--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

อัยการนัดสั่งคดีแนวร่วมพันธมิตรฯ บุกสนามบิน 10 พ.ค.

วันอังคาร ที่ 05 เม.ย. 2554 กรุงเทพฯ 5 เม.ย. - พล.อ.ปฐมพงษ์ และแนวร่วม พธม. 10 คน รายงานตัวอัยการ พนง.สอบสวน หอบหลักฐานร่วมแสนหน้า สั่งฟ้องมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน บุกดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ส่งอัยการนัดสั่งคดี 10 พ.ค. อธิบดีอัยการคดีอาญา ระบุสั่งสอบเพิ่มสำนวน “ไชยวัฒน์” กับพวก 3 คนแล้ว รอคัดคำพิพากษาศาลแพ่งสั่งพันธมิตร ฯ ชดใช้ ทอท.พิจารณาพร้อมสำนวนใหม่ด้วย

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.อ.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.บก.น.9 พนักงานสอบสวน คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ นำตัว พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค น.ส.เมธาวดี เบญจาราชจารุนันธ์ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นายสุทิน วรรณบวร น.ส.ราตรี ชวนบุญ นางอัจฉรา สุวรรณวาศ นายอธิวัฒน์ บุญชาติ นายไทกร พลสุวรรณ และ น.ส.ต้นฝัน แสงอาทิตย์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เข้ารายงานตัวต่อนายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 พร้อมส่งมอบสำนวนหลักฐานจำนวน 26 ลัง เอกสารกว่า 80,000 หน้า และความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ข้อหากระทำการแสดงให้ปรากฏด้วยวาจาอันไม่ใช่ความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหาอื่น ๆ แต่ไม่ปรากฏข้อหาร่วมกันก่อการร้าย เพื่อพิจารณาสั่งคดี

นายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 กล่าวว่า อัยการต้องใช้เวลาตรวจสำนวนพยานหลักฐานระยะหนึ่ง พร้อมพิจารณารายละเอียดของหนังสือขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาด้วย ขณะที่อัยการนัดผู้ต้องหาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.

นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความกลุ่มพันธมิตร ฯ กล่าวว่า คดีนี้เหลือผู้ต้องหากว่า 80 คนที่ยังไม่ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน และมีบางส่วนได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เพราะเห็นว่าการตั้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนนั้นเกินจริง และมีพยานหลักฐานไม่ชัดเจน โดยผู้ต้องหาที่เหลือกว่า 80 คนจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อส่งตัวต่ออัยการ ในวันที่ 10 พ.ค.นี้

ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า อัยการพิจารณาสำนวนหลักฐานแล้วเห็นว่า ลักษณะพฤติการณ์เกี่ยวพันเหตุการณ์หลายส่วน ซึ่งต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่จะมีความเห็นสั่งคดีได้ โดยอัยการได้แจ้งให้สอบเพิ่มตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. ขณะที่อัยการจะได้นำผลคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ตัดสินให้แกนนำพันธมิตร ฯ กับพวก ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 522 ล้านบาทเศษ แก่บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน) หรือ ทอท. มาพิจารณาด้วย ส่วนที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนเพิ่มเติมในวันนี้อีก 10 คน อัยการก็จะได้พิจารณาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งต้องดูว่าประเด็นข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดีครบถ้วนหรือไม่ .

ที่มา. สำนักข่าวไทย
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

Start กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ

มดงานอาชีวะ สร้างชาติ เปลี่ยนโลก

การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ สอง (พ.ศ.2552-2561) นั้น มีสาระสำคัญ เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง มีคุณภาพ และมีเป้าหมายภายในปี 2561 จะเกิดการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ อย่างเป็นระบบ

ในขณะที่การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (เอฟทีเอ) นั้นได้ส่งผลให้กลุ่มประ เทศสมาชิกอาเซียนเกิดความตื่นตัวเตรียม ความพร้อมต่อการค้าเสรีที่จะนำไปสู่ธุรกิจ อุตสาหกรรมใหม่ๆ การปฏิรูปการศึกษาเพื่อ รองรับความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลให้มีศักยภาพในการแข่งขัน กับนานาประเทศ

ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาสายวิชาชีพเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สำนัก งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตบุคลากรจึงได้ดำเนินการแสวงหาความร่วมมือ จากผู้ประกอบการภาคเอกชนทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษาอาชีวะแบบทวิภาคี มุ่งสมรรถนะอาชีพเป็นหลักด้วยการปฏิบัติจริงในสถานการณ์จริง และนำ ความรู้และประสบการณ์ไปใช้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

“วิรัตน์ คันธารัตน์” ผู้อำนวยการ เชี่ยวชาญ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการศึกษาสายอาชีพ ภายใต้หลักสูตร “ทวิภาคี” ได้แสดงความ เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการบริหารสถานศึกษามาอย่างยาวนาน ซึ่งเขาได้เล็ง เห็นว่า “มดงาน” เป็นสรรพกำลังหลักใน การสร้างชาติสร้างเมืองดังนี้

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัด ตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเป็นหน่วยงานอิสระ ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาสมรรถนะหรือทักษะ กำหนดเกณฑ์ ทางด้านวิชาชีพในแต่ละอาชีพ แล้วจึงออก ใบรับรองวิชาชีพว่ามีความสามารถในระดับ ไหน เมื่อจบออกไปแล้วจะได้ค่าครองชีพ หรือเงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะเปลี่ยนค่านิยมของผู้เรียนและผู้ปกครอง จากเดิมที่นิยมส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาสายสามัญ และรับปริญญาตรี

ในอดีตหลักสูตรวิชาชีพอาชีวะ เรามุ่งเน้นให้นักเรียนนักศึกษาร่ำเรียนหลักสูตร ในตำรา ครูอาจารย์ให้แบบฝึกหัด ทำการบ้านในห้องเรียน และได้กำหนดให้นักศึกษา ฝึกอบรมตามสถานประกอบการเอกชนต่างๆ ระยะสั้น 20 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ซึ่งสถานประกอบการยืนยันว่าระยะเวลาสั้นเกินไป เด็กฝึกงานพอจะเรียนรู้งานก็ต้องกลับไปเรียนในสถานศึกษา ไม่เพียงพอที่จะ ทำให้นักเรียนเหล่านั้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสนองตอบความต้องการของผู้ประกอบการหรือตลาดแรงงานได้อย่างแท้จริง สอศ.จึงได้ผลักดันให้มีการเรียนระบบทวิภาคี ตาม พ.ร.บ.มาตรา 8 การอาชีวศึกษา 2552

ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจว่า การมีส่วนร่วม ในสังคมจะนำไปสู่ความสำเร็จที่งดงามเสมอ เขายืนยันว่า ที่ผ่านมา สอศ.ได้แสวงหา ความร่วมมือจากภาคเอกชนมากมาย ทั้งภาค อุตสาหกรรม การเกษตร พาณิชยกรรมว่า ระบบบทวิภาคี ต้องฝึกงานตั้งแต่ต้น จึงต้องให้นักเรียนไปยังสถานที่จริง ซึ่งการ มีความรับผิดชอบ วุฒิภาวะจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องปลูกฝังฝึกฝนจากประสบการณ์จริงเรียกว่า “เด็กฝึกงาน” ทั้งนี้ครูนิเทศจะพิจารณาจากสมุดบันทึกหรือตารางที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้ให้ สถานประกอบการกำหนดให้ครูฝึกมอบหมายภารกิจใดให้นักเรียนได้ปฏิบัติมีผลบวก ลบ อย่างไร

สอศ.ได้ตกลงกับสถานประกอบการ ที่ร่วมทำเอ็มโอยู ว่าจะต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้กับเด็กฝึกงาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้บางองค์กรยังมีอาหารให้เด็กรับประทาน 2 มื้อ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรทวิภาคีได้ตอบโจทย์รากหญ้าได้เป็นอย่างดีตามนโยบายรัฐบาล เรียนฟรี ระหว่างเรียนมีเงินใช้ จบแล้วมีงานทำ

