นักวิชาการชี้ซีเอสซีอีสามารถให้เอกสิทธิ์คุ้มครอง “ทักษิณ” เดินทางเข้าสหรัฐโดยไม่ถูกจับกุมส่งกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ เตือนกระทรวงการต่างประเทศระวังหน้าแหก เชื่ออดีตนายกฯบินไปแน่เพราะเป็นโอกาสทองที่จะโน้มน้าวให้เห็นว่าคดีความต่างๆเป็นเรื่องการเมือง “นพดล” ยันเตรียมข้อมูลแล้วรอแค่วีซ่า ระบุนักการเมือง นักกฎหมายในสหรัฐระอารัฐบาลไทยที่ออกอาการตื่นตูมเกินเหตุ
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ประเมินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนรตรี น่าจะเดินทางเข้าสหรัฐเพื่อชี้แจงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยนชนในไทยตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปหรือซีเอสซีอี ในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ เพราะซีเอสซีอีมีเอกสิทธิ์ที่จะให้ความคุ้มครองอดีตนายกฯได้
“ซีเอสซีอีขึ้นตรงกับรัฐสภา ไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาลสหรัฐ เมื่อขึ้นอยู่กับรัฐสภาก็สามารถที่จะให้เอกสิทธิ์คุ้มครองคนที่เชิญมาให้ปากคำ จะจับกุมคุมขังไม่ได้ หากดูตามแนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วเชื่อว่าท่านไปแน่ เพราะต้องไปชี้แจงเพื่อตอกย้ำเรื่องที่ถูกรังแก และพยายามชี้ให้เห็นว่าคดีของเขาเป็นคดีการเมืองไม่ใช่คดีธรรมดา แม้ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลปรกติ แต่การดำเนินคดีมาตามช่องทางของขบวนการพิเศษทั้งสิ้น จึงไม่มีเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะปฏิเสธโอกาสทองครั้งนี้” รศ.สุขุมกล่าวและว่า เรื่องซีซ่าเข้าสหรัฐคงไม่มีปัญหา หาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไปจะเสียความน่าเชื่อถือเพราะรับปากแล้ว หากอดีตนายกฯไม่ไปก็มีเหตุผลเดียวคือกลัวถูกจับแลกตัวกับนายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธสงคราม ที่ไทยส่งตัวให้สหรัฐ
รศ.สุขุมยังกล่าวเตือนบางคนที่กระเหี้ยนกระหือรือต้องการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศโดยประสานขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนว่าระวังจะหน้าแหก แต่เชื่อว่าจริงๆแล้วคนในกระทรวงการต่างประเทศเข้าใจเรื่องนี้ดี
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าอดีตนายกฯยังไม่เลิกล้มแผนเดินทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอวีซ่า ซึ่งนักการเมืองและนักกฎหมายในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างมากว่าทำตัวโอเวอร์รีแอ็ค
“ที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแสดงความมั่นใจว่าอดีตนายกฯจะไม่ได้วีซ่าเข้าสหรัฐ ผมต้องถามว่าที่มั่นใจเพราะไปดำเนินการอะไรไว้หรือไม่ ความจริงรัฐบาลควรสนับสนุนการออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเพราะจะได้เอาความจริงมาพูดกัน ปัญหาบ้านเมืองจะได้คลี่คลาย”
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เย้ยหยันว่าเป็นแค่การชิงพื้นที่ข่าวเรียกร้องความสนใจนั้น นายนพดลกล่าวว่า ไม่ได้สร้างข่าวแต่ได้รับคำเชิญจริงๆ และได้เตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงเอาไว้แล้ว พร้อมจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐไม่อนุมัติวีซ่าก็จะเลือกระหว่างส่งคนไปชี้แจงแทน ส่งเอกสารชี้แจงหรือใช้วิดีโอลิ้งค์
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่า ทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบว่าควรเดินทางไปสหรัฐหรือไม่ หรือว่าจะใช้วิธีการอื่นในการให้ข้อมูล
“ถ้าเป็นผมผมไม่ไปเพราะเสี่ยงเกินไป ไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน” พล.อ.ชัยสิทธิ์กล่าว
นางนิดาวรรณ เพราะสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สิ่งที่น่า สนใจคือสหรัฐจะให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ หากเข้าไปแล้วจะจับตัวส่งให้ไทยหรือไม่ หากไม่ทำก็ถือว่าละเมิดสนธิสัญญาที่มีต่อกัน ที่สำคัญคือการจะไปชี้แจงครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไปในฐานะอะไร
“ซีเอสซีอีก็แปลก เพราะภารกิจหลักคือการตรวจสอบในภาคพื้นยุโรป แต่ครั้งนี้กลับมาสนใจประเทศไทยที่อยู่ในเอเชีย ทำให้สงสัยได้ว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบพบว่า นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความและล็อบบี้ยิสต์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนติดต่อกับซีเอสซีอีเอง เรื่องนี้น่าจะเป็นแค่การสร้างข่าวเพื่อให้นานาชาติกลับมาให้ความสนใจในตัว พ.ต.ท.ทักษิณอีกครั้งเท่านั้น” นางนิดาวรรณ
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
‘ธาริต’อ้างไม่เคยยืนยันสำนวนทหารยิงเสื้อแดง
“ธาริต” ร่วมประชุม ศอฉ. ยืนยันไม่เคยไปพูดที่ไหนว่าทหารเกี่ยวข้องกับการทำร้ายคนเสื้อแดง อ้างสำนวนที่ “จตุพร” นำมาเปิดเผยยังไม่สมบูรณ์จึงต้องส่งให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพเพิ่ม “สรรเสริญ” เผย ศอฉ. มีมติเสนอคณะรัฐมนตรียกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งัดหมวด 1 พ.ร.บ.ความมั่นคงฯขึ้นมาดูแลสถานการณ์แทน รัฐมนตรียุติธรรมแจงตรวจ 2 ล้านชื่อยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ “ทักษิณ” เสร็จแล้ว รอเรียกคนนามสกุล “ชินวัตร” 5-6 คน ยืนยันความสัมพันธ์เพื่อดูว่าเข้าเกณฑ์ยื่นฎีกาได้หรือไม่
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าเอกสารที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นำมาเปิดเผยอ้างว่าเป็นสำนวนสอบสวนของดีเอสไอระบุทหารยิงประชาชนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองนั้น จากการตรวจสอบพบว่าสิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
“การที่ดีเอสไอส่งสำนวนบางส่วนกลับไปให้ตำรวจเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อสำนวนไม่สมบูรณ์ก็ต้องส่งให้ตำรวจท้องที่ทำเรื่องการชันสูตรพลิกศพใหม่ เมื่อทำสำนวนใหม่เสร็จต้องส่งกลับมาที่ดีเอสไอ ผมไม่เคยพูดว่าทหารเกี่ยวข้องกับการทำร้ายประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาต้องเห็นใจผู้ปฏิบัติงานที่ต้องนำบ้านเมืองกลับคืนสู่ความปรกติสุข”
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ที่ประชุมประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าดีขึ้นตามลำดับ จึงมีมติให้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าว่าสมควรยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
“การยกเลิกเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ประชาชนเบาใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ศอฉ. ก็ต้องปิดตัวลง โดยนำแผนรักษาความสงบเรียบร้อยของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มารองรับแทน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรหมวดที่ 1 ทหารจะทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน หากสถานการณ์พัฒนาสู่ความรุนแรงก็ขยับไปใช้หมวดที่ 2 ประกาศพื้นที่รักษาความมั่นคงแล้วตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ขึ้นมาดูแล” โฆษก ศอฉ. กล่าวพร้อมย้ำว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 10 ธ.ค. นี้ต้องปฏิบัติตามกติกาเดิมคือ ต้องไม่กีดขวางการจราจร ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง และห้ามค้างคืน
ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มแนวร่วมพลเมืองไท ซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มเสื้อแดงกว่า 50 คน เดินทางไปเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกำหนดวันยุบสภาที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประกันตัวผู้ต้องหาที่เป็นคนเสื้อแดงเพราะเห็นว่าถูกขังฟรีในช่วงรอการพิจารณาคดีมานานแล้ว
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ากรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดที่มีเกือบ 2 ล้านรายชื่อเสร็จแล้ว แต่ยังติดปัญหาว่าผู้ที่ยื่นขอนั้นแม้จะมีนามสกุลชินวัตรแต่ไม่ได้รับคำยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร
“มี 5-6 คนที่นามสกุลชินวัตร มีความชัดเจนเพียงคนเดียวคือนายพายัพ ชินวัตร แต่ก็มีปัญหาที่ไม่ได้ลงรายมือชื่อแนบท้ายมา จึงต้องรอให้ทั้งหมดมายืนยันอีกครั้งว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร เพราะหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ยื่นต้องเป็นสามี ภรรยา บิดา มารดา หรือผู้ที่เป็นพี่น้อยสายตรงเท่านั้น” นายพีระพันธุ์กล่าวและว่า เมื่อกรมราชทัณฑ์ดำเนินการเสร็จจะส่งเรื่องมาที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าเอกสารที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง นำมาเปิดเผยอ้างว่าเป็นสำนวนสอบสวนของดีเอสไอระบุทหารยิงประชาชนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองนั้น จากการตรวจสอบพบว่าสิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
“การที่ดีเอสไอส่งสำนวนบางส่วนกลับไปให้ตำรวจเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อสำนวนไม่สมบูรณ์ก็ต้องส่งให้ตำรวจท้องที่ทำเรื่องการชันสูตรพลิกศพใหม่ เมื่อทำสำนวนใหม่เสร็จต้องส่งกลับมาที่ดีเอสไอ ผมไม่เคยพูดว่าทหารเกี่ยวข้องกับการทำร้ายประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาต้องเห็นใจผู้ปฏิบัติงานที่ต้องนำบ้านเมืองกลับคืนสู่ความปรกติสุข”
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ที่ประชุมประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าดีขึ้นตามลำดับ จึงมีมติให้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าว่าสมควรยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
“การยกเลิกเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ประชาชนเบาใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ศอฉ. ก็ต้องปิดตัวลง โดยนำแผนรักษาความสงบเรียบร้อยของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มารองรับแทน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรหมวดที่ 1 ทหารจะทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน หากสถานการณ์พัฒนาสู่ความรุนแรงก็ขยับไปใช้หมวดที่ 2 ประกาศพื้นที่รักษาความมั่นคงแล้วตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ขึ้นมาดูแล” โฆษก ศอฉ. กล่าวพร้อมย้ำว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 10 ธ.ค. นี้ต้องปฏิบัติตามกติกาเดิมคือ ต้องไม่กีดขวางการจราจร ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง และห้ามค้างคืน
ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มแนวร่วมพลเมืองไท ซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มเสื้อแดงกว่า 50 คน เดินทางไปเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกำหนดวันยุบสภาที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประกันตัวผู้ต้องหาที่เป็นคนเสื้อแดงเพราะเห็นว่าถูกขังฟรีในช่วงรอการพิจารณาคดีมานานแล้ว
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าที่กลุ่มคนเสื้อแดงยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ากรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดที่มีเกือบ 2 ล้านรายชื่อเสร็จแล้ว แต่ยังติดปัญหาว่าผู้ที่ยื่นขอนั้นแม้จะมีนามสกุลชินวัตรแต่ไม่ได้รับคำยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร
“มี 5-6 คนที่นามสกุลชินวัตร มีความชัดเจนเพียงคนเดียวคือนายพายัพ ชินวัตร แต่ก็มีปัญหาที่ไม่ได้ลงรายมือชื่อแนบท้ายมา จึงต้องรอให้ทั้งหมดมายืนยันอีกครั้งว่ามีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร เพราะหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษผู้ยื่นต้องเป็นสามี ภรรยา บิดา มารดา หรือผู้ที่เป็นพี่น้อยสายตรงเท่านั้น” นายพีระพันธุ์กล่าวและว่า เมื่อกรมราชทัณฑ์ดำเนินการเสร็จจะส่งเรื่องมาที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
โลกประณาม
คดีสลายม็อบแดง 91 ศพคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วที่จะนำขึ้นสู่เวทีโลก
ล่าสุดคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชั้นนำของสหรัฐ ได้เชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปพูดถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย
โดยเฉพาะการสลายม็อบแดงในเดือนเม.ย.และพ.ค.
ก่อนหน้านี้ก็มีการเคลื่อนไหวจากองค์กรนานาชาติหลายแห่ง
องค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดเผยผลการสอบสวนให้โปร่งใส
ยูเอ็นก็พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมตรวจสอบ
ยังมี นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความดัง ทำราย งานเสนอศาลอาญาโลกให้สอบสวนเอาผิดนายอภิสิทธิ์ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ฉะนั้นการเข้าไปให้ข้อมูลต่อซีเอสซีอีของพ.ต.ท.ทักษิณจึงเป็นการตอกย้ำการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย
จึงเป็นธรรมดาที่รัฐบาลต้องต่อต้าน ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณไปปรากฏตัวที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 16 ธ.ค.
งัดออกมาหมดสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ข้อตกลงการเจรจาลับ
หวังให้สหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทย รับโทษคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ
แต่ยิ่งนายอภิสิทธิ์กระเสือกกระสนต่อต้านเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกชาวโลกจับจ้องมากขึ้น
การที่พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีทุจริตจากเมืองไทยก็เป็นเรื่องหนึ่ง
การไปเปิดเผยข้อมูลการปราบประชาชนมีคนล้มตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จะเอามารวมกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้กระบวนการสอบสวนคดี 91 ศพของไทยไร้หวังแล้ว
ล่วงเลยมา 7 เดือน 91 ศพก็ยังตายฟรี
มีผู้บริสุทธิ์ยังถูกขังฟรีอีกนับร้อย
อย่าว่าแต่คนไทยเลย นักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต รัฐบาลก็ยังตอบญาติพี่น้องคนเหล่านั้นไม่ได้
พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงตาย แถลงตบหน้ารัฐบาลไทยฉาดใหญ่
ระบุว่ายัดเยียดเงินหวังปิดปาก ไม่เคยตระหนักถึงความร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
เช่นเดียวกับคดีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ ที่ถูกฆ่า
รัฐบาลญี่ปุ่นจี้คดีหลายหน แต่ทางการไทยก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไร
นายอภิสิทธิ์อาจเอาตัวรอดไปวันๆได้ในเมืองไทย
โยนคดีกันไปมา เยื้อเวลา รักษาอำนาจ
แต่เมื่อไหร่ที่คดี 91 ศพขึ้นสู่เวทีโลก มันคนละเรื่อง กันแน่
นานาชาติให้ความสำคัญต่อการละเมิดสิทธิ์
พอถึงวันนั้น มันอาจสายเกินไปแล้วสำหรับนายอภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ล่าสุดคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชั้นนำของสหรัฐ ได้เชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปพูดถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย
โดยเฉพาะการสลายม็อบแดงในเดือนเม.ย.และพ.ค.
ก่อนหน้านี้ก็มีการเคลื่อนไหวจากองค์กรนานาชาติหลายแห่ง
องค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดเผยผลการสอบสวนให้โปร่งใส
ยูเอ็นก็พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมตรวจสอบ
ยังมี นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความดัง ทำราย งานเสนอศาลอาญาโลกให้สอบสวนเอาผิดนายอภิสิทธิ์ในข้อหาอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ฉะนั้นการเข้าไปให้ข้อมูลต่อซีเอสซีอีของพ.ต.ท.ทักษิณจึงเป็นการตอกย้ำการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย
จึงเป็นธรรมดาที่รัฐบาลต้องต่อต้าน ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณไปปรากฏตัวที่กรุงวอชิงตันในวันที่ 16 ธ.ค.
งัดออกมาหมดสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ข้อตกลงการเจรจาลับ
หวังให้สหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทย รับโทษคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ
แต่ยิ่งนายอภิสิทธิ์กระเสือกกระสนต่อต้านเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกชาวโลกจับจ้องมากขึ้น
การที่พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีทุจริตจากเมืองไทยก็เป็นเรื่องหนึ่ง
การไปเปิดเผยข้อมูลการปราบประชาชนมีคนล้มตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จะเอามารวมกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้กระบวนการสอบสวนคดี 91 ศพของไทยไร้หวังแล้ว
ล่วงเลยมา 7 เดือน 91 ศพก็ยังตายฟรี
มีผู้บริสุทธิ์ยังถูกขังฟรีอีกนับร้อย
อย่าว่าแต่คนไทยเลย นักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต รัฐบาลก็ยังตอบญาติพี่น้องคนเหล่านั้นไม่ได้
พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงตาย แถลงตบหน้ารัฐบาลไทยฉาดใหญ่
ระบุว่ายัดเยียดเงินหวังปิดปาก ไม่เคยตระหนักถึงความร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
เช่นเดียวกับคดีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ ที่ถูกฆ่า
รัฐบาลญี่ปุ่นจี้คดีหลายหน แต่ทางการไทยก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไร
นายอภิสิทธิ์อาจเอาตัวรอดไปวันๆได้ในเมืองไทย
โยนคดีกันไปมา เยื้อเวลา รักษาอำนาจ
แต่เมื่อไหร่ที่คดี 91 ศพขึ้นสู่เวทีโลก มันคนละเรื่อง กันแน่
นานาชาติให้ความสำคัญต่อการละเมิดสิทธิ์
พอถึงวันนั้น มันอาจสายเกินไปแล้วสำหรับนายอภิสิทธิ์
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553
นาธานทำเนียบ ยังปากแข็ง!
'นาธาน โอมาน'รับ-กุเรื่องทั้งเพ
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ
จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง
สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน
และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด
แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา
แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น
ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา
แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง
ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้
ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้
หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย
ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน
ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย
ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว
ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???
เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด
ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน
โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ
ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร
ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์
แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!
เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย
งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???
หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น
ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง
เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???
มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่
หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร
ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???
แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง
ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้
'นาธาน โอมาน'รับ-กุเรื่องทั้งเพ
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ
จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง
สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน
และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด
แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา
แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น
ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา
แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง
ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้
ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้
หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย
ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน
ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย
ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว
ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???
เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด
ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน
โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ
ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร
ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์
แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!
เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย
งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???
หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น
ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง
เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???
มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่
หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร
ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???
แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง
ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ
จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง
สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน
และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด
แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา
แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น
ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา
แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง
ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้
ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้
หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย
ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน
ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย
ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว
ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???
เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด
ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน
โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ
ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร
ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์
แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!
เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย
งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???
หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น
ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง
เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???
มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่
หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร
ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???
แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง
ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้
'นาธาน โอมาน'รับ-กุเรื่องทั้งเพ
12 ธันวาออก 'ช่อง9'สารภาพ
จริงแล้ว ข้อสงสัย และความไม่เชื่อถือข้อมูลและคำพูดของ นาธาน โอมาน นั้นมีมานานระยะหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเจ๋งๆมัดตัว หรือตราบใดที่ยังไม่มีการสารภาพออกมาจากปากของนาธานเอง
สิ่งที่ทำได้ก็คือ พยายามหาเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาแสดงให้เห็นถึงพิรุธแห่งคำพูดของนาธานเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องปัญหาที่มีกับอดีตแม่บ้าน
และที่สำคัญเรื่องของการโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลีวูด
แต่นาธานก็ปากแข็งมาตลอด อ้างแต่ว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
จนกระทั่งมาเกิดเรื่องราวซ้ำซากขึ้นอีก กรณีของนางพิศมัย ศรีกะบุตร หรือ “ครูแหม่ม” แม่บุญธรรมของนาธาน ซึ่งเคยปกป้องมาตลอดในเรื่องข้อกล่าวหา หรือคดีความต่างๆของนาธาน แต่กลับกลายเป็นว่าออกมาแฉเสียเอง ว่าถูกนาธานโกงเงิน จนต้องมีการแจ้งความกัน ซึ่งทำให้ประเด็น นาธาน กลายเป็นข่าวกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่า ทันทีที่ตกเป็นข่าว นาธานก็ออกมาแก้ต่าง ปฏิเสธในทันทีทุกข้อกล่าวหา
แต่สุดท้ายด้วยความรวดเร็วและด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรที่โดดเด่นในเรื่องของการสัมภาษณ์ในยุคนี้ ชนิดที่พิธีกรใหญ่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วีที วิทวัส สุนทรวิเนตร์ แห่งรายการตีสิบ หรือ ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ รายการทูไนท์โชว์ ต้องอึ้งไปตามๆกัน กับพัฒนาการรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ที่ทำให้รายการตีสิบ และรายการทูไนท์โชว์ดูหมองไปเลย โดยเฉพาะรายการตีสิบ ที่เหลือจุดขายเพียงแค่ช่วงดันคาราเท่านั้น
ล่าสุดความเหนือชั้นของรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ก้คือ สามารถทำให้ นาธาน โอมาน ออกมาสารภาพกลางจอ ว่าสิ่งที่เคยประกาศว่าเป็นลูกครึ่งเนปาล พูดได้ 5 ภาษา หรือเคยโกอินเตอร์ไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดเรื่อง พรินซ์ออฟเรดชูส์ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“ที่ผ่านมาเป็นคนโกหกลวงโลก ตั้งแต่เข้าวงการมาชีวิตได้จัดวางไว้หมดแล้วโดยผู้มีพระคุณว่าต้องเป็นลูกครึ่งต้องพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยในตัวของนาธาน นาธานเป็นคนที่ต้องการความรักต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก ก็เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางไว้ เพื่อให้คนรักและหันมาสนใจเรา
แล้วนาธานก็เข้าใจว่าคนทั่วไปก็ชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงไม่เคยเชื่อ แต่พอเราโกหกเห็นเชื่อกันทุกคน มันก็เลยใหญ่โตเป็นเรื่องเป็นราวจนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้นาธานไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาเพื่อผู้มีพระคุณหรือใคร ก็ขอเป็นตัวของตัวเอง
ภาษา 5 ภาษานาธานก็พูดไม่เป็น ไม่เคยเล่นหนัง ก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามีกุนซืออยู่ 5-6 คนที่คอยบอกให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้ไม่แล้ว จะพูดความจริงทุกอย่าง จะทำทุกอย่างในแบบตัวตนของนาธานจริงๆ จะกินเหล้าจะสูบบุหรี่ จะทำอย่างที่ใจอยากเป็น
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้เห็นนาธานตัวจริง จะดีหรือจะเลวยังไงก็ให้มันเป็นไป” นี่คือคำพูดล่าสุดจากปาก นาธานที่กลายเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไปเรียบร้อยแล้
ซึ่งรายการตอนนี้จะแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 22.30 น.-23.30 น. วันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ นาธาน โกหกมาตลอด จึงทำให้แม้กระทั่งการสารภาพในครั้งนี้ของนาธาน ก็ยังถูกมองด้วยความไม่เชื่อถือว่า กำลังเป็นเกมภายพลังจากที่ถูกแฉจากอดีตแม่บุญธรรมหรือไม่ เพราะสุดท้ายกรณีปริศนาผู้มีพระคุณอาจจะเป็นการเหวี่ยงกลับก็เป็นได้
หรืออาจจะเป็นการถูกบีบให้จนแต้มจริงๆก็ได้ เพราะมีรายงานข่าวว่าในต่างประเทศได้มีการวางขายหนังเรื่”พรินซ์ออฟเรดชูส์” แล้ว ซึ่งก็ปรากฏว่า ไม่ได้มีนาธานอยู่ในหนังดังกล่าวเลย
ทำให้มีการมองกันว่า ในเมื่อรู้ว่าข้อโกหกต่างๆที่ผ่านมา ไม่อาจจะหลอกใครได้อีกต่อไป ก็เลยเลือกที่จะสารภาพ เพื่อขอความเห็นใจจากสังคมว่าทำเพราะถูกเขียนบทมาตลอด หากสังคมเห็นใจจะได้เหลือทางถอยให้กับตนเองได้บ้าง... ก็เป็นอีกมุมที่มองได้เช่นกัน
ส่วนสุดท้ายเมื่อรู้ชัดเช่นนี้ว่าตลอดมาเป็นเรื่องกุ เรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด สังคมจะให้โอกาสนาธานอีกหรือไม่ ก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะเรื่องการโกหกประชาชนนั้น เคยดับดาวบันเทิงมาแล้วไม่น้อย
ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร นาธานแห่งวงการบันเทิง ก็เริ่มเปิดปากสารภาพแล้ว
ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แล้ว “นาธานในวงการการเมือง” ล่ะ จะมีการสำนึกบาป และสารภาพออกมาเองบ้างหรือไม่???
เพราะเท่าที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงมีความพยายามที่จะตะแบงความเป็นจริง พยายามพลิกพลิ้วไปเรื่อย เพื่อที่จะรักษาขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ในมือเอาไว้ให้นานที่สุด
ปัญหาก็คือว่า จะสามารถทำได้นานแค่ไหน “ตั๋วพิเศษ” และอำนาจหนุนหลังต่างๆ ที่ได้รับเพื่อให้พลิกขั้วมาเป็นฝ่ายกุมอำนาจทางการเมืองได้ในเวลานี้ จะสามารถปิดบังความเป็นจริงไปได้อีกนานแค่ไหน
โดยเฉพาะกับกรณีที่มีการตั้งคำถามไปทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ในเรื่องของการตาย 91 ศพจากการสลายการชุมนุม เหตุการณ์พฤษภาอำมะหิต 53 เรื่องการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เรื่องการยิงคนในวัดปทุมวนาราม ลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ศพ
ซึ่งภาพถ่าย คลิปต่างๆ ได้ออกมาว่อนในโลกไซเบอร์อย่างมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องมีการปฏิเสธเหมือนเช่นตลอดมา ปัญหาเพียงแค่ว่า จะสามารถสร้างการยอมรับหรือความเชื่อถือจากสังคมได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะเชื่อมั่นว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผล กระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. และเรื่องนี้ไม่ต้องชี้แจงอะไรอีก เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว ซึ่งทาง ศอฉ.เคยชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร จากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร
ระหว่างข้อกล่าวหากับคำชี้แจง อะไรจะสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน ก็คงต้องให้ระยะเวลาและความเป็นจริงนั่นแหละเป็นข้อพิสูจน์
แต่จะว่าไปเที่ยวนี้ต้องชมว่า เสธ.ไก่อู นิ่งกว่ารัฐบาลเสียอีก!!
เพราะทันทีที่ซีกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรื่อยมากระทั่งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็วุ่นไปหมด กับกรณีที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ (ซีเอสซีอี) ได้ทำการเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย
งานนี้พอปรากฏข่าวออกมาเท่านั้น ก็มีอาการพล่านกันเหมือน”มดแตกรัง” ทันที จนสังคมหลายภาคส่วนอดที่จะเกิดคำถามไม่ได้ว่า รัฐบาลกลัวอะไรหนักหนาหรือ???
หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับรัฐบาลไทยได้อย่างนั้นหรือ ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงได้ออกการการวุ่นวายไปหมดเช่นที่กำลังเกิดขึ้น
ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาในทำนองที่ว่า รัฐบาลได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ส่วนอัยการสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
ถ้าเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่น่าจะสรุปได้เพียงประเด็นเดียวก็คือ ไม่ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดอะไรให้ ซีเอสซีอี ฟัง
เพราะประเด็นอื่นนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล จนถูกมองว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศสหรัฐฯได้ง่ายๆ แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะอ้างว่า จริงๆแล้วกระทรวงการต่างประเทศก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูว่าภายใต้การมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน สุดท้ายแล้วทางซีเอสซีอีจะช่วยเหลือให้การเดินทางเข้าสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญหาได้หรือไม่???
