Schopenhauer
ในอดีตการแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง จนเมื่ออำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ แล้วที่รัฐเป็นผู้ลงมือซะเอง หากประชาชนคิดจะแก้แค้น ควรแก้แค้นใครดี?
“การแก้แค้น” เป็นก้าวแรกของหลักแห่งความยุติธรรม
ตั้งแต่โบราณกาลเมื่อมีการก่ออาชญากรรมขึ้น – ผู้เสียหาย หรือครอบครัว ย่อมมีสิทธิที่จะแก้แค้น
แม้การแก้แค้นจะต้อง “ฆ่า” ให้ตายไปตามกัน ให้สาสมกัน ก็ยังกระทำกันได้ (ในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นผู้ก่อฆาตกรรม)
ทั้งไม่มีการแบ่งแยกว่า “อะไรเป็นความผิดที่ตั้งใจ” และ “อะไรเป็นความผิดที่ไม่ตั้งใจ” เพราะถือคติว่า “เมื่อมีการฆ่าคนตาย ต้องมีการแก้แค้น อย่างเดียว” และเรื่องจะยุติแค่นั้น จะไม่มีการกระทำการแก้แค้นตอบโต้กันอีก - - การแก้แค้นจึงเป็นความยุติธรรม และความถูกต้อง!!!
ยิ่งเป็นอาชญากรรมระหว่างกลุ่มชน ยิ่งต้องมีการแก้แค้นกัน มันเป็นการแสดงพลังของหมู่คณะ ทำให้ศัตรูขยาดกลัว เพราะถ้ายอมให้อีกกลุ่ม กระทำกับคนในกลุ่มตนได้ ก็อาจจะถูกข่มเหง-รังแก ไม่มีวันที่สิ้นสุด
เมื่อมีคนในกลุ่มหนึ่ง ไปฆ่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง – สมาชิกในกลุ่มคนที่ถูกฆ่า จะต้องหาทางเอาตัวฆาตกรคนนั้น มาลงโทษให้ได้ แล้วคนในกลุ่มที่มีสมาชิกเป็นฆาตกร จะรับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไร?
แต่ขณะเดียวกัน สำหรับคนบางกลุ่ม “อาชญากรรมของพวกพ้อง” อาจไม่ถือว่าเป็นความผิด หรือกลับเห็นว่าเป็นความดีด้วยซ้ำไป!!!
สัญชาตญาณในการคุ้มครองภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง หรือภัยของหมู่คณะเป็นสิ่งที่ท้าทาย ทำให้ต้องคิดหาทางแก้แค้นให้จงได้ เพราะความรักในหมู่คณะ, เพราะการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม, ก็คือการปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขานั่นเอง (ยิ่งมีความเชื่ออื่นๆ มาประกอบ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกร่วมรุนแรงมากยิ่งขึ้น - เช่น มีเหตุทำให้ “คนที่เขารัก” ต้องระหกระเหิน ต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากหมู่คณะ – การแก้แค้น เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่เขารัก ยิ่งมิอาจหลีกเลี่ยง!!!)
การแก้แค้น-ล้างแค้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสิ่งที่มนุษย์เรียกว่ากฎหมาย – เป็นกฎที่ยิ่งใหญ่กว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎศีลธรรม
การแก้แค้นนอกจากเป็นไปเพื่อการลงโทษแล้ว ยังเป็นการขู่ให้คนเกรงกลัว และป้องกันไม่ให้มีการทำร้ายกันอีก
ข้อเท็จจริงก็คือ “การแก้แค้นเป็นอำนาจของมนุษย์ เพื่อใช้มันปกป้องสิทธิของตนเอง”
ในยุคสมัยต่อๆ มา “ผู้เสียหาย” มีทางเลือกมากขึ้น, การแก้แค้นแบบ “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” แบบดั้งเดิม เริ่มลดความสำคัญลง มีการชดใช้สิ่งของที่คนชอบ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย สิ่งของมีค่า-เงินทอง เพื่อชดใช้มูลค่าความเสียหาย ทดแทนการแก้แค้น
แต่วิธีการชดใช้นี้ เป็นการลงโทษจริงหรือ – หรือเป็นอุบายลดความโกรธแค้น – หรือเป็นการพยายามทำให้ผู้เสียหายเกิดความโลภ หรือเป็นเพียงวิธีปกป้องผู้กระทำความผิด ให้รอด (ชีวิต) จากการถูกแก้แค้น? - หรือเพื่อมิให้มีการแก้แค้น (จองเวร) กันต่อไป???
กระทั่งกำเนิด “รัฐ” – รัฐที่เป็นผู้สั่ง-เป็นผู้บังคับ-เป็นผู้ลงโทษ, ให้ผู้ที่กระทำความผิด ต้องชดใช้ความเสียหาย ตามกฎหมายที่รัฐเป็นผู้กำหนดไว้ – จากอำนาจการแก้แค้นที่เคยเป็นของบุคคล – และถัดมาเป็นของหัวหน้าเผ่า
บัดนี้ อำนาจนั้นกลายมาเป็นของรัฐ - รัฐจึงเป็นผู้ควบคุม มิให้ประชาชนทำการแก้แค้นต่อกัน เพราะการแก้แค้นต่อกันระหว่างประชาชน จะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และความไม่มั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง???
และแล้ววันเวลา ก็เดินมาถึงยุคสมัย ที่ “รัฐเป็นผู้ลงมือแก้แค้นซะเอง!!!”
...
ถ้าจะมีคำถามสักคำถาม - คำถามนั้นคือ “ถ้าประชาชน คิดจะแก้แค้น – จะแก้แค้นใครดี !!!” (ต้องสรุปให้ได้ก่อนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด - เกิดจากข้อพิพาทของประชาชนต่อประชาชน หรือเกิดจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง กับรัฐ-รัฐหนึ่ง !!!)
ที่มา.ประชาไท
********************************************
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
กต.เผยผลสอบ 7 คนไทยล้ำเเดนกัมพูชาจริง
กต.เผยผลสอบ 7 คนไทยล้ำเเดนกัมพูชาจริง ระบุมี 2 แนวทางช่วย ไชยวัฒน์ระบุชุมนุม 4 ม.ค. ที่ จ.สระแก้ว ร้องปล่อย 7 คนไทย
- เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กรรมการเครือข่ายฯ ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ กรรมการเครือข่ายฯ นายการุณ ใสงาม ที่ปรึกษาเครือข่ายฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีคนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมาว่า เป็นการนำเสนอพยานบุคคลและเอกสารการครอบครองที่ดินของคนไทยเป็นเอกสาร หนังสือรับรองสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ( นส. 3 ก.) โดยยืนยันว่า คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในพื้นที่เขตแดนไทยในการลงพื้นที่สำรวจตามคำ ร้องเรียนของประชาชนว่า ถูกบุกรุกพื้นที่เขตแดนไทยจากทหารกัมพูชา รมถึงการเดินทางไปยื่นหนังสือกับทางกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประสานการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเครือข่ายได้ชุมนุมเรียกร้องด้วย
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การที่สมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาระบุว่า คนไทย 7 คน หนึ่งในนั้นมีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนรัฐสภา ซึ่งเป็น 1 ใน 30 คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี 3 ฉบับ และ 6 ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป เนื่องจากมีการรุกล้ำดินแดนไม่เป็นความจริง วันนี้เราเจอพยานบุคคล ที่มีเอกสารยืนยันว่า ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาคุมตัวไป เป็นพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย เอกสารที่ประชาชนได้มาก็มีตั้งแต่ยุคนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเสียภาษีให้กับท้องที่ตลอดมา เเละกลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติจะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวให้แกนนำ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติทุกภาค ระดมประชาชนแล้วให้ทุกคนมุ่งไปถนนศรีเพ็ญจ.สระแก้ว และเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 4 ม.ค. 2554 โดยจะมีการรวมตัวเคลื่อนไหวจากบริเวณประตู 4 ข้างทำเนียบ รัฐบาล ในวันที่ 3 ม.ค. 2554 เวลา 12.00 น. แล้วร่วมกันเดินทางไปชุมนุมที่ถนนศรีเพ็ญ จ.สระแก้ว เพื่อร่วมชุมนุมด้วยกันเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 7 คนไทย นอกจากนี้เรายังได้รับรายงานมาแล้วว่า จะมีประชาชนเดินทางไปรอร่วมชุมนุมในพื้นที่แล้วประมาณ 5 พันคน
ด้าน นายการุณ กล่าวว่า เหตุที่คนไทยถูกกุมตัว เพราะมีประชาชนร้องมายังกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และนายกรัฐมนตรีว่า ประชาชนไม่สามารถไปออกโฉนด เอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินทำกิน ทั้งที่เขามีการถือหนังสือรับรองเป็นนส.3ก.หรือประชาชนที่ได้เสียภาษีใน ที่ดินทำกินให้กับรัฐ (ภทบ. 5 ) เป็นเอกสารตั้งแต่ปี 2484 เเละปี 2490 โดยเจ้าหน้าที่รางวัดบอกกับประชาชนว่า ทหารกัมพูชายึดครองพื้นที่ไม่สามารถไปทำการรางวัดออกโฉนดได้ หรือแม้แต่ครั้งที่กัมพูชามีสงคราม 3 ฝ่าย ทางองค์การสหประชาชาติก็เคยได้รับรองหมู่บ้านอพยพชาวเขมรให้กับทางรัฐบาลไทย ดังนั้นเอกสารที่มีอยู่ได้รับการรับรองย่อมเป็นดินแดนของคนไทย
กต.เผย2แนวทางช่วย 7 คนไทยเขมรจับ
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และพวกรวม 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทยโดยเร็ว
นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตได้เตรียมให้ความสะดวกแก่ภรรยาของนายพนิช ที่จะเข้าเยี่ยมนายพนิช ที่เรือนจำไปรซอร์ในวันพรุ่งนี้ ในส่วนการสู้คดีขึ้นอยู่กับทนายความจะปรึกษาหารือกับนายพนิชว่าจะดำเนินการ ต่อไป โดยต้องรอศาลนัดไตร่สวนคดีในวันที่ 4 ม.ค.54 อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการกฎหมายของกัมพูชา
นายธานี กล่าวด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่า เส้นทางที่คณะนายพนิชใช้ได้รุกล้ำในเขตพื้นที่กัมพูชาจริง แต่ไม่ได้เจตนา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทราบต่อไป
มีรายงานว่า แนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมไว้ให้การช่วยเหลือ คือ การเจรจาระดับสูงกับทางการกัมพูชา ควบคุมไปกับการเข้าสู่กับกระบวนการของศาลกัมพูชา ซึ่งสามารถเป็นไปได้ 2 ทาง คือ การยื่นขอประกันตัว หรือการเร่งรัดให้ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด เพื่อขอลดหย่อนผ่อนโทษ โดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นสำคัญ
ฟันธง"พนิช"โดนจำคุกศาลรธน.วินิจฉัยได้
นายคมสัน โพธิคง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีที่หากนายพนิชถูกศาลกัมพูชาพิพากษา ว่า มีความผิดและไม่ได้รับการประกันตัวจะทำให้หมดสมาชิกภาพการเป็นส.ส. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สามารถที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเพิกถอนสมาชิกภาพได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ 106
ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่ารัฐธรรมนูญจำกัดเฉพาะศาลในประเทศไทยนั้น แม้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่เจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้มุ่งไปที่ การป้องกันไม่ให้คนที่มีมลทินมาทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน โดยไม่จำกัดว่าจะเกิดที่ใด เช่น หากส.ส.ไปขโมยของในสหรัฐ แล้วถูกพิพากษาจำคุก หรือเข้าประเทศญี่ปุ่นผิดกฎหมาย ถูกตัดสินจำคุกที่ญีปุ่น ก็ถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายพนิช อาจยกประเด็นการจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นต่อสู้ได้ เพราะจากที่ตรวจสอบนายพนิช ถูกจับในดินแดนของไทย
องอาจยัน 7 คนไทยไม่มีเจตนารุกเขมร
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเร่งช่วยเหลือกลุ่มคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ว่า รัฐบาลพยายามใช้หลายช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา ขณะที่ยืนยันว่า ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาขณะนี้ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งใดที่เป็นปัญหาจะทำความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงเรื่องข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานคณะกรรมการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ตั้งขอสังเกตถึงเจตนาการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว ของกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ที่ขาดการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จนทำให้มีปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ และถูกควบคุมตัวในที่สุด ซึ่งมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากขึ้น แล้ว ยังอาจส่งผลในทางการเมือง โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะ มีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนถึงการปักปันเขตแดนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความล่าช้า ทั้งที่ จ.สระแก้ว หรือพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและในอ่าวไทย
ร้อยละ 89 เชื่อเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ภรรยาของนายพนิช ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อเยี่ยมสามี คาดว่าจะเข้าพบได้วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ให้ช่วยโดยเร็ว
ด้านสวนดุสิตโพล ระบุว่า ร้อยละ 89 เชื่อว่า การจับกุมคนไทยทั้ง 7 คน เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังกังวลว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรจะเร่งเจรจาให้มีการปล่อยตัว และหาข้อยุติในการแบ่งเส้นแดนไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน
พท.ชี้คำพูดรัฐบาลอาจเป็นพยานมัดตัว"พนิช"ติดคุกเขมร
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ถูกกัมพูชาจับกุม ว่า ตนไม่คิดว่าส.ส. ที่เป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเสียทางมวยจนถูกจับ กุม ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้เตือนแล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะเดินทางรุกล้ำเข้าไป ในเขตกัมพูชา เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ยังมีปัญหาคาใจคนในรัฐบาลกัมพูชาอยู่ แต่สถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเพราะนายกษิตยอมรับว่าบุคคลทั้ง 7 ลุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาจริง และยังยอมรับว่ามีคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยทั้งๆ ที่ในทางการทูตหากเจรจาไม่สำเร็จควรจะระบุว่าอยู่ในขั้นตอนการเจรจาจะได้ไม่ เป็นพยานหลักฐานไปเพิ่มน้ำหนักให้ศาลลงโทษได้เต็มที่ ซึ่งคณะกรรมการติดตามการทำงานรัฐบาล (คตร.) ของพรรคเพื่อไทยบางคนยังตกใจที่รัฐมนตรีปากไว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นดินเนื้อเดียวกัน เพราะขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามจะสานสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่ทางหนึ่งกลับสั่งการให้ส.ส.ของพรรคไปดำเนินการบางอย่างร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะทำงานติดตามกรณีความขัดแย้งและความคืบหน้าในการแก้ ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนและเขาพระวิหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยว่า ได้ดำเนินการตามที่เคยโจมตีพรรคเพื่อไทยในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน หรือไม่ ส่วนกรณีการให้ความช่วยเหลือในคดีนี้นั้น พรรคเพื่อไทยแม้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา แต่โดยมารยาทต้องปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือก่อน แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอให้รัฐบาลร้องขอมา พรรคยินดีจะจัดให้ เพื่อให้คนไทยทุกคนโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การกระทำของนายพนิชอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและสุ่มเสี่ยงต่อสมาชิกภาพส.ส.นั้น นายจิรยุกล่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกันและเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.เขต 6 ได้เลย ทั้งนี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทยสัปดาห์นี้พรรคจะหารือถึงกลยุทธ์ การหาเสียง และตัวผู้สมัครด้วยหากกกต.ระบุว่าต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น
ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก
-------------------------------------------------------
- เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กรรมการเครือข่ายฯ ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์ กรรมการเครือข่ายฯ นายการุณ ใสงาม ที่ปรึกษาเครือข่ายฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีคนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมาว่า เป็นการนำเสนอพยานบุคคลและเอกสารการครอบครองที่ดินของคนไทยเป็นเอกสาร หนังสือรับรองสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ( นส. 3 ก.) โดยยืนยันว่า คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในพื้นที่เขตแดนไทยในการลงพื้นที่สำรวจตามคำ ร้องเรียนของประชาชนว่า ถูกบุกรุกพื้นที่เขตแดนไทยจากทหารกัมพูชา รมถึงการเดินทางไปยื่นหนังสือกับทางกองทัพภาคที่ 1 เพื่อประสานการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเครือข่ายได้ชุมนุมเรียกร้องด้วย
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การที่สมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาระบุว่า คนไทย 7 คน หนึ่งในนั้นมีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะตัวแทนรัฐสภา ซึ่งเป็น 1 ใน 30 คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี 3 ฉบับ และ 6 ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป เนื่องจากมีการรุกล้ำดินแดนไม่เป็นความจริง วันนี้เราเจอพยานบุคคล ที่มีเอกสารยืนยันว่า ประชาชนคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาคุมตัวไป เป็นพื้นที่เขตแดนของประเทศไทย เอกสารที่ประชาชนได้มาก็มีตั้งแต่ยุคนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเสียภาษีให้กับท้องที่ตลอดมา เเละกลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติจะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวให้แกนนำ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติทุกภาค ระดมประชาชนแล้วให้ทุกคนมุ่งไปถนนศรีเพ็ญจ.สระแก้ว และเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 4 ม.ค. 2554 โดยจะมีการรวมตัวเคลื่อนไหวจากบริเวณประตู 4 ข้างทำเนียบ รัฐบาล ในวันที่ 3 ม.ค. 2554 เวลา 12.00 น. แล้วร่วมกันเดินทางไปชุมนุมที่ถนนศรีเพ็ญ จ.สระแก้ว เพื่อร่วมชุมนุมด้วยกันเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 7 คนไทย นอกจากนี้เรายังได้รับรายงานมาแล้วว่า จะมีประชาชนเดินทางไปรอร่วมชุมนุมในพื้นที่แล้วประมาณ 5 พันคน
ด้าน นายการุณ กล่าวว่า เหตุที่คนไทยถูกกุมตัว เพราะมีประชาชนร้องมายังกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และนายกรัฐมนตรีว่า ประชาชนไม่สามารถไปออกโฉนด เอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินทำกิน ทั้งที่เขามีการถือหนังสือรับรองเป็นนส.3ก.หรือประชาชนที่ได้เสียภาษีใน ที่ดินทำกินให้กับรัฐ (ภทบ. 5 ) เป็นเอกสารตั้งแต่ปี 2484 เเละปี 2490 โดยเจ้าหน้าที่รางวัดบอกกับประชาชนว่า ทหารกัมพูชายึดครองพื้นที่ไม่สามารถไปทำการรางวัดออกโฉนดได้ หรือแม้แต่ครั้งที่กัมพูชามีสงคราม 3 ฝ่าย ทางองค์การสหประชาชาติก็เคยได้รับรองหมู่บ้านอพยพชาวเขมรให้กับทางรัฐบาลไทย ดังนั้นเอกสารที่มีอยู่ได้รับการรับรองย่อมเป็นดินแดนของคนไทย
กต.เผย2แนวทางช่วย 7 คนไทยเขมรจับ
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และพวกรวม 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทยโดยเร็ว
นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตได้เตรียมให้ความสะดวกแก่ภรรยาของนายพนิช ที่จะเข้าเยี่ยมนายพนิช ที่เรือนจำไปรซอร์ในวันพรุ่งนี้ ในส่วนการสู้คดีขึ้นอยู่กับทนายความจะปรึกษาหารือกับนายพนิชว่าจะดำเนินการ ต่อไป โดยต้องรอศาลนัดไตร่สวนคดีในวันที่ 4 ม.ค.54 อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการกฎหมายของกัมพูชา
นายธานี กล่าวด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่า เส้นทางที่คณะนายพนิชใช้ได้รุกล้ำในเขตพื้นที่กัมพูชาจริง แต่ไม่ได้เจตนา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทราบต่อไป
