--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยื่นสอบปชป.เผด็จการส.ส.แคนาดาร้องสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม

4 ส.ส.แคนาดาเข้าชื่อยื่นเรื่องให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบพรรคประชาธิปัตย์กระทำการและสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทั้งกรณีใช้อำนาจปิดกั้นสื่อ ปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ชี้สวนทางทั่วโลกที่ประชาชนลุกขึ้นมาทวงสิทธิตัวเอง ด้านการชุมนุมคนเสื้อแดงยังคึกคัก “ณัฐวุฒิ” ขึ้นปราศรัยปิดท้ายกลางดึก ย้ำยังมีจ้องทำปฏิวัติรัฐประหารอยู่แม้นายกฯจะอยากยุบสภาเพื่อหนีคะแนนนิยมตกต่ำและวิธีการพิเศษ ระบุหากปล่อยให้มีเลือกตั้งประเทศเดินต่อได้ แต่หากเลือกวิธีพิเศษพังทั้งระบบ

การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ยังมีคนเสื้อแดงเข้าร่วมจำนวนมาก ขณะที่แกนนำที่ออกมาจากเรือนจำก็ขึ้นเวทีปราศรัยกันอย่างพร้อมหน้า โดยส่วนมากพูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่หลายคนนำข้อมูลมาตอบโต้การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าไม่ตรงข้อเท็จจริง

หวังข้อมูลฝ่ายค้านถึงชาวบ้านกว้างขึ้น

การปราศรัยของแกนนำคนสำคัญอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ขึ้นปราศรัยปิดท้ายการชุมนุมเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 20 มี.ค. นายณัฐวุฒิระบุว่า ไม่ได้คาดหวังว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่คาดหวังว่าข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ ส.ส.ฝ่ายค้านพูดในสภาจะกระจายไปสู่ประชาชนในวงกว้ามากขึ้น ซึ่งต้องขอชมเชยทีมอภิปรายของพรรคเพื่อไทยที่ทำงานได้ดี นำเสนอข้อมูลได้ดี

เชื่อ “อภิสิทธิ์” อยากยุบสภา

“หลายคนถามผมว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วเราจะเดินอย่างไรต่อไป ชัดเจนว่าจากนี้ไปเราต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งผมมั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยากจะยุบสภา ดีไม่ดีไม่ถึงต้นเดือน พ.ค. อย่างที่ประกาศไว้ แค่กลางๆเดือน เม.ย. ก็อาจจะไม่อยู่แล้ว เพราะว่าเขาต้องหนี 2 เรื่องคือ 1.หนีคะแนนความนิยมที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ 2.หนีวิธีการพิเศษที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมือง”

แนวคิดยึดอำนาจยังมีอยู่

นายณัฐวุฒิย้ำว่า ยังมีคนจ้องทำปฏิวัติรัฐประหารอยู่ เพียงแต่รอนายตัดสินใจขั้นสุดท้าย ซึ่งตอนนี้นายก็ยังลังเลอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี เราต้องรอดูว่าเขาจะกล้าหรือเปล่า ซึ่งอยากเตือนคนที่มีอำนาจตัดสินใจว่าให้คิดให้รอบคอบ เพราะหากทำปฏิวัติรัฐประหารเที่ยวนี้เดิมพันสูงมาก

เตือนยึดอำนาจอีกพังทั้งระบบ

“ผมขอให้คิดให้ดี เพราะหากให้มีการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยก็ยังพอเดินหน้าไปได้ แต่หากใช้วิธียึดอำนาจไม่ให้มีเลือกตั้งก็พังกันทั้งกระดานแน่คราวนี้” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังมีการใช้อำนาจพิเศษล็อกคอพรรคการเมืองเล็กให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนนายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่ลงคะแนน หากยังใช้วิธีการพิเศษอีกก็ต้องเจอการต่อต้านจากประชาชนที่รักประชาธิปไตยแน่นอน

ส.ส.แคนาดายื่นสอบประชาธิปัตย์

ด้านเว็บไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมามี ส.ส.พรรคเสรีนิยมแห่งประเทศแคนาดาออกมาเรียกร้องให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนพรรคประชาธิปัตย์กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน

คำแถลงการณ์ของพรรคเสรีนิยมแห่งรัฐสภาในกรณีพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทยระบุว่า พรรคเสรีนิยมแห่งแคนาดา หนึ่งในสมาชิกที่น่าชื่นชมของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ซึ่งสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ระบุให้สมาชิกต้องยอมรับหลักการในแถลงการณ์เสรีนิยม 1947 คำประกาศแห่งกรุงออกซ์ฟอร์ด 1967 และข้อเรียกร้องเสรีนิยมแห่งโรม 1981

เสรีนิยมต้องส่งเสริมเสรีภาพ

1.หลักการพื้นฐานของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมถือเป็นหลักการที่สนับสนุน ส่งเสริมเสรีภาพส่วนตัว ซึ่งถูกรับรองโดยการบริหารงานของหน่วยงานทางด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นอิสระ

2.เสรีภาพและอิสรภาพของความรู้สึกนึกคิด

3.เสรีภาพของสื่อมวลชน

4.เสรีภาพที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม

ต้องมีอิสรภาพทางการเมือง

5.ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่สามารถแยกได้จากอิสรภาพทางการเมือง และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกนึกคิด เสรีภาพ และเจตจำนงที่เกิดจากความรู้แจ้งของคนส่วนมาก ซึ่งแสดงออกผ่านทางการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยวิธีลับและเป็นอิสระ ต้องเคารพอิสรภาพและความเห็นของคนกลุ่มน้อยด้วย

“มาร์ค” ได้อำนาจฝืนมติประชาชน

เราให้ความสนใจรายงานขององค์กรระหว่างประเทศหลายฉบับที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ถูกกล่าวหาว่าอาจละเมิดหลักการพื้นฐานเสรีนิยมที่ระบุในคำแถลงการณ์ของสหพันธ์ รายงานของ Freedom House กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคผู้นำรัฐบาล นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศโดยปราศจากประชามติจากผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยขึ้นสู่อำนาจในปลายปี 2551 หลังจากศาลตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาล

สั่งสลายการชุมนุมของประชาชน

ฤดูใบไม้ผลิปี 2553 สื่อต่างชาติรายงานว่ารัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล “คนเสื้อแดง” ในกรุงเทพมหานครอย่างรุนแรง และใน “คำร้องขอให้ทำการสอบสวนเหตุการณ์ในราชอาณาจักรไทย” ที่ยื่นต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งระบุอย่างละเอียดว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพจำนวนหนึ่งให้การว่าปฏิบัติการต่อต้านผู้ชุมนุมถูกสั่งการโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการต้อนผู้ชุมนุมเข้าไปในที่แคบบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย และมุ่งสังหารแกนนำเสื้อแดงบนเวที

ใช้กฎหมายหมิ่นฯจำกัดสิทธิ์

นอกจากนี้ Freedom House ยังรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2552 รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อควบคุมเสรีภาพการแสดงออกและการแสดงความเห็นทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตถูกจำกัดอย่างรุนแรง โดยผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวน และในหลายครั้งถูกดำเนินคดี

ทั่วโลกกำลังต้องการประชาธิปไตย

เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ประชาชนผู้ที่เคยถูกกดขี่และพลเมืองทั่วโลกลุกขึ้นเรียกร้องเสรีภาพและอิสรภาพของพวกเขา สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมจะต้องสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานขององค์กร โดยมีการใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชนของตนเองโดยพรรคสมาชิก ดังนั้น เราจึงขอให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนข้อกล่าวหาที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ในประเทศไทย เพื่อจะรับรองว่าพรรคจะปฏิบัติตามหลักการในคำแถลงการณ์ขององค์กรอย่างชัดเจน

ลงชื่อ Bob Rae องคมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Paul Szabo สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Bryon Wilfert องคมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Borys Wrzesnewskyj สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

หมาหอนก่อนโหวตไว้วางใจที่มาผลคะแนนค้านสายตา

โฆษกเพื่อไทยแฉเบื้องหลังผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่คะแนนออกมาค้านสายตาและความรู้สึกประชาชนเนื่องมาจากมีการแจกเงินค่ายกมือให้ ส.ส. ระบุคืนก่อนโหวตหมาหอนทั้งคืน ต่อรองกันจนนาทีสุดท้ายจนสามารถปั่นตัวเลขค่าตอบแทนขึ้นไปสูงถึง 8 หลัก ให้จับตาก่อนยุบสภาจะมีการอนุมัติโครงการทิ้งทวนเพื่อถอนทุนคืนและเตรียมทุนเลือกตั้ง แนะเพื่อไม่ให้ถูกครหาไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ก่อนยุบสภา ประชาธิปัตย์เสี้ยม “เฉลิม-มิ่งขวัญ” ให้แย่งตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” ที่โหวตไม่ไว้วางใจนายกฯออกจากพรรค อ้าง ส.ส. มีเอกสิทธิ์ตัดสินใจในสภา