มุมมองที่ว่า กฎหมายของสหรัฐ ได้ให้ความคุ้มครองกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งจะครอบคลุมถึงภารกิจของกรรมาธิการด้วย ดังนั้น กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นแขกตามคำเชิญย่อมที่จะได้รับความคุ้มครองด้วย สนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ ... จะเป็นจขริงหรือไม่
หรือจะเป็นไปตามมุมมองของทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอฉ. ที่ยังเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้ โดยสหรัฐคงไม่ยอมให้เข้าประเทศ เนื่องจากไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคดีที่ทางการไทยต้องการตัวอยู่ จะไปปรากฏตัวที่สหรัฐ เพื่อชี้แจงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้อย่างไร
ดังนั้นสุดท้ายคงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ผลจะออกมาอย่างไร???
แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยกรณ๊นี้ ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมานั้น ยังคงมีมุมมืดที่มองยัไม่เห็น และยังมีบางคนในขั้วอำนาจไม่ต้องการให้พูดถึง
ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ “นาธานทางการเมือง” จะยอมสารภาพเสียที ประเทศไทยจะได้เดินหน้าได้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
พระราชทานเครื่องราชฯ ๕๓ พธม.ได้ด้วย

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553 จำนวน 11, 114 ราย
ประกาศระบุว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2553 รวมทั้งสิ้น 11, 114 ราย ประกาศ ณ วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
รายนาม ครบถ้วน ตรวจสอบได้ที่www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2553/B/014/1.PDF
ทว่ารายชื่อ บุคคลชั้นนำ ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ที่น่าสนใจ บางส่วนมีดังนี้
รายนามผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553
มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก 431 คน รายที่ 431 ได้แก่ นางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ( ภริยาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) นางกุลยา เผ่าจินดา ( ภริยาของพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นางนราพร จันทร์โอชา ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม นางคมคาย พลบุตร นางสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ นางธารทิพย์ จงจักรพันธ์ นางสาวศิริพรรณ กัลยาณรุจ นางสาวศิริเพ็ญ กัลยาณรุจ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา นายอนุชา นาคาศัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายโสภณ สุภาพงษ์ นายธวัชชัย ยงกิตติกุล นายนคร ณ ลำปาง นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายกำจัด พ่วงสวัสดิ์ นายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นายมั่น พัธโนทัย นายวีระชัย วีระเมธีกุล นายปราโมช รัฐวินิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ พลเอก นินนาท เบี้ยวไข่มุข พลเอก หม่อมหลวงประสบชัย เกษมสันต์ นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นายจุมพต สายสุนทร นายไผทชิต เอกจริยกร นายไพโรจน์ กัมพูสิริ นายสมบูรณ์ เทียนทอง นายแสวง บุญเฉลิมวิภาส นายแท้จริง ศิริพานิช นายรัฐกรณ์ นิ่มวัฒนา นายวีระชัย โควสุวรรณ นายไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล นายกิตติ วะสีนนท์ นายสมชาย เสียงหลาย นายนัทธี จิตสว่าง เป็นต้น
มหาวชิรมงกุฎ จำนวน 1,453 คน เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช นายปณิธาน วัฒนายากร นายสมชาย แสวงการ นายเกียรติ สิทธีอมร นายสรวงศ์ เทียนทอง พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พลเอก คณิต สาพิทักษ์ พลเอก กลชัย พรรณเชษฐ์ พลเอก เผด็จการ จันทร์เสวก นายวิทวัส ศรีวิหค นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา นายเรืองเดช มหาศรานนท์ นายจรัญ โฆษณานันท์ นายฉลอง สุนทราวาณิชย์ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ นายสมภาร พรมทา นายวิรัตน์ กัลยาศิริ นายวุฒิสาร ตันไชย นายสุทธิพล ทวีชัยการ นางพรทิวา นาคาศัย ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี นางวัชรี วิมุกตายน นางบุษบา กรัยวิเชียร นางสุมาลี ลิมปโอวาท นางจรีรัตน์ ตันติเวชกุล นางสาวจริยา ปาละวงศ์ นางสาวสุนทรียา เหมือนพะวงศ์ นางสาวพรทิพย์ ถนอมรอด นางสุจิตรา เหลืองอมรเลิศ นางเต็มศิริ ชาญนุกูล นางทัศนีย์ ชาญวีรกูล นางธัญญวดี บุญเดช นางละออง ชิดชอบ นางวราภรณ์ ชื่นชมพูนุท นางอารีญาภรณ์ ซารัมย์ นางกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี นางดวงพร พุ่มหิรัญ นางนภาพร ศุภวงศ์ นางพรทิพย์ เพ็ญกิตติ นางภรณี จักกาบาตร์ เป็นต้น
ประถมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 1,967 ราย เช่น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายเทพไท เสนพงศ์ นายคำนูณ สิทธิสมาน หม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นายสามารถ มะลูลีม นายสุชาติ ลายน้ำเงิน นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ นายวัชระ พรรณเชษฐ์ ร้อยโท ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล นายถาวร ลีนุตพงษ์ นายประสิทธิ์ โพธสุธน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายสวัสดิ์ ถนัดค้า นายปรีชา เถาทอง นายมนัส ตันตรานนท์ นายทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ นายประสงค์ วินัยแพทย์ นายขุนพล พรหมแพทย์ นายภราดร ปริศนานันทกุล พันตำรวจเอก เทวานุวัฒน์ อนิรุทธเทวา นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ นายมานิต นพอมรบดี นายศุภชัย ใจสมุทร หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต นายสกลธี ภัททิยกุล นางสาวรสนา โตสิตระกูล นายอนุชา บูรพชัยศรี นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ นางฐิติมา ฉายแสง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี นางสาวอาระยา นันทโพธิเดช นางปัทมาวดี ซูซูกิ นางสมวงษ์ แปลงประสพโชค นางสุชาดา อุชชิน นางสาวประพีร์ อังกินันทน์ หม่อมราชวงศ์เปรมศิริ เกษมสันต์ นางสาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค นางวรกร จาติกวณิช นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ นางอาภามาศ ภัทรประสิทธิ์ นางอารมณ์ กล้าณรงค์ราญ นางสุพร วงศ์หนองเตย นางพัฒนา สังขทรัพย์ เป็นต้น
ประถมาภรณ์มงกุฎไทย จำนวน 5,539 ราย เช่น พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา นายวัชระ เพชรทอง นายวีระ อุไรรัตน์ หม่อมราชวงศ์อดิศรเดช สุขสวัสดิ์ นายชาญวิทย์ ผลชีวิน นายจิรชัย สุทัศนะจินดา นายรังสรรค์ ปิ่นทอง นายศุภชัย เจียรวนนท์ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ นางสาวกัญญรัตน์ กรัยวิเชียร นางอัญชนา ณ ระนอง นางอัสนี ณ ระนอง นางจิระพันธ์ เอกอุรุ นางสาวทัศนีย์ พืชมงคล นางนงนุช เศรษฐบุตร นางพีระพรรณ บูรณสมภพ นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ นางจิรารัตน์ บุณยเกียรติ นางพันทิพา จันทิก นางภัทราวดี จิรเมธากร นางลักษมี อินทรสมบัติ นางสมานจิตต์ ไกรฤกษ์ นางอโณทัย คล้ามไพบูลย์ นางอุษา รุจิประภา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีรายนามผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี 2553 ประกอบด้วย ข้าราชการการเมือง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองวุฒิสภา ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ นักวิชาการ และเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ฯลฯ รวมถึง กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ได้แก่ พันเอก นที ศุกลรัตน์
ที่มา.เวบ Go6
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สกัดจุดตาย
งัดทุกกระบวนท่า!
ดำดินมาแบบเนิบๆ แม้แต่ขอมผู้เป็นต้นฉบับมหาเวทย์ “ดำดิน” ยังไม่สะกิดใจและสะดุดตา!คอการเมืองกว่าจะถึง “บางอ้อ” ก็มีการหมกเม็ด ยัดไส้เข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแบบเงียบๆแต่ทำกันเป็นทีม หลักแหลมชาญฉลาดเนียนไร้ที่ติ อาศัยช่วงชุลมุนทางการเมือง ชิงความได้เปรียบบนสนามเลือกตั้งในอนาคตข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
เรื่องของเรื่อง เผอิญเกิดขึ้นในช่วงการเมืองร้อน ถูกจุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป สภาผู้ทรงเกียรติ สเปก ท่าน ส.ส.ฝักถั่ว สมัครสมานให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ในวาระแรกโดยมีสาระสำคัญยกเลิกการนับคะแนนแบบเก่า ที่นำมารวมนับที่เขต มาเป็นให้นับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง แล้วส่งผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่ เขตเลือกตั้ง
“รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดมีเจตนารมณ์กำหนดเกี่ยวกับการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง และส่งผลการนับคะแนนเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม ดังนั้น ในการนับคะแนน การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ควรกำหนดให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแล้วส่งผล การนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม เพื่อความรวดเร็วในการนับคะแนน และเป็นการอำนวยความสะดวกในการนับคะแนนการลงเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความถูกต้อง ของการนับคะแนนอันเป็นผลให้การเลือกตั้งเป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม”
นั่นเป็นเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ....
“ถวิล ไพรสณฑ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง
“ภราดร ปริศนานันทกุล” จากพรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะส.ส.จำนวนหนึ่ง
“พัฒนา สังขทรัพย์” จากพรรคภูมิใจไทย กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง
นี่คือทีมงานต้นทางในการชงร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่แยกกันส่งเป็น 3 ร่างเข้าสู่การพิจารณาในสภา ผู้แทนราษฎร ก่อนที่ฝักถั่วจะรับหลักการในวาระแรก และรวบรัดตัดตอนมาพิจารณารวมในร่างของ “ถวิล ไพรสณฑ์” นักปกครองมืออันดับต้นๆ ของเมืองไทยจากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ.... อันประกอบด้วยผู้ทรงเกียรติในสภาล่างจำนวน 36 ท่าน ปะปนกันไประหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน แต่เนื่องด้วยการชงในรอบนี้ เป็นความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา
มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองที่การ กลั่นกรองหรือการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ หรือแม้ กระทั่งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เสียงของ ส.ส.ในซีก รัฐบาลย่อมแรงชัดถ้วนทั่วปริมณฑลการเมืองเฉกเช่นใน อดีตที่ผ่านมา งานนี้หากไม่ผิดคิว เปิดสภาสมัยหน้า เลือกตั้ง สนามเล็กคงไม่แคล้วต้องนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งถามว่าดีหรือไม่??? คงเข้าใจได้ว่า..เป็นการตัดตอน กลโกงระหว่างทางในการขนถ่ายหีบบัตรไปสู่จุดนับคะแนนรวม นั่นรวมไปถึงเงื่อนไขในการลดขั้นตอนเพื่อ ประหยัดเวลาสำหรับคอการเมืองที่ใจเร็วอย่างทราบผลแต่จะสะอาดหมดจด โปร่งใสตรวจสอบได้ ดังที่ระบุไว้ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญประกอบร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวหรือไม่ ยังต้องใส่ไว้ในวงเล็บตอนท้ายด้วย “เควสชั่นมาร์ค”
เนื่องด้วยยังมีคำถามว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องยึดโยงจับหลักเดียวกันกับกติกาสนามใหญ่ที่ข้อร้องเรียนโกงเลือกตั้ง ยังประเดประดังท่วมหัว กกต.ทุกครั้ง ในคือวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น ลั่นทุ่ง อรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างคือ ไม่ว่าจะนับที่หน่วยหรือนับรวมที่เขตใหญ่ มันก็ไม่สามารถตอบโจทย์ที่ใช้เป็นข้ออ้างเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องในการเลือกตั้งที่ระบุไว้ในเจตนารมณ์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกระนั้นก็ตาม หากมองในแง่ความได้เปรียบทาง การเมือง ยึดโยงกับการถูลู่ถูกังแก้รัฐธรรมนูญของทีมงานพรรคร่วมรัฐบาลในรอบที่ผ่านมา ก็จะพบว่า มันล้วน มีคุณูปการในการเจาะฐานคะแนนเสียงสีแดงจากกระเป๋าใบเขื่องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย
หากการเมืองสนามเล็กนั่นคือฐานสำคัญในวันข้างหน้าของการเมืองสนามใหญ่ การกลับไปนับคะแนน ที่หน่วยเลือกตั้งในสนามเล็ก มันก็ไม่ต่างจากการเดินย้อนรอยไปสู่กติกาเดิมๆ ในการเลือกตั้งแบบเก่าๆ ที่เอื้อ ให้กับผู้มีอิทธิพลและพลังเงินในพื้นที่ได้มีโอกาสกลับมา เกิดใหม่ เพราะหากเปลี่ยนกติกา เหล่ามาเฟียในคราบผู้สมัคร ส.ส. ย่อมสามารถเช็กคะแนนหน้าหน่วยได้อย่าง ไม่มีปัญหา
นั่นย่อมจะกินรวมไปถึงกลโกงในอดีตที่หวนคืนกลับมา อาทิ การซื้อเสียงหน้าหน่วย หรือแม้กระทั่งซื้อ แบบยกหน่วย รวมไปถึงวิถีโจรในรูปแบบอื่น มันก็จะย้อนยุคสีเทาในวันเก่าๆ ตามมาด้วยสำคัญที่สุดแห่งสาระสำคัญในกติกาที่กำลังจะบังเกิด มันเผอิญมีวาระใกล้เคียงและละม้ายคล้ายคลึงกับโรด แมปการล้มทฤษฎี “ทักษิณฟีเวอร์”..หากสภาไฟเขียว วาระ “เสาไฟฟ้าแดง” ของพรรคแดงย่อมสุ่มเสี่ยงเอวังปมซ่อนเร้นที่บังเกิด ย่อมพิสูจน์ได้ว่า..การเดินย้อนรอยทางกฎหมายรอบนี้ มันเป็นผลประโยชน์ทาง การเมืองล้วนๆ โดยไม่มีนัยยะใดๆ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งประชาชนแม้แต่น้อย
แต่ที่กระทบประชาชนแน่ๆ และแน่นอนถึงขั้นนอนนิ่งแน่ๆ นั่นคือสถิติอาชญากรรมหลังวันเลือกตั้งที่ ตั้งเค้าจะคืนกลับ หากร่างกฎหมายนี้ไปโลดแล่นฉิวผ่าน ฝักถั่วในสภา เพราะหากนับคะแนนกันที่หน่วยคะแนนแต่ละหน่วยย่อมปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์เป็นพยาน หลักฐาน และบังเอิญหัวคะแนนผู้เป็นประชาชนตาดำๆ ที่มากด้วยความโลภ ทำแต้มจากวาระกระสุนดินดำไม่ได้ ตามเป้าวาระกระสุนตะกั่ว ภายใต้บรรยากาศรังสีอำมหิต แห่งการเมืองไกลปืนเที่ยง มันย่อมสุ่มเสี่ยง และเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเกิดฆาตกรรมอันต่อเนื่องติดจรวดตาม มา และแค่นี้ก็น่าจะยืนยันได้ว่า..