เสน่ห์ของเด็กอาชีวะอยู่ตรงที่ เมื่อจบ หลักสูตรทวิภาคี จะได้รับใบรับรองการผ่าน งานจากสถานประกอบการหรือฉบับวิชาชีพ ปวช.-ปวส. ก็จะได้รับใบประกาศฉบับวิชาชีพ ชั้นสูง พร้อมกับหนังสือรับรองการผ่านงาน จากสถานประกอบการ 2 ใบด้วยกัน ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ประกอบการจะเลือกใครระหว่างผู้จบมีคุณวุฒิวิชาการ หรือผู้ที่มีคุณวุฒิ และใบประกาศรับรองการทำงาน จากสถานประกอบการ และในอนาคตอัน ใกล้สอศ. ได้ดำเนินการผลักดันสถาบัน คุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กที่เรียนสายอาชีพจบระดับปริญญาตรีสายวิชาชีพ เช่นเดียวกับสายสามัญนั่นเอง

“วิรัตน์ คันธารัตน์” ยังสะท้อน มุมมองถึงปัญหาภาพลักษณ์ของอาชีวะ โดยเฉพาะนิยามที่ว่า “นักเรียน นักเลง” ว่า เด็กอาชีวะทะเลาะกันหรือตีกันต้องแก้ ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ อาชีวะเองเป็นเพียงปลายเหตุ ต้องมองถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลัก ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่อนุบาล เด็กบ้านแตกอยู่กับย่า ตา ยาย ไม่เคยเห็น หน้าพ่อหน้าแม่ แม้มีแม่ที่ส่งเสียเล่าเรียน เขาก็เรียกแม่บังเกิดเกล้าว่า... “ผู้หญิงคน นั้น” เพราะตลอดระยะเวลากว่าสิบปีเด็ก เหล่านี้ไม่เคยมีสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกเลย นี่คือปัญหาใหญ่ที่สังคมจะต้องช่วย กันแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาของอาชีวะ

ฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ลงนามกับ สอศ. ดำเนินการสอนหลักสูตรทวิภาคีบ้าง “ภัทรา ศิลาอ่อน” ประธานกรรมการ บริษัท เอสแอนด์พี เล่าให้ฟังว่า เอสแอนด์พี ดำเนินธุรกิจด้านอาหารมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้สั่งสมประสบการณ์พัฒนาเมนูอาหารคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศ ตอบสนองความต้องการลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจอาหาร เอสแอนด์พี จึงได้ลงนาม ความร่วมมือกับ สอศ. เพื่อส่งเสริมพัฒนา บุคลากรด้านอาหาร และโภชนาการแก่นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษา สังกัด สอศ. โดยการพัฒนาหลักสูตรด้านอาหาร และโภชนาการ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดอบรมความรู้และเทคโนโลยีให้แก่ครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัด สอศ. พร้อมทั้งสนับสนุนวิทยากร มาบรรยายความรู้และเทคนิคในสาขาวิชา อาหารและโภชนาการ

“ดิฉันเชื่อมั่นว่าการศึกษาในรูปแบบ ทวิภาคีที่มีการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง จะทำให้นักเรียนนักศึกษาพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เด็กจะมาเรียนประสบการณ์จริง จากเราสัปดาห์ละ 4 วัน และเรียนวิชาการ ที่สถาบันอีก 2 วัน ส่วนเด็กต่างจังหวัดจะเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เวลา 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเรามีเบี้ยเลี้ยงให้เด็กๆ ตามลำดับชั้น ปวช.1-3 วันละ 150, 170 และ 180 บาท ส่วนปวส.1-2 ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 185-195 บาท โดยที่เอสแอนด์พี มีอาหารให้น้องๆ รับประทานวันละ 2 มื้อ ส่วนนักเรียนที่ประจำสำนักงานทำบัญชีไม่มีอาหารจะเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 50 บาท”

นั่นคือความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับภาคเอกชน ซึ่งเอสแอนด์พีรับประกันว่า นักเรียนที่ผ่านหลักสูตรทวิภาคี จะมีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานยังสาขา ต่างประเทศอย่างแน่นอน


ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

สไตล์ไม้บรรทัด





เมื่อวันเสาร์ ที่สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย

เป็นการเปิดตัว ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อย่างทางการในการเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่แทรกกลางระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีกราว 2 เดือนข้างหน้า

ภายใต้คอนเซ็ปต์ 'มิสเตอร์ไม้บรรทัด'

ในงานมีการแจกไม้บรรทัด เขียนข้อความ 'รวมพลังให้กำลังใจปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ คนดีไม่มีเสื่อม' ให้สื่อมวลชนและผู้ร่วมงานเป็นที่ระลึก

ชัดเจนว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ร.ต.อ.ปุระชัย จะลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1

หาเสียงชูนโยบาย 'จัดระเบียบสังคม' ซึ่งเคยสร้างชื่อให้ร.ต.อ.ปุระชัย ตอนเป็นรมว.มหาดไทย สมัย 'รัฐบาลทักษิณ' จนได้ฉายา 'มือปราบ สายเดี่ยว'

ส่วนพรรคที่จะสังกัดอยู่ระหว่างขออนุมัติจาก กกต. ชื่อว่า 'พรรครักษ์สันติ'

ร.ต.อ.ปุระชัย ชี้แจงเหตุผลที่ไม่ร่วมกับพรรคประชาสันติ ตามข่าวก่อนหน้านี้เพราะต้องการเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างบ้านใหม่ด้วยตัวเอง ตั้งแต่การออกแบบ ตอกเสาเข็ม เทคาน ขึ้นโครงสร้าง

เพื่อให้บ้านซึ่งหมายถึงพรรคที่ตั้งขึ้นเป็นไปตามกฎกติกาทุกอย่าง ไม่ให้มีช่องโหว่ที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาเป็นเหตุเล่นงานภายหลังได้

ถ้าไปซื้อบ้านที่มีอยู่แล้วตรงนี้จะเป็นข้อเสี่ยง

มาถึงคำถามสำคัญเกี่ยวกับโพลสำรวจพบเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้เป็นทางเลือกใหม่ในตำแหน่ง นายกฯ ร.ต.อ.ปุระชัย แบ่งรับแบ่งสู้ บอกเป็นเรื่องอีกไกล ต้องรอให้ได้รับเลือกตั้งก่อน

เพราะถึงเสียงดี แต่ไม่รู้จะมีคะแนนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจล่าสุดเอแบคโพล หัวข้อคะแนนนิยมต่อพรรคการเมืองในบรรยากาศโหมโรงปลุกกระแสเลือกตั้ง

พบคะแนนนิยมประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย สูสีคู่คี่กันในระดับร้อยละ 26.4 กับ 25.5 ซึ่งในทางสถิติไม่ถือว่าแตกต่างกัน ขณะที่พรรคอื่นๆ ได้ร้อยละ 15.4

โดยมีคนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินใจ และกำลังมองหาพรรคที่ดีกว่าสองพรรคใหญ่ถึงร้อยละ 32.7 ซึ่งถือเป็นพื้นที่ว่างสำหรับทุกพรรค

ตรงนี้เองที่ร.ต.อ.ปุระชัย ฝากเอาไว้ว่าถ้าใครคิดจะ 'โนโหวต' ก็ให้เปลี่ยนใจมาโหวตเลือก 'ปุระชัย' ดีกว่า

ออดอ้อนขอคะแนนเสียงกันตรงๆ ตามสไตล์ 'นายไม้บรรทัด' เปรี๊ยะเลย

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์.เหล็กใน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

งานศพวีรชน คุณเทิดศักดิ์..

ไอวอรี่โคสต์ เสียชีวิตแล้วกว่า 800 ราย: ลี้ภัยไปลิเบอร์เรียนับแสน .

