ใต้ระอุรับวันครู คนร้ายควงปืนจ่อยิงครูโรงเรียนดังเสียชีวิตกลางเมืองปัตตานี เผยเป็นศพที่ 138 ขณะที่จันทร์นี้นายกฯเตรียมลงใต้ร่วมงานเชิดชูครู
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น.ที่ผ่านมา (15 ม.ค.) เกิดเหตุคนร้ายมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดจ่อยิง นายมาโนช ชฎารัตน์ อายุ 38 ปี ครูโรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล อ.เมืองปัตตานี เหตุเกิดบริเวณสามแยกหน้าวัง ต.จะบังติกอ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ขณะที่ครูมาโนชกำลังเดินทางไปสอนพิเศษให้กับเด็กๆ ที่โรงเรียนเทศบาล 1
เหตุดังกล่าวทำให้ ครูมาโนช ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลปัตตานี
ทั้งนี้ เหตุการณ์คนร้ายยิงครูมาโนชจนเสียชีวิต เกิดขึ้นก่อน "วันครู" ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ม.ค.ของทุกปีเพียงวันเดียว และในวันจันทร์ที่ 17 ม.ค.ที่จะถึงนี้ องค์กรวิชาชีพครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เตรียมจัดงาน“วันครู...ร่วมรำลึกคุรุวีรชนชายแดนใต้” ที่ จ.ปัตตานี ด้วย โดยเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งนายกฯได้ตอบรับเดินทางไปร่วมงานดังกล่าวแล้ว โดยเป็นกิจกรรมเชิดชูวีรชนในวงการการศึกษาของพื้นที่ พร้อมร่วมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลและรำลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการครูที่ล่วงลับไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 137 ราย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554
พระคุณครู
“ปาเจราจริยาโหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ”
เด็กไทยที่ผ่านการศึกษาตามหลักสูตรจะจำ “บทสวดเคารพครู” เนื่องในวันครูได้ดี ซึ่งวันที่ 16 มกราคมของทุกปีถือเป็น “วันครูแห่งชาติ”
แม้เด็กนักเรียนวันนี้จะเข้าใจความหมาย “วันครู” น้อยลง ขณะที่ “ครู” ก็อาจไม่สนใจกับ “วันครู” เช่นกัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าครูในความรู้สึกของคนไทยนั้นเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของลูกหลาน เพราะครูคือผู้อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ และสร้างภูมิปัญญา เพื่อให้ลูกศิษย์เป็นคนดีและมีความรู้ความสามารถ
ครูจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับสังคม แม้วันนี้ครูจะมีความใกล้ชิดกับลูกศิษย์น้อยกว่าในอดีต แต่ครูยังเป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุดกับลูกศิษย์ เพราะเป็นผู้ให้ทั้งความรัก ความเมตตา ความห่วงใย และความเสียสละ ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่เป็นลูกจ้างหรือข้าราชการที่รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนไปวันๆ
แม้ครูไทยจะมีปัญหามากมายจนถือว่าอยู่ในขั้น “วิกฤต” แต่ครูส่วนใหญ่ก็ยังทำหน้าที่อย่างไม่ท้อแท้ ทั้งที่ครูประสบปัญหาสารพัด ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ที่ไม่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพเท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญคือนโยบายการศึกษาในทุกระดับยังเหมือนยืนตายซาก
เพราะที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาเป็นแค่เศษกระดาษหรือนโยบายที่สวยหรู และไม่มีรัฐบาลใดเลยที่สามารถปฏิรูปการศึกษาได้อย่างที่แถลง ระบบการศึกษาไทยจึงวิกฤตมาจนทุกวันนี้ ขณะที่ครูในฐานะผู้สอนและใกล้ชิดที่สุดกับลูกศิษย์ก็ต้องประสบปัญหาทั้งในระบบการศึกษาและระบบการบริหารภายในที่เหมือนหัวมังกุท้ายมังกร
แต่ไม่ว่าระบบการศึกษาจะวิกฤตและมีปัญหาอย่างไร ครูก็ยังเป็นครูที่ต้องให้การอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์เหมือนลูกหลานของตัวเอง
ครูจึงเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกสังคม เพราะครูคือบุคคลแรกที่จะสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ
ครูจึงไม่ได้ให้การศึกษาแค่ด้านวิชาการ แต่ยังต้องมีความเสียสละในการดูแลอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้แสงสว่างแห่งปัญญาและเป็นคนดีของสังคม
วันที่ 16 มกราคมของทุกปีจึงไม่ใช่แค่เด็กจะต้องระลึกถึงพระคุณของครูเท่านั้น แต่ทุกคนในสังคมควรระลึกถึงพระคุณครูที่ต้องทำงานด้วยความเสียสละ เพื่อทำให้คนในสังคมเป็นคนดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่เก่งแต่โกงหรือเก่งแต่ชั่ว
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
เด็กไทยที่ผ่านการศึกษาตามหลักสูตรจะจำ “บทสวดเคารพครู” เนื่องในวันครูได้ดี ซึ่งวันที่ 16 มกราคมของทุกปีถือเป็น “วันครูแห่งชาติ”
แม้เด็กนักเรียนวันนี้จะเข้าใจความหมาย “วันครู” น้อยลง ขณะที่ “ครู” ก็อาจไม่สนใจกับ “วันครู” เช่นกัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าครูในความรู้สึกของคนไทยนั้นเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2 ของลูกหลาน เพราะครูคือผู้อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ และสร้างภูมิปัญญา เพื่อให้ลูกศิษย์เป็นคนดีและมีความรู้ความสามารถ
ครูจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับสังคม แม้วันนี้ครูจะมีความใกล้ชิดกับลูกศิษย์น้อยกว่าในอดีต แต่ครูยังเป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุดกับลูกศิษย์ เพราะเป็นผู้ให้ทั้งความรัก ความเมตตา ความห่วงใย และความเสียสละ ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่เป็นลูกจ้างหรือข้าราชการที่รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนไปวันๆ
แม้ครูไทยจะมีปัญหามากมายจนถือว่าอยู่ในขั้น “วิกฤต” แต่ครูส่วนใหญ่ก็ยังทำหน้าที่อย่างไม่ท้อแท้ ทั้งที่ครูประสบปัญหาสารพัด ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ที่ไม่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพเท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญคือนโยบายการศึกษาในทุกระดับยังเหมือนยืนตายซาก
เพราะที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาเป็นแค่เศษกระดาษหรือนโยบายที่สวยหรู และไม่มีรัฐบาลใดเลยที่สามารถปฏิรูปการศึกษาได้อย่างที่แถลง ระบบการศึกษาไทยจึงวิกฤตมาจนทุกวันนี้ ขณะที่ครูในฐานะผู้สอนและใกล้ชิดที่สุดกับลูกศิษย์ก็ต้องประสบปัญหาทั้งในระบบการศึกษาและระบบการบริหารภายในที่เหมือนหัวมังกุท้ายมังกร
แต่ไม่ว่าระบบการศึกษาจะวิกฤตและมีปัญหาอย่างไร ครูก็ยังเป็นครูที่ต้องให้การอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์เหมือนลูกหลานของตัวเอง
ครูจึงเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกสังคม เพราะครูคือบุคคลแรกที่จะสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ
ครูจึงไม่ได้ให้การศึกษาแค่ด้านวิชาการ แต่ยังต้องมีความเสียสละในการดูแลอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้แสงสว่างแห่งปัญญาและเป็นคนดีของสังคม
วันที่ 16 มกราคมของทุกปีจึงไม่ใช่แค่เด็กจะต้องระลึกถึงพระคุณของครูเท่านั้น แต่ทุกคนในสังคมควรระลึกถึงพระคุณครูที่ต้องทำงานด้วยความเสียสละ เพื่อทำให้คนในสังคมเป็นคนดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่เก่งแต่โกงหรือเก่งแต่ชั่ว
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
ขโมยจับโจร! ทุจริตอภิสิทธิ์ชน ในกล่องของขวัญ 9 ชิ้น
แม้จะยังไม่มีใครทราบว่าชะตากรรมของ 7 คนไทย และอนาคตของเส้นแบ่งราชอาณาจักรไทย-กัมพูชา จะไปจบลง ณ ตรงจุดไหน แต่วาระแห่งเกมการเมืองไทย ยังคงดำเนินไปในท้องร่องคูคลองน้ำเน่าอันฟอนเฟะได้อย่างสะอิดสะเอียนหัวใจโดยต่อเนื่อง
คล้อยหลังกันไม่ทันข้ามวัน พลันที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กดปุ่มปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของขวัญ 9 ข้อ ทีมงานพรรคเพื่อไทยก็ตัดริบบิ้นเปิดตัวหนังสือ “ทุจริต อภิสิทธิ์ชน” ล้อไปกับ เครือข่ายนอกสภาที่ระดมพลเสื้อแดงกว่า 3 หมื่นชีวิตมาชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์
รับกันเป็นฉากๆ ตามประสาการชิง จังหวะเกมเขี้ยวทางการเมือง ประหนึ่งหวังรักษาพื้นที่ข่าวไม่ให้หลุดจากซีนประ เทศไทย หวังผลไกลไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะจิต..กางโบรชัวร์ดูโรด แมปการเมืองของ 2 คู่กัด จะพบว่า วาระเกทับของขวัญ 9 ชิ้น ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ประกอบไปด้วย
1.ให้ผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ได้รับสิทธิประโยชน์เจ็บป่วยเสียชีวิต รวมถึงเบี้ยชราภาพ หรือประชาชนจ่ายเงิน 100/150 บาทต่อเดือน จ่าย 70 บาทรัฐสมทบ 30 บาท หรือ จ่าย 100 บาทรัฐสมทบ 50 บาท กรณีหลังจะประกันกรณีชราภาพด้วย
2.การเข้าถึงสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ ให้กับแท็กซี่และหาบเร่แผงลอย ที่เชื่อว่าจะเป็นลูกค้าชั้นดีของสถาบันการเงิน เพราะมีรายได้ชัดเจน
3.ขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จัดทำบัตร ให้เบอร์เสื้อวิน จยย. แจกหมวก นิรภัย ปรับปรุงวิน การทำบัตรจะนำไปสู่การพัฒนาสวัสดิการ
4.เพิ่มจุดผ่อนปรนให้หาบเร่แผงลอย หวังลดรายจ่ายนอกระบบและจะจัดโซนการค้าให้เป็นระบบระเบียบ แต่จะไม่กระทบ ผู้ใช้ทางเท้า
5.นำเงินกองทุนน้ำมัน ตรึงราคาก๊าซ แอลพีจี ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง แต่จะเลิก อุดหนุนภาคอุตสาหกรรม
6.ลดการจัดเก็บค่าไฟกับผู้ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยแบบถาวร ไม่ใช้เงินภาษี แต่จะปรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ใครใช้ไฟฟ้า มากก็จ่ายมาก
7.หาทางลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ปรับรูปแบบไข่ไก่ขายโดยการชั่งกิโล
8.กรณีราคาไข่ไก่ จะนำร่องซื้อขาย เป็นกิโลฯ เพื่อประหยัดค่าคัดแยกได้ถึง 50 สต. โดยเริ่มทดลองในเขตมีนบุรี
และ 9.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตั้งเป้าลดให้ได้ 20% ใน 6 เดือน เพิ่มกล้องวงจรปิดบุคลากร บูรณาการทำงาน
ในทางคู่ขนาน วาระบลัฟแหลกของ พรรคเพื่อไทยผ่านหนังสือ “ทุจริต อภิสิทธิ์ชน” นั้น ก็ได้รวบรวมข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการของรัฐโดยแบ่งกลุ่ม ให้ประชาชนได้เห็นภาพดังต่อไปนี้
1.การบริหารราชการแผ่นดินที่เข้าข่ายละเว้นหรือปล่อยให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่นจนทำให้เกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน ประกอบด้วยโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร โครงการชุมชนพอเพียง ปลากระป๋องเน่า โครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ของกองทัพ และโครงการถนนปลอดฝุ่น
2.การบริหารราชการแผ่นดินที่ พบว่า อาจมีการเอื้อให้เกิดการทุจริต ประ กอบด้วย โครงการประมูลสินค้าการ เกษตร โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงสาธารณสุข โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงศึกษาธิการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
3.การบริหารราชการแผ่นดินที่ผู้มีอำนาจอาจใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ พวกพ้องหรืออาจใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาประโยชน์ ประกอบด้วย อัพเกรด การบินไทย ใครๆ ก็อยากได้อภิสิทธิ์ ซื้อเครื่องบินไม่มีเก้าอี้ เที่ยวบินอภิสิทธิ์เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน การแต่งตั้งตำรวจ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โครงการรถเข็นกระเป๋าสุวรรณภูมิ โครงการจัดหา ปืนเล็กยาว การออกเอกสารแสดงสิทธิ์ที่ดินบนเขาแพง การสอบเข้าโรงเรียนนาย อำเภอ เอสเอ็มเอส นายกฯ กับความเป็น สองมาตรฐาน การแทรกแซงและการปิดกั้นสื่อ
และ 4.การบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดล้มเหลว ไม่เป็นไปตามนโยบาย หรือไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่คุ้มค่า กับงบประมาณ ประ กอบด้วย โครงการเรียนฟรี 15 ปี ค่าเงิน บาท ราคาน้ำมัน โครงการรถเมล์บีอาร์ที แก้ปัญหายาเสพติด งบประมาณประชา สัมพันธ์ของรัฐบาล งบประมาณการจัดกิจกรรมของรัฐบาล การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โครงการเช็คช่วยชาติ ปัญหาการแก้หนี้นอกระบบ การประกาศใช้ พ.ร.ก. ในสถานการณ์ฉุกเฉินและการปราบปราม ประชาชน
ที่นำมาเปรียบเทียบแบบยกกระบิ ก็ไม่มีนัยยะแฝงเร้นอะไรมากมาย นอกจากต้องการให้เห็นภาพในทฤษฎีหัวกลับ ที่ครั้งหนึ่ง “รัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” เคยใช้ประชานิยมกลบเกลื่อนแผลทุจริตคอร์รัปชั่นสีเทา แต่มาวันนี้เปลี่ยนฝั่งมาเป็น “รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์” เองที่เบี่ยงเบน ข้อกล่าวหาด้วยสารพัดวิธีเดิมๆ และเชื่ออย่างลึกๆ ว่า ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะต้องงัดพิมพ์เขียวเหล่านี้ขึ้นมาใช้
เนื่องด้วยรากเหง้าแห่งการทุจริตคอร์รัปชั่น มันได้ถูกยกระดับขึ้นมาในประ เทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ แถมเผอิญยืนอยู่บนตรรกะอันน่าวังเวงหัวใจที่ว่า “คุณจะไม่โกง ในต่อเมื่อคุณไม่มีโอกาสเข้ามาโกง” สรุปคือต่อให้ทั้งรวยล้นฟ้า หล่อรากดิน หรือดีเลิศประเสริฐศรีมาจากแห่ง หนใด คุณก็ยากที่จะยับยั้งชั่งใจได้หากคุณ ได้รับโอกาสเข้ามาดำรงตนในฐานะผู้ทรงเกียรติ
ถ้าไม่เชื่อถาม ท่านบรรหาร คุณเนวิน ฯพณฯ สุวัจน์ หรือแม้กระทั่ง ป๋าเหนาะดูได้ เพราะท่านเหล่านี้ จะเข้าใจและ สันทัดกรณีดังกล่าวเป็นอย่างดีอนิจจา..ประเทศชาติ เข้าคูหาเลือกขโมยมาจับโจร สุดท้ายประชาชน รับกรรม!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
คล้อยหลังกันไม่ทันข้ามวัน พลันที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กดปุ่มปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของขวัญ 9 ข้อ ทีมงานพรรคเพื่อไทยก็ตัดริบบิ้นเปิดตัวหนังสือ “ทุจริต อภิสิทธิ์ชน” ล้อไปกับ เครือข่ายนอกสภาที่ระดมพลเสื้อแดงกว่า 3 หมื่นชีวิตมาชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์
รับกันเป็นฉากๆ ตามประสาการชิง จังหวะเกมเขี้ยวทางการเมือง ประหนึ่งหวังรักษาพื้นที่ข่าวไม่ให้หลุดจากซีนประ เทศไทย หวังผลไกลไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะจิต..กางโบรชัวร์ดูโรด แมปการเมืองของ 2 คู่กัด จะพบว่า วาระเกทับของขวัญ 9 ชิ้น ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ประกอบไปด้วย
1.ให้ผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ได้รับสิทธิประโยชน์เจ็บป่วยเสียชีวิต รวมถึงเบี้ยชราภาพ หรือประชาชนจ่ายเงิน 100/150 บาทต่อเดือน จ่าย 70 บาทรัฐสมทบ 30 บาท หรือ จ่าย 100 บาทรัฐสมทบ 50 บาท กรณีหลังจะประกันกรณีชราภาพด้วย
2.การเข้าถึงสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ ให้กับแท็กซี่และหาบเร่แผงลอย ที่เชื่อว่าจะเป็นลูกค้าชั้นดีของสถาบันการเงิน เพราะมีรายได้ชัดเจน
3.ขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จัดทำบัตร ให้เบอร์เสื้อวิน จยย. แจกหมวก นิรภัย ปรับปรุงวิน การทำบัตรจะนำไปสู่การพัฒนาสวัสดิการ
