--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

เปิดใจเจ้าของฉายาไม้บรรทัด "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" พรรคใหม่-คอนเน็กชั่นดี-เศรษฐีหนุน !

เมื่อพรรคประชาสันติ กำลังจะมีคนสวม "หัว" เป็นนักการเมืองเจ้าของฉายา "ไม้บรรทัด"

การกลับมาของ "คนดี-ไม่มีเสื่อม" ทำให้กระดานการเมืองสั่นไหวราวอาฟเตอร์ช็อก หลังคลื่นมัจจุราชสึนามิ

"ผู้สื่อข่าว" สนทนากับ "ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์" บนตึกสูงที่สั่นสะเทือนเพราะแผ่นดินไหวในพม่า

หลังม่านของ "ร.ต.อ.ปุระชัย" มีทั้งทหารเกษียณ ตำรวจเก่า และ "เสี่ยพันธ์เลิศ ใบหยก" อดีตรองเลขาธิการไทยรักไทย ผู้ครอบครองทรัพย์สินหลักหมื่นล้าน กับธุรกิจในเครือ 21 บริษัท

นี่คือบทสนทนาหน้าม่านกับ "สื่อ" ครั้งแรก ก่อนเปิดม่านพรรคประชาสันติ อย่างเป็นทางการ

- ทำไมคิดกลับเข้าเส้นทางการเมืองเป็นหัวหน้าพรรคประชาสันติ
เราอยู่ในแผ่นดินนี้ ตอนนี้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเป็นห่วงประเทศ

ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ประเทศน่าจะ มีทางเลือก ตอนนี้คนไม่รู้จะเลือกใครมีแต่บอกว่าจะไปเลือกตั้ง แต่จะไม่ลงคะแนนให้ใคร เขาลองเลือกมาหมดแล้ว ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ค้าน แต่ทางเลือกมันตัน

ถ้าเขาไม่เลือกก็จบเร็ว แต่ถ้าประชาชนเลือกเรา เรื่องก็ยาว (หัวเราะ)

- ยุคตั้งพรรคไทยรักไทยกับยุคตั้ง พรรคนี้ ต่างกันอย่างไรยุคผมเข้าสู่ไทยรักไทยด้วยอุบัติเหตุ ผมไปชวนท่านทักษิณสร้างมหาวิทยาลัย ยุคจะมีพรรคใหม่ เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม เมื่อคุณเสรี สุวรรณภานนท์ เขาบอกว่า อยากให้ผมเป็น ผมก็พร้อมจะช่วยหลังฉาก ซึ่งผมชอบมาก ไม่ต้องแจงบัญชีทรัพย์สิน มีเยอะ มีน้อย ก็ต้องแจ้ง มันเป็นภาระ

- ถ้ามีเลือกตั้งชื่อปุระชัยลงสมัครเป็น ส.ส. สัดสˆวนและหัวหน้าพรรค
ต้องผ่านการประชุมใหญ่ในวันที่ 2 เมษายน แล้วโหวตหัวหน‰าใหม่ ถ้าลง รับสมัครเลือกตั้งส.ส.ระบบสัดส่วน การเป็นพรรคการเมืองมันต้องเติบโต ยั่งยืน มีความเป็นสถาบัน ผมเคยฝันให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันการเมือง แต่ก็เกิดอุบัติเหตุ ไทยรักไทยถูกยุบ ผมทุ่มเทเวลาไป 8 ปี

- พรรคนี้คือเนวิน-คอนเน็กชั่นหรือไม่ความจริงก็เป็นความจริง (เสียงเครียด) ขอบอกว่า ผมกับเนวินไม่เคยเจอกันเลย ตั้งแต่รัฐประหาร ผมกับท่านทักษิณก็ไม่เคยเจอกันเลย

การเมืองอาจมีอดีต ช่วยกันไปช่วยกันมา สังคมไทยเล็กนิดเดียว เนวินกับผมอยู่ในครม.ด้วยกันในพรรคไทยรักไทย แต่วันนี้ถามว่าเกี่ยวมั้ย เราก็ไม่เกี่ยว คุณเห็นด้วยได้...แต่ยังไม่ ต้องเชื่อ

- คอนเน็กชั่นสาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นมาอย่างไร
ผมกับท่านพัชรวาทโยงกันมานาน ตั้งแต่สมัยคุณพ่อท่าน พอรุ่นผมเข้าเรียนเซนต์คาเบรียลอยู่ด้วยกัน 10 ปี

เข้าเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน เป็นนายร้อยรุ่นเดียวกัน ผมออกไป เป็นผู้หมวด ตชด.ที่อรัญประเทศ เมื่อผม ย้ายออก ท่านพัชรวาทก็ไปเป็นแทนผม

ถ้าถามว่า ฮั้วกันมั้ย...ชีวิตมันเจอกันตลอด หลายเรื่องผมรู้จักท่านดี ผมเรียกคุณแม่ท่านพัชรวาทว่าคุณแม่ เห็นความเป็นเพื่อนกันมายาวนานมาก

- คุยกับท่านพัชรวาทอย่างไร ถึงมาตั้งพรรคการเมือง
เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่การไม่พูด ก็ดี...รักษาความลับได้ดี ท่านเห็นด้วยกับการตั้งพรรค เขามาช่วย ไม่จำเป็นต้องเกี่ยว จะกลายเป็นเป้า เป้าบวก หรือเป้าลบไม่เกี่ยว ปัญหาเบาไปเยอะ ประสบการณ์ในไทยรักไทยสอนเราเยอะ

- เป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีเป็นคู่แข่งว่าที่นายกรัฐมนตรีอีกไกลมาก เหมือนเด็กเพิ่งเริ่มเรียนหนังสือ คนก็มาพูดกันว่าจบปริญญาเอกแล้ว เรายังเตรียมการอยู่ ต้องหาผู้สมัคร ส.ส. สัดส่วน 125 เขต 375 คน

- หลายโพล ชื่อ "ปุระชัย" ก็นำเราก็หวัง เราก็พร้อมเท่าที่พร้อม ถ้าบอกไม่พร้อมก็จะถูกถามอีกว่า ถ้าไม่พร้อมแล้วมาตั้งพรรคทำไม เลือกตั้ง ครั้งนี้เราไม่ได้หวัง อยากลงเป็นเวที ซ้อมมือ ก็ยังดีผมหวังว่าจะไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ

- โลโก้พรรคคือ "ปุระชัย" จุดขายของพรรคคืออะไร
คือความสดใหม่ เป็นทางเลือก ผมมาอยู่เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่อีแอบ จะช่วยเขียนนโยบาย จะเอาชื่อไปใส่เป?นหัวหน‰าผมก็ยินดี

- มีนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้าน-รัฐบาล ติดต่อมาร่วมพรรคบ้างหรือไม่
ก็มีอยู่เรื่อย ๆ แต่เรามีเงื่อนไขคือ ไม่ซื้อเสียง ถ้าเป็นไปได้ต้องช่วยตัวเอง (หัวเราะ) เราไม่มีเงินถุงเงินถังไปดูแล ไปแจก ส.ส.ของเรา ถ้ามีซื้อเสียงต้อง ขับออก (หันหน้าไปทางนายพันธ์เลิศ ใบหยก) ท่านพันธ์เลิศก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม

- คุณพันธ์เลิศเกี่ยวข้องอย่างไรในพรรค
ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่ง

- ระหว่างชื่อ "พันธ์เลิศ" กับชื่อ "ปุระชัย" ใครเป็น diveo ตัวดึงดูด ส.ส.(ทั้งพันธ์เลิศและปุระชัยหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น แบบฝึกหัดของเรา เลือกหลายครั้งก็ เก่งขึ้น ผมบอกผู้ก่อตั้งว่า ถ้าครั้งนี้ ไม่ ทันก็ไม่แปลก แต่ทำงานนี้เราต้องคุม เกม เราไม่ใช่สินค้าสด ไม่ขายวันนี้ก็ไม่เน่า

- ในเวทีการเมือง "ความดีไม่มีเสื่อม" จะดำรงอยู่ได้หรือตัวเราคือตัวเรา บางเรื่องเราก็ต้องทำใจ บางเรื่องถูกต้อง ตรง บางเรื่องก็ไม่ถูก ไม่ตรง

- ที่ผ่านมาพรรคทางเลือก-พรรคที่สาม หรือโซ่ข้อกลาง ก็ไม่เคยสำเร็จทางการเมืองผมก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ ไม่มีใคร การันตีได้ ส่วนหนึ่งที่เราพิจารณาคือ เราต้องแยกระหว่างเรื่องแต่งกับเรื่องจริง ตั้งพรรคเราไม่เพ้อฝัน ต้องหาข้อมูล ทำโพล

ขอให้ทุกพรรคสบายใจได้ เราจะไม่แย่งใคร คนที่จะเลือกเราคือคนที่ถอดใจจากการเมืองหลายแสนเสียง เขาขอร้องว่าอย่าให้เราถอดใจ ยังมีโอกาส มีพรรค ให้เลือกอีก 1 พรรค

- นโยบายอะไรที่จะได้ทำให้คนกลางที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครออกมาเลือกพรรคประชาสันติข้อแรก เรามีโอกาส มีความหวัง ข้อสอง ให้ดูว่าผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเป็นใคร อดีตคนคนนี้เกิด-ทำงานประเภทไหน ผมมั่นใจในตัวผม เราเป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์ ไม่เคยโกง เราเสริมส่วนรวม มากกว่าเอาของส่วนรวมมา

- จะขายอะไรนอกจากเรื่องดี-เก่ง
การบริหารประเทศ สิ่งสำคัญคือคนกุมบังเหียน คนต้องมาก่อนระบบ คนดีระบบดีนั้นดีแน่ คนดีระบบแย่ต้อง แก้ไข คนแย่ระบบดีไม่ช้าก็ไป คนแย่ระบบแย่ก็บรรลัยแน่นอน ฉะนั้นคนบริหารต้องดี

- ที่ผ่านมาระบบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ดีแต่ปัญหาบ้านเราคือคนแย่ไปบริหาร อย่างพรรคไทยรักไทยก็เริ่มที่คนดี ระบบดี แต่อยู่ไป ๆ คนดีเริ่มหาย สุดท้ายก็ไปสู่ความล่มสลาย

- พรรคใหญ่ 2 พรรค ที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คิดว่าจะร่วมกับฝ่ายไหน
งานการเมือง ผมดีใจถ้ามีทีมอื่นมาร่วมทีม เหมือนฟุตบอลมีคนมาเตะกับเรา จบแล้วก็เป็นเพื่อนกัน เป็นคู่แข่ง ไม่ได้เป็นศัตรู

- ถ้าได้ร่วมรัฐบาล ท่านต้องมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
เราเลือกตั้งครั้งแรกได้ไม่กี่เสียงก็ไม่เป็นไร เป็นฝ่ายค้านก็ดี มีแผลน้อย ได้ตรวจสอบรัฐบาล เรียนรู้งาน เป็นรัฐบาลก็ต้องใจแข็ง ไม่หลงทิศทาง ไม่ยอมต่อสิ่งยั่วยวนที่ไม่ถูกต้อง

