4 ส.ส.แคนาดาเข้าชื่อยื่นเรื่องให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบพรรคประชาธิปัตย์กระทำการและสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทั้งกรณีใช้อำนาจปิดกั้นสื่อ ปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ชี้สวนทางทั่วโลกที่ประชาชนลุกขึ้นมาทวงสิทธิตัวเอง ด้านการชุมนุมคนเสื้อแดงยังคึกคัก “ณัฐวุฒิ” ขึ้นปราศรัยปิดท้ายกลางดึก ย้ำยังมีจ้องทำปฏิวัติรัฐประหารอยู่แม้นายกฯจะอยากยุบสภาเพื่อหนีคะแนนนิยมตกต่ำและวิธีการพิเศษ ระบุหากปล่อยให้มีเลือกตั้งประเทศเดินต่อได้ แต่หากเลือกวิธีพิเศษพังทั้งระบบ
การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ยังมีคนเสื้อแดงเข้าร่วมจำนวนมาก ขณะที่แกนนำที่ออกมาจากเรือนจำก็ขึ้นเวทีปราศรัยกันอย่างพร้อมหน้า โดยส่วนมากพูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่หลายคนนำข้อมูลมาตอบโต้การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าไม่ตรงข้อเท็จจริง
หวังข้อมูลฝ่ายค้านถึงชาวบ้านกว้างขึ้น
การปราศรัยของแกนนำคนสำคัญอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ขึ้นปราศรัยปิดท้ายการชุมนุมเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 20 มี.ค. นายณัฐวุฒิระบุว่า ไม่ได้คาดหวังว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่คาดหวังว่าข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ ส.ส.ฝ่ายค้านพูดในสภาจะกระจายไปสู่ประชาชนในวงกว้ามากขึ้น ซึ่งต้องขอชมเชยทีมอภิปรายของพรรคเพื่อไทยที่ทำงานได้ดี นำเสนอข้อมูลได้ดี
เชื่อ “อภิสิทธิ์” อยากยุบสภา
“หลายคนถามผมว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วเราจะเดินอย่างไรต่อไป ชัดเจนว่าจากนี้ไปเราต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งผมมั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยากจะยุบสภา ดีไม่ดีไม่ถึงต้นเดือน พ.ค. อย่างที่ประกาศไว้ แค่กลางๆเดือน เม.ย. ก็อาจจะไม่อยู่แล้ว เพราะว่าเขาต้องหนี 2 เรื่องคือ 1.หนีคะแนนความนิยมที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ 2.หนีวิธีการพิเศษที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมือง”
แนวคิดยึดอำนาจยังมีอยู่
นายณัฐวุฒิย้ำว่า ยังมีคนจ้องทำปฏิวัติรัฐประหารอยู่ เพียงแต่รอนายตัดสินใจขั้นสุดท้าย ซึ่งตอนนี้นายก็ยังลังเลอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี เราต้องรอดูว่าเขาจะกล้าหรือเปล่า ซึ่งอยากเตือนคนที่มีอำนาจตัดสินใจว่าให้คิดให้รอบคอบ เพราะหากทำปฏิวัติรัฐประหารเที่ยวนี้เดิมพันสูงมาก
เตือนยึดอำนาจอีกพังทั้งระบบ
“ผมขอให้คิดให้ดี เพราะหากให้มีการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยก็ยังพอเดินหน้าไปได้ แต่หากใช้วิธียึดอำนาจไม่ให้มีเลือกตั้งก็พังกันทั้งกระดานแน่คราวนี้” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังมีการใช้อำนาจพิเศษล็อกคอพรรคการเมืองเล็กให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนนายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่ลงคะแนน หากยังใช้วิธีการพิเศษอีกก็ต้องเจอการต่อต้านจากประชาชนที่รักประชาธิปไตยแน่นอน
ส.ส.แคนาดายื่นสอบประชาธิปัตย์
ด้านเว็บไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมามี ส.ส.พรรคเสรีนิยมแห่งประเทศแคนาดาออกมาเรียกร้องให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนพรรคประชาธิปัตย์กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน
คำแถลงการณ์ของพรรคเสรีนิยมแห่งรัฐสภาในกรณีพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทยระบุว่า พรรคเสรีนิยมแห่งแคนาดา หนึ่งในสมาชิกที่น่าชื่นชมของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ซึ่งสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ระบุให้สมาชิกต้องยอมรับหลักการในแถลงการณ์เสรีนิยม 1947 คำประกาศแห่งกรุงออกซ์ฟอร์ด 1967 และข้อเรียกร้องเสรีนิยมแห่งโรม 1981
เสรีนิยมต้องส่งเสริมเสรีภาพ
1.หลักการพื้นฐานของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมถือเป็นหลักการที่สนับสนุน ส่งเสริมเสรีภาพส่วนตัว ซึ่งถูกรับรองโดยการบริหารงานของหน่วยงานทางด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นอิสระ
2.เสรีภาพและอิสรภาพของความรู้สึกนึกคิด
3.เสรีภาพของสื่อมวลชน
4.เสรีภาพที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม
ต้องมีอิสรภาพทางการเมือง