4.เพิ่มจุดผ่อนปรนให้หาบเร่แผงลอย หวังลดรายจ่ายนอกระบบและจะจัดโซนการค้าให้เป็นระบบระเบียบ แต่จะไม่กระทบ ผู้ใช้ทางเท้า
5.นำเงินกองทุนน้ำมัน ตรึงราคาก๊าซ แอลพีจี ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง แต่จะเลิก อุดหนุนภาคอุตสาหกรรม
6.ลดการจัดเก็บค่าไฟกับผู้ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยแบบถาวร ไม่ใช้เงินภาษี แต่จะปรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ใครใช้ไฟฟ้า มากก็จ่ายมาก
7.หาทางลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ปรับรูปแบบไข่ไก่ขายโดยการชั่งกิโล
8.กรณีราคาไข่ไก่ จะนำร่องซื้อขาย เป็นกิโลฯ เพื่อประหยัดค่าคัดแยกได้ถึง 50 สต. โดยเริ่มทดลองในเขตมีนบุรี
และ 9.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตั้งเป้าลดให้ได้ 20% ใน 6 เดือน เพิ่มกล้องวงจรปิดบุคลากร บูรณาการทำงาน
ในทางคู่ขนาน วาระบลัฟแหลกของ พรรคเพื่อไทยผ่านหนังสือ “ทุจริต อภิสิทธิ์ชน” นั้น ก็ได้รวบรวมข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการของรัฐโดยแบ่งกลุ่ม ให้ประชาชนได้เห็นภาพดังต่อไปนี้
1.การบริหารราชการแผ่นดินที่เข้าข่ายละเว้นหรือปล่อยให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่นจนทำให้เกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน ประกอบด้วยโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร โครงการชุมชนพอเพียง ปลากระป๋องเน่า โครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ของกองทัพ และโครงการถนนปลอดฝุ่น
2.การบริหารราชการแผ่นดินที่ พบว่า อาจมีการเอื้อให้เกิดการทุจริต ประ กอบด้วย โครงการประมูลสินค้าการ เกษตร โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงสาธารณสุข โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงศึกษาธิการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
3.การบริหารราชการแผ่นดินที่ผู้มีอำนาจอาจใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ พวกพ้องหรืออาจใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาประโยชน์ ประกอบด้วย อัพเกรด การบินไทย ใครๆ ก็อยากได้อภิสิทธิ์ ซื้อเครื่องบินไม่มีเก้าอี้ เที่ยวบินอภิสิทธิ์เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน การแต่งตั้งตำรวจ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โครงการรถเข็นกระเป๋าสุวรรณภูมิ โครงการจัดหา ปืนเล็กยาว การออกเอกสารแสดงสิทธิ์ที่ดินบนเขาแพง การสอบเข้าโรงเรียนนาย อำเภอ เอสเอ็มเอส นายกฯ กับความเป็น สองมาตรฐาน การแทรกแซงและการปิดกั้นสื่อ
และ 4.การบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดล้มเหลว ไม่เป็นไปตามนโยบาย หรือไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่คุ้มค่า กับงบประมาณ ประ กอบด้วย โครงการเรียนฟรี 15 ปี ค่าเงิน บาท ราคาน้ำมัน โครงการรถเมล์บีอาร์ที แก้ปัญหายาเสพติด งบประมาณประชา สัมพันธ์ของรัฐบาล งบประมาณการจัดกิจกรรมของรัฐบาล การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โครงการเช็คช่วยชาติ ปัญหาการแก้หนี้นอกระบบ การประกาศใช้ พ.ร.ก. ในสถานการณ์ฉุกเฉินและการปราบปราม ประชาชน
ที่นำมาเปรียบเทียบแบบยกกระบิ ก็ไม่มีนัยยะแฝงเร้นอะไรมากมาย นอกจากต้องการให้เห็นภาพในทฤษฎีหัวกลับ ที่ครั้งหนึ่ง “รัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” เคยใช้ประชานิยมกลบเกลื่อนแผลทุจริตคอร์รัปชั่นสีเทา แต่มาวันนี้เปลี่ยนฝั่งมาเป็น “รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์” เองที่เบี่ยงเบน ข้อกล่าวหาด้วยสารพัดวิธีเดิมๆ และเชื่ออย่างลึกๆ ว่า ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะต้องงัดพิมพ์เขียวเหล่านี้ขึ้นมาใช้
เนื่องด้วยรากเหง้าแห่งการทุจริตคอร์รัปชั่น มันได้ถูกยกระดับขึ้นมาในประ เทศไทยอย่างสมบูรณ์แบบ แถมเผอิญยืนอยู่บนตรรกะอันน่าวังเวงหัวใจที่ว่า “คุณจะไม่โกง ในต่อเมื่อคุณไม่มีโอกาสเข้ามาโกง” สรุปคือต่อให้ทั้งรวยล้นฟ้า หล่อรากดิน หรือดีเลิศประเสริฐศรีมาจากแห่ง หนใด คุณก็ยากที่จะยับยั้งชั่งใจได้หากคุณ ได้รับโอกาสเข้ามาดำรงตนในฐานะผู้ทรงเกียรติ
ถ้าไม่เชื่อถาม ท่านบรรหาร คุณเนวิน ฯพณฯ สุวัจน์ หรือแม้กระทั่ง ป๋าเหนาะดูได้ เพราะท่านเหล่านี้ จะเข้าใจและ สันทัดกรณีดังกล่าวเป็นอย่างดีอนิจจา..ประเทศชาติ เข้าคูหาเลือกขโมยมาจับโจร สุดท้ายประชาชน รับกรรม!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
วันนี้หนังสือพิมพ์และแหล่งข่าวหลายแห่งพากันกล่าวถึงการจัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ขององค์กร Freedom house ในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” โดยอยู่ในประเภทดังกล่าวติดกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนลำดับของสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของพลเรือนยังอยู่ในลำดับเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว องค์กร Freedom House กล่าวอย่างคร่าวๆว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ หากพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
แม้องค์กร Freedom House จะสังเกตเห็นว่าว่า ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้นตกต่ำลง แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ควรจะดีใจที่องค์กร Freedom House ไม่ได้ประนามรัฐบาลรุนแรงกว่านี้ เพราะมันยากที่จะเชื่อว่าเสรีภาพโดยรวมของประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากปีที่แล้ว เพราะมีการใช้พรก.ฉุกเฉินติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9เดือน จะเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ประโยชน์จากการจัดลับดับที่เต็มไปด้วยอคติขององค์กร Freedom House ที่มีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น นักรัฐศาสตร์อย่าง Kenneth Bollen ได้แสดงทัศนะว่าองค์กร Freedom House มักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลอเมริกามากกว่า เราลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซูเอล่าหาก Hugo Chavez สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคาราคัส หรือบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉิน ข้อเท็จจริงคือ ลำดับของสิทธิพลเรือนในเวเนซูเอล่าลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แม้ Hugo Chavez ไม่ได้กระทำเรื่องดังกล่าวเลยก็ตาม
นอกจากนี้ ใครก็ตามที่หวังดีกับประเทศไทยอย่างแท้จริงก็ต้องรู้สึกแย่เมื่อต้องทนดูประเทศไทยกำลังจมดิ่งลงสู่หุบเหวภายการนำของรัฐบาลนี้ เพราะการจัดลำดับ “สิทธิทางการเมือง” ในประเทศไทย (ได้คะแนนลำดับ 5) ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอย่างประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, อูกานดา, กินี, อิรัค, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน, โมรอคโค, ไนเจอร์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก และเวเนซูเอล่า ในขณะที่คะแนนในเรื่อง “สิทธิพลเรือน” นั้นดีกว่านิดหน่อย (ได้ 4คะแนน) และอยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์มาเนีย, บังคลาเทศ, โคลัมเบีย, โคโมรอส, ติเมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินี-บิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ลิเบอร์เลีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, มาเลเซีย, มัลดีฟส์, โมรอคโค, เนปาล, นิคาร์รากัวร์, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก, อูกานดา และแซมเบีย
แม้ว่ามาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยของไทยจะตกต่ำเป็นเวลาหลายปี แต่การที่ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ลำดับเดียวกับประเทศเหล่านั้นถือเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
ประการแรกคือ ประเทศไทยพัฒนาไปไกลกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในลำดับเดียวกันในการจัดลำดับสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเรือน ซึ่งยกเว้นประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่พัฒนากว่าประเทศไทยในแง่ของความมั่งคั่ง อายุขัยของประชากร และระบบการศึกษาเท่านั้น แต่ทั้งสองประเทศนี้ไม่ได้เป็นประเทศตัวอย่างที่ดีในแง่ของเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยเลย ประเทศอย่างแซมเบีย, แกมเบีย, มาลาวี, กินี,สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ,บูร์กินาฟาโซ, ลิเบอร์เลีย, กินี-บิสเซา, บุรันดี และไนเจอร์ถูกจัดให้อยู่ใน 20 ลำดับสุดท้ายของประเทศด้อยพัฒนาที่สุด
ประการที่สอง สถาบันทางประชาธิปไตยในประเทศไทยได้เริ่มพัฒนามายาวนาน โดยประเทศส่วนใหญ่ที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศไทยนั้นต่างเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของตะวันตกมาก่อน และเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์วุ่นวายและสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในบางประเทศเหล่านี้ด้วย ส่งผลให้ประชาชนหลายแสนคนเสียชีวิต เป็นเวลากว่า 8ทศวรรษแล้วที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกันกับประเทศอย่างเลบานอน, ลิเบอร์เลีย, ไนจีเรีย หรือศรีลังกา
ประเทศที่องค์กร Freedom House จัดให้อยู่ในลำดับเดียวในประเทศไทยนั้น อาจมีข้ออ้างที่ฟังขึ้นว่าเหตุใดจึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยนั้นหมดข้ออ้างไปนานแล้ว ปัญหาของระเทศไทยไม่ได้อยู่ที่เรื่องความไม่พัฒนาหรือขาดความคุ้นเคยกับประชาธิปไตย แต่อยู่ที่ตัวของผู้นำ กลุ่มอำมาตย์ที่ปกครองประเทศโดยไม่ฟังเสีียงประชาชนมักชอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็น “คนดี” และ “มีคุณธรรม” ท้ายที่สุดแล้ว ประเทศไทยสมควรมีรัฐบาลที่ดีเท่ากับประชาชน แต่เป็นที่ชัดเจนว่า หนทางนั้นยังอีกไกล
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
นอกจากนี้ ใครก็ตามที่หวังดีกับประเทศไทยอย่างแท้จริงก็ต้องรู้สึกแย่เมื่อต้องทนดูประเทศไทยกำลังจมดิ่งลงสู่หุบเหวภายการนำของรัฐบาลนี้ เพราะการจัดลำดับ “สิทธิทางการเมือง” ในประเทศไทย (ได้คะแนนลำดับ 5) ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอย่างประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, อูกานดา, กินี, อิรัค, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน, โมรอคโค, ไนเจอร์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก และเวเนซูเอล่า ในขณะที่คะแนนในเรื่อง “สิทธิพลเรือน” นั้นดีกว่านิดหน่อย (ได้ 4คะแนน) และอยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์มาเนีย, บังคลาเทศ, โคลัมเบีย, โคโมรอส, ติเมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินี-บิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ลิเบอร์เลีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, มาเลเซีย, มัลดีฟส์, โมรอคโค, เนปาล, นิคาร์รากัวร์, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, สิงคโปร์, ศรีลังกา, โทโก, อูกานดา และแซมเบีย
แม้ว่ามาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยของไทยจะตกต่ำเป็นเวลาหลายปี แต่การที่ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ลำดับเดียวกับประเทศเหล่านั้นถือเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
ประการแรกคือ ประเทศไทยพัฒนาไปไกลกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในลำดับเดียวกันในการจัดลำดับสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเรือน ซึ่งยกเว้นประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่พัฒนากว่าประเทศไทยในแง่ของความมั่งคั่ง อายุขัยของประชากร และระบบการศึกษาเท่านั้น แต่ทั้งสองประเทศนี้ไม่ได้เป็นประเทศตัวอย่างที่ดีในแง่ของเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยเลย ประเทศอย่างแซมเบีย, แกมเบีย, มาลาวี, กินี,สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ,บูร์กินาฟาโซ, ลิเบอร์เลีย, กินี-บิสเซา, บุรันดี และไนเจอร์ถูกจัดให้อยู่ใน 20 ลำดับสุดท้ายของประเทศด้อยพัฒนาที่สุด
ประการที่สอง สถาบันทางประชาธิปไตยในประเทศไทยได้เริ่มพัฒนามายาวนาน โดยประเทศส่วนใหญ่ที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศไทยนั้นต่างเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของตะวันตกมาก่อน และเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์วุ่นวายและสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในบางประเทศเหล่านี้ด้วย ส่งผลให้ประชาชนหลายแสนคนเสียชีวิต เป็นเวลากว่า 8ทศวรรษแล้วที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยยังคงถูกจัดให้อยู่ในลำดับเดียวกันกับประเทศอย่างเลบานอน, ลิเบอร์เลีย, ไนจีเรีย หรือศรีลังกา
ประเทศที่องค์กร Freedom House จัดให้อยู่ในลำดับเดียวในประเทศไทยนั้น อาจมีข้ออ้างที่ฟังขึ้นว่าเหตุใดจึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยนั้นหมดข้ออ้างไปนานแล้ว ปัญหาของระเทศไทยไม่ได้อยู่ที่เรื่องความไม่พัฒนาหรือขาดความคุ้นเคยกับประชาธิปไตย แต่อยู่ที่ตัวของผู้นำ กลุ่มอำมาตย์ที่ปกครองประเทศโดยไม่ฟังเสีียงประชาชนมักชอบอ้างว่าตนเองนั้นเป็น “คนดี” และ “มีคุณธรรม” ท้ายที่สุดแล้ว ประเทศไทยสมควรมีรัฐบาลที่ดีเท่ากับประชาชน แต่เป็นที่ชัดเจนว่า หนทางนั้นยังอีกไกล
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554
ตื่นกันหรือยัง !!!!????????
สายไปเสียแล้ว...สำหรับการจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับ...กัมพูชา...ในเรื่องที่ได้กระทำการจับกุม...7 คนไทย...ในข้อหาบุกรุก
เขตแผ่นดินดังกล่าว...ทั้ง 2 ประเทศ...ยังถือว่าเป็นเขตทับซ้อน...คือถือกรรมสิทธิ์ทั้ง 2 ฝ่าย...แต่ให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศไปมาหาสู่กันได้..
แต่หากจะว่ากันในยาวนานย้อนหลังกันเข้าไป...แผ่นดินเหล่านี้เคยเป็นของประเทศไทย...แต่มาเปลี่ยนแปลงไปเพราะแสนยานุภาพของฝรั่งเศส..ที่เข้าเกี่ยวข้องยึดครอง
ในวันที่ประเทศเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ..คนไทยที่อยู่ในครอบครองของฝรั่งเศส..ไม่ได้รับการสนับสนุนให้ขอกลับมาเป็นอาณาเขตของไทย และดูเหมือนว่า..รัฐบาลไทยหรือกองทัพไทยในขณะนั้น..ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องทำ..ที่จะเรียกร้องขอคืนในสิ่งที่ต้องเรียกร้องขอคืน..
ไทยไม่ยอมต่อสู้เพื่อไม่ให้แผ่นดินต้องสูญเสียไป และเมื่อมีโอกาสก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อ
จะเอากลับคืนมา
เราจึงมีคนไทยที่ไปพลัดหลงตกค้างอยู่ในประเทศข้างบ้าน..และทอดทิ้งเขาเหล่านั้นไว้กับแผ่นดินที่บรรพบุรุษไทยได้ล้มตายลงไปเพื่อที่จะได้และครอบครอง
ก็เหมือนกับเวลานี้
กองทัพจะมีอาวุธไปทำไม หากไม่คิดจะทำสงครามเพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดินที่ปู่ย่าตายาย..ได้ตายทับถมเพื่อที่จะได้มันมาและรักษามันไว้
จะใช้อีกหลายหมื่นล้าน..สร้างกองพลม้าสงคราม..แค่เอาไว้สวนสนาม..เลี้ยงลาเลี้ยงรับ..แม่ทัพเท่านั้นหรือ..