- กับพรรคเพื่อไทย รวมงานกันได้เพื่อไทยก็คือเพื่อไทย เป็นเรื่องเฉพาะ เหมือนผมเป็น ครม.ชุดที่ 54 แต่ ครม. ชุดที่ 55 โดนปฏิวัติ ผมก็เดือดร้อนด้วย

- หากนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ออกมา จะกระเทือนมั้ยผมไม่ได้คิดประเด็นนี้ พวก 111 รู้จักเกือบหมด มีบางคนเก่ง บางคนกล้า

- อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่มีข่าวอาจจะมาอยู่ร่วมกัน เก่งมั้ยผมไม่เกี่ยวกับกลุ่มใด อย่างคุณ พันธ์เลิศเขาอยากเห็นการเมืองดี เขาก็มาช่วย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือนายธีรพล นพรัมภา ยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวกัน

- มีสัญญาณพิเศษอะไรทำให้พรรคนี้เกิดขึ้นได้ไม่มีสัญญาณพิเศษอะไร

- กลุ่มอำนาจพิเศษเริ่มไม่ใช้บริการพรรคประชาธิปัตย์ อาจใช้พรรคนี้ผมและเพื่อนจบเตรียมทหารก็มีครบทั้ง 4 เหล่าแต่ถึงจะเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้อง แต่ ใครจะมาสั่งไม่ได้ กองทัพจะมาสั่งไม่ได้

- อุปสรรคของพรรคนี้คืออะไรเราต้องสู้ ถ้าหยุดเท่ากับชีวิตจบ มาทำงานการเมืองหลายคนมองเป็นความสกปรก แต่นี่มันคือวิธีการสุภาพบุรุษ เราไม่ได้เป็นโจร เราไม่ได้วางแผนไปปล้นเขา นี่คือจังหวะและโอกาสที่ ขาดแคลนผู้นำ ประเทศกำลังไขว่คว้าหา...เหมือน ลี กวน ยู ในสิงคโปร์ เราไม่ได้แข่งกับใครแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นคู่แข่งในเกมการเมือง ถ้าเป็นมวย เราเป็นพรรคใหม่ที่ไม่ต่อยใต้เข็มขัดอย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เย้ยกฎเหล็ก ก.พ.ยุคมาร์ค แฉบิ๊กระดับ10 หัวงูหรา?

รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 ได้มีการใช้อำนาจแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ออกกฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553
เนื้อหาคือ ... ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำการประการหนึ่งประการใดดังต่อไปนี้ต่อข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในหรือนอกสถานที่ราชการ โดยผู้ถูกกระทำมิได้ยินยอมต่อการกระทำนั้น หรือทำให้ผู้ถูกกระทำเดือดร้อนรำคาญ ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ตามมาตรา 83(8)

กระทำการด้วยการสัมผัสทางการที่มีลักษณะส่อไปในทางเพศ เช่น การจูบ การโอบกอด การจับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นต้น
กระทำการด้วยวาจาที่ส่อไปในทางเพศ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ร่างกาย พูดหยอกล้อ พูดหยาบคาย เป็นต้น

กระทำการด้วยอากัปกิริยาที่ส่อไปในทางเพศ เช่น การใช้สายตาลวนลาม การทำสัญญาณหรือสัญญลักษณ์ใดๆ เป็นต้น
การแสดงหรือสื่อสารด้วยวิธีการใดๆที่ส่อไปในทางเพศ เช่น แสดงรูปลามกอนาจาร ส่งจดหมาย ข้อความ หรือการสื่อสารรูปแบบอื่นๆ เป็นต้น

การแสดงพฤติกรรมอื่นใดที่ส่อไปในทางเพศ ซึ่งผู้ถูกกระทำ ไม่พึงประสงค์หรือเดือดร้อนรำคาญ
กฎ ก.พ. ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 28 กันยายน 2553 หมาดๆ เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่ากฎเหล็กที่ลงนามโดยนายอภิศิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะประธาน ก.พ. จะถูกข้าราชการบางคนไม่ใส่ใจ!!!

เพราะล่าสุดได้มีการทำหนังสือร้องเรียนไปยังวุฒิสมาชิก ภารดี จงสุขธนามณี โดยผู้ร้องเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานเป็นถึงเลขานุการประธานกรรมการบริษัท ซึ่งบริษัทนี้ได้รับมอบหมายไปช่วยการสัมมนาโครงการ “การสร้างภาพลักษณ์ไหมไทยสู่ตลาดโลก” ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม 2554 ซึ่งจัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์

ปรากฏว่าผู้ร้องเรียนได้ถูกหนึ่งในวิทยากร ที่ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาเชิญมาร่วมบรรยาย ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ระดับ 10 กระทำการคุกคามทางเพศ ลวนลามทางวาจาและทำกิริยาไม่เหมาะสม

เช่น ถามเรื่องส่วนตัว ละลาบละล้วง ว่ามีสามีหรือมีลูกแล้วหรือยัง บ้านอยู่ที่ไหน และพูดเป็นนัยยะเชิงชู้สาวอยู่ตลอดเวลา อาทิ “ลักยิ้มสวยจัง ขอขโมยไปวันหนึ่งจะได้ไหม” “เดี๋ยวเอารูปเธอขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ดีกว่า” มีการพยายามขอพินบีบี เมื่อไม่ได้ก็ขอเบอร์โทรศัพท์แทน

ซ้ำเมื่อผู้ร้องเรียน ในฐานะผู้ประสานงานได้ส่งคีย์การ์ดห้องพักโรงแรมให้ บิ๊กรายนี้ยักท่า ไม่อยากรับแถมพูดว่า “เดี๋ยวคืนนี้ให้เธอไปนอนเลย” เมื่อผู้ร้องเรียนพยายามส่งให้อีกครั้ง ก็ยังพูดทำนองเดิมว่า “นี่เธอถือเอาไว้ คืนนี้จะเอาไปนอนด้วยเหรอ” ต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ผู้ร้องเรียน รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง

ซ้ำยังมีการคุกคามทางเพศด้วย คือแกล้งยกมือมาลูบศีรษะที่สนามบินบ้าง ระหว่างเดินทางบนรถตู้บ้าง แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ ระหว่างการรับประทานอาหารเย็น บิ๊กผู้นี้ได้โชว์รูปอวัยวะเพศหญิงที่เขามีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ให้ผู้ร้องเรียนดูกลางโต๊ะอาหาร ต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะอีกหลายคน ซ้ำแกล้งถามว่านี่คือรูปอะไร เมื่อตอบว่าไม่รู้ บิ๊กผู้นี้ก็ยังส่งรูปให้เพื่อนร่วมงานของผู้ร้องเรียนดู ซึ่งก็เป็นภาพลามกเช่นเดียวกัน

พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้ติดตามของข้าราชการระดับสูงผู้นี้เข้าใจผิด คิดว่าผู้ร้องเรียนถูกจัดมารับรอง จึงขอให้ผู้ร้องเรียนดูแลให้เป็นพิเศษ ถึงขนาดกระซิบบอกว่า “บัตรรับประทานอาหารเช้าของท่านอยู่บนโต๊ะอาหาร” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ร้องเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น บิ๊กข้าราชการผู้นี้ได้ส่งแฟลชไดร์ฟของตนให้เพื่อนร่วมงานของผู้ร้องเรียนเพื่อเซฟไฟล์งาน เมื่อเปิดแฟลชไดร์ฟขึ้น จึงพบว่าในนั้นเต็มไปด้วยคลิปวิดิโอลามก แต่บิ๊กผู้นี้กลับทำพูดติดตลกว่าให้เปิดอย่างระวัง เดี๋ยวผู้ร้องเรียนจะเห็นคลิป และยังถามผู้ร้องเรียนด้วยว่าชอบดูหนังอาร์หรือไม่

ผู้ร้องเรียนถือว่าเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ของข้าราชการระดับสูง ซึ่งไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการร้องเรียนไปยัง ส.ว.ภารดี จงสุขธนามณี ในฐานะที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกันและวุฒิสมาชิก ให้ช่วยดำเนินการด้วย
ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็น่าจะเข้ามาดูแลด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นคนออกกฎเหล็กนี้ขึ้นมา แล้วถูกข้าราชการระดับสูงบางคนมาแหกกฏโดยไม่แยแสเช่นนี้... ควรตรวจสอบและลงโทษสถานหนัก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

การเมือง กินเมือง

‘ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด’ ของส.ส.โคราช

การลงมติโหวตไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ก่อนต้องยอมรับโดยทั่ว กันว่า “สถานการณ์ได้สร้างวีรบุรุษ”.. แต่เป็นการสร้าง “วีรบุรุษจอมปลอม” ให้เกิดขึ้นในสภาอันทรงเกือกแห่งนี้แล้ว.. แต่ดันเป็นสภาที่รอเวลา “ยุบตัวเอง” ลงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้..

จับอาการกลุ่มก๊วนการเมืองที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่า.. วีรบุรุษ จอมปลอมพวกนั้นแสดงออกผ่านอาการ “อดอยากปากแห้ง”..ฉะนั้น หัวขบวนผู้อยู่เบื้องหลัง “กลุ่มส.ส.นครราชสีมา” จึงต้องรีบแก้เกมบากหน้าขอ “ตีตั๋วจอง” รอนั่งเสนาบดีในรัฐบาลสมัยหน้ากับเค้าด้วย!!! ด้วยการ “โหวตสวน” ความเห็นของซีกพรรคฝ่ายค้านไปซะอย่างนั้น..

ขณะที่สถานะเสียงข้างมากของประ ชาธิปัตย์บวกกับพรรคภูมิใจนั้นค่อนข้างง่อนแง่นเสียเต็มที..แต่ก็ยังพอประคอง “รัฐนาวาอภิสิทธิ์” ให้อยู่รอดปลอดภัยพอ ที่จะผ่านพิธีกรรมอำพราง “ผลาญงบประ มาณแผ่นดิน” ต่อไปได้อีกสักระยะจนกว่า จะรวมตัวรวมหัวกันยุบสภาราวปลายเดือน พฤษภาคมนี้..

อย่างกรณีกลุ่ม ส.ส.โคราช เมืองย่าโม ที่ประชาชนในพื้นที่แทบจะต้องส่าย หน้าหนีนั้น..เพราะแกดันมี “วาระซ่อนเร้น” โหวตไว้วางใจเฉพาะรัฐมนตรีที่มาจาก “ภูมิใจไทย” เป็นการเฉพาะ.. นัยว่าจะสร้าง “มิติใหม่ทางการเมือง” เพื่อขย่มข่มขู่ “น้ามาร์คศิษย์หลวงพี่ชวน” เพราะหากว่า “กลุ่ม 1 ส.+กลุ่ม 3 พี” รวมหัวกันยึดเมืองโคราชได้อย่างเบ็ดเสร็จ.. แล้วหันไปผสมข้ามสายพันธ์กับ “กลุ่มเติ้งกินไม่แบ่ง” จากเมืองสุพรรณบุรีจะได้ ส.ส.รวมกันมิใช่น้อย..