หากกฎหมายผ่าน ระหว่างประชาชนและนักการ เมืองใครมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่ากัน??? แต่ในเมื่อเป็นวาระสกัดจุดตายฝ่ายกุมอำนาจประเทศในสนามเล็ก นักเลือกตั้งงัดทุกกระบวนท่าเพื่อ กระชับอำนาจระดับท้องถิ่นไว้ในมือมันคงเป็นหน้าที่ประชาชนแล้วแหละ ที่จะต้อง จดพฤติกรรมเหล่านี้ลงแบล็กลิสต์ แล้วค่อยคิดบัญชีชำระแค้นเหล่านักเลือกตั้งชั่วให้สูญพันธุ์..คาคูหา เลือกตั้ง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดำดินมาแบบเนิบๆ แม้แต่ขอมผู้เป็นต้นฉบับมหาเวทย์ “ดำดิน” ยังไม่สะกิดใจและสะดุดตา!คอการเมืองกว่าจะถึง “บางอ้อ” ก็มีการหมกเม็ด ยัดไส้เข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติแบบเงียบๆแต่ทำกันเป็นทีม หลักแหลมชาญฉลาดเนียนไร้ที่ติ อาศัยช่วงชุลมุนทางการเมือง ชิงความได้เปรียบบนสนามเลือกตั้งในอนาคตข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
เรื่องของเรื่อง เผอิญเกิดขึ้นในช่วงการเมืองร้อน ถูกจุด เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป สภาผู้ทรงเกียรติ สเปก ท่าน ส.ส.ฝักถั่ว สมัครสมานให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ในวาระแรกโดยมีสาระสำคัญยกเลิกการนับคะแนนแบบเก่า ที่นำมารวมนับที่เขต มาเป็นให้นับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง แล้วส่งผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่ เขตเลือกตั้ง
“รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดมีเจตนารมณ์กำหนดเกี่ยวกับการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง และส่งผลการนับคะแนนเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม ดังนั้น ในการนับคะแนน การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ควรกำหนดให้มีการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแล้วส่งผล การนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้นไปรวมที่เขตเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนรวม เพื่อความรวดเร็วในการนับคะแนน และเป็นการอำนวยความสะดวกในการนับคะแนนการลงเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความถูกต้อง ของการนับคะแนนอันเป็นผลให้การเลือกตั้งเป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม”
นั่นเป็นเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ....
“ถวิล ไพรสณฑ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง
“ภราดร ปริศนานันทกุล” จากพรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะส.ส.จำนวนหนึ่ง
“พัฒนา สังขทรัพย์” จากพรรคภูมิใจไทย กับคณะ ส.ส.จำนวนหนึ่ง
นี่คือทีมงานต้นทางในการชงร่างพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่แยกกันส่งเป็น 3 ร่างเข้าสู่การพิจารณาในสภา ผู้แทนราษฎร ก่อนที่ฝักถั่วจะรับหลักการในวาระแรก และรวบรัดตัดตอนมาพิจารณารวมในร่างของ “ถวิล ไพรสณฑ์” นักปกครองมืออันดับต้นๆ ของเมืองไทยจากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่..) พ.ศ.... อันประกอบด้วยผู้ทรงเกียรติในสภาล่างจำนวน 36 ท่าน ปะปนกันไประหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาลและซีกฝ่ายค้าน แต่เนื่องด้วยการชงในรอบนี้ เป็นความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา
มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมืองที่การ กลั่นกรองหรือการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ หรือแม้ กระทั่งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เสียงของ ส.ส.ในซีก รัฐบาลย่อมแรงชัดถ้วนทั่วปริมณฑลการเมืองเฉกเช่นใน อดีตที่ผ่านมา งานนี้หากไม่ผิดคิว เปิดสภาสมัยหน้า เลือกตั้ง สนามเล็กคงไม่แคล้วต้องนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งถามว่าดีหรือไม่??? คงเข้าใจได้ว่า..เป็นการตัดตอน กลโกงระหว่างทางในการขนถ่ายหีบบัตรไปสู่จุดนับคะแนนรวม นั่นรวมไปถึงเงื่อนไขในการลดขั้นตอนเพื่อ ประหยัดเวลาสำหรับคอการเมืองที่ใจเร็วอย่างทราบผลแต่จะสะอาดหมดจด โปร่งใสตรวจสอบได้ ดังที่ระบุไว้ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญประกอบร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวหรือไม่ ยังต้องใส่ไว้ในวงเล็บตอนท้ายด้วย “เควสชั่นมาร์ค”
เนื่องด้วยยังมีคำถามว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นจำเป็นหรือไม่ที่ต้องยึดโยงจับหลักเดียวกันกับกติกาสนามใหญ่ที่ข้อร้องเรียนโกงเลือกตั้ง ยังประเดประดังท่วมหัว กกต.ทุกครั้ง ในคือวันที่ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น ลั่นทุ่ง อรรถาธิบายขยายความให้กระจ่างคือ ไม่ว่าจะนับที่หน่วยหรือนับรวมที่เขตใหญ่ มันก็ไม่สามารถตอบโจทย์ที่ใช้เป็นข้ออ้างเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องในการเลือกตั้งที่ระบุไว้ในเจตนารมณ์ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกระนั้นก็ตาม หากมองในแง่ความได้เปรียบทาง การเมือง ยึดโยงกับการถูลู่ถูกังแก้รัฐธรรมนูญของทีมงานพรรคร่วมรัฐบาลในรอบที่ผ่านมา ก็จะพบว่า มันล้วน มีคุณูปการในการเจาะฐานคะแนนเสียงสีแดงจากกระเป๋าใบเขื่องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย
หากการเมืองสนามเล็กนั่นคือฐานสำคัญในวันข้างหน้าของการเมืองสนามใหญ่ การกลับไปนับคะแนน ที่หน่วยเลือกตั้งในสนามเล็ก มันก็ไม่ต่างจากการเดินย้อนรอยไปสู่กติกาเดิมๆ ในการเลือกตั้งแบบเก่าๆ ที่เอื้อ ให้กับผู้มีอิทธิพลและพลังเงินในพื้นที่ได้มีโอกาสกลับมา เกิดใหม่ เพราะหากเปลี่ยนกติกา เหล่ามาเฟียในคราบผู้สมัคร ส.ส. ย่อมสามารถเช็กคะแนนหน้าหน่วยได้อย่าง ไม่มีปัญหา
นั่นย่อมจะกินรวมไปถึงกลโกงในอดีตที่หวนคืนกลับมา อาทิ การซื้อเสียงหน้าหน่วย หรือแม้กระทั่งซื้อ แบบยกหน่วย รวมไปถึงวิถีโจรในรูปแบบอื่น มันก็จะย้อนยุคสีเทาในวันเก่าๆ ตามมาด้วยสำคัญที่สุดแห่งสาระสำคัญในกติกาที่กำลังจะบังเกิด มันเผอิญมีวาระใกล้เคียงและละม้ายคล้ายคลึงกับโรด แมปการล้มทฤษฎี “ทักษิณฟีเวอร์”..หากสภาไฟเขียว วาระ “เสาไฟฟ้าแดง” ของพรรคแดงย่อมสุ่มเสี่ยงเอวังปมซ่อนเร้นที่บังเกิด ย่อมพิสูจน์ได้ว่า..การเดินย้อนรอยทางกฎหมายรอบนี้ มันเป็นผลประโยชน์ทาง การเมืองล้วนๆ โดยไม่มีนัยยะใดๆ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งประชาชนแม้แต่น้อย
แต่ที่กระทบประชาชนแน่ๆ และแน่นอนถึงขั้นนอนนิ่งแน่ๆ นั่นคือสถิติอาชญากรรมหลังวันเลือกตั้งที่ ตั้งเค้าจะคืนกลับ หากร่างกฎหมายนี้ไปโลดแล่นฉิวผ่าน ฝักถั่วในสภา เพราะหากนับคะแนนกันที่หน่วยคะแนนแต่ละหน่วยย่อมปรากฏขึ้นให้เห็นประจักษ์เป็นพยาน หลักฐาน และบังเอิญหัวคะแนนผู้เป็นประชาชนตาดำๆ ที่มากด้วยความโลภ ทำแต้มจากวาระกระสุนดินดำไม่ได้ ตามเป้าวาระกระสุนตะกั่ว ภายใต้บรรยากาศรังสีอำมหิต แห่งการเมืองไกลปืนเที่ยง มันย่อมสุ่มเสี่ยง และเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเกิดฆาตกรรมอันต่อเนื่องติดจรวดตาม มา และแค่นี้ก็น่าจะยืนยันได้ว่า..
หากกฎหมายผ่าน ระหว่างประชาชนและนักการ เมืองใครมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่ากัน??? แต่ในเมื่อเป็นวาระสกัดจุดตายฝ่ายกุมอำนาจประเทศในสนามเล็ก นักเลือกตั้งงัดทุกกระบวนท่าเพื่อ กระชับอำนาจระดับท้องถิ่นไว้ในมือมันคงเป็นหน้าที่ประชาชนแล้วแหละ ที่จะต้อง จดพฤติกรรมเหล่านี้ลงแบล็กลิสต์ แล้วค่อยคิดบัญชีชำระแค้นเหล่านักเลือกตั้งชั่วให้สูญพันธุ์..คาคูหา เลือกตั้ง!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
3 นายกรัฐมนตรี
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..อยู่ดีๆ ไม่มีปี่ มีขลุ่ย..เว็บไซต์ดังของโลก..wikileaks จะหันคลื่นเข้าหาประเทศไทย..และเปิดโปง..แบบตีขลุมว่า..การที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..ส่งคนรัสเซียไปให้สหรัฐอเมริกา..ทั้งๆ ที่ทางรัสเซียทักท้วงไว้แล้วนั้น...เพราะฮัลโหลจากประธานาธิบดีโอบามา..
แถมยังอ้างอิงเอกสารยืนยัน..ถึงการ แทรกแซงของอเมริกาต่อรัฐบาลไทย..ซึ่งแน่ใจ ได้ว่า..นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปประเทศไทยอยู่ ในเป้าทำลายของ..หมีขาว หมีใหญ่..ฝรั่งอายุ 39 ตัวคนเดียว..จะมีพลานุภาพ ในการหาข่าวลับระดับปกปิดมาใส่เว็บไซต์ได้ เช่นไร..อธิบายได้ว่า..เว็บไซต์นี้น่าจะเป็นอาวุธ ชิ้นหนึ่งในสงครามเย็นระหว่างอินทรีกับหมีขาว
แล้วกระต่ายน้อยอย่างประเทศไทย.. จะรับไหวหรือกับกรงเล็บหมี โดยเฉพาะหมีที่ยิ่งใหญ่อยู่ในอินโดจีน และมีพันธมิตรอยู่รอบประเทศไทย..ไม่ว่า ลาว-เขมร-ญวน หรือแม้กระทั่งพม่า..จะเป็น อย่างไรหากอาวุธสงครามในคลังแสงของประเทศเหล่านั้น..หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย.. ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ด้วยเปลวไฟแห่งความขัดแย้ง แบ่งแยก
เรา..ใช้เวลากันนานเท่าไหร่..กว่าพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ..กับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์..จะหยิบปืนกระบอกสุดท้ายจากมือประชาชนและเปลี่ยนพวกเขาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ความไร้เดียงสา ของท่าน..กำลังนำประเทศไทยกลับไปสู่.. วันเสียงปืนแตก..อีสานที่ท่านเหยียบย่างเข้า ไปไม่ได้ในวันนี้..จะเป็นอันตรายยิ่งกว่าถ้า.. อภิมหาอำนาจรัสเซีย..ประสงค์ร้าย
เว็บไซต์ของเขา..ที่หันเป้าเข้าหาประเทศไทย..ไม่ใช่การเตือน..แต่เป็นสัญญาณของสงครามที่กำลังจะเริ่มต้น..
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..รู้หรือไม่..นายกรัฐมนตรี 2 ท่านก่อนหน้า.. สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์.. ต่างได้รับโทรศัพท์และการพบโดยตรงจาก.. จอร์จ บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในเรื่องขอตัว..วิคเตอร์ บูท..แต่..นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน..ต่างใช้ลีลาเพื่อไม่ทำให้ประเทศไทยต้องไปอยู่..ในสงครามเย็นของ 2 ยักษ์
เดช บุนนาค..อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ..เล่าในหนังสืองานศพ..นายกฯ สมัคร ยืนยันในเรื่องนี้..
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปฏิเสธอย่างสุภาพ กับประธานาธิบดีบุช ว่า..ฝ่ายบริหารก้าวล่วงฝ่ายตุลาการไม่ได้..อาวุโสกับปัญญา..พาประเทศไทยพ้นจาก.. ปากหมี กรงเล็บอินทรี...แต่ผู้เยาว์ในวันนี้.. ผลักประเทศเข้าสู่วิกฤติแห่งสงคราม..
