ข่าวลึกแต่ไม่ลับในพรรคเพื่อไทย กลายเป็น "ข่าวเปิด" ที่สร้างความหวั่นไหว สั่นสะเทือนประสาท ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปทั่วทุกก๊ก
ข่าว "คดียุบพรรคเพื่อไทย" กลายเป็นวรรคสำคัญของข่าววงใน ที่ผ่านหูของ "เฉลิม" ทะลุออกทางปากต่อปาก แพร่สะพัด
ทำให้ ส.ส.บางส่วนคิดหาทางหนีทีไล่กันอย่างอลหม่าน ราวกับรังมดโดนน้ำร้อน สวนทางกับก๊ก ส.ส. ภาคอีสานและภาคเหนือคิดก้าวข้าม "ทักษิณ" ไปก้าวคู่กับ "มิ่งขวัญ"
ทำให้ ส.ส.ส่วนใหญ่วิ่งเข้าใกล้ ประชิดวงใน เครือข่าย-พี่น้อง "ชินวัตร" เพื่อหาความอบอุ่น เตรียมสร้างกระแส-กระสุน เพื่อเป็นรังรอง-ทุนรอน เลือกตั้งครั้งหน้า
เกิดการเคลื่อนไหวระดับปรากฏการณ์ ของกระดานการเมือง เมื่อ "เฉลิม" ชิงประกาศทิ้งไพ่ ทิ้งพื้นที่ประธาน ส.ส.เพื่อไทย
เมื่อนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณชัดเจน-เปิดหน้า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คู่รักคู่แค้นของสิงห์เหลิม ขึ้นมาเป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล
"เฉลิม" เชื่อว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบหมายให้ "มิ่งขวัญ" นำทีมอภิปราย "ก็หมายความว่า เขาให้ใน สิ่งที่มิ่งขวัญทำไม่ได้" หรือมีนัยหนึ่งคือ ชูขึ้นมาให้เป็นเป้าให้ถูกฝ่ายตรงข้ามทุบจนน่วมไปเอง พร้อมกับพลิ้วไปตั้งหลัก ตั้งพรรคใหม่
ทั้งเฉลิม-มิ่งขวัญ จึงใช้งานวิวาห์ลูกชายครอบครัว "อยู่บำรุง" เป็นเวที จัดอีเวนต์ละครการเมือง
ด้วยการประกาศชื่อพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขณะที่ "เสี่ยอ่าง" แบ่งรับ-แบ่งสู้ แบบเก๋าเกม
"ผมแกงเผ็ด ผมไม่ใช่แกงจืดใส่ วุ้นเส้น เพราะฉะนั้น สารวัตรกับผมไปด้วยกันได้ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของเวลาและโอกาส...ลิเก เขาเล่นตอนปี่กลองดัง ยังไม่ดัง ยังไม่ตี ก็อย่าเพิ่งไปพูด..."
ขณะที่ "เฉลิม" ก็ประกาศวาทะอำพรางและแสร้งสร้าง "เกมกั๊ก" ว่า ไม่ไปไหน นอกจากไปบ้านอดีตนายกฯ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" น้องเขย "ทักษิณ" เท่านั้น
ตลอดวาระงานวิวาห์จึงปรากฏภาพ "เฉลิม" ใกล้ชิดคนสำคัญจากตระกูล ชินวัตร ทั้ง ยิ่งลักษณ์-เยาวภา-สมชาย และคนสำคัญแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า "สาโรจน์ พงษ์ชูเวช" วนเวียนรอบวง วี.ไอ.พี.การเมือง
ส่วนฉากของ "มิ่งขวัญ" ยังเนิบช้า-เนิ่นนาน-ย่ำและย้ำอยู่กับเรื่อง "มติพรรค" ที่จะยกยอดให้เขาได้เป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงชื่อแนบท้ายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
แต่อีกขา อีกแขนก็กอดเกี่ยว "เฉลิม" ให้อยู่ในกลเกมของ "เพื่อไทย"
มิ่งขวัญบอกว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างท่านเฉลิมกับผมก็ดี และ ท่านเฉลิมเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ เป็นทรัพยากรของพรรคและของสภา สำหรับผมแล้วไม่มีปัญหาอะไร"
พ้นจากงานวิวาห์ 24 ชั่วโมง พรรคเพื่อไทยยังป่วน
เมื่อแกนนำสาย "นายใหญ่" สั่งเช็ก ข้อมูลย้อนหลัง ค้นหาคนสร้างรอยแยกในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.ที่ให้สัมภาษณ์-พาดพิงถึง "เฉลิม"
แม้ปาก "เฉลิม" จะพูดว่า "การเมืองมีความเห็นแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก ถ้าคิดเห็นตรงกัน นั่นมันเผด็จการ คิดเห็นไม่เหมือนกันคือ ประชาธิปไตย"
แต่ฉากวิวาทใต้ดิน หลังงานวิวาห์ "มิ่งขวัญ" และ "เฉลิม" ไม่อาจบรรจบพบทางเดียวกันได้ ทั้งในสภาผู้แทนฯและในห้องประชุมพรรค
เว้นแต่ว่า ผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในพรรคจะบรรจบกันเสียก่อน
ข่าวลือ-ข่าวลับ เรื่องยุบพรรค ยังสั่นสะเทือน ส.ส.ทั่วทั้งพรรค
ทีมา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554
"จตุพร"เผยทักษิณไม่โฟนอินเพราะไม่ได้อยู่น่านฟ้าสากล
เมื่อเวลา 23.30 น.คืนที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัยปิดการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยเริ่มกล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงผ่านโทรทัศน์ถึงกรณี 7 คนไทยถูกทางการกัมพูชาจับกุม รวมทั้งนโยบายขายไข่ไก่ชั่งกิโลกรัม จากนั้นได้กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีโฟนอินมายังที่ชุมนุม เนื่องจากขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง และไม่ต้องการให้รัฐบาลของประเทศนั้นได้รับผลกระทบ แต่ยืนยันว่าการชุมนุมในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้าต่อเมื่อเครื่องบินอยู่น่านฟ้าสากล
นายจตุพร ยังกล่าวถึงการชุมนุมในครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่ายังไม่กำหนดสถานที่ รวมถึงอาจเปิดปราศรัยพิเศษที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอนุญาต ทั้งยังมีแผนจัดการชุมนุมที่โบนันซ่า เขาใหญ่ แต่ยังไม่มีการกำหนดวัน เวลา ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในการชุมนุมครั้งนี้มีความพึงพอใจอย่างมาก ที่การชุมนุมไม่กระทบกับประชาชน เนื่องจากมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการที่ย่านราชประสงค์ไว้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ได้ทำการปราศรัยเสร็จสิ้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เริ่มทยอยเดินทางกลับทันที
ที่มา.เนชั่น
นายจตุพร ยังกล่าวถึงการชุมนุมในครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่ายังไม่กำหนดสถานที่ รวมถึงอาจเปิดปราศรัยพิเศษที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอนุญาต ทั้งยังมีแผนจัดการชุมนุมที่โบนันซ่า เขาใหญ่ แต่ยังไม่มีการกำหนดวัน เวลา ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในการชุมนุมครั้งนี้มีความพึงพอใจอย่างมาก ที่การชุมนุมไม่กระทบกับประชาชน เนื่องจากมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการที่ย่านราชประสงค์ไว้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายจตุพร ได้ทำการปราศรัยเสร็จสิ้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เริ่มทยอยเดินทางกลับทันที
ที่มา.เนชั่น
วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554
เติ้ง-หนั่น-สมศักดิ์ หารือลับ-สวนมาร์ค!
ปลาไหลพัฒนายืนยัน!!
ต้อง 400+100สูตรเดียว
ไม่ว่าประเทศใด หากนักการเมืองยังเน้นการแพ้ชนะเป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่น
โดยเฉพาะหากมีพรรคการเมืองที่คิดแต่จะเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่น
หรือคิดแต่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่พรรคตนเองจะต้องได้เปรียบ จะต้องได้มากกว่าพรรคอื่น
หรือแม้แต่กระทั่งว่า จะให้โหนใคร ให้คุกเข่าให้ใคร ขอแค่ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำได้ทั้งนั้น
หากบังเอิญประเทศไทยมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองแบบนี้ก็ต้องยอมรับชะตากรรมกันแล้วว่า
ในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ เสาหลักต่างๆ พากันเป็นแค่ไม้หลักปักเลน นักการเมืองก็ย่อมจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองกันอย่างอุตลุด โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะมอง จะรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า หรือประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวแล้วจริงๆ!!!
เพราะในขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นกระฉ่อนฉาว ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังร้อนระอุ แต่รัฐบาลกลับมาทะเลาะถกเถียงกับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องเพียงแค่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วน ส.ส.แบบเลือกตั้ง กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะมีเท่าไร
และเป็นการแก้แบบยึดเอาผลประโยชน์ของพรรคตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
สูตร 375 + 125 ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเพราะไม่มั่นใจว่า ส.ส.เลือกตั้งจะฝ่าด่านความรู้สึกประชาชนได้มากน้อยเพียงใด แต่มั่นใจในคะแนนของพรรคที่จะกวาด ส.ส.สัดส่วนได้มาก
ก็เลยเลือกที่จะให้มี ส.ส.เลือกตั้งแค่ 375คน แล้วมีส.ส.สัดส่วน 125คน
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไก่รองบ่อนแม้ว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับ เหมือนตกอยู่ในยุ้งข้าวเปลือก ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง
แต่ในแง่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่ละพรรคล้วนรู้ดีว่า ส.ส.สัดส่วนที่จะได้คงแค่กระหยิบมือเดียว ที่จะได้เป็นเนื้อเป็นหนัง มีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะเอาไว้ต่อรองได้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องได้จาก ส.ส.เลือกตั้งเท่านั้น
พรรคร่วมรัฐบาล ก็เลยต้องการใช้สูตร 400+100
คือมีจำนวนส.ส.เลือกตั้ง 400 คน ส.ส.สัดส่วนแค่ 100 เดียวก็พอ
เป็นการเถียงกันลากยาวเป็นเดือน ก็เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัวอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อประชาชนเริ่มเอียน เพราะเป็นการขัดแย้งที่เห็นชัดว่าเป็นการทำเพื่อตัวเอง ก็เลยมีสูตรออกมาเพื่อรอมชอมในการเมืองซีกรัฐบาล นั่นคือในเมื่อประชาธิปัตย์อยากได้ ส.ส.สัดส่วน 125 ก็เอาไป 125 ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากได้เก้าอี้ ส.ส.เลือกตั้ง 400 ก็เอาไป 400
กลายเป็นสูตร 400+125 อะร้าอร่ามไปอีกแบบ เพราะเท่ากับจะไม่ใช่ สภา500 แล้วแต่จะเป็นสภา 525 แทน
ทำยังกับการต่อรองเรียกสินบนใต้โต๊ะในยุคปัจจุบันอย่างนั้นแหละ มียืดได้หดได้ ตั้งแต่ 25% 30% ไปถึง35% แล้วแต่ว่าเส้นใครจะแข็งเส้นใครจะใหญ่กว่ากัน???