มีรายงานว่า แนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศเตรียมไว้ให้การช่วยเหลือ คือ การเจรจาระดับสูงกับทางการกัมพูชา ควบคุมไปกับการเข้าสู่กับกระบวนการของศาลกัมพูชา ซึ่งสามารถเป็นไปได้ 2 ทาง คือ การยื่นขอประกันตัว หรือการเร่งรัดให้ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด เพื่อขอลดหย่อนผ่อนโทษ โดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นสำคัญ
ฟันธง"พนิช"โดนจำคุกศาลรธน.วินิจฉัยได้
นายคมสัน โพธิคง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กรณีที่หากนายพนิชถูกศาลกัมพูชาพิพากษา ว่า มีความผิดและไม่ได้รับการประกันตัวจะทำให้หมดสมาชิกภาพการเป็นส.ส. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สามารถที่จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเพิกถอนสมาชิกภาพได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ 106
ส่วนข้อโต้แย้งที่ว่ารัฐธรรมนูญจำกัดเฉพาะศาลในประเทศไทยนั้น แม้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแต่เจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้มุ่งไปที่ การป้องกันไม่ให้คนที่มีมลทินมาทำหน้าที่ผู้แทนปวงชน โดยไม่จำกัดว่าจะเกิดที่ใด เช่น หากส.ส.ไปขโมยของในสหรัฐ แล้วถูกพิพากษาจำคุก หรือเข้าประเทศญี่ปุ่นผิดกฎหมาย ถูกตัดสินจำคุกที่ญีปุ่น ก็ถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส.ไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีการส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายพนิช อาจยกประเด็นการจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นต่อสู้ได้ เพราะจากที่ตรวจสอบนายพนิช ถูกจับในดินแดนของไทย
องอาจยัน 7 คนไทยไม่มีเจตนารุกเขมร
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเร่งช่วยเหลือกลุ่มคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ว่า รัฐบาลพยายามใช้หลายช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา ขณะที่ยืนยันว่า ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาขณะนี้ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งใดที่เป็นปัญหาจะทำความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงเรื่องข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ประธานคณะกรรมการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ตั้งขอสังเกตถึงเจตนาการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.สระแก้ว ของกลุ่มคนไทยทั้ง 7 คน ที่ขาดการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จนทำให้มีปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ และถูกควบคุมตัวในที่สุด ซึ่งมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากขึ้น แล้ว ยังอาจส่งผลในทางการเมือง โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะ มีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งสร้างความชัดเจนถึงการปักปันเขตแดนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความล่าช้า ทั้งที่ จ.สระแก้ว หรือพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและในอ่าวไทย
ร้อยละ 89 เชื่อเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ภรรยาของนายพนิช ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อเยี่ยมสามี คาดว่าจะเข้าพบได้วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ให้ช่วยโดยเร็ว
ด้านสวนดุสิตโพล ระบุว่า ร้อยละ 89 เชื่อว่า การจับกุมคนไทยทั้ง 7 คน เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันยังกังวลว่า จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรจะเร่งเจรจาให้มีการปล่อยตัว และหาข้อยุติในการแบ่งเส้นแดนไทย-กัมพูชาให้ชัดเจน
พท.ชี้คำพูดรัฐบาลอาจเป็นพยานมัดตัว"พนิช"ติดคุกเขมร
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ถูกกัมพูชาจับกุม ว่า ตนไม่คิดว่าส.ส. ที่เป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเสียทางมวยจนถูกจับ กุม ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้เตือนแล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะเดินทางรุกล้ำเข้าไป ในเขตกัมพูชา เพราะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ยังมีปัญหาคาใจคนในรัฐบาลกัมพูชาอยู่ แต่สถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเพราะนายกษิตยอมรับว่าบุคคลทั้ง 7 ลุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาจริง และยังยอมรับว่ามีคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยทั้งๆ ที่ในทางการทูตหากเจรจาไม่สำเร็จควรจะระบุว่าอยู่ในขั้นตอนการเจรจาจะได้ไม่ เป็นพยานหลักฐานไปเพิ่มน้ำหนักให้ศาลลงโทษได้เต็มที่ ซึ่งคณะกรรมการติดตามการทำงานรัฐบาล (คตร.) ของพรรคเพื่อไทยบางคนยังตกใจที่รัฐมนตรีปากไว
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นดินเนื้อเดียวกัน เพราะขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามจะสานสัมพันธ์กับกัมพูชา แต่ทางหนึ่งกลับสั่งการให้ส.ส.ของพรรคไปดำเนินการบางอย่างร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะทำงานติดตามกรณีความขัดแย้งและความคืบหน้าในการแก้ ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนและเขาพระวิหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยว่า ได้ดำเนินการตามที่เคยโจมตีพรรคเพื่อไทยในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน หรือไม่ ส่วนกรณีการให้ความช่วยเหลือในคดีนี้นั้น พรรคเพื่อไทยแม้จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา แต่โดยมารยาทต้องปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือก่อน แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอให้รัฐบาลร้องขอมา พรรคยินดีจะจัดให้ เพื่อให้คนไทยทุกคนโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การกระทำของนายพนิชอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและสุ่มเสี่ยงต่อสมาชิกภาพส.ส.นั้น นายจิรยุกล่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกันและเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.เขต 6 ได้เลย ทั้งนี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทยสัปดาห์นี้พรรคจะหารือถึงกลยุทธ์ การหาเสียง และตัวผู้สมัครด้วยหากกกต.ระบุว่าต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น
ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก
-------------------------------------------------------
ปี 54 รอดยาก
ผ่านพ้นปี 2553 เข้าสู่ปี 2554 เรียบร้อยแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถอนหาย ใจเฮือกใหญ่
คงรู้สึกโล่งอกโล่งใจ เพราะยื้อ "ความรับผิดชอบ" ไปได้ 7-8 เดือน หลังเหตุการณ์สลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน
ทั้งยื้อทั้งซื้อเวลาจนผ่านพ้นปี 2553 ไปจนได้
และอาจมองแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปอีกว่าหากรักษาฟอร์มเดิมแบบนี้ไว้ต่อไปได้
คงจะปัดความรับผิดชอบไปได้อีกหลายเดือน!
อาจยืดเวลายุบสภาและเลือกตั้งออกไปได้อีกหลายเดือนเช่นกัน
แต่นายอภิสิทธิ์อาจคิดผิด
ช่วงเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตเสื้อแดงมาได้แบบฉิวเฉียด
ไม่ใช่เพราะความถูกต้อง แต่เพราะมี "ตัวช่วย"
อาทิ กฎหมายพิเศษเช่นพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นโล่คุ้มกันตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลเป็นอย่างดี
การโยนความผิดให้ "คนชุดดำ" ก็เป็นข้ออ้างที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
เช่นเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตคดียุบพรรคถึง 2 ครั้งติดๆ กัน
ท่ามกลางเสียงนินทา "มือที่มองไม่เห็น" ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่ในปี 2554 นี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
การปัดความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์จะไม่ง่ายดาย
การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ที่รัฐบาลใช้ยืดเยื้อมานาน 8 เดือน) จะเป็นตัวแปรสำคัญ
จับตาวันที่ 9 ม.ค.นี้ให้ดี เพราะเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ความอัดอั้นตันใจในความ 2 มาตรฐานของรัฐบาล
ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่โดนกดขี่ข่มเหงมานาน
ความอยุติธรรมที่คนเสื้อแดงหลายร้อยคนถูกจองจำ ในคุก
ความรู้สึกถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการปรองดอง
คงได้ระบายด้วยการแสดงพลังครั้งใหญ่ ซึ่งคาดกันว่าคนเสื้อแดงคงมากันเยอะมาก
ส่วนเรื่องความรุนแรงคงไม่ต้องเป็นห่วง
ยี่ห้อ 'ธิดา โตจิราการ' รับประกันได้
เพราะเป็นแกนนำที่ยึดแนวพิราบ ไม่ใช่แนวเหยี่ยว
แค่มากันพรึบเต็มราชประสงค์ ก็ทำให้เก้าอี้นายอภิสิทธิ์สั่นคลอนแล้ว
นี่จะเป็นมาตรการกดดันยกแรกของปี 54 ของคนเสื้อแดง
จากนั้นยังมีมาตรการที่ 2 ขย่มรัฐบาลต่อทันที
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศเตรียมเปิดศึกซักฟอกกลางสภาในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้
เอกสารลับคดีเสื้อแดงต่างๆ ที่นายจตุพรเตรียมเปิดโปง
จะเป็นอาวุธสำคัญเล่นงานนายอภิสิทธิ์
ใครกันแน่ฆ่า 6 ศพวัดปทุมฯ ใครกันแน่ฆ่านักข่าวญี่ปุ่น ใครกันแน่ที่เป็นชายชุดดำ
ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์ไม่รับผิดชอบก็คงไม่ได้แล้ว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
**************************************************
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถอนหาย ใจเฮือกใหญ่
คงรู้สึกโล่งอกโล่งใจ เพราะยื้อ "ความรับผิดชอบ" ไปได้ 7-8 เดือน หลังเหตุการณ์สลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน
ทั้งยื้อทั้งซื้อเวลาจนผ่านพ้นปี 2553 ไปจนได้
และอาจมองแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปอีกว่าหากรักษาฟอร์มเดิมแบบนี้ไว้ต่อไปได้
คงจะปัดความรับผิดชอบไปได้อีกหลายเดือน!
อาจยืดเวลายุบสภาและเลือกตั้งออกไปได้อีกหลายเดือนเช่นกัน
แต่นายอภิสิทธิ์อาจคิดผิด
ช่วงเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตเสื้อแดงมาได้แบบฉิวเฉียด
ไม่ใช่เพราะความถูกต้อง แต่เพราะมี "ตัวช่วย"
อาทิ กฎหมายพิเศษเช่นพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นโล่คุ้มกันตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลเป็นอย่างดี
การโยนความผิดให้ "คนชุดดำ" ก็เป็นข้ออ้างที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
เช่นเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์รอดพ้นจากวิกฤตคดียุบพรรคถึง 2 ครั้งติดๆ กัน
ท่ามกลางเสียงนินทา "มือที่มองไม่เห็น" ไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่ในปี 2554 นี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
การปัดความรับผิดชอบของนายอภิสิทธิ์จะไม่ง่ายดาย
การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ที่รัฐบาลใช้ยืดเยื้อมานาน 8 เดือน) จะเป็นตัวแปรสำคัญ
จับตาวันที่ 9 ม.ค.นี้ให้ดี เพราะเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ความอัดอั้นตันใจในความ 2 มาตรฐานของรัฐบาล
ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่โดนกดขี่ข่มเหงมานาน
ความอยุติธรรมที่คนเสื้อแดงหลายร้อยคนถูกจองจำ ในคุก
ความรู้สึกถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการปรองดอง
คงได้ระบายด้วยการแสดงพลังครั้งใหญ่ ซึ่งคาดกันว่าคนเสื้อแดงคงมากันเยอะมาก
ส่วนเรื่องความรุนแรงคงไม่ต้องเป็นห่วง
ยี่ห้อ 'ธิดา โตจิราการ' รับประกันได้
เพราะเป็นแกนนำที่ยึดแนวพิราบ ไม่ใช่แนวเหยี่ยว
แค่มากันพรึบเต็มราชประสงค์ ก็ทำให้เก้าอี้นายอภิสิทธิ์สั่นคลอนแล้ว
นี่จะเป็นมาตรการกดดันยกแรกของปี 54 ของคนเสื้อแดง
จากนั้นยังมีมาตรการที่ 2 ขย่มรัฐบาลต่อทันที
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศเตรียมเปิดศึกซักฟอกกลางสภาในช่วงปลายเดือนม.ค.นี้
เอกสารลับคดีเสื้อแดงต่างๆ ที่นายจตุพรเตรียมเปิดโปง
จะเป็นอาวุธสำคัญเล่นงานนายอภิสิทธิ์
ใครกันแน่ฆ่า 6 ศพวัดปทุมฯ ใครกันแน่ฆ่านักข่าวญี่ปุ่น ใครกันแน่ที่เป็นชายชุดดำ
ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์ไม่รับผิดชอบก็คงไม่ได้แล้ว
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
**************************************************
วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554
“สุเทพ” ขู่จะคัดค้านยุบสภาหากเสื้อแดงยังเคลื่อนไหวรุนแรง
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มั่นใจปี 2554 กลุ่มเสื้อแดงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว เชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ยังมีอิทธิพลสูงต่อคนเสื้อแดง เตรียมหารือฝ่ายความมั่นคงหาทางรับมือ เตือนอดีตนายกฯ หากยังเคลื่อนไหวรุนแรงจะเสียมวลชน ย้ำหากเคลื่อนไหวจนบ้านเมืองไม่สงบ จะคัดค้านการยุบสภา
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2554 ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อได้พูดคุยกัน รัฐบาลพยายามหยิบยื่นไมตรีให้ และปฏิบัติในแนวทางที่ทำให้คนเสื้อแดงผ่อนคลายลงได้ เช่น กำหนดวันเวลาที่จะเลือกตั้งใหม่ชัดเจนมากขึ้น ในเมื่อคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลก็ได้กำหนดวันเวลาในการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจะไปดิ้นรนเคลื่อนไหวให้วุ่นวายเพื่ออะไร กลุ่มคนเสื้อแดงควรเตรียมตัวใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่อสู้ในสนามเลือกตั้งจะดีกว่า ถ้าเคลื่อนไหวมาก ๆ ตัวเองก็จะเสียคะแนน และทำให้พรรคเพื่อไทยคะแนนตกไปด้วย จึงคิดว่าควรจะเพลา ๆ การเคลื่อนไหวลงบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการฝากเตือนไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เตรียมจะเคลื่อนไหวในวันที่ 25 ม.ค. 2554 นี้ด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าเตือนใคร แต่หากใครจะเคลื่อนไหวขอให้คิดถึงประเทศชาติ ส่วนรวมและประชาชนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่า ประชาชนคงระอาและไม่ต้องการเห็น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเคลื่อนไหวก็ตาม
“ผมคิดว่า คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังมีอิทธิพลที่จะสั่งการให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความสำคัญอยู่มาก เรียกได้ว่า เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดเลย ก็ว่าได้ ผมจะปรึกษาหารือกันในฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลจะเตรียมรับมืออย่างไร หน้าที่ของเรา คือ ดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนจะดำเนินมาตรการอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และจะกราบเรียนประชาชนให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สื่อมวลชนก็จะได้เห็นอย่างใกล้ชิดทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมาแล้ว” นายสุเทพ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ติดต่อหรือไปเจรจาด้วย เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับบรรดาบริวารจะต้องพูดคุยกันเอง ซึ่งน่าจะตระหนักได้ว่า หากมีอะไรที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเสียหาย จะเป็นผลลบต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตนเองมากขึ้น ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งอย่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
“ถ้ายังมีความเคลื่อนไหวรุนแรง และเกิดความวุ่นวาย นายกรัฐมนตรีไปที่ไหนยังมีตีนตบไล่อยู่ตลอดเวลา และมีการขว้างข้าวของต่าง ๆ ผมก็จะคัดค้านไม่ให้ยุบสภา” นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจะเคลื่อนขบวนไปตามที่ต่างๆ กังวลจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่คิดอะไรในทางร้าย หากคนเสื้อแดงเคลื่อนไหว แกนนำก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2554 ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ทั้งนี้ที่ผ่านมาเมื่อได้พูดคุยกัน รัฐบาลพยายามหยิบยื่นไมตรีให้ และปฏิบัติในแนวทางที่ทำให้คนเสื้อแดงผ่อนคลายลงได้ เช่น กำหนดวันเวลาที่จะเลือกตั้งใหม่ชัดเจนมากขึ้น ในเมื่อคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลก็ได้กำหนดวันเวลาในการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจะไปดิ้นรนเคลื่อนไหวให้วุ่นวายเพื่ออะไร กลุ่มคนเสื้อแดงควรเตรียมตัวใส่เสื้อพรรคเพื่อไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่อสู้ในสนามเลือกตั้งจะดีกว่า ถ้าเคลื่อนไหวมาก ๆ ตัวเองก็จะเสียคะแนน และทำให้พรรคเพื่อไทยคะแนนตกไปด้วย จึงคิดว่าควรจะเพลา ๆ การเคลื่อนไหวลงบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการฝากเตือนไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เตรียมจะเคลื่อนไหวในวันที่ 25 ม.ค. 2554 นี้ด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าเตือนใคร แต่หากใครจะเคลื่อนไหวขอให้คิดถึงประเทศชาติ ส่วนรวมและประชาชนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่า ประชาชนคงระอาและไม่ต้องการเห็น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเคลื่อนไหวก็ตาม
“ผมคิดว่า คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังมีอิทธิพลที่จะสั่งการให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีความสำคัญอยู่มาก เรียกได้ว่า เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดเลย ก็ว่าได้ ผมจะปรึกษาหารือกันในฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลจะเตรียมรับมืออย่างไร หน้าที่ของเรา คือ ดูแลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ส่วนจะดำเนินมาตรการอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และจะกราบเรียนประชาชนให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สื่อมวลชนก็จะได้เห็นอย่างใกล้ชิดทุกอย่างเหมือนที่เคยทำมาแล้ว” นายสุเทพ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ติดต่อหรือไปเจรจาด้วย เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับบรรดาบริวารจะต้องพูดคุยกันเอง ซึ่งน่าจะตระหนักได้ว่า หากมีอะไรที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเสียหาย จะเป็นผลลบต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคการเมืองของตนเองมากขึ้น ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งอย่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
“ถ้ายังมีความเคลื่อนไหวรุนแรง และเกิดความวุ่นวาย นายกรัฐมนตรีไปที่ไหนยังมีตีนตบไล่อยู่ตลอดเวลา และมีการขว้างข้าวของต่าง ๆ ผมก็จะคัดค้านไม่ให้ยุบสภา” นายสุเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และจะเคลื่อนขบวนไปตามที่ต่างๆ กังวลจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่คิดอะไรในทางร้าย หากคนเสื้อแดงเคลื่อนไหว แกนนำก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เผย'แพรวา'รับทราบข้อหา5ม.ค.ส่งสถานพินิจฯ
รองบก.จร.ทางด่วน เผยถ้าโจ๋สาวซิ่ง9ศพเข้าพบตามหมายเรียก จะส่งกักตัวสถานพินิจฯ มีสิทธิยื่นประกันตัว รอสอบพ่อแม่มีความผิดหรือไม่
พ.ต.ท.พิทักษ์ นิยมพฤกษ์ รอง ผกก. งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นางสาวอายุ 17 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค ชนกับรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ มีผู้เสียชีวิต 9 คน และผู้บาดเจ็บอีก 7 คน เมื่อกลางดึกวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกให้ น.ส.แพรวา มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 5 ม.ค.