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************
แถมยังอ้างอิงเอกสารยืนยัน..ถึงการ แทรกแซงของอเมริกาต่อรัฐบาลไทย..ซึ่งแน่ใจ ได้ว่า..นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปประเทศไทยอยู่ ในเป้าทำลายของ..หมีขาว หมีใหญ่..ฝรั่งอายุ 39 ตัวคนเดียว..จะมีพลานุภาพ ในการหาข่าวลับระดับปกปิดมาใส่เว็บไซต์ได้ เช่นไร..อธิบายได้ว่า..เว็บไซต์นี้น่าจะเป็นอาวุธ ชิ้นหนึ่งในสงครามเย็นระหว่างอินทรีกับหมีขาว
แล้วกระต่ายน้อยอย่างประเทศไทย.. จะรับไหวหรือกับกรงเล็บหมี โดยเฉพาะหมีที่ยิ่งใหญ่อยู่ในอินโดจีน และมีพันธมิตรอยู่รอบประเทศไทย..ไม่ว่า ลาว-เขมร-ญวน หรือแม้กระทั่งพม่า..จะเป็น อย่างไรหากอาวุธสงครามในคลังแสงของประเทศเหล่านั้น..หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย.. ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ด้วยเปลวไฟแห่งความขัดแย้ง แบ่งแยก
เรา..ใช้เวลากันนานเท่าไหร่..กว่าพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ..กับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์..จะหยิบปืนกระบอกสุดท้ายจากมือประชาชนและเปลี่ยนพวกเขาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ความไร้เดียงสา ของท่าน..กำลังนำประเทศไทยกลับไปสู่.. วันเสียงปืนแตก..อีสานที่ท่านเหยียบย่างเข้า ไปไม่ได้ในวันนี้..จะเป็นอันตรายยิ่งกว่าถ้า.. อภิมหาอำนาจรัสเซีย..ประสงค์ร้าย
เว็บไซต์ของเขา..ที่หันเป้าเข้าหาประเทศไทย..ไม่ใช่การเตือน..แต่เป็นสัญญาณของสงครามที่กำลังจะเริ่มต้น..
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..รู้หรือไม่..นายกรัฐมนตรี 2 ท่านก่อนหน้า.. สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์.. ต่างได้รับโทรศัพท์และการพบโดยตรงจาก.. จอร์จ บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในเรื่องขอตัว..วิคเตอร์ บูท..แต่..นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน..ต่างใช้ลีลาเพื่อไม่ทำให้ประเทศไทยต้องไปอยู่..ในสงครามเย็นของ 2 ยักษ์
เดช บุนนาค..อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ..เล่าในหนังสืองานศพ..นายกฯ สมัคร ยืนยันในเรื่องนี้..
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปฏิเสธอย่างสุภาพ กับประธานาธิบดีบุช ว่า..ฝ่ายบริหารก้าวล่วงฝ่ายตุลาการไม่ได้..อาวุโสกับปัญญา..พาประเทศไทยพ้นจาก.. ปากหมี กรงเล็บอินทรี...แต่ผู้เยาว์ในวันนี้.. ผลักประเทศเข้าสู่วิกฤติแห่งสงคราม..
ที่มา.สยามธุรกิจ
**************************************************
เหรียญด้านที่สอง
ระวังเพื่อนบ้านแซงทางโค้ง
เชื่อว่าหลายท่านคงช็อกไม่หายกับการที่บอลไทยเสมอกับลาว 2-2 !!!ที่สำคัญโดนนำทั้งสองครั้ง กว่าเราจะตีเสมอได้เรียกว่าแทบกระอัก ผมว่าช่วงนั้นคนลาวทั้งประเทศล้วนแฮปปี้ ไม่ต่างอะไรกับกรณีที่ไทยเสมอบราซิลทั้งที่เมื่อก่อนเราสามารถเอาชนะ เขาได้อย่างไม่ยากเย็น แถมชนะแบบเป็นกอบเป็นกำ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ที่เป็นการบ้านของรัฐบาลว่า เราจะพัฒนา ประเทศไปในทิศทางไหน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของฟุตบอล หรือกีฬาเท่านั้น
ที่ผ่านมาเราย่ำอยู่กับที่ แถมหลายครั้งยังเป๋ถอยหลังลงคลองมาตลอดในช่วงหลายปี แต่ก็มีหลายครั้งพอทำท่าจะดี ก็ถูกขัดแข้งขัดขาจากคน เสียผลประโยชน์บ้าง นักการเมืองฝ่าย ตรงข้ามบ้าง หรือแม้กระทั่ง รั้วของชาติ ที่ออกมาครางเสียงกระเส่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่า “เราทำเพื่อประเทศชาติ”
นับวันบ้านเราจะยิ่งตามไม่ทันเพื่อนบ้าน หลายประเทศให้ความสำคัญ กับการพัฒนาบุคลากรทุกด้าน พร้อมๆ ไปกับพัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาด้านต่างๆ ให้ครอบคลุม แต่บ้านเรากลับไร้ซึ่งการพัฒนาในทุกด้าน ไม่หยุดนิ่งก็ถอยหลัง เน้นอย่างเดียวพัฒนาตัวกูและพวกพ้อง ให้อยู่รอดใครไม่ใช่พวก ใครไม่เอื้อประโยชน์ ไม่มีเส้น หรือไม่ให้มีเอี่ยวด้วย อย่าหวัง ว่าโปรเจกต์จะผ่าน แม้จะรู้แก่ใจว่าถ้าผ่านแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่
หลายครั้งและหลายเรื่องที่เพื่อนบ้านต้องมาดูงานบ้านเรา และหลายครั้ง และหลายเรื่องอีกเช่นกันที่เราต้องไปดู งานในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ระหว่างเรากับเพื่อนบ้านจะต่างกันก็ตรงที่ เมื่อเขามาดูงานบ้านเราแล้วเขานำกลับไปประยุกต์ใช้จริงอย่างได้ผล แต่บ้านเราเสียงบดูงานมากมาย แต่ไม่นำมาปฏิบัติ หรือพอเอามาทำก็เล่นลอกเขาทั้งดุ้น ไม่มองถึงสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
แล้วตอนนี้หลายเรื่องที่ประเทศเขามาดูงานจากเราเริ่มสัมฤทธิผล ในหลายเรื่องเขาเริ่มที่จะแซงเรา เรื่องฟุตบอลนี่สะท้อนภาพได้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรากลับยังหยิ่ง เพราะนึกว่าตัวเองแน่ งบดูงานปีละหลายล้านไม่เคยปรากฏว่าเกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นเหมือนงบเที่ยวให้ ส.ส.-ส.ว. และข้าราชการระดับสูง
การศึกษาถดถอยลงไปเรื่อยๆ พร้อมไปกับจริยธรรม คุณธรรม ทั้งที่เราอ้างตัวเองเสมอว่า “เราเป็นสังคมชาวพุทธ” เราชอบสร้างฝันว่าจะเป็นฮับ นู่นบ้าง ฮับนี่บ้าง แต่ไม่เคยดูศักยภาพ ตัวเอง พูดง่ายๆ เราเก่งเรื่องขายฝัน และซื้อฝัน แต่เรากลับเมินความเป็นจริงที่เป็น ณ ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังย่ำแย่ แต่เรากลับ เทงบให้ทหารมากมาย เศรษฐกิจกำลังยุ่ย แต่เรากลับมีเมกะโปรเจกต์ออกมาอื้อซ่า ขณะเดียวกันก็ซ่อม สร้างอะไรไปเรื่อย ทั้งที่บางอย่างยังมีสภาพใช้ได้อยู่ วันดีคืนดีปิดแยกนู้นแยกนี้ ซ่อมกันเป็นเดือน..อยากจะตะโกนดังๆ จริงๆ ว่า “นี่มันภาษีตู”
สิ่งที่ต้องทำกลับไม่ทำ สิ่งที่ยังไม่ สมควรทำกลับทำซะงั้น!!! ทั้งที่เรามีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาด้านการศึกษา ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาชาติ และการ เกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเดินหน้า ของประเทศ แต่ที่ผ่านมา ครูกลับเป็นสาขาวิชาที่คนเลือกเรียนเป็นลำดับท้ายๆ เป็นงานที่คนจนตรอกไม่รู้ทำอะไรแล้วต้องทำเพื่อดำรงชีพ ในขณะที่เกษตรกร บ้านเรา ก็เปรียบเสมือนชนชั้นล่างในสังคม ไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร ราคาขายผลผลิตถูกกว่าต้นทุน คนยอม ขายนาขายไร่หันเหกลับมาเป็นลูกจ้าง ในขณะเดียวกัน นายทุนก็กว้านซื้อแล้วจ้างเกษตรกรทำต่อ
ไม่แปลกที่เด็กเราไม่พัฒนา เพราะครูด้อยคุณภาพ ไม่แปลกที่เกษตรกรบ้านเรา เป็นคนแก่คนเฒ่าเสียส่วนใหญ่ และไม่แปลกเลยที่บอลไทยเกือบแพ้ลาว...ก็ในเมื่อรัฐบาลยังไร้ซึ่งเสถียรภาพ สังคมยังมีมาตรฐานเดียวคือ คนมีอำนาจ มีเส้นเป็นใหญ่ รัฐบาลถูกชักใยโดยมือ ที่มองเห็นแต่แกล้งมองไม่เห็น มีนายกฯ หน่อมแน้มที่พูดเก่งแต่ทำไม่เป็น และมีกลุ่มเสียผลประโยชน์คอยขัดไปทุกเรื่อง ที่สำคัญยังไม่ยอมให้การเมืองจบ ในสภาฯอีกไม่นาน!!!! เราอาจต้องไปดูงานที่ลาวหรือเวียดนามเพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ ถ้าเรายังไม่เปลี่ยน ตัวเอง คอยดูครับพี่น้อง..
ที่มา.สยามธุรกิจ
***********************************************************
เชื่อว่าหลายท่านคงช็อกไม่หายกับการที่บอลไทยเสมอกับลาว 2-2 !!!ที่สำคัญโดนนำทั้งสองครั้ง กว่าเราจะตีเสมอได้เรียกว่าแทบกระอัก ผมว่าช่วงนั้นคนลาวทั้งประเทศล้วนแฮปปี้ ไม่ต่างอะไรกับกรณีที่ไทยเสมอบราซิลทั้งที่เมื่อก่อนเราสามารถเอาชนะ เขาได้อย่างไม่ยากเย็น แถมชนะแบบเป็นกอบเป็นกำ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ที่เป็นการบ้านของรัฐบาลว่า เราจะพัฒนา ประเทศไปในทิศทางไหน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของฟุตบอล หรือกีฬาเท่านั้น
ที่ผ่านมาเราย่ำอยู่กับที่ แถมหลายครั้งยังเป๋ถอยหลังลงคลองมาตลอดในช่วงหลายปี แต่ก็มีหลายครั้งพอทำท่าจะดี ก็ถูกขัดแข้งขัดขาจากคน เสียผลประโยชน์บ้าง นักการเมืองฝ่าย ตรงข้ามบ้าง หรือแม้กระทั่ง รั้วของชาติ ที่ออกมาครางเสียงกระเส่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่า “เราทำเพื่อประเทศชาติ”
นับวันบ้านเราจะยิ่งตามไม่ทันเพื่อนบ้าน หลายประเทศให้ความสำคัญ กับการพัฒนาบุคลากรทุกด้าน พร้อมๆ ไปกับพัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาด้านต่างๆ ให้ครอบคลุม แต่บ้านเรากลับไร้ซึ่งการพัฒนาในทุกด้าน ไม่หยุดนิ่งก็ถอยหลัง เน้นอย่างเดียวพัฒนาตัวกูและพวกพ้อง ให้อยู่รอดใครไม่ใช่พวก ใครไม่เอื้อประโยชน์ ไม่มีเส้น หรือไม่ให้มีเอี่ยวด้วย อย่าหวัง ว่าโปรเจกต์จะผ่าน แม้จะรู้แก่ใจว่าถ้าผ่านแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่
หลายครั้งและหลายเรื่องที่เพื่อนบ้านต้องมาดูงานบ้านเรา และหลายครั้ง และหลายเรื่องอีกเช่นกันที่เราต้องไปดู งานในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ระหว่างเรากับเพื่อนบ้านจะต่างกันก็ตรงที่ เมื่อเขามาดูงานบ้านเราแล้วเขานำกลับไปประยุกต์ใช้จริงอย่างได้ผล แต่บ้านเราเสียงบดูงานมากมาย แต่ไม่นำมาปฏิบัติ หรือพอเอามาทำก็เล่นลอกเขาทั้งดุ้น ไม่มองถึงสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
แล้วตอนนี้หลายเรื่องที่ประเทศเขามาดูงานจากเราเริ่มสัมฤทธิผล ในหลายเรื่องเขาเริ่มที่จะแซงเรา เรื่องฟุตบอลนี่สะท้อนภาพได้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรากลับยังหยิ่ง เพราะนึกว่าตัวเองแน่ งบดูงานปีละหลายล้านไม่เคยปรากฏว่าเกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นเหมือนงบเที่ยวให้ ส.ส.-ส.ว. และข้าราชการระดับสูง
การศึกษาถดถอยลงไปเรื่อยๆ พร้อมไปกับจริยธรรม คุณธรรม ทั้งที่เราอ้างตัวเองเสมอว่า “เราเป็นสังคมชาวพุทธ” เราชอบสร้างฝันว่าจะเป็นฮับ นู่นบ้าง ฮับนี่บ้าง แต่ไม่เคยดูศักยภาพ ตัวเอง พูดง่ายๆ เราเก่งเรื่องขายฝัน และซื้อฝัน แต่เรากลับเมินความเป็นจริงที่เป็น ณ ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังย่ำแย่ แต่เรากลับ เทงบให้ทหารมากมาย เศรษฐกิจกำลังยุ่ย แต่เรากลับมีเมกะโปรเจกต์ออกมาอื้อซ่า ขณะเดียวกันก็ซ่อม สร้างอะไรไปเรื่อย ทั้งที่บางอย่างยังมีสภาพใช้ได้อยู่ วันดีคืนดีปิดแยกนู้นแยกนี้ ซ่อมกันเป็นเดือน..อยากจะตะโกนดังๆ จริงๆ ว่า “นี่มันภาษีตู”
สิ่งที่ต้องทำกลับไม่ทำ สิ่งที่ยังไม่ สมควรทำกลับทำซะงั้น!!! ทั้งที่เรามีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาด้านการศึกษา ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาชาติ และการ เกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเดินหน้า ของประเทศ แต่ที่ผ่านมา ครูกลับเป็นสาขาวิชาที่คนเลือกเรียนเป็นลำดับท้ายๆ เป็นงานที่คนจนตรอกไม่รู้ทำอะไรแล้วต้องทำเพื่อดำรงชีพ ในขณะที่เกษตรกร บ้านเรา ก็เปรียบเสมือนชนชั้นล่างในสังคม ไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร ราคาขายผลผลิตถูกกว่าต้นทุน คนยอม ขายนาขายไร่หันเหกลับมาเป็นลูกจ้าง ในขณะเดียวกัน นายทุนก็กว้านซื้อแล้วจ้างเกษตรกรทำต่อ
ไม่แปลกที่เด็กเราไม่พัฒนา เพราะครูด้อยคุณภาพ ไม่แปลกที่เกษตรกรบ้านเรา เป็นคนแก่คนเฒ่าเสียส่วนใหญ่ และไม่แปลกเลยที่บอลไทยเกือบแพ้ลาว...ก็ในเมื่อรัฐบาลยังไร้ซึ่งเสถียรภาพ สังคมยังมีมาตรฐานเดียวคือ คนมีอำนาจ มีเส้นเป็นใหญ่ รัฐบาลถูกชักใยโดยมือ ที่มองเห็นแต่แกล้งมองไม่เห็น มีนายกฯ หน่อมแน้มที่พูดเก่งแต่ทำไม่เป็น และมีกลุ่มเสียผลประโยชน์คอยขัดไปทุกเรื่อง ที่สำคัญยังไม่ยอมให้การเมืองจบ ในสภาฯอีกไม่นาน!!!! เราอาจต้องไปดูงานที่ลาวหรือเวียดนามเพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ ถ้าเรายังไม่เปลี่ยน ตัวเอง คอยดูครับพี่น้อง..