ชาวไอวอรี่โคสต์เสียชีวิตแล้ว 800 ราย

คณะกรรมการสภากาชาดระหว่างประเทศ ระบุว่ามีชาวไอวอรี่โคสต์เสียชีวิตไปแล้ว 800 ราย โดยนาย Guillaume Ngefa รองผู้อำนวยการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติระบุว่าการกระทำในไอวอรี่โคสต์นั้นถือเป็นการสังหารหมู่
โดยยอดผู้เสียชีวิตเมื่อวันจันทร์ถึงวันพุธที่ผ่านมาสูงถึง 220 ราย จากการปะทะกับหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลประธานาธิบดี อาลาสเซน แควตตาร่า แห่งไอวอรี่โคสต์
“รัฐบาลยืนกรานที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับกองทัพของไอวอรี่โคสต์ ข้อครหานี้ถือเป็นการหมิ่นประมาท” ถ้อยแถลงของรัฐบาล
และกล่าวย้ำว่า “รัฐบาลคาดว่านี่คือการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายตรงข้าม”
“กองทัพที่ยังคงภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี โรลองต์ กาแบกโบ น่าจะมีส่วนร่วมจากปฏิบัติการดังกล่าว ในการเป็นทหารที่ได้รับการจ้างวานและแสดงความป่าเถื่อนต่อประชาชนในทางตะวันตกของไอวอรี่โคสต์”

การปะทะเดือดในไอวอรี่โคสต์เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลประกาศว่าประธานาธิบดีกาแบกโบชนะแม้จะมีประเด็นครหาว่าเขาโกงการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม นานาชาติและองค์การสหประชาชาติกลับให้การรับรองและประกาศยอมรับว่า แควตตาร่าเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง

การดำเนินการท่ามกลางการสังหารหมู่ชาวไอวอรี่โคสต์

หัวหน้าฝ่ายกิจการเพื่อมนุษยธรรมแห่งองค์การสหประชาชาติกล่าวเตือนว่า การดำเนินการเพื่อรักษาสันติภาพ และความมั่นคงของสาธารณรัฐลิเบอร์เรีย (Republic of Liberia) อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงยิ่ง หากประชาคมระหว่างประเทศไม่ได้จัดเตรียมทรัพยากรอย่างเพียงพอในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งลิเบอร์เรียถือเป็นประเทศหลักที่จะรับภาระในการรองรับผู้ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไอวอรี่โคสต์ (Côte d’Ivoire)
Valerie Amos รองเลขาธิการองค์การสหประชาชาติฝ่ายกิจการเพื่อมนุษยธรรมและรับผิดชอบประสานงานฝ่ายบรรเทาทุกข์ในภาวะฉุกเฉินได้กล่าวหลังการเยือนลิเบอร์เรียเป็นครั้งที่ 2
“เราจำเป็นต้องดำเนินต่อไปและต้องแน่ใจว่าประเทศนี้จะสามารถให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้อง รองรับผู้ลี้ภัยจากไอวอรี่โคสต์ได้” นาง Amos กล่าว

ชาวไอวอเรียนราว 120,000 ราย ได้ลี้ภัยมาจากไอวอรี่โคสต์ ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุขัดแย้งการเลือกตั้งประธานาธิบดี และกว่า 110,000 ราย อพยพมายังฝั่งตะวันออกของเมืองลิเบอร์เรีย
“ผู้ลี้ภัยจำนวนมากทิ้งทุกสิ่งอย่างและหลบหนีจากแหล่งพำนักเดิม พวกเขามาถึงลิเบอร์เรียโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ขณะเดียวกัน ชาวลิเบอร์เรียนได้แสดงความเอื้อเฟื้อในสิ่งที่พวกเขามี แต่ก็ไม่สามารถรองรับได้มากนัก” นาง Amos กล่าว
เธอยังกล่าวประณามการรายงานข่าวที่ระบุว่ามีการสังหารชาวไอวอรี่โคสต์ไปแล้ว 800 ราย ทางฝั่งตะวันตกของไอวอรี่โคสต์ บริเวณเมือง Duékoué ว่าเป็นความป่าเถื่อนที่ต้องนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นาง Amos ได้พูดคุยกับชาวไอวอเรียนที่ลี้ภัยมายังลิเบอร์เรีย พวกเขากล่าวว่ามีความยากลำบากยิ่ง ทั้งการอพยพและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองลิเบอร์เรีย
เธอยังได้พบปะกับองค์การด้านมนุษยธรรมและให้ทบทวนการให้ความช่วยเหลือที่กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการพยายามจัดหาสิ่งที่จำเป็นแก่ผู้ลี้ภัยและให้ที่พำนักแก่พวกเขา
รัฐบาลลิเบอร์เรียน เจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ และ NGOs ระหว่างประเทศ (Non-Govermental Organizations: องค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ)ได้พยายามให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร การศึกษา การดูแลสุขภาพ และสุขอนามัย รวมทั้งให้ความคุ้มครองพลเรือนชาวไอวอรี่โคสต์แล้ว

ขณะที่ ครอบครัวชาวลิเบอร์เรียนบางรายไม่สามารถให้ความช่วยเหลือชาวไอวอรี่โคสต์ได้ในระยะยาวนัก เนื่องจากพวกเขาก็มีทรัพยากรในการดำรงชีพที่จำกัดเช่นกัน
นาง Amos วิงวอนให้มีการบริจาคภายใต้แผนปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินแห่งลิเบอร์เรีย ราว 146.5 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ขณะนี้มียอดบริจาคอยู่ที่ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนเพียง 23% เท่านั้นจากความต้องการ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

คิดแบบ..เฟอร์รารี่ !!??

โดย สรกล อดุลยานนท์

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชน)
เห็นการแก้ปัญหาอุทกภัยภาคใต้ของรัฐบาลแล้วผมคิดถึงเรื่องโรงพยาบาลเด็ก กับ "เฟอร์รารี่" ขึ้นมา

โรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกแบบห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กด้วยวิธีการใหม่

เขาติดต่อทีมงานของ "เฟอร์รารี่" มาช่วยวางแผน

ทีมงานชุดนี้ คือทีมในสนามแข่งรถสูตร 1 แบบเดียวกับรถแข่งที่ "กระทิงแดง" นำมาโชว์ที่ถนนราชดำเนิน

เพราะในสนามแข่งรถที่เร็วที่สุดในโลก หากเกิดปัญหากับตัวรถขึ้นมา ทีมนี้ต้องจัดการแก้ปัญหาในเวลาที่เร็วที่สุด

ไม่ใช่ชั่วโมง ไม่ใช่นาที

แต่เขาคิดเป็น "วินาที"
ทุกอย่างต้องคิดละเอียดทุกขั้นตอน

เอา "เวลา" เป็นตัวตั้ง
ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเด็ก มีเป้าหมายเดียวกับทีมเฟอร์รารี่ คือต้องนำเด็กที่ป่วยหนักเข้าห้องฉุกเฉินให้เร็วที่สุด อุปกรณ์ทุกอย่างต้องพร้อมที่สุด และแพทย์ต้องปฏิบัติการให้เร็วที่สุด

หลักคิดแบบนี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ควรนำมาใช้กับการแก้ปัญหาน้ำท่วม
เอา "เวลา" มาเป็น "เป้าหมาย"
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
1.การสื่อสารติดต่อกับภาครัฐ 2.ที่พัก-ห้องน้ำ 3.อาหาร-น้ำดื่ม 4.ยารักษาโรค 5.เสื้อผ้า

ทุกปัญหาต้องกำหนดเป้าหมายการแก้ปัญหาด้วย "เวลา"
เกิดน้ำท่วมขึ้น ต้องสามารถติดต่อหน่วยงานรัฐได้ภายในเวลาเท่าไร

เมื่อหน่วยงานของรัฐรู้ปัญหา ต้องส่งความช่วยเหลือไปถึงมือผู้เดือดร้อนภายในเวลาเท่าไร

ต้องกำหนดแผนงานและเป้าหมายเวลาเป็น "ชั่วโมง"

ไม่ใช่ 3 วัน 7 วัน ชาวบ้านยังต้องช่วยตัวเองอยู่เลย
อย่าลืมว่าคนที่เดือดร้อน 1 ชั่วโมง ก็เหมือนกับ 1 วัน

"นาฬิกาความรู้สึก" มันวิ่งเร็ว
อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เรือท้องแบนต้องเตรียมพร้อม อาหาร-น้ำดื่ม ต้องออกแบบไว้เลย ต้องไม่เสียง่าย เปิดกินง่าย และมีวัสดุห่อหุ้มไม่ให้เปียกน้ำ ฯลฯ

เลิกเสียทีเถอะครับ น้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช-กระบี่ แต่ส่งอาหาร-น้ำดื่มจากกรุงเทพฯไปช่วย
ทำไมไม่ซื้อจากจังหวัดใกล้ๆ เพื่อลดเวลาการขนส่ง
ทำไมไม่วางแผนประสานงานกับเทสโก้โลตัส บิ๊กซี หรือบริษัทเครื่องดื่มไว้ก่อน

มีปัญหาเมื่อไรก็ประสานงานให้ส่งจากจังหวัดใกล้เคียงไปก่อนเลย

อย่าลืมว่า "เวลา" มี "ราคา"

"ธนินท์ เจียรวนนท์"
เจ้าสัวซีพี เจ้าของแนวคิด "2 สูง" ที่ "อภิสิทธิ์" นำมาใช้เคยบอกไว้ว่า "คนทำผิดครั้งแรกไม่ผิด แต่ทำผิดในสิ่งเดิม ครั้งที่ 2 นั่นคือ ความผิดที่แท้จริง"
น้ำท่วมครั้งนี้ ผมเห็นทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างหนัก

แต่ที่น่าเสียดาย คือแผนในการแก้ปัญหาไม่ดีเลย
ครับ ถ้าน้ำท่วมใหญ่แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 10 ปี รัฐบาลยังสามารถอ้างเหตุผลได้ว่าเหนือความคาดหมาย

แต่น้ำท่วมใหญ่เพิ่งเกิดไม่นาน ไม่กี่เดือนเอง

รอยแผลยังสดๆ อยู่เลย

การแก้ปัญหาควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่หรือครับ !