ทั้งนี้ ตามขั้นตอน วันที่ 5 ที่จะถึง หากน.ส.แพรวา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังอายุไปถึง 18 ปี จึงไม่มีการคุมขัง หลังจากนั้นก็จะนำตัว น.ส.แพรวา ส่งไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนญาติจะประกันตัวจะต้องประสานติดต่อไปยังสถานพินิจฯ ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.แพรวา จะถูกแจ้งข้อหาด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้บาดเจ็บที่ร.พ.วิภาวดี อาการเริ่มดีขึ้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมโจมตี น.ส.แพรวาทางสังคมไซเบอร์อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งเมื่อวานนี้(31 ธ.ค.) ทางน.ส.แพรวาพร้อมครอบครัวได้เดินทางมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ซึ่งทั้งหมดพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.วิภาวดี 5 คน
โดยช่วงเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ม.ค. นายวิศรุท พลสิทธิ์ ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลช่วงบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยนายสุนทร ปิดตาทานัง อายุ 40 ปี บาดแผลเริ่มตกสะเก็ด แผลผ่าตัดที่ไหล่ซ้ายดีขึ้น แพทย์ยังให้พักรักษาตัวเนื่องจากยังต้องรอดูแผลจากรอยเย็บที่ศีรษะ
น.ส.กัญจณ์นภัส ปัญญาประเสริฐ อายุ 23 ปี แพทย์ให้พักรักษาตัวอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มให้ทำกายภาพบำบัดและหัดเดิน ขณะนี้ยังต้องเข้าเฝือกที่ขาข้างขวา ส่วนบาดแผลอื่น ๆ ตามร่างเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
ขณะที่นายวรัญญู เกตุชู อายุ 20 ปี เบื้องต้นประมาณ 2-3 วัน แพทย์จะลองให้หัดเดินและเปลี่ยนเฝือกที่เข่าข้างซ้าย ขณะที่ไหปลาร้ายข้างซ้ายที่หักยังต้องให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิดยังไม่มีกำหนดออก
ด้านนายโมฮัมเหม็ด ซาคีป อายุ31 ปี ชาวมัลดีฟส์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว เบื้องต้นแพทย์ได้ดึงกระดูกที่ขาขวาซึ่งซ้อนทับกันให้กลับมาปกติแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้ปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บที่ขาและหัวเข่าข้างซ้ายต้องใช้ไม้ค้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 25 วันถึงจะสามารถกลับมาเดินเป็นปกติได้
นายโมฮัมเหม็ด กล่าวว่า เป็นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ชั้นปีที่สอง ซึ่งเป็นปีสุดท้ายและกำลังจะจบการศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วันเกิดเหตุขึ้นรถตู้ที่ ม.ธรรมศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้กัน เพื่อจะไปลงที่หมอชิตและนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่เทเวศฺร์ แต่เกิดอุบัติเหตุก่อน เมื่อพี่ชายทราบข่าวก็เดินทางมาจากประเทศมัลดีฟส์ทันที
นายโมฮัมเหม็ดกล่าวต่ออีกว่า เมื่อวานนี้ น.ส.แพรวา มาเยี่ยมและกล่าวขอโทษ ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงคนไทยว่า ทุกครั้งที่มีเทศกาลมักจะเกิดอุบัติเหตุตลอด เพราะว่าคนไทยชอบดื่มสุราและขับรถ ไม่อยากให้ทำ ทั้งนี้เวลาขับรถบนท้องถนนควรจะมีสมาธิ จะได้ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------------------
พ.ต.ท.พิทักษ์ นิยมพฤกษ์ รอง ผกก. งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กก.2 บก.จร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นางสาวอายุ 17 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค ชนกับรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ มีผู้เสียชีวิต 9 คน และผู้บาดเจ็บอีก 7 คน เมื่อกลางดึกวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกให้ น.ส.แพรวา มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 5 ม.ค.
ทั้งนี้ ตามขั้นตอน วันที่ 5 ที่จะถึง หากน.ส.แพรวา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังอายุไปถึง 18 ปี จึงไม่มีการคุมขัง หลังจากนั้นก็จะนำตัว น.ส.แพรวา ส่งไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนญาติจะประกันตัวจะต้องประสานติดต่อไปยังสถานพินิจฯ ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.แพรวา จะถูกแจ้งข้อหาด้วยหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ ซึ่งหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการต่อไป
ผู้บาดเจ็บที่ร.พ.วิภาวดี อาการเริ่มดีขึ้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสสังคมโจมตี น.ส.แพรวาทางสังคมไซเบอร์อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งเมื่อวานนี้(31 ธ.ค.) ทางน.ส.แพรวาพร้อมครอบครัวได้เดินทางมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ซึ่งทั้งหมดพักรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.วิภาวดี 5 คน
โดยช่วงเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ม.ค. นายวิศรุท พลสิทธิ์ ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลช่วงบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยนายสุนทร ปิดตาทานัง อายุ 40 ปี บาดแผลเริ่มตกสะเก็ด แผลผ่าตัดที่ไหล่ซ้ายดีขึ้น แพทย์ยังให้พักรักษาตัวเนื่องจากยังต้องรอดูแผลจากรอยเย็บที่ศีรษะ
น.ส.กัญจณ์นภัส ปัญญาประเสริฐ อายุ 23 ปี แพทย์ให้พักรักษาตัวอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มให้ทำกายภาพบำบัดและหัดเดิน ขณะนี้ยังต้องเข้าเฝือกที่ขาข้างขวา ส่วนบาดแผลอื่น ๆ ตามร่างเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
ขณะที่นายวรัญญู เกตุชู อายุ 20 ปี เบื้องต้นประมาณ 2-3 วัน แพทย์จะลองให้หัดเดินและเปลี่ยนเฝือกที่เข่าข้างซ้าย ขณะที่ไหปลาร้ายข้างซ้ายที่หักยังต้องให้แพทย์ดูอาการอย่างใกล้ชิดยังไม่มีกำหนดออก
ด้านนายโมฮัมเหม็ด ซาคีป อายุ31 ปี ชาวมัลดีฟส์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว เบื้องต้นแพทย์ได้ดึงกระดูกที่ขาขวาซึ่งซ้อนทับกันให้กลับมาปกติแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้ปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บที่ขาและหัวเข่าข้างซ้ายต้องใช้ไม้ค้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 25 วันถึงจะสามารถกลับมาเดินเป็นปกติได้
นายโมฮัมเหม็ด กล่าวว่า เป็นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ชั้นปีที่สอง ซึ่งเป็นปีสุดท้ายและกำลังจะจบการศึกษาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วันเกิดเหตุขึ้นรถตู้ที่ ม.ธรรมศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้กัน เพื่อจะไปลงที่หมอชิตและนั่งรถต่อไปหาเพื่อนที่เทเวศฺร์ แต่เกิดอุบัติเหตุก่อน เมื่อพี่ชายทราบข่าวก็เดินทางมาจากประเทศมัลดีฟส์ทันที
นายโมฮัมเหม็ดกล่าวต่ออีกว่า เมื่อวานนี้ น.ส.แพรวา มาเยี่ยมและกล่าวขอโทษ ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงคนไทยว่า ทุกครั้งที่มีเทศกาลมักจะเกิดอุบัติเหตุตลอด เพราะว่าคนไทยชอบดื่มสุราและขับรถ ไม่อยากให้ทำ ทั้งนี้เวลาขับรถบนท้องถนนควรจะมีสมาธิ จะได้ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
--------------------------------------------------
(ดับ)ฝัน'มิ่งขวัญ'ผู้นำเพื่อไทย แค่'เกมลวง-เป้าล่อ'
โดย : นิภาวรรณ แก้วรากมุกข์
"มิ่งขวัญ"ถูกชูขึ้นเป็นแคนดิเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังส.ส.กลุ่มหนึ่งเดินทางไปพบ"ทักษิณ"ที่ดูไบ แต่เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯไม่ง่ายอย่างที่คิด
ตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นจุดอ่อนสำหรับ "พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" มาโดยตลอด นับจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบและพ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เพราะไม่ว่าจะมีการตั้งพรรคใหม่มาแทน ทั้ง"พลังประชาชน" ที่ถูกยุบซ้ำ กระทั่งตั้ง"เพื่อไทย"เป็นพรรคล่าสุด ใครที่ถูกดันขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ก็ไม่พ้นถูกยัดข้อหาว่าเป็น "นอมินีทักษิณ"
สภาพที่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนนอก "ดี เด่น ดัง" ที่เคยถูกทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นระยะ ไม่กล้าเสี่ยง ที่สำคัญ "เงา"และบารมี "ทักษิณ" ที่ยังคงอยู่ ก็เหมือนเป็นหัวหน้าพรรคและเจ้าของพรรคตัวจริง
ล่าสุด "ทักษิณ" ได้กำหนดสเปกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกผ่านคณะ ส.ส.ที่บินไปดูไบ เพื่อให้เป็นแนวทางในการสรรหาคือ 1. ภาพลักษณ์ดี มุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ ต้องเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ สามารถออกนโยบายที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ 2. ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.และประชาชน 3. หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ สเปกผู้นำ ที่ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการ สะท้อนผ่านคำอธิบายของ "สุพล ฟองงาม" เลขาธิการพรรค กลับไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของทักษิณ เพราะพวกเขาต้องการ "ผู้นำพรรคที่ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในการหาเสียง"
ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรค ที่ส.ส.อยากเห็น คือ "ก้าวข้ามทักษิณ" เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืน อย่างที่"สุพล" อธิบายถึงทิศทางพรรค 3 ประเด็นที่ต้องชัดเจนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ "ผู้นำ-ทุน-นโยบาย" คือ ผู้นำ-ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกฯ ในการหาเสียง ทุน-ต้องหลายเถ้าแก่ เพื่อขยายฐาน และนโยบายต้องไม่เน้นขายฝันหาเสียงมากเกินไป
ที่ผ่านมาแกนนำและ ส.ส.เพื่อไทย จำนวนไม่น้อยในเพื่อไทย พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ให้เดินหน้าไปได้ด้วยการขายนโยบาย ไม่ใช่ขาย"ทักษิณ"ตลอดไป เพราะนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูก ตามล้าง ตามเช็ด อำนาจทักษิณ พวกเขาจึงใช้วิธีแก้ทาง เพื่อหนีภัย"ยุบพรรค" ด้วยการลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลง และนำคนนอกเข้ามาเป็นนอมินีแทน ส.ส.เพื่อเพลย์เซฟ รวมทั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่หาคนมา "ขัดตาทัพ" ซึ่งทั้ง สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคปัจจุบัน ก็มีที่มาจากเหตุที่ว่านี้
มาถึงวันนี้ การเมืองกำลังตั้งกระดานใหม่ เข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่ นักเลือกตั้ง จึงต้องหาจุดขาย ทั้งนโยบาย ทั้งผู้นำ ที่จะเสนอชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่ เห็นชัดแล้วว่า การชูประเด็น "เอาทักษิณกลับมา" อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรค ใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ส.ส.กลุ่มที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลง จึงรวมตัวและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อเลือกผู้นำพรรค ที่จะชูเป็นว่าที่นายกฯ เพื่อเป็นจุดขายในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างจริงจัง "สุพล" จึงได้ก้าวออกมานำหน้า ส.ส.อีสาน เพื่อสนับสนุน "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" อดีตรองหัวหน้าพรรค และทีมเศรษฐกิจของพรรค ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการดูแล ส.ส.ของมิ่งขวัญ เป็นรายเดือน ตกเดือนละ 18 ล้านบาท
เวลานี้ ชื่อ "มิ่งขวัญ" จึงถูกชูขึ้นมาโดดเด่นกว่าแคนดิเดทรายอื่น และดูมี "มูลค่า" ขึ้น เมื่อ ส.ส.หลายกลุ่ม เดินทางไปขออนุญาตจากทักษิณ ถึงดูไบ และทักษิณ ก็เล่น "ตามน้ำ" เพียงแต่มีเงื่อนไข (บีบ)ให้ มิ่งขวัญทำงานเพื่อพรรค ไม่ใช่ลอยตัวอย่างที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นที่มาที่ทักษิณให้มิ่งขวัญ พิสูจน์ฝีมือและการนำ ในเวทีซักฟอกรัฐบาลในครั้งหน้า ก่อนจะพิจารณาคุณสมบัติ
ทว่า เส้นทางสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี ของมิ่งขวัญ ที่เคยบอกใครต่อใครหลายวงการถึงโอกาสดีของเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ประกาศเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้คู่แข่งสกัดทันที มีการปล่อยชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นมาหวังดับกระแส หรือแม้แต่ ปล่อยชื่อ คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นมาสัมทับอีกชั้น เพื่อสร้างกระแสให้สับสน
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรคของส.ส.ที่ไม่ต้องการวิ่งชนกำแพงอย่างที่ทักษิณทำมา แต่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการผู้นำตัวจริง ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ควรจะเป็น และพวกเขาก็ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังแล้ว เพียงแต่จะต้องฝ่ากระแสต้าน และทนแรงเสียดทานไปให้ได้ โดยเฉพาะ "เกมบนดิน-ใต้ดิน" ของ "ขาใหญ่"ในพรรค ที่กำลังแกะรอยเส้นทางเงิน ที่มิ่งขวัญนำมาสนับสนุนส.ส. โดยตั้งข้อสงสัยไปใหญ่โตถึงขนาดว่า มิ่งขวัญถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยรับเงินพรรคการเมืองอื่น มาทำลายพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ขณะที่อีกสมมติฐาน ในหมู่ส.ส.เพื่อไทย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดันมิ่งขวัญ อาจจะเป็น "แผนซ้อนแผน" ของ"นายใหญ่และนายหญิง" ที่ใช้มิ่งขวัญเดินเกมบางอย่างหรือไม่ เพราะวงในเพื่อไทยบางส่วน คาดว่า "ทุน" ที่มิ่งขวัญจัดให้ส.ส.รายเดือน อาจมาจาก"นายหญิง" หรือ "เครือญาติชินวัตร"(ที่เงียบผิดปกติ) นี่เอง ...และยิ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติเหตุการณ์ เมื่อค่ำวันที่ 28 ธ.ค.ระหว่างงานเลี้ยงสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่จู่ๆ "คุณหญิงพจมาน" ก็มาร่วมงานและเชิญมิ่งขวัญเข้าพบ
จะว่าไปแล้ว ความจริงอีกด้าน ที่ระดับคีย์แมนพรรค ใกล้ชิดทักษิณ รู้ดีว่า ทักษิณไม่ได้ให้ราคามิ่งขวัญ ขนาดนั้น เนื่องจากที่ผ่านมา มิ่งขวัญแทบไม่เคย "สู้เพื่อพรรค" นอกจากร้องขอ ซึ่งดูจากโจทย์ที่ทักษิณ กำหนดให้มิ่งขวัญ ทำงานใหญ่ นำตรวจสอบรัฐบาล ก็ยิ่งชัดเจน เพราะงานนี้ มิ่งขวัญ จะต้องโชว์เดี่ยว(และอาจตายเดี่ยว) ด้านเศรษฐกิจอย่างที่เจ้าตัวเคยโฆษณาสรรพคุณ
ฉะนั้น ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือว่าที่นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ ชื่อชั้น ฝีมือระดับมิ่งขวัญ ยังยากที่จะนำส.ส.เพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญทิศทางเพื่อไทยวันนี้ ก็ยังมุ่งขายความสำเร็จที่ทักษิณได้ทำมา และรอนโยบายที่ทักษิณจะส่งมา"ต่อยอด" ... แค่นี้ ก็น่าจะชัดแล้ว ส.ส.เพื่อไทย คงบีบทักษิณไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อยังต้องพึ่งพิงทักษิณแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น สัญญาณไฟเขียวให้มิ่งขวัญพิสูจน์ตัวเองในการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี คงเป็นเพียง "เกมลวง-เป้าล่อ"! กว่าจะถึงเวลาที่ทักษิณเปิด "ตัวจริง" มิ่งขวัญ ก็คงถูกรุมยำจนเละ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"มิ่งขวัญ"ถูกชูขึ้นเป็นแคนดิเดทหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังส.ส.กลุ่มหนึ่งเดินทางไปพบ"ทักษิณ"ที่ดูไบ แต่เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯไม่ง่ายอย่างที่คิด
ตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นจุดอ่อนสำหรับ "พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" มาโดยตลอด นับจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบและพ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี เพราะไม่ว่าจะมีการตั้งพรรคใหม่มาแทน ทั้ง"พลังประชาชน" ที่ถูกยุบซ้ำ กระทั่งตั้ง"เพื่อไทย"เป็นพรรคล่าสุด ใครที่ถูกดันขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำพรรค ก็ไม่พ้นถูกยัดข้อหาว่าเป็น "นอมินีทักษิณ"
สภาพที่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนนอก "ดี เด่น ดัง" ที่เคยถูกทาบทามเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นระยะ ไม่กล้าเสี่ยง ที่สำคัญ "เงา"และบารมี "ทักษิณ" ที่ยังคงอยู่ ก็เหมือนเป็นหัวหน้าพรรคและเจ้าของพรรคตัวจริง
ล่าสุด "ทักษิณ" ได้กำหนดสเปกหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยบอกผ่านคณะ ส.ส.ที่บินไปดูไบ เพื่อให้เป็นแนวทางในการสรรหาคือ 1. ภาพลักษณ์ดี มุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ ต้องเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ สามารถออกนโยบายที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ 2. ได้รับการยอมรับจาก ส.ส.และประชาชน 3. หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ สเปกผู้นำ ที่ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการ สะท้อนผ่านคำอธิบายของ "สุพล ฟองงาม" เลขาธิการพรรค กลับไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของทักษิณ เพราะพวกเขาต้องการ "ผู้นำพรรคที่ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในการหาเสียง"
ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรค ที่ส.ส.อยากเห็น คือ "ก้าวข้ามทักษิณ" เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืน อย่างที่"สุพล" อธิบายถึงทิศทางพรรค 3 ประเด็นที่ต้องชัดเจนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ "ผู้นำ-ทุน-นโยบาย" คือ ผู้นำ-ต้องชูเป็นแคนดิเดทนายกฯ ในการหาเสียง ทุน-ต้องหลายเถ้าแก่ เพื่อขยายฐาน และนโยบายต้องไม่เน้นขายฝันหาเสียงมากเกินไป
ที่ผ่านมาแกนนำและ ส.ส.เพื่อไทย จำนวนไม่น้อยในเพื่อไทย พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ให้เดินหน้าไปได้ด้วยการขายนโยบาย ไม่ใช่ขาย"ทักษิณ"ตลอดไป เพราะนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูก ตามล้าง ตามเช็ด อำนาจทักษิณ พวกเขาจึงใช้วิธีแก้ทาง เพื่อหนีภัย"ยุบพรรค" ด้วยการลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคลง และนำคนนอกเข้ามาเป็นนอมินีแทน ส.ส.เพื่อเพลย์เซฟ รวมทั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่หาคนมา "ขัดตาทัพ" ซึ่งทั้ง สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคปัจจุบัน ก็มีที่มาจากเหตุที่ว่านี้
มาถึงวันนี้ การเมืองกำลังตั้งกระดานใหม่ เข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่ นักเลือกตั้ง จึงต้องหาจุดขาย ทั้งนโยบาย ทั้งผู้นำ ที่จะเสนอชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่ เห็นชัดแล้วว่า การชูประเด็น "เอาทักษิณกลับมา" อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรค ใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ส.ส.กลุ่มที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลง จึงรวมตัวและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อเลือกผู้นำพรรค ที่จะชูเป็นว่าที่นายกฯ เพื่อเป็นจุดขายในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างจริงจัง "สุพล" จึงได้ก้าวออกมานำหน้า ส.ส.อีสาน เพื่อสนับสนุน "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" อดีตรองหัวหน้าพรรค และทีมเศรษฐกิจของพรรค ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการดูแล ส.ส.ของมิ่งขวัญ เป็นรายเดือน ตกเดือนละ 18 ล้านบาท
เวลานี้ ชื่อ "มิ่งขวัญ" จึงถูกชูขึ้นมาโดดเด่นกว่าแคนดิเดทรายอื่น และดูมี "มูลค่า" ขึ้น เมื่อ ส.ส.หลายกลุ่ม เดินทางไปขออนุญาตจากทักษิณ ถึงดูไบ และทักษิณ ก็เล่น "ตามน้ำ" เพียงแต่มีเงื่อนไข (บีบ)ให้ มิ่งขวัญทำงานเพื่อพรรค ไม่ใช่ลอยตัวอย่างที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นที่มาที่ทักษิณให้มิ่งขวัญ พิสูจน์ฝีมือและการนำ ในเวทีซักฟอกรัฐบาลในครั้งหน้า ก่อนจะพิจารณาคุณสมบัติ
ทว่า เส้นทางสู่เก้าอี้หัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี ของมิ่งขวัญ ที่เคยบอกใครต่อใครหลายวงการถึงโอกาสดีของเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ประกาศเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้คู่แข่งสกัดทันที มีการปล่อยชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นมาหวังดับกระแส หรือแม้แต่ ปล่อยชื่อ คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ ขึ้นมาสัมทับอีกชั้น เพื่อสร้างกระแสให้สับสน
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองถึงแนวคิดและทิศทางพรรคของส.ส.ที่ไม่ต้องการวิ่งชนกำแพงอย่างที่ทักษิณทำมา แต่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการผู้นำตัวจริง ก็นับว่าเป็นแนวทางที่ควรจะเป็น และพวกเขาก็ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังแล้ว เพียงแต่จะต้องฝ่ากระแสต้าน และทนแรงเสียดทานไปให้ได้ โดยเฉพาะ "เกมบนดิน-ใต้ดิน" ของ "ขาใหญ่"ในพรรค ที่กำลังแกะรอยเส้นทางเงิน ที่มิ่งขวัญนำมาสนับสนุนส.ส. โดยตั้งข้อสงสัยไปใหญ่โตถึงขนาดว่า มิ่งขวัญถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยรับเงินพรรคการเมืองอื่น มาทำลายพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ขณะที่อีกสมมติฐาน ในหมู่ส.ส.เพื่อไทย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดันมิ่งขวัญ อาจจะเป็น "แผนซ้อนแผน" ของ"นายใหญ่และนายหญิง" ที่ใช้มิ่งขวัญเดินเกมบางอย่างหรือไม่ เพราะวงในเพื่อไทยบางส่วน คาดว่า "ทุน" ที่มิ่งขวัญจัดให้ส.ส.รายเดือน อาจมาจาก"นายหญิง" หรือ "เครือญาติชินวัตร"(ที่เงียบผิดปกติ) นี่เอง ...และยิ่งถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติเหตุการณ์ เมื่อค่ำวันที่ 28 ธ.ค.ระหว่างงานเลี้ยงสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่จู่ๆ "คุณหญิงพจมาน" ก็มาร่วมงานและเชิญมิ่งขวัญเข้าพบ
จะว่าไปแล้ว ความจริงอีกด้าน ที่ระดับคีย์แมนพรรค ใกล้ชิดทักษิณ รู้ดีว่า ทักษิณไม่ได้ให้ราคามิ่งขวัญ ขนาดนั้น เนื่องจากที่ผ่านมา มิ่งขวัญแทบไม่เคย "สู้เพื่อพรรค" นอกจากร้องขอ ซึ่งดูจากโจทย์ที่ทักษิณ กำหนดให้มิ่งขวัญ ทำงานใหญ่ นำตรวจสอบรัฐบาล ก็ยิ่งชัดเจน เพราะงานนี้ มิ่งขวัญ จะต้องโชว์เดี่ยว(และอาจตายเดี่ยว) ด้านเศรษฐกิจอย่างที่เจ้าตัวเคยโฆษณาสรรพคุณ
ฉะนั้น ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือว่าที่นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ ชื่อชั้น ฝีมือระดับมิ่งขวัญ ยังยากที่จะนำส.ส.เพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สำคัญทิศทางเพื่อไทยวันนี้ ก็ยังมุ่งขายความสำเร็จที่ทักษิณได้ทำมา และรอนโยบายที่ทักษิณจะส่งมา"ต่อยอด" ... แค่นี้ ก็น่าจะชัดแล้ว ส.ส.เพื่อไทย คงบีบทักษิณไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อยังต้องพึ่งพิงทักษิณแทบทุกเรื่อง
ดังนั้น สัญญาณไฟเขียวให้มิ่งขวัญพิสูจน์ตัวเองในการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี คงเป็นเพียง "เกมลวง-เป้าล่อ"! กว่าจะถึงเวลาที่ทักษิณเปิด "ตัวจริง" มิ่งขวัญ ก็คงถูกรุมยำจนเละ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
'ใบตองแห้ง' ออนไลน์: 2553 ปีแห่งการต่อสู้ทางชนชั้น
ใบตองแห้ง
ปีที่แล้วจัดอันดับข่าวฮา แต่ปีนี้ที่เกิดเหตุการณ์นองเลือด เข่นฆ่า จับกุมคุมขัง ละเมิดสิทธิเสรีภาพมวลชนอย่างร้ายแรง จึงไม่มีอารมณ์จัดอันดับข่าวฮา ขอสรุปภาพเหตุการณ์ตามใจฉัน (ผม) ก็แล้วกัน
ก่อนอื่นขอชมนักข่าวทำเนียบ นักข่าวสภา ที่ตั้งฉายารัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างตรงไปตรงมา แสดงออกซึ่งความเป็นกลางและเป็นอิสระ ของนักข่าวพื้นที่ ไม่แสดงอคติเลือกข้างเหมือนข่าวที่ผ่านการเรียบเรียงและพาดหัวโดยหัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว
ฉายาที่สะใจนอกจาก ‘ซีมาร์คโลชั่น’ ก็คือ ‘กริ๊ง...สิงสื่อ’ ซึ่งแฉหมดเปลือกว่า สาทิตย์โทรศัพท์สายตรงไปถึงกองบรรณาธิการสื่อของรัฐ ชี้นำกำหนดประเด็นการเสนอข่าว
นี่หรือรัฐบาล ปชป.ที่เคยตีฆ้องร้องป่าวว่า ทักษิณแทรกแซงสื่อ ซื้อสื่อ แต่เปิดหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้เราจะเห็นแต่โฆษณาหน่วยงานของรัฐเต็มไปหมดทุกฉบับ พร้อมกับใบหน้านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ (โฆษณาฟรีจากเงินภาษีประชาชน)
ส่วนนักข่าวสภาก็สะใจที่ให้ 40 สว.เป็น ‘ดาวดับ’ ไม่ไว้หน้า สมชาย แสวงการ กับคำนูณ สิทธิสมาน และที่ขำกลิ้งโดยอาจไม่ได้ตั้งใจคือ คนดีศรีสภาได้แก่ ทิวา เงินยวง (ตายแล้ว)
1.ปีแห่งการต่อสู้ทางชนชั้น
ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ก็ในเมื่อ CNN ยังยกให้เหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นอันดับ 1 ใน 20 ข่าวเปลี่ยนแปลงโลกของภูมิภาคเอเชีย
สังคมไทยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างมุม ตามทัศนะชนชั้น ไม่เฉพาะการชุมนุมและการใช้กำลัง ‘กระชับพื้นที่’ น้ำท่วมใหญ่ปลายปี ก็เจือปน ‘ทัศนะชนชั้น’ เพราะที่ผ่านมาน้ำท่วมเรือกสวนไร่นาทุกปี คนกรุงไม่เคยสนใจ คนอยุธยา คนปทุม ‘ชนชั้นแก้มลิง’ อ่วมอรทัยทุกปี คนกรุงไม่เคยสนใจ แต่ปีนี้ คนกรุงเห็นภาพสดๆ ทางทีวี น้ำหลากเข้าท่วมเมือง โรงพยาบาล บ้านจัดสรรที่โคราช ท่วมตลาดหาดใหญ่ แหม! มันเข้าถึงหัวอกคนชั้นกลางด้วยกัน
นอกจากนี้ยังรวมกระแส ‘กอดต้นไม้’ คัดค้านถนนขึ้นเขาใหญ่ ปลุกคนชั้นกลางให้กอดภูเขา กอดทะเล กอดแม่น้ำ (อนุรักษ์ไว้เพื่อห้กรูไปเที่ยวนอนรีสอร์ท) แต่ไม่ยักอยากกอดเพื่อนมนุษย์
สิ่งที่สะท้อนว่านี่เป็นปีแห่งการต่อสู้ทางชนชั้น คือเราสามารถจัดอันดับเรื่องต่างๆ ได้เป็น 2 มุมที่ต่างกันสุดขั้ว เช่น
บุคคลแห่งปี ‘ไพร่’ หรือ ‘คนชั้นกลางเฟซบุค’
อาจพูดได้อีกอย่างว่า พระ(นาง)เอกแห่งปี หรือพระ(นาง)ร้ายแห่งปี
‘ไพร่แดง’ กรีธาทัพเข้าเมืองหลวง ยกขบวนไปทั่วกรุงท่ามกลางการโบกธงต้อนรับของแท็กซี่ สามล้อ มอเตอร์ไซค์ แม่บ้าน คนงานก่อสร้าง ทำให้คนชั้นกลางวิตกอกสั่น เพราะเพิ่งรู้ว่าคนสวน คนขับรถ แม่บ้านที่ชงกาแฟให้กินทุกวัน ล้วนเป็นเสื้อแดง
‘ไพร่แดง’ ยึดราชดำเนิน ยึดราชประสงค์ ยึดสถานีไทยคม ใช้กำลังคนที่มีแต่สองมือเปล่าปิดล้อมปลดอาวุธทหาร เหตุการณ์ 10 เมษายน แม้ถูกยิงล้มตายราวใบไม้ร่วง แต่มวลชนที่โกรธแค้นก็ลุกฮือไล่ ‘ทหารเสือ’ หนีกระเจิง ทิ้งอาวุธ ทิ้งรถหุ้มเกราะ กระทั่งถอดเครื่องแบบเอาตัวรอด
แม้ต่อมา มวลชนเสื้อแดงถูกปราบด้วยปฏิบัติการกระชับพื้นที่ พร้อม ‘สไนเปอร์’ ใน ‘เขตใช้กระสุนจริง’ พวกเขาก็ยืนหยัดต้านทานอยู่ในวงล้อมจนวาระสุดท้ายอย่างองอาจกล้าหาญไม่กลัวความตาย
แน่นอน ในนั้นมีความมุทะลุ มีความคิดรุนแรง เลยธง บ้าระห่ำ การนำที่สะเปะสะปะ ขาดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี แต่สำหรับมวลชน ‘คนชั้นต่ำของแผ่นดิน’ นี่คือวีรกรรมและความเคียดแค้นเจ็บช้ำที่จะจดจำไปตลอดกาล
ขณะเดียวกัน เมื่อ ‘แดงถ่อย’ ยึดราชประสงค์ แหล่งชอปกระหน่ำซัมเมอร์เซล ศูนย์กลางกรุงเทพฯ ทำให้การจราจรเป็นอัมพาต ทั้งยังอาละวาดบุกที่นั่นที่นี่ ทำลาย ‘ความสงบสุข’ ของคนกรุง ก็เกิดกระแส ‘มวลชนเฟซบุค’ ล่า 1 ล้านชื่อสนับสนุนระบอบอภิสิทธิ์ ให้ใช้กำลังทหารปราบม็อบ หรืออีกนัยหนึ่ง ‘ออกใบอนุญาตฆ่า’ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเกิดบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนกลาด แต่ต้องทำ เพื่อ ‘เอาความสุขของกรูคืนมา’
หลังเหตุการณ์ คนชั้นกลางชาวกรุงยังสร้างอารมณ์ร่วมทางชนชั้น หลั่งน้ำตาอาลัยตึกเวิลด์เทรด หวนหาความผูกพันอันโรแมนติกที่มีต่อโรงหนังสยามและโรงเรียนกวดวิชา (ตลอดจนไปเข้าคิวซื้อโดนัทที่สยามพารากอน) พวกเขาและเธอช่วยกันปกป้องอภิสิทธิ์และกองทัพ กระทั่งเขียนไปตอบโต้แดน ริเวอร์ แห่ง CNN อย่าง ‘องอาจกล้าหาญ’ กรี๊ดสนั่น ‘ไก่อู’ เป็นหนุ่มเนื้อหอมแห่งปี
นี่คือ ‘วีรกรรม’ ในทัศนะของคนกรุงเช่นกัน
วีรบุรุษแห่งปี เสธ.แดง หรือร่มเกล้า
วีรบุรุษในภาพรวมทุกชนชั้นเห็นพ้องว่าได้แก่ ‘จ่าเพียร’ ตำรวจดีไม่มีเส้น ผู้ตรากตรำทำหน้าที่จนวาระสุดท้าย
แต่วีรบุรุษทางการเมือง มีช้อยส์ให้เลือก 2 ข้อเช่นกัน คือ เสธ.แดง หรือ พ.อ.ร่มเกล้า
ผมเคยเปรียบเทียบไว้แล้วว่า เสธ.แดงจะเป็น ‘ตำนาน’ ส่วน พ.อ.ร่มเกล้าจะเป็น ‘อนุสาวรีย์’ แม้บ้าระห่ำไร้ทิศทาง มุทะลุไร้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างไร เสธ.แดงก็ ‘ได้ใจ’ เข้าถึงหัวจิตหัวใจมวลชน งานศพเสธ.แดงมีคนมาไว้อาลัยล้นหลาม เรื่องราวของนายพลขวัญใจคนชั้นล่างคงเล่าขานกันไปอีกนาน ...แต่ไม่ทราบว่ากองทัพสร้างรูปปั้นให้ พ.อ.ร่มเกล้า หรือยัง
ตัวตลกแห่งปี หมอเหวง หรือหมอประเวศ
หมอเหวงออกทีวีกับอภิสิทธิ์ แต่กลับออกทะเลจนคำว่า ‘เหวง’ กลายเป็นศัพท์แสลงใหม่ฮิตในหมู่คนกรุง ขณะที่คนเสื้อแดงเองก็บ่นเซ็งอุบอิบ
หมอประเวศกับอานันท์ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ใช้งบประมาณ 600 ล้าน กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากทฤษฎีชุมชนนิยมที่พูดไว้ซ้ำซาก จนถูกคนรุ่นหลังถอนหงอกสนุกสนาน ไม่ใช่แค่ ‘คำ ผกา’ แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์หรือผู้สนับสนุนระบอบอภิสิทธิ์ก็ออกอาการเซ็งและอดแซวไม่ได้เช่นกัน
ป.ล.ถ้าเลือกหมอประเวศ ก็รวมอานันท์และกรรมการปฏิรูปทั้งสองชุด
Idol แห่งปี อภิชาติพงศ์ หรือแทนคุณ
แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้มีภาพลักษณ์ ‘ลูกกตัญญู’ เป็นจุดขาย ทำหน้าที่พิธีกร NBT ตอบโต้ ‘ไพร่แดง’ อย่างแข็งขัน เป็นขวัญใจคนชั้นกลางเฟซบุค ปกป้องระบอบอภิสิทธิ์ และกองทัพ
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก้าวขึ้นรับรางวัลปาล์มทองที่เมืองคานส์ โดยไม่กล่าวขอบคุณใครให้ยืดยาวแบบไทยๆ แต่กลับขอบคุณ ‘ภูติผีปีศาจ’ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า การต่อสู้ของเสื้อแดงคือการต่อสู้ทางชนชั้น นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคัดค้านกระทรวงวัฒนธรรมที่ให้งบ 100 ล้านกับหนัง ‘นเรศวร’ เรื่องเดียว
2.สิ่งต่างๆ แห่งปี
ข่าวฮาแห่งปี : น้ำท่วมให้รีบตัก ทันทีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ก็มีคนบอกว่านี่คือ ‘นาทีทอง’ ของรัฐบาล ที่จะเก็บเกี่ยวเยียวยากลบปัญหาความขัดแย้ง แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นนาทีทองของสรยุทธ์ กับครอบครัวข่าว 3 แม้จะมีคำถามถึงการทำเกินหน้าที่สื่อ (คือตีปี๊บเฉพาะพื้นที่ที่ตนลงไปช่วย) แต่ก็ทำให้รัฐบาลหน้าแหกเสียรังวัด พิสูจน์ความไร้กึ๋นไร้ประสิทธิภาพ
หัวข่าวฮาแห่งปี : เนวินทอดกฐินโจร ที่จริงต้องยกเป็นข่าวยอดเยี่ยม ด้านให้การศึกษาเด็กและเยาวชนรู้จักประเพณีสำคัญทางศาสนา เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักว่า ‘กฐินโจร’ คือการทอดกฐินตกค้างให้กับวัดที่ไม่มีเจ้าภาพ เมื่อเห็นหัวข่าว ‘เนวินทอดกฐินโจร’ จึงฮือฮา พลิกอ่านแล้วค่อยร้องอ๋อ ที่แท้ทอดกฐินตกค้างให้ 239 วัดในบุรีรัมย์ ถ้าเป็นคนอื่นทอดกฐินโจร ก็คงไม่เรียกความสนใจได้เช่นนี้
หัวข่าวเฮ(โล)แห่งปี : ทักษิณ 1 ใน 5 ผู้นำยอดแย่ แพร่มาจากข้อเขียนของโจชัว คีทติ้ง ในเว็บไซต์นิตยสาร Foreign Policy ในเครือวอชิงตันโพสต์ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่แทบทุกฉบับ ขณะที่ข่าวนายกฯ อังกฤษไม่มาเที่ยวเมืองไทยเพราะเกรงจะส่งสัญญาณหนุนอภิสิทธิ์ ตกหายจากหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ มีมติชนพาดหัวใหญ่ฉบับเดียว