เพราะหาก “แก๊งปลาไหลรุ่นลายคราม” รวมตัวกันติดเมื่อไหร่?!?! แล้วเดิน หน้าไปอยู่ภายใต้ “อุ้งปีกมาร” กับพ่อมดเมืองมนต์เขมรที่รอวันออกจากคุกการ เมืองไทยราวกลางปี 2554 แล้วล่ะก็.. “นายกรัฐมนตรีไทย” คนต่อไปก็ไม่แน่ที่จะมีชื่ออื่นๆ เข้ามาสอดแทรกแทนหนุ่มหล่อนักเรียนนอกสองสัญชาติก็เป็นไปได้..

“ทาส-พสุธา” ประเมินสถานการณ์ หลัง “คุกแตก” แล้วว่าน้ำเน่าจากการเมือง ไทยจะยิ่งเน่ากว่าเก่าหลายกิโลขีด.. ก็เมื่อ “เซียนเขี้ยวโง้ง” คืนฟอร์มลงสู่สนามจริงหลังพ้นโทษแบนไป 5 ปี..“ความแค้นบวกกับความอดอยาก” มันได้ซึมผ่านชั้น ผิวหนังเข้าไปถึงกระดูกพวก 111 แล้วครับ.. ทุกอย่างจะเดินไปตามสัจธรรมที่ว่า “สันดอนนั้นขุดได้..แต่สันดานนักการเมืองไทยมันลึกเกินกว่าที่จะขุด”..

ฉะนั้น “ชาวโคราชบ้านเอ็ง” แต่ก็เป็นประเทศของพวกข้า..จะยอมทำตัวเป็น “คนหมดทางเลือก” แล้วก้มหน้าเดินเข้า คูหากาเบอร์เดิมๆ อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ??? หรือว่าคนโคราชยินยอมพร้อม ใจกับพฤติกรรมโหวตสวนซื้อใจ “หล่อ บวกห้อย” เพื่อเป็นใบเบิกทางให้กลุ่ม “1 ส.+3 พ.” ได้ส่งเด็กในคาถาเข้าร่วมผสม โรง “สวาปาล์ม” กับเค้าด้วยในรัฐบาลหน้า..

ตื่นเสียทีเถิดครับพี่น้องชาวโคราช!!! หากพวกท่านหาคนดีมีฝีมือและซื่อสัตย์มา ทำยาไม่ได้..ก็ให้พร้อมใจกันกาไปเลยที่ช่อง “โหวตโน” ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย.. ไม่ต้องเลือกใครหน้าไหนมาเป็น ส.ส.ให้รกเมืองย่าโมหรอกครับพ่อแม่พี่น้อง.. ไอ้ที่จะต้องมาเจอหน้าเห็นหัว ส.ส.มาคอยเอาอกเอาใจพี่น้องประชาชนเฉพาะตอนใกล้จะเลือกตั้งนั้นมันไม่สำคัญเท่าการได้มาซึ่ง “ตัวแทนที่ซื่อสัตย์” และเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ด้วยความจริงใจไร้ผลประโยชน์ แอบแฝงหรอกครับ..

“เกมแห่งอำนาจ” ในไทยมันควรจะยุติลงด้วยอำนาจที่แท้จริงจาก พี่น้องประชาชนเอง.. ด้วยการใช้สิทธิ์เลือกผู้แทนราษฎรของพวกท่านให้เข้า ไปปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ.. มิใช่เลือกกันเข้าไปอยู่กันเต็มสภา แต่หาสาระไม่ได้เลยสักรายเดียว.. ส.ส. หน้าเงินพวกนี้จ้องจะเขมือบงบหลวงเงินแผ่นดิน จนชาติผอมบักโกรกเหลือ แต่กระดูกแล้วครับ..

พี่น้องชาวโคราชเชื่อมั๊ย?!?! เมื่อประเทศบอบช้ำจากการทุจริตคอร์รัปชั่นจนเหลือแต่ซาก..ไม่มีอะไรจะให้ “ส.ส.ทาส” พวกนี้ได้โกงอีกต่อไปแล้ว.. พวก ส.ส.หน้าเดิมๆ ของพวกท่านเหล่า นั้นจะหน้ามืดตามัวถึงขั้น “ขายชาติ เฉือนแผ่นดินไทย” ให้กับคนต่างชาติต่างเมืองอย่างแน่นอนครับ..


ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ลูกป๋าเหนาะ ย้ำ ป๋าเหนาะซบ"เพื่อไทย"

นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทราบว่ามีการทาบทามนายเสนาะจริง และเป็นไปได้มากที่พรรคประชาราชจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นอยากให้รอฟังนายเสนาะ เป็นคนพูดเองในวันครบรอบวันเกิด 78 ปีที่บ้านพักอัลไพน์ ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรคประชาราชไปรวมกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้นต้องให้ผู้ใหญ่คุยกัน เพราะตรงนี้เป็นรายละเอียดของข้อกฎหมาย

ด้านว่าที่ร.ต.พงศ์พันธ์ เปิดเผยว่า วันนี้คณะส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปอวยพรวันเกิดให้กับนายเสนาะเนื่องจากเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ทั้งนี้ในวันที่ 1 เม.ย.ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์จะมีการจัดงานวันเกิดของนายเสนาะ ซึ่งจะมีการเปิดตัวนายเสนาะเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการด้วย รวมทั้งพล.ต.อ.ประชาด้วย ดังนั้นเราจะมีการทำพิธีต้อนรับนายเสนาะ เพราะการได้นายเสนาะเข้ามาร่วมงานนั้นเปรียบเหมือนกับการเปิดทางให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย โดยเบื้องต้นนั้น นายเสนาะ พล.ต.อ.ประชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้น จะลงสมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ตนทราบว่ายังมีความพยายามเชิญกลุ่มของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา และกลุ่ม 3 พี ของพรรคเพื่อแผ่นดินเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันนี้( 1 เม.ย.)นายเสนาะจะจัดงานคล้ายวันเกิดครบรอบ 78 ปีที่บ้านพักสนามกอล์ฟอัลไพน์ในช่วงเย็น โดยจะมีส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ของพรรค นำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์มาพูดคุยกับนายเสนาะเพื่อเชิญชวนเข้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการด้วย

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

จักรพรรดิ-จักรพรรดินีญี่ปุ่นเสด็จเยี่ยมปลอบขวัญผู้ประสบภัย

สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น เสด็จเยี่ยมปลอบขวัญผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิเป็นครั้งแรก หลังจากเกิดภัยพิบัติเมื่อเกือบ 3 สัปดาห์ที่แล้ว โดยสองพระองค์เสด็จดูความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยที่ศูนย์อพยพ ซึ่งตั้งขึ้นในโตเกียว บูโดกัน โรงยิมสอนศิลปะการต่อสู้ในกรุงโตเกียวเมื่อวาน โดยปัจจุบันโรงยิมแห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านให้กับผู้อพยพจากจังหวัดฟุกุชิมะประมาณ 300 คน และตลอดการเสด็จเยี่ยมนานเกือบหนึ่งชั่วโมง พระองค์ทรงมีปฏิสันถารกับผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด

ผู้ประสบภัยคนหนึ่ง บอกว่า ลำบากมากที่ต้องอยู่ที่นี่ โดยมีลูกเล็กๆอายุแค่ 7 เดือนแต่รู้สึกดีขึ้น เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีตรัสให้กำลังใจ ผู้ประสบภัยอีกคน บอกว่า แม้จะไม่สามารถพูดคุยกับสมเด็จพระจักรพรรดิได้อย่างถูกต้อง เพราะรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็รู้ได้ว่าทั้ง 2 พระองค์ทรงห่วงใยราษฎรจริงๆ และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมาก

ปัจจุบันประชาชนหลายแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิยังคงอาศัยอยู่ตามศูนย์อพยพชั่วคราวทั่งประเทศ ส่วนกรุงโตเกียวรองรับผู้ประสบภัยไว้ทั้งหมด 600 คน กระจายอยู่ตามศูนย์อพยพที่จัดไว้ 3 แห่ง 1 ใน นั้น คือ ศูนย์อพยพในโรงยิมโตเกียว บูโดกัน ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อพยพมาจากจังหวัดฟุกุชิมะที่มีปัญหาเรื่อง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ผู้ประสบภัยจะได้ตั๋วอาบน้ำฟรีที่ห้องน้ำสาธารณะ และคูปองอาหาร 2 พันเยนหรือราว 700 บาททุกวัน

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

จากใจ (เรา)ชมรมอาสาสมัครเพื่อความหวัง VOLUNTARY FOR HOPE GROUP (VHG)


ขอระบายความอึดอัดหน่อยนะ แบบว่าอึดอัดมานาน จากใจของกลุ่มคนที่อาสาทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือและดูแลพี่น้องมวลชนเสื้อ แดงในที่ชุมนุม ซึ่งไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล( ก็มันคิดว่าคนเสื้อแดงมาไล่มัน มันจะมาดูแลทำไม มันคิดว่าประชาชนเป็นศัตรู? )เรามาทำหน้าที่นี้เพราะเรามีความถนัด และอยากใช้ความสามารถทั้งหมดที่เราพอมี ให้เป็นประโยชน์กับมวลชน คืองานด้านดูแลสุขภาพ และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จะมีแกนนำคนใดรู้บ้างว่า พี่น้องต้องการการดูแลด้านนี้มากเพียงไร มีแต่พวกเราบรรดา กลุ่มอาสาพยาบาล ที่มากันเอง จัดตั้งกันเอง ใช้ทุนส่วนตัว และทุนของเพื่อน ๆ ในกลุ่มตัวเอง รวมถึงพี่น้องมวลชนด้วยกันเอง ที่หยอดกล่องรับบริจาคหน้าเต้นท์ เราไม่เคยได้รับการสนับสนุนเงินทองจากแกนนำแม้แต่บาทเดียว และไม่เคยร้องขอใด ๆ ทั้งสิ้น ทำงานไปตามธรรมชาติ ได้รับเงินบริจาคหน้าเต้นท์ น้อยมาก แต่ได้รับสนับสนุนจากผู้รักความยุติธรรม ที่พอมีกำลังทรัพย์ช่วยให้เราได้ทำงานเพื่อมวล ชนมาได้อย่างต่อเนื่อง "

" เราร่วมสู้มาตลอด ทำหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว มวลชนและการ์ด นปช.ที่ร่วมสู้กันมาตลอด ต่างก็รู้จักเราเป็นอย่างดี เรา( กลุ่มพยาบาลอาสา-มวลชน-และการ์ด ) เราเคยอยู่กันอย่างพี่น้อง ที่หัวอกเดียวกัน คือต้องสู้กับอำมาตย์เผด็จการ กลุ่มอาสาพยาบาลของเรา ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องเรา และเรา ยืนเคียงข้างมวลชนจนวินาทีสุดท้าย ด้วยมุ่งมั่นในนิยามของคำว่า เรา...จะไม่ทอดทิ้งกัน ทุกครั้งที่ถูกสลายอย่างไร้ความปราณีจากรัฐบาล"