แต่เรื่องของตัวเลขจำนวน ส.ส. กลายเป็นตลกชวนหัวในทางการเมืองไปแล้ว เพราะตอนนี้กำลังคิดสูตรกันอย่างสนุกสนานบานเบอะไปถึงขนาด 21 สูตรกันแล้ว
ถึงขนาดที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ยังต้องขอหารือด่วนกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มกราคม
และต้องใช้เวลาในการหารือกันถึงประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งนายบรรหารได้บ่นกรณีที่ ส.ส.ขอสงวนคำแปรญัตติ 21 สูตร ว่า
“แหม ...ผมก็ไม่รู้ ชักปวดหัวแล้วนะเนี่ย มันเยอะแยะ สูตรอะไรบ้างก็ไม่รู้ เวลานี้สูตร 375+125 มี 400+100 มี 400+125 รู้เพียงเท่านี้ แล้วที่มีหลาย 10 สูตรไม่รู้มีสูตรอะไรบ้าง”
สุดท้ายแม้ว่านายบรรหารจะพูดแบบประนีประนอมว่า แต่ละสูตรก็ดีหมด และมีเหตุผลดีพอสมควร รวมทั้งสูตร 400+125 ที่ต้องการออมชอม
แต่ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “เรายืนหยัดในสูตรที่ 400+100 เท่านั้น”
ส่วนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะยืนยัน 375+125 ก็เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล!!!
รวมทั้งสุดท้ายสูตร 400+100 จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.และ ส.ว.ค่อนข้างเยอะจริงหรือไม่ นายบรรหารก็บอกเพียงว่า ยังไม่ทราบ ไม่ได้พูดกับใคร
“เมื่อมีมติเราก็ถือตามนั้น”นายบรรหารประกาศชัด
ในขณะที่นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ โฆษกพรรคกิจสังคม ก็ได้ออกมาแสดงท่าทีที่แตกต่างไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา คือพร้อมที่จะลู่ลมได้ โดยอ้างว่าจุดยืนของพรรคกิจสังคมนั้นเห็นด้วยกับแนวทางที่สามารถยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลได้
โดยยกว่าการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เสนอสูตร 400+125 ขึ้นมานั้นก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ที่จะสามารถทำให้สบายใจกันทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและประชาธิปัตย์
เหมือนพบกันครึ่งทาง
งานนี้เรียกว่าพรรคกิจสังคมพร้อมจะเอาใจทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามทางนายเทวฤทธิ์ กล่าวว่าเบื้องต้นแกนนำประชาธิปัตย์ติดต่อประสานงานมายังแกนนำพรรคกิจสังคม เพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะตกลงกันที่สูตรไหน
และอาจจะต้องรอมติจากงานเลี้ยงของพรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 24 มกราคม
“พรรคที่ไม่เห็นด้วยกับสูตร 375+125 ก็คงไม่พอใจที่ไปลดจำนวน ส.ส.ของเขา ซึ่งต้องเข้าใจเขาด้วยแต่ละพรรคก็มีเหตุผล แต่พรรครับได้ทุกสูตร แต่ต้องมีการพูดคุยกันก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะตอบเอง เออเองว่าจะเอาแบบนั้นแบบนี้ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดเสียก่อน สำหรับผมเห็นด้วยกับสูตร 400+125 เพราะคิดว่าน่าจะลดความขัดแย้งได้ ส่วนพรรคจะสนับสนุนส่วนไหนนั้นต้องรอให้มีมติอีกครั้ง” นายเทวฤทธิ์ กล่าว
เห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว
ชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่คิดแต่ผลประโยชน์นักการเมืองล้วนๆ...
ประชาชนไม่เกี่ยวเลยจริง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ต้อง 400+100สูตรเดียว
ไม่ว่าประเทศใด หากนักการเมืองยังเน้นการแพ้ชนะเป็นสำคัญ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าได้อย่างราบรื่น
โดยเฉพาะหากมีพรรคการเมืองที่คิดแต่จะเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่น
หรือคิดแต่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่พรรคตนเองจะต้องได้เปรียบ จะต้องได้มากกว่าพรรคอื่น
หรือแม้แต่กระทั่งว่า จะให้โหนใคร ให้คุกเข่าให้ใคร ขอแค่ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำได้ทั้งนั้น
หากบังเอิญประเทศไทยมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองแบบนี้ก็ต้องยอมรับชะตากรรมกันแล้วว่า
ในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ เสาหลักต่างๆ พากันเป็นแค่ไม้หลักปักเลน นักการเมืองก็ย่อมจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองกันอย่างอุตลุด โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะมอง จะรู้สึกอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า หรือประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวแล้วจริงๆ!!!
เพราะในขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นกระฉ่อนฉาว ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังร้อนระอุ แต่รัฐบาลกลับมาทะเลาะถกเถียงกับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องเพียงแค่จะแก้รัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วน ส.ส.แบบเลือกตั้ง กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะมีเท่าไร
และเป็นการแก้แบบยึดเอาผลประโยชน์ของพรรคตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
สูตร 375 + 125 ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเพราะไม่มั่นใจว่า ส.ส.เลือกตั้งจะฝ่าด่านความรู้สึกประชาชนได้มากน้อยเพียงใด แต่มั่นใจในคะแนนของพรรคที่จะกวาด ส.ส.สัดส่วนได้มาก
ก็เลยเลือกที่จะให้มี ส.ส.เลือกตั้งแค่ 375คน แล้วมีส.ส.สัดส่วน 125คน
ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไก่รองบ่อนแม้ว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับ เหมือนตกอยู่ในยุ้งข้าวเปลือก ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง
แต่ในแง่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่ละพรรคล้วนรู้ดีว่า ส.ส.สัดส่วนที่จะได้คงแค่กระหยิบมือเดียว ที่จะได้เป็นเนื้อเป็นหนัง มีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะเอาไว้ต่อรองได้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องได้จาก ส.ส.เลือกตั้งเท่านั้น
พรรคร่วมรัฐบาล ก็เลยต้องการใช้สูตร 400+100
คือมีจำนวนส.ส.เลือกตั้ง 400 คน ส.ส.สัดส่วนแค่ 100 เดียวก็พอ
เป็นการเถียงกันลากยาวเป็นเดือน ก็เพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัวอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อประชาชนเริ่มเอียน เพราะเป็นการขัดแย้งที่เห็นชัดว่าเป็นการทำเพื่อตัวเอง ก็เลยมีสูตรออกมาเพื่อรอมชอมในการเมืองซีกรัฐบาล นั่นคือในเมื่อประชาธิปัตย์อยากได้ ส.ส.สัดส่วน 125 ก็เอาไป 125 ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากได้เก้าอี้ ส.ส.เลือกตั้ง 400 ก็เอาไป 400
กลายเป็นสูตร 400+125 อะร้าอร่ามไปอีกแบบ เพราะเท่ากับจะไม่ใช่ สภา500 แล้วแต่จะเป็นสภา 525 แทน
ทำยังกับการต่อรองเรียกสินบนใต้โต๊ะในยุคปัจจุบันอย่างนั้นแหละ มียืดได้หดได้ ตั้งแต่ 25% 30% ไปถึง35% แล้วแต่ว่าเส้นใครจะแข็งเส้นใครจะใหญ่กว่ากัน???
แต่เรื่องของตัวเลขจำนวน ส.ส. กลายเป็นตลกชวนหัวในทางการเมืองไปแล้ว เพราะตอนนี้กำลังคิดสูตรกันอย่างสนุกสนานบานเบอะไปถึงขนาด 21 สูตรกันแล้ว
ถึงขนาดที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ยังต้องขอหารือด่วนกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มกราคม
และต้องใช้เวลาในการหารือกันถึงประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งนายบรรหารได้บ่นกรณีที่ ส.ส.ขอสงวนคำแปรญัตติ 21 สูตร ว่า
“แหม ...ผมก็ไม่รู้ ชักปวดหัวแล้วนะเนี่ย มันเยอะแยะ สูตรอะไรบ้างก็ไม่รู้ เวลานี้สูตร 375+125 มี 400+100 มี 400+125 รู้เพียงเท่านี้ แล้วที่มีหลาย 10 สูตรไม่รู้มีสูตรอะไรบ้าง”
สุดท้ายแม้ว่านายบรรหารจะพูดแบบประนีประนอมว่า แต่ละสูตรก็ดีหมด และมีเหตุผลดีพอสมควร รวมทั้งสูตร 400+125 ที่ต้องการออมชอม
แต่ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “เรายืนหยัดในสูตรที่ 400+100 เท่านั้น”
ส่วนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะยืนยัน 375+125 ก็เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล!!!
รวมทั้งสุดท้ายสูตร 400+100 จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.และ ส.ว.ค่อนข้างเยอะจริงหรือไม่ นายบรรหารก็บอกเพียงว่า ยังไม่ทราบ ไม่ได้พูดกับใคร
“เมื่อมีมติเราก็ถือตามนั้น”นายบรรหารประกาศชัด
ในขณะที่นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ โฆษกพรรคกิจสังคม ก็ได้ออกมาแสดงท่าทีที่แตกต่างไปจากพรรคชาติไทยพัฒนา คือพร้อมที่จะลู่ลมได้ โดยอ้างว่าจุดยืนของพรรคกิจสังคมนั้นเห็นด้วยกับแนวทางที่สามารถยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลได้
โดยยกว่าการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เสนอสูตร 400+125 ขึ้นมานั้นก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ที่จะสามารถทำให้สบายใจกันทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและประชาธิปัตย์
เหมือนพบกันครึ่งทาง
งานนี้เรียกว่าพรรคกิจสังคมพร้อมจะเอาใจทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามทางนายเทวฤทธิ์ กล่าวว่าเบื้องต้นแกนนำประชาธิปัตย์ติดต่อประสานงานมายังแกนนำพรรคกิจสังคม เพื่อพูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะตกลงกันที่สูตรไหน
และอาจจะต้องรอมติจากงานเลี้ยงของพรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 24 มกราคม
“พรรคที่ไม่เห็นด้วยกับสูตร 375+125 ก็คงไม่พอใจที่ไปลดจำนวน ส.ส.ของเขา ซึ่งต้องเข้าใจเขาด้วยแต่ละพรรคก็มีเหตุผล แต่พรรครับได้ทุกสูตร แต่ต้องมีการพูดคุยกันก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะตอบเอง เออเองว่าจะเอาแบบนั้นแบบนี้ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดเสียก่อน สำหรับผมเห็นด้วยกับสูตร 400+125 เพราะคิดว่าน่าจะลดความขัดแย้งได้ ส่วนพรรคจะสนับสนุนส่วนไหนนั้นต้องรอให้มีมติอีกครั้ง” นายเทวฤทธิ์ กล่าว
เห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว
ชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่คิดแต่ผลประโยชน์นักการเมืองล้วนๆ...
ประชาชนไม่เกี่ยวเลยจริง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
"ผลงาน" บอก "ฝีมือ"
โดย สรกล อดุลยานนท์
รู้สึกไหมครับว่า เรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศและความมั่นคง
ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ไม่ได้ว่าคุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีฝีมือ
เพียงแต่สงสัยว่าทำไมตั้งแต่ "อภิสิทธิ์" แต่งตั้ง "กษิต" ดูแลเรื่องต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านจึงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือพม่า
ด่านชายแดนที่เคยเป็นประตูระหว่างเพื่อนบ้านก็อยู่ในสภาพลักปิดลักเปิดเป็นประจำ
ทั้งที่ชายแดนของไทยติดกับ "พม่า" และ "กัมพูชา" ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด
"คนฉลาด" เขาต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
การวัดผลงานตามหลักการบริหาร เขาไม่ได้วัดว่าได้ไปประชุมร่วมกันกี่ครั้ง จับมือกันกี่หน
แต่เขาวัดกันที่ "ผลงาน" ครับ
คุณอภิสิทธิ์กล้าบอกไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาและพม่าในยุค "กษิต" นั้นดีกว่าในอดีต
ยกหูคุยกันได้
เป็นเพื่อนที่พอเกิดเหตุไม่พอใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่ละคนไม่ติดใจกัน
หรือมีอะไรดีๆ ก็บอกเพื่อน ชวนเพื่อนไปลงทุน
กรณี 7 คนไทย คือคำตอบที่ดีที่สุด
"ผล" ที่แสดงออกมาเป็นคำตอบว่าการบริหารงานของรัฐบาลนั้นเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับเรื่อง "3 จังหวัดชายแดนใต้"
การบุกถล่มค่ายทหารเมื่อ 2-3 วันก่อน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้ยกระดับขึ้นแล้ว
ใครที่บอกว่าสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้น
คนนั้นละเมอ!!!