ที่จริงทั้งสองข่าวต้องเสนอแก่ผู้อ่านแต่ไม่จำเป็นต้องเน้นมากนัก เพราะข่าวแรกแค่ทัศนะฝรั่งคนเดียว ข่าวหลังก็อ้างแหล่งข่าวไม่เป็นทางการ เรื่องตลกคือ ถ้าเข้าไปดูในเว็บไซต์ Foreign Policy จะพบว่าข้อเขียนเรื่องอื่นๆ ของคีทติ้งมีคนโหวตพอใจ 20-30 หรืออย่างเก่งก็ 100-200 ราย แต่ข้อเขียนเรื่องนี้มีคนโหวตถล่มทลาย 4 พันกว่าราย คาดว่าเป็นข้อเขียนที่มีคนอ่านมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งนิตยสารฉบับนี้มาเลยทีเดียว (คนชาติไหนคงเดาได้)
ไร้สาระแห่งปี : กฎเหล็กของมาร์ค กฎเหล็ก รธน. ขวัญใจจริตนิยมให้เทพเทือกลาออกก่อนลงเลือกตั้ง ชนะแล้วกลับมาเป็นรองนายกฯ ใหม่ จากนั้นก็ใช้กฎเดียวกันบีบให้บุญจง-เกื้อกูล ทำตาม ชนะแล้วกลับมาเป็นรัฐมนตรีใหม่ ถามว่ามีประโยชน์อะไร เพราะข้าราชการหัวคะแนนกำนันผู้ใหญ่บ้านรับรู้ทั่วกัน มี-ตรงที่ทำให้มาร์คได้คะแนนนิยม
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับการแต่งตั้งปลัดมหาดไทย ที่ถูกตีกลับ แต่ก็เพียงเปลี่ยนจากศิษย์ ‘โรงเรียนเนฯ’ เบอร์ 1 มาเป็นเบอร์
2 กลบเกลื่อน
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ 6 ส.ส.พ้นสภาพ เนื่องจากถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ ทั้งที่เป็นการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และมีจำนวนน้อยนิด ไม่ส่งผลให้มีสิทธิเสียงในการบริหาร นี่คือกฎเกณฑ์หยุมหยิมจับยายฉิมเก็บเห็ดในรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งทำให้ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินจัดการเลือกตั้งใหม่ 5 เขต โดยยังคล้ายคดีสมัครชิมไปบ่นไป พ้นนายกฯ เพราะพจนานุกรม วันรุ่งขึ้นก็ยังมีสิทธิเป็นนายกฯ อีก ในกรณีนี้ 5 ส.ส.เขตยังกลับมาลงเลือกตั้งได้อีก ถามว่าถ้าขาดคุณสมบัติ ผิดจริยธรรมร้ายแรง จนถูกถอดถอนแล้ว ยังให้กลับมาได้อย่างไร คำตอบคือ พวกเขาไม่ได้ขาดคุณสมบัติ และไม่ควรถูกถอดถอนตั้งแต่แรก ถ้าจะวินิจฉัยว่าผิด อย่างเก่งก็คือมี ‘ลักษณะต้องห้าม’ ให้จำหน่ายจ่ายหุ้นเสียแล้วเป็น ส.ส.ต่อไป
บุคคลตัวอย่าง : ธาริต เพ็งดิษฐ์ ถ้าธาริตเป็นผู้ใกล้ชิด ปชป.ก็คงไม่นับเป็นบุคคลตัวอย่าง แต่ธาริตเป็นผู้ใกล้ชิด ทรท.มาก่อน เริ่มจากเป็นอัยการ หน้าห้องคณิต ณ นคร หมอมิ้งดึงไปช่วยราชการสำนักนายกฯ เป็นที่ปรึกษาพันศักดิ์ วิญญรัตน์ แล้วก็ย้ายจากอัยการมาเป็นรองอธิบดี DSI ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งคงจะหวังให้เป็นมือเป็นไม้ แต่กลับได้ขึ้นเป็นอธิบดีในยุคพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค สร้างชื่อเป็นมือปราบ ‘ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง’ ด้วยการสืบสวนสอบสวนแบบ ‘กันไว้เป็นพยาน’ และตีปี๊บข่าวฝึกอาวุธในเขมร กระทั่งได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
นี่คือ ‘บุคคลตัวอย่าง’ ที่เยาวชนคนรุ่นหลังต้องจดจำและเลียนแบบ ถ้าอยากจะได้ดิบได้ดีในสังคมนี้
สถาบันตัวอย่าง : ม.รังสิต รักพี่เสียดายน้อง เลือกยากจริงๆ ธรรมศาสตร์เลือกอธิการบดีได้สมคิด เลิศไพฑูรย์ สืบทอดเก้าอี้สุรพล นิติไกรพจน์ จุฬาฯ ยึดป้ายนักศึกษาประท้วงอภิสิทธิ์ ขณะที่นิด้าของสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ต้องยกให้เป็น ‘ดาวค้างฟ้า’ บทบาทไม่ตกฟาก
อย่างไรก็ดี สุดท้ายขอเลือก ม.รังสิต เพราะออกแถลงการณ์ 3 ฉบับในนามมหาวิทยาลัย คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชา เปล่า ไม่ติดใจเนื้อหาหรอก แต่แถลงการณ์ลงชื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ กับ ดร.สมปอง สุจริตกุล แค่ 2 คน! รู้สึกประทับใจที่ 2 คนลงชื่อแทนทั้งมหาวิทยาลัยได้ (ถ้าใช้คำว่าบริษัทมหาวิทยาลัยรังสิต จำกัด จะไม่แปลกใจเลย)
คดีส่งผลสะเทือนแห่งปี : 3G คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุดที่ทำแท้งการประมูลใบอนุญาต 3G เป็นคดีที่ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวาง รุนแรง ลึกซึ้ง ยาวนาน ผลการตีความของศาลทำให้การแข่งขันเสรีเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีก้าวสำคัญต้องชะงักงันไปเป็นปีๆ ขณะที่ ทศท.กสท. (ภายใต้กำกับของจุติ ไกรฤกษ์) สามารถนำคลื่น 3G ที่มีอยู่แล้วมาเปิดสัมปทานได้ กลายเป็น tiger eat sleep สบายใจเฉิบต่อไป (ก่อนหน้านี้ก็ได้ค่าสัมปทานคืนมาเพราะยกเลิก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต) หนำซ้ำ กสท.ยังแบะท่าจะยกคลื่นให้ True ของเจ้าสัวซีพี ชิงความได้เปรียบอีก 2 บริษัทอย่างมหาศาล ทั้งที่ถ้าเข้าประมูลใบอนุญาตกับ กทช.True คือผู้ที่มีความพร้อมน้อยที่สุด
คดีนี้วินิจฉัยโดยองค์คณะที่ท่านหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ‘ศิษย์เอกโกเอ็นก้า’ เป็นตุลาการหัวหน้าคณะ ก่อนขึ้นเป็นประธานศาลปกครองสูงสุดแทน อ.อักขราทร จุฬารัตน์ ในอีก 7 วันต่อมา
คดีกังขาแห่งปี : 29 ล้านกับ 258 ล้าน คดี 29 ล้าน ปชป.ชนะฟาวล์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่า ปชป.ไม่ผิด 4-2 คดี 258 ล้าน ปชป.ชนะฟาวล์ โดยศาลยังไม่ทันไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าเอาตรรกมาเรียบเรียงใหม่ สมมติศาลเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยุบพรรค คดีแรก ยังไงๆ ปชป.ก็ไม่ผิด แต่คดีหลังล่ะ ฉะนั้น การชนะฟาวล์จริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์ต่อคดีแรก แต่อาจสำคัญมากๆๆ กับคดีหลัง
คดีแรกชนะฟาวล์ด้วยมติ 3-1-2 แต่กลับรวบรัดเป็น 4-2 และเอาความเห็นของ 1 เสียงมาใช้ในคำวินิจฉัยชั่วคราว แต่แก้ไขใหม่ในคำวินิจฉัยค้างคืน คดีหลังถ้ามีตุลาการ 6 คนเท่าเดิม มติก็จะออกมาเป็น 3-3 แต่ ปชป.โชคดีตามเคยที่องค์คณะกลับมาเป็น 7 คน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจแห่งปี: ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอภิปรายทักษิณ ฐานทางกฎหมายของคดีนี้คือมาตรา 4 กฎหมาย ปปช.ซึ่งระบุว่า ‘ร่ำรวยผิดปกติ’ หมายถึง ‘ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง’ คำวินิจฉัยพยายามเชื่อมโยงองค์ประกอบ 3 ส่วนเข้าด้วยกันคือ หนึ่ง หุ้นเป็นของทักษิณ สอง มีการแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาที่เกิดประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อมกับชินคอร์ป และสาม เกิดในขณะที่ทักษิณเป็นนายกฯ แต่องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไป คือการพิสูจน์ว่าทักษิณใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปสั่งการให้เอื้อประโยชน์ ซึ่งจะเข้าข่ายทุจริตประพฤติมิชอบตามมาตรา 157
คำวินิจฉัยมุ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ไปยังประเด็นที่สอง ว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาให้ได้ประโยชน์โดย ‘ไม่สมควร’ ซึ่งคำว่า ‘ไม่สมควร’ ฟ้องในตัวว่าเป็นเพียงทัศนะหรือความเห็น ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ทางกฎหมาย ไม่ชัดเจนเหมือนคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ถามว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือไหม-มี เพราะสังคม (แม้แต่ผม) ก็เชื่ออยู่แล้วว่าทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เมื่อเป็นทัศนะหรือความเห็น ก็เป็นสิ่งที่โต้แย้งเห็นต่างได้ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยว่า ‘ไม่สมควร’ ทั้ง 5 ประเด็น บางคนอาจเห็นด้วยบางประเด็น ไม่เห็นด้วยบางประเด็น หรือไม่เห็นด้วยเลย การแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาในทุกรัฐบาล ก็มีบ่อยครั้งที่เอื้อให้เอกชนได้ประโยชน์ โดยรัฐอาจมองถึงประโยชน์ส่วนรวม เช่น เพื่อให้โครงการลุล่วง รวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการอย่างทั่วถึง หรือเพื่อให้รัฐได้ส่วนแบ่งค่าสัมปทานมากขึ้น กรณีนี้ ประเด็นที่โต้เถียงกันเยอะมากคือ พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งทำให้คลังได้ภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องเข้าปาก tiger eat sleep แต่ศาลเห็นตาม คตส.ว่าเป็นการกีดกันคู่แข่ง
เมื่อไม่ได้พิสูจน์ว่าทักษิณใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงสั่งการ เพียงอนุมานว่า ‘ทักษิณเป็นเจ้าของ ทักษิณเป็นนายกฯ ทักษิณได้ประโยชน์ ซ.ต.พ.’ คำวินิจฉัยจึงไม่ต่างจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ต่างจากที่ อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ พูดไว้ หรือที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งทำให้สังคมเชื่อ ทำให้สังคมเคลือบแคลงกังขาว่าทักษิณไม่โปร่งใส แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
ศาลตีความมาตรา 4 ว่าต้องการข้อสรุปเพียง ‘ไม่สมควร’ ไม่ต้องพิสูจน์ว่า ‘ทุจริต’ การวินิจฉัยคดีนี้จึงกลายเป็นเรื่องของความเห็น ไม่ใช่เรื่องของการพิสูจน์ข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยทั้งหมดเป็นความเห็นที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่เราๆ ท่านๆ เคยเคลือบแคลงสงสัยกันมาก่อน เพียงนำมาจัดเรียงใหม่ให้หนักแน่นและเข้าองค์ประกอบของกฎหมายตามที่ศาลตีความ
ให้สังเกตด้วยว่าเมื่อคำวินิจฉัยขาดคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ก็ทำให้รัฐไม่สามารถยกเลิกสัญญาที่ทำให้ชินคอร์ปได้ประโยชน์โดย ‘ไม่สมควร’ แต่ถ้ามีคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ พิสูจน์ได้ว่าทักษิณแทรกแซงสั่งการ สัญญาเหล่านั้นจะเป็นโมฆะทันที
ช้อยส์แห่งปี : สนธิ ลิ้ม กับวีระ สมความคิด จะเลือกบริจาคกล่องไหน
ช้อยส์แห่งปี (สำหรับตุลาการภิวัตน์) : ชัช ชลวร หรืออภิชาติ สุขัคคานนท์ ใครจะไปก่อน
วาทะแห่งปี : ‘ล้มเจ้า’ ข้อกล่าวหาที่ครอบกะลาหัวมวลชนเสื้อแดง กระทั่งมีแผนผัง ศอฉ.โยงใครต่อใครมั่วไปหมด สาเหตุที่เลือกวาทะนี้ เป็นเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ เพราะคนที่เอามาจุดชนวน เป็นคนเดือนตุลาที่เคยถูกข้อกล่าวหาแบบเดียวกันเมื่อครั้ง 6 ตุลา 2519 จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่า
ผู้แพ้แห่งปี : ‘หญิงเป็ด จากนางเอ๊กนางเอกที่มีแค่คนแซ่ซ้องสดุดี ว่านี่แหละมือปราบทุจริต ไม่ทราบว่าเกิดความพลิกผันอย่างไร คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้พยายามจะกลับมาทวงเก้าอี้ผู้ว่า สตง.จึงถูกรุมแซนด์วิชโดยศิษย์ก้นกุฎีอย่าง พิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กับเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นอกจากนี้ยังโดนกระหนาบโดยมีชัย ฤชุพันธ์ และกรรมการกฤษฎีกา ก่อนจำใจยุติบทบาทตามคำสั่งศาลปกครอง ที่น่าประหลาดใจคือไม่ยักมีใครช่วย’หญิงเป็ด แม้แต่สื่อต่างๆ ที่เคยแซ่ซ้องก็ยังกลับมาตำหนิติติง
ดาวดับแห่งปี : ................ อิอิ อ้าปากก็คงเดาได้ อุตส่าห์เก็บไว้ตอนท้าย ไม่ใช่แค่ 40 สว. แต่ใครเอ่ย แพ้เลือกตั้ง สก.สข.จู๋น-จู๋น ยกพลไปประท้วง MOU ปี 43 ม็อบหน้าสภาค้านแก้รัฐธรรมนูญ ก็นับหัวแล้วใจหาย ศิษย์เก่ามัฆวาฬ ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ไปไหนหมด ไม่กลับมารำลึกความหลังกันมั่งเลย
ขนาดสื่อพวกกันเองยังเผลอซ้ำเติม บอกว่าคนกรุงไม่เลือกม็อบ ไม่เลือกความรุนแรง จึงไม่เลือกทั้งเพื่อไทยและการเมืองใหม่ พูดอีกก็ถูกอีก แน่นอนคนกรุงคนชั้นกลางปฏิเสธทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลือง แต่เสื้อแดงไม่ตายเพราะมีฐานมวลชนอันกว้างใหญ่ไพศาลในชนบท ขณะที่ พธม.หากินกับการปลุกกระแสสุดขั้วสุดโต่งของคนชั้นกลาง ทั้งกระแสเกลียดทักษิณ ทั้งอุดมการณ์ราชาชาตินิยม แต่ตอนนี้ อภิสิทธิ์ขโมยซีนไปหมด ทั้งยังขายโปรโมชั่น ‘ไทยนี้รักสงบ’ ถูกอกถูกใจคนชั้นกลางผู้เบื่อหน่าย ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
พันธมิตรจึงเสียมวลชนให้อภิสิทธิ์ อีกด้านหนึ่ง มวลชน ปชป.ที่แฝงตัวเข้าพันธมิตรก็ถอยกลับ แกนนำพันธมิตรเริ่มเอ่ยปากทำนองว่า ‘เหลืองแดงรวมกันได้’ แต่ไม่มีทาง ภารกิจที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องในปีหน้าคือการเย้ยหยันพันธมิตร แม้โดยส่วนตัวจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง แต่ต้อง ‘ทำลายล้าง’ ในเชิงหลักการ เพราะพันธมิตรบิดเบือนหลักการจนเลอะไปหมด ต้อง ‘กระชับพื้นที่’ ยึดพื้นที่ทางหลักการคืนมา
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปีที่แล้วจัดอันดับข่าวฮา แต่ปีนี้ที่เกิดเหตุการณ์นองเลือด เข่นฆ่า จับกุมคุมขัง ละเมิดสิทธิเสรีภาพมวลชนอย่างร้ายแรง จึงไม่มีอารมณ์จัดอันดับข่าวฮา ขอสรุปภาพเหตุการณ์ตามใจฉัน (ผม) ก็แล้วกัน
ก่อนอื่นขอชมนักข่าวทำเนียบ นักข่าวสภา ที่ตั้งฉายารัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างตรงไปตรงมา แสดงออกซึ่งความเป็นกลางและเป็นอิสระ ของนักข่าวพื้นที่ ไม่แสดงอคติเลือกข้างเหมือนข่าวที่ผ่านการเรียบเรียงและพาดหัวโดยหัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว
ฉายาที่สะใจนอกจาก ‘ซีมาร์คโลชั่น’ ก็คือ ‘กริ๊ง...สิงสื่อ’ ซึ่งแฉหมดเปลือกว่า สาทิตย์โทรศัพท์สายตรงไปถึงกองบรรณาธิการสื่อของรัฐ ชี้นำกำหนดประเด็นการเสนอข่าว
นี่หรือรัฐบาล ปชป.ที่เคยตีฆ้องร้องป่าวว่า ทักษิณแทรกแซงสื่อ ซื้อสื่อ แต่เปิดหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้เราจะเห็นแต่โฆษณาหน่วยงานของรัฐเต็มไปหมดทุกฉบับ พร้อมกับใบหน้านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ (โฆษณาฟรีจากเงินภาษีประชาชน)
ส่วนนักข่าวสภาก็สะใจที่ให้ 40 สว.เป็น ‘ดาวดับ’ ไม่ไว้หน้า สมชาย แสวงการ กับคำนูณ สิทธิสมาน และที่ขำกลิ้งโดยอาจไม่ได้ตั้งใจคือ คนดีศรีสภาได้แก่ ทิวา เงินยวง (ตายแล้ว)
1.ปีแห่งการต่อสู้ทางชนชั้น
ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ก็ในเมื่อ CNN ยังยกให้เหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นอันดับ 1 ใน 20 ข่าวเปลี่ยนแปลงโลกของภูมิภาคเอเชีย
สังคมไทยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างมุม ตามทัศนะชนชั้น ไม่เฉพาะการชุมนุมและการใช้กำลัง ‘กระชับพื้นที่’ น้ำท่วมใหญ่ปลายปี ก็เจือปน ‘ทัศนะชนชั้น’ เพราะที่ผ่านมาน้ำท่วมเรือกสวนไร่นาทุกปี คนกรุงไม่เคยสนใจ คนอยุธยา คนปทุม ‘ชนชั้นแก้มลิง’ อ่วมอรทัยทุกปี คนกรุงไม่เคยสนใจ แต่ปีนี้ คนกรุงเห็นภาพสดๆ ทางทีวี น้ำหลากเข้าท่วมเมือง โรงพยาบาล บ้านจัดสรรที่โคราช ท่วมตลาดหาดใหญ่ แหม! มันเข้าถึงหัวอกคนชั้นกลางด้วยกัน
นอกจากนี้ยังรวมกระแส ‘กอดต้นไม้’ คัดค้านถนนขึ้นเขาใหญ่ ปลุกคนชั้นกลางให้กอดภูเขา กอดทะเล กอดแม่น้ำ (อนุรักษ์ไว้เพื่อห้กรูไปเที่ยวนอนรีสอร์ท) แต่ไม่ยักอยากกอดเพื่อนมนุษย์
สิ่งที่สะท้อนว่านี่เป็นปีแห่งการต่อสู้ทางชนชั้น คือเราสามารถจัดอันดับเรื่องต่างๆ ได้เป็น 2 มุมที่ต่างกันสุดขั้ว เช่น
บุคคลแห่งปี ‘ไพร่’ หรือ ‘คนชั้นกลางเฟซบุค’
อาจพูดได้อีกอย่างว่า พระ(นาง)เอกแห่งปี หรือพระ(นาง)ร้ายแห่งปี
‘ไพร่แดง’ กรีธาทัพเข้าเมืองหลวง ยกขบวนไปทั่วกรุงท่ามกลางการโบกธงต้อนรับของแท็กซี่ สามล้อ มอเตอร์ไซค์ แม่บ้าน คนงานก่อสร้าง ทำให้คนชั้นกลางวิตกอกสั่น เพราะเพิ่งรู้ว่าคนสวน คนขับรถ แม่บ้านที่ชงกาแฟให้กินทุกวัน ล้วนเป็นเสื้อแดง
‘ไพร่แดง’ ยึดราชดำเนิน ยึดราชประสงค์ ยึดสถานีไทยคม ใช้กำลังคนที่มีแต่สองมือเปล่าปิดล้อมปลดอาวุธทหาร เหตุการณ์ 10 เมษายน แม้ถูกยิงล้มตายราวใบไม้ร่วง แต่มวลชนที่โกรธแค้นก็ลุกฮือไล่ ‘ทหารเสือ’ หนีกระเจิง ทิ้งอาวุธ ทิ้งรถหุ้มเกราะ กระทั่งถอดเครื่องแบบเอาตัวรอด
แม้ต่อมา มวลชนเสื้อแดงถูกปราบด้วยปฏิบัติการกระชับพื้นที่ พร้อม ‘สไนเปอร์’ ใน ‘เขตใช้กระสุนจริง’ พวกเขาก็ยืนหยัดต้านทานอยู่ในวงล้อมจนวาระสุดท้ายอย่างองอาจกล้าหาญไม่กลัวความตาย