" ครั้งล่าสุด กลุ่มของเราต้องเปลี่ยนชื่อกลุ่มใหม่ เป็น VHG เพราะชื่อเก่ามันถูกกระชับพื้นที่ไป แต่ทีมงานก็ยังคงหน้าเดิม ๆ ทุกคน และทำตามอุดมการณ์คือสู้ต่อ และเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลทุกข์สุขของมวลชน เพราะจากการทำงานอย่างหนักของเรา กินอยู่หลับนอนข้างถนนเช่นเดียวกับมวลชน เราอาศัยข้าวแจกเช่นดียวกับมวลชนที่ทุกข์ยาก เพื่อประหยัดเงินทุกบาทที่ผู้ใจบุญบริจาคให้เรานำไปซื้อยา -เวชภัณท์ มาดูแลพี่น้องของเรา พวกแกนนำท่านรู้บ้างไหมว่า เราต้องใช้เงินซื้อยาในแต่ละวัน จำนวนเงินเท่าไร? สถานภาพความป่วยไข้ของพี่น้องร่วมรบที่น่าสงสาร เป็นอย่างไร ? ท่านคงไม่รู้ หรืออาจจะรู้แต่ไม่ตรงตามความเป็นจริง "

"หลังถูกสลาย บางคนในกลุ่มต้องหนีหัวซุกหัวซุน (ท่านอย่ารู้เลยว่า หนีทำไม ก็เป็นกลุ่มพยาบาลถ้าถามแกนนบางคนเขาอาจจะให้คำตอบได้ ) ตัวอย่างมีให้เห็นคือกลุ่มอาสากู้ชีพ ถูกยิงตายในวัด เราก็อยู่จุดเดียวกันนั่นล่ะ ) "

" แต่ด้วยวิญญาณนักสู้เสื้อแดงมันมีอยู่เต็มตัว และหัวใจ กลุ่ม VHG ก็เดินหน้าสู้ต่อไปพร้อมกับมวลชนอีก ภายใต้การควบคุมด้วย พรก.ที่วัดอ้อมน้อย สมุทรสาคร เราบอกับตัวเองว่า กู..ไม่หนีอีกแล้ว เพราะมวลชนต้องการการดูแล ไม่มีหน่วยพยาบาล มวลชนก็ลำบาก เจ็บป่วยกระทันหันจะทำอย่างไร "

" เราไปได้ด้วยดี เพราะในขณะนั้น ไม่มีแกนนำ ไม่มี " ส่วนกลาง" เข้ามาควบคุมการชุมนุม ทุกคนมีอิสระเสรีภาพไม่ถูกจำกัดสิทธิ มวลชนให้การต้อนรับ เพราะเราทำเพื่อพวกเขา "

" แต่ลางหายนะสำหรับ VHG มันเริ่มที่งาน แรลลี่ อยุธยา เราประสานงานกับผู้จัดเป็นอย่างดี ได้จุดตั้งเต้นท์ที่เหมาะสม คือมวลชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และสะดวก แต่จู่ ๆ ก็มีผู้จัดที่เขาอ้างว่า เป็นเจ้าของงาน และเป็นถึง พี่สาว สส.ในพื้นที่ มาขอให้เราย้ายเต้นท์ไปตั้งที่อื่น เพราะ "พยาบาลส่วนกลาง" ต้องการพื้นที่ตรงนั้น เช่นกัน มันกิดคำถามว่า ทำไมเราถึงต้องถูกไล่ที่ ? และต้องหลีกทางให้กับ "พยาบาลส่วนกลาง" ทั้งที่เราประสานงานมาเป็นที่เรียบร้อย และทุกครั้งเราจะไปเริ่มงานก่อนทีมวลชนจะเดินทางถึงที่ชุมนุมเสมอ คือไปแต่เช้า ส่วน " พยาบาลส่วนกลาง" วันนั้นเขามาถึงประมาณ บ่าย-2 ถ้าจำไม่ผิด แต่ก็บ่ายมากแล้วล่ะ พอเขามาถึง เขาอยากได้อะไร สั่งอะไร ก็ต้องได้ทุกอย่างใช่ใหม่ ? แล้ว "พยาบาลส่วนกลาง" มี ความแตกต่างจาก " กลุ่มงานอาสาพยาบาล VHG " หรือหน่วยพยาบาลอาสา อื่น ๆ ตรงไหน ?

" และตั้งแต่มีการชุมนุมโดย นปช.เริ่มมีประธานรักษาการ มีการ์ด ชุดใหม่ ผู้ดูแลการ์ดคนใหม่ เป็นต้นมา VHG ซึ่งต้องอดหลับอดนอน ผลัดเวรกันไปจับจองพื้นที่ เช่นเดียวกับพ่อค้าแม่ค้าเสื้อแดง เพื่อให้ได้ทำเลตั้งเต้นท์ที่เหมาะสมในการดูแลมวลชน กลับถูก การ์ด นปช.ผู้ยิ่งใหญ่ ไล่เหมือนเราเป็นหมู เป็นหมา แต่คราวนี้ความอดทนมันถึงขีดสุด.. เราโต้ตอบกลับไปบ้าง เพราะไม่รู้จะทนให้พวกใจดำไร้สำนึกพวกนี้ มันไล่เตะเล่นไปทำไม.."

"ล่าสุดนี้ VHG ก็เจอทีเด็ดของผู้ยิ่งใหญ่ "พยาบาลส่วนกลาง " ที่เขาบอกว่าเขา เส้นใหญ่ ก็วิธีเดิม ๆ คือเรามีทีมงานไปประสานจุดตั้งเต้นท์ล่วงหน้า 1 วัน(ก็เรารู้ตัวว่าเรา เส้นไม่ใหญ่ และถูกไล่อยู่ประจำ) ได้ที่ชัดเจนแล้ว เช้า26-03-54 ยาและเวชภัณท์ ก็ออกเดินทางจาก กทม.ตั้งแต่ตี 4 ถึงพื้นที่ก็เตรียมจัดของ ปรากฏว่า "พยาบาลส่วนกลาง" เส้นใหญ่คับเสื้อแดง ก็มายืนอวดก้าม ชูหาง พองขน ใช้วาจาถากถาง เรา ..อดทน ไม่โต้ตอบ เพราะเราคิดว่า เรามีสมบัติผู้ดี ไม่ควร เสวนากับคนถ่อย น้องทีมงานที่จองพื้นที่ก็เข้าไปคุย..ได้ยินเต็ม 2 หู ว่า " ระหว่าง..(ขอไม่เอ่ยนาม ซึ่งเป็นผู้ชี้จุดให้เราตั้งเต้นท์ และดูแลจัดพื้นที่ ) กับ...( เขาเอ่ยชื่อแกนนำรอง ที่ขึ้นเวทีต้องมีเพลงประจำตัวคล้าย ๆ เพลงก๊อด ) ใครจะใหญ่กว่ากัน " จบค่ะ เรารู้แล้วว่า เจอกับอะไรเข้า ก็ต้องขนของหาที่ตั้งใหม่ ตามยถากรรม ประสากลุ่มอาสาพยาบาล ลูกเมียน้อย มาตรฐานการได้รับการต้อนรับ ต้องต่ำกว่า " พยาบาลส่วนกลาง "

" โชคดีที่พ่อค้าแม่ค้าเสื้อแดง ที่เขารู้จักเราดี ว่าเราเป็นผู้ที่ดูแลมวลชน รวมทั้งพวกเขาก็มารับการช่วยเหลือจากเรา พวกเขาเห็นใจ และรู้ว่า หน่วยพยาบาล มีความสำคัญ ต้องมีที่ตั้งเต้นท์ เพื่อดูแลมวลชน เขาแบ่งที่ให้เราได้ทำหน้าที่ดูแลมวลชนได้ในที่สุด "

" ยัง..ยังมีต่อ VHG ไม่ได้รับการต้อนรับตั้งแต่ก้าวแรก ที่เดินทางถึงโบนันซ่า คือการ์ดด่านแรกทีมีแผงเหล็กกั้นทางเข้า ไม่ยอมให้เรานำรถขนอุปกรณ์ ยา เข้าไป เขาอ้างว่า ต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เราบอกว่าเป็นหน่วยพยาบาล เขาถามว่าหน่วยไหน เราบอกว่า VHG เขาทำหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วบอกว่านำรถเข้าไปไม่ได้ ( รถเก๋งคันเล็ก ๆ ) เราบอกว่าจะขนของให้เราไหมล่ะ เขาถามว่าหนักไหม เราบอกว่าไม่หนักจะขอเข้า  แล้ว พณ.ท่านหัวหน้ากลุ่ม ก็เดินมาที่รถ แล้วก็ทำหน้างี่เง่า "สำลัก" คำพูดออกมาว่า " อยากเข้า ก็ปล่อยให้เข้าไป " เจ็บปวดไหมคะ สำหรับกลุ่มคนที่อาสามาดูแลมวลชนอย่างจริงใจ แต่เราก็ยังหน้าด้านทำหน้าที่ ดูแลมวลชนของเราต่อไป จนในวันนั้น ยาแทบหมดเต้นท์ และเราได้ดูแล การป่วยไข้ของพี่น้องเราเกือบตลอดวันและคืน พี่น้องมวลชนเห็นความสำคัญ และเห็นเราเป็นที่พึ่งในยามเจ็บป่วย และวางใจ ให้เราดูแล แต่ ผู้จัดการชุมนุม และแกนนำ ไม่เคยเห็นความสำคัญกับเราเลย "

**ท่านไม่ให้ความสำคัญเรา เราไม่ว่า แต่อย่าให้คนของท่าน มารังแกเรา เพราะแม้แต่อำมาตย์เรายังสู้ ดังนั้นจากนี้ไป ใครมารังแกเรา เราก็จะสู้ เพื่อความถูกต้อง และความยุติธรรมในหมู่เสื้อแดง กำจัด 2 มาตรฐานในเสื้อแดง ***



//////////////////////////////////////////////////////////////////

กุศโลบายพรรค SME..ตีแตก....