//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

งานเข้าไม่หยุด ปิดฉากไม่สวย

ในตอนแรกนั้นดูเหมือนการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศล่วงหน้าว่าจะยุบสภาช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. จะเป็นตัวหล่อเย็นช่วยลดความร้อนแรงทางการเมืองลงไปได้มาก

เห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยต่างคนต่างอยู่ ก็เริ่มขยับหันมากลมเกลียวกันมากขึ้น บางพรรคถึงขั้นประกาศจับมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

หวังผลข้ามช็อตไปยังสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งที่จะผนึกกำลังต่อรองกลับเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ว่า 2 พรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะ

ขณะที่ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยก็ลดดีกรีการตรวจสอบรัฐบาลลงหลังจบศึกซักฟอก เพราะต้องเอาเวลามาจัดทัพจัดแถวหาคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งยังต้องรีบเร่งหาตัวผู้นำพรรคที่จะมาชูเป็นนายกฯ ให้ได้โดยเร็ว

ทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้โฟนอินส่งสัญญาณ ถึงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ให้เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง โดยตนเองพร้อมอำนวยความสะดวกทุกอย่างไม่ว่าการวางนโยบายหาเสียงหรือการวางท่อน้ำเลี้ยง

ในจังหวะการเปิดตัวของพรรคใหม่ที่มีชื่อ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นหัวหน้าพรรค ก็สามารถดึงดูดความสนใจของคนเกลียดมาร์ค-เบื่อแม้วได้ไม่น้อย

รวมถึงการที่บรรดานักการเมืองต่างพรรคพร้อมใจกันผลักดันกฎหมายลูก 3 ฉบับรองรับการเลือกตั้งและการทำงานของกกต. จนผ่านสภาวาระแรกไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งยังได้รับการยืนยันจากเหล่าขุนทหารโดย เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลา โหม ว่ากองทัพพร้อมหนุนการเลือกตั้ง จะไม่มีการทำปฏิวัติแน่นอน

ถ้ามองอย่างผิวเผินจึงดูเหมือนสถาน การณ์ในช่วงวาระสุดท้ายของรัฐบาล การเมืองจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาเริ่มผ่านไปนานเข้า ขณะที่ห้วงเวลาการยุบสภาตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ระบุยังเหลืออีก 1 เดือน ทำให้เกิดกระแสข่าวสารพัดต่างๆ นานา จนหลายคนเริ่มไขว้เขว ไม่มั่นใจจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือไม่

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง แล้วก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ได้พยายามเคลื่อนไหวโน้มน้าวสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของตนเอง

ไม่ว่าการเรียกร้องให้มีการยุบสภาแต่ไม่ให้มีการเลือกตั้ง ให้เว้นวรรคนักการเมือง 3 ปี ขอพระราชทานนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 7

นอกจากนี้ยังมีการพยายามที่จะกดดันให้ กกต.ลาออก เพื่อทำแท้งการเลือกตั้ง ซึ่งบังเอิญสอดรับกับกรณีนางสดศรี สัตยธรรม ประกาศพร้อมไขก๊อกหากได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย

นางสดศรีอ้างว่าไม่สบายใจที่มีความต้องการสกัดกั้นกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับไม่ให้เสร็จ อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ยังดูแปลกๆ เหมือนกับโยนลูกให้ กกต.รับไปทั้งหมด

ถึงแม้ต่อมา กกต.ทั้ง 4 คนที่เหลือจะยืนยันว่าพร้อมอยู่ต่อเพื่อทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งครั้งนี้ให้ลุล่วง

แต่จากนั้นไม่กี่วันก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ใครหลายคนซึ่งกำลังใจจดจ่ออยู่กับการเลือกตั้ง ต้องเกิดอาการหวาดระแวง คือเหตุการณ์สภาล่ม 3 วันติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากกฎหมายลูก 3 ฉบับถึงจะผ่านสภาวาระแรก แต่เท่ากับเพิ่งจะคลอดได้แค่ครึ่งตัว เหลืออีกครึ่งตัวคือวาระ 2 และ 3 กำลังจ่อเข้าสภาวันที่ 7 เม.ย.

ทั้งฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้งเร็ว และฝ่ายที่ไม่อยากให้เลือกตั้งเลย รวมถึงฝ่ายที่อยากให้เลือกตั้ง แต่อยากให้ยืดเวลาออกไปก่อน ก็เลยต้องไปลุ้นกันอีกยก

การที่สภาล่ม 3 วันติดต่อกันผลเสียหายที่ตามมา นอกจากทำให้การพิจารณาเห็นชอบบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ต้องเลื่อนออกไป

ยังเกิดการพูดกันมากว่าสาเหตุที่ส.ส.ไม่ยอมมาประชุมจนทำให้สภาล่มนั้น

เป็นเพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาล่วงหน้าชัดเจน ทำให้ส.ส.ต้องแย่งชิงกันลงพื้นที่แข่งกันหาเสียงแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าขืนอยู่ประชุมสภาอาจไม่ได้กลับมาเป็นส.ส.

อย่างที่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวเปรียบเปรย ว่าสภาตอนนี้เหมือนบริษัทปิดแล้ว พนักงานรู้ว่าตนเองต้องตก งานจึงต้องไปหางานใหม่ จะให้มาอยู่ได้อย่างไร

ตามมาติดๆ กับเสียงตัดพ้อจากส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ใจดำ ไม่ยอมให้ ส.ส. พรรคลงพื้นที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะมัวแต่ห่วงสภาจะล่ม

ทั้งที่ภาคใต้เป็นฐานเสียงของพรรคแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์มีคำถามขึ้นมาจนได้ว่านายกฯ อภิสิทธิ์ ควร ฉับไวต่อการลงไปดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่านี้หรือไม่

แล้วก็เป็นอะไรที่เหมือนซ้ำเติมรัฐบาลกับโครงการสำรวจอีสานโพล ของมหา วิทยาลัยขอนแก่น ระบุเสียงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลของชาวอีสานลดต่ำลงทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

เนื่องจากชาวอีสานมองว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องราคาสินค้าและค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้เป็นรูปธรรม

ไปๆ มาๆ ก็เหมือนวกกลับมาที่ความไร้ฝีมือด้านการ บริหารประเทศ และความเชื่องช้าต่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ซึ่งเป็นบุคลิกเดิมๆ ของประชาธิปัตย์

จากปัญหาที่พันกันจนยุ่งเหยิงจากเรื่องหนึ่งโยงไปอีกเรื่องหนึ่ง ชนิดคาถา "ยุบสภา" ที่นายกฯ ท่องบ่นรายวันก็ช่วยคลี่คลายอะไรไม่ได้

ถึงยังหาความแน่นอนไม่ได้ว่าการเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว

แต่ที่แน่ๆ คือมีสัญญาณหลายอย่างบ่งชี้รัฐบาลชุดนี้ปิดฉากตัวเองไม่สวย แน่นอน

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

"ปุ"ลุยเอง! ตั้ง...รักษ์สันติ

ที่สมาคมแต้จิ๋ว มีงานแสดงวิสัยทัศน์ของร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครักษ์สันติ โดยนำภาพกิจกรรมสมัยทำงานทางการเมืองมาแสดง พร้อมเขียนสโลแกน “รวมพลังใจให้คนดี(ไม่มีเสื่อม)” และแจกไม้บรรทัดเล็กเป็นที่ระลึก โดยมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตรอง ผบ.ตร. มาร่วมให้กำลังใจด้วย และระบุว่ายังไม่ได้เข้าร่วมพรรคหรือตัดสินใจอนาคตทางการเมือง เพียงแต่มาให้กำลังใจเพื่อนเท่านั้น