แน่นอน ในนั้นมีความมุทะลุ มีความคิดรุนแรง เลยธง บ้าระห่ำ การนำที่สะเปะสะปะ ขาดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี แต่สำหรับมวลชน ‘คนชั้นต่ำของแผ่นดิน’ นี่คือวีรกรรมและความเคียดแค้นเจ็บช้ำที่จะจดจำไปตลอดกาล
ขณะเดียวกัน เมื่อ ‘แดงถ่อย’ ยึดราชประสงค์ แหล่งชอปกระหน่ำซัมเมอร์เซล ศูนย์กลางกรุงเทพฯ ทำให้การจราจรเป็นอัมพาต ทั้งยังอาละวาดบุกที่นั่นที่นี่ ทำลาย ‘ความสงบสุข’ ของคนกรุง ก็เกิดกระแส ‘มวลชนเฟซบุค’ ล่า 1 ล้านชื่อสนับสนุนระบอบอภิสิทธิ์ ให้ใช้กำลังทหารปราบม็อบ หรืออีกนัยหนึ่ง ‘ออกใบอนุญาตฆ่า’ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเกิดบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนกลาด แต่ต้องทำ เพื่อ ‘เอาความสุขของกรูคืนมา’
หลังเหตุการณ์ คนชั้นกลางชาวกรุงยังสร้างอารมณ์ร่วมทางชนชั้น หลั่งน้ำตาอาลัยตึกเวิลด์เทรด หวนหาความผูกพันอันโรแมนติกที่มีต่อโรงหนังสยามและโรงเรียนกวดวิชา (ตลอดจนไปเข้าคิวซื้อโดนัทที่สยามพารากอน) พวกเขาและเธอช่วยกันปกป้องอภิสิทธิ์และกองทัพ กระทั่งเขียนไปตอบโต้แดน ริเวอร์ แห่ง CNN อย่าง ‘องอาจกล้าหาญ’ กรี๊ดสนั่น ‘ไก่อู’ เป็นหนุ่มเนื้อหอมแห่งปี
นี่คือ ‘วีรกรรม’ ในทัศนะของคนกรุงเช่นกัน
วีรบุรุษแห่งปี เสธ.แดง หรือร่มเกล้า
วีรบุรุษในภาพรวมทุกชนชั้นเห็นพ้องว่าได้แก่ ‘จ่าเพียร’ ตำรวจดีไม่มีเส้น ผู้ตรากตรำทำหน้าที่จนวาระสุดท้าย
แต่วีรบุรุษทางการเมือง มีช้อยส์ให้เลือก 2 ข้อเช่นกัน คือ เสธ.แดง หรือ พ.อ.ร่มเกล้า
ผมเคยเปรียบเทียบไว้แล้วว่า เสธ.แดงจะเป็น ‘ตำนาน’ ส่วน พ.อ.ร่มเกล้าจะเป็น ‘อนุสาวรีย์’ แม้บ้าระห่ำไร้ทิศทาง มุทะลุไร้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างไร เสธ.แดงก็ ‘ได้ใจ’ เข้าถึงหัวจิตหัวใจมวลชน งานศพเสธ.แดงมีคนมาไว้อาลัยล้นหลาม เรื่องราวของนายพลขวัญใจคนชั้นล่างคงเล่าขานกันไปอีกนาน ...แต่ไม่ทราบว่ากองทัพสร้างรูปปั้นให้ พ.อ.ร่มเกล้า หรือยัง
ตัวตลกแห่งปี หมอเหวง หรือหมอประเวศ
หมอเหวงออกทีวีกับอภิสิทธิ์ แต่กลับออกทะเลจนคำว่า ‘เหวง’ กลายเป็นศัพท์แสลงใหม่ฮิตในหมู่คนกรุง ขณะที่คนเสื้อแดงเองก็บ่นเซ็งอุบอิบ
หมอประเวศกับอานันท์ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ใช้งบประมาณ 600 ล้าน กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากทฤษฎีชุมชนนิยมที่พูดไว้ซ้ำซาก จนถูกคนรุ่นหลังถอนหงอกสนุกสนาน ไม่ใช่แค่ ‘คำ ผกา’ แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์หรือผู้สนับสนุนระบอบอภิสิทธิ์ก็ออกอาการเซ็งและอดแซวไม่ได้เช่นกัน
ป.ล.ถ้าเลือกหมอประเวศ ก็รวมอานันท์และกรรมการปฏิรูปทั้งสองชุด
Idol แห่งปี อภิชาติพงศ์ หรือแทนคุณ
แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้มีภาพลักษณ์ ‘ลูกกตัญญู’ เป็นจุดขาย ทำหน้าที่พิธีกร NBT ตอบโต้ ‘ไพร่แดง’ อย่างแข็งขัน เป็นขวัญใจคนชั้นกลางเฟซบุค ปกป้องระบอบอภิสิทธิ์ และกองทัพ
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก้าวขึ้นรับรางวัลปาล์มทองที่เมืองคานส์ โดยไม่กล่าวขอบคุณใครให้ยืดยาวแบบไทยๆ แต่กลับขอบคุณ ‘ภูติผีปีศาจ’ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า การต่อสู้ของเสื้อแดงคือการต่อสู้ทางชนชั้น นอกจากนี้ เขายังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคัดค้านกระทรวงวัฒนธรรมที่ให้งบ 100 ล้านกับหนัง ‘นเรศวร’ เรื่องเดียว
2.สิ่งต่างๆ แห่งปี
ข่าวฮาแห่งปี : น้ำท่วมให้รีบตัก ทันทีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ก็มีคนบอกว่านี่คือ ‘นาทีทอง’ ของรัฐบาล ที่จะเก็บเกี่ยวเยียวยากลบปัญหาความขัดแย้ง แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นนาทีทองของสรยุทธ์ กับครอบครัวข่าว 3 แม้จะมีคำถามถึงการทำเกินหน้าที่สื่อ (คือตีปี๊บเฉพาะพื้นที่ที่ตนลงไปช่วย) แต่ก็ทำให้รัฐบาลหน้าแหกเสียรังวัด พิสูจน์ความไร้กึ๋นไร้ประสิทธิภาพ
หัวข่าวฮาแห่งปี : เนวินทอดกฐินโจร ที่จริงต้องยกเป็นข่าวยอดเยี่ยม ด้านให้การศึกษาเด็กและเยาวชนรู้จักประเพณีสำคัญทางศาสนา เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักว่า ‘กฐินโจร’ คือการทอดกฐินตกค้างให้กับวัดที่ไม่มีเจ้าภาพ เมื่อเห็นหัวข่าว ‘เนวินทอดกฐินโจร’ จึงฮือฮา พลิกอ่านแล้วค่อยร้องอ๋อ ที่แท้ทอดกฐินตกค้างให้ 239 วัดในบุรีรัมย์ ถ้าเป็นคนอื่นทอดกฐินโจร ก็คงไม่เรียกความสนใจได้เช่นนี้
หัวข่าวเฮ(โล)แห่งปี : ทักษิณ 1 ใน 5 ผู้นำยอดแย่ แพร่มาจากข้อเขียนของโจชัว คีทติ้ง ในเว็บไซต์นิตยสาร Foreign Policy ในเครือวอชิงตันโพสต์ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่แทบทุกฉบับ ขณะที่ข่าวนายกฯ อังกฤษไม่มาเที่ยวเมืองไทยเพราะเกรงจะส่งสัญญาณหนุนอภิสิทธิ์ ตกหายจากหัวข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ มีมติชนพาดหัวใหญ่ฉบับเดียว
ที่จริงทั้งสองข่าวต้องเสนอแก่ผู้อ่านแต่ไม่จำเป็นต้องเน้นมากนัก เพราะข่าวแรกแค่ทัศนะฝรั่งคนเดียว ข่าวหลังก็อ้างแหล่งข่าวไม่เป็นทางการ เรื่องตลกคือ ถ้าเข้าไปดูในเว็บไซต์ Foreign Policy จะพบว่าข้อเขียนเรื่องอื่นๆ ของคีทติ้งมีคนโหวตพอใจ 20-30 หรืออย่างเก่งก็ 100-200 ราย แต่ข้อเขียนเรื่องนี้มีคนโหวตถล่มทลาย 4 พันกว่าราย คาดว่าเป็นข้อเขียนที่มีคนอ่านมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งนิตยสารฉบับนี้มาเลยทีเดียว (คนชาติไหนคงเดาได้)
ไร้สาระแห่งปี : กฎเหล็กของมาร์ค กฎเหล็ก รธน. ขวัญใจจริตนิยมให้เทพเทือกลาออกก่อนลงเลือกตั้ง ชนะแล้วกลับมาเป็นรองนายกฯ ใหม่ จากนั้นก็ใช้กฎเดียวกันบีบให้บุญจง-เกื้อกูล ทำตาม ชนะแล้วกลับมาเป็นรัฐมนตรีใหม่ ถามว่ามีประโยชน์อะไร เพราะข้าราชการหัวคะแนนกำนันผู้ใหญ่บ้านรับรู้ทั่วกัน มี-ตรงที่ทำให้มาร์คได้คะแนนนิยม
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับการแต่งตั้งปลัดมหาดไทย ที่ถูกตีกลับ แต่ก็เพียงเปลี่ยนจากศิษย์ ‘โรงเรียนเนฯ’ เบอร์ 1 มาเป็นเบอร์
2 กลบเกลื่อน
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ 6 ส.ส.พ้นสภาพ เนื่องจากถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ ทั้งที่เป็นการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และมีจำนวนน้อยนิด ไม่ส่งผลให้มีสิทธิเสียงในการบริหาร นี่คือกฎเกณฑ์หยุมหยิมจับยายฉิมเก็บเห็ดในรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งทำให้ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินจัดการเลือกตั้งใหม่ 5 เขต โดยยังคล้ายคดีสมัครชิมไปบ่นไป พ้นนายกฯ เพราะพจนานุกรม วันรุ่งขึ้นก็ยังมีสิทธิเป็นนายกฯ อีก ในกรณีนี้ 5 ส.ส.เขตยังกลับมาลงเลือกตั้งได้อีก ถามว่าถ้าขาดคุณสมบัติ ผิดจริยธรรมร้ายแรง จนถูกถอดถอนแล้ว ยังให้กลับมาได้อย่างไร คำตอบคือ พวกเขาไม่ได้ขาดคุณสมบัติ และไม่ควรถูกถอดถอนตั้งแต่แรก ถ้าจะวินิจฉัยว่าผิด อย่างเก่งก็คือมี ‘ลักษณะต้องห้าม’ ให้จำหน่ายจ่ายหุ้นเสียแล้วเป็น ส.ส.ต่อไป
บุคคลตัวอย่าง : ธาริต เพ็งดิษฐ์ ถ้าธาริตเป็นผู้ใกล้ชิด ปชป.ก็คงไม่นับเป็นบุคคลตัวอย่าง แต่ธาริตเป็นผู้ใกล้ชิด ทรท.มาก่อน เริ่มจากเป็นอัยการ หน้าห้องคณิต ณ นคร หมอมิ้งดึงไปช่วยราชการสำนักนายกฯ เป็นที่ปรึกษาพันศักดิ์ วิญญรัตน์ แล้วก็ย้ายจากอัยการมาเป็นรองอธิบดี DSI ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งคงจะหวังให้เป็นมือเป็นไม้ แต่กลับได้ขึ้นเป็นอธิบดีในยุคพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค สร้างชื่อเป็นมือปราบ ‘ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง’ ด้วยการสืบสวนสอบสวนแบบ ‘กันไว้เป็นพยาน’ และตีปี๊บข่าวฝึกอาวุธในเขมร กระทั่งได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
นี่คือ ‘บุคคลตัวอย่าง’ ที่เยาวชนคนรุ่นหลังต้องจดจำและเลียนแบบ ถ้าอยากจะได้ดิบได้ดีในสังคมนี้
สถาบันตัวอย่าง : ม.รังสิต รักพี่เสียดายน้อง เลือกยากจริงๆ ธรรมศาสตร์เลือกอธิการบดีได้สมคิด เลิศไพฑูรย์ สืบทอดเก้าอี้สุรพล นิติไกรพจน์ จุฬาฯ ยึดป้ายนักศึกษาประท้วงอภิสิทธิ์ ขณะที่นิด้าของสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ต้องยกให้เป็น ‘ดาวค้างฟ้า’ บทบาทไม่ตกฟาก
อย่างไรก็ดี สุดท้ายขอเลือก ม.รังสิต เพราะออกแถลงการณ์ 3 ฉบับในนามมหาวิทยาลัย คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชา เปล่า ไม่ติดใจเนื้อหาหรอก แต่แถลงการณ์ลงชื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ กับ ดร.สมปอง สุจริตกุล แค่ 2 คน! รู้สึกประทับใจที่ 2 คนลงชื่อแทนทั้งมหาวิทยาลัยได้ (ถ้าใช้คำว่าบริษัทมหาวิทยาลัยรังสิต จำกัด จะไม่แปลกใจเลย)
คดีส่งผลสะเทือนแห่งปี : 3G คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุดที่ทำแท้งการประมูลใบอนุญาต 3G เป็นคดีที่ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวาง รุนแรง ลึกซึ้ง ยาวนาน ผลการตีความของศาลทำให้การแข่งขันเสรีเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีก้าวสำคัญต้องชะงักงันไปเป็นปีๆ ขณะที่ ทศท.กสท. (ภายใต้กำกับของจุติ ไกรฤกษ์) สามารถนำคลื่น 3G ที่มีอยู่แล้วมาเปิดสัมปทานได้ กลายเป็น tiger eat sleep สบายใจเฉิบต่อไป (ก่อนหน้านี้ก็ได้ค่าสัมปทานคืนมาเพราะยกเลิก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต) หนำซ้ำ กสท.ยังแบะท่าจะยกคลื่นให้ True ของเจ้าสัวซีพี ชิงความได้เปรียบอีก 2 บริษัทอย่างมหาศาล ทั้งที่ถ้าเข้าประมูลใบอนุญาตกับ กทช.True คือผู้ที่มีความพร้อมน้อยที่สุด
คดีนี้วินิจฉัยโดยองค์คณะที่ท่านหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ‘ศิษย์เอกโกเอ็นก้า’ เป็นตุลาการหัวหน้าคณะ ก่อนขึ้นเป็นประธานศาลปกครองสูงสุดแทน อ.อักขราทร จุฬารัตน์ ในอีก 7 วันต่อมา
คดีกังขาแห่งปี : 29 ล้านกับ 258 ล้าน คดี 29 ล้าน ปชป.ชนะฟาวล์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่า ปชป.ไม่ผิด 4-2 คดี 258 ล้าน ปชป.ชนะฟาวล์ โดยศาลยังไม่ทันไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าเอาตรรกมาเรียบเรียงใหม่ สมมติศาลเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยุบพรรค คดีแรก ยังไงๆ ปชป.ก็ไม่ผิด แต่คดีหลังล่ะ ฉะนั้น การชนะฟาวล์จริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์ต่อคดีแรก แต่อาจสำคัญมากๆๆ กับคดีหลัง
คดีแรกชนะฟาวล์ด้วยมติ 3-1-2 แต่กลับรวบรัดเป็น 4-2 และเอาความเห็นของ 1 เสียงมาใช้ในคำวินิจฉัยชั่วคราว แต่แก้ไขใหม่ในคำวินิจฉัยค้างคืน คดีหลังถ้ามีตุลาการ 6 คนเท่าเดิม มติก็จะออกมาเป็น 3-3 แต่ ปชป.โชคดีตามเคยที่องค์คณะกลับมาเป็น 7 คน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจแห่งปี: ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอภิปรายทักษิณ ฐานทางกฎหมายของคดีนี้คือมาตรา 4 กฎหมาย ปปช.ซึ่งระบุว่า ‘ร่ำรวยผิดปกติ’ หมายถึง ‘ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง’ คำวินิจฉัยพยายามเชื่อมโยงองค์ประกอบ 3 ส่วนเข้าด้วยกันคือ หนึ่ง หุ้นเป็นของทักษิณ สอง มีการแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาที่เกิดประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อมกับชินคอร์ป และสาม เกิดในขณะที่ทักษิณเป็นนายกฯ แต่องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไป คือการพิสูจน์ว่าทักษิณใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปสั่งการให้เอื้อประโยชน์ ซึ่งจะเข้าข่ายทุจริตประพฤติมิชอบตามมาตรา 157
คำวินิจฉัยมุ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ไปยังประเด็นที่สอง ว่ามีการแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาให้ได้ประโยชน์โดย ‘ไม่สมควร’ ซึ่งคำว่า ‘ไม่สมควร’ ฟ้องในตัวว่าเป็นเพียงทัศนะหรือความเห็น ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ทางกฎหมาย ไม่ชัดเจนเหมือนคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ถามว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือไหม-มี เพราะสังคม (แม้แต่ผม) ก็เชื่ออยู่แล้วว่าทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เมื่อเป็นทัศนะหรือความเห็น ก็เป็นสิ่งที่โต้แย้งเห็นต่างได้ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยว่า ‘ไม่สมควร’ ทั้ง 5 ประเด็น บางคนอาจเห็นด้วยบางประเด็น ไม่เห็นด้วยบางประเด็น หรือไม่เห็นด้วยเลย การแก้ไขกฎหมายหรือแก้ไขสัญญาในทุกรัฐบาล ก็มีบ่อยครั้งที่เอื้อให้เอกชนได้ประโยชน์ โดยรัฐอาจมองถึงประโยชน์ส่วนรวม เช่น เพื่อให้โครงการลุล่วง รวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการอย่างทั่วถึง หรือเพื่อให้รัฐได้ส่วนแบ่งค่าสัมปทานมากขึ้น กรณีนี้ ประเด็นที่โต้เถียงกันเยอะมากคือ พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งทำให้คลังได้ภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องเข้าปาก tiger eat sleep แต่ศาลเห็นตาม คตส.ว่าเป็นการกีดกันคู่แข่ง
เมื่อไม่ได้พิสูจน์ว่าทักษิณใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงสั่งการ เพียงอนุมานว่า ‘ทักษิณเป็นเจ้าของ ทักษิณเป็นนายกฯ ทักษิณได้ประโยชน์ ซ.ต.พ.’ คำวินิจฉัยจึงไม่ต่างจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ต่างจากที่ อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ พูดไว้ หรือที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งทำให้สังคมเชื่อ ทำให้สังคมเคลือบแคลงกังขาว่าทักษิณไม่โปร่งใส แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
ศาลตีความมาตรา 4 ว่าต้องการข้อสรุปเพียง ‘ไม่สมควร’ ไม่ต้องพิสูจน์ว่า ‘ทุจริต’ การวินิจฉัยคดีนี้จึงกลายเป็นเรื่องของความเห็น ไม่ใช่เรื่องของการพิสูจน์ข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยทั้งหมดเป็นความเห็นที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่เราๆ ท่านๆ เคยเคลือบแคลงสงสัยกันมาก่อน เพียงนำมาจัดเรียงใหม่ให้หนักแน่นและเข้าองค์ประกอบของกฎหมายตามที่ศาลตีความ
ให้สังเกตด้วยว่าเมื่อคำวินิจฉัยขาดคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ก็ทำให้รัฐไม่สามารถยกเลิกสัญญาที่ทำให้ชินคอร์ปได้ประโยชน์โดย ‘ไม่สมควร’ แต่ถ้ามีคำว่า ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ พิสูจน์ได้ว่าทักษิณแทรกแซงสั่งการ สัญญาเหล่านั้นจะเป็นโมฆะทันที
ช้อยส์แห่งปี : สนธิ ลิ้ม กับวีระ สมความคิด จะเลือกบริจาคกล่องไหน
ช้อยส์แห่งปี (สำหรับตุลาการภิวัตน์) : ชัช ชลวร หรืออภิชาติ สุขัคคานนท์ ใครจะไปก่อน
วาทะแห่งปี : ‘ล้มเจ้า’ ข้อกล่าวหาที่ครอบกะลาหัวมวลชนเสื้อแดง กระทั่งมีแผนผัง ศอฉ.โยงใครต่อใครมั่วไปหมด สาเหตุที่เลือกวาทะนี้ เป็นเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ เพราะคนที่เอามาจุดชนวน เป็นคนเดือนตุลาที่เคยถูกข้อกล่าวหาแบบเดียวกันเมื่อครั้ง 6 ตุลา 2519 จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่า
ผู้แพ้แห่งปี : ‘หญิงเป็ด จากนางเอ๊กนางเอกที่มีแค่คนแซ่ซ้องสดุดี ว่านี่แหละมือปราบทุจริต ไม่ทราบว่าเกิดความพลิกผันอย่างไร คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้พยายามจะกลับมาทวงเก้าอี้ผู้ว่า สตง.จึงถูกรุมแซนด์วิชโดยศิษย์ก้นกุฎีอย่าง พิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส กับเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นอกจากนี้ยังโดนกระหนาบโดยมีชัย ฤชุพันธ์ และกรรมการกฤษฎีกา ก่อนจำใจยุติบทบาทตามคำสั่งศาลปกครอง ที่น่าประหลาดใจคือไม่ยักมีใครช่วย’หญิงเป็ด แม้แต่สื่อต่างๆ ที่เคยแซ่ซ้องก็ยังกลับมาตำหนิติติง
ดาวดับแห่งปี : ................ อิอิ อ้าปากก็คงเดาได้ อุตส่าห์เก็บไว้ตอนท้าย ไม่ใช่แค่ 40 สว. แต่ใครเอ่ย แพ้เลือกตั้ง สก.สข.จู๋น-จู๋น ยกพลไปประท้วง MOU ปี 43 ม็อบหน้าสภาค้านแก้รัฐธรรมนูญ ก็นับหัวแล้วใจหาย ศิษย์เก่ามัฆวาฬ ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ไปไหนหมด ไม่กลับมารำลึกความหลังกันมั่งเลย
