีปรองดองให้กับประเทศ
เมื่อถามว่าการกลับสู่การเมืองครั้งนี้ต้องปรับเปลี่ยนบุคลิคหรือไม่ ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตอนนี้ตนเปลี่ยนไปเยอะ ช้าลง ต้องใส่แว่น พูดช้าลง และระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประสบการณ์ที่ต้องถูกฟ้องร้องจากคดีกล้ายาง คดีหวยบนดิน ทำให้ตนทำอะไรด้วยความระวังมากขึ้น เคยคิดว่าหากไม่ประพฤติชั่วก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ขณะนี้ไม่ใช่เพราะตนไม่ได้ทำอะไร ก็ถูกดำเนินคดีอาญาได้
“ผมและเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งพรรค อยากเห็นการเลือกตั้ง ไม่อยากเข้าสู่วังวนของรัฐประหาร อยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อดูจากการสำรวจความเห็นของประชาชนแล้วมีเสียงโนโหวตอยู่มาก ขอให้เลือกผมเข้าไปทำงาน หากจะให้ประเมินคะแนนของตัวเองคงต้องบอกว่าตอนนี้เสียงดี แต่จะมีคะแนนหรือไม่ยังไม่ทราบ เพราะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝากทุกคนว่าชาติเป็นสมบัติของทุกคนต้องรักษาทะนุถนอม อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอให้พรรคผมได้เป็นทางเลือกอย่าโนโหวต” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว
ที่มา. ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)