นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยของคดีดังกล่าวออกมาในลักษณะเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็คงต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาล เนื่องจากถือเป็นที่สิ้นสุด สำหรับในส่วนของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ถือว่า ได้ทำในส่วนที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ แม้ว่าศาลจะไม่ได้มีคำวินิจฉัยในส่วนของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ออกมาก็ตาม อย่างไรก็ตาม กกต. ได้ส่งสำนวนที่เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 2 คดี คือ คดีความผิดเกี่ยวกับใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่ตรงกับรายงานความเป็นจริงและคดีความผิดเกี่ยวกับเงินบริจาค 258 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล
ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เห็นว่า หากศาลจะตัดสินเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเสียเวลาสืบพยานเป็นปี ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ ซึ่งผลจากการพิจารณายอมรับว่า กกต. ต้องกลับมาทบทวนบทบาทการทำงาน โดยในการประชุม กกต. วันอังคารนี้ น่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาหารือว่าเกิดกรณีเช่นนี้ได้อย่างไร.
ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
อำนาจการเมืองเปลี่ยนความจริง89ศพจะปรากฏ!
นายชัยธวัช ตุลาธน ถือเป็นผู้ประสานงานสำคัญคนหนึ่งของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ทำหน้าที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต จึงรู้ดีว่าทำไม 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าคดี 89 ศพที่เกิดจากการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับถูกจับและขังฟรี
มุมมองของนายชัยธวัชจึงน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ไม่มีความคืบหน้าและมีความล่าช้า กว่าดีเอสไอจะขยับทำอะไรก็เลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมาก ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการฟ้องร้อง นปช. หรือคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายเป็นหลัก
พฤติกรรมประหลาด
ขณะเดียวกันการสอบสวนการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ศปช. พบว่าดีเอสไอยังไม่ทันสอบสวนแต่กลับระบุสาเหตุของการตายว่าเป็นอย่างไร และนำมาฟ้องแกนนำ นปช. ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอ้างการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นลักษณะแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
“มันขัดกันเอง เพราะดีเอสไอยังไม่มีคำตอบเลยว่าคนที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากอะไร แต่กลับบอกว่าคนเสื้อแดงบางส่วนเป็นผู้ที่ทำให้เสียชีวิตแล้ว”
การคลี่คลายการเสียชีวิต 89 ศพของดีเอสไอจึงค่อนข้างสับสน อย่างรัฐบาลถูกกระแสกดดันจากสังคมมาก็บอกว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่พอครบ 45 วันก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าการชันสูตรพลิกศพและคดีจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร
โดยเฉพาะปฏิกิริยาล่าสุดของดีเอสไอที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแถลงความคืบหน้าการชันสูตรพลิกศพซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โยนไปให้คนชุดดำ กลุ่มที่ 2 การเสียชีวิตของประชาชนและสื่อมวลชนต่างประเทศอาจเกิดจากการนำกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ แต่ก็ใช้คำที่คลุมเครือและระมัดระวังมาก โดยไม่ได้บอกตรงๆว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่ 3 ไม่มีความคืบหน้าที่จะสามารถระบุกลุ่มคนร้ายได้
“ดังนั้น รายละเอียดที่ดีเอสไอแถลงแสดงว่าคดี 89 ศพยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น ดีเอสไอเคยระบุว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตจากฝ่ายไหน เพราะไม่มีพยานมาให้ปากคำ แต่เท่าที่ทราบไม่แน่ใจว่าดีเอสไอโกหกหรือต้องการปกปิด เพราะดีเอสไอน่าจะมีข้อมูลและมีพยานที่ให้ปากคำแล้ว นอกจากความล่าช้าของดีเอสไอแล้วยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการทำงานที่ทำตามกระแส พอมีกระแสกดดันทีก็ออกมาขยับที แต่ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ดีเอสไอทำงานล่าช้าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในตัวเองด้วย”