5.ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่สามารถแยกได้จากอิสรภาพทางการเมือง และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกนึกคิด เสรีภาพ และเจตจำนงที่เกิดจากความรู้แจ้งของคนส่วนมาก ซึ่งแสดงออกผ่านทางการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยวิธีลับและเป็นอิสระ ต้องเคารพอิสรภาพและความเห็นของคนกลุ่มน้อยด้วย
“มาร์ค” ได้อำนาจฝืนมติประชาชน
เราให้ความสนใจรายงานขององค์กรระหว่างประเทศหลายฉบับที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ถูกกล่าวหาว่าอาจละเมิดหลักการพื้นฐานเสรีนิยมที่ระบุในคำแถลงการณ์ของสหพันธ์ รายงานของ Freedom House กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคผู้นำรัฐบาล นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศโดยปราศจากประชามติจากผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยขึ้นสู่อำนาจในปลายปี 2551 หลังจากศาลตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาล
สั่งสลายการชุมนุมของประชาชน
ฤดูใบไม้ผลิปี 2553 สื่อต่างชาติรายงานว่ารัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล “คนเสื้อแดง” ในกรุงเทพมหานครอย่างรุนแรง และใน “คำร้องขอให้ทำการสอบสวนเหตุการณ์ในราชอาณาจักรไทย” ที่ยื่นต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งระบุอย่างละเอียดว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพจำนวนหนึ่งให้การว่าปฏิบัติการต่อต้านผู้ชุมนุมถูกสั่งการโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการต้อนผู้ชุมนุมเข้าไปในที่แคบบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย และมุ่งสังหารแกนนำเสื้อแดงบนเวที
ใช้กฎหมายหมิ่นฯจำกัดสิทธิ์
นอกจากนี้ Freedom House ยังรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2552 รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อควบคุมเสรีภาพการแสดงออกและการแสดงความเห็นทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตถูกจำกัดอย่างรุนแรง โดยผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวน และในหลายครั้งถูกดำเนินคดี
ทั่วโลกกำลังต้องการประชาธิปไตย
เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ประชาชนผู้ที่เคยถูกกดขี่และพลเมืองทั่วโลกลุกขึ้นเรียกร้องเสรีภาพและอิสรภาพของพวกเขา สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมจะต้องสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานขององค์กร โดยมีการใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชนของตนเองโดยพรรคสมาชิก ดังนั้น เราจึงขอให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนข้อกล่าวหาที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ในประเทศไทย เพื่อจะรับรองว่าพรรคจะปฏิบัติตามหลักการในคำแถลงการณ์ขององค์กรอย่างชัดเจน
ลงชื่อ Bob Rae องคมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Paul Szabo สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Bryon Wilfert องคมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Borys Wrzesnewskyj สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554
หมาหอนก่อนโหวตไว้วางใจที่มาผลคะแนนค้านสายตา
โฆษกเพื่อไทยแฉเบื้องหลังผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่คะแนนออกมาค้านสายตาและความรู้สึกประชาชนเนื่องมาจากมีการแจกเงินค่ายกมือให้ ส.ส. ระบุคืนก่อนโหวตหมาหอนทั้งคืน ต่อรองกันจนนาทีสุดท้ายจนสามารถปั่นตัวเลขค่าตอบแทนขึ้นไปสูงถึง 8 หลัก ให้จับตาก่อนยุบสภาจะมีการอนุมัติโครงการทิ้งทวนเพื่อถอนทุนคืนและเตรียมทุนเลือกตั้ง แนะเพื่อไม่ให้ถูกครหาไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ก่อนยุบสภา ประชาธิปัตย์เสี้ยม “เฉลิม-มิ่งขวัญ” ให้แย่งตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” ที่โหวตไม่ไว้วางใจนายกฯออกจากพรรค อ้าง ส.ส. มีเอกสิทธิ์ตัดสินใจในสภา
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ผู้นำการอภิปราย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค
“ชัดเจนว่านายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิมจะไม่ถูกวางตัวเป็น ส.ส.สัดส่วน ลำดับที่ 1 ในการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวนอกสภากับคนเสื้อแดง น่าเสียดายที่คนที่พร้อมจะใช้สภาขับเคลื่อนทางการเมืองถูกลดบทบาทลง”
ความแตกต่างระหว่าง พท.-ปชป.
นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า การอภิปรายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตร พรรคเพื่อไทยเน้นวิธีการจำนำ แต่พรรคประชาธิปัตย์เน้นวิธีประกันราคา 2.รายได้ พรรคประชาธิปัตย์เน้นเพิ่มรายได้คู่กับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่พรรคเพื่อไทยเน้นเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว 3.ด้านพลังงาน พรรคประชาธิปัตย์เน้นคุมราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวเบนซิน แต่พรรคเพื่อไทยจะลอยตัวดีเซล แก้ปัญหาเบนซิน
“ภาพรวมการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เน้นตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เน้นสร้างความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นเกราะกำบัง”
ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” พ้นพรรค
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า พรรคยังไม่ได้หารือเรื่องที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากไม่ขับออกจากพรรคก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวจะแตกหักกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะต้องแยกแยะการทำหน้าที่ของ ส.ส.
“ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 6 สัปดาห์จะยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศเอาไว้ เวลาที่เหลือรัฐบาลจะเร่งดำเนินนโยบายวาระเร่งด่วน พร้อมกับสำรวจความต้องการและปัญหาของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ส.ส. จะเสนอข้อมูลในพื้นที่ต่อที่ประชุมพรรควันที่ 22 มี.ค. นี้”
นโยบายเร่งด่วนเน้นเพิ่มรายได้
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่พรรคจะเสนอต่อประชาชน เช่น เพิ่มรายได้ 25% ภายใน 2 ปี ลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงานจาก 19% เหลือ 15% ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศวางมือจากการเมืองหากนายมิ่งขวัญขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการวัดกำลังกันภายในพรรค และเป็นการประกาศเพื่อกดดันนายใหญ่
เสี้ยม “มิ่งขวัญ” อย่ายอมถ้าถูกเขี่ย
“นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้วในการนำอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงผู้นำให้ประชาชนสับสนอีก หากจะมีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญไม่ควรยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง ส.ส. ในกลุ่มที่รับเงินพิเศษจากนายมิ่งขวัญควรออกมาปกป้องนายให้สมกับเงินที่ได้รับ” นายเทพไทกล่าวและว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเพื่อสกัดนายมิ่งขวัญและเพื่อหวังปอกลอก
นายเทพไทกล่าวว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนใครขึ้นมาชิงตำแหน่งนายกฯควรเร่งเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา
“สุเทพ” อุบรวมงานกลุ่ม 3 พี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่ ส.ส.กลุ่ม 3 พี โหวตสนับสนุนรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เป็นสัญญาใจว่าจะร่วมงานกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการโหวตในสภาเป็นการใช้ดุลยพินิจของ ส.ส.