กองทัพที่ไม่เคยคิดจะรบกับใคร..กองทัพที่ไม่เคยรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน หรือ
รู้เรื่องราวแต่ขลาดที่จะพูดถึงกล่าวถึง..จะสะสมแสนยานุภาพไปทำไม เพราะหากจะมีไว้เพื่อความมั่นคงภายใน..แต่ไพร่ราบพลปืนไม่กี่พันก็ฆ่าคนไทยได้หมดประเทศแล้ว หากอยากจะทำ
ผู้นำที่โง่เขลา ได้กระทำการอย่างโง่เขลาและแก้ปัญหาอย่างโง่เขลา เสียแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับประเทศที่อ่อนแอกว่า แต่แกล้วกล้าเหลือหลายที่จะสาดกระสุนใส่ประชาชนคนมือเปล่า..ที่ร่ำร้องแค่การ
เลือกตั้ง
ตื่นกันหรือยัง!!!..ตื่นกันหรือยัง??????
โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้.บางกอกทูเดย?
เขตแผ่นดินดังกล่าว...ทั้ง 2 ประเทศ...ยังถือว่าเป็นเขตทับซ้อน...คือถือกรรมสิทธิ์ทั้ง 2 ฝ่าย...แต่ให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศไปมาหาสู่กันได้..
แต่หากจะว่ากันในยาวนานย้อนหลังกันเข้าไป...แผ่นดินเหล่านี้เคยเป็นของประเทศไทย...แต่มาเปลี่ยนแปลงไปเพราะแสนยานุภาพของฝรั่งเศส..ที่เข้าเกี่ยวข้องยึดครอง
ในวันที่ประเทศเหล่านี้ได้รับอิสรภาพ..คนไทยที่อยู่ในครอบครองของฝรั่งเศส..ไม่ได้รับการสนับสนุนให้ขอกลับมาเป็นอาณาเขตของไทย และดูเหมือนว่า..รัฐบาลไทยหรือกองทัพไทยในขณะนั้น..ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องทำ..ที่จะเรียกร้องขอคืนในสิ่งที่ต้องเรียกร้องขอคืน..
ไทยไม่ยอมต่อสู้เพื่อไม่ให้แผ่นดินต้องสูญเสียไป และเมื่อมีโอกาสก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อ
จะเอากลับคืนมา
เราจึงมีคนไทยที่ไปพลัดหลงตกค้างอยู่ในประเทศข้างบ้าน..และทอดทิ้งเขาเหล่านั้นไว้กับแผ่นดินที่บรรพบุรุษไทยได้ล้มตายลงไปเพื่อที่จะได้และครอบครอง
ก็เหมือนกับเวลานี้
กองทัพจะมีอาวุธไปทำไม หากไม่คิดจะทำสงครามเพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดินที่ปู่ย่าตายาย..ได้ตายทับถมเพื่อที่จะได้มันมาและรักษามันไว้
จะใช้อีกหลายหมื่นล้าน..สร้างกองพลม้าสงคราม..แค่เอาไว้สวนสนาม..เลี้ยงลาเลี้ยงรับ..แม่ทัพเท่านั้นหรือ..
กองทัพที่ไม่เคยคิดจะรบกับใคร..กองทัพที่ไม่เคยรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน หรือ
รู้เรื่องราวแต่ขลาดที่จะพูดถึงกล่าวถึง..จะสะสมแสนยานุภาพไปทำไม เพราะหากจะมีไว้เพื่อความมั่นคงภายใน..แต่ไพร่ราบพลปืนไม่กี่พันก็ฆ่าคนไทยได้หมดประเทศแล้ว หากอยากจะทำ
ผู้นำที่โง่เขลา ได้กระทำการอย่างโง่เขลาและแก้ปัญหาอย่างโง่เขลา เสียแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับประเทศที่อ่อนแอกว่า แต่แกล้วกล้าเหลือหลายที่จะสาดกระสุนใส่ประชาชนคนมือเปล่า..ที่ร่ำร้องแค่การ
เลือกตั้ง
ตื่นกันหรือยัง!!!..ตื่นกันหรือยัง??????
โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้.บางกอกทูเดย?
เสื้อแดง′54
โดย ปราปต์ บุนปาน
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 มกราคม 2553)9 มกราคม 2554 ขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศมอบของขวัญปีใหม่แพคเกจสวยหรูให้แก่ประชาชน
"กลุ่มคนเสื้อแดง" ก็ประเดิมศักราชใหม่ ด้วยการนัดชุมนุมกันที่ถนนราชดำเนิน ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังสี่แยกราชประสงค์
ด้วยจำนวนคนเข้าร่วมหลายหมื่นอีกเช่นเคย
(เจ้าหน้าที่รัฐประมาณว่า 3 หมื่น ขณะที่ "สมบัติ บุญงามอนงค์" ทวีตข้อความว่า คนเสื้อแดงไปรวมตัวกัน ณ สี่แยกราชประสงค์ในวันนั้นมากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา)
ดังนั้น ใครที่พยายามทำนายทายทักว่าในปี 2554 ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับอนาคตแบบไหนบ้าง
จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะนับรวม "คนเสื้อแดง" เป็นปัจจัยหนึ่งในการทำนายดังกล่าวไปได้พ้น
แต่ก็มีหลายเรื่องที่เราต้องขบคิดเกี่ยวกับ "คนเสื้อแดง" เช่น
เมื่อวันที่ 9 มกราคม "ทักษิณ ชินวัตร" โฟนอินมายังเวทีเสื้อแดงอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน
บางคนบอกว่า ณ ตอนนี้ ทักษิณดูจะเป็นฝ่ายเลือกเกาะ "คนเสื้อแดง" ที่มีจำนวนหนาแน่นคงเส้นคงวา
มากกว่าที่คนเสื้อแดงจะเลือกยกทักษิณเป็น "สัญลักษณ์นำสูงสุด" ในการเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนว่า "คนเสื้อแดง" ไม่มีทาง "ก้าวข้าม" ให้พ้นไปจากทักษิณได้อย่างสมบูรณ์
เพราะ "คนเสื้อแดง" และทักษิณ รวมทั้งปัญหาของทั้งสองฝ่าย ล้วนมีจุดกำเนิดร่วมกันอยู่
และอย่าว่าแต่ "คนเสื้อแดง" เลย เพราะคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยต่างก็ก้าวข้ามไม่พ้นไปจากอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันทั้งนั้น (เช่น ประเด็นชาตินิยม เป็นต้น)
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ควรตั้งคำถามก็คือ "คนเสื้อแดง" ในปี 2554 จะจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับทักษิณอย่างไรและแบบไหน
เหมือนกับที่หลายท่านกำลังเรียกร้องให้สังคมการเมืองไทยต้องจัดวางความสัมพันธ์ทางอำนาจของตนเองเสียใหม่นั่นแหละ
ประเด็นต่อมา คือ คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่า "แกนนำ นปช.รุ่นใหม่" กำลังใช้กลไกที่เป็น "อาวุธร้ายแรง" ทางกฎหมาย (ซึ่งขบวนการประชาธิปไตยไม่ควรใช้) มาทำลายล้างกลุ่มคนบนอีกฝั่งฟากทางการเมือง
ถ้ามองในเชิงหลักการ "แกนนำ นปช." จึงกำลังทำในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามของตนเองเคยทำ
และแทนที่จะรณรงค์ให้สังคม "เปิดกว้าง" มากขึ้น พวกเขากลับเลือกใช้วิธีการที่จะทำให้สังคมไทย "เงียบ" ต่อไป
แต่บางคนบอกว่านี่เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของ "แกนนำ นปช."
ปัญหาคือ แกนนำกลุ่มนี้จะเลือกอะไร ระหว่าง "หลักการที่ดี" หรือ "กลยุทธ์ที่ซับซ้อน"
จะเลือกอะไรระหว่างการไปถึง "เป้าหมาย" อย่างอ้อมๆ หรือ การเคลื่อนไหวอย่างถูกต้องทั้งในเชิง "วิธีการ" และ "เป้าหมาย"
ประเด็นสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับสื่อกระแสหลักและ "คนเสื้อแดง"
2-3 ปีที่ผ่านมา สื่อมีโอกาสมากมายที่จะสัมภาษณ์พูดคุยเจาะลึกเรื่องราวหลากหลายมิติของ "คนเสื้อแดง"
"คนเสื้อแดง" ที่ไม่ใช่แค่ "มวลชน" อันน่าเกลียดน่ากลัว หรือ "มวลชน" จำนวนมากมายมหาศาลอันน่าตื่นตาตื่นใจ
แต่เป็น "ปัจเจกบุคคล" ที่มีปัญหาเบื้องหลังแตกต่างกันไป ทว่าอาจมีจุดยืนบางอย่างร่วมกันอยู่หลวมๆ
น่าเสียดาย ที่สื่อกระแสหลักฉวยโอกาสนั้นไว้ไม่ได้มากนัก
หลังวันที่ 19 พฤษภาคมปีก่อน เป็นต้นมา "คนเสื้อแดง" ถูกผลักให้มีจุดยืนบางประการร่วมกันอย่างหนักแน่นมั่นคงจริงจังยิ่งขึ้น
พวกเขาสร้าง "ไวยากรณ์" ใหม่ๆ มาสื่อสารกันเองในที่ชุมนุมมากขึ้น
ซึ่งทำให้สื่อมวลชนเข้าถึง "ชุดภาษา" เหล่านั้นยากขึ้น
กระทั่งส่งผลให้สังคมไทยคาดเดาอนาคตของตนเองที่ยึดโยงอยู่กับ "คนเสื้อแดง" ได้ลำบากขึ้นตามไปด้วย
(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 มกราคม 2553)9 มกราคม 2554 ขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศมอบของขวัญปีใหม่แพคเกจสวยหรูให้แก่ประชาชน
"กลุ่มคนเสื้อแดง" ก็ประเดิมศักราชใหม่ ด้วยการนัดชุมนุมกันที่ถนนราชดำเนิน ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังสี่แยกราชประสงค์
ด้วยจำนวนคนเข้าร่วมหลายหมื่นอีกเช่นเคย
(เจ้าหน้าที่รัฐประมาณว่า 3 หมื่น ขณะที่ "สมบัติ บุญงามอนงค์" ทวีตข้อความว่า คนเสื้อแดงไปรวมตัวกัน ณ สี่แยกราชประสงค์ในวันนั้นมากที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา)
ดังนั้น ใครที่พยายามทำนายทายทักว่าในปี 2554 ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับอนาคตแบบไหนบ้าง
จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะนับรวม "คนเสื้อแดง" เป็นปัจจัยหนึ่งในการทำนายดังกล่าวไปได้พ้น
แต่ก็มีหลายเรื่องที่เราต้องขบคิดเกี่ยวกับ "คนเสื้อแดง" เช่น
เมื่อวันที่ 9 มกราคม "ทักษิณ ชินวัตร" โฟนอินมายังเวทีเสื้อแดงอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน
บางคนบอกว่า ณ ตอนนี้ ทักษิณดูจะเป็นฝ่ายเลือกเกาะ "คนเสื้อแดง" ที่มีจำนวนหนาแน่นคงเส้นคงวา
มากกว่าที่คนเสื้อแดงจะเลือกยกทักษิณเป็น "สัญลักษณ์นำสูงสุด" ในการเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนว่า "คนเสื้อแดง" ไม่มีทาง "ก้าวข้าม" ให้พ้นไปจากทักษิณได้อย่างสมบูรณ์
เพราะ "คนเสื้อแดง" และทักษิณ รวมทั้งปัญหาของทั้งสองฝ่าย ล้วนมีจุดกำเนิดร่วมกันอยู่
และอย่าว่าแต่ "คนเสื้อแดง" เลย เพราะคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยต่างก็ก้าวข้ามไม่พ้นไปจากอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันทั้งนั้น (เช่น ประเด็นชาตินิยม เป็นต้น)
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ควรตั้งคำถามก็คือ "คนเสื้อแดง" ในปี 2554 จะจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับทักษิณอย่างไรและแบบไหน
เหมือนกับที่หลายท่านกำลังเรียกร้องให้สังคมการเมืองไทยต้องจัดวางความสัมพันธ์ทางอำนาจของตนเองเสียใหม่นั่นแหละ
ประเด็นต่อมา คือ คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่า "แกนนำ นปช.รุ่นใหม่" กำลังใช้กลไกที่เป็น "อาวุธร้ายแรง" ทางกฎหมาย (ซึ่งขบวนการประชาธิปไตยไม่ควรใช้) มาทำลายล้างกลุ่มคนบนอีกฝั่งฟากทางการเมือง
ถ้ามองในเชิงหลักการ "แกนนำ นปช." จึงกำลังทำในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามของตนเองเคยทำ
และแทนที่จะรณรงค์ให้สังคม "เปิดกว้าง" มากขึ้น พวกเขากลับเลือกใช้วิธีการที่จะทำให้สังคมไทย "เงียบ" ต่อไป
แต่บางคนบอกว่านี่เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของ "แกนนำ นปช."
ปัญหาคือ แกนนำกลุ่มนี้จะเลือกอะไร ระหว่าง "หลักการที่ดี" หรือ "กลยุทธ์ที่ซับซ้อน"
จะเลือกอะไรระหว่างการไปถึง "เป้าหมาย" อย่างอ้อมๆ หรือ การเคลื่อนไหวอย่างถูกต้องทั้งในเชิง "วิธีการ" และ "เป้าหมาย"
ประเด็นสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับสื่อกระแสหลักและ "คนเสื้อแดง"
2-3 ปีที่ผ่านมา สื่อมีโอกาสมากมายที่จะสัมภาษณ์พูดคุยเจาะลึกเรื่องราวหลากหลายมิติของ "คนเสื้อแดง"
"คนเสื้อแดง" ที่ไม่ใช่แค่ "มวลชน" อันน่าเกลียดน่ากลัว หรือ "มวลชน" จำนวนมากมายมหาศาลอันน่าตื่นตาตื่นใจ
แต่เป็น "ปัจเจกบุคคล" ที่มีปัญหาเบื้องหลังแตกต่างกันไป ทว่าอาจมีจุดยืนบางอย่างร่วมกันอยู่หลวมๆ
น่าเสียดาย ที่สื่อกระแสหลักฉวยโอกาสนั้นไว้ไม่ได้มากนัก
หลังวันที่ 19 พฤษภาคมปีก่อน เป็นต้นมา "คนเสื้อแดง" ถูกผลักให้มีจุดยืนบางประการร่วมกันอย่างหนักแน่นมั่นคงจริงจังยิ่งขึ้น
พวกเขาสร้าง "ไวยากรณ์" ใหม่ๆ มาสื่อสารกันเองในที่ชุมนุมมากขึ้น
ซึ่งทำให้สื่อมวลชนเข้าถึง "ชุดภาษา" เหล่านั้นยากขึ้น
กระทั่งส่งผลให้สังคมไทยคาดเดาอนาคตของตนเองที่ยึดโยงอยู่กับ "คนเสื้อแดง" ได้ลำบากขึ้นตามไปด้วย
ปชป.พร้อมรับหากมติรัฐสภาเลือกสูตร 400+100
จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ล่าสุดทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มีมติเสียงข้างมาก ยืนตามสูตร 375+125 แต่ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายก ฐานะกมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ในสัดส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา เชื่อว่าในการพิจารณาวาระ 2 นั้น อาจเปลี่ยนแปลงสูตร ให้เป็นไปตามความเห็นของผู้ที่เสนอคำแปรญัตติ ตาม สูตร ส.ส.ระบบเขต 400 คน และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ ให้สัมภาษณ์ว่าหากเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาเห็นด้วยตามสูตรใหม่ที่ 400+100 พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะยอมรับในมติของสมาชิกรัฐสภา เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็ไม่สามารถคุมเสียงข้างมากของที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และส.ว.ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเช่นนั้นอาจสะท้อนความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลชัดเจน นายวิทยา กล่าวว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดปัญหา
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายฯ ฐานะเลขาธิการพรรค จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงสังสรรค์กับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหาข้อยุติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญด้วย นายวิทยา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการหารือเรื่องแก้รัฐธรรมนูญคงจะนำไปหารือในโอกาสอื่นมากกว่า ส่วนงานเลี้ยงสังสรรค์นั้นเป็นงานรื่นเริงที่ทำเป็นประจำก่อนที่จะเปิดสมัยประชุมสภาฯ
ด้านนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเช่นเดียวกันว่าพร้อมจะยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมรัฐสภา อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังมีหลายฝ่ายสับสนว่าการแก้ไขเรื่องจำนวน ส.ส.ให้เป็นสูตร 375+125 นั้นพรรคประชาธิปัตย์มีความได้เปรียบทางการเมือง ตนขอชี้แจงว่าสูตร 375+125 นั้นในส่วนของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่เพิ่มขึ้นเป็น 125 คน เป็นการสร้างโอกาสทางการเมือง ให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น
“ส่วนสูตร 400+100 ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ 40 ที่ผ่านมาได้สร้างปัญหาทางการเมือง จึงเกิดการแก้ไขให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 แต่หากรัฐสภาจะแก้ไขโดยกลับไปใช้สูตรรัฐธรรมนูญ 2540 อีก ผมก็เป็นห่วงว่าบ้านเมืองจะซ้ำรอยปัญหาเดิม ส่วนทิศทางความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์นั้น เชื่อว่าจะยึดตามร่างแก้ไขของคณะรัฐมนตรี แต่หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามหลักการเดิมที่สมาชิกรับเข้าสู่การพิจารณา พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมจะยอมรับ”
ที่มา.เนชั่น
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ ให้สัมภาษณ์ว่าหากเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาเห็นด้วยตามสูตรใหม่ที่ 400+100 พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะยอมรับในมติของสมาชิกรัฐสภา เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็ไม่สามารถคุมเสียงข้างมากของที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และส.ว.ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นเช่นนั้นอาจสะท้อนความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลชัดเจน นายวิทยา กล่าวว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดปัญหา
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายฯ ฐานะเลขาธิการพรรค จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงสังสรรค์กับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหาข้อยุติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญด้วย นายวิทยา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการหารือเรื่องแก้รัฐธรรมนูญคงจะนำไปหารือในโอกาสอื่นมากกว่า ส่วนงานเลี้ยงสังสรรค์นั้นเป็นงานรื่นเริงที่ทำเป็นประจำก่อนที่จะเปิดสมัยประชุมสภาฯ
ด้านนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเช่นเดียวกันว่าพร้อมจะยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมรัฐสภา อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังมีหลายฝ่ายสับสนว่าการแก้ไขเรื่องจำนวน ส.ส.ให้เป็นสูตร 375+125 นั้นพรรคประชาธิปัตย์มีความได้เปรียบทางการเมือง ตนขอชี้แจงว่าสูตร 375+125 นั้นในส่วนของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่เพิ่มขึ้นเป็น 125 คน เป็นการสร้างโอกาสทางการเมือง ให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น
“ส่วนสูตร 400+100 ที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ 40 ที่ผ่านมาได้สร้างปัญหาทางการเมือง จึงเกิดการแก้ไขให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2550 แต่หากรัฐสภาจะแก้ไขโดยกลับไปใช้สูตรรัฐธรรมนูญ 2540 อีก ผมก็เป็นห่วงว่าบ้านเมืองจะซ้ำรอยปัญหาเดิม ส่วนทิศทางความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์นั้น เชื่อว่าจะยึดตามร่างแก้ไขของคณะรัฐมนตรี แต่หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามหลักการเดิมที่สมาชิกรับเข้าสู่การพิจารณา พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมจะยอมรับ”
ที่มา.เนชั่น
วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554
การใช้คนต้องให้ถูกกับงาน!