แตกไลน์ออกมาเป็นกุศโลบายหาเสียงของพรรค “SME” ที่ไม่ต่างจากพรรคระดับตัวแปรใน การจัดตั้งรัฐบาล ที่ “โต๊ะข่าวการเมือง” ชี้เป้าไปที่ 3 พรรคไซส์กลางไปถึงเล็กอย่าง ชาติไทยพัฒนา เพื่อแผ่นดิน (3 พี+ก๊วน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ) และมาตุภูมิ ชาติไทยพัฒนา

ปักหมุดดอกแรกไปที่พรรคชาติไทยพัฒนา ภายใต้การบัญชาการของ “บรรหาร ศิลปอาชา” ผ่านม็อตโต้ “ชาติไทยพัฒนา เพื่อพัฒนาชาติไทย การเมืองไม่ขัดแย้ง สร้างแรง กระตุ้นเศรษฐกิจ มีคุณภาพชีวิตที่ดี”

ที่ขออนุญาตคัดแบบเนื้อๆ เน้นๆ ในนโยบายด้านท่องเที่ยวอันเป็นหัวใจหลักในการ บริหารประเทศของพรรคชาติไทยพัฒนาที่สรุปความว่า

พรรคชาติไทยพัฒนาจะส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ของประเทศ เพื่อการสร้างงาน สร้างรายได้และความอยู่ดี กินดีของประชาชน โดยจะสนับสนุนให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาแหล่งท่องเที่ยวเดิม โดยคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติ ทั้งนี้ จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนา แหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของชุมชน และให้มีความตระหนักรู้ถึง คุณค่า และหวงแหนในทรัพยากรทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของชุมชน

นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่จังหวัดกลุ่มอารยธรรมภาคเหนือ พื้นที่จังหวัด เชื่อมโยงทางภาคใต้ตอนบน กลุ่มจังหวัดลุ่มแม่น้ำภาคกลาง กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และภาคอีสาน ตลอดจนเร่งรัดให้มีการพัฒนา มาตรฐานการบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กับต่างประเทศ โดยจะสนับสนุนให้หน่วยงาน ของรัฐและเอกชน ร่วมมือกันในการขับเคลื่อน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และจะสนับสนุนและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในด้านกฎระเบียบเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุน จากทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเร่งพัฒนา ศักยภาพบุคลากรด้านการ ท่องเที่ยวของไทย เพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน

ชูจุดขายเที่ยวละไมไปกับทีมงานปลาไหล นโยบายหาเสียงดังกล่าวจึงถือว่าไม่ธรรมดาเพื่อแผ่นดิน+สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ตัดสลับมาที่พรรคเพื่อแผ่นดินภายใต้การคอนโทรลของทีมงาน 3 พี ที่ไปแต่มือกับ ก๊วนโคราชของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ที่ปูพรม นโยบายหาเสียงผ่านสโลแกน “รัฐสวัสดิการ เพื่อแผ่นดิน 9 ความสุข นำรอยยิ้มสู่สังคมไทย” ออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยมีสาระ สำคัญประกอบไปด้วยการสร้างความสุขให้กับ คนไทย

โดยในเบื้องต้น จะมีการจัดเบี้ยสวัสดิการ ให้กลุ่มคนทำงานอาสา เช่น อสม., อป.พร. ตำรวจบ้าน รวมถึงคนไม่มีรายได้ คนตกงานรายละ 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ จาก 500 บาทเป็น 1,000 บาทต่อเดือน จัดสรรเงินบำรุงศาสนสถาน ตำรวจ โรงเรียน แห่งละ 1 แสนบาทต่อปี ล้าง หนี้ให้กับประชาชนที่มียอดหนี้ไม่เกิน 2 แสนบาททุกคน ตั้งธนาคารต้นไม้ ธนาคารชุมชน

ก๊วนการเมืองใหม่ที่ยังไม่ลงเอยในเรื่อง ชื่อพรรค ยังคงหาเสียงเกาะกระแสประชานิยมไว้ได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน

มาตุภูมิข้ามช็อตไปที่พรรคใหม่อย่าง “มาตุภูมิ” ภายใต้การกุมบังเหียนของ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” ที่ชูนโยบายหาเสียงผ่านม็อตโต้ “กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง เพื่อความ อยู่ดีมีสุขของคนไทยทั้งประเทศ ประสานทุกปัญหา พัฒนาเท่าเทียม ดำรงเกียรติชาติไทย เลือกพรรคมาตุภูมิ”

ในฐานะที่หัวหน้าพรรคเติบโตมาจากฝ่ายความมั่นคง จึงขอเจาะเฉพาะนโยบายใน ด้านนี้ให้สาธารณชนได้รับทราบ อันมีรายละเอียดดังนี้

1.ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนา ระบบการป้องกันประเทศให้มีขีดความสามารถ ในการป้องกันตนเองและรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือจากประชาชนเพื่อร่วมพัฒนาระบบการป้องกันประเทศ

2.สนับสนุนการพัฒนาความพร้อมของ กองทัพ เพื่อให้กองทัพมีความพร้อมในการรักษาไว้ซึ่งอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และผลประโยชน์ของชาติ ควบคู่ไปกับการ ส่งเสริมการพัฒนาประเทศและการป้องกันบรรเทาภัยสาธารณะ

3.ยึดมั่นในแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ

4.ผลักดันให้เกิดความสมัครสมาน สามัคคีของคนในชาติ และส่งเสริมให้เกิดกลไก ระงับความขัดแย้งกันทางอุดมการณ์ทางการ เมืองภายใต้หลักประชาธิปไตยและสันติวิธี

5.ปรับปรุงและสนับสนุนด้านสวัสดิการ ทหาร องค์การทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารให้ดีขึ้นเพื่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประเทศชาติ

6.ส่งเสริมการจัดระบบคนต่างด้าวเข้า เมืองผิดกฎหมายทุกประเภท เพื่อจำกัด ควบคุมและลดปริมาณและผลกระทบของปัญหาต่อความมั่นคงในระยะยาว ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสถานะและสิทธิของคน ต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศและความมั่นคง ของชาติ

ยกนโยบายมาชี้จุดดีจุดด้อยทั้งกระบิ คงไม่ไหว แต่ที่ได้เรียบเรียงมาล้วนเป็น จุดเด่นจุดขายของพรรค “SME” ที่กำลังรอ ลุ้นผลการเลือกตั้งในวันข้างหน้าว่ากุศโลบาย ขายฝันเหล่านี้จะตีแตกถึงใจประชาชน หรือไม่???


ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มองการณ์ไกล..!!!!!

ประชาธิปไตย ‘ฝืนใจคน’ ตีความแบบศรีธนญชัย ‘ระบบคน’ ยังไม่ชัดเจน คนดีหน่ายทั้งเข็ดขยาด! หลังผ่านศึกซักฟอกแบบฉลุยฉุยแฉะ...และเห็นทีท่าของ “รัฐบาล” ในการตีฆ้องร้องป่าวเรื่อง “วันยุบสภา-วันเลือกตั้งใหม่”...ที่ “คนของรัฐบาล” พยายามทำให้เห็นถึง “ความตั้งใจจริง” ไม่ได้โม้ไปวันๆ

ขณะที่ “คนควบคุมกติกา” อย่าง “สดศรี สัตยธรรม” กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ก็ออกมาตั้งเงื่อนไขที่ดูเหมือนจะเป็น “เดดล็อก” ในเรื่อง “ระยะเวลา” ในการออกกฎหมายลูก 3 ฉบับ “ร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.ร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญพรรคการเมือง” ว่า ถึงแม้จะผ่านสภาฯ แต่ก็ยังติดที่ “ศาลรัฐ ธรรมนูญ” ซึ่งจะต้องให้การรับรอง ที่จะ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน

ทำให้มีการมองกันว่า...อาจจะไม่เสร็จทันตามกำหนดเวลาที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี พยายามตอกย้ำในช่วงวันยุบสภาว่าจะเป็น “ต้นเดือน พ.ค.” ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ “หลายคน” มองข้ามไปแล้วว่า “นี่หรือเปล่า...ที่อาจเป็นเงื่อนไขในการทอดเวลาการยุบสภาออก ไป” โดยอ้างเหตุผลว่า “ไม่สามารถไป เร่งรัดศาลรัฐธรรมนูญได้” และ “นายกฯ ก็ไม่ได้ผิดคำพูดด้วย” เพราะอย่าลืมว่า... เลือกตั้งในเวลานี้ ไม่มีหลักประกันใดๆ ที่ชัวร์ 100% ว่า “ประชาธิปัตย์” จะได้ กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง!!!

จะเห็นว่า ระบบการเมืองไทยบ้าน เรา มีความพยายาม “งัด” เอาเรื่อง “ข้อกฎหมาย” ที่จะต้องเป็นไปตาม “ตัวอักษร” มากำหนดชะตาชีวิตของคนไทยอยู่ตลอดเวลา ใครสามารถตีความตามตัวอักษรแบบศรีธนญชัย...เข้าข้างตัวเอง ได้มากเท่าใด ก็จะพยายามทำให้ฝ่ายตัวเอง ได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่ฝืนใจ” มากกว่าจะเป็น “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” และยิ่งทำให้ “คนดีๆ” เบื่อหน่ายและขยาดการเมืองมากขึ้นอีก

เมื่อพูดถึง “ระบบ” ก็ให้นึกถึงเรื่อง “ตัวบุคคล” ขึ้นมาฉับพลัน...เพราะมาเห็น การประกาศของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ว่าจะ “ไม่เล่นการเมือง” ก็ทำ ให้สงสัยหนักว่า แล้วที่นั่งอยู่ในเก้าอี้ “รมว. กลาโหม” นั้น...ไม่ใช่เล่นการเมืองหรือ??? นี่ยังไม่นับรวมท่าที “แทงกั๊ก” ของ “ร.ต.อ. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” (ตัวละครใหม่แต่ หน้าเดิมๆ) ผู้ถูกคาดหมายว่าจะมานั่งเก้าอี้ หัวหน้าพรรคประชาสันติ เพื่อหวังเป็นทาง เลือกให้กับผู้คน แต่ “ท่าที” นิ่งเฉย...ที่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัว ก็ให้ระวังว่า “จุดแข็ง” อาจกลายเป็น “จุดอ่อน” ได้

อย่าลืมว่า...การเมืองเป็นเรื่องของ การอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน โดยมีตำแหน่ง-อำนาจ-บารมี...ไว้รองรับให้ กับ “คนการเมือง” และที่ผ่านมา “หลายคน” ก็ขวนขวายและไขว่คว้า...“กระสัน-อยาก” เข้ามามีอำนาจ...เมื่อมี “ความอยาก” ก็ควรมี “ความกล้า” ควบคู่กันไปด้วย มิใช่เล่นบท “อีแอบ” หรือรอเล่น บท “อร่อยจังตังค์อยู่ครบ”

นี่เป็นแค่การตั้งข้อสังเกตง่ายๆ ใน 2 เรื่อง 2 รส...ที่เกี่ยวข้องกับ “การเมืองไทย” ทำให้มองเห็นเลาๆ ว่า “การ เมืองไทย...ยังไปไม่ถึงไหนจริงๆ” และ “คนไทย” ยังไม่สามารถฝากความหวัง ว่า “การเมืองไทย” จะนำพาพวกเขา... ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงและดีขึ้น ได้อย่างไร??? ตราบใดที่ “การเมืองไม่นิ่ง” และ “ตัวละครการเมือง” ยังจมปลักอยู่กับ “สิ่งโสมม” ที่ “น้ำเน่า” เหมือนเดิม... ตราบนั้น “ประเทศชาติ” ก็ยังไม่พัฒนา และ “คนไทย” ก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องเน่าๆ เหมือนเดิม

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไม่เอา..ไม่พูด ม.112

การมีบทบัญญัติคุ้มครองเกียรติของบุคคลในตำแหน่งประมุขของรัฐไว้เป็นพิเศษยิ่งกว่าบุคคลธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปรกติแต่อย่างใด บทบัญญัติที่คุ้มครองประมุขของรัฐไว้เป็นพิเศษนี้มีปรากฏเช่นกันแม้ในประเทศที่มีรูปของรัฐเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งประมุขของรัฐเป็นประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม การบัญญัติคุ้มครองพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้เท่ากับประมุขของรัฐ ทั้งๆที่บุคคลในตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่ประมุขของรัฐ และได้รับความคุ้มครองตามหลักทั่วไปอยู่แล้ว ย่อมหาเหตุผลรองรับได้ยาก”