“ต้องขอบคุณที่โหวตไว้วางใจรัฐบาล เพราะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถบอกได้”
“มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นเรื่องดี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะตัดสินใจได้เองว่าเชื่อถือข้อมูลของใคร ข้อมูลอะไรของฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์พร้อมรับมาพิจารณา เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ส่วนกรณีที่นายมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้มีความชัดเจนในการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน
“เมื่อนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะมีความชัดเจนที่จะมาแข่งขันกันในระบบ จะได้นำการเมืองออกจากความขัดแย้ง เพราะหลายปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับการเคลื่อนไหวนอกสภา ทั้งการใช้มวลชนและกองกำลัง ถ้านายมิ่งขวัญสามารถหยุดตรงนี้ได้จะเป็นการแสดงภาวะผู้นำ จะได้มาแข่งขันกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหยุดกระบวนการนอกสภาไม่ได้แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจและไม่ได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง
เพื่อไทยยันไม่เปลี่ยนคณะผู้บริหาร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประชุมวิสามัญประจำปีของพรรคในวันที่ 22 มี.ค. นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่จะประกาศบุคคลที่เหมาะสมได้ก่อนยุบสภาแน่นอน
“ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ประกาศกำหนดยุบสภาชัดเจนเราจะประชุมพรรคทันทีเพื่อให้ ส.ส. เลือกว่าจะชูใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับนายอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในพรรคมีคนเก่งกว่านายอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศจนข้าวของแพงอยู่หลายคน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีโพลประเมินผลงานของทีมอภิปรายให้คะแนน 7.9 เต็ม 10 ผู้อภิปรายของพรรคทุกคนสอบผ่านหมด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเพียงนายอภิสิทธิ์คนเดียวที่ได้ 5.01 คะแนน ที่เหลือได้เพียง 4 คะแนนกว่าๆ
แฉค่าโหวตไว้วางใจสูง 8 หลัก
“คะแนนที่ออกมาต่างจากผลโหวตในสภาที่ยังเป็นลักษณะพวกมากลากไป ที่เห็นชัดเจนคือกรณีของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนบอกว่าชี้แจงไม่ตรงประเด็น ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผลโหวตในสภากลับได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดถึง 251 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นคนเดียวที่ประชาชนให้สอบผ่านได้เพียง 249 เสียง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมระบุว่า ที่ผลคะแนนออกมาอย่างนี้ทราบมาว่ามีการวิ่งล็อบบี้ชนิดหมาหอนทั้งคืนก่อนจะโหวต ได้ยินมาว่าบางพรรคมี ส.ส. วิ่งเข้าไปรับมัดจำงวดแรกก่อน หลังการลงมติก็ไปรับงวดที่สอง ที่น่าตกใจคือการโหวตครั้งนี้แลกกับเงินมากถึง 8 หลักเลยทีเดียว ผลโหวตในสภาจึงสวนทางต่อความรู้สึกของประชาชน
จับตาโกงทิ้งทวนก่อนยุบสภา
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเป็นห่วงที่นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และยังย้ำเรื่องยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เพราะจะทำให้มีการโกงทิ้งทวนในโครงการต่างๆมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเวลายุบสภาแล้วจึงไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ๆอะไรอีกในช่วงนี้
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การชี้แจงในสภาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนตอบไม่ตรงคำถาม และไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายค้านหลายเรื่อง จึงจะรวบรวม 20 คำถามที่รัฐบาลไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ชัดเจนให้ประชาชนพิจารณา เช่น เรื่องภาษีบุหรี่ 68,000 ล้านบาท น้ำมันปาล์ม การทุจริตในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การปั่นหุ้นไทยคม การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทรูในการประมูล 3จี การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การซื้อหัวรถจักรไฟฟ้า 7 หัวโดยมิชอบ การส่อทุจริตรถตู้เอ็นจีวี การขายแป้งมันสำปะหลังแบบจีทูจี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าจีนไม่รับรอง 3 บริษัท การขายสต็อกข้าว โครงการแจกข้าวถุง 75 ล้านถุงที่พบว่าแพงกว่าท้องตลาด การครอบครองที่ดิน 700 ไร่ ที่จังหวัดนครพนม และความล้มเหลวทางการทูตกับเพื่อนบ้าน โดยจะทำเป็นเอกสารแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป
ภท.-ชทพ. หวังเป็นตัวแปรตั้งรัฐบาล
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือทำงานร่วมกันต่อไป เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศร่วมมือกันแล้วเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง
“ทั้ง 2 พรรคประเมินแล้วเห็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่มีพรรคไหนได้ถึง 251 เสียงแน่นอน สองพรรคจึงรวมกันเพื่ออยู่ตรงกลางและต่อรอง ก่อนตัดสินใจว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนตั้งรัฐบาล” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวและว่า หากพรรคภูมิใจและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมือกันถึงขนาดไม่ส่ง ส.ส. ทับซ้อนกันมีโอกาสที่จะรวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เช่นกัน
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งในบางพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะผู้สมัครต้องคอยระมัดระวังตัว และเชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนชนะเลือกตั้งเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ผู้นำการอภิปราย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค
“ชัดเจนว่านายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิมจะไม่ถูกวางตัวเป็น ส.ส.สัดส่วน ลำดับที่ 1 ในการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวนอกสภากับคนเสื้อแดง น่าเสียดายที่คนที่พร้อมจะใช้สภาขับเคลื่อนทางการเมืองถูกลดบทบาทลง”
ความแตกต่างระหว่าง พท.-ปชป.
นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า การอภิปรายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตร พรรคเพื่อไทยเน้นวิธีการจำนำ แต่พรรคประชาธิปัตย์เน้นวิธีประกันราคา 2.รายได้ พรรคประชาธิปัตย์เน้นเพิ่มรายได้คู่กับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่พรรคเพื่อไทยเน้นเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว 3.ด้านพลังงาน พรรคประชาธิปัตย์เน้นคุมราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวเบนซิน แต่พรรคเพื่อไทยจะลอยตัวดีเซล แก้ปัญหาเบนซิน
“ภาพรวมการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เน้นตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เน้นสร้างความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นเกราะกำบัง”
ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” พ้นพรรค
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า พรรคยังไม่ได้หารือเรื่องที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากไม่ขับออกจากพรรคก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวจะแตกหักกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะต้องแยกแยะการทำหน้าที่ของ ส.ส.
“ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 6 สัปดาห์จะยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศเอาไว้ เวลาที่เหลือรัฐบาลจะเร่งดำเนินนโยบายวาระเร่งด่วน พร้อมกับสำรวจความต้องการและปัญหาของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ส.ส. จะเสนอข้อมูลในพื้นที่ต่อที่ประชุมพรรควันที่ 22 มี.ค. นี้”
นโยบายเร่งด่วนเน้นเพิ่มรายได้
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่พรรคจะเสนอต่อประชาชน เช่น เพิ่มรายได้ 25% ภายใน 2 ปี ลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงานจาก 19% เหลือ 15% ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศวางมือจากการเมืองหากนายมิ่งขวัญขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการวัดกำลังกันภายในพรรค และเป็นการประกาศเพื่อกดดันนายใหญ่
เสี้ยม “มิ่งขวัญ” อย่ายอมถ้าถูกเขี่ย
“นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้วในการนำอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงผู้นำให้ประชาชนสับสนอีก หากจะมีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญไม่ควรยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง ส.ส. ในกลุ่มที่รับเงินพิเศษจากนายมิ่งขวัญควรออกมาปกป้องนายให้สมกับเงินที่ได้รับ” นายเทพไทกล่าวและว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเพื่อสกัดนายมิ่งขวัญและเพื่อหวังปอกลอก
นายเทพไทกล่าวว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนใครขึ้นมาชิงตำแหน่งนายกฯควรเร่งเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา
“สุเทพ” อุบรวมงานกลุ่ม 3 พี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่ ส.ส.กลุ่ม 3 พี โหวตสนับสนุนรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เป็นสัญญาใจว่าจะร่วมงานกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการโหวตในสภาเป็นการใช้ดุลยพินิจของ ส.ส.