ปราชญ์ซุนวู กล่าวว่า “หลักการยุทธโดยมิพักต้องทำลายเมือง นับว่าเป็นวิธีที่ประเสริฐยิ่ง รองลงมา คือการหักเอาโดยไม่ทำลายกองพล รองลงมาคือการเอาชนะโดยไม่ทำลายกองพัน เลวกว่านั้นต้องก็อย่าให้ต้องถึงทำลายกองร้อยหรือหมวดหมู่”
ชนะโดยไม่ต้องรบจึงถือเป็นวิธีการอันวิเศษสุด...อยากชนะโดยไม่ต้องรบมันต้องเดินเป็นเล่นถูก
ปัญหาชายแดนไทยเขมรก็เช่นกัน เดินไม่เป็นเล่นไม่ถูกรังแต่จะเป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีน่าจะต้องพิจารณาใหม่แล้วล่ะ
ไอ้ที่ใช้ให้ทำงานด้านนี้...ใช้คนได้ตรงงานหรือไม่ ??
ลิ้นการทูต..กับลิ้นขี้ทูด ....มันคนละเรื่องกันไม่ใช่หรือ ??
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
นักการเมืองไทย !!
ไม่ต้องไปเอกซเรย์ให้รู้เช่นเห็นชาดให้เมื่อยตุ้ม...บทบาทเปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยนแหงแซะ...เมื่อตอนเป็นฝ่ายค้าน “มาร์คไขสือ”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคก็รุมยำโครงการประชานิยมต่างๆเสียเละเป็นโจ๊ก
พอบุญมาวาสนาส่งได้เป็นรัฐบาลก็เป็นอภิสิทธิ์ลืมคำไปซะดื้อๆ เดินนโยบายประชานิยมเสียสุดลิ่มทิ่มตำอย่างที่เห็นๆ
หรือว่ามันเป็นธรรมชาติของนักการเมืองไทย...เมื่อเป็นฝ่ายค้านก็หลับหูหลับตาค้าน
พอพลิกขั้วมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ยอมฟังคำติติงจากฝ่ายค้าน..แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
อะไรที่ทำแล้วประชาชนประเทศชาติได้ประโยชน์ก็เร่งมือทำไป ไม่ว่ากัน
แล้วที่มีเสียงครหาว่าเอาเงินภาษีของประชาชนมาซื้อเสียงเชิงนโยบายนั้น...ประชาวิวัฒน์คงไม่ใช่นะ ???
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา ??
คงจะปราบทุจริตในวงราชการหมดแล้ว !! ป.ป.ช.ถึงได้ไอเดียกระฉูด เสนอให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนกวดวิชา
ในเมื่อการศึกษาที่จัดให้ในระบบไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร..ขนขวายหาวิชาความรู้มาเพิ่มแม้ต้องเสียเงินเสียทองเพิ่มก็ต้องยอม
นี่ขืนรัฐบาลมาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนกวดวิชาอีก...ภาระภาษีก็ต้องถูกผลักมายังนักเรียนอย่างแน่นอน
ชินวรณ์ บุญยเกียรติ เสมา 1 จะคิดอ่านทำอะไรให้มันเข้าท่าเข้าทีดีกว่าขึ้นฟิวเจอร์บอร์ดหราเพื่อโฆษณาว่าไม่ใช้รัฐมนตรีที่โลกลืมก็เร่งมือทำได้แล้ว
การศึกษาในโรงเรียนตามปกติดีแล้ว...แมวที่ไหนจะแส่ไปเสียเงินอีก
สำนวนไต่สวนต่างๆในส่วนของป.ป.ช.ก็ค้างอยู่บานเบอะไม่ใช่หรือ ???
สะสางสำนวนน่าจะดีกว่าจะมาวุ่นกับเรื่องจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาเป็นไหนๆนะ???
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
อะไรไม่ว่าขอให้ได้เสนอเสนอหน้าเป็นพอใจ!
เรื่องของมนุษย์พันธุ์พิเศษ...ฉกฉวยอะไรที่ได้มีโอกาสเสนอหน้าเป็นทำหมด...รกหูรกตาตามข้างถนนรนแคมก็ป้ายประชาสัมพันธ์ของนักการเมือง...ทั้งส่งความสุขปีใหม่และประชาสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าประชาชนธรรมดาเขาทำบ้าง...กรมทางหลวงกับ กทม.จะทำเฉยอย่างนี้หรือไม่ ??
ล่าสุดแค่จะกำจัดยุ่งลาย...ส.ส.กทม.บางพรรคก็ขึ้นชื่อขึ้นรูปหรา
มองให้ทะลุปรุโปร่งผ่านป้าย....พินิจอีกสักหน่อย...ประชาชนคนเป็นเจ้าของประเทศคงพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและควรจะทำอย่างไรต่อไปกับคนพวกนี้ !!!
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
ประชาวิวัฒน์!
นอกจากจะลดแลกแจกแถมแล้ว...ประชาวิวัฒน์ของ”มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีข้อเฆี่ยนให้มีการลดอาชญากรรมลงอีกร้อยละยี่สิบ
ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เลิกทุจริตคอร์รัปชั่นอาชญากรรมมันก็ลดเองนั่นแหละ
อาชญากรรมมันจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ความต้องการและโอกาส...ตำรวจทำได้ก็แค่ลดโอกาสในการประกอบอาชญากรรมเท่านั้นแหละ
ไอ้เรื่องตัดความต้องการในการประกอบอาชญากรรมคงทำได้ยาก...อย่ากำหนดกฎเกณฑ์ให้ตำรวจลดอาชญากรรมโดยรัฐบาลไม่เร่งรัดในส่วนอื่นก็แล้วกัน เดี๋ยวผักชีโรยหน้า...ตัวเลขแหกตาก็โผล่กันมาสลอน
เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ตำรวจก็รับคดีที่ปรากฏเป็นตัวเลขแค่สามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้นไม่ใช่หรือ ??
อยากรู้เรื่องจริง...เรียก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร.มาถามไถ่บ้างก็ได้
ระวังอาจได้ยิน ผบ.ตร.คิดออกมาดังๆก็ได้ว่า “พวกเองเลิกยุ่งกับการแต่งตั้งเมื่อไหร่ อะไรๆก็จะดีไปเองนั่นแหละ” ก็ได้นะ..??
----------------------------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า,บางกอกทูเดย์
ชนะโดยไม่ต้องรบจึงถือเป็นวิธีการอันวิเศษสุด...อยากชนะโดยไม่ต้องรบมันต้องเดินเป็นเล่นถูก
ปัญหาชายแดนไทยเขมรก็เช่นกัน เดินไม่เป็นเล่นไม่ถูกรังแต่จะเป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีน่าจะต้องพิจารณาใหม่แล้วล่ะ
ไอ้ที่ใช้ให้ทำงานด้านนี้...ใช้คนได้ตรงงานหรือไม่ ??
ลิ้นการทูต..กับลิ้นขี้ทูด ....มันคนละเรื่องกันไม่ใช่หรือ ??
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
นักการเมืองไทย !!
ไม่ต้องไปเอกซเรย์ให้รู้เช่นเห็นชาดให้เมื่อยตุ้ม...บทบาทเปลี่ยนคนก็ต้องเปลี่ยนแหงแซะ...เมื่อตอนเป็นฝ่ายค้าน “มาร์คไขสือ”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคก็รุมยำโครงการประชานิยมต่างๆเสียเละเป็นโจ๊ก
พอบุญมาวาสนาส่งได้เป็นรัฐบาลก็เป็นอภิสิทธิ์ลืมคำไปซะดื้อๆ เดินนโยบายประชานิยมเสียสุดลิ่มทิ่มตำอย่างที่เห็นๆ
หรือว่ามันเป็นธรรมชาติของนักการเมืองไทย...เมื่อเป็นฝ่ายค้านก็หลับหูหลับตาค้าน
พอพลิกขั้วมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ยอมฟังคำติติงจากฝ่ายค้าน..แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
อะไรที่ทำแล้วประชาชนประเทศชาติได้ประโยชน์ก็เร่งมือทำไป ไม่ว่ากัน
แล้วที่มีเสียงครหาว่าเอาเงินภาษีของประชาชนมาซื้อเสียงเชิงนโยบายนั้น...ประชาวิวัฒน์คงไม่ใช่นะ ???
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา ??
คงจะปราบทุจริตในวงราชการหมดแล้ว !! ป.ป.ช.ถึงได้ไอเดียกระฉูด เสนอให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนกวดวิชา
ในเมื่อการศึกษาที่จัดให้ในระบบไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร..ขนขวายหาวิชาความรู้มาเพิ่มแม้ต้องเสียเงินเสียทองเพิ่มก็ต้องยอม
นี่ขืนรัฐบาลมาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนกวดวิชาอีก...ภาระภาษีก็ต้องถูกผลักมายังนักเรียนอย่างแน่นอน
ชินวรณ์ บุญยเกียรติ เสมา 1 จะคิดอ่านทำอะไรให้มันเข้าท่าเข้าทีดีกว่าขึ้นฟิวเจอร์บอร์ดหราเพื่อโฆษณาว่าไม่ใช้รัฐมนตรีที่โลกลืมก็เร่งมือทำได้แล้ว
การศึกษาในโรงเรียนตามปกติดีแล้ว...แมวที่ไหนจะแส่ไปเสียเงินอีก
สำนวนไต่สวนต่างๆในส่วนของป.ป.ช.ก็ค้างอยู่บานเบอะไม่ใช่หรือ ???
สะสางสำนวนน่าจะดีกว่าจะมาวุ่นกับเรื่องจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาเป็นไหนๆนะ???
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
อะไรไม่ว่าขอให้ได้เสนอเสนอหน้าเป็นพอใจ!
เรื่องของมนุษย์พันธุ์พิเศษ...ฉกฉวยอะไรที่ได้มีโอกาสเสนอหน้าเป็นทำหมด...รกหูรกตาตามข้างถนนรนแคมก็ป้ายประชาสัมพันธ์ของนักการเมือง...ทั้งส่งความสุขปีใหม่และประชาสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าประชาชนธรรมดาเขาทำบ้าง...กรมทางหลวงกับ กทม.จะทำเฉยอย่างนี้หรือไม่ ??
ล่าสุดแค่จะกำจัดยุ่งลาย...ส.ส.กทม.บางพรรคก็ขึ้นชื่อขึ้นรูปหรา
มองให้ทะลุปรุโปร่งผ่านป้าย....พินิจอีกสักหน่อย...ประชาชนคนเป็นเจ้าของประเทศคงพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและควรจะทำอย่างไรต่อไปกับคนพวกนี้ !!!
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
ประชาวิวัฒน์!
นอกจากจะลดแลกแจกแถมแล้ว...ประชาวิวัฒน์ของ”มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีข้อเฆี่ยนให้มีการลดอาชญากรรมลงอีกร้อยละยี่สิบ
ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เลิกทุจริตคอร์รัปชั่นอาชญากรรมมันก็ลดเองนั่นแหละ
อาชญากรรมมันจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ความต้องการและโอกาส...ตำรวจทำได้ก็แค่ลดโอกาสในการประกอบอาชญากรรมเท่านั้นแหละ
ไอ้เรื่องตัดความต้องการในการประกอบอาชญากรรมคงทำได้ยาก...อย่ากำหนดกฎเกณฑ์ให้ตำรวจลดอาชญากรรมโดยรัฐบาลไม่เร่งรัดในส่วนอื่นก็แล้วกัน เดี๋ยวผักชีโรยหน้า...ตัวเลขแหกตาก็โผล่กันมาสลอน
เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ตำรวจก็รับคดีที่ปรากฏเป็นตัวเลขแค่สามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้นไม่ใช่หรือ ??
อยากรู้เรื่องจริง...เรียก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร.มาถามไถ่บ้างก็ได้
ระวังอาจได้ยิน ผบ.ตร.คิดออกมาดังๆก็ได้ว่า “พวกเองเลิกยุ่งกับการแต่งตั้งเมื่อไหร่ อะไรๆก็จะดีไปเองนั่นแหละ” ก็ได้นะ..??