ขนาดสื่อพวกกันเองยังเผลอซ้ำเติม บอกว่าคนกรุงไม่เลือกม็อบ ไม่เลือกความรุนแรง จึงไม่เลือกทั้งเพื่อไทยและการเมืองใหม่ พูดอีกก็ถูกอีก แน่นอนคนกรุงคนชั้นกลางปฏิเสธทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลือง แต่เสื้อแดงไม่ตายเพราะมีฐานมวลชนอันกว้างใหญ่ไพศาลในชนบท ขณะที่ พธม.หากินกับการปลุกกระแสสุดขั้วสุดโต่งของคนชั้นกลาง ทั้งกระแสเกลียดทักษิณ ทั้งอุดมการณ์ราชาชาตินิยม แต่ตอนนี้ อภิสิทธิ์ขโมยซีนไปหมด ทั้งยังขายโปรโมชั่น ‘ไทยนี้รักสงบ’ ถูกอกถูกใจคนชั้นกลางผู้เบื่อหน่าย ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
พันธมิตรจึงเสียมวลชนให้อภิสิทธิ์ อีกด้านหนึ่ง มวลชน ปชป.ที่แฝงตัวเข้าพันธมิตรก็ถอยกลับ แกนนำพันธมิตรเริ่มเอ่ยปากทำนองว่า ‘เหลืองแดงรวมกันได้’ แต่ไม่มีทาง ภารกิจที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องในปีหน้าคือการเย้ยหยันพันธมิตร แม้โดยส่วนตัวจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง แต่ต้อง ‘ทำลายล้าง’ ในเชิงหลักการ เพราะพันธมิตรบิดเบือนหลักการจนเลอะไปหมด ต้อง ‘กระชับพื้นที่’ ยึดพื้นที่ทางหลักการคืนมา
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มทภ.2 อัด "คนบางกลุ่ม" มีความคิดเป็นใหญ่ สร้างปัญหาไม่รู้จบ ทำชายแดนลุกเป็นไฟ วอนยุติเห็นแก่ ปชช.
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา ว่ากรณีทหารกัมพพูชาจับกุมตัว 7 คนไทย จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทหารของทั้ง 2 ประเทศที่ประจำอยู่ตามแนวชายแดนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเกิดขึ้นที่ จ.สระแก้ว เป็นพื้นที่ทางทหารคนละส่วนกันทั้งไทยและกัมพูชา โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของทางกองทัพภาคที่ 1 ในฝั่งไทย และกองกำลังทหารภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชา ในส่วนของพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 อยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็จะมีกองกำลังทหารภูมิภาคที่ 4 กำกับดูแลอยู่ ถือว่าเป็นคนละส่วนกัน
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวอีกว่า อยากทำความเข้าใจกับกลุ่มคนทุกกลุ่มว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชามีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างกำลังอยู่ในความสงบเรียบร้อย แต่กลับมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีความเข้าใจกับสถานการณ์ข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้และมีความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ออกสร้างปัญหาความขัดแย้ง ส่งผลให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดขึ้น อย่างเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ความจริงหากต้องการเข้าไปสำรวจพื้นที่ก็สามารถประสานผ่านไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ในพื้นที่ เพื่อที่ประสานไปยังฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการให้เกียรติกัน แต่เมื่อเข้าไปเองโดยไม่ประสานงาน เท่ากับทำให้ทั้ง 2 ประเทศต้องมาทะเลาะกัน ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังจะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานได้ยากลำบากขึ้น หากเกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมา ผลเสียโดยตรงจะตกอยู่ที่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับแนวชายแดน
"อยากวอนให้ผู้ที่รักชาติทุกคนอย่าทำให้ประเทศชาติเดือดร้อน หากใครมีความคับข้องใจหรือไม่เข้าใจตรงจุดไหน หากอยู่ในพื้นที่ของผม ก็สามารถสอบถามมาได้โดยตรง ยินดีที่จะให้คำตอบในทุกเรื่อง"พล.ท.ธวัชชัย กล่าว และว่า เชื่อว่าในส่วนของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ น่านำตัวกลับมาได้ในเร็ววันนี้ ส่วนคนอื่นอาจจะต้องปล่อยให้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายของกัมพูชา เพราะบางครั้งคนที่กระทำความผิดก็ต้องยอมรับความจริงบ้าง อีกทั้งในส่วนนี้ยังมีบางคนที่กระทำผิดซ้ำ ทั้งที่ทางทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยเหลือกลับมาแล้ว ดังนั้น บางครั้งก็ต้องปล่อยให้กัมพูชาดำเนินการบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นทางกัมพูชาอาจจะถือว่าประเทศไทยไม่ให้เกียรติและอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลายขึ้นได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
-------------------------------
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวอีกว่า อยากทำความเข้าใจกับกลุ่มคนทุกกลุ่มว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชามีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างกำลังอยู่ในความสงบเรียบร้อย แต่กลับมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีความเข้าใจกับสถานการณ์ข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้และมีความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ออกสร้างปัญหาความขัดแย้ง ส่งผลให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดขึ้น อย่างเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ความจริงหากต้องการเข้าไปสำรวจพื้นที่ก็สามารถประสานผ่านไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ในพื้นที่ เพื่อที่ประสานไปยังฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการให้เกียรติกัน แต่เมื่อเข้าไปเองโดยไม่ประสานงาน เท่ากับทำให้ทั้ง 2 ประเทศต้องมาทะเลาะกัน ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังจะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานได้ยากลำบากขึ้น หากเกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมา ผลเสียโดยตรงจะตกอยู่ที่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับแนวชายแดน
"อยากวอนให้ผู้ที่รักชาติทุกคนอย่าทำให้ประเทศชาติเดือดร้อน หากใครมีความคับข้องใจหรือไม่เข้าใจตรงจุดไหน หากอยู่ในพื้นที่ของผม ก็สามารถสอบถามมาได้โดยตรง ยินดีที่จะให้คำตอบในทุกเรื่อง"พล.ท.ธวัชชัย กล่าว และว่า เชื่อว่าในส่วนของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ น่านำตัวกลับมาได้ในเร็ววันนี้ ส่วนคนอื่นอาจจะต้องปล่อยให้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายของกัมพูชา เพราะบางครั้งคนที่กระทำความผิดก็ต้องยอมรับความจริงบ้าง อีกทั้งในส่วนนี้ยังมีบางคนที่กระทำผิดซ้ำ ทั้งที่ทางทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยเหลือกลับมาแล้ว ดังนั้น บางครั้งก็ต้องปล่อยให้กัมพูชาดำเนินการบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นทางกัมพูชาอาจจะถือว่าประเทศไทยไม่ให้เกียรติและอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลายขึ้นได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
-------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"บัวแก้ว" วืดช่วย 7 คนไทย เหตุกัมพูชานำตัวส่งศาลแล้ว ทำได้แค่เข้าเยี่ยม-จัดทนาย
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยผลการหารือระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไทย กับนายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง และได้ชี้แจงข้อมูลที่มีให้ทราบ ขณะที่ฝ่ายไทยก็ได้แจ้งข้อมูลที่มีอยู่ของการเดินทางเข้าไปของคณะคนไทยกลุ่มนี้ โดยในส่วนของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นการดำเนินการตามหน้าที่ ส.ส.ในฐานะคณะกรรมาธิการ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร
"จากข้อมูลของทั้งสองฝ่าย คณะทั้ง 7 คน ถูกจับกุมในพื้นที่ของกัมพูชา และโดยที่เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลกัมพูชาแล้ว ฝ่ายไทยเคารพในกระบวนการดังกล่าว และหวังว่าจะสามารถเร่งรัดกระบวนการให้สิ้นสุดโดยเร็ว" นายธานีกล่าว และว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ จะให้ความช่วยเหลือบุคคลทั้ง 7 อย่างเต็มที่ โดยได้จัดหาทนายให้แล้ว ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกษิตและคณะได้เดินทางไปยังเรือนจำเปรยซอร์เพื่อเข้าเยี่ยมคนทั้งหมด
วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานจากกรุงพนมเปญ ระบุว่า ศาลแขวงกัมพูชาได้ไต่สวนเป็นเวลานานหลายชั่วโมง จากนั้นศาลได้ตั้งข้อกล่าวหาคนไทยทั้ง 7 คน 2 ข้อกล่าวหา คือเข้าเมืองผิดกฎหมายและบุกรุกพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหากมีความผิดจริงข้อกล่าวหาแรกจะมีบทลงโทษจำคุก 3-6 เดือน และข้อกล่าวหาที่ 2 มีบทลงโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 1 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"จากข้อมูลของทั้งสองฝ่าย คณะทั้ง 7 คน ถูกจับกุมในพื้นที่ของกัมพูชา และโดยที่เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลกัมพูชาแล้ว ฝ่ายไทยเคารพในกระบวนการดังกล่าว และหวังว่าจะสามารถเร่งรัดกระบวนการให้สิ้นสุดโดยเร็ว" นายธานีกล่าว และว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ จะให้ความช่วยเหลือบุคคลทั้ง 7 อย่างเต็มที่ โดยได้จัดหาทนายให้แล้ว ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกษิตและคณะได้เดินทางไปยังเรือนจำเปรยซอร์เพื่อเข้าเยี่ยมคนทั้งหมด
วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานจากกรุงพนมเปญ ระบุว่า ศาลแขวงกัมพูชาได้ไต่สวนเป็นเวลานานหลายชั่วโมง จากนั้นศาลได้ตั้งข้อกล่าวหาคนไทยทั้ง 7 คน 2 ข้อกล่าวหา คือเข้าเมืองผิดกฎหมายและบุกรุกพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหากมีความผิดจริงข้อกล่าวหาแรกจะมีบทลงโทษจำคุก 3-6 เดือน และข้อกล่าวหาที่ 2 มีบทลงโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 1 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นปช.ผุดสาขาภูมิภาคปรับต่อสู้รูปแบบองค์กรเลิกยึดติดตัวบุคคล
นปช. ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ตั้งองค์กรระดับภูมิภาคให้มีตัวแทนเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ระบุแนวทางต่อสู้จะปรับเป็นรูปแบบองค์กรมากขึ้น เลิกยึดติดตัวบุคคล วันที่ 9 ม.ค. ชุมนุมปรกติแม้ “จตุพร” ถูกศาลสั่งห้ามเข้าร่วม ด้านการประกันตัว 7 แกนนำต้องรอยื่นศาลหลังปีใหม่ “ณัฐวุฒิ-เหวง” นำเขียนอวยพรปีใหม่จากเรือนจำลงใน ส.ค.ส. ที่จะแจกจ่ายให้กับทุกคนที่เดินทางไปเยี่ยม นักวิชาการชี้หลังถูกใช้กำลังปราบปรามคนเสื้อแดงตกอยู่ในสถานะตั้งรับมากขึ้น แนวทางทำกิจกรรมมีขีดจำกัด หากไม่ปรับแนวทางจะอ่อนแรงไปในที่สุด ส่งผลให้ประชาธิปไตยเป็นเพียงเรื่องของชนชั้นนำเท่านั้น ชูมีเพียงคนเสื้อแดงกลุ่มเดียวที่คานอำนาจชนชั้นนำอยู่ในตอนนี้
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นถึงแนวทางการต่อสู้ของกระบวนการประชาธิปไตย โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือคนเสื้อแดง ในปี 2554 ว่าคนเสื้อแดงต้องไปคิดว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการต่อสู้ดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุดหรือจบลงหลังถูกปราบปรามเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. 2553 ขณะนี้จะเห็นว่าขบวนการเสื้อแดงอยู่ในสถานะตั้งรับมากขึ้นเรื่อยๆ การนำไม่มีความชัดเจน การทำกิจกรรมก็มีข้อจำกัดมากขึ้น
เสื้อแดงต้องมียุทธศาสตร์ใหญ่ขึ้น
“หากปี 2554 คนเสื้อแดงไม่สามารถบริหารจัดการการเคลื่อนไหวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและดีขึ้นได้ก็มองไม่ออกว่ากระบวนการประชาธิปไตยเพื่อคนส่วนใหญ่จะเดินไปในทิศทางใด ประเทศคงจะเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนำมากขึ้น เพราะตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อปี 2549 ที่ชนชั้นนำต้องการรวบอำนาจให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้นก็มีเพียงพลังของคนเสื้อแดงเท่านั้นที่มาคานอำนาจเอาไว้ หากคนเสื้อแดงอ่อนแรงลงประชาธิปไตยก็จะเป็นไปเพื่อชนชั้นนำมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องเร่งปรับโครงสร้างองค์กรและยุทธศาสตร์ใหม่ นปช. อาจจะปรับสภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดง หากต้องการประสบความสำเร็จในการต่อสู้จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่า นปช.” นายศิโรตม์กล่าว
หาผู้นำใหม่ลำบากเพราะมีความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม นายศิโรตม์ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้นำกลุ่มไหนมาแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง รวมถึงไม่มีหลักประกันว่าในอนาคตจะไม่ถูกใช้กำลังเข้าปราบปรามอีก และจะมีความเสี่ยงทางกฎหมายมากขึ้น เพราะการสู้ก้าวต่อไปนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่องที่สังคมไทยห้ามพูด คนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำจึงต้องแบกรับภาระความเสี่ยงนี้
นปช. ตั้งองค์กรระดับภูมิภาค
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หลังปีใหม่ นปช. จะปรับโครงสร้างการทำงานใหม่อีกครั้ง โดยจะให้มีองค์กร นปช. และผู้นำระดับภูมิภาค เพราะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ เลิกยึดติดหรือเน้นตัวบุคคลมาเน้นที่องค์กรอย่างเป็นระบบ
นางธิดากล่าวอีกว่า แม้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. จะถูกศาลสั่งห้ามร่วมชุมนุมและปราศรัย แต่การชุมนุมวันที่ 9 ม.ค. 2554 จะมีตามปรกติ ซึ่งเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังรัฐบาลยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถใช้เครื่องขยายเสียงสื่อสารกับผู้เข้าร่วมได้
“เชื่อว่าจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมไม่ต่ำกว่า 60,000 คน โดยจะทำกิจกรรมตามที่กำหนดเอาไว้” นางธิดากล่าว
ประกันแกนนำต้องรอหลังปีใหม่
สำหรับการยื่นประกันตัวแกนนำ นปช. 7 คน มีรายงานว่าจะดำเนินการหลังปีใหม่ โดยจะยื่นต่อศาลในวันที่ 4 ม.ค. 2554 ขณะเดียวกันมีรายงานว่าแกนนำ 7 คน และแนวร่วมระดับแกนนำอีก 1 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย (ไพรพนา) สาระคำ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริต ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) และนายสมชาย ไพบูลย์ ได้ให้คนใกล้ชิดจัดทำ ส.ค.ส. ปีใหม่เพื่อแจกให้กับแนวร่วมที่เข้าไปเยี่ยม
“เหวง-ณัฐวุฒิ” นำอวยพรปีใหม่
ส.ค.ส. เป็นแผ่นพับ 4 หน้า ด้านหน้าตราสัญลักษณ์องค์กร นปช. แผ่นที่ 2 และ 3 เป็นรูปภาพของแกนนำและข้อความที่อวยพรให้กับคนเสื้อแดง ด้านหลังเขียนข้อความว่า “ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
สำหรับคำอวยพรของแกนนำที่ปรากฏใน ส.ค.ส. เช่น นายณัฐวุฒิเขียนว่า “ผ่านอีกปีบนวิถีการต่อสู้ จิตวิญญาณมั่นคงอยู่แม้ถูกหยาม ดาวร่วงหล่นคนร่วงหายใจจดจำ ท้าอธรรมปีแห่งชัยให้ประชาชน” นพ.เหวงเขียนว่า “ปีใหม่ เวียนมาฟ้าใส มุ่งสู่ชัยหมายปองแดงขวัญ ประชาธิปไตยทั่วไปดุจตะวัน คนเท่ากันปลอดพ้นทุกข์โศกเอย”
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
*********************************************************************
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นถึงแนวทางการต่อสู้ของกระบวนการประชาธิปไตย โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือคนเสื้อแดง ในปี 2554 ว่าคนเสื้อแดงต้องไปคิดว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการต่อสู้ดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุดหรือจบลงหลังถูกปราบปรามเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. 2553 ขณะนี้จะเห็นว่าขบวนการเสื้อแดงอยู่ในสถานะตั้งรับมากขึ้นเรื่อยๆ การนำไม่มีความชัดเจน การทำกิจกรรมก็มีข้อจำกัดมากขึ้น