ร.ต.อ.ปุระชัย แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาหลายปี การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนามาสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มใด ทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ สีสูงสุดของตนคือสีธงไตรรงค์ มาครั้งนี้ไม่ได้หวังจะมาแย่งอำนาจของพรรคไหน แต่เห็นประชาชนได้รับความเดือดร้อน ให้อยู่เฉยๆคงไม่ได้ เหมือนชาวบ้านบางระจันที่ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองโดยมิได้หวังตำแหน่งว่าจะต้องเป็นขุนเป็นพระยา จึงขออาสากลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง

“จากผลการสำรวจความคิดของประชาชนพบว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะเลือกใครในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงอยากขอประชามติของประชาชนว่าต้องการให้ผมทำงานเพื่อบ้านเมืองหรือไม่ ถ้าต้องการก็ขอให้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง หากจะโนโหวตก็ขอให้กาเลือกปุระชัย ไม่ว่าผมจะไปอยู่สังกัดพรรคใดก็ตาม” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว

จากนั้นร.ต.อ.ปุระชัย ให้สัมภาษณ์ว่า การกลับมาทำงานการเมืองบอกตรงๆว่าไม่อยากทำ กำลังจะไปท่องโลกแล้ว แต่กลับมาอีกครั้งเพราะชาติต้องมาก่อน หากมีสิ่งใดที่ตนและเพื่อนช่วยเหลือให้ชาติผ่านวิกฤตได้ก็พร้อมจะทำ สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ชาติไปสู่ครรลองที่มีความสุข สามัคคีได้ ขณะนี้โลกมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ใช่เวลาที่คนในประเทศจะมาขัดแย้งกันเองได้ เช่น ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับทั้งไทยและต่างประเทศ จะทำอย่างไรให้เราสามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้

ต่อข้อถามว่าขณะนี้่ดำรงตำแหน่งใดและสังกัดพรรคใด ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตนอยู่พรรคใหม่ ไม่อยู่พรรคที่มีอยู่แล้ว โดยพรรคใหม่อยู่ระหว่างการจัดตั้งพรรค ยื่นเรื่องการจัดตั้งพรรคเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เชื่อว่าจะสามารถจัดตั้งพรรคได้ทัน แต่ถ้าไม่ทันจะลงเลือกตั้งครั้งต่อไป การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด ส่วนจะอยู่ตำแหน่งใด พรรคชื่ออะไร โดยมารยาทหากยังจัดตั้งไม่เรียบร้อยก็ไม่ควรพูด

“สาเหตุที่เลือกอยู่พรรคใหม่เพราะเหมือนการสร้างบ้าน เมื่อเราสร้างเองก็รู้ว่าโครงสร้างตรงไหนแข็งแรง ไม่แข็งแรง แต่หากเลือกซื้อบ้านที่สร้างไว้แล้ว เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตรงไหนที่ไม่แข็งแรงบ้าง พรรคการเมืองเป็นยิ่งกว่าบ้าน ฉะนั้นการสร้างพรรคใหม่จึงดีกว่าการไปอยู่พรรคอื่นที่สร้างไว้แล้วที่ต้องปรับตัวและไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว

ต่อข้อถามถึงกระแสความนิยมที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯนั้น ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ขณะนี้เร็วและไกลเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว ต้องรอให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งก่อน ส่วนการเลือกนายกฯ ต้องเป็นการออกเสียงในสภาอีกครั้ง ยังไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ สำหรับนโยบายเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคมยังคงต้องทำ ทั้งเรื่องยาเสพติด การค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความสามัคคีปรองดองให้กับประเทศ

เมื่อถามว่าการกลับสู่การเมืองครั้งนี้ต้องปรับเปลี่ยนบุคลิคหรือไม่ ร.ต.อ.ปุระชัยกล่าวว่า ตอนนี้ตนเปลี่ยนไปเยอะ ช้าลง ต้องใส่แว่น พูดช้าลง และระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประสบการณ์ที่ต้องถูกฟ้องร้องจากคดีกล้ายาง คดีหวยบนดิน ทำให้ตนทำอะไรด้วยความระวังมากขึ้น เคยคิดว่าหากไม่ประพฤติชั่วก็ไม่ต้องถูกดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ขณะนี้ไม่ใช่เพราะตนไม่ได้ทำอะไร ก็ถูกดำเนินคดีอาญาได้

“ผมและเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งพรรค อยากเห็นการเลือกตั้ง ไม่อยากเข้าสู่วังวนของรัฐประหาร อยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อดูจากการสำรวจความเห็นของประชาชนแล้วมีเสียงโนโหวตอยู่มาก ขอให้เลือกผมเข้าไปทำงาน หากจะให้ประเมินคะแนนของตัวเองคงต้องบอกว่าตอนนี้เสียงดี แต่จะมีคะแนนหรือไม่ยังไม่ทราบ เพราะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝากทุกคนว่าชาติเป็นสมบัติของทุกคนต้องรักษาทะนุถนอม อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ขอให้พรรคผมได้เป็นทางเลือกอย่าโนโหวต” ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าว

ที่มา. ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

เปิดใจเจ้าของฉายาไม้บรรทัด "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" พรรคใหม่-คอนเน็กชั่นดี-เศรษฐีหนุน !

เมื่อพรรคประชาสันติ กำลังจะมีคนสวม "หัว" เป็นนักการเมืองเจ้าของฉายา "ไม้บรรทัด"

การกลับมาของ "คนดี-ไม่มีเสื่อม" ทำให้กระดานการเมืองสั่นไหวราวอาฟเตอร์ช็อก หลังคลื่นมัจจุราชสึนามิ

"ผู้สื่อข่าว" สนทนากับ "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" บนตึกสูงที่สั่นสะเทือนเพราะแผ่นดินไหวในพม่า

หลังม่านของ "ร.ต.อ.ปุระชัย" มีทั้งทหารเกษียณ ตำรวจเก่า และ "เสี่ยพันธ์เลิศ ใบหยก" อดีตรองเลขาธิการไทยรักไทย ผู้ครอบครองทรัพย์สินหลักหมื่นล้าน กับธุรกิจในเครือ 21 บริษัท

นี่คือบทสนทนาหน้าม่านกับ "สื่อ" ครั้งแรก ก่อนเปิดม่านพรรคประชาสันติ อย่างเป็นทางการ

- ทำไมคิดกลับเข้าเส้นทางการเมืองเป็นหัวหน้าพรรคประชาสันติ
เราอยู่ในแผ่นดินนี้ ตอนนี้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นห่วงประเทศ

ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ประเทศน่าจะ มีทางเลือก ตอนนี้คนไม่รู้จะเลือกใครมีแต่บอกว่าจะไปเลือกตั้ง แต่จะไม่ลงคะแนนให้ใคร เขาลองเลือกมาหมดแล้ว ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ค้าน แต่ทางเลือกมันตัน

ถ้าเขาไม่เลือกก็จบเร็ว แต่ถ้าประชาชนเลือกเรา เรื่องก็ยาว (หัวเราะ)

- ยุคตั้งพรรคไทยรักไทยกับยุคตั้ง พรรคนี้ ต่างกันอย่างไรยุคผมเข้าสู่ไทยรักไทยด้วยอุบัติเหตุ ผมไปชวนท่านทักษิณสร้างมหาวิทยาลัย ยุคจะมีพรรคใหม่ เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม เมื่อคุณเสรี สุวรรณภานนท์ เขาบอกว่า อยากให้ผมเป็น ผมก็พร้อมจะช่วยหลังฉาก ซึ่งผมชอบมาก ไม่ต้องแจงบัญชีทรัพย์สิน มีเยอะ มีน้อย ก็ต้องแจ้ง มันเป็นภาระ

- ถ้ามีเลือกตั้งชื่อปุระชัยลงสมัครเป็น ส.ส. สัดสˆวนและหัวหน้าพรรค
ต้องผ่านการประชุมใหญ่ในวันที่ 2 เมษายน แล้วโหวตหัวหน‰าใหม่ ถ้าลง รับสมัครเลือกตั้งส.ส.ระบบสัดส่วน การเป็นพรรคการเมืองมันต้องเติบโต ยั่งยืน มีความเป็นสถาบัน ผมเคยฝันให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันการเมือง แต่ก็เกิดอุบัติเหตุ ไทยรักไทยถูกยุบ ผมทุ่มเทเวลาไป 8 ปี