----------------------------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า,บางกอกทูเดย์
ดอกเตอร์กิตติมศักดิ์ ดอกเตอร์ห้องแถว และดอกเตอร์ประเทศโลกที่สาม
โดย.ชำนาญ จันทร์เรือง
ประเด็นปัญหาของมาตรฐานการศึกษาไทยในปัจจุบันก็คือ การที่เรามีดอกเตอร์กิตติมศักดิ์ ดอกเตอร์ห้องแถว และดอกเตอร์โลกประเทศโลกที่สามอยู่เกลื่อนเมืองจนแทบจะเดินชน กันตาย ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเสมือนจริงและอันไหนเก๊ ผมในฐานะอาจารย์ในหลักสูตรดอกเตอร์ด้วยกันกับเขาคนหนึ่ง จึงอยากจะร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ดังนี้
ดอกเตอร์กิตติมศักดิ์
ปัญหาที่ถกเถียงในเรื่องนี้ก็คือว่าคนที่ได้ปริญญาเอกปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ใช้ ดร. นำหน้าชื่อได้หรือเปล่า มีทั้งบอกว่าใช้ได้กับที่บอกว่าใช้ไม่ได้ โดยที่คนที่บอกว่าใช้ได้ให้เหตุผลว่า ก็เขาได้ปริญญาเอกแล้วต้องใช้ได้ซิ ส่วนคนที่บอกว่าไม่ได้ก็ให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้จบปริญญาเอก จริง ๆ เป็นการให้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นเกียรติเท่านั้น จึงไม่สมควรที่จะใช้คำว่า “ดอกเตอร์”
คำว่าปริญญากิตติมศักดิ์นั้น มาจากภาษาลาตินว่า honoris causa ad gradum เป็นสิ่งที่ได้จากผลงานที่เกี่ยวกับทางวิชาการ ถือเป็นสิ่งประดับตัวบุคคล เพราะปกติแล้วการจะได้ปริญญาต้องไปสอบเข้าและเรียนเป็นเวลาหลายปี ส่วนปริญญากิตติมศักดิ์มักจะเป็นการให้จากสถาบันศึกษาแก่ผู้รับ โดยปริญญาที่ให้อาจจะเป็นปริญญา ตรี โท หรือเอก ซึ่งที่พบบ่อยสุดคือปริญญาเอก โดยวันรับปริญญาจะเป็นวันที่ทำพิธีกันอย่างเอิกเกริกเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้รับ และมหาวิทยาลัยที่ให้ก็จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ได้คนที่มีชื่อเสียงมาเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยมีชื่อออกไปสู่สังคม และ เป็นการเพิ่มเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิคนแรกที่ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ คือ Lionel Woodville ปี ๑๔๗๐ ของ Oxford
ปริญญากิตติมศักดินั้นมักจะมอบให้พร้อมกับพิธีประสาทปริญญาโดยทั่วไป และในต่างประเทศผู้รับมักจะได้รับเชิญให้กล่าวคำปราศรัยด้วยในงานรับปริญญาเพื่อแสดงภูมิหรือ “กึ๋น”ของตนเอง ซึ่งการกล่าวคำปราศรัยนี้มักจะเป็นจุดเด่นของงาน โดยปกติแล้วทางมหาวิทยาลัยจะเสนอชือผู้จะได้รับหลายคน ซึ่งชื่อเหล่านี้จะผ่านการกลั่นกรองจากกรรมการมหาวิทยาลัย เพื่อพิจารณาความเหมาะสม โดยผู้มีชื่อรับเลือกมักจะไม่ทราบว่าทางมหาวิทยาลัยได้เสนอชื่อตนเอง จนกว่าจะได้รับเลือกเป็นทางการ และปกติแล้วการเลือกผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์นี้ถือเป็นความลับอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่าผู้ได้รับกลายเป็นพวกคนดัง เช่น นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจใหญ่ นักแสดง ฯลฯ แทนที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ทรงคุณวุฒิเช่นในอดีต
คำว่า ปริญญากิตติมศักดิ์หรือ honorary degree นี้ แท้จริงแล้วเป็นการประสาทหรือให้เป็นตัวปริญญาจริง ๆ ตามหลักเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งต่างจากปริญญาที่ต้องเรียนมา (earned degree) โดยทางมหาวิทยาลัยยกเว้นการใช้เวลาศึกษาในห้องเรียน วิจัย การต้องเข้าชั้นเรียน หรือ ผ่านการสอบ เพราะผู้ที่ได้รับการยกเว้นที่ว่านี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีชื่อเสียงและเป็นปราชญ์ในสาขานั้นๆ จึงได้รับการยกเว้นตามความต้องการของมหาวิทยาลัย แต่ในปัจจุบันความหมายเดิมค่อยๆเปลี่ยนความหมายไป ปริญญากิตติมศักดิ์กลายเป็นปริญญาที่ไม่เท่ากับปริญญาที่ต้องเรียนต้องสอบมา ซึ่งหมายความว่าของเดิมนั้นให้คนเก่งจริงๆ ฉะนั้น ปริญญากิตติมศักดิ์จึงมีศักดิ์ศรีมาก แต่ปัจจุบันไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นแล้ว
แม้ว่าปริญญาเอกหรือดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ทางมหาวิทยาลัยจะให้ปริญญาีเป็น DSc, DLitt, ฯ ซึ่งมักจะหมายความว่าแม้จะใ้ห้เป็นแบบกิตติมศักดิ์ก็ตาม แต่ปริญญาเหล่านี้ ( DSc, DLitt ฯ) สามารถจะได้จากการศึกษาเล่าเรียนเช่นกัน คือ ทำการศึกษาเพื่อให้่ได้ปริญญาจริง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร โดยสามารถยื่นผลงานการทำวิจัย ซึ่งมักจะทำอยู่หลายปี และผลงานนี้ มีผลต่อวงการวิชาการสาขาวิชานั้นเป็นอย่างมาก โดยทางมหาวิทยาลัยจะตั้ง กรรมการศึกษาผลงาน และรายงานผลการตัดสินให้ทางมหาวิิทยาลััยว่าจะให้ผ่านได้รับปริญญาที่ว่าหรือไม่ โดยปกติผู้เสนอเข้ารับปริญญามักจะเกี่ยวข้องกับสาขานั้นๆ เช่น เป็นอาจารย์สอน หรือ จบมาและดีเด่นอยู่หลายปี
มีหลายมหาวิทยาลัยที่พยายามให้มีความแตกต่างระหว่างดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ( Univ หรือ Doctor of the University') กับดุษฎีบัณฑิตธรรมดา โดยให้เห็นถึงความแตกต่างของสองขั้ว คือ ฝ่ายให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้มีชื่อเสียง กับ ฝ่ายที่ให้แก่ผู้ที่มีความรู้จริง
ผู้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์โดยปกติแล้วจะไม่ใช้คำนำหน้าว่า 'doctor หรือ ดร.' แต่หาก ผู้ที่ได้รับนั้นได้มาเพราะมีความสามารถในสาขานั้นจริงๆ ก็อาจจะเหมาะสมที่จะใช้เป็นคำนำหน้า ชื่อของตนเอง ในหลายๆประเทศ เช่น United Kingdom, Australia, New Zealand, and United States ถือว่าการใช้ doctor หรือ ดร. ของผู้ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นการ ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะได้มาโดยทางใดก็ตาม มีข้อยกเว้นอยู่คนเดียว คือ ในสหรัฐอเมริกาที่ Benjamin Franklin ซึ่งได้รับดุษฎีบัณฑิตจาก University of St. Andrews ในปี ๑๗๕๙ และ University of Oxford ในปี ๑๗๖๒ จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น เขาจะอ้างถึงตนเองว่า "Doctor Franklin."
ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ อาจจะใช้ตัวย่อต่อท้ายชื่อได้ แต่ต้องให้เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นกิตติมศักดิ์ โดยเพิ่มคำว่า "honorary" หรือ "honoris causa" หรือ"h.c." เข้าไปในวงเล็บ และในหลายประเทศ ผู้ได้รับดุษฎีบัณฑิต อาจจะใช้คำนำหน้าว่า doctor โดยใช้คำย่อว่า Dr.h.c. หรือ Dr.(h.c.). ในบางครั้งอาจจะใช้ Hon ก่อนปริญญาว่า Hon DMus.
ในปัจจุบันนี้เนื่องจากมีความยุ่งยากสับสนเรื่องดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยหลายๆแห่งพยายามแยกออกเพื่อให้ชัดเจนโดยให้ดุษฎีบัณฑิตใช้ LLD หรือ Hon.D. เท่านั้น แทน Ph.D. และมีหลายมหาวิทยาล้ย รวมทั้งมหาวิทยาล้ยเปิดใช้ Doctorates of the University (D.Univ.) และใช้ Ph.D หรือ Ed.D สำหรับปริญญาเอกที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียน
สำหรับของไทยเรานั้น สกอ.ได้มีหนังสือ ที่ ศธ.๐๕๐๖(๒) ว/๕๐๕ ลงวันที่ ๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๒ เรื่อง การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปริญญากิตติมศักดิ์ โดยระบุว่า คำนำหน้าว่า ดร. ใช้เฉพาะกับผู้ศึกษาจบระดับปริญญาเอก มิได้รวมถึงปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์หรือพูดง่าย ๆ ผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใช้คำว่า ดร. ไม่ได้ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยนัก ผมคิดว่าหากอยากจะเรียกดอกเตอร์ก็เรียกไปเพราะเป็นรับรู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าคำเรียกขานดอกเตอร์ใช้กับคนที่ได้รับปริญญาในระดับดุษฎีบัณฑิตหรือแพทย์ศาสตร์บัณฑิต(Medical Doctor-M.D.) ซึ่งเขาก็ได้รับดุษฎีบัณฑิตมาแล้วเช่นกันถึงแม้ว่าจะเป็นกิตติมศักดิ์ก็ตาม แต่ต้องใช้ว่า “ดร.(กิตติมศักดิ์)”เพราะจะเป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นกิตติมศักดิ์ แต่หากเป็นดอกเตอร์กิตติมศักดิ์แล้วไปพิมพ์นามบัตรหรือเรียกตนเองว่าว่าดอกเตอร์เฉยๆก็ถือได้ว่าอยู่ในข่ายหลอกลวงประชาชน ปลิ้นปล้อน คบไม่ได้ ฯลฯ ดังเหตุผลที่ผมยกตัวอย่างจากต่างประเทศ มาข้างต้นนั้นเอง
ที่สำคัญก็คือในนานาอารยประเทศทั้งหลายคำว่าดอกเตอร์นั้นส่วนใหญ่เขาจะเอาไว้ใช้เรียกผู้ที่เป็นแพทย์เสียเป็นส่วนใหญ่ เห็นมีแต่พี่ไทยเราเท่านั้นแหละครับที่นิยมใช้คำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อตัวเองทั้งดอกเตอร์ธรรมดาและ ดอกเตอร์กิตติมศักดิ์ จนมีเรื่องเล่าว่าในเครื่องบินโดยสาร ลำหนึ่งมีคนป่วยฉุกเฉิน แอร์โฮสเตสประกาศว่ามีใครเป็นดอกเตอร์(หมอ)บ้าง ปรากฏว่าพี่ไทยเรายกมือกันตั้งหลายคนเล่นเอาแอร์โฮสเตสเป็นงงไปเลย
ดอกเตอร์ห้องแถว
สมัยก่อนเราเคยได้ยินแต่เพียงว่ามีอยู่ในเมืองนอกที่คนมีสตางค์ส่งลูกหลานไปชุบตัวแล้ว ได้ปริญญากลับมาโดยไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ไปติดต่อแล้วเสียสตางค์ให้แก่มหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเป็นห้องแถวมีกิจการขายใบปริญญาบัตรเป็นการเฉพาะ แต่ในปัจจุบันนี้ในประเทศไทยได้มีมหาวิทยาลัยดังกล่าวมาตั้งสาขากันอยู่ทั่วไป
ที่สำคัญก็คือมีมหาวิทยาลัยไทยเราเองที่เปิดการเรียนการสอนในลักษณะนี้ มีการขยายสาขาไปทั่วประเทศ เข้าลักษณะ “จ่ายครบ จบแน่” ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายความถึงมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังตัวอย่างที่ว่ามีการรับนักศึกษาปริญญาเอกเพียงแต่ลงทะเบียนและจ่ายเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท รอให้เวลาใกล้ ๒ ปี ค่อยไปสอบปากเปล่ากับอาจารย์เพียง ๔ คน และก่อนไปสอบจะคนมาช่วยสอนให้พูดด้วย มิหนำซ้ำยังมีการขึ้นชื่อผู้ทีมีชื่อเสียงต่างๆหรือตำแหน่งสูงๆในวงราชการว่าเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยตนอีกด้วย (อย่าให้ยกตัวอย่างเลยครับเดี๋ยวเคืองกันเปล่าๆ)
ดอกเตอร์ประเทศโลกที่สาม
คำว่าดอกเตอร์ประเทศโลกที่สามนี้เป็นคำที่ใช้เรียกขานบรรดาดอกเตอร์ทั้งหลายที่แม้ว่าจะจบจากมหาวิทยาลัยของรัฐก็ตาม แต่เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนไม่เป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด เช่น จะต้องมีอาจารย์จบวุฒิปริญญาเอก หรือ เป็นรองศาสตราจารย์จำนวนเท่านั้นเท่านี้ หรือหากไม่มีจริงๆก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามคุณวุฒิที่กำหนด แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น หรือมีการละเลยมาตรฐานขั้นต่ำในระดับความรู้ภาษาอังกฤษของนักศึกษา เป็นต้น และโดยส่วนใหญ่กรรมการในสภามหาวิทยาลัยเหล่านั้นบางคนก็เป็นกรรมการหลายแห่งจนไม่มีเวลามาเอาใจใส่ในเรื่องนี้ หรือถึงแม้จะพยายามเอาใจใส่ก็ไม่ได้ข้อมูลอยู่ดี ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีคดีไปถึงศาลปกครองแล้ว เพียงแต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวแพร่หลายไปในวงกว้างเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ผู้ที่อยากได้คำว่า “ดร.”โดยไม่อยากยุ่งยากเสียเวลาและเสียเงินเป็นแสนเป็นล้าน ผมขอแนะนำให้ไปยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชื่อที่อำเภอเป็น “ดร”(อ่านว่า”ดอน”แปลว่า พ่วงหรือแพ)เป็นชื่อแรก และใช้ชื่อเดิมเป็นชื่อรอง เสียเงินไม่กี่สิบบาทก็มีคำว่า”ดร”เช่นกันเพียงแต่ไม่แต่ไม่มีจุด (.)เท่านั้นเอง
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจ
********************************************************
ประเด็นปัญหาของมาตรฐานการศึกษาไทยในปัจจุบันก็คือ การที่เรามีดอกเตอร์กิตติมศักดิ์ ดอกเตอร์ห้องแถว และดอกเตอร์โลกประเทศโลกที่สามอยู่เกลื่อนเมืองจนแทบจะเดินชน กันตาย ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเสมือนจริงและอันไหนเก๊ ผมในฐานะอาจารย์ในหลักสูตรดอกเตอร์ด้วยกันกับเขาคนหนึ่ง จึงอยากจะร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ดังนี้
ดอกเตอร์กิตติมศักดิ์
ปัญหาที่ถกเถียงในเรื่องนี้ก็คือว่าคนที่ได้ปริญญาเอกปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ใช้ ดร. นำหน้าชื่อได้หรือเปล่า มีทั้งบอกว่าใช้ได้กับที่บอกว่าใช้ไม่ได้ โดยที่คนที่บอกว่าใช้ได้ให้เหตุผลว่า ก็เขาได้ปริญญาเอกแล้วต้องใช้ได้ซิ ส่วนคนที่บอกว่าไม่ได้ก็ให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้จบปริญญาเอก จริง ๆ เป็นการให้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นเกียรติเท่านั้น จึงไม่สมควรที่จะใช้คำว่า “ดอกเตอร์”
คำว่าปริญญากิตติมศักดิ์นั้น มาจากภาษาลาตินว่า honoris causa ad gradum เป็นสิ่งที่ได้จากผลงานที่เกี่ยวกับทางวิชาการ ถือเป็นสิ่งประดับตัวบุคคล เพราะปกติแล้วการจะได้ปริญญาต้องไปสอบเข้าและเรียนเป็นเวลาหลายปี ส่วนปริญญากิตติมศักดิ์มักจะเป็นการให้จากสถาบันศึกษาแก่ผู้รับ โดยปริญญาที่ให้อาจจะเป็นปริญญา ตรี โท หรือเอก ซึ่งที่พบบ่อยสุดคือปริญญาเอก โดยวันรับปริญญาจะเป็นวันที่ทำพิธีกันอย่างเอิกเกริกเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้รับ และมหาวิทยาลัยที่ให้ก็จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ได้คนที่มีชื่อเสียงมาเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยมีชื่อออกไปสู่สังคม และ เป็นการเพิ่มเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิคนแรกที่ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ คือ Lionel Woodville ปี ๑๔๗๐ ของ Oxford
ปริญญากิตติมศักดินั้นมักจะมอบให้พร้อมกับพิธีประสาทปริญญาโดยทั่วไป และในต่างประเทศผู้รับมักจะได้รับเชิญให้กล่าวคำปราศรัยด้วยในงานรับปริญญาเพื่อแสดงภูมิหรือ “กึ๋น”ของตนเอง ซึ่งการกล่าวคำปราศรัยนี้มักจะเป็นจุดเด่นของงาน โดยปกติแล้วทางมหาวิทยาลัยจะเสนอชือผู้จะได้รับหลายคน ซึ่งชื่อเหล่านี้จะผ่านการกลั่นกรองจากกรรมการมหาวิทยาลัย เพื่อพิจารณาความเหมาะสม โดยผู้มีชื่อรับเลือกมักจะไม่ทราบว่าทางมหาวิทยาลัยได้เสนอชื่อตนเอง จนกว่าจะได้รับเลือกเป็นทางการ และปกติแล้วการเลือกผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์นี้ถือเป็นความลับอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่าผู้ได้รับกลายเป็นพวกคนดัง เช่น นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจใหญ่ นักแสดง ฯลฯ แทนที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ทรงคุณวุฒิเช่นในอดีต
คำว่า ปริญญากิตติมศักดิ์หรือ honorary degree นี้ แท้จริงแล้วเป็นการประสาทหรือให้เป็นตัวปริญญาจริง ๆ ตามหลักเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งต่างจากปริญญาที่ต้องเรียนมา (earned degree) โดยทางมหาวิทยาลัยยกเว้นการใช้เวลาศึกษาในห้องเรียน วิจัย การต้องเข้าชั้นเรียน หรือ ผ่านการสอบ เพราะผู้ที่ได้รับการยกเว้นที่ว่านี้ เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีชื่อเสียงและเป็นปราชญ์ในสาขานั้นๆ จึงได้รับการยกเว้นตามความต้องการของมหาวิทยาลัย แต่ในปัจจุบันความหมายเดิมค่อยๆเปลี่ยนความหมายไป ปริญญากิตติมศักดิ์กลายเป็นปริญญาที่ไม่เท่ากับปริญญาที่ต้องเรียนต้องสอบมา ซึ่งหมายความว่าของเดิมนั้นให้คนเก่งจริงๆ ฉะนั้น ปริญญากิตติมศักดิ์จึงมีศักดิ์ศรีมาก แต่ปัจจุบันไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นแล้ว
แม้ว่าปริญญาเอกหรือดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ทางมหาวิทยาลัยจะให้ปริญญาีเป็น DSc, DLitt, ฯ ซึ่งมักจะหมายความว่าแม้จะใ้ห้เป็นแบบกิตติมศักดิ์ก็ตาม แต่ปริญญาเหล่านี้ ( DSc, DLitt ฯ) สามารถจะได้จากการศึกษาเล่าเรียนเช่นกัน คือ ทำการศึกษาเพื่อให้่ได้ปริญญาจริง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร โดยสามารถยื่นผลงานการทำวิจัย ซึ่งมักจะทำอยู่หลายปี และผลงานนี้ มีผลต่อวงการวิชาการสาขาวิชานั้นเป็นอย่างมาก โดยทางมหาวิทยาลัยจะตั้ง กรรมการศึกษาผลงาน และรายงานผลการตัดสินให้ทางมหาวิิทยาลััยว่าจะให้ผ่านได้รับปริญญาที่ว่าหรือไม่ โดยปกติผู้เสนอเข้ารับปริญญามักจะเกี่ยวข้องกับสาขานั้นๆ เช่น เป็นอาจารย์สอน หรือ จบมาและดีเด่นอยู่หลายปี
มีหลายมหาวิทยาลัยที่พยายามให้มีความแตกต่างระหว่างดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ( Univ หรือ Doctor of the University') กับดุษฎีบัณฑิตธรรมดา โดยให้เห็นถึงความแตกต่างของสองขั้ว คือ ฝ่ายให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้มีชื่อเสียง กับ ฝ่ายที่ให้แก่ผู้ที่มีความรู้จริง
ผู้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์โดยปกติแล้วจะไม่ใช้คำนำหน้าว่า 'doctor หรือ ดร.' แต่หาก ผู้ที่ได้รับนั้นได้มาเพราะมีความสามารถในสาขานั้นจริงๆ ก็อาจจะเหมาะสมที่จะใช้เป็นคำนำหน้า ชื่อของตนเอง ในหลายๆประเทศ เช่น United Kingdom, Australia, New Zealand, and United States ถือว่าการใช้ doctor หรือ ดร. ของผู้ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นการ ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะได้มาโดยทางใดก็ตาม มีข้อยกเว้นอยู่คนเดียว คือ ในสหรัฐอเมริกาที่ Benjamin Franklin ซึ่งได้รับดุษฎีบัณฑิตจาก University of St. Andrews ในปี ๑๗๕๙ และ University of Oxford ในปี ๑๗๖๒ จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น เขาจะอ้างถึงตนเองว่า "Doctor Franklin."
ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ อาจจะใช้ตัวย่อต่อท้ายชื่อได้ แต่ต้องให้เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นกิตติมศักดิ์ โดยเพิ่มคำว่า "honorary" หรือ "honoris causa" หรือ"h.c." เข้าไปในวงเล็บ และในหลายประเทศ ผู้ได้รับดุษฎีบัณฑิต อาจจะใช้คำนำหน้าว่า doctor โดยใช้คำย่อว่า Dr.h.c. หรือ Dr.(h.c.). ในบางครั้งอาจจะใช้ Hon ก่อนปริญญาว่า Hon DMus.
ในปัจจุบันนี้เนื่องจากมีความยุ่งยากสับสนเรื่องดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยหลายๆแห่งพยายามแยกออกเพื่อให้ชัดเจนโดยให้ดุษฎีบัณฑิตใช้ LLD หรือ Hon.D. เท่านั้น แทน Ph.D. และมีหลายมหาวิทยาล้ย รวมทั้งมหาวิทยาล้ยเปิดใช้ Doctorates of the University (D.Univ.) และใช้ Ph.D หรือ Ed.D สำหรับปริญญาเอกที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียน
สำหรับของไทยเรานั้น สกอ.ได้มีหนังสือ ที่ ศธ.๐๕๐๖(๒) ว/๕๐๕ ลงวันที่ ๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๒ เรื่อง การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปริญญากิตติมศักดิ์ โดยระบุว่า คำนำหน้าว่า ดร. ใช้เฉพาะกับผู้ศึกษาจบระดับปริญญาเอก มิได้รวมถึงปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์หรือพูดง่าย ๆ ผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใช้คำว่า ดร. ไม่ได้ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยนัก ผมคิดว่าหากอยากจะเรียกดอกเตอร์ก็เรียกไปเพราะเป็นรับรู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าคำเรียกขานดอกเตอร์ใช้กับคนที่ได้รับปริญญาในระดับดุษฎีบัณฑิตหรือแพทย์ศาสตร์บัณฑิต(Medical Doctor-M.D.) ซึ่งเขาก็ได้รับดุษฎีบัณฑิตมาแล้วเช่นกันถึงแม้ว่าจะเป็นกิตติมศักดิ์ก็ตาม แต่ต้องใช้ว่า “ดร.(กิตติมศักดิ์)”เพราะจะเป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นกิตติมศักดิ์ แต่หากเป็นดอกเตอร์กิตติมศักดิ์แล้วไปพิมพ์นามบัตรหรือเรียกตนเองว่าว่าดอกเตอร์เฉยๆก็ถือได้ว่าอยู่ในข่ายหลอกลวงประชาชน ปลิ้นปล้อน คบไม่ได้ ฯลฯ ดังเหตุผลที่ผมยกตัวอย่างจากต่างประเทศ มาข้างต้นนั้นเอง
ที่สำคัญก็คือในนานาอารยประเทศทั้งหลายคำว่าดอกเตอร์นั้นส่วนใหญ่เขาจะเอาไว้ใช้เรียกผู้ที่เป็นแพทย์เสียเป็นส่วนใหญ่ เห็นมีแต่พี่ไทยเราเท่านั้นแหละครับที่นิยมใช้คำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อตัวเองทั้งดอกเตอร์ธรรมดาและ ดอกเตอร์กิตติมศักดิ์ จนมีเรื่องเล่าว่าในเครื่องบินโดยสาร ลำหนึ่งมีคนป่วยฉุกเฉิน แอร์โฮสเตสประกาศว่ามีใครเป็นดอกเตอร์(หมอ)บ้าง ปรากฏว่าพี่ไทยเรายกมือกันตั้งหลายคนเล่นเอาแอร์โฮสเตสเป็นงงไปเลย
ดอกเตอร์ห้องแถว
สมัยก่อนเราเคยได้ยินแต่เพียงว่ามีอยู่ในเมืองนอกที่คนมีสตางค์ส่งลูกหลานไปชุบตัวแล้ว ได้ปริญญากลับมาโดยไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ไปติดต่อแล้วเสียสตางค์ให้แก่มหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเป็นห้องแถวมีกิจการขายใบปริญญาบัตรเป็นการเฉพาะ แต่ในปัจจุบันนี้ในประเทศไทยได้มีมหาวิทยาลัยดังกล่าวมาตั้งสาขากันอยู่ทั่วไป
ที่สำคัญก็คือมีมหาวิทยาลัยไทยเราเองที่เปิดการเรียนการสอนในลักษณะนี้ มีการขยายสาขาไปทั่วประเทศ เข้าลักษณะ “จ่ายครบ จบแน่” ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายความถึงมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังตัวอย่างที่ว่ามีการรับนักศึกษาปริญญาเอกเพียงแต่ลงทะเบียนและจ่ายเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท รอให้เวลาใกล้ ๒ ปี ค่อยไปสอบปากเปล่ากับอาจารย์เพียง ๔ คน และก่อนไปสอบจะคนมาช่วยสอนให้พูดด้วย มิหนำซ้ำยังมีการขึ้นชื่อผู้ทีมีชื่อเสียงต่างๆหรือตำแหน่งสูงๆในวงราชการว่าเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยตนอีกด้วย (อย่าให้ยกตัวอย่างเลยครับเดี๋ยวเคืองกันเปล่าๆ)
ดอกเตอร์ประเทศโลกที่สาม
คำว่าดอกเตอร์ประเทศโลกที่สามนี้เป็นคำที่ใช้เรียกขานบรรดาดอกเตอร์ทั้งหลายที่แม้ว่าจะจบจากมหาวิทยาลัยของรัฐก็ตาม แต่เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนไม่เป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด เช่น จะต้องมีอาจารย์จบวุฒิปริญญาเอก หรือ เป็นรองศาสตราจารย์จำนวนเท่านั้นเท่านี้ หรือหากไม่มีจริงๆก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามคุณวุฒิที่กำหนด แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น หรือมีการละเลยมาตรฐานขั้นต่ำในระดับความรู้ภาษาอังกฤษของนักศึกษา เป็นต้น และโดยส่วนใหญ่กรรมการในสภามหาวิทยาลัยเหล่านั้นบางคนก็เป็นกรรมการหลายแห่งจนไม่มีเวลามาเอาใจใส่ในเรื่องนี้ หรือถึงแม้จะพยายามเอาใจใส่ก็ไม่ได้ข้อมูลอยู่ดี ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีคดีไปถึงศาลปกครองแล้ว เพียงแต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวแพร่หลายไปในวงกว้างเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ผู้ที่อยากได้คำว่า “ดร.”โดยไม่อยากยุ่งยากเสียเวลาและเสียเงินเป็นแสนเป็นล้าน ผมขอแนะนำให้ไปยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชื่อที่อำเภอเป็น “ดร”(อ่านว่า”ดอน”แปลว่า พ่วงหรือแพ)เป็นชื่อแรก และใช้ชื่อเดิมเป็นชื่อรอง เสียเงินไม่กี่สิบบาทก็มีคำว่า”ดร”เช่นกันเพียงแต่ไม่แต่ไม่มีจุด (.)เท่านั้นเอง
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจ
********************************************************
แง้มโพล "ลับ"เพื่อไทยลุ้นเลือกตั้ง ก้าวคู่ "ทักษิณ" ก้าวข้าม "มิ่งฝัน"
วาระที่พรรคร่วมรัฐบาล 7 พรรค สาละวนกับวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วาระที่เขตการเลือกตั้ง-จำนวน ส.ส. ถูกถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนว่าจะใช้จำนวนเขตเล็ก 375 สัดส่วน 125 คน หรือจะเป็นตัวเลขที่ลงตัว 400 เขต และสัดส่วน 100 คนเท่าเดิมตามแนวทางรัฐธรรมนูญ 2540
วาระที่ผู้มีบารมี-ผู้ติดกับดักการเมือง 5 ปี อีก 111 คน นับถอยหลังอีกไม่เกิน 15 เดือน จะคืนสนามการเลือกตั้ง
ระหว่างที่พรรคร่วมรัฐบาลจัดเรียง โครงการลงทุนทยอยเข้าสู่ห้องประชุม คณะรัฐมนตรีอย่างถ้อยที-ถ้อยอาศัยกัน ทั้ง 35 รัฐมนตรี 20 กระทรวง
สนามการเมืองของฝ่ายคู่แข่ง-คู่ขัดแย้ง-ฝ่ายค้าน "ทักษิณและพวก" ทั้งเพื่อไทย-อดีตพลังประชาชน-อดีตไทยรักไทย ผนึกรวมกันหนาแน่นเตรียมลงสนามเลือกตั้ง
แกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทย ส่งสัญญาณว่า บุคลากรการเมืองของทั้งองคาพยพฝ่ายค้าน ได้ก้าวข้ามวาระ การเปิดสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้ว
แกนนำพรรคบางคนบอกว่า ถึงอย่างไรการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้งก็จะออกมาเป็นระบบเขตเล็ก 400 เขต และสัดส่วน 100 คน
"แกนนำของพรรคเพื่อไทยได้หารือร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกันโหวตวาระการ แก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้งไปใน ทิศทางเดียวกันทั้งหมด" แกนนำพรรค-ผู้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าว
แกนนำพรรคเพื่อไทย-เครือข่ายทักษิณจึงตั้งสมมติฐานการเลือกตั้งสมัยหน้าไว้ 3 ทาง
ทางแรก เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แนวทางนี้ถือว่าเป็นแนวทาง ที่เลวร้ายที่สุด
ทางที่ 2 เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ฉบับแก้ไข แนวทางนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพันธมิตรเก่าอย่างน้อย 3 พรรค อาทิ รวมชาติพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน และชาติไทยพัฒนา
แนวทางที่ 3 แม้เป็นไปได้น้อยที่สุด แต่อยู่ในสมมติฐาน คือ ไม่มีการเลือกตั้ง เพราะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง
ดังนั้น ทั้งวาระในสภาผู้แทนราษฎรและวาระนอกสภาจึงไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของ "ทักษิณและพวก"
เพราะแม้ว่าเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด เลือกตั้งในระบบเดิมพรรคเพื่อไทยยังมั่นใจว่าจะรักษาฐานที่มั่น-ฐานเสียงไว้ได้ไม่ น้อยกว่าเดิม 180 เสียง
ทั้ง "ทักษิณและพวก" จึงใจจดจ่อ-มีความหวังอยู่กับการลงสนามเลือกตั้ง
"พวกเราวางแผนไปไกลถึงการออกแคมเปญการเลือกตั้งแล้ว และการได้โพลสำรวจความนิยมทุกพื้นที่ เพื่อวางแผนการจัดกำลังคน กำลังทรัพยากรไว้พร้อม ปูพรมทุกพื้นที่" แกนนำคนสำคัญพรรคเพื่อไทยกล่าว
แกนนำคนเดิมกล่าวถึงเหตุผลของ ความมั่นใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยหลักวิชาวิทยาศาสตร์และการวิจัยว่า พรรคเพื่อไทยได้ทำทั้งโพลแบบมืออาชีพ-การลงพื้นที่ค้นหาความคิดเห็น ตรวจสอบปัญหาและความต้องการแบบโฟกัสกรุ๊ป พร้อมทำงานวิจัยพฤติการการเลือกตั้งในพื้นที่อย่างละเอียดทุกพื้นที่-ทุกอาชีพ
การทำโพล-และการวิจัยแบบค้นหา "ค่าผันแปร" ทุกตัว ถูกจัดทำขึ้นเป็นหัวข้อหลักในการค้นหา-สำรวจความนิยมของพรรค
"การทำสำรวจความนิยมได้มีการดับเบิลเช็กกับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งฝ่ายที่ชอบเราและไม่ชอบเรา เช่น เราตรวจสอบ ความเห็นต่อการเลือกตั้งด้วยการสัมภาษณ์ความเห็นของข้าราชการ-นักปกครอง ส่วนท้องถิ่น และตำรวจ ผลออกมาชัดเจนมากว่า ขณะนี้แม้เขาไม่พอใจรัฐบาล แต่เขาจำเป็นต้องอยู่กับฝ่ายรัฐบาล แต่เมื่อถึงเวลากาบัตรเลือกตั้งเขาจะเลือกเรา" นักการเมืองที่คุมการทำสำรวจกล่าว
วาระที่ถูกเสนอจากนักคิด-ปัญญาชนของพรรคที่ต้องการให้เพื่อไทยกำหนดวาระปลดแอก "ก้าวข้ามทักษิณ" นั้น ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากนักเลือกตั้งในพรรค
เพราะนักจัดการการเลือกตั้งในพรรคเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า "เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อไทยจะหาเสียงว่าก้าวข้ามทักษิณมีแต่แพ้กับแพ้ ดังนั้นทางเดียวที่จะใช้หาเสียงคือ ก้าวคู่ไปกับทักษิณ เราจึงจะชนะเลือกตั้ง คนที่เสนอให้ก้าวข้ามไม่เข้าใจคนเลือกตั้ง"
ส่วนแคมเปญหาเสียงนั้น ขณะนี้แม้ว่ากรรมการบริหารพรรค "ตัวจริง เสียงนอมินี" จะพยายามเสนอเนื้อหานโยบาย แต่ฝ่ายจัดการเลือกตั้ง "ตัวจริง-เสียงจริง" บอกว่า ทุกแคมเปญที่ออกมาเป็นดอกเห็ดในขณะนี้ "ของปลอม"
ส่วนเนื้อหานโยบาย-แคมเปญหาเสียงของจริงอยู่ในระหว่างการจัดทำโดย "ทักษิณ" เท่านั้น
เสียงที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและภาพแคมเปญระหว่างนี้จึงเป็นเพียง "เป้าหลอก" เพื่อให้นักการเมืองหน้าใหม่ในพรรคได้เป็น "สิงห์สนามซ้อม" ในสภาผู้แทนฯก่อนที่จะได้ลงสนามจริงในอนาคต
นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงแคมเปญที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งของ พรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้ยังไม่ลงตัวเพราะอยู่ระหว่างการเตรียมการ
ส่วนกรณีรายชื่อบุคคลที่จะถูกเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งปรากฏผ่านสื่อมวลชนนั้น นายสมานกล่าวว่า "มีแต่คนอยากจะเป็นนายกฯแต่ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าพรรคเลย การพูดถึงว่าที่นายกฯโดยที่ยังไม่รู้ผลการเลือกตั้ง จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเราเสียมากกว่า เพราะเหมือนกับยังไม่ได้ปล้นแต่จะมาแบ่งสมบัติกันแล้ว"
พรรคเพื่อไทยขณะนี้จึงระทึกใจอยู่กับความจริงหลังเลือกตั้งมากกว่าความฝันของ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ที่ระทึกอยู่กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้ใส่ตำแหน่ง "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"
เพราะคราวนี้สัญญาณชัดเจนที่ถูกส่งตรงมาจาก "ดูไบ" นั้น มีประโยคเดียว "ท่อน้ำเลี้ยงยาว นโยบายโดนใจ ใครไม่ไปพรรคอื่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย"
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------------------------
วาระที่เขตการเลือกตั้ง-จำนวน ส.ส. ถูกถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนว่าจะใช้จำนวนเขตเล็ก 375 สัดส่วน 125 คน หรือจะเป็นตัวเลขที่ลงตัว 400 เขต และสัดส่วน 100 คนเท่าเดิมตามแนวทางรัฐธรรมนูญ 2540
วาระที่ผู้มีบารมี-ผู้ติดกับดักการเมือง 5 ปี อีก 111 คน นับถอยหลังอีกไม่เกิน 15 เดือน จะคืนสนามการเลือกตั้ง
ระหว่างที่พรรคร่วมรัฐบาลจัดเรียง โครงการลงทุนทยอยเข้าสู่ห้องประชุม คณะรัฐมนตรีอย่างถ้อยที-ถ้อยอาศัยกัน ทั้ง 35 รัฐมนตรี 20 กระทรวง
สนามการเมืองของฝ่ายคู่แข่ง-คู่ขัดแย้ง-ฝ่ายค้าน "ทักษิณและพวก" ทั้งเพื่อไทย-อดีตพลังประชาชน-อดีตไทยรักไทย ผนึกรวมกันหนาแน่นเตรียมลงสนามเลือกตั้ง
แกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทย ส่งสัญญาณว่า บุคลากรการเมืองของทั้งองคาพยพฝ่ายค้าน ได้ก้าวข้ามวาระ การเปิดสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้ว
แกนนำพรรคบางคนบอกว่า ถึงอย่างไรการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้งก็จะออกมาเป็นระบบเขตเล็ก 400 เขต และสัดส่วน 100 คน
"แกนนำของพรรคเพื่อไทยได้หารือร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกันโหวตวาระการ แก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้งไปใน ทิศทางเดียวกันทั้งหมด" แกนนำพรรค-ผู้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าว