“ต้องขอบคุณที่โหวตไว้วางใจรัฐบาล เพราะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถบอกได้”
“มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นเรื่องดี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะตัดสินใจได้เองว่าเชื่อถือข้อมูลของใคร ข้อมูลอะไรของฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์พร้อมรับมาพิจารณา เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ส่วนกรณีที่นายมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้มีความชัดเจนในการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน
“เมื่อนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะมีความชัดเจนที่จะมาแข่งขันกันในระบบ จะได้นำการเมืองออกจากความขัดแย้ง เพราะหลายปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับการเคลื่อนไหวนอกสภา ทั้งการใช้มวลชนและกองกำลัง ถ้านายมิ่งขวัญสามารถหยุดตรงนี้ได้จะเป็นการแสดงภาวะผู้นำ จะได้มาแข่งขันกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหยุดกระบวนการนอกสภาไม่ได้แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจและไม่ได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง
เพื่อไทยยันไม่เปลี่ยนคณะผู้บริหาร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประชุมวิสามัญประจำปีของพรรคในวันที่ 22 มี.ค. นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่จะประกาศบุคคลที่เหมาะสมได้ก่อนยุบสภาแน่นอน
“ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ประกาศกำหนดยุบสภาชัดเจนเราจะประชุมพรรคทันทีเพื่อให้ ส.ส. เลือกว่าจะชูใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับนายอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในพรรคมีคนเก่งกว่านายอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศจนข้าวของแพงอยู่หลายคน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีโพลประเมินผลงานของทีมอภิปรายให้คะแนน 7.9 เต็ม 10 ผู้อภิปรายของพรรคทุกคนสอบผ่านหมด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเพียงนายอภิสิทธิ์คนเดียวที่ได้ 5.01 คะแนน ที่เหลือได้เพียง 4 คะแนนกว่าๆ
แฉค่าโหวตไว้วางใจสูง 8 หลัก
“คะแนนที่ออกมาต่างจากผลโหวตในสภาที่ยังเป็นลักษณะพวกมากลากไป ที่เห็นชัดเจนคือกรณีของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนบอกว่าชี้แจงไม่ตรงประเด็น ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผลโหวตในสภากลับได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดถึง 251 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นคนเดียวที่ประชาชนให้สอบผ่านได้เพียง 249 เสียง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมระบุว่า ที่ผลคะแนนออกมาอย่างนี้ทราบมาว่ามีการวิ่งล็อบบี้ชนิดหมาหอนทั้งคืนก่อนจะโหวต ได้ยินมาว่าบางพรรคมี ส.ส. วิ่งเข้าไปรับมัดจำงวดแรกก่อน หลังการลงมติก็ไปรับงวดที่สอง ที่น่าตกใจคือการโหวตครั้งนี้แลกกับเงินมากถึง 8 หลักเลยทีเดียว ผลโหวตในสภาจึงสวนทางต่อความรู้สึกของประชาชน
จับตาโกงทิ้งทวนก่อนยุบสภา
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเป็นห่วงที่นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และยังย้ำเรื่องยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เพราะจะทำให้มีการโกงทิ้งทวนในโครงการต่างๆมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเวลายุบสภาแล้วจึงไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ๆอะไรอีกในช่วงนี้
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การชี้แจงในสภาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนตอบไม่ตรงคำถาม และไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายค้านหลายเรื่อง จึงจะรวบรวม 20 คำถามที่รัฐบาลไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ชัดเจนให้ประชาชนพิจารณา เช่น เรื่องภาษีบุหรี่ 68,000 ล้านบาท น้ำมันปาล์ม การทุจริตในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การปั่นหุ้นไทยคม การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทรูในการประมูล 3จี การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การซื้อหัวรถจักรไฟฟ้า 7 หัวโดยมิชอบ การส่อทุจริตรถตู้เอ็นจีวี การขายแป้งมันสำปะหลังแบบจีทูจี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าจีนไม่รับรอง 3 บริษัท การขายสต็อกข้าว โครงการแจกข้าวถุง 75 ล้านถุงที่พบว่าแพงกว่าท้องตลาด การครอบครองที่ดิน 700 ไร่ ที่จังหวัดนครพนม และความล้มเหลวทางการทูตกับเพื่อนบ้าน โดยจะทำเป็นเอกสารแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป
ภท.-ชทพ. หวังเป็นตัวแปรตั้งรัฐบาล
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือทำงานร่วมกันต่อไป เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศร่วมมือกันแล้วเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง
“ทั้ง 2 พรรคประเมินแล้วเห็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่มีพรรคไหนได้ถึง 251 เสียงแน่นอน สองพรรคจึงรวมกันเพื่ออยู่ตรงกลางและต่อรอง ก่อนตัดสินใจว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนตั้งรัฐบาล” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวและว่า หากพรรคภูมิใจและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมือกันถึงขนาดไม่ส่ง ส.ส. ทับซ้อนกันมีโอกาสที่จะรวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เช่นกัน
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งในบางพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะผู้สมัครต้องคอยระมัดระวังตัว และเชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนชนะเลือกตั้งเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจอภิปราย ให้ฝ่ายค้านชนะ
20 มี.ค. 54 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทุกภาคทั่วประเทศ พบว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นลง ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 10 ท่านที่ถูกอภิปราย ดังนี้
ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ) | |
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี | 25.6 | 57.2 | 17.2 |