- พรรคนี้คือเนวิน-คอนเน็กชั่นหรือไม่ความจริงก็เป็นความจริง (เสียงเครียด) ขอบอกว่า ผมกับเนวินไม่เคยเจอกันเลย ตั้งแต่รัฐประหาร ผมกับท่านทักษิณก็ไม่เคยเจอกันเลย

การเมืองอาจมีอดีต ช่วยกันไปช่วยกันมา สังคมไทยเล็กนิดเดียว เนวินกับผมอยู่ในครม.ด้วยกันในพรรคไทยรักไทย แต่วันนี้ถามว่าเกี่ยวมั้ย เราก็ไม่เกี่ยว คุณเห็นด้วยได้...แต่ยังไม่ ต้องเชื่อ

- คอนเน็กชั่นสาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นมาอย่างไร
ผมกับท่านพัชรวาทโยงกันมานาน ตั้งแต่สมัยคุณพ่อท่าน พอรุ่นผมเข้าเรียนเซนต์คาเบรียลอยู่ด้วยกัน 10 ปี

เข้าเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน เป็นนายร้อยรุ่นเดียวกัน ผมออกไป เป็นผู้หมวด ตชด.ที่อรัญประเทศ เมื่อผม ย้ายออก ท่านพัชรวาทก็ไปเป็นแทนผม

ถ้าถามว่า ฮั้วกันมั้ย...ชีวิตมันเจอกันตลอด หลายเรื่องผมรู้จักท่านดี ผมเรียกคุณแม่ท่านพัชรวาทว่าคุณแม่ เห็นความเป็นเพื่อนกันมายาวนานมาก

- คุยกับท่านพัชรวาทอย่างไร ถึงมาตั้งพรรคการเมือง
เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่การไม่พูด ก็ดี...รักษาความลับได้ดี ท่านเห็นด้วยกับการตั้งพรรค เขามาช่วย ไม่จำเป็นต้องเกี่ยว จะกลายเป็นเป้า เป้าบวก หรือเป้าลบไม่เกี่ยว ปัญหาเบาไปเยอะ ประสบการณ์ในไทยรักไทยสอนเราเยอะ

- เป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีเป็นคู่แข่งว่าที่นายกรัฐมนตรีอีกไกลมาก เหมือนเด็กเพิ่งเริ่มเรียนหนังสือ คนก็มาพูดกันว่าจบปริญญาเอกแล้ว เรายังเตรียมการอยู่ ต้องหาผู้สมัคร ส.ส. สัดส่วน 125 เขต 375 คน

- หลายโพล ชื่อ "ปุระชัย" ก็นำเราก็หวัง เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม ถ้าบอกไม่พร้อมก็จะถูกถามอีกว่า ถ้าไม่พร้อมแล้วมาตั้งพรรคทำไม เลือกตั้ง ครั้งนี้เราไม่ได้หวัง อยากลงเป็นเวที ซ้อมมือ ก็ยังดีผมหวังว่าจะไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ

- โลโก้พรรคคือ "ปุระชัย" จุดขายของพรรคคืออะไร
คือความสดใหม่ เป็นทางเลือก ผมมาอยู่เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่อีแอบ จะช่วยเขียนนโยบาย จะเอาชื่อไปใส่เป?นหัวหน‰าผมก็ยินดี

- มีนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้าน-รัฐบาล ติดต่อมาร่วมพรรคบ้างหรือไม่
ก็มีอยู่เรื่อย ๆ แต่เรามีเงื่อนไขคือ ไม่ซื้อเสียง ถ้าเป็นไปได้ต้องช่วยตัวเอง (หัวเราะ) เราไม่มีเงินถุงเงินถังไปดูแล ไปแจก ส.ส.ของเรา ถ้ามีซื้อเสียงต้อง ขับออก (หันหน้าไปทางนายพันธ์เลิศ ใบหยก) ท่านพันธ์เลิศก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม

- คุณพันธ์เลิศเกี่ยวข้องอย่างไรในพรรค
ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่ง

- ระหว่างชื่อ "พันธ์เลิศ" กับชื่อ "ปุระชัย" ใครเป็น diveo ตัวดึงดูด ส.ส.(ทั้งพันธ์เลิศและปุระชัยหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น แบบฝึกหัดของเรา เลือกหลายครั้งก็ เก่งขึ้น ผมบอกผู้ก่อตั้งว่า ถ้าครั้งนี้ ไม่ ทันก็ไม่แปลก แต่ทำงานนี้เราต้องคุม เกม เราไม่ใช่สินค้าสด ไม่ขายวันนี้ก็ไม่เน่า

- ในเวทีการเมือง "ความดีไม่มีเสื่อม" จะดำรงอยู่ได้หรือตัวเราคือตัวเรา บางเรื่องเราก็ต้องทำใจ บางเรื่องถูกต้อง ตรง บางเรื่องก็ไม่ถูก ไม่ตรง

- ที่ผ่านมาพรรคทางเลือก-พรรคที่สาม หรือโซ่ข้อกลาง ก็ไม่เคยสำเร็จทางการเมืองผมก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ ไม่มีใคร การันตีได้ ส่วนหนึ่งที่เราพิจารณาคือ เราต้องแยกระหว่างเรื่องแต่งกับเรื่องจริง ตั้งพรรคเราไม่เพ้อฝัน ต้องหาข้อมูล ทำโพล

ขอให้ทุกพรรคสบายใจได้ เราจะไม่แย่งใคร คนที่จะเลือกเราคือคนที่ถอดใจจากการเมืองหลายแสนเสียง เขาขอร้องว่าอย่าให้เราถอดใจ ยังมีโอกาส มีพรรค ให้เลือกอีก 1 พรรค

- นโยบายอะไรที่จะได้ทำให้คนกลางที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครออกมาเลือกพรรคประชาสันติข้อแรก เรามีโอกาส มีความหวัง ข้อสอง ให้ดูว่าผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเป็นใคร อดีตคนคนนี้เกิด-ทำงานประเภทไหน ผมมั่นใจในตัวผม เราเป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์ ไม่เคยโกง เราเสริมส่วนรวม มากกว่าเอาของส่วนรวมมา

- จะขายอะไรนอกจากเรื่องดี-เก่ง
การบริหารประเทศ สิ่งสำคัญคือคนกุมบังเหียน คนต้องมาก่อนระบบ คนดีระบบดีนั้นดีแน่ คนดีระบบแย่ต้อง แก้ไข คนแย่ระบบดีไม่ช้าก็ไป คนแย่ระบบแย่ก็บรรลัยแน่นอน ฉะนั้นคนบริหารต้องดี

- ที่ผ่านมาระบบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ดีแต่ปัญหาบ้านเราคือคนแย่ไปบริหาร อย่างพรรคไทยรักไทยก็เริ่มที่คนดี ระบบดี แต่อยู่ไป ๆ คนดีเริ่มหาย สุดท้ายก็ไปสู่ความล่มสลาย

- พรรคใหญ่ 2 พรรค ที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คิดว่าจะร่วมกับฝ่ายไหน
งานการเมือง ผมดีใจถ้ามีทีมอื่นมาร่วมทีม เหมือนฟุตบอลมีคนมาเตะกับเรา จบแล้วก็เป็นเพื่อนกัน เป็นคู่แข่ง ไม่ได้เป็นศัตรู

- ถ้าได้ร่วมรัฐบาล ท่านต้องมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
เราเลือกตั้งครั้งแรกได้ไม่กี่เสียงก็ไม่เป็นไร เป็นฝ่ายค้านก็ดี มีแผลน้อย ได้ตรวจสอบรัฐบาล เรียนรู้งาน เป็นรัฐบาลก็ต้องใจแข็ง ไม่หลงทิศทาง ไม่ยอมต่อสิ่งยั่วยวนที่ไม่ถูกต้อง

- กับพรรคเพื่อไทย รวมงานกันได้เพื่อไทยก็คือเพื่อไทย เป็นเรื่องเฉพาะ เหมือนผมเป็น ครม.ชุดที่ 54 แต่ ครม. ชุดที่ 55 โดนปฏิวัติ ผมก็เดือดร้อนด้วย

- หากนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ออกมา จะกระเทือนมั้ยผมไม่ได้คิดประเด็นนี้ พวก 111 รู้จักเกือบหมด มีบางคนเก่ง บางคนกล้า

- อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่มีข่าวอาจจะมาอยู่ร่วมกัน เก่งมั้ยผมไม่เกี่ยวกับกลุ่มใด อย่างคุณ พันธ์เลิศเขาอยากเห็นการเมืองดี เขาก็มาช่วย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือนายธีรพล นพรัมภา ยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวกัน

- มีสัญญาณพิเศษอะไรทำให้พรรคนี้เกิดขึ้นได้ไม่มีสัญญาณพิเศษอะไร

- กลุ่มอำนาจพิเศษเริ่มไม่ใช้บริการพรรคประชาธิปัตย์ อาจใช้พรรคนี้ผมและเพื่อนจบเตรียมทหารก็มีครบทั้ง 4 เหล่าแต่ถึงจะเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้อง แต่ ใครจะมาสั่งไม่ได้ กองทัพจะมาสั่งไม่ได้

- อุปสรรคของพรรคนี้คืออะไรเราต้องสู้ ถ้าหยุดเท่ากับชีวิตจบ มาทำงานการเมืองหลายคนมองเป็นความสกปรก แต่นี่มันคือวิธีการสุภาพบุรุษ เราไม่ได้เป็นโจร เราไม่ได้วางแผนไปปล้นเขา นี่คือจังหวะและโอกาสที่ ขาดแคลนผู้นำ ประเทศกำลังไขว่คว้าหา...เหมือน ลี กวน ยู ในสิงคโปร์ เราไม่ได้แข่งกับใครแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นคู่แข่งในเกมการเมือง ถ้าเป็นมวย เราเป็นพรรคใหม่ที่ไม่ต่อยใต้เข็มขัดอย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เย้ยกฎเหล็ก ก.พ.ยุคมาร์ค แฉบิ๊กระดับ10 หัวงูหรา?

รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 ได้มีการใช้อำนาจแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ออกกฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553
เนื้อหาคือ ... ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำการประการหนึ่งประการใดดังต่อไปนี้ต่อข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในหรือนอกสถานที่ราชการ โดยผู้ถูกกระทำมิได้ยินยอมต่อการกระทำนั้น หรือทำให้ผู้ถูกกระทำเดือดร้อนรำคาญ ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ตามมาตรา 83(8)

กระทำการด้วยการสัมผัสทางการที่มีลักษณะส่อไปในทางเพศ เช่น การจูบ การโอบกอด การจับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นต้น
กระทำการด้วยวาจาที่ส่อไปในทางเพศ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ร่างกาย พูดหยอกล้อ พูดหยาบคาย เป็นต้น

กระทำการด้วยอากัปกิริยาที่ส่อไปในทางเพศ เช่น การใช้สายตาลวนลาม การทำสัญญาณหรือสัญญลักษณ์ใดๆ เป็นต้น
การแสดงหรือสื่อสารด้วยวิธีการใดๆที่ส่อไปในทางเพศ เช่น แสดงรูปลามกอนาจาร ส่งจดหมาย ข้อความ หรือการสื่อสารรูปแบบอื่นๆ เป็นต้น

การแสดงพฤติกรรมอื่นใดที่ส่อไปในทางเพศ ซึ่งผู้ถูกกระทำ ไม่พึงประสงค์หรือเดือดร้อนรำคาญ
กฎ ก.พ. ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 28 กันยายน 2553 หมาดๆ เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่ากฎเหล็กที่ลงนามโดยนายอภิศิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะประธาน ก.พ. จะถูกข้าราชการบางคนไม่ใส่ใจ!!!

เพราะล่าสุดได้มีการทำหนังสือร้องเรียนไปยังวุฒิสมาชิก ภารดี จงสุขธนามณี โดยผู้ร้องเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานเป็นถึงเลขานุการประธานกรรมการบริษัท ซึ่งบริษัทนี้ได้รับมอบหมายไปช่วยการสัมมนาโครงการ “การสร้างภาพลักษณ์ไหมไทยสู่ตลาดโลก” ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม 2554 ซึ่งจัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์

ปรากฏว่าผู้ร้องเรียนได้ถูกหนึ่งในวิทยากร ที่ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาเชิญมาร่วมบรรยาย ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ระดับ 10 กระทำการคุกคามทางเพศ ลวนลามทางวาจาและทำกิริยาไม่เหมาะสม

เช่น ถามเรื่องส่วนตัว ละลาบละล้วง ว่ามีสามีหรือมีลูกแล้วหรือยัง บ้านอยู่ที่ไหน และพูดเป็นนัยยะเชิงชู้สาวอยู่ตลอดเวลา อาทิ “ลักยิ้มสวยจัง ขอขโมยไปวันหนึ่งจะได้ไหม” “เดี๋ยวเอารูปเธอขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ดีกว่า” มีการพยายามขอพินบีบี เมื่อไม่ได้ก็ขอเบอร์โทรศัพท์แทน

ซ้ำเมื่อผู้ร้องเรียน ในฐานะผู้ประสานงานได้ส่งคีย์การ์ดห้องพักโรงแรมให้ บิ๊กรายนี้ยักท่า ไม่อยากรับแถมพูดว่า “เดี๋ยวคืนนี้ให้เธอไปนอนเลย” เมื่อผู้ร้องเรียนพยายามส่งให้อีกครั้ง ก็ยังพูดทำนองเดิมว่า “นี่เธอถือเอาไว้ คืนนี้จะเอาไปนอนด้วยเหรอ” ต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ผู้ร้องเรียน รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง

ซ้ำยังมีการคุกคามทางเพศด้วย คือแกล้งยกมือมาลูบศีรษะที่สนามบินบ้าง ระหว่างเดินทางบนรถตู้บ้าง แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ ระหว่างการรับประทานอาหารเย็น บิ๊กผู้นี้ได้โชว์รูปอวัยวะเพศหญิงที่เขามีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ให้ผู้ร้องเรียนดูกลางโต๊ะอาหาร ต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะอีกหลายคน ซ้ำแกล้งถามว่านี่คือรูปอะไร เมื่อตอบว่าไม่รู้ บิ๊กผู้นี้ก็ยังส่งรูปให้เพื่อนร่วมงานของผู้ร้องเรียนดู ซึ่งก็เป็นภาพลามกเช่นเดียวกัน

พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้ติดตามของข้าราชการระดับสูงผู้นี้เข้าใจผิด คิดว่าผู้ร้องเรียนถูกจัดมารับรอง จึงขอให้ผู้ร้องเรียนดูแลให้เป็นพิเศษ ถึงขนาดกระซิบบอกว่า “บัตรรับประทานอาหารเช้าของท่านอยู่บนโต๊ะอาหาร” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ร้องเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น บิ๊กข้าราชการผู้นี้ได้ส่งแฟลชไดร์ฟของตนให้เพื่อนร่วมงานของผู้ร้องเรียนเพื่อเซฟไฟล์งาน เมื่อเปิดแฟลชไดร์ฟขึ้น จึงพบว่าในนั้นเต็มไปด้วยคลิปวิดิโอลามก แต่บิ๊กผู้นี้กลับทำพูดติดตลกว่าให้เปิดอย่างระวัง เดี๋ยวผู้ร้องเรียนจะเห็นคลิป และยังถามผู้ร้องเรียนด้วยว่าชอบดูหนังอาร์หรือไม่

ผู้ร้องเรียนถือว่าเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ของข้าราชการระดับสูง ซึ่งไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการร้องเรียนไปยัง ส.ว.ภารดี จงสุขธนามณี ในฐานะที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกันและวุฒิสมาชิก ให้ช่วยดำเนินการด้วย
ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็น่าจะเข้ามาดูแลด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นคนออกกฎเหล็กนี้ขึ้นมา แล้วถูกข้าราชการระดับสูงบางคนมาแหกกฏโดยไม่แยแสเช่นนี้... ควรตรวจสอบและลงโทษสถานหนัก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

การเมือง กินเมือง

‘ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด’ ของส.ส.โคราช

การลงมติโหวตไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ก่อนต้องยอมรับโดยทั่ว กันว่า “สถานการณ์ได้สร้างวีรบุรุษ”.. แต่เป็นการสร้าง “วีรบุรุษจอมปลอม” ให้เกิดขึ้นในสภาอันทรงเกือกแห่งนี้แล้ว.. แต่ดันเป็นสภาที่รอเวลา “ยุบตัวเอง” ลงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้..