อย่าลืมว่าดีเอสไอถือเป็นคู่กรณีในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และค่อนข้างมีบทบาทมาก โดยเฉพาะการออกมาพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ดังนั้น ถ้ามีการสอบสวนให้ชัดเจนแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่เป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิต ดีเอสไอก็ต้องมีส่วนในการรับผิดด้วยถ้ามีการฟ้องร้องกัน
ปัญหาภายในดีเอสไอ
ความจริงดีเอสไอยังมีปัญหาอื่นอีกมาก ที่สำคัญมากคือการรายงานผลการชันสูตรศพแก่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่เคยไปติดต่อยื่นเรื่องกับดีเอสไอเพื่อขอให้เปิดเผยรายงานการชันสูตรศพ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าได้รับรายงานมาบางส่วนแล้ว แต่ถ้าดูจากข้อมูลของตำรวจ การชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 89 ราย ดังนั้น ที่ดีเอสไอเคยรับปากว่าจะเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการส่งผลให้ ทั้งๆที่ญาติผู้เสียชีวิติมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรับรู้ว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร
“จริงๆแล้วการสอบสวนสาเหตุการตายทั้ง 89 ศพมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารแค่ไหนในการพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เช่น วัตถุก็ถูกทำลายไปมาก จะโดยจงใจและไม่จงใจก็ตาม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจงใจทำลายหลักฐานตั้งแต่ครั้งรณรงค์ให้คนมาทำความสะอาด เพราะไม่รู้ว่าหลักฐานอย่างรอยกระสุนนั้นยังอยู่ครบหรือไม่”
นายชัยธวัชยังชี้ว่า ถ้าคดีไม่คืบหน้าจะเกิดผลเสียต่อรัฐบาล เพราะสังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ไม่ใช่แค่สังคมไทย เพราะยังมีนักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและญาติก็มีการติดตามสอบถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะมีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีความยุติธรรมจริงและมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายที่เชื่อว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น
รัฐบาลบิดเบือนประเด็น
ส่วนการใช้ประเด็นความปรองดอง รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมานั้น นายชัยธวัชเห็นว่าเป็นการทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด ใครควรได้รับการลงโทษ แต่รัฐบาลกลับทำให้สังคมไขว้เขวไปเรื่องการปรองดองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งที่จะต้องทำให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฏก่อนจึงจะมีการปรองดอง
“ผมขอเตือนรัฐบาลว่าถ้าไม่ทำคดี 89 ศพให้มีความคืบหน้าและมีความชัดเจนก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตมีความโกรธแค้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อาจไม่ใช่ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาแบบรวดเร็วใหญ่โต แต่จะเป็นลักษณะที่สะสมไปเรื่อยๆ และผลกระทบนี้จะไม่กระทบแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อระบบระเบียบหรือโครงสร้างสังคมการเมืองไทยในระยะยาวด้วย”
ต้องเปลี่ยนผู้มีอำนาจ
นายชัยธวัชยืนยันว่า อุปสรรคสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ตั้งแต่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น จากการศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและการคลี่คลายความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คืออย่างน้อยคนที่อยู่ในอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงต้องพ้นไปจากอำนาจก่อน
“ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเปลี่ยนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่จะได้ความจริงจาก 89 ศพ เพราะรัฐบาลนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ และจะหวังให้ดีเอสไอสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มุมมองของนายชัยธวัชจึงน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ไม่มีความคืบหน้าและมีความล่าช้า กว่าดีเอสไอจะขยับทำอะไรก็เลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมาก ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการฟ้องร้อง นปช. หรือคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายเป็นหลัก
พฤติกรรมประหลาด
ขณะเดียวกันการสอบสวนการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ศปช. พบว่าดีเอสไอยังไม่ทันสอบสวนแต่กลับระบุสาเหตุของการตายว่าเป็นอย่างไร และนำมาฟ้องแกนนำ นปช. ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอ้างการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นลักษณะแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
“มันขัดกันเอง เพราะดีเอสไอยังไม่มีคำตอบเลยว่าคนที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากอะไร แต่กลับบอกว่าคนเสื้อแดงบางส่วนเป็นผู้ที่ทำให้เสียชีวิตแล้ว”
การคลี่คลายการเสียชีวิต 89 ศพของดีเอสไอจึงค่อนข้างสับสน อย่างรัฐบาลถูกกระแสกดดันจากสังคมมาก็บอกว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่พอครบ 45 วันก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าการชันสูตรพลิกศพและคดีจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร
โดยเฉพาะปฏิกิริยาล่าสุดของดีเอสไอที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแถลงความคืบหน้าการชันสูตรพลิกศพซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โยนไปให้คนชุดดำ กลุ่มที่ 2 การเสียชีวิตของประชาชนและสื่อมวลชนต่างประเทศอาจเกิดจากการนำกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ แต่ก็ใช้คำที่คลุมเครือและระมัดระวังมาก โดยไม่ได้บอกตรงๆว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่ 3 ไม่มีความคืบหน้าที่จะสามารถระบุกลุ่มคนร้ายได้
“ดังนั้น รายละเอียดที่ดีเอสไอแถลงแสดงว่าคดี 89 ศพยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น ดีเอสไอเคยระบุว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตจากฝ่ายไหน เพราะไม่มีพยานมาให้ปากคำ แต่เท่าที่ทราบไม่แน่ใจว่าดีเอสไอโกหกหรือต้องการปกปิด เพราะดีเอสไอน่าจะมีข้อมูลและมีพยานที่ให้ปากคำแล้ว นอกจากความล่าช้าของดีเอสไอแล้วยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการทำงานที่ทำตามกระแส พอมีกระแสกดดันทีก็ออกมาขยับที แต่ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ดีเอสไอทำงานล่าช้าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในตัวเองด้วย”
อย่าลืมว่าดีเอสไอถือเป็นคู่กรณีในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และค่อนข้างมีบทบาทมาก โดยเฉพาะการออกมาพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ดังนั้น ถ้ามีการสอบสวนให้ชัดเจนแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่เป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิต ดีเอสไอก็ต้องมีส่วนในการรับผิดด้วยถ้ามีการฟ้องร้องกัน
ปัญหาภายในดีเอสไอ
ความจริงดีเอสไอยังมีปัญหาอื่นอีกมาก ที่สำคัญมากคือการรายงานผลการชันสูตรศพแก่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่เคยไปติดต่อยื่นเรื่องกับดีเอสไอเพื่อขอให้เปิดเผยรายงานการชันสูตรศพ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าได้รับรายงานมาบางส่วนแล้ว แต่ถ้าดูจากข้อมูลของตำรวจ การชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 89 ราย ดังนั้น ที่ดีเอสไอเคยรับปากว่าจะเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการส่งผลให้ ทั้งๆที่ญาติผู้เสียชีวิติมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรับรู้ว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร
“จริงๆแล้วการสอบสวนสาเหตุการตายทั้ง 89 ศพมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารแค่ไหนในการพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เช่น วัตถุก็ถูกทำลายไปมาก จะโดยจงใจและไม่จงใจก็ตาม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจงใจทำลายหลักฐานตั้งแต่ครั้งรณรงค์ให้คนมาทำความสะอาด เพราะไม่รู้ว่าหลักฐานอย่างรอยกระสุนนั้นยังอยู่ครบหรือไม่”
นายชัยธวัชยังชี้ว่า ถ้าคดีไม่คืบหน้าจะเกิดผลเสียต่อรัฐบาล เพราะสังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ไม่ใช่แค่สังคมไทย เพราะยังมีนักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและญาติก็มีการติดตามสอบถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะมีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีความยุติธรรมจริงและมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายที่เชื่อว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น
รัฐบาลบิดเบือนประเด็น
ส่วนการใช้ประเด็นความปรองดอง รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมานั้น นายชัยธวัชเห็นว่าเป็นการทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด ใครควรได้รับการลงโทษ แต่รัฐบาลกลับทำให้สังคมไขว้เขวไปเรื่องการปรองดองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งที่จะต้องทำให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฏก่อนจึงจะมีการปรองดอง
“ผมขอเตือนรัฐบาลว่าถ้าไม่ทำคดี 89 ศพให้มีความคืบหน้าและมีความชัดเจนก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตมีความโกรธแค้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อาจไม่ใช่ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาแบบรวดเร็วใหญ่โต แต่จะเป็นลักษณะที่สะสมไปเรื่อยๆ และผลกระทบนี้จะไม่กระทบแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อระบบระเบียบหรือโครงสร้างสังคมการเมืองไทยในระยะยาวด้วย”
ต้องเปลี่ยนผู้มีอำนาจ
นายชัยธวัชยืนยันว่า อุปสรรคสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ตั้งแต่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น จากการศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและการคลี่คลายความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คืออย่างน้อยคนที่อยู่ในอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงต้องพ้นไปจากอำนาจก่อน
“ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเปลี่ยนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่จะได้ความจริงจาก 89 ศพ เพราะรัฐบาลนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ และจะหวังให้ดีเอสไอสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาร์ค
ในตำรับตำราพิชัยสงคราม..มีอยู่คำ หนึ่ง..น่าจดจำ..“ต้องชนะก่อนถึงจะรบ”จอมจักรพรรดิ์นโปเลียน..พลาดไปแล้ว เมื่อนำทัพเข้าไปย่ำศึกในรัสเซีย..ฮิตเลอร์ผู้โหด เขลา..ก็ทำพลาดซ้ำสอง..มองไม่เห็นทางชนะยังเคลื่อนทัพ
ชนะแน่ๆ แต่ไม่ทำ...ประวัติศาสตร์สงคราม โลกครั้งที่ 2 จะพลิกโฉมทันที..หากทัพเยอรมัน และพันธมิตรทั้งหลายจะกรีธาทัพใหญ่..ข้ามมาช่องแคบเข้าสู่อังกฤษ..หรือปิดล้อมให้อ่อนแอ แล้วโจมตี
จิ้งจอกทะเลทรายอย่างรอมเมล กับกองทัพรถถังอันเกรียงไกรของเขา..จะวาง ตีนตะขาบทับมหาอำนาจแห่งท้องทะเล.. แทนที่จะไปหิวโหยอดตายอยู่ในทะเลทราย ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายสุดสุดของโลก
อังกฤษแตก..สิงโตถูกเด็ดหัว..2 อินทรีต่างทวีปจะรวมตัวกัน..เพราะอเมริกันส่วนหนึ่ง ยังจำสงครามปราบกบฏขององค์อลิซาเบธแห่ง บริเตนใหญ่ได้..ผีกระดูกมากมายย่อมจะร่าเริง ดีใจ..กับการล่มสลายของมหาอาณาจักร
แต่..เก่งแต่ปากอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์.. ผิดพลาด..แสนยานุภาพเป็นแค่ภาพหลอกตา.. ปราศจากการส่งกำลังบำรุง..กองทัพก็แค่..กอง วัสดุกับคนหนุ่มที่ป่วยจำนวนมหึมา..
ลากมาตั้งยาว..เพื่อที่จะถามว่า..ชนะแน่แล้วหรือ..จึงกล้าทรยศกับคำพูดของตน เองในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ..การเล่นเล่ห์เพทุบาย..เพื่อที่จะให้ผ่านไปแค่วันหนึ่ง วันหนึ่ง..แล้วหักหลังตลบกลับ..ไม่ว่าด้วยการยุบสภา..หรือว่าพรรคจะยุบก่อนหน้า..แบบนั้นแล้ว มาร์คจะเหลืออะไร..