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | 22.9 | 53.2 | 23.9 |
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | 19.6 | 55.1 | 25.3 |
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ | 16.6 | 56.1 | 27.3 |
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | 16.4 | 65.6 | 18.0 |
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง | 16.4 | 70.9 | 12.7 |
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 14.0 | 70.3 | 15.7 |
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 12.3 | 62.5 | 25.2 |
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | 11.8 | 68.6 | 19.6 |
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | 11.7 | 69.6 | 18.7 |
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ในการอภิปรายที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน ฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน และประธานสภาฯ 5.57 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
โดยร้อยละ 49.8 ระบุว่าเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 19.7 เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า และร้อยละ 30.5 ไม่เชื่อถือข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลงยังคงมีประเด็นที่ประชาชนค้างคาใจมากที่สุดคือเรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลเวิลด์) ร้อยละ 29.9 รองลงมาคือ เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด ร้อยละ 27.4 และเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การรับชม /รับฟัง หรือติดตามข่าวการประชุมสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน ในวันที่ 15 – 18 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่า
มีผู้ติดตามการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 10.2
ติดตามการถ่ายทอดสดเป็นช่วงๆ ร้อยละ 63.0
ติดตามจากข่าวที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ ร้อยละ 26.8
2. หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 10 คน โดยเรียงลำดับรัฐมนตรีที่ประชาชนให้ความไว้วางใจจากมากไปน้อย ดังนี้
ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ) | |
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี | 25.6 | 57.2 | 17.2 |
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | 22.9 | 53.2 | 23.9 |
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | 19.6 | 55.1 | 25.3 |
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ | 16.6 | 56.1 | 27.3 |
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | 16.4 | 65.6 | 18.0 |
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง | 16.4 | 70.9 | 12.7 |
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 14.0 | 70.3 | 15.7 |
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 12.3 | 62.5 | 25.2 |
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | 11.8 | 68.6 | 19.6 |
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | 11.7 | 69.6 | 18.7 |
3. เมื่อให้ประชาชนให้คะแนนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และประธานสภาฯ ในการอภิปราย
ครั้งนี้ (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) พบว่า
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ซักฟอกของฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปรายของฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ 5.57 คะแนน
4. เมื่อเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน พบว่า
- เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ร้อยละ 49.8
- เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า ร้อยละ 19.7
- ไม่เชื่อทั้งสองฝ่าย ร้อยละ 30.5
5. ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประเด็นในการอภิปรายที่ประชาชนยังค้างคาใจอยู่ 3 อันดับแรก(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง) คือ
อันดับ 1 เรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม ร้อยละ 29.9
(ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์)
อันดับ 2 เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด และมีราคาแพง ร้อยละ 27.4
อันดับ 3 เรื่องราคาสินค้า อุปโภค – บริโภค ที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1
………………………………….
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศ เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมต่อไป
ระเบียบวิธีการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและ จังหวัดต่างๆ ทุกภาคภาคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบพบตัวและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ได้กลุ่มตัวอย่าง 1,246 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 52.3 และเพศหญิงร้อยละ 47.7
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 18 -19 มีนาคม 2554
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 20 มีนาคม 2554
ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน | ร้อยละ | |
เพศ | ||
ชาย | 652 | 52.3 |
หญิง | 594 | 47.7 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
อายุ | ||
18 - 25 ปี | 218 | 17.5 |
26 - 35 ปี | 312 | 25.0 |
36 - 45 ปี | 346 | 27.8 |
46 ปีขึ้นไป | 370 | 29.7 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
การศึกษา | ||
ต่ำกว่าปริญญาตรี | 677 | 54.3 |
ปริญญาตรี | 493 | 39.6 |
สูงกว่าปริญญาตรี | 76 | 6.1 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
อาชีพ | ||
168 | 13.5 | |
พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน | 345 | 27.7 |
ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว | 358 | 28.7 |
รับจ้างทั่วไป | 167 | 13.4 |
พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ | 97 | 7.8 |
อื่นๆ อาทิ เกษตรกรรม อาชีพอิสระ ว่างงาน ฯลฯ | 111 | 8.9 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
Tags:
ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)