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ผู้นำการอภิปราย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค

“ชัดเจนว่านายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิมจะไม่ถูกวางตัวเป็น ส.ส.สัดส่วน ลำดับที่ 1 ในการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวนอกสภากับคนเสื้อแดง น่าเสียดายที่คนที่พร้อมจะใช้สภาขับเคลื่อนทางการเมืองถูกลดบทบาทลง”

ความแตกต่างระหว่าง พท.-ปชป.

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า การอภิปรายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตร พรรคเพื่อไทยเน้นวิธีการจำนำ แต่พรรคประชาธิปัตย์เน้นวิธีประกันราคา 2.รายได้ พรรคประชาธิปัตย์เน้นเพิ่มรายได้คู่กับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่พรรคเพื่อไทยเน้นเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว 3.ด้านพลังงาน พรรคประชาธิปัตย์เน้นคุมราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวเบนซิน แต่พรรคเพื่อไทยจะลอยตัวดีเซล แก้ปัญหาเบนซิน

“ภาพรวมการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เน้นตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เน้นสร้างความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นเกราะกำบัง”

ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” พ้นพรรค

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า พรรคยังไม่ได้หารือเรื่องที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากไม่ขับออกจากพรรคก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวจะแตกหักกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะต้องแยกแยะการทำหน้าที่ของ ส.ส.

“ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 6 สัปดาห์จะยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศเอาไว้ เวลาที่เหลือรัฐบาลจะเร่งดำเนินนโยบายวาระเร่งด่วน พร้อมกับสำรวจความต้องการและปัญหาของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ส.ส. จะเสนอข้อมูลในพื้นที่ต่อที่ประชุมพรรควันที่ 22 มี.ค. นี้”

นโยบายเร่งด่วนเน้นเพิ่มรายได้

นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่พรรคจะเสนอต่อประชาชน เช่น เพิ่มรายได้ 25% ภายใน 2 ปี ลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงานจาก 19% เหลือ 15% ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศวางมือจากการเมืองหากนายมิ่งขวัญขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการวัดกำลังกันภายในพรรค และเป็นการประกาศเพื่อกดดันนายใหญ่

เสี้ยม “มิ่งขวัญ” อย่ายอมถ้าถูกเขี่ย

“นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้วในการนำอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงผู้นำให้ประชาชนสับสนอีก หากจะมีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญไม่ควรยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง ส.ส. ในกลุ่มที่รับเงินพิเศษจากนายมิ่งขวัญควรออกมาปกป้องนายให้สมกับเงินที่ได้รับ” นายเทพไทกล่าวและว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเพื่อสกัดนายมิ่งขวัญและเพื่อหวังปอกลอก

นายเทพไทกล่าวว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนใครขึ้นมาชิงตำแหน่งนายกฯควรเร่งเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา

“สุเทพ” อุบรวมงานกลุ่ม 3 พี

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่ ส.ส.กลุ่ม 3 พี โหวตสนับสนุนรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เป็นสัญญาใจว่าจะร่วมงานกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการโหวตในสภาเป็นการใช้ดุลยพินิจของ ส.ส.

“ต้องขอบคุณที่โหวตไว้วางใจรัฐบาล เพราะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถบอกได้”

“มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นเรื่องดี

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะตัดสินใจได้เองว่าเชื่อถือข้อมูลของใคร ข้อมูลอะไรของฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์พร้อมรับมาพิจารณา เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ส่วนกรณีที่นายมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้มีความชัดเจนในการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน

“เมื่อนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะมีความชัดเจนที่จะมาแข่งขันกันในระบบ จะได้นำการเมืองออกจากความขัดแย้ง เพราะหลายปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับการเคลื่อนไหวนอกสภา ทั้งการใช้มวลชนและกองกำลัง ถ้านายมิ่งขวัญสามารถหยุดตรงนี้ได้จะเป็นการแสดงภาวะผู้นำ จะได้มาแข่งขันกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหยุดกระบวนการนอกสภาไม่ได้แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจและไม่ได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง

เพื่อไทยยันไม่เปลี่ยนคณะผู้บริหาร

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประชุมวิสามัญประจำปีของพรรคในวันที่ 22 มี.ค. นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่จะประกาศบุคคลที่เหมาะสมได้ก่อนยุบสภาแน่นอน

“ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ประกาศกำหนดยุบสภาชัดเจนเราจะประชุมพรรคทันทีเพื่อให้ ส.ส. เลือกว่าจะชูใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับนายอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในพรรคมีคนเก่งกว่านายอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศจนข้าวของแพงอยู่หลายคน

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีโพลประเมินผลงานของทีมอภิปรายให้คะแนน 7.9 เต็ม 10 ผู้อภิปรายของพรรคทุกคนสอบผ่านหมด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเพียงนายอภิสิทธิ์คนเดียวที่ได้ 5.01 คะแนน ที่เหลือได้เพียง 4 คะแนนกว่าๆ

แฉค่าโหวตไว้วางใจสูง 8 หลัก

“คะแนนที่ออกมาต่างจากผลโหวตในสภาที่ยังเป็นลักษณะพวกมากลากไป ที่เห็นชัดเจนคือกรณีของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนบอกว่าชี้แจงไม่ตรงประเด็น ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผลโหวตในสภากลับได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดถึง 251 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นคนเดียวที่ประชาชนให้สอบผ่านได้เพียง 249 เสียง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมระบุว่า ที่ผลคะแนนออกมาอย่างนี้ทราบมาว่ามีการวิ่งล็อบบี้ชนิดหมาหอนทั้งคืนก่อนจะโหวต ได้ยินมาว่าบางพรรคมี ส.ส. วิ่งเข้าไปรับมัดจำงวดแรกก่อน หลังการลงมติก็ไปรับงวดที่สอง ที่น่าตกใจคือการโหวตครั้งนี้แลกกับเงินมากถึง 8 หลักเลยทีเดียว ผลโหวตในสภาจึงสวนทางต่อความรู้สึกของประชาชน

จับตาโกงทิ้งทวนก่อนยุบสภา

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเป็นห่วงที่นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และยังย้ำเรื่องยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เพราะจะทำให้มีการโกงทิ้งทวนในโครงการต่างๆมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเวลายุบสภาแล้วจึงไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ๆอะไรอีกในช่วงนี้

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การชี้แจงในสภาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนตอบไม่ตรงคำถาม และไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายค้านหลายเรื่อง จึงจะรวบรวม 20 คำถามที่รัฐบาลไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ชัดเจนให้ประชาชนพิจารณา เช่น เรื่องภาษีบุหรี่ 68,000 ล้านบาท น้ำมันปาล์ม การทุจริตในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การปั่นหุ้นไทยคม การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทรูในการประมูล 3จี การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การซื้อหัวรถจักรไฟฟ้า 7 หัวโดยมิชอบ การส่อทุจริตรถตู้เอ็นจีวี การขายแป้งมันสำปะหลังแบบจีทูจี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าจีนไม่รับรอง 3 บริษัท การขายสต็อกข้าว โครงการแจกข้าวถุง 75 ล้านถุงที่พบว่าแพงกว่าท้องตลาด การครอบครองที่ดิน 700 ไร่ ที่จังหวัดนครพนม และความล้มเหลวทางการทูตกับเพื่อนบ้าน โดยจะทำเป็นเอกสารแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป

ภท.-ชทพ. หวังเป็นตัวแปรตั้งรัฐบาล

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือทำงานร่วมกันต่อไป เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศร่วมมือกันแล้วเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง

“ทั้ง 2 พรรคประเมินแล้วเห็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่มีพรรคไหนได้ถึง 251 เสียงแน่นอน สองพรรคจึงรวมกันเพื่ออยู่ตรงกลางและต่อรอง ก่อนตัดสินใจว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนตั้งรัฐบาล” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวและว่า หากพรรคภูมิใจและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมือกันถึงขนาดไม่ส่ง ส.ส. ทับซ้อนกันมีโอกาสที่จะรวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เช่นกัน

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งในบางพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะผู้สมัครต้องคอยระมัดระวังตัว และเชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนชนะเลือกตั้งเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจอภิปราย ให้ฝ่ายค้านชนะ