มาร์คจะเสียทั้งประชาชนคนสนับสนุน ประชาธิปัตย์..มาร์คจะเสียการยอมรับจาก พรรคร่วมกลายเป็นคนมากเล่ห์เพทุบาย..ไร้ สัจจะ..ชวน หลีกภัย กับ บัญญัติ บรรทัดฐาน.. กระดูกสันหลังของพรรคประชาธิปัตย์.. เมื่อถูกหักดัดกลับถึงระดับนี้..แล้ว..สู้ปิดฝาโลงเดินลงหลุมด้วยตนเองไม่แกร่งกว่าหรือ..ให้ กุมารรุ่นลูกจูงจมูกประจานทั่วหล้า
แต่ที่สำคัญที่สุด และมาร์คต้องตอบให้ ได้ทั้งนั้น..ในตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารราชการ แผ่นดินนั้น อะไรสำคัญที่สุดสำหรับ..มาร์ค.. ระหว่าง..ชาติ ประชาธิปไตย และตนเอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------
ชนะแน่ๆ แต่ไม่ทำ...ประวัติศาสตร์สงคราม โลกครั้งที่ 2 จะพลิกโฉมทันที..หากทัพเยอรมัน และพันธมิตรทั้งหลายจะกรีธาทัพใหญ่..ข้ามมาช่องแคบเข้าสู่อังกฤษ..หรือปิดล้อมให้อ่อนแอ แล้วโจมตี
จิ้งจอกทะเลทรายอย่างรอมเมล กับกองทัพรถถังอันเกรียงไกรของเขา..จะวาง ตีนตะขาบทับมหาอำนาจแห่งท้องทะเล.. แทนที่จะไปหิวโหยอดตายอยู่ในทะเลทราย ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายสุดสุดของโลก
อังกฤษแตก..สิงโตถูกเด็ดหัว..2 อินทรีต่างทวีปจะรวมตัวกัน..เพราะอเมริกันส่วนหนึ่ง ยังจำสงครามปราบกบฏขององค์อลิซาเบธแห่ง บริเตนใหญ่ได้..ผีกระดูกมากมายย่อมจะร่าเริง ดีใจ..กับการล่มสลายของมหาอาณาจักร
แต่..เก่งแต่ปากอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์.. ผิดพลาด..แสนยานุภาพเป็นแค่ภาพหลอกตา.. ปราศจากการส่งกำลังบำรุง..กองทัพก็แค่..กอง วัสดุกับคนหนุ่มที่ป่วยจำนวนมหึมา..
ลากมาตั้งยาว..เพื่อที่จะถามว่า..ชนะแน่แล้วหรือ..จึงกล้าทรยศกับคำพูดของตน เองในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ..การเล่นเล่ห์เพทุบาย..เพื่อที่จะให้ผ่านไปแค่วันหนึ่ง วันหนึ่ง..แล้วหักหลังตลบกลับ..ไม่ว่าด้วยการยุบสภา..หรือว่าพรรคจะยุบก่อนหน้า..แบบนั้นแล้ว มาร์คจะเหลืออะไร..
มาร์คจะเสียทั้งประชาชนคนสนับสนุน ประชาธิปัตย์..มาร์คจะเสียการยอมรับจาก พรรคร่วมกลายเป็นคนมากเล่ห์เพทุบาย..ไร้ สัจจะ..ชวน หลีกภัย กับ บัญญัติ บรรทัดฐาน.. กระดูกสันหลังของพรรคประชาธิปัตย์.. เมื่อถูกหักดัดกลับถึงระดับนี้..แล้ว..สู้ปิดฝาโลงเดินลงหลุมด้วยตนเองไม่แกร่งกว่าหรือ..ให้ กุมารรุ่นลูกจูงจมูกประจานทั่วหล้า
แต่ที่สำคัญที่สุด และมาร์คต้องตอบให้ ได้ทั้งนั้น..ในตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารราชการ แผ่นดินนั้น อะไรสำคัญที่สุดสำหรับ..มาร์ค.. ระหว่าง..ชาติ ประชาธิปไตย และตนเอง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------
ทรพี..ทรพา?
นิทานปรัมปราบอกเล่าเก้าสิบถึงเรื่องราวของ “ทรพี ทรพา” ไว้ว่า..