เพิ่งเห็นตัวงบประมาณด้านการทหารที่รัฐบาลไทยใส่เข้าไป 1.4 แสนล้านบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงเวลาประมาณ 8 ปี
จากปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2554 รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ตั้งงบฯสำหรับดับไฟใต้ 19,102 ล้านบาท
สูงขึ้นเกือบ 50%
ตามหลักการบริหาร รัฐบาลใส่ "คน" และ "งบประมาณ" มากขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงกว่าเดิม
ถ้าคนเป็นนักบริหาร เขาจะตั้งคำถามว่า 1.ตัวผู้บริหารทำงานเป็นหรือเปล่า 2.ใช้คนทำงานถูกต้องหรือเปล่า
หรือ 3.ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาของเราถูกต้องหรือไม่
ทำแบบเดิมๆ มา 8 ปี ใส่เงินและคนเข้าไปมโหฬาร แต่ "ผล" ที่ออกมากลับแย่ลงกว่าเดิม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ งบประมาณด้านการทหารแม้จะเป็นเรื่องจำเป็น
แต่เป็นงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ใส่ลงไปเท่าไร ก็ไม่มีผลทางเศรษฐกิจงอกเงย
ดังนั้น หากรัฐบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน และทำให้ไฟใต้สงบลง
รัฐบาลจะได้มีงบประมาณไปใช้ในกิจการอื่นเพื่อก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น
เรื่องแบบนี้คุณอภิสิทธิ์ควรจะ "คิดนอกกฎ-บริหารนอกกรอบ" บ้าง
ไม่ใช่มัวแต่ "คิดนอกกรอบ" เรื่อง "ชั่งกิโลไข่ไก่"
หรือเป็นวิธีคิดใหม่ทางการบริหาร
สร้าง "รอยยิ้ม" ให้กับคนไทย
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน )
รู้สึกไหมครับว่า เรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศและความมั่นคง
ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ไม่ได้ว่าคุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีฝีมือ
เพียงแต่สงสัยว่าทำไมตั้งแต่ "อภิสิทธิ์" แต่งตั้ง "กษิต" ดูแลเรื่องต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านจึงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือพม่า
ด่านชายแดนที่เคยเป็นประตูระหว่างเพื่อนบ้านก็อยู่ในสภาพลักปิดลักเปิดเป็นประจำ
ทั้งที่ชายแดนของไทยติดกับ "พม่า" และ "กัมพูชา" ประมาณ 70-80% ของทั้งหมด
"คนฉลาด" เขาต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
การวัดผลงานตามหลักการบริหาร เขาไม่ได้วัดว่าได้ไปประชุมร่วมกันกี่ครั้ง จับมือกันกี่หน
แต่เขาวัดกันที่ "ผลงาน" ครับ
คุณอภิสิทธิ์กล้าบอกไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาและพม่าในยุค "กษิต" นั้นดีกว่าในอดีต
ยกหูคุยกันได้
เป็นเพื่อนที่พอเกิดเหตุไม่พอใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่ละคนไม่ติดใจกัน
หรือมีอะไรดีๆ ก็บอกเพื่อน ชวนเพื่อนไปลงทุน
กรณี 7 คนไทย คือคำตอบที่ดีที่สุด
"ผล" ที่แสดงออกมาเป็นคำตอบว่าการบริหารงานของรัฐบาลนั้นเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกับเรื่อง "3 จังหวัดชายแดนใต้"
การบุกถล่มค่ายทหารเมื่อ 2-3 วันก่อน เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการต่อสู้ได้ยกระดับขึ้นแล้ว
ใครที่บอกว่าสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ดีขึ้น
คนนั้นละเมอ!!!
เพิ่งเห็นตัวงบประมาณด้านการทหารที่รัฐบาลไทยใส่เข้าไป 1.4 แสนล้านบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงเวลาประมาณ 8 ปี
จากปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2554 รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ตั้งงบฯสำหรับดับไฟใต้ 19,102 ล้านบาท
สูงขึ้นเกือบ 50%
ตามหลักการบริหาร รัฐบาลใส่ "คน" และ "งบประมาณ" มากขึ้นทุกปี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงกว่าเดิม
ถ้าคนเป็นนักบริหาร เขาจะตั้งคำถามว่า 1.ตัวผู้บริหารทำงานเป็นหรือเปล่า 2.ใช้คนทำงานถูกต้องหรือเปล่า
หรือ 3.ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาของเราถูกต้องหรือไม่
ทำแบบเดิมๆ มา 8 ปี ใส่เงินและคนเข้าไปมโหฬาร แต่ "ผล" ที่ออกมากลับแย่ลงกว่าเดิม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงานใหม่
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ งบประมาณด้านการทหารแม้จะเป็นเรื่องจำเป็น
แต่เป็นงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ใส่ลงไปเท่าไร ก็ไม่มีผลทางเศรษฐกิจงอกเงย
ดังนั้น หากรัฐบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน และทำให้ไฟใต้สงบลง
รัฐบาลจะได้มีงบประมาณไปใช้ในกิจการอื่นเพื่อก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น
เรื่องแบบนี้คุณอภิสิทธิ์ควรจะ "คิดนอกกฎ-บริหารนอกกรอบ" บ้าง
ไม่ใช่มัวแต่ "คิดนอกกรอบ" เรื่อง "ชั่งกิโลไข่ไก่"
หรือเป็นวิธีคิดใหม่ทางการบริหาร
สร้าง "รอยยิ้ม" ให้กับคนไทย
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน )
เศรษฐศาสตร์แห่งความเป็นมนุษย์ (Economics of Human Being): กรณีศึกษา คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์
ความยากไร้ของเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข GDP หรือสัมประสิทธิ์การกระจายรายได้ หากทว่าเกิดจากการตกอยู่ใต้วาทกรรมครอบงำของวิชาเศรษฐศาสตร์อเมริกัน ที่ลดทอนชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เหลือเพียง “วัตถุและกลไกตลาด” ที่เย็นชืดแห้งแล้ง
หากทว่า เศรษฐศาสตร์ที่มั่งคั่งรุ่มรวยด้วยชีวิตและวัฒนธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ กลับเจริญงอกงามในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในสำนัก Annales School ที่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการครอบงำของทฤษฎีวันเดือนปีและการเมืองแห่งวีรบุรุษ เพื่อเข้าสู่การค้นพบปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งเป็นกลไกแท้จริงในการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ให้รุดหน้าไป
โดยเฉพาะ Fernand Braudel นักประวัติศาสตร์ผู้หลงใหลในการศึกษาต้นกำเนิดของระบบทุนนิยมโลก (Capitalism) ที่เศรษฐกิจแบบตลาดและการแข่งขันเสรีเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น หากทว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละชีวิตประจำวันของแต่ละท้องถิ่น (Structure of Everyday Life) กลับมีความสำคัญในการชี้ขาดถึงความสำเร็จและล้มเหลวของการพัฒนาทุนนิยมและกลไกตลาดในแต่ละประเทศ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ชนชั้นนำ” ทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม ไม่เคยเล่นตามกติกาของการแข่งขันเสรี หากทว่ามากล้นไปด้วยการผูกขาดขูดรีดและต่อสู้แย่งชิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งรักโลภโกรธหลงอย่างถึงแก่นเป็นที่สุด
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่แนวทางการวิเคราะห์ระบบทุนนิยมของ Braudel ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือหรือแม้แต่สนใจจากแวดวงเศรษฐศาสตร์ไทย จึงทำให้เศรษฐกิจและภูมิปัญญาไม่อาจเข้าถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ตามที่ควรจะเป็น
นับเป็นโชคดีที่ปัญญาชนไทย 2 ท่านได้ยืนหยัดที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการวิเคราะห์สังคมตามทฤษฎีของ Braudel โดยหนึ่งในนั้นคือ คุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ นักคิดผู้อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทยนับไม่ถ้วน ส่วนอีกท่านคือ รศ.ดร. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่เนรมิตผลงานทางวิชาการเพื่ออธิบายความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทยได้อย่างลึกซึ้งคมคาย โดยที่กาลเวลาจะพิสูจน์ถึงคุณูปการของผลงานเหล่านั้น
18 มกราคม 2554 นับเป็นห้วงยามทางภูมิปัญญาที่น่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักคิดทั้งสองท่านได้มีโอกาสสนทนากันยาวนานถึง 7 ชั่วโมง โดยมีทีมงาน SIU และผู้คนอีกจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
เนื้อหาและความสนุกสุขสมของการปะทะสังสรรค์ทางภูมิปัญญาครั้งนี้ มีความสลับซับซ้อนและแตกแขนงเชื่อมโยงไปมากมาย จึงเป็นการยากที่จะนำเสนอในรูปของบทความอย่างเป็นระบบระเบียบ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความรู้สึกประทับใจบางประการกับบุคลิกภาพและชีวทัศน์ของคุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ จึงปรารถนาที่จะนำบางส่วนเสี้ยวที่ได้สัมผัสรับรู้มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมดื่มด่ำในการสนทนาที่ยาวนานนี้ (Longue durée)
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโหยกระหายสุดยอดแห่งความคิด แต่น้อยคนนักจะสืบค้นไปถึงที่มาที่ไปของกระบวนการสร้างสรรค์ทางความคิด ซึ่งอาจสรุปอย่างย่นย่อได้ว่า คือ การแลกเปลี่ยนบทสนทนากับสรรพชีวิตที่หลากหลายและแตกต่างจากตัวเรา
ปัญญาญาณของพันศักดิ์จึงไม่ได้เริ่มต้นด้วย “ความคิด” จากภายในมันสมองเพียงอย่างเดียว หากทว่าได้อุทิศชีวิตวัยหนุ่มไว้กับความกระหายใคร่รู้ (Excitement of Life) ในการแลกเปลี่ยนหยิบยืมจากผองเพื่อนมนุษย์ผู้มาจากหลากหลายซอกหลืบเผ่าพันธุ์ ตั้งแต่กรุงลอนดอนแหล่งปะทะสังสรรค์ของเหล่าปัญญาชนกบฎ ไปจนกระทั่งถึงปัญญาชนสยามในนามของหนังสือพิมพ์จตุรัส
ความคิดอิสระและเปิดกว้างของพันศักดิ์จากการได้พบปะผู้คนในทุกอารยธรรม ได้กลับมาเป็นผลร้ายทิ่มแทงให้ต้องติดคุกคุมขังในห้วงวิกฤตบ้านเมือง แต่ก็เพราะสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว้างไกลอีกเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คณะฑูตสวีเดนได้ขับรถเก๋งคันหรูมากดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวเพื่อนที่น่ารักคนนี้โดยพลัน
การเดินทางลับเข้าเจรจากับรัฐบาลเวียดนาม การเข้าพบภรรยาของโจวเอินไหลแห่งพรรคคอมมิวสต์จีน การได้ฟังเสียงตบโต๊ะของฮุนเซนที่แสดงถึงไหวพริบทางการเมืองและความใจกว้างแบบชนชั้นนักเลงเก่า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่หล่อหลอมให้พันศักดิ์มีจิตใจและภูมิปัญญาแบบสากลที่ผสมควบรวมทั้งสายลมตะวันออกและภูผาตะวันตก