เสื้อแดงต้องมียุทธศาสตร์ใหญ่ขึ้น
“หากปี 2554 คนเสื้อแดงไม่สามารถบริหารจัดการการเคลื่อนไหวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและดีขึ้นได้ก็มองไม่ออกว่ากระบวนการประชาธิปไตยเพื่อคนส่วนใหญ่จะเดินไปในทิศทางใด ประเทศคงจะเป็นประชาธิปไตยของชนชั้นนำมากขึ้น เพราะตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อปี 2549 ที่ชนชั้นนำต้องการรวบอำนาจให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้นก็มีเพียงพลังของคนเสื้อแดงเท่านั้นที่มาคานอำนาจเอาไว้ หากคนเสื้อแดงอ่อนแรงลงประชาธิปไตยก็จะเป็นไปเพื่อชนชั้นนำมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องเร่งปรับโครงสร้างองค์กรและยุทธศาสตร์ใหม่ นปช. อาจจะปรับสภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดง หากต้องการประสบความสำเร็จในการต่อสู้จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่า นปช.” นายศิโรตม์กล่าว
หาผู้นำใหม่ลำบากเพราะมีความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม นายศิโรตม์ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้นำกลุ่มไหนมาแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง รวมถึงไม่มีหลักประกันว่าในอนาคตจะไม่ถูกใช้กำลังเข้าปราบปรามอีก และจะมีความเสี่ยงทางกฎหมายมากขึ้น เพราะการสู้ก้าวต่อไปนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่องที่สังคมไทยห้ามพูด คนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำจึงต้องแบกรับภาระความเสี่ยงนี้
นปช. ตั้งองค์กรระดับภูมิภาค
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หลังปีใหม่ นปช. จะปรับโครงสร้างการทำงานใหม่อีกครั้ง โดยจะให้มีองค์กร นปช. และผู้นำระดับภูมิภาค เพราะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ เลิกยึดติดหรือเน้นตัวบุคคลมาเน้นที่องค์กรอย่างเป็นระบบ
นางธิดากล่าวอีกว่า แม้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. จะถูกศาลสั่งห้ามร่วมชุมนุมและปราศรัย แต่การชุมนุมวันที่ 9 ม.ค. 2554 จะมีตามปรกติ ซึ่งเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังรัฐบาลยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถใช้เครื่องขยายเสียงสื่อสารกับผู้เข้าร่วมได้
“เชื่อว่าจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมไม่ต่ำกว่า 60,000 คน โดยจะทำกิจกรรมตามที่กำหนดเอาไว้” นางธิดากล่าว
ประกันแกนนำต้องรอหลังปีใหม่
สำหรับการยื่นประกันตัวแกนนำ นปช. 7 คน มีรายงานว่าจะดำเนินการหลังปีใหม่ โดยจะยื่นต่อศาลในวันที่ 4 ม.ค. 2554 ขณะเดียวกันมีรายงานว่าแกนนำ 7 คน และแนวร่วมระดับแกนนำอีก 1 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย (ไพรพนา) สาระคำ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริต ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) และนายสมชาย ไพบูลย์ ได้ให้คนใกล้ชิดจัดทำ ส.ค.ส. ปีใหม่เพื่อแจกให้กับแนวร่วมที่เข้าไปเยี่ยม
“เหวง-ณัฐวุฒิ” นำอวยพรปีใหม่
ส.ค.ส. เป็นแผ่นพับ 4 หน้า ด้านหน้าตราสัญลักษณ์องค์กร นปช. แผ่นที่ 2 และ 3 เป็นรูปภาพของแกนนำและข้อความที่อวยพรให้กับคนเสื้อแดง ด้านหลังเขียนข้อความว่า “ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
สำหรับคำอวยพรของแกนนำที่ปรากฏใน ส.ค.ส. เช่น นายณัฐวุฒิเขียนว่า “ผ่านอีกปีบนวิถีการต่อสู้ จิตวิญญาณมั่นคงอยู่แม้ถูกหยาม ดาวร่วงหล่นคนร่วงหายใจจดจำ ท้าอธรรมปีแห่งชัยให้ประชาชน” นพ.เหวงเขียนว่า “ปีใหม่ เวียนมาฟ้าใส มุ่งสู่ชัยหมายปองแดงขวัญ ประชาธิปไตยทั่วไปดุจตะวัน คนเท่ากันปลอดพ้นทุกข์โศกเอย”
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
*********************************************************************
หลังยาวผลาญภาษี
หลังสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลประกาศตั้งฉายารัฐบาล ซึ่งถือเป็นฝ่ายบริหาร ล่าสุดสื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ประกาศตั้งฉายาของ ส.ส. และ ส.ว. ที่ทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติประจำปี 2553 ดังนี้
“เสื้อแดงบุกสภา” เหตุการณ์แห่งปี
วันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดง นำผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในสภาเพื่อตามหาตัวคนที่โยนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ทำให้บรรดา ส.ส. ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอดด้วยการปีนกำแพงออกทางด้านข้าง นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ ถืออาวุธสงครามอารักขาความปลอดภัยให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้สถานการณ์พัฒนาไปจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
วาทะแห่งปี “พูดเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตัวเองเชื่อคำโกหกตัวเอง”
เป็นคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตอบโต้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระหว่างการตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2553 ที่ถูกกล่าวหาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยต้องการให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งหมด
“หลังยาวผลาญภาษี” ฉายาสภาผู้แทนราษฎร
จากการทำงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานของ ส.ส. และความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำให้สภาล่มซ้ำซากเพราะองค์ประชุมไม่ครบ โดย ส.ส. รัฐบาลอ้างติดงานนอกสภา ขณะที่ฝ่ายค้านก็เล่นเกมนับองค์ประชุมโดยไม่ยึดประโยชน์การทำงานเพื่อส่วนรวม นอกจากนี้ยังมีการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การทะเลาะวิวาท การใช้คำหยาบในห้องประชุม และปัญหาการตั้งที่ปรึกษา ส.ส. ที่อื้อฉาว แต่กลับได้ปรับการปรับเพิ่มเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน ขัดกับความรู้สึกสังคมที่เห็นว่า ส.ส. ทำงานไม่คุ้มค่า ผลงานแย่ ภาพลักษณ์ตกต่ำ ควรที่จะลดเงินเดือนตัวเองด้วยซ้ำ
“อัมพฤกษ์รับจ๊อบ” ฉายาวุฒิสภา
การที่ ส.ว. มีที่มาจาก 2 ส่วนคือ เลือกตั้ง และสรรหา ทำให้การทำงานของ ส.ว. ทั้ง 2 กลุ่มไม่สอดประสานกันเท่าที่ควรและมีความขัดแย้งค่อนข้างมาก ขณะที่การทำงานในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติกลั่นกรองกฎหมายและตรวจสอบรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ การลงมติเรื่องสำคัญก็แสดงตนรับใช้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างชัดเจน ไม่มีอิสระในการลงมติ การทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงเสือกระดาษ ไม่มีประสิทธิภาพ
“เฒ่าเก๋า-เจ๊ง” ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร
การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สามารถใช้ความเก๋าและลูกล่อลูกชน บวกกับความเป็นลูกทุ่งพูดจาโผงผางเอาตัวรอดมาได้ จนทำให้ ส.ส. รุ่นน้องยอมรับในความเก๋าเกม ในทางกลับกันการทำหน้าที่ของนายชัยบางครั้งก็ซ้ำเติมความขัดแย้งในห้องประชุมให้หนักขึ้นจนมีการประท้วงกันวุ่นวายหลายครั้ง
“ประสพสึก” ฉายาประธานวุฒิสภา
การทำงานของนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวังถึงความเห็นกลางและความหนักแน่น เพราะมักทำหน้าที่โดยโอนอ่อนผ่อนตามไปตามแรงกดดันของฝ่ายต่างๆ ประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษายาวนานไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงทำให้ชื่อเสียงที่อุตส่าห์สะสมมานานต้องสึกหรอไปเพราะความไม่มั่นคงในจุดยืน
“ดาวเด่น” นายชวลิต วิชยสุทธิ์
ตลอดปีที่ผ่านมานายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้านได้อย่างโดดเด่น อภิปรายด้วยเหตุและผลไม่ใช้ถ้อยคำเสียดสี ไม่ก้าวร้าว ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของ ส.ส. จึงถูกโหวตให้เป็นดาวเด่นประจำปี
“ดาวดับ” กลุ่ม 40 ส.ว.
กลุ่ม 40 ส.ว. ซึ่งประกอบด้วย ส.ว.เลือกตั้งและ ส.ว.สรรหา ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในการทำหน้าที่ตรวจสอบมาก่อน เช่น นางรสนา โตสิตระกูล นายสมชาย แสวงการ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายประสาร มฤคพิทักษ์ ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างเข้มแข็งโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่การทำงานที่ผ่านมากลับไม่มีผลงานตรวจสอบเรื่องอะไรที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรม แถมยังเพิกเฉยต่อการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ต่างจากกรณีการสลายการชุมนุมคนเสื้อเหลืองที่หน้ารัฐสภาที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
“คู่กัดแห่งปี” พ.อ.อภิวันท์ VS บุญยอด
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 และนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ จะมีปัญหากันทุกครั้งที่ พ.อ.อภิวันท์ขึ้นทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยนายบุญยอดมักอภิปรายโจมตีการทำงานว่าไม่เป็นกลางเพราะเป็นคนเสื้อแดง พร้อม กับแถลงข่าวเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนับครั้งไม่ถ้วน และเคยขัดแย้งกันรุนแรงถึงขั้น พ.อ.อภิวันท์ใช้อำนาจประธานที่ประชุมสั่งให้นายบุญยอดออกจากห้องประชุมสภามาแล้ว
“คนดีศรีสภา” นายทิวา เงินยวง
นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงแต่หากไม่จำเป็นจริงๆจะมาร่วมประชุมสภาทุกครั้งไม่เคยขาด ต่างจาก ส.ส. คนอื่นที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ การอภิปรายในสภาก็ใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ และทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติจนกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
“เสื้อแดงบุกสภา” เหตุการณ์แห่งปี
วันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดง นำผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในสภาเพื่อตามหาตัวคนที่โยนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ทำให้บรรดา ส.ส. ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอดด้วยการปีนกำแพงออกทางด้านข้าง นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ ถืออาวุธสงครามอารักขาความปลอดภัยให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้สถานการณ์พัฒนาไปจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
วาทะแห่งปี “พูดเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตัวเองเชื่อคำโกหกตัวเอง”
เป็นคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตอบโต้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระหว่างการตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2553 ที่ถูกกล่าวหาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยต้องการให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งหมด
“หลังยาวผลาญภาษี” ฉายาสภาผู้แทนราษฎร
จากการทำงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานของ ส.ส. และความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำให้สภาล่มซ้ำซากเพราะองค์ประชุมไม่ครบ โดย ส.ส. รัฐบาลอ้างติดงานนอกสภา ขณะที่ฝ่ายค้านก็เล่นเกมนับองค์ประชุมโดยไม่ยึดประโยชน์การทำงานเพื่อส่วนรวม นอกจากนี้ยังมีการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การทะเลาะวิวาท การใช้คำหยาบในห้องประชุม และปัญหาการตั้งที่ปรึกษา ส.ส. ที่อื้อฉาว แต่กลับได้ปรับการปรับเพิ่มเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน ขัดกับความรู้สึกสังคมที่เห็นว่า ส.ส. ทำงานไม่คุ้มค่า ผลงานแย่ ภาพลักษณ์ตกต่ำ ควรที่จะลดเงินเดือนตัวเองด้วยซ้ำ
“อัมพฤกษ์รับจ๊อบ” ฉายาวุฒิสภา
การที่ ส.ว. มีที่มาจาก 2 ส่วนคือ เลือกตั้ง และสรรหา ทำให้การทำงานของ ส.ว. ทั้ง 2 กลุ่มไม่สอดประสานกันเท่าที่ควรและมีความขัดแย้งค่อนข้างมาก ขณะที่การทำงานในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติกลั่นกรองกฎหมายและตรวจสอบรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ การลงมติเรื่องสำคัญก็แสดงตนรับใช้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างชัดเจน ไม่มีอิสระในการลงมติ การทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงเสือกระดาษ ไม่มีประสิทธิภาพ
“เฒ่าเก๋า-เจ๊ง” ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร
การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สามารถใช้ความเก๋าและลูกล่อลูกชน บวกกับความเป็นลูกทุ่งพูดจาโผงผางเอาตัวรอดมาได้ จนทำให้ ส.ส. รุ่นน้องยอมรับในความเก๋าเกม ในทางกลับกันการทำหน้าที่ของนายชัยบางครั้งก็ซ้ำเติมความขัดแย้งในห้องประชุมให้หนักขึ้นจนมีการประท้วงกันวุ่นวายหลายครั้ง
“ประสพสึก” ฉายาประธานวุฒิสภา
การทำงานของนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวังถึงความเห็นกลางและความหนักแน่น เพราะมักทำหน้าที่โดยโอนอ่อนผ่อนตามไปตามแรงกดดันของฝ่ายต่างๆ ประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษายาวนานไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงทำให้ชื่อเสียงที่อุตส่าห์สะสมมานานต้องสึกหรอไปเพราะความไม่มั่นคงในจุดยืน
“ดาวเด่น” นายชวลิต วิชยสุทธิ์
ตลอดปีที่ผ่านมานายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้านได้อย่างโดดเด่น อภิปรายด้วยเหตุและผลไม่ใช้ถ้อยคำเสียดสี ไม่ก้าวร้าว ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของ ส.ส. จึงถูกโหวตให้เป็นดาวเด่นประจำปี
“ดาวดับ” กลุ่ม 40 ส.ว.
กลุ่ม 40 ส.ว. ซึ่งประกอบด้วย ส.ว.เลือกตั้งและ ส.ว.สรรหา ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในการทำหน้าที่ตรวจสอบมาก่อน เช่น นางรสนา โตสิตระกูล นายสมชาย แสวงการ นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายประสาร มฤคพิทักษ์ ทำให้ประชาชนคาดหวังว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างเข้มแข็งโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่การทำงานที่ผ่านมากลับไม่มีผลงานตรวจสอบเรื่องอะไรที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรม แถมยังเพิกเฉยต่อการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ต่างจากกรณีการสลายการชุมนุมคนเสื้อเหลืองที่หน้ารัฐสภาที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
“คู่กัดแห่งปี” พ.อ.อภิวันท์ VS บุญยอด
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 และนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ จะมีปัญหากันทุกครั้งที่ พ.อ.อภิวันท์ขึ้นทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยนายบุญยอดมักอภิปรายโจมตีการทำงานว่าไม่เป็นกลางเพราะเป็นคนเสื้อแดง พร้อม กับแถลงข่าวเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนับครั้งไม่ถ้วน และเคยขัดแย้งกันรุนแรงถึงขั้น พ.อ.อภิวันท์ใช้อำนาจประธานที่ประชุมสั่งให้นายบุญยอดออกจากห้องประชุมสภามาแล้ว
“คนดีศรีสภา” นายทิวา เงินยวง
นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงแต่หากไม่จำเป็นจริงๆจะมาร่วมประชุมสภาทุกครั้งไม่เคยขาด ต่างจาก ส.ส. คนอื่นที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ การอภิปรายในสภาก็ใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ และทำงานในฝ่ายนิติบัญญัติจนกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)