จับอาการกลุ่มก๊วนการเมืองที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่า.. วีรบุรุษ จอมปลอมพวกนั้นแสดงออกผ่านอาการ “อดอยากปากแห้ง”..ฉะนั้น หัวขบวนผู้อยู่เบื้องหลัง “กลุ่มส.ส.นครราชสีมา” จึงต้องรีบแก้เกมบากหน้าขอ “ตีตั๋วจอง” รอนั่งเสนาบดีในรัฐบาลสมัยหน้ากับเค้าด้วย!!! ด้วยการ “โหวตสวน” ความเห็นของซีกพรรคฝ่ายค้านไปซะอย่างนั้น..

ขณะที่สถานะเสียงข้างมากของประ ชาธิปัตย์บวกกับพรรคภูมิใจนั้นค่อนข้างง่อนแง่นเสียเต็มที..แต่ก็ยังพอประคอง “รัฐนาวาอภิสิทธิ์” ให้อยู่รอดปลอดภัยพอ ที่จะผ่านพิธีกรรมอำพราง “ผลาญงบประ มาณแผ่นดิน” ต่อไปได้อีกสักระยะจนกว่า จะรวมตัวรวมหัวกันยุบสภาราวปลายเดือน พฤษภาคมนี้..

อย่างกรณีกลุ่ม ส.ส.โคราช เมืองย่าโม ที่ประชาชนในพื้นที่แทบจะต้องส่าย หน้าหนีนั้น..เพราะแกดันมี “วาระซ่อนเร้น” โหวตไว้วางใจเฉพาะรัฐมนตรีที่มาจาก “ภูมิใจไทย” เป็นการเฉพาะ.. นัยว่าจะสร้าง “มิติใหม่ทางการเมือง” เพื่อขย่มข่มขู่ “น้ามาร์คศิษย์หลวงพี่ชวน” เพราะหากว่า “กลุ่ม 1 ส.+กลุ่ม 3 พี” รวมหัวกันยึดเมืองโคราชได้อย่างเบ็ดเสร็จ.. แล้วหันไปผสมข้ามสายพันธ์กับ “กลุ่มเติ้งกินไม่แบ่ง” จากเมืองสุพรรณบุรีจะได้ ส.ส.รวมกันมิใช่น้อย..

เพราะหาก “แก๊งปลาไหลรุ่นลายคราม” รวมตัวกันติดเมื่อไหร่?!?! แล้วเดิน หน้าไปอยู่ภายใต้ “อุ้งปีกมาร” กับพ่อมดเมืองมนต์เขมรที่รอวันออกจากคุกการ เมืองไทยราวกลางปี 2554 แล้วล่ะก็.. “นายกรัฐมนตรีไทย” คนต่อไปก็ไม่แน่ที่จะมีชื่ออื่นๆ เข้ามาสอดแทรกแทนหนุ่มหล่อนักเรียนนอกสองสัญชาติก็เป็นไปได้..

“ทาส-พสุธา” ประเมินสถานการณ์ หลัง “คุกแตก” แล้วว่าน้ำเน่าจากการเมือง ไทยจะยิ่งเน่ากว่าเก่าหลายกิโลขีด.. ก็เมื่อ “เซียนเขี้ยวโง้ง” คืนฟอร์มลงสู่สนามจริงหลังพ้นโทษแบนไป 5 ปี..“ความแค้นบวกกับความอดอยาก” มันได้ซึมผ่านชั้น ผิวหนังเข้าไปถึงกระดูกพวก 111 แล้วครับ.. ทุกอย่างจะเดินไปตามสัจธรรมที่ว่า “สันดอนนั้นขุดได้..แต่สันดานนักการเมืองไทยมันลึกเกินกว่าที่จะขุด”..

ฉะนั้น “ชาวโคราชบ้านเอ็ง” แต่ก็เป็นประเทศของพวกข้า..จะยอมทำตัวเป็น “คนหมดทางเลือก” แล้วก้มหน้าเดินเข้า คูหากาเบอร์เดิมๆ อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ??? หรือว่าคนโคราชยินยอมพร้อม ใจกับพฤติกรรมโหวตสวนซื้อใจ “หล่อ บวกห้อย” เพื่อเป็นใบเบิกทางให้กลุ่ม “1 ส.+3 พ.” ได้ส่งเด็กในคาถาเข้าร่วมผสม โรง “สวาปาล์ม” กับเค้าด้วยในรัฐบาลหน้า..

ตื่นเสียทีเถิดครับพี่น้องชาวโคราช!!! หากพวกท่านหาคนดีมีฝีมือและซื่อสัตย์มา ทำยาไม่ได้..ก็ให้พร้อมใจกันกาไปเลยที่ช่อง “โหวตโน” ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย.. ไม่ต้องเลือกใครหน้าไหนมาเป็น ส.ส.ให้รกเมืองย่าโมหรอกครับพ่อแม่พี่น้อง.. ไอ้ที่จะต้องมาเจอหน้าเห็นหัว ส.ส.มาคอยเอาอกเอาใจพี่น้องประชาชนเฉพาะตอนใกล้จะเลือกตั้งนั้นมันไม่สำคัญเท่าการได้มาซึ่ง “ตัวแทนที่ซื่อสัตย์” และเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ด้วยความจริงใจไร้ผลประโยชน์ แอบแฝงหรอกครับ..

“เกมแห่งอำนาจ” ในไทยมันควรจะยุติลงด้วยอำนาจที่แท้จริงจาก พี่น้องประชาชนเอง.. ด้วยการใช้สิทธิ์เลือกผู้แทนราษฎรของพวกท่านให้เข้า ไปปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ.. มิใช่เลือกกันเข้าไปอยู่กันเต็มสภา แต่หาสาระไม่ได้เลยสักรายเดียว.. ส.ส. หน้าเงินพวกนี้จ้องจะเขมือบงบหลวงเงินแผ่นดิน จนชาติผอมบักโกรกเหลือ แต่กระดูกแล้วครับ..

พี่น้องชาวโคราชเชื่อมั๊ย?!?! เมื่อประเทศบอบช้ำจากการทุจริตคอร์รัปชั่นจนเหลือแต่ซาก..ไม่มีอะไรจะให้ “ส.ส.ทาส” พวกนี้ได้โกงอีกต่อไปแล้ว.. พวก ส.ส.หน้าเดิมๆ ของพวกท่านเหล่า นั้นจะหน้ามืดตามัวถึงขั้น “ขายชาติ เฉือนแผ่นดินไทย” ให้กับคนต่างชาติต่างเมืองอย่างแน่นอนครับ..


ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ลูกป๋าเหนาะ ย้ำ ป๋าเหนาะซบ"เพื่อไทย"

นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทราบว่ามีการทาบทามนายเสนาะจริง และเป็นไปได้มากที่พรรคประชาราชจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นอยากให้รอฟังนายเสนาะ เป็นคนพูดเองในวันครบรอบวันเกิด 78 ปีที่บ้านพักอัลไพน์ ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรคประชาราชไปรวมกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้นต้องให้ผู้ใหญ่คุยกัน เพราะตรงนี้เป็นรายละเอียดของข้อกฎหมาย

ด้านว่าที่ร.ต.พงศ์พันธ์ เปิดเผยว่า วันนี้คณะส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปอวยพรวันเกิดให้กับนายเสนาะเนื่องจากเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ทั้งนี้ในวันที่ 1 เม.ย.ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์จะมีการจัดงานวันเกิดของนายเสนาะ ซึ่งจะมีการเปิดตัวนายเสนาะเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการด้วย รวมทั้งพล.ต.อ.ประชาด้วย ดังนั้นเราจะมีการทำพิธีต้อนรับนายเสนาะ เพราะการได้นายเสนาะเข้ามาร่วมงานนั้นเปรียบเหมือนกับการเปิดทางให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย โดยเบื้องต้นนั้น นายเสนาะ พล.ต.อ.ประชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้น จะลงสมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ตนทราบว่ายังมีความพยายามเชิญกลุ่มของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา และกลุ่ม 3 พี ของพรรคเพื่อแผ่นดินเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันนี้( 1 เม.ย.)นายเสนาะจะจัดงานคล้ายวันเกิดครบรอบ 78 ปีที่บ้านพักสนามกอล์ฟอัลไพน์ในช่วงเย็น โดยจะมีส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ของพรรค นำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์มาพูดคุยกับนายเสนาะเพื่อเชิญชวนเข้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการด้วย

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////