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าที่ลือลั่น จึงไม่ควรถูกพิจารณาเพียงผิวเผินว่าเป็นชัยชนะของเศรษฐกิจที่มีเหนือการเมืองแบบที่นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ไว้ หากทว่ายังต้องเข้าใจถึงการเจรจาต่อรองที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญเยี่ยงสายลับและสายสัมพันธ์ละเอียดอ่อนแห่งความเป็นมนุษย์ที่ข้ามไร้พรมแดนและอุดมการณ์ทางการเมือง
ความอับจนทางความคิดของนักออกแบบ ย่อมมีที่มาจากการหมกมุ่นในความคิดที่อยู่ในหัว แทนที่จะก้าวเดินออกมาสูดรับอากาศที่บริสุทธิ์จากความหลากหลายของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะเมื่อสายสัมพันธ์ทางสังคมเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรสนิยมและความชื่นชอบของผู้คนในการเสพรับสินค้าและบริการ
“ผี” นิทรรศการแห่งความคิดสร้างสรรค์ของ TCDC ย่อมสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยมิพักต้องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ทางอภิปรัชญาของชีวิตหลังความตายแต่ประการใด
อัจฉริยภาพของพันศักดิ์กลับไม่ได้อยู่ที่การคิดค้นปลุกเสกนิทรรศการ “ผี” ขึ้นมาจากความว่างเปล่า หากทว่าเกิดแต่การหยิบยืมและต่อยอดจากนิทรรศการเรื่อง “โลงศพของมนุษยชาติ” ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนถึงศิลปะแห่งการสานสัมพันธ์กับเครือข่ายภูมิปัญญาทั่วทุกมุมโลก ทำให้พันศักดิ์สามารถผลิตทดลองความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลุ่มลึกไปด้วยคุณภาพและปริมาณ โดยไม่ต้องสูญเสียเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่คนอื่นได้เริ่มต้นไว้แล้ว
หากประเมินจาก “ตัวเลข” ในบัญชีธนาคาร (Money) พันศักดิ์อาจไม่ติดอันดับแม้แต่ 1 ใน 1000 ของเศรษฐีไทย แต่สำหรับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทองเพื่อเสพรับความสุขและพึงพอใจ (Utility) พันศักดิ์ย่อมไม่เป็นสองรองใคร
“จักรยาน” คันละ 200000 แสนบาทของพันศักดิ์ ย่อมนับว่าแพงมหาโหดเมื่อเทียบกับจักรยานธรรมดาทั่วไป แต่เนื่องจากพันศักดิ์เข้าใจอย่างละเอียดยิบถึงองค์ประกอบและรูปแบบทางศิลปะของจักรยานพิเศษคันนี้ (Story) จึงทำให้ความสุขที่ได้จากการขี่จักรยานมีมากกว่าเพียงความพึงพอใจทางกายภาพ หากทว่าเป็นความดื่มด่ำทางใจที่ได้รับจากเรื่องเล่าและตำนาน
เครื่องเสียงชั้นเลิศจากยุโรปตะวันออกของพันศักดิ์ ย่อมไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินให้แต่เฉพาะโสตสัมผัส หากทว่าพรั่งพร้อมด้วยเก้าอี้เอนหลังที่สร้างความสุขแห่งกายสัมผัส ที่สำคัญยังมีการจัดวางตำแหน่งให้สมดุลสอดรับกับองค์ประกอบส่วนอื่นภายในบ้าน จึงช่วยเพิ่มสุนทรียะทางสายตาให้ลึกล้ำโดดเด่นยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า วัตถุแห่งชีวิตของพันศักดิ์ (Material of Life) ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหาซื้อมาได้ง่ายดายนัก แต่สำหรับมหาเศรษฐีที่สามารถสรรหาซื้อทุกอย่างได้สูงส่งยิ่งกว่าพันศักดิ์ ก็ไม่แน่ว่าจะเสพรับสุนทรียะของชีวิตได้ดีทัดเทียมกัน เนื่องจากความยากไร้ทางปัญญา (Intellectual Life) ที่จะเติมเต็มเรื่องเล่าให้กับวัสดุแพงหรูที่ฉวยคว้ามา
สุดท้ายแล้ว ความสุขของพันศักดิ์ยังไม่ถูกจองจำเข้าไว้กับโลกทางวัตถุ หากทว่ายังมีภารกิจทางปัญญาให้ค้นคว้าและเติมเต็มไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเครือข่ายของผู้คนจากทุกมุมโลกที่สานสัมพันธ์ไว้อย่างดีในวัยหนุ่มนั้นได้ย้อนกลับมาตอบแทนทางสุนทรียะให้กับวัยชราได้กัดกินผลไม้แห่งความตื่นรู้ได้อย่างเอร็ดอร่อยยิ่ง
ที่มา.http://www.siamintelligence.com/human-being/
หากทว่า เศรษฐศาสตร์ที่มั่งคั่งรุ่มรวยด้วยชีวิตและวัฒนธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ กลับเจริญงอกงามในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในสำนัก Annales School ที่สามารถสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการครอบงำของทฤษฎีวันเดือนปีและการเมืองแห่งวีรบุรุษ เพื่อเข้าสู่การค้นพบปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ซับซ้อนหลากหลาย ซึ่งเป็นกลไกแท้จริงในการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ให้รุดหน้าไป
โดยเฉพาะ Fernand Braudel นักประวัติศาสตร์ผู้หลงใหลในการศึกษาต้นกำเนิดของระบบทุนนิยมโลก (Capitalism) ที่เศรษฐกิจแบบตลาดและการแข่งขันเสรีเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น หากทว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละชีวิตประจำวันของแต่ละท้องถิ่น (Structure of Everyday Life) กลับมีความสำคัญในการชี้ขาดถึงความสำเร็จและล้มเหลวของการพัฒนาทุนนิยมและกลไกตลาดในแต่ละประเทศ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ชนชั้นนำ” ทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม ไม่เคยเล่นตามกติกาของการแข่งขันเสรี หากทว่ามากล้นไปด้วยการผูกขาดขูดรีดและต่อสู้แย่งชิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งรักโลภโกรธหลงอย่างถึงแก่นเป็นที่สุด
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่แนวทางการวิเคราะห์ระบบทุนนิยมของ Braudel ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือหรือแม้แต่สนใจจากแวดวงเศรษฐศาสตร์ไทย จึงทำให้เศรษฐกิจและภูมิปัญญาไม่อาจเข้าถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ตามที่ควรจะเป็น
นับเป็นโชคดีที่ปัญญาชนไทย 2 ท่านได้ยืนหยัดที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการวิเคราะห์สังคมตามทฤษฎีของ Braudel โดยหนึ่งในนั้นคือ คุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ นักคิดผู้อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทยนับไม่ถ้วน ส่วนอีกท่านคือ รศ.ดร. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่เนรมิตผลงานทางวิชาการเพื่ออธิบายความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทยได้อย่างลึกซึ้งคมคาย โดยที่กาลเวลาจะพิสูจน์ถึงคุณูปการของผลงานเหล่านั้น
18 มกราคม 2554 นับเป็นห้วงยามทางภูมิปัญญาที่น่าตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักคิดทั้งสองท่านได้มีโอกาสสนทนากันยาวนานถึง 7 ชั่วโมง โดยมีทีมงาน SIU และผู้คนอีกจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
เนื้อหาและความสนุกสุขสมของการปะทะสังสรรค์ทางภูมิปัญญาครั้งนี้ มีความสลับซับซ้อนและแตกแขนงเชื่อมโยงไปมากมาย จึงเป็นการยากที่จะนำเสนอในรูปของบทความอย่างเป็นระบบระเบียบ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความรู้สึกประทับใจบางประการกับบุคลิกภาพและชีวทัศน์ของคุณพันศักดิ์ วิญญูรัตน์ จึงปรารถนาที่จะนำบางส่วนเสี้ยวที่ได้สัมผัสรับรู้มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมดื่มด่ำในการสนทนาที่ยาวนานนี้ (Longue durée)
1. ศิลปะแห่งสายสัมพันธ์ที่หลากหลายรุ่มรวย (Connecting the dots)“อัจฉริยะ คือ ผู้ที่ชาญฉลาดในการหยิบยืมความคิดที่ดีที่สุดจากสรรพสิ่งรอบกาย”
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโหยกระหายสุดยอดแห่งความคิด แต่น้อยคนนักจะสืบค้นไปถึงที่มาที่ไปของกระบวนการสร้างสรรค์ทางความคิด ซึ่งอาจสรุปอย่างย่นย่อได้ว่า คือ การแลกเปลี่ยนบทสนทนากับสรรพชีวิตที่หลากหลายและแตกต่างจากตัวเรา
ปัญญาญาณของพันศักดิ์จึงไม่ได้เริ่มต้นด้วย “ความคิด” จากภายในมันสมองเพียงอย่างเดียว หากทว่าได้อุทิศชีวิตวัยหนุ่มไว้กับความกระหายใคร่รู้ (Excitement of Life) ในการแลกเปลี่ยนหยิบยืมจากผองเพื่อนมนุษย์ผู้มาจากหลากหลายซอกหลืบเผ่าพันธุ์ ตั้งแต่กรุงลอนดอนแหล่งปะทะสังสรรค์ของเหล่าปัญญาชนกบฎ ไปจนกระทั่งถึงปัญญาชนสยามในนามของหนังสือพิมพ์จตุรัส
ความคิดอิสระและเปิดกว้างของพันศักดิ์จากการได้พบปะผู้คนในทุกอารยธรรม ได้กลับมาเป็นผลร้ายทิ่มแทงให้ต้องติดคุกคุมขังในห้วงวิกฤตบ้านเมือง แต่ก็เพราะสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว้างไกลอีกเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คณะฑูตสวีเดนได้ขับรถเก๋งคันหรูมากดดันรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวเพื่อนที่น่ารักคนนี้โดยพลัน
การเดินทางลับเข้าเจรจากับรัฐบาลเวียดนาม การเข้าพบภรรยาของโจวเอินไหลแห่งพรรคคอมมิวสต์จีน การได้ฟังเสียงตบโต๊ะของฮุนเซนที่แสดงถึงไหวพริบทางการเมืองและความใจกว้างแบบชนชั้นนักเลงเก่า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่หล่อหลอมให้พันศักดิ์มีจิตใจและภูมิปัญญาแบบสากลที่ผสมควบรวมทั้งสายลมตะวันออกและภูผาตะวันตก
นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าที่ลือลั่น จึงไม่ควรถูกพิจารณาเพียงผิวเผินว่าเป็นชัยชนะของเศรษฐกิจที่มีเหนือการเมืองแบบที่นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ไว้ หากทว่ายังต้องเข้าใจถึงการเจรจาต่อรองที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญเยี่ยงสายลับและสายสัมพันธ์ละเอียดอ่อนแห่งความเป็นมนุษย์ที่ข้ามไร้พรมแดนและอุดมการณ์ทางการเมือง
2. สังคมวิทยาแห่งการออกแบบ (Sociology of Design)เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) นับเป็นคำสวยหรูที่อาจทำให้ประเทศไทยวางแผนการพัฒนาอย่างผิดพลาดได้ โดยเฉพาะเมื่อความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ (Economy) ของคนส่วนใหญ่ ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดที่คำว่า “กลไกตลาด”
ความอับจนทางความคิดของนักออกแบบ ย่อมมีที่มาจากการหมกมุ่นในความคิดที่อยู่ในหัว แทนที่จะก้าวเดินออกมาสูดรับอากาศที่บริสุทธิ์จากความหลากหลายของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะเมื่อสายสัมพันธ์ทางสังคมเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรสนิยมและความชื่นชอบของผู้คนในการเสพรับสินค้าและบริการ
“ผี” นิทรรศการแห่งความคิดสร้างสรรค์ของ TCDC ย่อมสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยมิพักต้องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ทางอภิปรัชญาของชีวิตหลังความตายแต่ประการใด