ที่มา.สยามธุรกิจ
***********************************************************
การตัดสินของผู้กุมชะตา
วันนี้ผมมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจมา ฝากให้ทุกท่านลองพิจารณาดูว่า มาตรฐานการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ แบบไหนน่าจะ เหมาะสมที่สุดในภาวะที่ถูกบีบคั้นจากกระแสสังคม...โดยผมขอให้ชื่อเรื่องว่า “การตัดสินของผู้กุมชะตา” นะครับ
มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะ ที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วมีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆ ที่สับรางรถไฟ คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟ ไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่ แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิต ของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทาง เดิม? ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่ เราสามารถตัดสินใจได้ คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป....
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้ คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยน ทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้ เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุสมผล ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก แต่คุณเคย คิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ ใช้งานแล้ว ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้องที่จะเล่นในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้ กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทุกวัน ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การ เมือง โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย คน กลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกจะไม่เล่นบนรางที่อยู่ ในการใช้งานตามเพื่อนๆ ของเขา และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ ใช้งาน และพวกเขาควรจะหลบออกมา เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคน นั้นต้องตายอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เคย คิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจ เป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย ถ้ารถไฟถูก เปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของ ผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย ใน ขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่ง โดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็ เป็นได้
ชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยาก ลำบาก!!! บางครั้งเราอาจลืมไปว่า การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้อง เป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป..ทุกๆ คนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้ และนั่นคือเหตุผล ที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
พอจะนึกออกหรือไม่ครับว่าทำไม “นายสาระดี” ถึงอยากหยิบยกเอาเรื่องดังกล่าวมาให้ได้อ่านกัน...เพราะเหตุการณ์ที่ ว่านี้เกิดขึ้นจริง....ในบ้านนี้ เมืองนี้...ได้มี รัฐบาลที่มีผู้นำชื่อ “นายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นผู้ควบคุมคันโยก และผลลัพธ์มันก็เริ่มเด่น ชัดขึ้นทุกทีว่าท่านเลือกที่จะโยกคันโยกไป ทางไหน....
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะ ที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วมีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆ ที่สับรางรถไฟ คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟ ไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่ แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิต ของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทาง เดิม? ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่ เราสามารถตัดสินใจได้ คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป....
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้ คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยน ทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้ เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุสมผล ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก แต่คุณเคย คิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ ใช้งานแล้ว ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้องที่จะเล่นในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้ กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทุกวัน ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การ เมือง โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย คน กลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกจะไม่เล่นบนรางที่อยู่ ในการใช้งานตามเพื่อนๆ ของเขา และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ ใช้งาน และพวกเขาควรจะหลบออกมา เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคน นั้นต้องตายอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เคย คิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจ เป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย ถ้ารถไฟถูก เปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของ ผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย ใน ขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่ง โดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็ เป็นได้
ชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยาก ลำบาก!!! บางครั้งเราอาจลืมไปว่า การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้อง เป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติ และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป..ทุกๆ คนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้ และนั่นคือเหตุผล ที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
พอจะนึกออกหรือไม่ครับว่าทำไม “นายสาระดี” ถึงอยากหยิบยกเอาเรื่องดังกล่าวมาให้ได้อ่านกัน...เพราะเหตุการณ์ที่ ว่านี้เกิดขึ้นจริง....ในบ้านนี้ เมืองนี้...ได้มี รัฐบาลที่มีผู้นำชื่อ “นายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นผู้ควบคุมคันโยก และผลลัพธ์มันก็เริ่มเด่น ชัดขึ้นทุกทีว่าท่านเลือกที่จะโยกคันโยกไป ทางไหน....
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"มาสเตอร์การ์ด-วีซ่า" อ่วมหนัก โดน"แฮ็คเกอร์"ถล่ม หลังถอนตัวจาก "วิกิลีกส์"
นักขโมยข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ (แฮ็คเกอร์) ได้โจมตีเว็บไซต์ของบริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตชั้นนำ อาทิ มาสเตอร์การ์ด และวีซ่าแล้ว หลังจากกลุ่มแฮ็คเกอร์ที่ไม่สามารถระบุตัวได้ ยืนยันที่จะติดตามสองบริษัทดังกล่าวอย่างไม่ลดละ หลังจากที่ทั้งคู่ถอนการให้บริการการชำระเงินจากวิกิลีกส์
ระบบการชำระเงินของมาสเตอร์การ์ดถูกรบกวนอย่างหนัก แต่บริษัทกล่าวว่า การกระทำครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้บัตรดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนวีซ่า กล่าวว่าตนประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน
โดย "บุคคลไร้นาม" ซึ่งทำการ "ปฏิบัติการตอบโต้" (Operation Payback) ได้กล่าวในทวิตเตอร์ของตนว่า เว็บไซต์ของวีซ่า "ล่ม" แล้ว
แต่ภายหลังบริษัทวีซ่าได้กู้ข้อมูลของตนเองกลับมาอีกครั้ง และนายเท็ด คาร์ โฆษกของวีซ่ากล่าวว่า ระบบการปฏิบัติการซึ่งดูแลด้านการทำธุรกรรมของผู้ถือบัตรกลับมาดำเนินการตามปกติแล้ว และหน้าทวิตเตอร์ดังกล่าวได้หายไป โดยปรากฏข้อความจากทวิตเตอร์ที่ว่า บัญชีผู้ใช้ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกชั่วคราว
ทวิตเตอร์กล่าวว่า ตนจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อ "การกระทำต่อบัญชีผู้ใช้เฉพาะราย" อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อมูลที่ "บุคคลไร้นาม" เผยแพร่ออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก็คือลิงค์เพื่อเชื่อมต่อไปยังแฟ้มข้อมูลของผู้ถือบัตรเครดิต
นายพอล มัตตอน จากเน็ตคราฟท์ ซึ่งคอยจับตาดูการโจมตีครั้งนี้ กล่าวว่า บริษัทวีซ่าได้เริ่มจับตากลุ่มแฮ็คเกอร์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการส่งข้อความเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองไปยังบุคคลอื่นๆ (hacktivist) ซึ่งเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 2,000 รายแล้ว เมื่อเทียบกับบริษัทมาสเตอร์การ์ด ซึ่งมีเพียง 400 ราย
มาสเตอร์การ์ดยอมรับว่า "มีความขัดข้องในการให้บริการ" จริง ซี่งเกี่ยวข้องกับระบบ "SecureCode" (รหัสรักษาความปลอดภัย) และกล่าวเสริมว่า "เราจะไม่ยอมให้สมรรถนะในระบบปฏิบัติการหลักของเราอ่อนแอลง และข้อมูลทั้งหมดของผู้ถือบัตรจะไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงเด็ดขาด และยังคงใช้บัตรในการทำธุรกรรมต่างๆได้ตามปกติทั่วโลก
ในขณะที่ "เพย์พัล" (PayPal) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเพื่อเป็นช่องทางในการบริจาคเงินให้กับวิกิลีกส์ ก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีเช่นกัน โดยกล่าวว่าบัญชีผู้ใช้ของวิกิลีกส์ "ละเมิดข้อตกลงด้านการให้บริการ"
"วันที่ 27 พย.ที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายไปยังวิกิลีกส์ เพื่อแจ้งว่ากิจกรรมของวิกิลีกส์เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายของสหรัฐฯ" นายโอซามา เบดิเยร์ ผู้บริหารของเพย์พัล กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่ประเทศฝรั่งเศส
"เราตัดสินใจที่จะยกเลิกการให้บริการแก่วิกิลีกส์ และมันเป็นไปตามความคิดเห็นอย่างสัตย์จริง ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงทั้งสิ้น"
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทที่ "ตีตัวออกห่าง"วิกิลีกส์ และถูกโจมตีโดยแฮ็คเกอร์แล้ว รวมถึง ธนาคารสวิสแบงค์ และ ธนาคารโพสต์ไฟแนนซ์ ซึ่งยกเลิกบัญชีเงินฝากของนายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์
"บุคคลไร้นาม" ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ปฏิบัติการดังกล่าว ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างหลวมๆโดยกลุ่มนักแฮ็คเกอร์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบอร์ดแสดงความเห็นที่อื้อฉาวอย่าง "4chan" และกล่าวว่าตนได้พุ่งเป้าโจมตีไปยังหลายเป้าหมาย โดยกล่าวต่อสำนักข่าวเอพีว่า กลุ่มจะยังคงแสดงการต่อต้านต่อบุคคลใดก็ตาม "ที่ต่อต้านวิกิลีกส์"
ก่อนหน้าการโจมตีมาสเตอร์การ์ด กลุ่ม"บุคคลไร้นาม" ซึ่งเรียกตนเองว่ากลุ่ม "เลือดเย็น" กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนได้กระทำการ "หลายสิ่งหลายอย่าง" โดยพุ่งเป้าไปยังบริษัทและหน่วยงานต่างๆ ที่ยกเลิกการติดต่อกับวิกิลีกส์ หรือที่พยายามโจมตีเว็บไซต์ดังกล่าว
"เว็บไซต์ที่ยอมก้มหัวให้กับแรงกดดันจากรัฐบาลจะต้องตกเป็นเป้าหมายทั้งสิ้น ในฐานะองค์กรที่ทำงานเพื่อการแสดงออกอย่างมีเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต เรารู้สึกว่าวิกิลีกส์เป็นมากกว่าแค่การเปิดเผยข้อมูลลับ แต่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบระหว่างประชาชนและรัฐบาล" สมาชิกกลุ่มรายหนึ่งกล่าว
กลุ่ม "เลือดเย็น" ยอมรับว่า การโจมตีเช่นนี้อาจกระทบต่อประชาชนที่พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกโจมตี แต่กล่าวเพิ่มเติมว่า "มันอาจกระทบต่อสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการจะบอกบริษัทเหล่านั้นว่า "เรา" ผู้เป็นประชาชน รู้สึก "ไม่พอใจ"
ที่มา.มติชนออนไลน์
-------------------------------------------------------------------------------
ระบบการชำระเงินของมาสเตอร์การ์ดถูกรบกวนอย่างหนัก แต่บริษัทกล่าวว่า การกระทำครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้บัตรดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนวีซ่า กล่าวว่าตนประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน
โดย "บุคคลไร้นาม" ซึ่งทำการ "ปฏิบัติการตอบโต้" (Operation Payback) ได้กล่าวในทวิตเตอร์ของตนว่า เว็บไซต์ของวีซ่า "ล่ม" แล้ว
แต่ภายหลังบริษัทวีซ่าได้กู้ข้อมูลของตนเองกลับมาอีกครั้ง และนายเท็ด คาร์ โฆษกของวีซ่ากล่าวว่า ระบบการปฏิบัติการซึ่งดูแลด้านการทำธุรกรรมของผู้ถือบัตรกลับมาดำเนินการตามปกติแล้ว และหน้าทวิตเตอร์ดังกล่าวได้หายไป โดยปรากฏข้อความจากทวิตเตอร์ที่ว่า บัญชีผู้ใช้ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกชั่วคราว