แถลงการณ์นิติราษฎร์ ฉบับที่ 16 ในเว็บไซต์ “นิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร” โดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้เหตุผลถึง “ปัญหาของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ซึ่งกลุ่มนิติราษฎร์จะมีการจัดอภิปรายเรื่อง “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม เวลา 13.00-15.00 น. ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากมีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนและเปลี่ยนวิทยากรที่จะมาเสวนาเป็นนักวิชาการของกลุ่มนิติราษฎร์ทั้งหมดคือ นายวรเจตน์ นายธีระ สุธีวรางกูร นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวสาวตรี สุขศรี

การจัดเสวนาดังกล่าวจะมีแถลงการณ์ของกลุ่มนิติราษฎร์ที่เป็นข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น รณรงค์เพื่อให้ประชาชนมีความตื่นรู้ในกฎหมายหมิ่นฯด้วย

อัตราโทษสูงเกินไป

นายวรเจตน์กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องพูดถึงมาตรา 112 ว่าเพราะในห้วงเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เริ่มได้รับความสนใจจากสาธารณชนในวงกว้าง ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะสถิติการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และในหลายกรณีผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น แต่เพราะความลึกลับของการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในลักษณะเช่นนี้ ประกอบกับความพยายามของหน่วยงานของรัฐที่เริ่มให้ความหมายใหม่ของความผิดฐานนี้ว่าเป็นความผิดฐานล้มเจ้าด้วย จึงทำให้สาธารณชนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์ให้ยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เริ่มอึกทึกกึกก้องดำเนินคู่ขนานไปกับความเงียบงันของแวดวงวิชาการนิติศาสตร์ เหมือนกับเรื่องครึกโครมอื้อฉาวอีกหลายเรื่องของกระบวนการยุติธรรมในห้วงเวลาที่ผ่านมา

โดยเฉพาะปัญหาอัตราโทษของมาตรา 112 ที่ปัจจุบันกำหนดโทษจำคุก 3-15 ปี ซึ่งเป็นโทษที่ได้รับการกำหนดขึ้นโดยขาดความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย เพราะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาโดยคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 23 ตุลาคม 2519 (หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา) เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามพระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วย การพูดหรือเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ. 118 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว พบว่าโทษหมิ่นประมาทพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดำรงสยาม รัฐมณฑลนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินกว่า 3 ปี หรือให้ปรับเป็นเงินไม่เกินกว่า 1,500 บาท หรือทั้งจำและปรับ

แม้แต่ในประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2500 โทษตามมาตรา 112 คือโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และไม่มีการกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ จึงกล่าวได้ว่าอัตราโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายปัจจุบันขาดความสอดคล้องกับหลักความพอสมควรแก่เหตุอย่างสิ้นเชิง

ตำนานปรีดี พนมยงค์

“นักปรัชญาชายขอบ” เขียนบทความ “ม.112 ขัดต่อหลักความยุติธรรมอย่างไร?” ในเว็บไซต์ประชาไท ตั้งประเด็นว่า “มองจากหลักความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยหรือหลักการ “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม” มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ย่อมสมควรถูกยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงให้ไปกันได้กับหลักเสรีภาพและความเสมอภาค” แม้เรื่องสถาบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมไทย แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา มาตรา 112 ได้ถูกนำไปเป็นข้ออ้างหรือเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าจะกระทบ กระเทือนต่อสถาบันและสิทธิเสรีภาพที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยอย่างไร

บทความได้ยกข้อเขียนชื่อ “พลิกตำนาน-เบื้องลึก รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์” โดยอ้างถึงคำพูดของ “ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล” ทายาทลำดับที่ 5 จากทั้งหมด 6 คนของ “ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์” ที่ระบุว่า

“ดุษฎี” เริ่มน้ำตาคลอเมื่อต้องพูดถึงความรู้สึกของผู้เป็นพ่อหลังเกิดกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ว่า

“ทุกคนชอบถาม แต่คุณพ่อไม่เคยบอกอะไรกับลูก หรือแม้แต่คุณแม่ คุณพ่อเคยพูดกับนักเรียนไทยในอังกฤษบอกว่า ประวัติศาสตร์เมื่อถึงเวลาแล้วประวัติศาสตร์จะบอกเองว่าได้เกิดอะไร นี่คุณพ่อพูดแค่นี้ คุณพ่อมีความดีอยู่อย่างคือไม่เคยใส่ร้ายใคร คุณพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์สังคม และเป็นคนไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีหลักฐาน ยืนยันไม่ใส่ร้ายใคร”

ยิ่งหากให้สรุปถึงเหตุการณ์ที่ “รัฐบุรุษอาวุโส” เคยเสียใจที่สุดนั้น “ดุษฎี” พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“คุณพ่อไม่ได้พูด...แต่พวกเราพูด แต่ละไว้ จุด จุด จุด บอกแล้วว่าไม่พูดย้อนหลัง พูดแต่ข้างหน้า”

สิทธิความเป็นมนุษย์!

บทความดังกล่าวยังถามต่อ “ความเป็นมนุษย์” ในแง่ที่ว่าทุกคนควรมีเสรีภาพในการพูดความจริงเพื่อปลดเปลื้องตนเองจากการเข้าใจผิดของสังคม หรือจากการถูกลงโทษทางสังคม ฯลฯ ที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่?

เพราะหากมองในมิติทางสังคมและการเมืองในสังคมเสรีประชาธิปไตยแล้ว สังคมที่ยอมรับกฎหมายที่ขัดต่อหลักความยุติธรรมย่อมเป็นสังคมที่ยอมรับระบบอยุติธรรมต่อความเป็นมนุษย์นั่นเอง เพราะสังคมเสรีประชาธิปไตย กฎหมายต้องบัญญัติบนหลักความยุติธรรมพื้นฐาน 2 ประการคือ หลักเสรีภาพและหลักความเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชน หรือประชาชนกับประชาชน

“นักปรัชญาชายขอบ” จึงเห็นด้วยที่คนเสื้อแดงจะรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งต้องการให้พรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงสนับสนุนมีวาระที่ชัดเจนในการรณรงค์เรื่องนี้ด้วย

กรณีกษัตริย์สเปน

การเคลื่อนไหวให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ยิ่งมีมากขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได้วินิจฉัยคดี Otegi Mondragon v. Spain ซึ่งศาลยืนยันว่าการที่ศาลภายในแห่งรัฐสเปนพิพากษาลงโทษบุคคลในความผิดฐานหมิ่น ประมาทกษัตริย์ฆวน คาร์ลอส แห่งสเปนนั้นเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามที่อนุสัญญาสิทธิมนุษยชนยุโรปรับรองไว้ในมาตรา 10 ของอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนยุโรปวรรคแรกที่บัญญัติว่า

“บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก สิทธินี้ประกอบด้วย เสรีภาพในความคิดเห็น เสรีภาพในการรับหรือสื่อสารข้อมูลข่าวสาร หรือความคิดโดยปราศจากการแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐ...” และวรรคสองบัญญัติว่า “การใช้เสรีภาพดังกล่าวซึ่งต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดอาจอยู่ภายใต้รูปแบบ เงื่อน ไข ข้อจำกัด หรือการลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องเป็นมาตรการจำเป็นในสังคมประชาธิปไตย เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ การบูรณาการดินแดน ความปลอดภัยสาธารณะ การรักษาระเบียบ การป้องกันอาชญากรรม การคุ้มครองสุขภาพและศีลธรรม การคุ้มครองชื่อเสียงหรือสิทธิของบุคคลอื่น เพื่อมิให้มีการเปิดเผยข้อมูลลับ หรือเพื่อประกันอำนาจหน้าที่และความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ”

โดยคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2547 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสเปนขอหมายศาลเพื่อบุกเข้าไปสำนักงานของหนังสือพิมพ์ Euskaldunon Egunkaria เพื่อตรวจค้นและสั่งปิดหนังสือพิมพ์ เนื่องจากมีหลักฐานว่าหนังสือพิมพ์นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบาสก์ (ETA) นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังจับกุมกรรมการบริหารและบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์อีก 10 คน หลังการคุมขังโดยลับผ่านไป 5 วัน มีการร้องเรียนจากผู้เกี่ยวข้องกับผู้ถูกคุมขังว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังทั้ง 10 อย่างทารุณ

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ กษัตริย์สเปนได้รับการเชื้อเชิญและต้อนรับจากหัวหน้ารัฐบาลของประชาคมปกครองตนเองบาสก์ในพิธีเปิดโรงไฟฟ้า ณ เมือง Biscaye ในวันเดียวกันนั้น นาย Arnaldo Otegi Mondragon โฆษกของกลุ่มชาตินิยมบาสก์ Sozialista Abertzaleak ในสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวว่าการเสด็จของกษัตริย์ฆวน คาร์ลอส นั้นน่าเวทนาและน่าสลดใจ เขาเห็นว่าการที่หัวหน้ารัฐบาลของแคว้น บาสก์ไปร่วมงานเปิดโรงไฟฟ้ากับกษัตริย์สเปนนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง นับเป็น “นโยบายอันน่าละอายอย่างแท้จริง” และ “ภาพๆเดียวแทนคำพูดนับพัน”

นาย Otegi Mondragon ยังกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บุกเข้าไปปิดสำนักพิมพ์ของหนังสือพิมพ์ Eu-skaldunon Egunkaria และจับกุมผู้ต้องหา 10 รายว่า “ผู้รับผิดชอบการทรมานผู้ต้องหา คือกษัตริย์นี่แหละ ที่ปกป้องการทรมาน และระบอบราชาธิปไตยของกษัตริย์ ได้บังคับประชาชนด้วยวิธีการทรมานและรุนแรง”

นาย Otegi Mondragon จึงถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่านาย Otegi Mondragon มีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 490 วรรคสาม ต้องรับโทษจำคุก 1 ปี นาย Otegi Mondragon จึงใช้ช่องทางร้องทุกข์ต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไปแต่ไม่สำเร็จ เขายังไม่ยอมแพ้และเดินหน้าร้องต่อศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป จนมีคำตัดสินดังกล่าวว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามอนุสัญญาสิทธิมนุษยชน

อนาคตกษัตริย์ในยุโรป?

นายปิยบุตร แสงกนกกุล ให้ความเห็นถึงคำวินิจฉัยที่ว่ากฎหมายที่กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ขัดกับเสรีภาพในการแสดงออก แต่รัฐธรรมนูญสเปนกำหนดให้กษัตริย์ไม่ต้องรับผิด และไม่อาจถูกละเมิด ไม่อาจกีดขวางการวิจารณ์กษัตริย์ เช่นนี้แล้วในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น สเปนจะมีการผลักดันให้แก้ไขหรือยกเลิกความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์หรือไม่ ประเทศอื่นๆในยุโรปที่เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขจะดำเนินการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์หรือไม่

เพราะคดีนาย Otegi Mondragon มีความสำคัญต่อระบบกฎหมายและระบอบการเมืองการปกครองของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะประเทศที่ประมุขของรัฐเป็นกษัตริย์ ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญ หมุดหมายของประวัติศาสตร์ เนื่องจากศาลสิทธิมนุษยชนยอมรับว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ไม่ได้แตกต่างไปกว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป

ที่สำคัญคำวินิจฉัยอาจส่งผลสะเทือนถึงระบบรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขในยุโรปว่าในอนาคตบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองเป็นพิเศษแก่กษัตริย์จะเอาอย่างไรต่อไป คงเดิม ลดความเข้มข้น หรือยกเลิก?