อัจฉริยภาพของพันศักดิ์กลับไม่ได้อยู่ที่การคิดค้นปลุกเสกนิทรรศการ “ผี” ขึ้นมาจากความว่างเปล่า หากทว่าเกิดแต่การหยิบยืมและต่อยอดจากนิทรรศการเรื่อง “โลงศพของมนุษยชาติ” ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนถึงศิลปะแห่งการสานสัมพันธ์กับเครือข่ายภูมิปัญญาทั่วทุกมุมโลก ทำให้พันศักดิ์สามารถผลิตทดลองความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างลุ่มลึกไปด้วยคุณภาพและปริมาณ โดยไม่ต้องสูญเสียเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่คนอื่นได้เริ่มต้นไว้แล้ว
3. ชีวิตที่ละเมียดไปด้วยเรื่องเล่า (The Story of Life and Happiness)เศรษฐศาสตร์ไม่เคยปรารถนาที่จะละเลยชีวิต โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของมนุษย์ (Utility) เหนือกว่ามายาแห่งเงินตรา (Money) แต่ด้วยความทะเยะทะยานที่จะผลักดันสาขาวิชาให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ จึงต้องพยายามทำให้ทุกตัวแปรที่เกี่ยวข้องสามารถวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ Utility ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของเศรษฐศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งสิ่งที่วัดได้และวัดไม่ได้ จึงถูกลดทอนให้เหลือแต่เพียงสสารวัตถุที่เย็นชืดจับต้องได้เท่านั้น
หากประเมินจาก “ตัวเลข” ในบัญชีธนาคาร (Money) พันศักดิ์อาจไม่ติดอันดับแม้แต่ 1 ใน 1000 ของเศรษฐีไทย แต่สำหรับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินทองเพื่อเสพรับความสุขและพึงพอใจ (Utility) พันศักดิ์ย่อมไม่เป็นสองรองใคร
“จักรยาน” คันละ 200000 แสนบาทของพันศักดิ์ ย่อมนับว่าแพงมหาโหดเมื่อเทียบกับจักรยานธรรมดาทั่วไป แต่เนื่องจากพันศักดิ์เข้าใจอย่างละเอียดยิบถึงองค์ประกอบและรูปแบบทางศิลปะของจักรยานพิเศษคันนี้ (Story) จึงทำให้ความสุขที่ได้จากการขี่จักรยานมีมากกว่าเพียงความพึงพอใจทางกายภาพ หากทว่าเป็นความดื่มด่ำทางใจที่ได้รับจากเรื่องเล่าและตำนาน
เครื่องเสียงชั้นเลิศจากยุโรปตะวันออกของพันศักดิ์ ย่อมไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินให้แต่เฉพาะโสตสัมผัส หากทว่าพรั่งพร้อมด้วยเก้าอี้เอนหลังที่สร้างความสุขแห่งกายสัมผัส ที่สำคัญยังมีการจัดวางตำแหน่งให้สมดุลสอดรับกับองค์ประกอบส่วนอื่นภายในบ้าน จึงช่วยเพิ่มสุนทรียะทางสายตาให้ลึกล้ำโดดเด่นยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า วัตถุแห่งชีวิตของพันศักดิ์ (Material of Life) ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหาซื้อมาได้ง่ายดายนัก แต่สำหรับมหาเศรษฐีที่สามารถสรรหาซื้อทุกอย่างได้สูงส่งยิ่งกว่าพันศักดิ์ ก็ไม่แน่ว่าจะเสพรับสุนทรียะของชีวิตได้ดีทัดเทียมกัน เนื่องจากความยากไร้ทางปัญญา (Intellectual Life) ที่จะเติมเต็มเรื่องเล่าให้กับวัสดุแพงหรูที่ฉวยคว้ามา
สุดท้ายแล้ว ความสุขของพันศักดิ์ยังไม่ถูกจองจำเข้าไว้กับโลกทางวัตถุ หากทว่ายังมีภารกิจทางปัญญาให้ค้นคว้าและเติมเต็มไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเครือข่ายของผู้คนจากทุกมุมโลกที่สานสัมพันธ์ไว้อย่างดีในวัยหนุ่มนั้นได้ย้อนกลับมาตอบแทนทางสุนทรียะให้กับวัยชราได้กัดกินผลไม้แห่งความตื่นรู้ได้อย่างเอร็ดอร่อยยิ่ง
ที่มา.http://www.siamintelligence.com/human-being/
ทหารคนสนิท เผย นาทีระทึกผบ.ร้อย ร.15121 พลีชีพ
นายธนน เวชกรกานนท์ ผวจ.นราธิวาส เดินทางมาที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เขตเทศบา ลเมืองนราธิวาส เพื่อมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่ทหาร ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคนร้า ยบุกปล้นคลังแสงฐานปฏิบัติการทหาร ร้อย ร.15121
โดยนายแพทย์วิรุฬ พรพัฒนกุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสรา ชนครินทร์ กล่าวรายงานว่า ทหารบาดเจ็บมารักษาอาการในโรงพยาบาลจำนวน 6 นาย ทหาร คือ จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ, ส.อ.สุพล ชูศรี, พลฯ ธันวา ยอดแก้ว, พลฯ อารีฟูดิน การี, ส.อ.ณัฐกิจ โพธิ์จันทร์ และ จ.ส.อ.สุคนธ์ สะมะบุ
ล่าสุดอาการของทหาร 4 นาย ปลอดภัยแล้ว ยกเว้น พลฯ ธันวา และ ส.อ.สุพล ซึ่งถูกกระสุนปืนที่หน้าอกอาการสาหัสมาก ยังอยู่ในห้อง ไอซียู และเมื่อเช้าวันนี้ ได้ส่ง พลฯ ธันวา ไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าเยี่ยมอาการ พลฯ สุคน สะมะบุ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นายธนน ผวจ.นราธิ วาส ฟังว่า ในคืนเกิดเหตุ ตนทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในบังเกอร์ริมถนนด้านหน้าของฐานปฏิบัติการ ขณะบุกโจมตีนั้น คนร้ายได้ใช้ระเบิดขว้างเข้าใส่ก่อน 5-6 ลูก ตนถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาล้มฟุบลง
"ช่วงนั้นแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้ารอบฐานปฏิบัติการดับพรึบลง จากนั้นได้ยินเสียงปืนที่คนร้ายยิงมาดังตูมๆ เพื่อกดดันไม่ให้ตนและเพื่อนทหารที่เข้าเวรยามอยู่ประมาณ 10 นาย ได้โงหัวขึ้นยิงตอบโต้ ตนและเพื่อนได้พยายามยิงต่อสู้กับคนร้าย แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันมืดไปหมด เห็นแต่แสงไฟจากปากกระบอกปืนของคนร้ายเป็นวูบๆ เหมือนกับแสงไฟจากแฟ๊ช จากกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ตนและเพื่อนได้ยิงตอบโต้ไปจนกระสุนปืนหมดแม็กกาซีนเลย"
ในขณะที่จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งจัดการเอกสารต่างๆ กับ ร.อ.กฤช ผบ.ร้อย ร.15121 กันอยู่ในอาคารน๊อกดาวน์หลังหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงานนั้น ไฟฟ้าจากหลอดนีออนในห้องดับพรึบลง จากนั้นมีกระสุนปืนพุ่งเข้าใส่อาคารน๊อคดาวน์มาจากทุกทิศทาง จนเป็นรูพรุนไปหมด โดยเฉพาะที่ประตูทางออกของอาคารน๊อคดาวน์ มีกระสุนปืนยิงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่สามา รถวิ่งฝ่าออกไปได้ เมื่อเห็นดังนั้น ร.อ.กฤช จึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง
"ขณะที่ ร.อ.กฤช กำลังกระโดดพุ่งลอยตัว เพื่อหนีออกทางหน้าต่างนั้น คนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ใต้ต้นลองกองกราดยิงปืนเข้าใส่นับร้อยนัด จนที่หน้าออก และลำตัวของ ร.อ.กฤช เป็นรูพรุนไปหมด ร่วงหล่นตุบลงมากองกับพื้นเสียชี วิตในทันที ส่วนผมได้กระโดดตามออกมาจึงถูกกระสุนปืนทีข้อเท้าข้างขวา ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว"
นอกจากนี้ จ.ส.อ.จินตนะ ยังบอกอีกว่า ขณะเกิดเหตุมีทหารอยู่ในฐานปฏิบัติการประมาณ 40 นาย แต่อยู่กระจัดกระจายกันอยู่กันคนละจุด และว่าหลังจากกระแสไฟฟ้าดับแล้ว บรรยากาศรอบข้างมืดไปหมด ไม่เห็นคนร้าย ทหารได้พยายามยิงตอบโต้คนร้าย ด้วยการสังเกตจากแสงไฟแวบๆ จากปลายปากกระบอกปืนที่คนร้ายยิงมาเท่านั้น
ที่มา.เนชั่น
โดยนายแพทย์วิรุฬ พรพัฒนกุล ผอ.โรงพยาบาลนราธิวาสรา ชนครินทร์ กล่าวรายงานว่า ทหารบาดเจ็บมารักษาอาการในโรงพยาบาลจำนวน 6 นาย ทหาร คือ จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ, ส.อ.สุพล ชูศรี, พลฯ ธันวา ยอดแก้ว, พลฯ อารีฟูดิน การี, ส.อ.ณัฐกิจ โพธิ์จันทร์ และ จ.ส.อ.สุคนธ์ สะมะบุ
ล่าสุดอาการของทหาร 4 นาย ปลอดภัยแล้ว ยกเว้น พลฯ ธันวา และ ส.อ.สุพล ซึ่งถูกกระสุนปืนที่หน้าอกอาการสาหัสมาก ยังอยู่ในห้อง ไอซียู และเมื่อเช้าวันนี้ ได้ส่ง พลฯ ธันวา ไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเข้าเยี่ยมอาการ พลฯ สุคน สะมะบุ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ นายธนน ผวจ.นราธิ วาส ฟังว่า ในคืนเกิดเหตุ ตนทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในบังเกอร์ริมถนนด้านหน้าของฐานปฏิบัติการ ขณะบุกโจมตีนั้น คนร้ายได้ใช้ระเบิดขว้างเข้าใส่ก่อน 5-6 ลูก ตนถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาล้มฟุบลง
"ช่วงนั้นแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้ารอบฐานปฏิบัติการดับพรึบลง จากนั้นได้ยินเสียงปืนที่คนร้ายยิงมาดังตูมๆ เพื่อกดดันไม่ให้ตนและเพื่อนทหารที่เข้าเวรยามอยู่ประมาณ 10 นาย ได้โงหัวขึ้นยิงตอบโต้ ตนและเพื่อนได้พยายามยิงต่อสู้กับคนร้าย แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมันมืดไปหมด เห็นแต่แสงไฟจากปากกระบอกปืนของคนร้ายเป็นวูบๆ เหมือนกับแสงไฟจากแฟ๊ช จากกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ตนและเพื่อนได้ยิงตอบโต้ไปจนกระสุนปืนหมดแม็กกาซีนเลย"
ในขณะที่จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งจัดการเอกสารต่างๆ กับ ร.อ.กฤช ผบ.ร้อย ร.15121 กันอยู่ในอาคารน๊อกดาวน์หลังหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงานนั้น ไฟฟ้าจากหลอดนีออนในห้องดับพรึบลง จากนั้นมีกระสุนปืนพุ่งเข้าใส่อาคารน๊อคดาวน์มาจากทุกทิศทาง จนเป็นรูพรุนไปหมด โดยเฉพาะที่ประตูทางออกของอาคารน๊อคดาวน์ มีกระสุนปืนยิงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่สามา รถวิ่งฝ่าออกไปได้ เมื่อเห็นดังนั้น ร.อ.กฤช จึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง
"ขณะที่ ร.อ.กฤช กำลังกระโดดพุ่งลอยตัว เพื่อหนีออกทางหน้าต่างนั้น คนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ใต้ต้นลองกองกราดยิงปืนเข้าใส่นับร้อยนัด จนที่หน้าออก และลำตัวของ ร.อ.กฤช เป็นรูพรุนไปหมด ร่วงหล่นตุบลงมากองกับพื้นเสียชี วิตในทันที ส่วนผมได้กระโดดตามออกมาจึงถูกกระสุนปืนทีข้อเท้าข้างขวา ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว"
นอกจากนี้ จ.ส.อ.จินตนะ ยังบอกอีกว่า ขณะเกิดเหตุมีทหารอยู่ในฐานปฏิบัติการประมาณ 40 นาย แต่อยู่กระจัดกระจายกันอยู่กันคนละจุด และว่าหลังจากกระแสไฟฟ้าดับแล้ว บรรยากาศรอบข้างมืดไปหมด ไม่เห็นคนร้าย ทหารได้พยายามยิงตอบโต้คนร้าย ด้วยการสังเกตจากแสงไฟแวบๆ จากปลายปากกระบอกปืนที่คนร้ายยิงมาเท่านั้น
ที่มา.เนชั่น
ย้ายเมืองหลวง "หนีน้ำท่วม" ปักหลักที่มั่นใหม่จาก "นครนายก" สู่ "อีสานใต้"