ทวิตเตอร์กล่าวว่า ตนจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อ "การกระทำต่อบัญชีผู้ใช้เฉพาะราย" อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อมูลที่ "บุคคลไร้นาม" เผยแพร่ออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก็คือลิงค์เพื่อเชื่อมต่อไปยังแฟ้มข้อมูลของผู้ถือบัตรเครดิต
นายพอล มัตตอน จากเน็ตคราฟท์ ซึ่งคอยจับตาดูการโจมตีครั้งนี้ กล่าวว่า บริษัทวีซ่าได้เริ่มจับตากลุ่มแฮ็คเกอร์ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการส่งข้อความเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองไปยังบุคคลอื่นๆ (hacktivist) ซึ่งเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 2,000 รายแล้ว เมื่อเทียบกับบริษัทมาสเตอร์การ์ด ซึ่งมีเพียง 400 ราย
มาสเตอร์การ์ดยอมรับว่า "มีความขัดข้องในการให้บริการ" จริง ซี่งเกี่ยวข้องกับระบบ "SecureCode" (รหัสรักษาความปลอดภัย) และกล่าวเสริมว่า "เราจะไม่ยอมให้สมรรถนะในระบบปฏิบัติการหลักของเราอ่อนแอลง และข้อมูลทั้งหมดของผู้ถือบัตรจะไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงเด็ดขาด และยังคงใช้บัตรในการทำธุรกรรมต่างๆได้ตามปกติทั่วโลก
ในขณะที่ "เพย์พัล" (PayPal) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเพื่อเป็นช่องทางในการบริจาคเงินให้กับวิกิลีกส์ ก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีเช่นกัน โดยกล่าวว่าบัญชีผู้ใช้ของวิกิลีกส์ "ละเมิดข้อตกลงด้านการให้บริการ"
"วันที่ 27 พย.ที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายไปยังวิกิลีกส์ เพื่อแจ้งว่ากิจกรรมของวิกิลีกส์เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายของสหรัฐฯ" นายโอซามา เบดิเยร์ ผู้บริหารของเพย์พัล กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่ประเทศฝรั่งเศส
"เราตัดสินใจที่จะยกเลิกการให้บริการแก่วิกิลีกส์ และมันเป็นไปตามความคิดเห็นอย่างสัตย์จริง ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงทั้งสิ้น"
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทที่ "ตีตัวออกห่าง"วิกิลีกส์ และถูกโจมตีโดยแฮ็คเกอร์แล้ว รวมถึง ธนาคารสวิสแบงค์ และ ธนาคารโพสต์ไฟแนนซ์ ซึ่งยกเลิกบัญชีเงินฝากของนายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์
"บุคคลไร้นาม" ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ปฏิบัติการดังกล่าว ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างหลวมๆโดยกลุ่มนักแฮ็คเกอร์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบอร์ดแสดงความเห็นที่อื้อฉาวอย่าง "4chan" และกล่าวว่าตนได้พุ่งเป้าโจมตีไปยังหลายเป้าหมาย โดยกล่าวต่อสำนักข่าวเอพีว่า กลุ่มจะยังคงแสดงการต่อต้านต่อบุคคลใดก็ตาม "ที่ต่อต้านวิกิลีกส์"
ก่อนหน้าการโจมตีมาสเตอร์การ์ด กลุ่ม"บุคคลไร้นาม" ซึ่งเรียกตนเองว่ากลุ่ม "เลือดเย็น" กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนได้กระทำการ "หลายสิ่งหลายอย่าง" โดยพุ่งเป้าไปยังบริษัทและหน่วยงานต่างๆ ที่ยกเลิกการติดต่อกับวิกิลีกส์ หรือที่พยายามโจมตีเว็บไซต์ดังกล่าว
"เว็บไซต์ที่ยอมก้มหัวให้กับแรงกดดันจากรัฐบาลจะต้องตกเป็นเป้าหมายทั้งสิ้น ในฐานะองค์กรที่ทำงานเพื่อการแสดงออกอย่างมีเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต เรารู้สึกว่าวิกิลีกส์เป็นมากกว่าแค่การเปิดเผยข้อมูลลับ แต่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบระหว่างประชาชนและรัฐบาล" สมาชิกกลุ่มรายหนึ่งกล่าว
กลุ่ม "เลือดเย็น" ยอมรับว่า การโจมตีเช่นนี้อาจกระทบต่อประชาชนที่พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกโจมตี แต่กล่าวเพิ่มเติมว่า "มันอาจกระทบต่อสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการจะบอกบริษัทเหล่านั้นว่า "เรา" ผู้เป็นประชาชน รู้สึก "ไม่พอใจ"
ที่มา.มติชนออนไลน์
-------------------------------------------------------------------------------
โจทก์หรือจำเลย ? จังหวะก้าว 'ทักษิณ' บนแผนที่โลก พลังขับเคลื่อนล็อบบี้ยิสต์-ทนายคู่ใจ
สัญญาณล่าตัว "ทักษิณ" จากเมืองไทยแรง-เร็ว ส่งไปถึงนานาชาติ ทำให้ปฏิกิริยาบางประเทศเปลี่ยนไป
อย่างน้อย นายฟาเบียง โบส์ซาร์ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการเมืองและกิจการระหว่างประเทศ ฝรั่งเศส ก็ยินดีที่จะ "ยกเลิก" กำหนดการบนพื้นที่โลกของ "ทักษิณ" ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
ขณะที่ฝ่าย "ทักษิณ" ให้ข่าว "อ้างความปลอดภัย" จึงไม่ปรากฏตัวที่เวทีสาธารณะแห่งนี้
เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ มอนเตเนโกร แผ่นดินแม่-ผืนใหม่ ของ "ทักษิณ" ที่แสดงท่าที "ปราม" ไม่ให้เขาใช้แผ่นดินแห่งนี้เคลื่อนไหวทางการเมือง
ชื่อ "ทักษิณ" บนแผนที่การเมืองประเทศไทย อาจเงียบหายไปหลายชั่วยาม และปรากฏตัวอีกหน ในสังคมทวิตเตอร์ ด้วยคีเวิร์ดมีนัย "ขอเจรจา" และแสดงความ "จงรักภักดี"
แม้ไม่มีเสียง-ภาพปรากฏใน "สื่อไทย" แต่ยังมีขบวนการสร้างชื่อทักษิณให้อยู่ในพื้นที่ "สื่อต่างประเทศ" ผ่าน 2 บุคคลเบื้องหลัง ร่วมอำนวยการสร้าง
การส่งลูก-รับลูกจากทนายความ ต่างประเทศ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ถูกจับคู่กับทนายคู่ใจในเมืองไทย นายนพดล ปัทมะ
ทั้งความเคลื่อนไหวจากอังกฤษถึงปักกิ่ง และเข้ากัมพูชา ลัดเลาะไปถึงมาเลเซีย เข้าสิงคโปร์ ออกไปปรากฏตัวที่ฮ่องกง
จากรัสเซีย-พันธมิตรเก่า เข้า-ออกเมืองดูไบไปตั้งหลัก ใช้พาสปอร์ตประจำตัวอยู่ที่มอนเตเนโกร
ล่าสุด นายนพดล ปัทมะ ส่งข่าวว่า "ทักษิณ" จะปรากฏตัวที่ประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา
ตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกา คือคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความ ร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ซึ่งมีสมาชิกประกอบไปด้วยวุฒิสมาชิก จำนวน 9 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จำนวน 9 คน จากทุกพรรคการเมือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ และผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐอเมริกา
"วุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาได้ส่งหนังสือเชิญเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปให้การและเป็นพยาน หลักฐานรายละเอียดในการไต่สวน กลางเดือนนี้ ที่กรุงวอชิงตัน เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์การปราบปรามและสลายการชุมนุมของประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีพี่น้องเสียชีวิตกว่า 90 คน และบาดเจ็บสองพันกว่าคน" ข่าว-จากนพดลระบุ
ทนายฝ่ายไทยทำนายล่วงหน้าด้วยว่า คณะกรรมาธิการต้องการติดตามปัญหาและเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพ ของสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะที่เกิด จากการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.สถานการณ์ ฉุกเฉิน
ทุกความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ" ล้วนถูก "โลก" จับตา
และไม่พ้นไปจากสายตา "สุณัย ผาสุข" ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของ Human Right Watch
"สุณัย" อธิบายปรากฏการณ์ "ทักษิณ" บนแผนที่โลก เที่ยวล่าสุดว่า
"การเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่แปลก เพราะเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทย ทั้งในฐานะผู้กระทำ จากสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายเหตุการณ์ รวมทั้ง อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงต้นปี ที่ผ่านมา และในฐานะผู้ถูกกระทำ จากเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 ซึ่งเขา อาจจะได้รับเชิญไปในฐานะโจทก์ หรือจำเลยก็ได้"
ช่องว่างและจุดอ่อนของรัฐบาลไทยในพื้น "ข่าวต่างประเทศ" ทำให้ "ทักษิณ" แทรกตัวเข้าไปในแผนที่โลก ในนามประเทศไทย ตามข้อวิเคราะห์ของ "สุณัย"
"การเชิญบุคคลไปให้การแบบนี้ ก็เป็นเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้แข็งขันในการชี้แจงให้ชาวโลกรับทราบสถานการณ์สิทธิ มนุษยชนในไทย ซึ่งกรณีดังกล่าวต้องติดตามดูว่า กรรมาธิการชุดนี้ได้เชิญตัวแทนจากรัฐบาลไทยไปชี้แจงด้วยหรือไม่ อาจจะมีการเชิญตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนพิเศษ หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือเชิญใคร เพื่อให้มีข้อมูลหลายด้าน ไม่เฉพาะข้อมูลจาก พ.ต.ท.ทักษิณ"
สถานภาพของ "ทักษิณ" จากเคยเป็น ผู้ล่า กลายเป็นผู้ถูกล่า จึงมีการคาดการณ์ว่า ชื่อของเขาอาจได้รับรองจากประเทศมหาอำนาจ หรือไม่
คำตอบของนักสิทธิมนุษยชน คือ "ยังต้องดูท่าทีของทางการสหรัฐ"
"ต้องดูว่า ฝ่ายบริหารจะให้วีซ่าเข้าประเทศหรือไม่ เพราะกรรมาธิการอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะที่การอนุญาตให้เข้าประเทศ เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่แน่นอนว่า ในฝ่ายการเมืองของไทย ก็พยายามจะทำให้เป็นประเด็นการเมืองว่า สหรัฐอเมริกาเชิญอดีตนายกฯไปชี้แจง"
"หาก พ.ต.ท.ทักษิณได้วีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาจริง ก็มีประเด็นที่น่าสนใจว่า เขาจะใช้พาสปอร์ตเล่มไหน จากประเทศใด ในการเข้าสหรัฐ รวมทั้งการขอวีซ่า จะเป็นการขอวีซ่าจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ณ ประเทศใด มีที่อยู่ไหนเป็นหลัก"
เนื้อหาที่ "ทักษิณ" จะพูดบนเวทีโลก อยู่ในความใส่ใจของนักการเมือง ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในเมืองไทย
"สุณัย" ร่างสคริปต์ล่วงหน้าไว้ว่า "เท่าที่ทราบจากข่าว การเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปให้การนั้น ไม่ได้มีเฉพาะประเด็นกรณีเหตุการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม แต่มีประเด็นเหตุการณ์ภาคใต้และปัญหาการละเมิด สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสารมวลชน"
"รวมทั้งเรื่อง พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จะยังขาดไปก็คือเหตุการณ์ฆ่าตัดตอนในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเป็นจำเลยใน หลายเหตุการณ์ เพราะสหรัฐก็มีข้อมูลว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นผลงาน สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจฝ่าย บริหาร และออกมาโดยไม่ผ่านสภา ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ ไม่ต้องรับผิด"
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า "ทักษิณ" จะอยู่ในเวทีประเทศมหาอำนาจในฐานะใด
สุณัย-ตั้งประเด็นว่า "บางที พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะเป็นจำเลยมากกว่าเป็นโจทก์ อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เช่น หากได้รับเชิญเช่นกัน แล้วรัฐบาลจะส่ง ตัวแทนไปหรือไม่"
"เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสหรัฐอเมริกา เพราะไทยเป็นมิตรประเทศของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสหรัฐก็ให้ความสำคัญกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย ต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้ หากรัฐบาล ไม่แข็งขันในการให้ข้อมูล อย่างน้อย ก็ควรจะมีข้อมูลความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุความเสียหาย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน"
"ควรมีข้อมูลแถลงออกมาเป็นระยะ โดยในซีกรัฐบาล ควรจะบอกได้ว่า สอบพยานไปแล้วกี่ปาก หรือรูปแบบ อาวุธ วิถีกระสุน ควรมีการรายงานเป็นระยะ โดยมีเจ้าภาพในการแถลง อาจจะเป็นดีเอสไอ หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ คอป. หรือโฆษกที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา แต่ขณะนี้ยังหาเจ้าภาพ ไม่เจอ"
ในแผนที่โลก ทั้งฝ่ายทักษิณ ฝ่ายอภิสิทธิ์ ต่างมีเครือข่าย และอำนาจที่ปรากฏตัว ทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง
ปรากฏการณ์การปรากฏตัวของ "ทักษิณ" ครั้งล่าสุด "จึงเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำมาเป็นประเด็นการเมือง และอย่าลืมว่า ทุกฝ่ายมีล็อบบี้ยิสต์" สุณัย-สรุป
แทบทุกจังหวะก้าว จังหวะคิดของ "ทักษิณ" คนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินได้ยิน- รับทราบและติดตาม
กลยุทธ์การเคลื่อนไหว มีทั้งใต้ดิน- บนดิน และกลางอากาศ
ผีเสื้อขยับปีกที่เมืองไทย อาจทำให้เกิดลมพายุที่มอนเตเนโกร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
---------------------------------------------------
อย่างน้อย นายฟาเบียง โบส์ซาร์ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการเมืองและกิจการระหว่างประเทศ ฝรั่งเศส ก็ยินดีที่จะ "ยกเลิก" กำหนดการบนพื้นที่โลกของ "ทักษิณ" ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
ขณะที่ฝ่าย "ทักษิณ" ให้ข่าว "อ้างความปลอดภัย" จึงไม่ปรากฏตัวที่เวทีสาธารณะแห่งนี้
เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ มอนเตเนโกร แผ่นดินแม่-ผืนใหม่ ของ "ทักษิณ" ที่แสดงท่าที "ปราม" ไม่ให้เขาใช้แผ่นดินแห่งนี้เคลื่อนไหวทางการเมือง