 
20 มี.. 54 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทุกภาคทั่วประเทศ พบว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นลง ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 10 ท่านที่ถูกอภิปราย ดังนี้
 
<>
 
ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ)
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
25.6
57.2
17.2
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
22.9
53.2
23.9
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
19.6
55.1
25.3
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
16.6
56.1
27.3
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
16.4
65.6
18.0
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
16.4
70.9
12.7
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
14.0
70.3
15.7
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
12.3
62.5
25.2
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
11.8
68.6
19.6
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
11.7
69.6
18.7
 
 
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ในการอภิปรายที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน ฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน และประธานสภาฯ 5.57 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
 
โดยร้อยละ 49.8 ระบุว่าเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 19.7 เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า และร้อยละ 30.5 ไม่เชื่อถือข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
 
อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลงยังคงมีประเด็นที่ประชาชนค้างคาใจมากที่สุดคือเรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลเวิลด์) ร้อยละ 29.9 รองลงมาคือ เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด ร้อยละ 27.4 และเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
 
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
 
1. การรับชม /รับฟัง หรือติดตามข่าวการประชุมสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน ในวันที่ 15 18 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่า
 
มีผู้ติดตามการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง        ร้อยละ 10.2
ติดตามการถ่ายทอดสดเป็นช่วงๆ ร้อยละ 63.0
ติดตามจากข่าวที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ            ร้อยละ 26.8
 
 2. หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 10 คน โดยเรียงลำดับรัฐมนตรีที่ประชาชนให้ความไว้วางใจจากมากไปน้อย ดังนี้
 
<>
 
ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ)
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
25.6
57.2
17.2
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
22.9
53.2
23.9
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
19.6
55.1
25.3
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
16.6
56.1
27.3
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
16.4
65.6
18.0
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
16.4
70.9
12.7
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
14.0
70.3
15.7
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
12.3
62.5
25.2
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
11.8
68.6
19.6
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
11.7
69.6
18.7
 
3. เมื่อให้ประชาชนให้คะแนนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และประธานสภาฯ ในการอภิปราย
 ครั้งนี้ (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) พบว่า
 
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ซักฟอกของฝ่ายค้าน                               6.48 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปรายของฝ่ายรัฐบาล           4.28 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ                                          5.57 คะแนน
 
4. เมื่อเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน พบว่า
 
            - เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า                     ร้อยละ 49.8
            - เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า                       ร้อยละ 19.7
            - ไม่เชื่อทั้งสองฝ่าย                                              ร้อยละ   30.5
 
5. ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประเด็นในการอภิปรายที่ประชาชนยังค้างคาใจอยู่ 3 อันดับแรก(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง) คือ
           
            อันดับ 1 เรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม           ร้อยละ 29.9
 (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์)
            อันดับ 2 เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด และมีราคาแพง                                          ร้อยละ 27.4
            อันดับ 3 เรื่องราคาสินค้า อุปโภค – บริโภค ที่แพงขึ้น                                        ร้อยละ 8.1
 
  
………………………………….
รายละเอียดในการสำรวจ
 
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศ เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมต่อไป
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและ จังหวัดต่างๆ ทุกภาคภาคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบพบตัวและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ได้กลุ่มตัวอย่าง 1,246 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 52.3 และเพศหญิงร้อยละ 47.7
 
 ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
 ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
           
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล           : 18 -19 มีนาคม 2554
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                : 20 มีนาคม 2554
 
 
ข้อมูลประชากรศาสตร์
 
<>



จำนวน


ร้อยละ


เพศ





 ชาย


652

52.3

 หญิง


594

47.7

รวม

1,246

100.0

อายุ





 18 - 25 ปี

218

17.5

 26 - 35 ปี

312

25.0

 36 - 45 ปี

346

27.8

 46 ปีขึ้นไป

370

29.7

รวม

1,246

100.0

การศึกษา





 ต่ำกว่าปริญญาตรี

677

54.3

 ปริญญาตรี

493

39.6

 สูงกว่าปริญญาตรี

76

6.1

รวม

1,246

100.0

อาชีพ






168

13.5

 พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน

345

27.7

 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว

358

28.7

 รับจ้างทั่วไป

167

13.4

 พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ

97

7.8

 อื่นๆ อาทิ เกษตรกรรม อาชีพอิสระ ว่างงาน ฯลฯ

111

8.9

รวม

1,246

100.0
Tags:
ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////