"มหานครกรุงเทพ" เมืองหลวงประเทศไทย อายุปาเข้าไปกว่า 200 ปี มี 4 องค์กรข้ามชาติจัดทำผลศึกษาบ่งชี้ภูมิศาสตร์ ที่เป็น "ปัจจัยลบ" ของที่ตั้งเมือง ประกอบด้วย องค์การ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) และธนาคารโลก
ครอบคลุมประเด็นที่ "กรุงเทพฯ" ติดโผ 20 เมืองใหญ่เสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมและการพังทลายของชายฝั่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มีพลเมือง 10 ล้านคนและอยู่ติดชายฝั่งทะเล มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หากไม่มีแผนป้องกันแก้ไขที่ดีพอ คำนวณมูลค่าความเสียหายอาจมากถึง 2-6% ของจีดีพี ในปี 2593 หรือ 39 ปีข้างหน้า
ขณะที่นักวิชาการไทยหัวใจอินเตอร์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" นักวิทยาศาสตร์ แนะนำเป็นคนแรก ๆ ว่า กรุงเทพฯเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ในอนาคตจะอยู่ใต้น้ำ จากนี้ไม่เกิน 10 ปีจะเห็นชัดควรเตรียมพร้อมเรื่องการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะสม
นักวิชาการไทยแนะ "ย้ายเมืองหลวง"
ก่อนหน้านี้ประเด็น "การย้ายเมืองหลวง" พูดกันมาหลายรัฐบาล ย้อนตำนานไปเจอจุดเริ่มต้นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2486 "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" มีแนวคิดย้าย เมืองหลวงไปตั้งที่ "เพชรบูรณ์" ต่อมารัฐบาล "บิ๊กจิ๋ว" พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยมีแนวคิดให้ย้ายไปที่ "เขาตะเกียบ" จ.ฉะเชิงเทรา ยุคที่ "สมัคร สุนทรเวช" ยังเป็นเพียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อยากให้ย้ายไปที่ จ.นครปฐม หรือแม้แต่ช่วง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะสร้างเมืองหลวงใหม่ที่ จ.นครนายก
แม้กาลเวลาจะผ่านเลยกี่สิบกี่ร้อยปี แต่ "การย้ายเมืองหลวง" ยังเป็นประเด็นที่คงอยู่ เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีก 10 ปี 20 ปี 40 ปี และ 100 ปีข้างหน้า เสียงสะท้อนที่ดังจากวงนักวิชาการเมืองไทย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรฟัง โดย "ดร.อาจอง" แนะจุดเหมาะสมสั้น ๆ ว่าเป็น "โซนอีสานใต้"
ขณะที่ "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" ผู้อำนวยการ ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กล่าวสอดคล้องกันว่า ทุกปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯบางส่วนอยู่แล้ว แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย อีก 20 ปีกรุงเทพฯจะเจอกับน้ำท่วมเหมือนอยู่ใต้ทะเลเพราะเป็นที่ลุ่มต่ำ ทุกปีมีหลายพื้นที่ที่ดินจะทรุดตัว 2-4 เซนติเมตร เช่น ดอนเมือง
"แนวคิดย้ายเมืองหลวงเป็นสิ่งดีถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้น ในเชิงคอนเซ็ปต์เมืองหลวงต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ย้ายบางกิจกรรมที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ศูนย์ราชการ ภาคบริการ การศึกษา การกีฬา อุตสาหกรรม ไปจังหวัดอื่น เช่น สระบุรี จังหวัดทางฝั่งตะวันออก เพราะกรุงเทพฯตอนนี้หนาแน่น มีคนอยู่ 10 ล้านคน และมีการก่อสร้างมากทุกพื้นที่"
ฟาก "พิจิตต รัตตกุล" ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่าฯ กทม.เห็นด้วยว่า ต้องนำความเจริญของกรุงเทพฯด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กระจายไป หัวเมืองอื่นในแถบปริมณฑล เช่น โคราช สุพรรณบุรี สระบุรี
"เชื่อว่าเหตุการณ์น้ำท่วม กทม.จะแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแผ่นดินทรุด และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งทุกปี ทั้ง 2 สาเหตุนี้ทำให้การระบายน้ำฝนที่ตกใน กทม.ออกสู่ทะเลยากขึ้น"
จัดระเบียบผังเมืองใหม่รับ
การแก้ปัญหาน้ำท่วม นอกจากมาตรการของสำนักการระบายน้ำที่ทำไว้ 4 ปีแล้ว มาตรการผังเมืองมีส่วนสำคัญมาก
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวว่า หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด กรุงเทพฯเริ่มกลับมาทบทวนให้รอบคอบมากขึ้นในการจัดทำผังเมืองรวมฉบับใหม่ทดแทนฉบับเก่าที่จะหมดอายุวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
"กำลังรวบรวมข้อมูลที่ปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ มีแนวคิดจะมีผังสาธารณูปโภคเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน น้ำท่วมใส่เข้าไปในผังเมืองรวมฉบับใหม่ด้วย เพื่อคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ให้ขวางทางน้ำ และจะพิจารณาเพิ่มพื้นที่ รับน้ำบริเวณโซนตะวันออก จากเดิมมีอยู่ 11 แห่ง จะร่วมกับจังหวัดปริมณฑล มีนนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม"
นอกจากนี้ ยังมีการวางผังนโยบายการจัดการระดับลุ่มน้ำ การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนด้วย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ครอบคลุมประเด็นที่ "กรุงเทพฯ" ติดโผ 20 เมืองใหญ่เสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมและการพังทลายของชายฝั่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มีพลเมือง 10 ล้านคนและอยู่ติดชายฝั่งทะเล มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หากไม่มีแผนป้องกันแก้ไขที่ดีพอ คำนวณมูลค่าความเสียหายอาจมากถึง 2-6% ของจีดีพี ในปี 2593 หรือ 39 ปีข้างหน้า
ขณะที่นักวิชาการไทยหัวใจอินเตอร์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" นักวิทยาศาสตร์ แนะนำเป็นคนแรก ๆ ว่า กรุงเทพฯเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ในอนาคตจะอยู่ใต้น้ำ จากนี้ไม่เกิน 10 ปีจะเห็นชัดควรเตรียมพร้อมเรื่องการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะสม
นักวิชาการไทยแนะ "ย้ายเมืองหลวง"
ก่อนหน้านี้ประเด็น "การย้ายเมืองหลวง" พูดกันมาหลายรัฐบาล ย้อนตำนานไปเจอจุดเริ่มต้นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2486 "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" มีแนวคิดย้าย เมืองหลวงไปตั้งที่ "เพชรบูรณ์" ต่อมารัฐบาล "บิ๊กจิ๋ว" พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยมีแนวคิดให้ย้ายไปที่ "เขาตะเกียบ" จ.ฉะเชิงเทรา ยุคที่ "สมัคร สุนทรเวช" ยังเป็นเพียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อยากให้ย้ายไปที่ จ.นครปฐม หรือแม้แต่ช่วง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะสร้างเมืองหลวงใหม่ที่ จ.นครนายก
แม้กาลเวลาจะผ่านเลยกี่สิบกี่ร้อยปี แต่ "การย้ายเมืองหลวง" ยังเป็นประเด็นที่คงอยู่ เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีก 10 ปี 20 ปี 40 ปี และ 100 ปีข้างหน้า เสียงสะท้อนที่ดังจากวงนักวิชาการเมืองไทย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรฟัง โดย "ดร.อาจอง" แนะจุดเหมาะสมสั้น ๆ ว่าเป็น "โซนอีสานใต้"
ขณะที่ "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" ผู้อำนวยการ ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กล่าวสอดคล้องกันว่า ทุกปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯบางส่วนอยู่แล้ว แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย อีก 20 ปีกรุงเทพฯจะเจอกับน้ำท่วมเหมือนอยู่ใต้ทะเลเพราะเป็นที่ลุ่มต่ำ ทุกปีมีหลายพื้นที่ที่ดินจะทรุดตัว 2-4 เซนติเมตร เช่น ดอนเมือง
"แนวคิดย้ายเมืองหลวงเป็นสิ่งดีถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้น ในเชิงคอนเซ็ปต์เมืองหลวงต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ย้ายบางกิจกรรมที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ศูนย์ราชการ ภาคบริการ การศึกษา การกีฬา อุตสาหกรรม ไปจังหวัดอื่น เช่น สระบุรี จังหวัดทางฝั่งตะวันออก เพราะกรุงเทพฯตอนนี้หนาแน่น มีคนอยู่ 10 ล้านคน และมีการก่อสร้างมากทุกพื้นที่"
ฟาก "พิจิตต รัตตกุล" ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่าฯ กทม.เห็นด้วยว่า ต้องนำความเจริญของกรุงเทพฯด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กระจายไป หัวเมืองอื่นในแถบปริมณฑล เช่น โคราช สุพรรณบุรี สระบุรี
"เชื่อว่าเหตุการณ์น้ำท่วม กทม.จะแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแผ่นดินทรุด และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งทุกปี ทั้ง 2 สาเหตุนี้ทำให้การระบายน้ำฝนที่ตกใน กทม.ออกสู่ทะเลยากขึ้น"
จัดระเบียบผังเมืองใหม่รับ
การแก้ปัญหาน้ำท่วม นอกจากมาตรการของสำนักการระบายน้ำที่ทำไว้ 4 ปีแล้ว มาตรการผังเมืองมีส่วนสำคัญมาก
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวว่า หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด กรุงเทพฯเริ่มกลับมาทบทวนให้รอบคอบมากขึ้นในการจัดทำผังเมืองรวมฉบับใหม่ทดแทนฉบับเก่าที่จะหมดอายุวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
"กำลังรวบรวมข้อมูลที่ปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ มีแนวคิดจะมีผังสาธารณูปโภคเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน น้ำท่วมใส่เข้าไปในผังเมืองรวมฉบับใหม่ด้วย เพื่อคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ให้ขวางทางน้ำ และจะพิจารณาเพิ่มพื้นที่ รับน้ำบริเวณโซนตะวันออก จากเดิมมีอยู่ 11 แห่ง จะร่วมกับจังหวัดปริมณฑล มีนนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม"
นอกจากนี้ ยังมีการวางผังนโยบายการจัดการระดับลุ่มน้ำ การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนด้วย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ความจริงบนฝาผนัง
“การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็นน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 295 วันที่ 22-28 มกราคม พ.ศ. 2554
***********************************************************************
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 295 วันที่ 22-28 มกราคม พ.ศ. 2554
***********************************************************************
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554