อิงแอบสถาบัน?

โดยเฉพาะวิกฤตการเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบันพบว่ามีการดึงเอาสถาบันไปเกี่ยวโยงอย่างชัดเจน อย่างเอกสารของ “วิกิลีกส์” ที่เปิดเผยโทรเลขของนายอีริค จี. จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่ส่งรายงานไปยังกรุงวอชิงตัน ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2549, 1 ตุลาคม 2551, 6 พฤศจิกายน 2551, 25 มกราคม 2553 และมีการเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ “เดอะการ์เดี้ยน” ของอังกฤษเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งระบุชื่อบุคคลสำคัญคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้การเมืองไทยสั่นสะเทือนอย่างมาก เพราะมีเนื้อหาที่สำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเมืองไทยทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รวมถึงการยึดโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูงที่ถูกดึงมาใช้เป็นเครื่องมือและเงื่อนไขทางการเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และประชาชนที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกับกลุ่มชนชั้นสูง

แม้แต่รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission : AHCR) ยังได้กล่าวถึงการละมิดสิทธิมนุษยชนในไทยในช่วงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่มีอำนาจเยี่ยง “รัฐทหาร” ได้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกล่าวหาและจับกุมแกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายและล้มเจ้า โดยอ้างแผนผังที่ทำขึ้นมา และเหยื่อหนึ่งในนั้นคือ “ดา ตอร์ปิโด” หรือ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปี

ขณะที่ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯก็มีอีกหลายคน แม้แต่ชาวต่างชาติ รวมทั้งล่าสุดคือกรณีนายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ผู้ออกแบบเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ ที่ถูกตัดสินให้จำคุก 13 ปี (อ่านรายละเอียดในคอลัมน์ถนนประชาธิปไตย หน้า 9)

รณรงค์ไม่เอา 112

เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งนายสุรชัยประกาศว่าจะรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 เพื่อเปลี่ยนแปลงสถาบันเบื้องสูงให้พ้นวังวนการเมือง

คำพูดของนายสุรชัยจึงเหมือนการปลุกกระแสให้กลุ่มที่เคลื่อนไหวยกเลิกมาตรา 112 กลับมาแพร่หลายอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่กลุ่ม “ไม่เอา 112” ที่แพร่กระจายในสื่อออนไลน์เท่านั้น แต่ยังทำให้วงการนักวิชาการตื่นตัวและรณรงค์เคลื่อนไหวอย่างมากเช่นกัน

เนื่องจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีการใช้สถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายปฏิปักษ์ทางการเมืองมาตลอด ตั้งแต่รัฐประหารพฤศจิกายน 2490 ที่นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ใส่ความ พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร มักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศไทย เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ใส่ความนักศึกษาเล่นละครดูหมิ่นองค์รัชทายาท หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็อ้าง พ.ต.ท.ทักษิณจาบจ้วงและคิดล้มล้างสถาบัน (หาอ่านได้จากหนังสือ “ขบวนการลิ้มเจ้า” โดยทีมข่าวโลกวันนี้ ที่เคยเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่มีความพยายามอิงแอบ แนบชิด และบิดเบือน) และเอาสถาบันเบื้องสูงมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยใช้วาทกรรมบิดเบือนต่างๆ

ไม่เอา...ไม่พูด!

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงไม่เคยแยกออกจากการเมืองไทยเลย แล้วยังทำให้ประชาชนที่มีความคิดเห็นต่างในเรื่องสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมต้องปิดปากเหมือนคนเป็นใบ้ เพราะการครอบงำทางวัฒนธรรมอุดมการณ์ที่ทำให้ทุกคนห้ามวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะถูกนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่มก็ตาม

โดยเฉพาะบุคคลทั้งปวงที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งนายวรเจตน์ระบุว่าจะต้องตีความให้สอด คล้องกับอุดมการณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ใช้และตีความเพื่อรับใช้อุดมการณ์ของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพ้นสมัยไปแล้ว

การรณรงค์ให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงต้องยกเลิกตัวบทในปัจจุบันเพื่อสร้างตัวบทใหม่ที่สอดคล้องกับหลักการในทางรัฐธรรมนูญและในทางกฎหมายอาญา ทั้งต้องยกเลิกอุดมการณ์ในการตีความตัวบทมาตรา 112 ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอภิปรายถึงสถานะของพระมหากษัตริย์ในทางรัฐธรรมนูญ วิเคราะห์แยกแยะส่วนที่สอดคล้องและส่วนที่ขัดแย้งกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย บังคับใช้ส่วนที่สอดคล้อง แก้ไขส่วนที่ขัดแย้ง และกำหนดกฎเกณฑ์ให้สอดรับกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

การเปิดโลกทัศน์ให้มองเห็นความเป็นจริงในสังคม จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีการ “พูด” และ “สื่อสาร” ออกไปให้เห็น “ความจริง”

การ “ไม่พูด” หรือ “พูดไม่ได้” นอกจากจะเป็นอุปสรรคแล้ว อาจก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจนสร้างความเข้าใจผิดมาแทน หรือเกิดความเชื่อใหม่ๆจากข้อมูลที่ผ่านวิธี“กระซิบ” อย่างคลุมเครือ

นิสัยคนไทยขนานแท้...ถ้าเริ่มต้นด้วยประโยค “เรื่องนี้พูดไม่ได้...ห้ามพูด...อย่าไปบอกใคร?” นั่นหมายความว่าเรื่องนั้นจะกลายเป็นหัวข้อฮิตในสังคมนินทา ที่กระจายไปอย่างรวดเร็วกว่าเชื้อโรคหรือกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเสียอีก

การพูดเรื่อง “112” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงวิชาการ จึงเป็นเรื่องที่สร้างคุณูปการต่อการดำรงอยู่ของทุกสถาบัน

“ชาติ” ประกอบด้วยสรรพสิ่ง หากขาดซึ่ง “ประชาชน” ย่อมมิอาจดำรงเป็นชาติได้ การเปิดปากเปิดใจของประชาชนในชาติจึงเป็นสิ่งที่ควรเปิดหูเปิดตารับรู้ และควรสนับสนุนมากกว่าปิดกั้น

“ตาสว่าง” ไม่จำเป็นต้อง “ปากสว่าง”

แต่จำเป็นต้อง “ใจสว่าง”...เพื่อเปิดทางรับแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่สาดฉายไปในทุกแผ่นดิน!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชุมชนนิยมกับประชาธิปไตยแบบไทย

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในช่วงทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ทุนไทยเติบโตทางการเมืองอย่างรวดเร็ว บางส่วนตั้งพรรคการเมืองของตนเอง บางส่วนให้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง หรือการรัฐประหาร แล้วแต่พรรคการเมืองพรรคใด หรือการรัฐประหารครั้งใด จะให้ประโยชน์แก่ตนมากที่สุด

อำนาจทางการเมืองนี้ นอกจากใช้เพื่อการครอบครองสัมปทานจากรัฐ และผูกขาดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แล้ว ยังเป็นหลักประกันว่ารัฐจะดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจของตนตลอดไป

ในช่วงเดียวกันนี้ ทุนยังบุกทะลวงเข้าไปแย่งชิงทรัพยากรในชนบทมากขึ้น ทั้งเพื่อธุรกิจพลังงาน, การท่องเที่ยว และการตักตวงทรัพยากรใต้ดิน นับตั้งแต่น้ำ, เกลือ, จนถึงสินแร่อื่นๆ

ทั้งหมดนี้ทำได้ภายใต้ระบบการเมือง ที่อาศัยกลไกและรูปแบบของประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ
การที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม จะขยายอำนาจและผลประโยชน์ของตน ภายใต้กลไกและรูปแบบของการเมืองชนิดใดชนิดหนึ่งนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ยิ่งอำนาจและผลประโยชน์ของตนขยายออกไปมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความจำเป็นจะต้องหาเหตุผลทาง "ศีลธรรม" ให้แก่กลไกและรูปแบบของระบบการเมืองที่เอื้อต่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนมากขึ้น

ภาระนี้ทุนไทยไม่ได้ทำ หรือไม่สนใจจะทำ ดูเหมือนทุนไทยจะอาศัยแต่วิธี "ขู่กรรโชก" สังคม เพราะในช่วงนี้เป็นต้นมาเหมือนกันที่ทุนเอกชนจะเป็นผู้จ้างงานรายใหญ่สุดของประเทศ ฉะนั้น เมื่อชนบทกำลังล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรในชนบทได้ต่อไป สังคมจะอยู่สงบได้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับกำลังการจ้างงานของทุนเอกชน ฉะนั้น หากทุนไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริม กำลังการจ้างงานของทุนก็จะไม่เติบโตได้ทันการณ์กับจำนวนประชากรที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดแรงงาน

แต่ในขณะเดียวกัน ทุนไม่สนใจจะอธิบายในเชิง "ศีลธรรม" กับค่าแรงราคาต่ำ, การปลดคนงานที่กินเงินเดือนสูงเกินไป, การไม่จัดสวัสดิการแรงงานอย่างเพียงพอ, การลดต้นทุนการผลิตด้วยการกันให้คนงานส่วนหนึ่ง (ที่ใหญ่มาก) ไปไว้นอกระบบ, การไม่ยอมลงทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน, การไม่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา, การติดสินบาทคาดสินบนเพื่อเลี่ยงกฎหมาย, ฯลฯ

กล่าวโดยสรุปก็คือ ทุนไม่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมมากไปกว่าจ้างงาน (ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขอย่างไร) หากการจ้างงานลดลง สังคมก็จะปั่นป่วน ดังนั้น จึงเป็นการ "ขู่กรรโชก" ไม่ใช่ให้คำอธิบายเชิง "ศีลธรรม" แก่อำนาจและผลประโยชน์ของตนที่ขยายตัวขึ้นอย่างมากและรวดเร็วในกลไกและรูปแบบการเมืองนี้

น่าประหลาดที่ว่า ความชอบธรรมในการเอารัดเอาเปรียบของทุนไทยนั้น ยิ่งนับวันก็ยิ่งต้องผูกพันรัฐมากขึ้น สัมปทานนี้ได้มาจากรัฐ โครงการนี้ริเริ่มหรืออนุมัติโดยรัฐ โครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรซึ่งให้ผลกำไรอย่างสูงแก่นายทุน ก็เริ่มมาจากรัฐเอง ฯลฯ และดูเหมือนจะเป็นความชอบธรรมเพียงอย่างเดียว กล่าวคือเมื่อรัฐอนุญาตแล้ว จะถอนคำอนุญาตนั้นไม่ได้ เพราะจะทำให้ไม่มีใครกล้าลงทุนในประเทศไทย

ความชอบธรรมนี้ไม่เกี่ยวกับ "ประชาธิปไตย" หรือแม้แต่กลไกและรูปแบบของประชาธิปไตย ทุนไทยเป็นนักรัฐนิยม (statist) ขนานแท้ รัฐคือข้ออ้างทาง "ศีลธรรม" เพียงอย่างเดียวของทุน ไม่ว่ารัฐนั้นจะฉ้อฉล, เผด็จอำนาจ, หรือ "ตกยุค" อย่างใดก็ตาม (น่าเศร้าด้วยที่ว่า ทั้งความฉ้อฉล, อำนาจนิยม และความตกยุคของรัฐไทย กลับประสานเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสนิทแนบแน่น)

ทุนไทยจึงไม่มีส่วนในการสร้างเสริมฐานทาง "ศีลธรรม" ของประชาธิปไตย อย่างที่พบได้ในหลายสังคมทั่วโลก
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รัฐไทยเองเป็นผู้เผยแพร่อุดมการณ์ที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทยแก่ประชาชนของตน หลังจากที่สรุปกันได้ว่า วิธีจัดการกับการแข็งข้อของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่น่าจะได้ผลที่สุด คือสถาปนาประชาธิปไตยแบบไทยขึ้นให้มั่นคง ราชการก็ได้ลงทุนกับการเผยแพร่อุดมการณ์นี้ในชนบท (ซึ่งเชื่อว่าเป็นฐานกำลังคนที่สำคัญของ พคท.)