แกนนำพรรคเพื่อไทย-เครือข่ายทักษิณจึงตั้งสมมติฐานการเลือกตั้งสมัยหน้าไว้ 3 ทาง
ทางแรก เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แนวทางนี้ถือว่าเป็นแนวทาง ที่เลวร้ายที่สุด
ทางที่ 2 เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ฉบับแก้ไข แนวทางนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพันธมิตรเก่าอย่างน้อย 3 พรรค อาทิ รวมชาติพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน และชาติไทยพัฒนา
แนวทางที่ 3 แม้เป็นไปได้น้อยที่สุด แต่อยู่ในสมมติฐาน คือ ไม่มีการเลือกตั้ง เพราะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง
ดังนั้น ทั้งวาระในสภาผู้แทนราษฎรและวาระนอกสภาจึงไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของ "ทักษิณและพวก"
เพราะแม้ว่าเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด เลือกตั้งในระบบเดิมพรรคเพื่อไทยยังมั่นใจว่าจะรักษาฐานที่มั่น-ฐานเสียงไว้ได้ไม่ น้อยกว่าเดิม 180 เสียง
ทั้ง "ทักษิณและพวก" จึงใจจดจ่อ-มีความหวังอยู่กับการลงสนามเลือกตั้ง
"พวกเราวางแผนไปไกลถึงการออกแคมเปญการเลือกตั้งแล้ว และการได้โพลสำรวจความนิยมทุกพื้นที่ เพื่อวางแผนการจัดกำลังคน กำลังทรัพยากรไว้พร้อม ปูพรมทุกพื้นที่" แกนนำคนสำคัญพรรคเพื่อไทยกล่าว
แกนนำคนเดิมกล่าวถึงเหตุผลของ ความมั่นใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยหลักวิชาวิทยาศาสตร์และการวิจัยว่า พรรคเพื่อไทยได้ทำทั้งโพลแบบมืออาชีพ-การลงพื้นที่ค้นหาความคิดเห็น ตรวจสอบปัญหาและความต้องการแบบโฟกัสกรุ๊ป พร้อมทำงานวิจัยพฤติการการเลือกตั้งในพื้นที่อย่างละเอียดทุกพื้นที่-ทุกอาชีพ
การทำโพล-และการวิจัยแบบค้นหา "ค่าผันแปร" ทุกตัว ถูกจัดทำขึ้นเป็นหัวข้อหลักในการค้นหา-สำรวจความนิยมของพรรค
"การทำสำรวจความนิยมได้มีการดับเบิลเช็กกับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งฝ่ายที่ชอบเราและไม่ชอบเรา เช่น เราตรวจสอบ ความเห็นต่อการเลือกตั้งด้วยการสัมภาษณ์ความเห็นของข้าราชการ-นักปกครอง ส่วนท้องถิ่น และตำรวจ ผลออกมาชัดเจนมากว่า ขณะนี้แม้เขาไม่พอใจรัฐบาล แต่เขาจำเป็นต้องอยู่กับฝ่ายรัฐบาล แต่เมื่อถึงเวลากาบัตรเลือกตั้งเขาจะเลือกเรา" นักการเมืองที่คุมการทำสำรวจกล่าว
วาระที่ถูกเสนอจากนักคิด-ปัญญาชนของพรรคที่ต้องการให้เพื่อไทยกำหนดวาระปลดแอก "ก้าวข้ามทักษิณ" นั้น ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากนักเลือกตั้งในพรรค
เพราะนักจัดการการเลือกตั้งในพรรคเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า "เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อไทยจะหาเสียงว่าก้าวข้ามทักษิณมีแต่แพ้กับแพ้ ดังนั้นทางเดียวที่จะใช้หาเสียงคือ ก้าวคู่ไปกับทักษิณ เราจึงจะชนะเลือกตั้ง คนที่เสนอให้ก้าวข้ามไม่เข้าใจคนเลือกตั้ง"
ส่วนแคมเปญหาเสียงนั้น ขณะนี้แม้ว่ากรรมการบริหารพรรค "ตัวจริง เสียงนอมินี" จะพยายามเสนอเนื้อหานโยบาย แต่ฝ่ายจัดการเลือกตั้ง "ตัวจริง-เสียงจริง" บอกว่า ทุกแคมเปญที่ออกมาเป็นดอกเห็ดในขณะนี้ "ของปลอม"
ส่วนเนื้อหานโยบาย-แคมเปญหาเสียงของจริงอยู่ในระหว่างการจัดทำโดย "ทักษิณ" เท่านั้น
เสียงที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและภาพแคมเปญระหว่างนี้จึงเป็นเพียง "เป้าหลอก" เพื่อให้นักการเมืองหน้าใหม่ในพรรคได้เป็น "สิงห์สนามซ้อม" ในสภาผู้แทนฯก่อนที่จะได้ลงสนามจริงในอนาคต
นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงแคมเปญที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งของ พรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้ยังไม่ลงตัวเพราะอยู่ระหว่างการเตรียมการ
ส่วนกรณีรายชื่อบุคคลที่จะถูกเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งปรากฏผ่านสื่อมวลชนนั้น นายสมานกล่าวว่า "มีแต่คนอยากจะเป็นนายกฯแต่ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าพรรคเลย การพูดถึงว่าที่นายกฯโดยที่ยังไม่รู้ผลการเลือกตั้ง จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเราเสียมากกว่า เพราะเหมือนกับยังไม่ได้ปล้นแต่จะมาแบ่งสมบัติกันแล้ว"
พรรคเพื่อไทยขณะนี้จึงระทึกใจอยู่กับความจริงหลังเลือกตั้งมากกว่าความฝันของ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ที่ระทึกอยู่กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้ใส่ตำแหน่ง "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"
เพราะคราวนี้สัญญาณชัดเจนที่ถูกส่งตรงมาจาก "ดูไบ" นั้น มีประโยคเดียว "ท่อน้ำเลี้ยงยาว นโยบายโดนใจ ใครไม่ไปพรรคอื่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย"
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------------------------
วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554
มองอำนาจและชนชั้นในสังคมไทยจากกรณีรถตู้ 9 ศพ
โดย อภิชาติ จันทร์แดง
(หมายเหตุ ผู้เขียนเป็นอาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ติดต่อผู้เขียนได้ที่ apichart.cha@psu.ac.th)
กรณีรถตู้โดยสาย สาย ต.118 ม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถูกรถเก๋งพุ่งชนบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ จนมีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นข่าวดังต่อเนื่องหลายวัน ทั้งที่เป็นเพียงข่าวอุบัติเหตุทั่วไปข่าวหนึ่งเท่านั้น ซึ่งว่าไปแล้วอุบัติเหตุลักษณะดังกล่าวที่ทำให้เกิดความสูญเสีย และผู้ก่อเหตุขับรถด้วยความประมาทก็เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
ที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากเพราะส่วนหนึ่งผู้ก่อเหตุเป็นคนในตระกูลดัง กระแสสังคมหวั่นว่าจะมีการใช้อำนาจหรืออิทธิพลเพื่อให้พ้นความผิด ส่วนหนึ่งก็มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้องจะเลือกปฏิบัติ กล่าวคือ ไม่กล้าปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา และเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายที่สังคมเชื่อว่ากระทำความผิดอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเจ็บและตาย
ดูเหมือนว่ากระแสสังคมกำลังปฏิเสธและรับไม่ได้กับเรื่องการใช้อำนาจหรืออิทธิพลซึ่งมักเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีสถานภาพหรือชนชั้นที่สูงกว่าบุคคลทั่วไปมาใช้ให้ตัวเองพ้นผิด
แต่สิ่งที่ทำให้เราเห็นมิใช่เพียงแต่ประเด็นที่สังคมกำลังหวั่นวิตกที่ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนในตระกูลดังที่เชื่อว่ามีอำนาจและมีความเป็นอภิสิทธิ์ชนดังที่กล่าวมาเพียงเท่านั้น หากตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมสังคมจึงให้ความสนใจข่าวอุบัติเหตุในครั้งนี้ราวกับว่าประเทศของเราไม่เคยมีอุบัติเหตุใหญ่และมีคนตายจำนวนเท่านี้มาก่อน และราวกับว่าประเทศของเราไม่เคยมีเยาวชนไม่มีใบขับขี่เป็นผู้ก่อเหตุมาก่อน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจและกลายเป็นกระแสสังคมที่ต้องเอาผิดกับเยาวชนผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด
หากไล่เรียงรายผู้ตาย มีทั้งคนจบปริญญาเอก อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพ ลูกของข้าราชการระดับสูง ฯลฯ ในทางความหมายของคำว่าอำนาจและชนชั้นก็นับได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจทางความรู้ มีอำนาจทางสังคม มีสถานภาพที่สังคมยอมรับ ให้ความเชื่อถือ และให้ความสำคัญ ซึ่งความจริงแล้วนี่ก็คือการให้ค่าความเป็นชนชั้นที่สูงไปกว่าคนทั่วไปนั่นเอง
แต่ถ้ามองเชิงความสูญเสียในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับคนจำนวนมากที่เจ็บตายในอุบัติเหตุที่มาจากความประมาทของผู้อื่น โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา คนจบปริญญาเอกแตกต่างอะไรกับพนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างอะไรไหมกับคนหาเช้ากินค่ำทั่วไปนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศต่างอะไรกับหนุ่มสาวคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ลูกข้าราชการชั้นสูงต่างอะไรกับเด็กทั่วไปคนหนึ่ง
ไม่ต้องมองอื่นไกล เอาแค่กรณีรถตู้ 9 ศพด้วยกัน ถึงตอนนี้แทบไม่มีใครทราบรายละเอียดหรือทราบความคืบหน้าของคนขับรถตู้คันนี้บ้างไหม ว่าศพถูกเผาแล้วยัง ครอบครัวได้รับความช่วยเหลือหรือเป็นอยู่กันอย่างไร แล้วจะให้บอกว่านี่คือความเท่าเทียมหรือ ในเมื่อความตายในเหตุการณ์เดียวกัน เรายังให้ค่ากับความตายที่ออกมาในรูปความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ หรือความเศร้าโศกเสียใจแตกต่างกันเลย นั่นเพราะผู้ตายแทบทั้งหมด (ยกเว้นคนขับรถตู้) เป็นผู้มีอำนาจทางความรู้ มีสถานภาพทางสังคม ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงความเป็นชนชั้นที่เหนือกว่าคนทั่วไปในสังคมนั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่วิตกกันว่าเยาวชนหญิงวัย 17 ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุจะหลุดพ้นจากความผิดเพราะเธอเป็นคนนามสกุลดัง จึงเป็นเพียงความกลัวเรื่องอำนาจหรือความหวั่นวิตกต่อความแตกต่างทางชนชั้นของคนในสังคมไทยอย่างฉาบฉวยและผิวเผินเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นกำลังคุกคามครอบงำความรู้สึกของเราอยู่อย่างเงียบงันโดยตลอดมา
ถึงวันนี้จึงปรากฏออกมาโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ เรากำลังเศร้าโศกเสียใจและเป็นเดือดเป็นแค้นกับความตายคนในเหตุรถตู้ 9 ศพ จนกลายเป็นกระแสสังคมเสียยิ่งกว่าเราไม่เคยรับรู้ถึงความตายแบบเดียวกันนี้มาก่อนเลย ทั้งที่กรณีดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในร้อยในพันของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มาจากความประมาทของใครสักคน โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาซึ่งมีอุบัติเหตุ มีความสูญเสียชีวิตผู้คนไปยิ่งกว่านี้เสียอีก ซึ่งเชื่อว่าคนจำนวนมากกลับไม่ทุกข์ร้อนเสียด้วยซ้ำ นี่คือความแตกต่างและไม่เท่าเทียมต่อความตายซึ่งมาจากเราเองมิใช่หรือ นี่คือเรากำลังให้ค่ากับอำนาจและยอมรับความแตกต่างชนชั้นให้มีอยู่มิใช่หรือ
นั่นคือเหตุผลสำคัญของการมีอยู่ของเรื่องอำนาจและชนชั้นในสังคมไทย ที่ดูเหมือนว่าเราไม่พึงปรารถนาให้มีอยู่ แต่ท้ายที่สุดเรากลับพิทักษ์รักษามันไว้ในความรู้สึกนึกคิด และเผลอไผลให้ค่ากับมันโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ที่มา.มติชนออนไลน์
(หมายเหตุ ผู้เขียนเป็นอาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ติดต่อผู้เขียนได้ที่ apichart.cha@psu.ac.th)
กรณีรถตู้โดยสาย สาย ต.118 ม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถูกรถเก๋งพุ่งชนบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ จนมีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นข่าวดังต่อเนื่องหลายวัน ทั้งที่เป็นเพียงข่าวอุบัติเหตุทั่วไปข่าวหนึ่งเท่านั้น ซึ่งว่าไปแล้วอุบัติเหตุลักษณะดังกล่าวที่ทำให้เกิดความสูญเสีย และผู้ก่อเหตุขับรถด้วยความประมาทก็เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
ที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากเพราะส่วนหนึ่งผู้ก่อเหตุเป็นคนในตระกูลดัง กระแสสังคมหวั่นว่าจะมีการใช้อำนาจหรืออิทธิพลเพื่อให้พ้นความผิด ส่วนหนึ่งก็มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้เกี่ยวข้องจะเลือกปฏิบัติ กล่าวคือ ไม่กล้าปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา และเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายที่สังคมเชื่อว่ากระทำความผิดอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเจ็บและตาย
ดูเหมือนว่ากระแสสังคมกำลังปฏิเสธและรับไม่ได้กับเรื่องการใช้อำนาจหรืออิทธิพลซึ่งมักเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีสถานภาพหรือชนชั้นที่สูงกว่าบุคคลทั่วไปมาใช้ให้ตัวเองพ้นผิด
แต่สิ่งที่ทำให้เราเห็นมิใช่เพียงแต่ประเด็นที่สังคมกำลังหวั่นวิตกที่ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนในตระกูลดังที่เชื่อว่ามีอำนาจและมีความเป็นอภิสิทธิ์ชนดังที่กล่าวมาเพียงเท่านั้น หากตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมสังคมจึงให้ความสนใจข่าวอุบัติเหตุในครั้งนี้ราวกับว่าประเทศของเราไม่เคยมีอุบัติเหตุใหญ่และมีคนตายจำนวนเท่านี้มาก่อน และราวกับว่าประเทศของเราไม่เคยมีเยาวชนไม่มีใบขับขี่เป็นผู้ก่อเหตุมาก่อน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจและกลายเป็นกระแสสังคมที่ต้องเอาผิดกับเยาวชนผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด
หากไล่เรียงรายผู้ตาย มีทั้งคนจบปริญญาเอก อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพ ลูกของข้าราชการระดับสูง ฯลฯ ในทางความหมายของคำว่าอำนาจและชนชั้นก็นับได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจทางความรู้ มีอำนาจทางสังคม มีสถานภาพที่สังคมยอมรับ ให้ความเชื่อถือ และให้ความสำคัญ ซึ่งความจริงแล้วนี่ก็คือการให้ค่าความเป็นชนชั้นที่สูงไปกว่าคนทั่วไปนั่นเอง