แฉโจรใต้วางแผนถล่มฐานทหารที่ระแงะ เพื่อปล้นปืนนำไปก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่
นายเดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส พ.ต.ท.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และคณะทีมงานของ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการณ์พระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ช่วงบริเวณบ้านมะรือโบตก ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายยิงถล่มฐาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย คือ 1.ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หน.ฐาน 2.ส.ท.อับดุลเลาะห์ ตาหยี 3.ส.อ.เทวรัตน์ กาวา และ 4.พลฯประวิทย์ ชูกลิ่น และได้รับบาดเจ็บ 13 นาย เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.30 น. ของคืนวันที่ 19 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา เพื่อเดินทางไปเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการตรวจสอบความเสียหาย พบว่า โรงเรือนแบบน็อคดาวและเพิงพักของทหารถูกคนร้ายวางเพลิงได้รับความเสียหาย 4 หลัง รถ จยย. ถูกวางเพลิง 1 คัน โดยเฉพาะที่บริเวณโรงเรือนแบบน็อคดาวที่ได้ดัดแปลงใช้เป็นสถานที่เก็บคลังอาวุธประจำฐาน ถูกกลุ่มคนร้ายงัดประตูและขโมยอาวุธปืนสงครามเอ็ม.16 และอาวุธปืนพกสั้นขนาด 11 ม.ม. ไปจำนวนกว่า 50 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนกว่า 4,000 นัด
นอกจากนี้บริเวณรั้วสนามที่ใช้ทำเป็นกำแพงด้านหลังของฐาน เจ้าหน้าที่พบกลุ่มคนร้ายได้ใช้ไม้กระดานขนาดยาวประมาณแผ่นละ 3 เมตร จำนวนกว่า 10 แผ่น วางพาด เพื่อใช้เป็นสะพานในการวิ่งกรูเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารแบบประชิดตัว และเจ้าหน้าที่สามารถเก็บรวบรวมหลักฐานและชิ้นส่วนของวัตถุระเบิด ซึ่งกลุ่มคนร้ายใช้เป็นอาวุธในการบุกโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบพบหลุมเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม.79 จำนวนกว่า 20 จุด ปลอกกระสุนปืนเอ็ม.16 เอ็ม.60 อา.ก้า. ลูกซอง อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 ม.ม. และ ขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่เกลื่อนบริเวณฐานทหาร รวมทั้งสิ้นกว่า 700 นัด
โดยแหล่งข่าวชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าร่วมตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้ประเมินว่า การปฏิบัติการณ์ของกลุ่มคนร้ายในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 30 คน และมีการวางแผนบุกโจมตีฐานไว้อย่างดี และมีระบบกว่าเหตุคนร้ายบุกปล้นปืนที่กองพันพัฒนา 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มคนร้ายรู้ความเคลื่อนไหวกำลังพล และความเคลื่อนไหวภายในฐาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาการ และอาศัยอยู่น้อย จึงได้มีการบุกโจมตีในช่วงคืนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังที่ปฏิบัติการในครั้งนี้อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ เคยร่วมบุกปล้นปืนด้วย โดยมี นายมะแซ อุเซ็ง เป็นผู้บงการในการรวบรวมอาวุธ เพื่อเตรียมนำมาใช้ก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม ที่จะถึงนี้
ส่วนการติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่อำเภอระแงะ ได้ร่วมสนธิกำลังประมาณ 300 นาย พร้อมสุนัขสงครามดมกลิ่น กระจายกำลังกันโอบล้อมเทือกเขา ซึ่งตั้งอยู่หลังฐาน และเป็นเส้นทางหลบหนีของกลุ่มคนร้าย หลังจากปฏิบัติการถล่มฐานทหารแล้วเสร็จ
ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบร่องรอยเลือดของกลุ่มคนร้ายหยดตามเส้นทางที่มุ่งหน้าขึ้นสู่เทือกเขา ซึ่งห่างจากฐานประมาณ 500 เมตร และคาดว่า กลุ่มคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหลายคน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตามโรงพยาบาล และสถานอนามัย เนื่องจากเกรงว่า กลุ่มคนร้ายจะแฝงตัวปะปนกับชาวบ้านเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บ
ส่วนประวัติโดยย่อของ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หัวหน้าฐานปฏิบัติการณ์พระองค์ดำ เป็นหลานชายของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม เป็น นตท. รุ่น 38 รุ่นเดียวกับ ผู้กองแคน หรือ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข
ที่มา: เรียบเรียงจาก เว็บไซต์สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
'เมียธาริต'ถอนฟ้อง'จตุพร'หมิ่นประมาทเรียกรับเงิน
ศาลไกล่เกลี่ยสำเร็จ “เมียธาริต”ถอนฟ้อง“จตุพร” กล่าวหาเรียกรับเงิน 1.5 แสนบาทช่วยล้มคดีเรียกคืนภาษี ทนาย เผย สองฝ่ายพูดปรับความเข้าใจกันได้
ที่ห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชั้น 7 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น.ศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความคดีหมายเลขดำ อ.2323/2553 ที่ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 326 และ 328
กรณีเมื่อวันที่ 23 - 25 ก.ค.53 ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าโจทก์ใช้อำนาจของสามี เรียกรับเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง จำนวน 150 , 000 บาท แลกกับการช่วยเหลือในคดีที่ถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง 1.7 ล้านบาท ภายหลังการเจรจา นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนางวรรษมล กล่าวว่า หลังจากผู้ประนอมข้อพิพาทของศาล เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแล้ว คู่ความทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนสามารถปรับความเข้าใจกันได้ โจทก์จึงยินยอมถอนฟ้องคดี ขณะที่จำเลยไม่ก็คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อย่างไรก็ดีสำหรับรายละเอียดในการพูดคุยของทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องเฉพาะของคู่ความที่ได้เจรจาตกลงกันซึ่งเป็นภายในห้องประนอมข้อพิพาท ไม่อาจนำมาตนเปิดเผยได้
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------------------------
ที่ห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชั้น 7 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น.ศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความคดีหมายเลขดำ อ.2323/2553 ที่ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 326 และ 328
กรณีเมื่อวันที่ 23 - 25 ก.ค.53 ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าโจทก์ใช้อำนาจของสามี เรียกรับเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง จำนวน 150 , 000 บาท แลกกับการช่วยเหลือในคดีที่ถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง 1.7 ล้านบาท ภายหลังการเจรจา นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนางวรรษมล กล่าวว่า หลังจากผู้ประนอมข้อพิพาทของศาล เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแล้ว คู่ความทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนสามารถปรับความเข้าใจกันได้ โจทก์จึงยินยอมถอนฟ้องคดี ขณะที่จำเลยไม่ก็คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อย่างไรก็ดีสำหรับรายละเอียดในการพูดคุยของทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องเฉพาะของคู่ความที่ได้เจรจาตกลงกันซึ่งเป็นภายในห้องประนอมข้อพิพาท ไม่อาจนำมาตนเปิดเผยได้
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------------------------
รูปหล่อ เสียงดี..พีอาร์หมื่นล้าน!
ลูกยางปุ่มกดปล่อยโรด แมปประชาวิวัฒน์ชักเริ่มสึกกร่อน วัวเทียมเกวียนประชานิยมเดินจนแทบจะง่อยเปลี้ยเสียขา เหตุแห่งเหตุ เนื่องมาจากการเข็นสารพัดวาระประชาชนลงสู่ก้นบึ้ง หัวใจรากหญ้าฝนมัดใจห่าใหญ่ตั้งเค้าโปรย ปรายอีกระลอก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เตรียมระเบิดท้องพระคลังจัดหนักงบประมาณกลางปี 54 ที่ขาดดุล เล็กน้อยแค่ 3.9 แสนล้าน ก่อนกระจายลงล่างในทุกหย่อมหญ้า
ประหนึ่งสานภาคต่อประชาวิวัฒน์ อันมีคุณูปการไปถึงความเป็นรัฐบาลของ “เหล่าเทพประทาน” ในภายภาคหน้า.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” โชว์หุ่นสมาร์ตส่ายเอวเล่น “ฮูลาฮูบ” ทางเศรษฐกิจ สวิงงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดฟันหลออภิมหาโปรเจกต์ พร้อมทั้งยืนยันการันตี ต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี งบประมาณประเทศไทย คืนสู่จุดสมดุลสุ่มเสี่ยงถังแตกหรือไม่..โปรยงบหา เสียงล่วงหน้าใช่หรือเปล่า..อานิสงส์ตกถึงประชาชนจริงเท็จประการใด..ต้องละไว้เพื่อรอการ พิสูจน์ทราบ???แต่วันนี้ที่พิสูจน์ทราบได้อย่างกระจ่างแจ้ง นั่นคือ “มหาประชานิยม” ที่ “เทพประทาน” ได้เริ่มทยอยปลุกเสกบริกรรมคาถาร่าย เวทย์ไปตั้งแต่ศกที่แล้ว ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน ค่าตอบ-แทน อสม. 976,343 คน ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โฉนดชุมชน ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย แก้ปัญหา มาบตาพุด ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท สินค้าเกษตรราคาพุ่งทะยานจากมาตรการประกันราคา ตัวเลขจีดีพีปี 2553 ขยายตัวอย่างน่าพึงพอใจ อัตราคน ว่างงานลดฮวบ ส่งออกบูม ท่องเที่ยวสูงเป็น
ประวัติการณ์ ดัชนีหุ้นแตะ 1 พันจุดเมื่อบวกรวมกับของขวัญ 9 ชิ้นรับปีกระต่าย ต้องยอมรับว่า ผลงานตลอด 2 ปี “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต้องยอมรับว่ามันไม่ธรรมดา ยิ่งหากผ่านการพิสูจน์ทราบในระยะยาว กระทั่งตกผลึกได้จริง ยกมือท่วมหัวเทียบเคียง “อัศวินม้าขาว” ก็ไม่ปานขอรับ..“ท่านนายกฯ รูปหล่อ” กระนั้น ผลงานที่ได้ลำดับไล่เรียงมา ซึ่งถอดเนื้อหาจากการแถลงผลงาน 2 ปี และการปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของ “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์” ในทางนามธรรมสามารถยืนยันการันตีได้ผ่านป้ายคัตเอาต์และสารพัดสื่อที่ช่วยโหมกระพือ จนผลงาน ต่างดูเหมือนจริงแม้ยังไปไม่ถึงปลายทาง