ชื่อ "ทักษิณ" บนแผนที่การเมืองประเทศไทย อาจเงียบหายไปหลายชั่วยาม และปรากฏตัวอีกหน ในสังคมทวิตเตอร์ ด้วยคีเวิร์ดมีนัย "ขอเจรจา" และแสดงความ "จงรักภักดี"
แม้ไม่มีเสียง-ภาพปรากฏใน "สื่อไทย" แต่ยังมีขบวนการสร้างชื่อทักษิณให้อยู่ในพื้นที่ "สื่อต่างประเทศ" ผ่าน 2 บุคคลเบื้องหลัง ร่วมอำนวยการสร้าง
การส่งลูก-รับลูกจากทนายความ ต่างประเทศ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ถูกจับคู่กับทนายคู่ใจในเมืองไทย นายนพดล ปัทมะ
ทั้งความเคลื่อนไหวจากอังกฤษถึงปักกิ่ง และเข้ากัมพูชา ลัดเลาะไปถึงมาเลเซีย เข้าสิงคโปร์ ออกไปปรากฏตัวที่ฮ่องกง
จากรัสเซีย-พันธมิตรเก่า เข้า-ออกเมืองดูไบไปตั้งหลัก ใช้พาสปอร์ตประจำตัวอยู่ที่มอนเตเนโกร
ล่าสุด นายนพดล ปัทมะ ส่งข่าวว่า "ทักษิณ" จะปรากฏตัวที่ประเทศมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา
ตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกา คือคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความ ร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ซึ่งมีสมาชิกประกอบไปด้วยวุฒิสมาชิก จำนวน 9 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จำนวน 9 คน จากทุกพรรคการเมือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ และผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐอเมริกา
"วุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาได้ส่งหนังสือเชิญเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปให้การและเป็นพยาน หลักฐานรายละเอียดในการไต่สวน กลางเดือนนี้ ที่กรุงวอชิงตัน เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์การปราบปรามและสลายการชุมนุมของประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีพี่น้องเสียชีวิตกว่า 90 คน และบาดเจ็บสองพันกว่าคน" ข่าว-จากนพดลระบุ
ทนายฝ่ายไทยทำนายล่วงหน้าด้วยว่า คณะกรรมาธิการต้องการติดตามปัญหาและเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพ ของสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะที่เกิด จากการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.สถานการณ์ ฉุกเฉิน
ทุกความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ" ล้วนถูก "โลก" จับตา
และไม่พ้นไปจากสายตา "สุณัย ผาสุข" ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของ Human Right Watch
"สุณัย" อธิบายปรากฏการณ์ "ทักษิณ" บนแผนที่โลก เที่ยวล่าสุดว่า
"การเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่แปลก เพราะเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทย ทั้งในฐานะผู้กระทำ จากสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายเหตุการณ์ รวมทั้ง อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงต้นปี ที่ผ่านมา และในฐานะผู้ถูกกระทำ จากเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 ซึ่งเขา อาจจะได้รับเชิญไปในฐานะโจทก์ หรือจำเลยก็ได้"
ช่องว่างและจุดอ่อนของรัฐบาลไทยในพื้น "ข่าวต่างประเทศ" ทำให้ "ทักษิณ" แทรกตัวเข้าไปในแผนที่โลก ในนามประเทศไทย ตามข้อวิเคราะห์ของ "สุณัย"
"การเชิญบุคคลไปให้การแบบนี้ ก็เป็นเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้แข็งขันในการชี้แจงให้ชาวโลกรับทราบสถานการณ์สิทธิ มนุษยชนในไทย ซึ่งกรณีดังกล่าวต้องติดตามดูว่า กรรมาธิการชุดนี้ได้เชิญตัวแทนจากรัฐบาลไทยไปชี้แจงด้วยหรือไม่ อาจจะมีการเชิญตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนพิเศษ หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือเชิญใคร เพื่อให้มีข้อมูลหลายด้าน ไม่เฉพาะข้อมูลจาก พ.ต.ท.ทักษิณ"
สถานภาพของ "ทักษิณ" จากเคยเป็น ผู้ล่า กลายเป็นผู้ถูกล่า จึงมีการคาดการณ์ว่า ชื่อของเขาอาจได้รับรองจากประเทศมหาอำนาจ หรือไม่
คำตอบของนักสิทธิมนุษยชน คือ "ยังต้องดูท่าทีของทางการสหรัฐ"
"ต้องดูว่า ฝ่ายบริหารจะให้วีซ่าเข้าประเทศหรือไม่ เพราะกรรมาธิการอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะที่การอนุญาตให้เข้าประเทศ เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่แน่นอนว่า ในฝ่ายการเมืองของไทย ก็พยายามจะทำให้เป็นประเด็นการเมืองว่า สหรัฐอเมริกาเชิญอดีตนายกฯไปชี้แจง"
"หาก พ.ต.ท.ทักษิณได้วีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาจริง ก็มีประเด็นที่น่าสนใจว่า เขาจะใช้พาสปอร์ตเล่มไหน จากประเทศใด ในการเข้าสหรัฐ รวมทั้งการขอวีซ่า จะเป็นการขอวีซ่าจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ณ ประเทศใด มีที่อยู่ไหนเป็นหลัก"
เนื้อหาที่ "ทักษิณ" จะพูดบนเวทีโลก อยู่ในความใส่ใจของนักการเมือง ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในเมืองไทย
"สุณัย" ร่างสคริปต์ล่วงหน้าไว้ว่า "เท่าที่ทราบจากข่าว การเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปให้การนั้น ไม่ได้มีเฉพาะประเด็นกรณีเหตุการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม แต่มีประเด็นเหตุการณ์ภาคใต้และปัญหาการละเมิด สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสารมวลชน"
"รวมทั้งเรื่อง พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน จะยังขาดไปก็คือเหตุการณ์ฆ่าตัดตอนในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเป็นจำเลยใน หลายเหตุการณ์ เพราะสหรัฐก็มีข้อมูลว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นผลงาน สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจฝ่าย บริหาร และออกมาโดยไม่ผ่านสภา ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ ไม่ต้องรับผิด"
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า "ทักษิณ" จะอยู่ในเวทีประเทศมหาอำนาจในฐานะใด
สุณัย-ตั้งประเด็นว่า "บางที พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะเป็นจำเลยมากกว่าเป็นโจทก์ อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เช่น หากได้รับเชิญเช่นกัน แล้วรัฐบาลจะส่ง ตัวแทนไปหรือไม่"
"เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสหรัฐอเมริกา เพราะไทยเป็นมิตรประเทศของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสหรัฐก็ให้ความสำคัญกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย ต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้ หากรัฐบาล ไม่แข็งขันในการให้ข้อมูล อย่างน้อย ก็ควรจะมีข้อมูลความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุความเสียหาย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน"
"ควรมีข้อมูลแถลงออกมาเป็นระยะ โดยในซีกรัฐบาล ควรจะบอกได้ว่า สอบพยานไปแล้วกี่ปาก หรือรูปแบบ อาวุธ วิถีกระสุน ควรมีการรายงานเป็นระยะ โดยมีเจ้าภาพในการแถลง อาจจะเป็นดีเอสไอ หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ คอป. หรือโฆษกที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา แต่ขณะนี้ยังหาเจ้าภาพ ไม่เจอ"
ในแผนที่โลก ทั้งฝ่ายทักษิณ ฝ่ายอภิสิทธิ์ ต่างมีเครือข่าย และอำนาจที่ปรากฏตัว ทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง
ปรากฏการณ์การปรากฏตัวของ "ทักษิณ" ครั้งล่าสุด "จึงเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำมาเป็นประเด็นการเมือง และอย่าลืมว่า ทุกฝ่ายมีล็อบบี้ยิสต์" สุณัย-สรุป
แทบทุกจังหวะก้าว จังหวะคิดของ "ทักษิณ" คนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินได้ยิน- รับทราบและติดตาม
กลยุทธ์การเคลื่อนไหว มีทั้งใต้ดิน- บนดิน และกลางอากาศ
ผีเสื้อขยับปีกที่เมืองไทย อาจทำให้เกิดลมพายุที่มอนเตเนโกร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
---------------------------------------------------
ฝันร้ายรัฐบาล
การเมืองตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา
นับตั้งแต่หลังปฏิวัติ 19 กันยาฯ 2549
อย่างหนึ่งที่เห็นคืออดีตนายกฯ ทักษิณ ยังเป็นตัวปัญหาของรัฐบาลไทยมาตลอด
ไม่ว่าจะรัฐบาลขิงแก่ หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่อุตส่าห์ลากเอานายกษิต ภิรมย์ อดีตแนวร่วมพันธมิตรฯ มาเป็นรมว.การต่างประเทศ
เพื่อจัดการกับทักษิณโดยเฉพาะ
แต่จนแล้วจนรอดผ่านมา 2 ปี นอกจากภารกิจล่าข้ามโลกจะไม่ประสบความสำเร็จ
ยังทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศของไทยในสายตามิตรประเทศพลอยเสียหายด้วย
บางครั้งรัฐบาลดูเหมือนจะคิดได้เองว่าการเอาแต่ไล่ล่าทักษิณนั้น ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใด
จึงมีคนเสนอว่ารัฐบาลควรจะนำพาประเทศ 'ก้าวข้ามทักษิณ' ไปให้ได้
แต่ปรากฏว่าทฤษฎีก้าวข้ามนี้ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ
เนื่องจากทุกครั้งที่มีข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณลอยมาเข้าหู รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์มักจะออกอาการร้อนรนเหมือนคนสติแตก
ครั้งนี้ก็เช่นกัน นายนพดล ปัทมะ เผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเดินทางเข้าสหรัฐตามคำเชิญคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป
เพื่อชี้แจงข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงสลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน
เรื่องเทคนิคข้อกฎหมายการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งโยงใยถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่าเมื่อทักษิณเดินทางเข้าไปแล้ว สหรัฐต้องจับส่งตัวให้ไทยหรือไม่ นั่นก็เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งคือข้อมูลเนื้อหาที่ทักษิณจะนำไปชี้แจงต่อซีเอสซีอี
ตรงนี้เองที่รัฐบาลไทยน่าจะกังวลมากเป็นพิเศษ
เพราะในไทยเองจู่ๆ ดันมีภาพถ่ายเหตุการณ์ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ก่อนถูกเผา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แพร่ออกมาทางเฟซบุ๊ก
ที่เคยกล่าวหาเสื้อแดงเป็นคนเผา เลยทำท่าว่าจะโอละพ่อ
ล่าสุดโผล่ออกมาคือข้อมูลคำให้การของทหารบนรางรถไฟฟ้า หน้าวัดปทุมวนาราม สถานที่ล้อมยิง 6 ศพ ซึ่งอยู่ในวันเกิดเหตุ
ยอมรับกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่ามีการยิงปืนลงมาจริง
ความจริงเหตุการณ์เดือนพ.ค. เริ่มถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
ความจริงที่เป็นฝันร้ายของรัฐบาล
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
****************************************************
นับตั้งแต่หลังปฏิวัติ 19 กันยาฯ 2549
อย่างหนึ่งที่เห็นคืออดีตนายกฯ ทักษิณ ยังเป็นตัวปัญหาของรัฐบาลไทยมาตลอด
ไม่ว่าจะรัฐบาลขิงแก่ หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่อุตส่าห์ลากเอานายกษิต ภิรมย์ อดีตแนวร่วมพันธมิตรฯ มาเป็นรมว.การต่างประเทศ
เพื่อจัดการกับทักษิณโดยเฉพาะ
แต่จนแล้วจนรอดผ่านมา 2 ปี นอกจากภารกิจล่าข้ามโลกจะไม่ประสบความสำเร็จ
ยังทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศของไทยในสายตามิตรประเทศพลอยเสียหายด้วย
บางครั้งรัฐบาลดูเหมือนจะคิดได้เองว่าการเอาแต่ไล่ล่าทักษิณนั้น ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใด
จึงมีคนเสนอว่ารัฐบาลควรจะนำพาประเทศ 'ก้าวข้ามทักษิณ' ไปให้ได้
แต่ปรากฏว่าทฤษฎีก้าวข้ามนี้ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ
เนื่องจากทุกครั้งที่มีข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณลอยมาเข้าหู รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์มักจะออกอาการร้อนรนเหมือนคนสติแตก
ครั้งนี้ก็เช่นกัน นายนพดล ปัทมะ เผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเดินทางเข้าสหรัฐตามคำเชิญคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป
เพื่อชี้แจงข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงสลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน
เรื่องเทคนิคข้อกฎหมายการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งโยงใยถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่าเมื่อทักษิณเดินทางเข้าไปแล้ว สหรัฐต้องจับส่งตัวให้ไทยหรือไม่ นั่นก็เรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งคือข้อมูลเนื้อหาที่ทักษิณจะนำไปชี้แจงต่อซีเอสซีอี
ตรงนี้เองที่รัฐบาลไทยน่าจะกังวลมากเป็นพิเศษ
เพราะในไทยเองจู่ๆ ดันมีภาพถ่ายเหตุการณ์ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ก่อนถูกเผา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แพร่ออกมาทางเฟซบุ๊ก
ที่เคยกล่าวหาเสื้อแดงเป็นคนเผา เลยทำท่าว่าจะโอละพ่อ
ล่าสุดโผล่ออกมาคือข้อมูลคำให้การของทหารบนรางรถไฟฟ้า หน้าวัดปทุมวนาราม สถานที่ล้อมยิง 6 ศพ ซึ่งอยู่ในวันเกิดเหตุ
ยอมรับกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่ามีการยิงปืนลงมาจริง
ความจริงเหตุการณ์เดือนพ.ค. เริ่มถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
ความจริงที่เป็นฝันร้ายของรัฐบาล
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
****************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)