ตำรา "คู่มือประชาธิปไตย" หลายสำนวนที่ราชการพิมพ์แจกผู้นำหมู่บ้าน และในภายหลังแจกและเปิดอบรมประชาชนทั่วไปด้วย กลับเป็นผู้สร้างคำอธิบายเชิง "ศีลธรรม" แก่ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของรัฐ หรือประชาธิปไตยที่มุ่งหมายให้เกิดความมั่นคงเป็นหลัก เช่น แม้จะยอมรับในเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ก็ย้ำเตือนว่าสิทธิเสรีภาพนั้นมีจำกัด คือเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะเกิดความแตกแยก ทำลายความสามัคคีในชาติอันเป็นแหล่งที่มาของสิทธิประชาธิปไตยต่างๆ ในสำนวนหลังๆ ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของนักคิด กอ.รมน. ถึงกับระบุลงไปเลยว่า เสรีภาพมีอยู่ได้ก็แต่ในรัฐเท่านั้น ฉะนั้น บุคคลย่อมบรรลุเสรีภาพสูงสุดได้ก็ต่อเมื่อทำตามที่รัฐสั่ง

ในด้านการปกครอง ราชการก็เน้นอย่างเดียวกันคือ "ระเบียบ" ด้วยเหตุดังนั้น การปกครองตนเองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย จึงหมายถึงการเลือกผู้แทนไปทำหน้าที่แทนตนเองเท่านั้น ซ้ำยังมีผู้แทนที่มีมาโดยวัฒนธรรมทางการเมืองซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วย เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม หรือแม้แต่กองทัพก็ตาม ย่อมเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย เพราะต่างเป็นสถาบันที่เข้าถึง "เจตนารมณ์ทั่วไป" ของสังคมอยู่แล้วโดยประเพณี (ตามทฤษฎีรุสโซแบบเบี้ยวๆ)

รัฐนิยม (statism) คือประชาธิปไตยแบบไทย เพราะการสยบยอมต่อรัฐต่างหากที่เป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยแบบไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจ-สังคมไทยเปลี่ยนไป ประชาธิปไตยแบบสยบยอมเช่นนี้ขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ชาวบ้านประสบอยู่ เช่น รัฐซึ่งควรเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองประชาชน กลับกลายเป็นเครื่องมือของทุนในการแย่งชิงทรัพยากร รัฐไม่ใช่คนนอกที่คอยเข้ามาสร้างความเป็นธรรม แต่รัฐกลับเป็นพื้นที่เปิดเฉพาะสำหรับอภิสิทธิ์ชน แม้แต่ในหมู่บ้าน ก็มีคนที่เข้าถึงพื้นที่นี้ได้เพียงไม่กี่คน และใช้อำนาจรัฐในการเบียดเบียนคนอื่น

ประชาธิปไตยแบบไทยกำลังต้องการคำอธิบายเชิง "ศีลธรรม" ใหม่ มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถกำกับให้ประชาชนสยบยอมได้ต่อไป

และคำอธิบายเชิง "ศีลธรรม" แบบใหม่ที่ถูกหยิบมาใช้คือ "ชุมชนนิยม"
ที่จริงแล้ว แนวคิดชุมชนนิยมเกิดมานานแล้ว (ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เช่นกัน) ดูเหมือนในระยะแรก ไม่ได้ถูกใช้เป็นคำอธิบายเชิง "ศีลธรรม" ให้แก่ประชาธิปไตยแบบสยบยอม ในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะเป็นฐานของพลังให้แก่การต่อรอง ทั้งกับตลาดและกับรัฐ ชุมชนนิยมให้ความสำคัญแก่ฐานทาง "ศีลธรรม" ที่มีพลังสูงมาก เพราะมีความหมายแก่ทุกคน เช่น ฐานทรัพยากร, ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์, ความมั่นคงด้านอาหาร และแน่นอนความมั่นคงด้านสังคม ซึ่งได้จากความสัมพันธ์ในชุมชน ใครๆ ย่อมให้คุณค่าแก่สิ่งเหล่านี้เหนือกำไรของบริษัทเอกชน และเหนือเขื่อนไฟฟ้า หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน

แต่นับจากสมัยทักษิณเป็นต้นมา ผู้ต่อต้านทักษิณโน้มนำให้ชุมชนนิยมมีความหมายเชิงสยบยอมมากขึ้น จนดูประหนึ่งว่าชุมชนมีความกลมกลืนในตัวเอง และแข็งแกร่งในตัวเองเสียจนไม่ต้องพึ่งทั้งตลาดและรัฐ ทุกคนสามารถหันกลับไปผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง เพราะชุมชนมี "ภูมิปัญญา" ทำได้ ซ้ำยังมีระบบความสัมพันธ์ภายในที่ช่วยประกันความอยู่รอดของทุกคนด้วย การ "พึ่งตนเอง" กลายเป็นการ "พึ่งตนเอง" ในเงื่อนไขของสังคมที่ได้ล่วงเลยไปแล้ว และคงไม่มีวันหวนคืนกลับมา

พระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของปี 2540 อาจเข้าใจได้เป็นสองอย่าง

อย่างแรก เศรษฐกิจพอเพียง เป็นกลวิธีสร้างพลังต่อรองให้ตนเอง ในขณะที่เกษตรกรรายย่อยเพิ่มสัดส่วนการผลิตของตนเพื่อการบริโภคในครัวเรือนให้มากขึ้น จึงมีพลังพอจะพึ่งพาตลาดน้อยลง และย่อมต่อรองได้มากขึ้น รัฐก็สามารถทำอย่างเดียวกัน โดยจัดระบบเศรษฐกิจของตนให้ต้องพึ่งพาต่างประเทศน้อยลง เช่น ทำให้เกิดตลาดท้องถิ่นที่ครบวงจร พอที่จะประหยัดค่าขนส่งได้ เป็นต้น

ความเข้าใจอย่างแรกนี้ทำให้เห็นเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกลวิธีอย่างหนึ่ง ในการเพิ่มพลังต่อรองของผู้คนและประเทศชาติ ไม่ต่างไปจากจุดยืนของชุมชนนิยมในระยะแรก และต้องไม่ลืมด้วยว่า พลังต่อรองนั้นใช้ได้ทั้งกับตลาดและรัฐ เศรษฐกิจพอเพียง ในความหมายนี้ไม่ได้ปฏิเสธตลาด (หรือรัฐ) เพียงแต่จะเข้าตลาด (หรือรัฐ) โดยมีพลังต่อรองมากขึ้นได้อย่างไร นอกจากเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ยังมีกลวิธีอื่นอีกมาก เช่น สหกรณ์, การลงทุนด้านวิชาการของภาครัฐ, การจัดการทรัพยากรทั้งโดยชุมชนและรัฐ อย่างเป็นธรรม เพื่อเพิ่มพลังการผลิต, การมีสื่อของตนเอง, การมีพรรคการเมืองของตนเอง ฯลฯ

ความเข้าใจอย่างที่สอง ซึ่งถูกชูขึ้นตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา เศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็นปรัชญา ซึ่งอาจนำไปใช้ได้กับทุกกรณีและในทุกเงื่อนไขของการประกอบการ ทั้งในทางเศรษฐกิจหรือสังคม ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ฐานทาง "ศีลธรรม" อย่างเดียวกับชุมชนนิยมในระยะเริ่มต้นได้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านอาหาร, ฐานทรัพยากร, หรือความเอื้ออาทรของคนในชุมชน

แต่เศรษฐกิจพอเพียงในความเข้าใจอย่างนี้ กลับไม่ได้มุ่งจะเพิ่มอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะอำนาจต่อรองทางการเมือง เหมือนยกรัฐให้คนอื่นไปจัดการอย่างเป็นธรรมหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียงและเป็นสุขได้ ไม่มียูทูบในเศรษฐกิจพอเพียงแบบนี้ ทั้งๆ ที่ยูทูบเป็นพื้นที่สำหรับการรวมกลุ่มและต่อรองที่มีพลังในโลกปัจจุบัน

นี่คือการสยบยอมทางการเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง ชุมชนนิยมซึ่งเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจให้ประชาชน กลายเป็นลัทธิที่จะปลดอำนาจของประชาชน ภายในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย (หรือในชื่ออื่น)
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

TVลิเบียแพร่ภาพลูกชายกัดดาฟี สยบข่าวถูกสังหาร

สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของลิเบีย ได้แพร่ภาพที่ระบุว่า เป็นคลิปภาพของนายคามิส หนึ่งในบุตรชายของพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ที่บ้านพักในกรุงทริโปลี เพื่อสยบข่าวลือที่ว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว

คลิปภาพของชุดนี้ ได้ถูกนำออกเผยแพร่ หลังจากมีข่าวลือแพร่สะพัดหลายวันก่อนว่า นายคามิส ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกองพลน้อยที่ 32 หรือที่รู้จักกันในชื่อ กองพลน้อยคามิส ที่ได้ชื่อว่า มีอาวุธที่ทันสมัยที่สุดและเชี่ยวชาญการรบมากที่สุดของกองทัพลิเบีย ถูกลอบสังหารโดยการพลีชีพของนักบินที่ลิเบียที่แปรพักตร์ ด้วยการขับเครื่องบินรบชนอาคารที่พักอาศัยของเขา

แต่คลิปภาพที่เผยแพร่ล่าสุด ได้แสดงให้เห็นนายคามิส สวมเครื่องแบบทหาร กำลังยืนอยู่บนหลักรถปิ๊คอัพ ท่ามกลางการอารักขาของเหล่าองครักษ์ ที่แล่นผ่านค่ายทหารบับ อัลอาซิซิยาห์ และโบกมือให้กับผู้สนับสนุน ขณะที่องค์รักษ์คอยกันไม่ให้คนเข้าใกล้เขามากเกินไป

ก่อนหน้านี้ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้กล่าวในรายการของ ABC นิวส์ ว่า เธอได้รับรายงานว่า หนึ่งในบุตรชายของพันเอกกัดดาฟี อาจถูกสังหารจากการใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองกำลังพันธมิตร แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยัน

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////