แต่ถ้ามองเชิงความสูญเสียในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับคนจำนวนมากที่เจ็บตายในอุบัติเหตุที่มาจากความประมาทของผู้อื่น โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา คนจบปริญญาเอกแตกต่างอะไรกับพนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างอะไรไหมกับคนหาเช้ากินค่ำทั่วไปนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศต่างอะไรกับหนุ่มสาวคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ลูกข้าราชการชั้นสูงต่างอะไรกับเด็กทั่วไปคนหนึ่ง
ไม่ต้องมองอื่นไกล เอาแค่กรณีรถตู้ 9 ศพด้วยกัน ถึงตอนนี้แทบไม่มีใครทราบรายละเอียดหรือทราบความคืบหน้าของคนขับรถตู้คันนี้บ้างไหม ว่าศพถูกเผาแล้วยัง ครอบครัวได้รับความช่วยเหลือหรือเป็นอยู่กันอย่างไร แล้วจะให้บอกว่านี่คือความเท่าเทียมหรือ ในเมื่อความตายในเหตุการณ์เดียวกัน เรายังให้ค่ากับความตายที่ออกมาในรูปความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ หรือความเศร้าโศกเสียใจแตกต่างกันเลย นั่นเพราะผู้ตายแทบทั้งหมด (ยกเว้นคนขับรถตู้) เป็นผู้มีอำนาจทางความรู้ มีสถานภาพทางสังคม ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดถึงความเป็นชนชั้นที่เหนือกว่าคนทั่วไปในสังคมนั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่วิตกกันว่าเยาวชนหญิงวัย 17 ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุจะหลุดพ้นจากความผิดเพราะเธอเป็นคนนามสกุลดัง จึงเป็นเพียงความกลัวเรื่องอำนาจหรือความหวั่นวิตกต่อความแตกต่างทางชนชั้นของคนในสังคมไทยอย่างฉาบฉวยและผิวเผินเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นกำลังคุกคามครอบงำความรู้สึกของเราอยู่อย่างเงียบงันโดยตลอดมา
ถึงวันนี้จึงปรากฏออกมาโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ เรากำลังเศร้าโศกเสียใจและเป็นเดือดเป็นแค้นกับความตายคนในเหตุรถตู้ 9 ศพ จนกลายเป็นกระแสสังคมเสียยิ่งกว่าเราไม่เคยรับรู้ถึงความตายแบบเดียวกันนี้มาก่อนเลย ทั้งที่กรณีดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในร้อยในพันของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มาจากความประมาทของใครสักคน โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาซึ่งมีอุบัติเหตุ มีความสูญเสียชีวิตผู้คนไปยิ่งกว่านี้เสียอีก ซึ่งเชื่อว่าคนจำนวนมากกลับไม่ทุกข์ร้อนเสียด้วยซ้ำ นี่คือความแตกต่างและไม่เท่าเทียมต่อความตายซึ่งมาจากเราเองมิใช่หรือ นี่คือเรากำลังให้ค่ากับอำนาจและยอมรับความแตกต่างชนชั้นให้มีอยู่มิใช่หรือ
นั่นคือเหตุผลสำคัญของการมีอยู่ของเรื่องอำนาจและชนชั้นในสังคมไทย ที่ดูเหมือนว่าเราไม่พึงปรารถนาให้มีอยู่ แต่ท้ายที่สุดเรากลับพิทักษ์รักษามันไว้ในความรู้สึกนึกคิด และเผลอไผลให้ค่ากับมันโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ที่มา.มติชนออนไลน์
กล่องของขวัญที่ว่างเปล่า ....ขอโทษ(ครับ) ผมเสียดายภาษี
ผมแกะกล่องของขวัญของผู้นำ ที่แจกผ่านรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ออกอากาศผ่านสื่อของรัฐ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554 ดูแล้ว (ครับ) ต้องบอกกันตรงๆ แบบชนชั้นกลางที่โดนรีดภาษีจนหลังอานว่า ผมไม่ได้อะไรเลยจาก ของขวัญ 9 ชิ้น
หนึ่ง ดึงแรงงานนอกระบบเข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคม สอง สินเชื่อพิเศษเพื่อแท็กซี่และผู้ค้าหาบเร่แผงลอย สาม เสื้อวิน ของขวัญสำหรับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง สี่ จุดผ่อนผันสำหรับหาบเร่แผงลอย ห้า ตรึงราคาแอลพีจี สำหรับครัวเรือนและขนส่ง หก ไฟฟ้าฟรี เจ็ด ต้นทุนภาคการเกษตร แปด เปิดเผยข้อมูลต้นทุนสินค้าโดยเฉพาะไข่ไก่ เก้า ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ผมรู้สึกแบบเดียวกับ ประชาชนในผลสำรวจของเอแบคโพลล์ว่า ไม่มีอะไรใหม่ ล้วนเป็นเรื่องเดิมๆ
ใครจะว่า ชนชั้นกลางอย่างผม เห็นแก่ตัว ก็เชิญเลย แต่ผมก็เสียภาษีให้คุณรัฐบาลทุกชุดมาโดยตลอด
ไม่เคยเปิดตำรา How to รวยแบบ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียรและพวก ไม่เคยซื้อกองทุน LTF หรือ RMF เพื่อใช้หักภาษี
แต่ละวัน ใช้จ่าย ดื่มกิน โดยมีภาษีกำกับทุกรายการ ผมเชื่อว่า ชนชั้นกลางแบบผมเสียภาษีมากกว่า 500 เศรษฐีหุ้น"บางคน"ที่กำไรโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ภูมิใจเรื่อยมาว่า เงินภาษีของเราสร้างชาติ เราจ่ายเงินให้ข้าราชการและนักการเมืองดูแลประโยชน์สาธารณะโดยรวม
ไม่เคยไปเย้วๆ เรียกร้องสิทธิทางการเมือง โดยการชุมนุมปิดถนน ไม่เคยยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่เคยยึดสนามบิน ไม่เคยประกาศตัวว่า รักชาติมากกว่าใคร จนขนาดจะไปก่อสงครามกับเพื่อนบ้าน
นิยามความรักชาติของชนชั้นกลางแบบผมและเพื่อนๆ ก็คือ ทำหน้าที่พลเมืองดี เคารพกฎหมาย และจ่ายภาษีทุกเม็ด
แต่เมื่อแกะกล่องของขวัญ" 9 ชิ้น"ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้ว บอกได้คำเดียวว่า "เสียดายภาษี"(ครับ)
ตอนปลายรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมเคยวิจารณ์นโยบายประชานิยมของทักษิณ ผ่านรัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยคนหนึ่ง ว่า ชนชั้นกลางอย่างพวกผมไม่ได้อะไรเลย(นะ) จากนโยบายหาเสียงแบบเข้มข้นของคุณทักษิณ
ผมต่อว่าแบบไม่เกรงใจผ่านรัฐมนตรีไทยรักไทยว่า คุณเอาภาษีของผม ไปหาเสียงกับชนชั้นรากหญ้า(นี่หว่า )
รัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยแก้ต่างว่า โดยอ้อมแล้วชนชั้นกลางอย่างผม จะได้อานิสสงค์แน่นอน เมื่อทุกคนอยู่ดีมีสุข สังคมจะน่าอยู่
พวกเขา บอกว่า มันจะค่อยๆหลั่งรินไปถึงทุกชนชั้น ...ใจเย็นๆ เดี๋ยวฝนก็ตกทั่วฟ้า
รัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยคนนั้น บอกว่า ของขวัญสำหรับชนชั้นกลาง อย่างผมอยู่ในแพกเกจต่อไป ...โปรดอดใจรอ
แล้วไม่นานรัฐบาลประชานิยมของทักษิณก็ถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มาวันนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับมาเล่นละครและคลิป เดียวกับรัฐบาลทักษิณ ชนชั้นกลางอย่างผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
นอกจากไม่ได้อะไรจากกล่องของขวัญแล้ว ความรู้สึกในด้านความเป็นธรรม ความเสมอหน้ากันต่อหน้ากฎหมายยังแย่ลงเรื่อยๆ
วันนี้ มีแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่โชคดีซ้ำซาก ได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่งต่อหน้าสิ่งที่เรียกว่า "ยุติธรรม"
แต่ประสบการณ์ของชาวบ้านส่วนใหญ่ คือ การเลือกปฎิบัติ และ 2 มาตรฐานในสังคมไทย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พบเห็นอยู่ทั่วไป
วันเดียวกับที่นายกฯอภิสิทธิ์ แจกของขวัญ เอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 74.7 % มองว่ามีการครอบครองที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยคนตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม
ประชาชนส่วนใหญ่ 76.0 % ได้ยินเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ และที่สำคัญคุณภาพของข้าราชการยังแย่เหมือนเดิม
มิใยต้อง พูดเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ชั่วโมงนี้ ความปลอดภัย มีให้บริการเฉพาะชนชั้นนำที่มีรถนำเท่านั้น
ชนชั้นกลางที่จ่ายภาษีอย่างผม ย่อมมีสิทธิคาดหวังว่า จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เราควรได้รับการปฎิบัติจากรัฐบาล อย่างเสมอภาค
แต่วันนี้ ภาษีที่จ่ายไป ดูเหมือนว่า ถูกเอาไปใช้จ่ายแบบไม่คุ้มค่า ถามจริงๆ เถิด ประเทศไทยจะยั่งยืน ด้วยกล่องของขัวญพวกนี้จริงๆ หรือ ?
จริงๆ แล้ว ชนชั้นกลางอย่างพวกผม อยากเรียกร้องให้ รัฐบาล นำแรงงานนอกระบบ 24 ล้านคนเข้าสู่ระบบภาษีมากกว่า ไม่ใช่มุ่งแต่หาเสียงกับแรงงานนอกระบบ เพื่อหวังคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งหน้า
ชนชั้นกลางอย่างผมไม่ขออะไรจากรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ทั้งความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและต่อหน้าการบังคับใช้กฎหมาย
หากจะทวงถามบ้าง ก็มีเพียงเรื่องเดียวคือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะดองกันอีกนานไหม หรือว่า ต้องรอรัฐบาลชุดหน้ามาตัดสินใจ !(ครับ)
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------------------------------------------------
หนึ่ง ดึงแรงงานนอกระบบเข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคม สอง สินเชื่อพิเศษเพื่อแท็กซี่และผู้ค้าหาบเร่แผงลอย สาม เสื้อวิน ของขวัญสำหรับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง สี่ จุดผ่อนผันสำหรับหาบเร่แผงลอย ห้า ตรึงราคาแอลพีจี สำหรับครัวเรือนและขนส่ง หก ไฟฟ้าฟรี เจ็ด ต้นทุนภาคการเกษตร แปด เปิดเผยข้อมูลต้นทุนสินค้าโดยเฉพาะไข่ไก่ เก้า ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ผมรู้สึกแบบเดียวกับ ประชาชนในผลสำรวจของเอแบคโพลล์ว่า ไม่มีอะไรใหม่ ล้วนเป็นเรื่องเดิมๆ
ใครจะว่า ชนชั้นกลางอย่างผม เห็นแก่ตัว ก็เชิญเลย แต่ผมก็เสียภาษีให้คุณรัฐบาลทุกชุดมาโดยตลอด
ไม่เคยเปิดตำรา How to รวยแบบ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียรและพวก ไม่เคยซื้อกองทุน LTF หรือ RMF เพื่อใช้หักภาษี
แต่ละวัน ใช้จ่าย ดื่มกิน โดยมีภาษีกำกับทุกรายการ ผมเชื่อว่า ชนชั้นกลางแบบผมเสียภาษีมากกว่า 500 เศรษฐีหุ้น"บางคน"ที่กำไรโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ภูมิใจเรื่อยมาว่า เงินภาษีของเราสร้างชาติ เราจ่ายเงินให้ข้าราชการและนักการเมืองดูแลประโยชน์สาธารณะโดยรวม
ไม่เคยไปเย้วๆ เรียกร้องสิทธิทางการเมือง โดยการชุมนุมปิดถนน ไม่เคยยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่เคยยึดสนามบิน ไม่เคยประกาศตัวว่า รักชาติมากกว่าใคร จนขนาดจะไปก่อสงครามกับเพื่อนบ้าน
นิยามความรักชาติของชนชั้นกลางแบบผมและเพื่อนๆ ก็คือ ทำหน้าที่พลเมืองดี เคารพกฎหมาย และจ่ายภาษีทุกเม็ด
แต่เมื่อแกะกล่องของขวัญ" 9 ชิ้น"ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้ว บอกได้คำเดียวว่า "เสียดายภาษี"(ครับ)
ตอนปลายรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมเคยวิจารณ์นโยบายประชานิยมของทักษิณ ผ่านรัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยคนหนึ่ง ว่า ชนชั้นกลางอย่างพวกผมไม่ได้อะไรเลย(นะ) จากนโยบายหาเสียงแบบเข้มข้นของคุณทักษิณ
ผมต่อว่าแบบไม่เกรงใจผ่านรัฐมนตรีไทยรักไทยว่า คุณเอาภาษีของผม ไปหาเสียงกับชนชั้นรากหญ้า(นี่หว่า )
รัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยแก้ต่างว่า โดยอ้อมแล้วชนชั้นกลางอย่างผม จะได้อานิสสงค์แน่นอน เมื่อทุกคนอยู่ดีมีสุข สังคมจะน่าอยู่
พวกเขา บอกว่า มันจะค่อยๆหลั่งรินไปถึงทุกชนชั้น ...ใจเย็นๆ เดี๋ยวฝนก็ตกทั่วฟ้า
รัฐมนตรีพรรคไทยรักไทยคนนั้น บอกว่า ของขวัญสำหรับชนชั้นกลาง อย่างผมอยู่ในแพกเกจต่อไป ...โปรดอดใจรอ
แล้วไม่นานรัฐบาลประชานิยมของทักษิณก็ถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มาวันนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับมาเล่นละครและคลิป เดียวกับรัฐบาลทักษิณ ชนชั้นกลางอย่างผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
นอกจากไม่ได้อะไรจากกล่องของขวัญแล้ว ความรู้สึกในด้านความเป็นธรรม ความเสมอหน้ากันต่อหน้ากฎหมายยังแย่ลงเรื่อยๆ
วันนี้ มีแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่โชคดีซ้ำซาก ได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่งต่อหน้าสิ่งที่เรียกว่า "ยุติธรรม"
แต่ประสบการณ์ของชาวบ้านส่วนใหญ่ คือ การเลือกปฎิบัติ และ 2 มาตรฐานในสังคมไทย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พบเห็นอยู่ทั่วไป
วันเดียวกับที่นายกฯอภิสิทธิ์ แจกของขวัญ เอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 74.7 % มองว่ามีการครอบครองที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยคนตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม
ประชาชนส่วนใหญ่ 76.0 % ได้ยินเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ และที่สำคัญคุณภาพของข้าราชการยังแย่เหมือนเดิม
มิใยต้อง พูดเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ชั่วโมงนี้ ความปลอดภัย มีให้บริการเฉพาะชนชั้นนำที่มีรถนำเท่านั้น
ชนชั้นกลางที่จ่ายภาษีอย่างผม ย่อมมีสิทธิคาดหวังว่า จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เราควรได้รับการปฎิบัติจากรัฐบาล อย่างเสมอภาค
แต่วันนี้ ภาษีที่จ่ายไป ดูเหมือนว่า ถูกเอาไปใช้จ่ายแบบไม่คุ้มค่า ถามจริงๆ เถิด ประเทศไทยจะยั่งยืน ด้วยกล่องของขัวญพวกนี้จริงๆ หรือ ?
จริงๆ แล้ว ชนชั้นกลางอย่างพวกผม อยากเรียกร้องให้ รัฐบาล นำแรงงานนอกระบบ 24 ล้านคนเข้าสู่ระบบภาษีมากกว่า ไม่ใช่มุ่งแต่หาเสียงกับแรงงานนอกระบบ เพื่อหวังคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งหน้า
ชนชั้นกลางอย่างผมไม่ขออะไรจากรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ทั้งความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและต่อหน้าการบังคับใช้กฎหมาย
หากจะทวงถามบ้าง ก็มีเพียงเรื่องเดียวคือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะดองกันอีกนานไหม หรือว่า ต้องรอรัฐบาลชุดหน้ามาตัดสินใจ !(ครับ)
ที่มา.มติชนออนไลน์
------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)