นัยหนึ่ง ประดุจอานิสงส์แห่งธงพีอาร์ประชาสัมพันธ์ช่วยโบกสะบัด ทั้งๆ ที่ในหลายโปรเจกต์ออกอาการบักโกรกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการระดับหัวแถวอย่างตรงไปตรงมา.. แต่อย่างที่ระบุข้างต้น ประชาวิวัฒน์จะแท้หรือเทียม??? อนาคตเท่านั้นจะมีคำตอบ กระนั้นก็ตาม ด้วยสถานการณ์อันเป็นคุณต่อรัฐบาล ณ วันนี้ คงต้อง ยอมรับโดยดุษณี และยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเซียน พีอาร์ผู้ใกล้ชิดนักการเมืองที่เข้า ไปขุดกรุสมบัติในสารพัดโครงการอันมีต้นทางมาจากงบชาติ
ถึงบรรทัดนี้ แล้วเหตุไฉนปัจจัยอันใดที่ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของรัฐถึงเล็งผลเลิศได้ ถึงเพียงนี้???“โต๊ะข่าวการเมือง” สืบสาวราวเรื่องถอดรหัสงบพีอาร์ใน 19 กระทรวงบวก 1 สำนักนายกฯ ที่แตกแยก ย่อยออก เป็น 255 กรม กอง และสำนักงาน เฟ้นเฉพาะ กรม กอง สำนักงาน ใน สเปกเกรดเอ คัดแบบเนื้อๆ แค่ 100 กรม กอง ว่ากันว่างบพีอาร์แต่ละแห่งก็ปาเข้า ไปเฉียดๆ 100 ล้านบาทเข้าไปแล้วหากนับรวมกับงบพีอาร์โดยตรงของกระทรวงที่ขึ้นกับสำนักปลัดฯ ทั้ง 20 แห่ง ที่เผอิญนับรวมงบประมาณทั้งหมดเป็นตัวเลขกลมๆ 1.4 แสนล้านบาท และเมื่อถอดสมการค่าประชาสัมพันธ์ จากเค้กก้อนดังกล่าวแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ คุณพระช่วย ตัวเลขดีดสูงถึงปีละ 7 พันล้าน!!! ดีดลูกคิดรางแก้ว เคาะรวมตัวเลข งบพีอาร์ทั้งหมดทั้งมวลอันมีมูลค่าเพียงน้อยนิดมหาศาล แค่งบสร้างภาพเสริมหล่อหมื่นกว่าล้าน.. ปัทโธ่..แล้ว “เทพประทาน” จะไม่ “รูปหล่อเสียงดี” ได้อย่างไร..พ่อเจ้าประคุณ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
ประหนึ่งสานภาคต่อประชาวิวัฒน์ อันมีคุณูปการไปถึงความเป็นรัฐบาลของ “เหล่าเทพประทาน” ในภายภาคหน้า.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” โชว์หุ่นสมาร์ตส่ายเอวเล่น “ฮูลาฮูบ” ทางเศรษฐกิจ สวิงงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดฟันหลออภิมหาโปรเจกต์ พร้อมทั้งยืนยันการันตี ต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี งบประมาณประเทศไทย คืนสู่จุดสมดุลสุ่มเสี่ยงถังแตกหรือไม่..โปรยงบหา เสียงล่วงหน้าใช่หรือเปล่า..อานิสงส์ตกถึงประชาชนจริงเท็จประการใด..ต้องละไว้เพื่อรอการ พิสูจน์ทราบ???แต่วันนี้ที่พิสูจน์ทราบได้อย่างกระจ่างแจ้ง นั่นคือ “มหาประชานิยม” ที่ “เทพประทาน” ได้เริ่มทยอยปลุกเสกบริกรรมคาถาร่าย เวทย์ไปตั้งแต่ศกที่แล้ว ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน ค่าตอบ-แทน อสม. 976,343 คน ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โฉนดชุมชน ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย แก้ปัญหา มาบตาพุด ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท สินค้าเกษตรราคาพุ่งทะยานจากมาตรการประกันราคา ตัวเลขจีดีพีปี 2553 ขยายตัวอย่างน่าพึงพอใจ อัตราคน ว่างงานลดฮวบ ส่งออกบูม ท่องเที่ยวสูงเป็น
ประวัติการณ์ ดัชนีหุ้นแตะ 1 พันจุดเมื่อบวกรวมกับของขวัญ 9 ชิ้นรับปีกระต่าย ต้องยอมรับว่า ผลงานตลอด 2 ปี “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต้องยอมรับว่ามันไม่ธรรมดา ยิ่งหากผ่านการพิสูจน์ทราบในระยะยาว กระทั่งตกผลึกได้จริง ยกมือท่วมหัวเทียบเคียง “อัศวินม้าขาว” ก็ไม่ปานขอรับ..“ท่านนายกฯ รูปหล่อ” กระนั้น ผลงานที่ได้ลำดับไล่เรียงมา ซึ่งถอดเนื้อหาจากการแถลงผลงาน 2 ปี และการปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของ “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์” ในทางนามธรรมสามารถยืนยันการันตีได้ผ่านป้ายคัตเอาต์และสารพัดสื่อที่ช่วยโหมกระพือ จนผลงาน ต่างดูเหมือนจริงแม้ยังไปไม่ถึงปลายทาง
นัยหนึ่ง ประดุจอานิสงส์แห่งธงพีอาร์ประชาสัมพันธ์ช่วยโบกสะบัด ทั้งๆ ที่ในหลายโปรเจกต์ออกอาการบักโกรกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการระดับหัวแถวอย่างตรงไปตรงมา.. แต่อย่างที่ระบุข้างต้น ประชาวิวัฒน์จะแท้หรือเทียม??? อนาคตเท่านั้นจะมีคำตอบ กระนั้นก็ตาม ด้วยสถานการณ์อันเป็นคุณต่อรัฐบาล ณ วันนี้ คงต้อง ยอมรับโดยดุษณี และยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเซียน พีอาร์ผู้ใกล้ชิดนักการเมืองที่เข้า ไปขุดกรุสมบัติในสารพัดโครงการอันมีต้นทางมาจากงบชาติ
ถึงบรรทัดนี้ แล้วเหตุไฉนปัจจัยอันใดที่ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของรัฐถึงเล็งผลเลิศได้ ถึงเพียงนี้???“โต๊ะข่าวการเมือง” สืบสาวราวเรื่องถอดรหัสงบพีอาร์ใน 19 กระทรวงบวก 1 สำนักนายกฯ ที่แตกแยก ย่อยออก เป็น 255 กรม กอง และสำนักงาน เฟ้นเฉพาะ กรม กอง สำนักงาน ใน สเปกเกรดเอ คัดแบบเนื้อๆ แค่ 100 กรม กอง ว่ากันว่างบพีอาร์แต่ละแห่งก็ปาเข้า ไปเฉียดๆ 100 ล้านบาทเข้าไปแล้วหากนับรวมกับงบพีอาร์โดยตรงของกระทรวงที่ขึ้นกับสำนักปลัดฯ ทั้ง 20 แห่ง ที่เผอิญนับรวมงบประมาณทั้งหมดเป็นตัวเลขกลมๆ 1.4 แสนล้านบาท และเมื่อถอดสมการค่าประชาสัมพันธ์ จากเค้กก้อนดังกล่าวแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ คุณพระช่วย ตัวเลขดีดสูงถึงปีละ 7 พันล้าน!!! ดีดลูกคิดรางแก้ว เคาะรวมตัวเลข งบพีอาร์ทั้งหมดทั้งมวลอันมีมูลค่าเพียงน้อยนิดมหาศาล แค่งบสร้างภาพเสริมหล่อหมื่นกว่าล้าน.. ปัทโธ่..แล้ว “เทพประทาน” จะไม่ “รูปหล่อเสียงดี” ได้อย่างไร..พ่อเจ้าประคุณ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
ม๊อบเสียง ยังปักหลักสุวรรณภูมิ ทวงสัญญาค่าชดเชย
คืบหน้าม๊อบเสียงบุกสุวรรณภูมิทวงสัญญาค่าชดเชยช่วงค่ำที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้ส่งตัวแทนจำนวน 10 คน เข้าเจรจากับตัวแทนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประกอบด้วยนายสมชัย สวัสดิผล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน หรือ ทอท . ว่าที่ รท.อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.พร้อมด้วยบอร์ด ของ ทอท.อีกหลายคน
นายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ แกนนำผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หนึ่งในตัวแทน ได้ยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 7 ข้อ ประกอบด้วย1. ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังผ่านมติการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นผลกระทบด้านเสียงเส้นเสียงฤดูหนาว โดยไม่มีเงื่อนไข 2.ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมในฐานะกำกับดูแล ทอท. 2.1 เร่งจ่ายค่าชดเชยผู้ที่รับราคาแล้วและเร่งแจกซองประเมิลราคาทันที 2.2 เร่งประเมิลราคาทุกพื้นที่ แต่ละชุมชนได้รับผลกระทบ 2.3 จ่ายค่าชดเชยเสียหายด้านจิตใจหลังละ100,000 บาท เช่นเดียวกับกรณีซื้อขาย 2.4 ลดขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์เพื่อให้การจ่ายชดเชยเร็วขึ้น (กำหนดภายใน30 วัน
3. ขอให้ ทอท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 29 พ.ค.50 ให้ครบถ้วน (ค่าการตลาด) 4. ขอให้รัฐบาลพิจรณาจ่ายชดเชยผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์สร้างบ้านในที่สาธารณะ เนื่องจากได้รับผลกระทบ เช่นกัน 5.ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนงาน(เฟส1) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 6. ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบ 6.1 ผู้ที่ได้รับผลกระทบพื้นที่ NEF 35-40 และ NEF 30- 35 ต้องการขาย 6.2 ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ หลังปี 2544-2549 7.ขอให้เร่งรัดการจัดตั้งกองทุนชดเชยและกองทุนสุขภาพ เสร็จภายใน6 เดือน 8.ขอคัดค้านการขยายโครงการเฟส2 จนกว่าการแก้ไขปัญหาเฟส1 แล้วเสร็จ
กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ตัวแทนชาวบ้านได้นำข้อสรุปของที่ประชุมมาแจ้งให้ชาวบ้านที่ชุมนุมทราบ แต่ชาวบ้านยังไม่พอใจในผลการประชุม และยืนยันจะปักหลักชุมนุมจนกว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
ที่มา.เนชั่น
นายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ แกนนำผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หนึ่งในตัวแทน ได้ยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 7 ข้อ ประกอบด้วย1. ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังผ่านมติการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นผลกระทบด้านเสียงเส้นเสียงฤดูหนาว โดยไม่มีเงื่อนไข 2.ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมในฐานะกำกับดูแล ทอท. 2.1 เร่งจ่ายค่าชดเชยผู้ที่รับราคาแล้วและเร่งแจกซองประเมิลราคาทันที 2.2 เร่งประเมิลราคาทุกพื้นที่ แต่ละชุมชนได้รับผลกระทบ 2.3 จ่ายค่าชดเชยเสียหายด้านจิตใจหลังละ100,000 บาท เช่นเดียวกับกรณีซื้อขาย 2.4 ลดขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์เพื่อให้การจ่ายชดเชยเร็วขึ้น (กำหนดภายใน30 วัน
3. ขอให้ ทอท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 29 พ.ค.50 ให้ครบถ้วน (ค่าการตลาด) 4. ขอให้รัฐบาลพิจรณาจ่ายชดเชยผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์สร้างบ้านในที่สาธารณะ เนื่องจากได้รับผลกระทบ เช่นกัน 5.ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนงาน(เฟส1) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 6. ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบ 6.1 ผู้ที่ได้รับผลกระทบพื้นที่ NEF 35-40 และ NEF 30- 35 ต้องการขาย 6.2 ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ หลังปี 2544-2549 7.ขอให้เร่งรัดการจัดตั้งกองทุนชดเชยและกองทุนสุขภาพ เสร็จภายใน6 เดือน 8.ขอคัดค้านการขยายโครงการเฟส2 จนกว่าการแก้ไขปัญหาเฟส1 แล้วเสร็จ
กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ตัวแทนชาวบ้านได้นำข้อสรุปของที่ประชุมมาแจ้งให้ชาวบ้านที่ชุมนุมทราบ แต่ชาวบ้านยังไม่พอใจในผลการประชุม และยืนยันจะปักหลักชุมนุมจนกว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
ที่มา.เนชั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)