เดิมที “ทรพา” เป็นยักษ์เฝ้าประตูวังชั้นในของ “พระอิศวร” ชื่อ “นนทกาล” แต่แอบหลง รักนางรับใช้ “พระอิศวร” จึงถูกสาปให้เกิดเป็น “ควายเผือก” ซึ่งจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อถูกลูกชายฆ่าตาย
“ทรพา” จึงได้ฆ่าลูกตัวผู้ของตนจนหมด มีนางควายตัวหนึ่งคลอดลูกออกมาเป็นกายสีดำ และตั้งชื่อให้ว่า “ทรพี” และฝากเทวดาช่วยเลี้ยง ดู เทวดาจึงมาสิงอยู่ในร่าง “ทรพี” 6 องค์ จนเติบใหญ่มีรอยเท้าเท่ากับพ่อ จึงได้ท้า “ทรพา” ผู้พ่อมาสู้กัน
สุดท้าย “ทรพี” เป็นฝ่ายชนะและฆ่า “ทรพา” ส่งผลให้ “ทรพา” พ้นคำสาปไปเป็นยักษ์เฝ้าประตูดังเดิม ภายหลัง “ทรพี” ต้องตายด้วยความคะนอง ในฤทธิ์ของตนเอง และไปท้า “พระอิศวร” มาสู้ “พระอิศวร” โกรธจึงสาปให้ไปสู้กับ “พาลี” และถูก “พาลี” ฆ่าตายและไปเกิดเป็นลูก “พญาขร” ชื่อว่า “มังกรกัณฐ์” และให้ตายอีกครั้งด้วย “ศรพระราม”
กระทั่งนิทานเรื่องนี้กลายเป็นที่มาของคำศัพท์ เชิงกระทบกระเทียบที่ว่า..“ลูกทรพี” ซึ่งหมาย ความว่า ..ลูกอกตัญญู ให้โทษแก่บิดา มารดา เช่นเดียวกับควายทรพี ที่ฆ่า พ่อของตน และคำว่า..“วัดรอย เท้า” ซึ่งหมายถึงคิดเปรียบเทียบ หรือคิดแข่งขันกับผู้มีคุณหรือผู้อาวุโสกว่า
จูนชุดความคิดกลับเข้าสู่ปริมณฑลการเมืองไทย เผอิญและบังเอิญเกิดปรากฏการณ์ “ชีวิตนักเลือกตั้ง เป็นดั่งนิทาน”เรื่องราวในวันวาน ก็มี “ทีมงานงูเห่า”...เมื่อไม่นานมานี้ก็มีวาทะหัก “เหลี่ยม”..“จบแล้วนาย”
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ขึ้นเมื่อไวๆ นี่เอง..นั่นก็คือสถานการณ์ความสัมพันธ์ ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับ “ม็อบพันธมิตรฯ” รวมไปถึงความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวระหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์” เจ้าเดิม กับ “นายหัวชวน หลีกภัย” และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน”
อันมีที่มาที่ไปมาจากต้นเรื่องคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราร้อน โดยไม่ผ่านการคัดกรอง ในชั้น “ประชามติ”
เป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น “บัญญัติ บรรทัดฐาน” วอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมพรรค ซึ่งเกี่ยวเนื่องมา จากคำขู่ที่ว่า..หากผู้ทรงเกียรติท่านใดทะลึ่งฟรีโหวตและโหวตสวน พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ส่งผู้ ทรงเกียรติท่านนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งที่พร้อมจะเกิด ขึ้นได้ในทุกสถานการณ์
แม้สองผู้เฒ่าจะผนึกกำลังต้าน แต่ก็มิอาจ ต้านทานผู้ถือสิทธิ์ขาดในการยุบสภาได้แม้แต่น้อย
และเป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น ม็อบพันธมิตรฯ หนึ่งในทีมงานที่ทำคลอด “รัฐบาลเทพประทาน” และปลุกปั้น “อภิสิทธิ์” ขึ้นมา เป็นนายกฯ ต้องเฮโลลงถนนออกมาคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “เตี้ยอุ้มห้อย” ในรอบนี้
หักหาญน้ำใจผู้มีอุปการคุณอย่างรุนแรงและมีนัยซ่อนเร้น ที่เผอิญสอดรับกับข่าวลือที่ดังออกมาจาก “เนวินกรุ๊ป” และ “ทักษิณ ชินวัตร”
ว่ากันว่า ถึงขั้นอาจมีงานพักรบเพื่อ พบรักเป็นการเฉพาะกิจ ในกรณีที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” บิดพลิ้วไม่แก้รัฐธรรมนูญ อาจมีการเขี่ย ลูกให้ “ปู่ชัย ชิดชอบ” หยิบ “รัฐธรรมนูญฉบับเหวงๆ” ที่คาอยู่ในสภาขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน โดยมีหมัด เด็ดสอดไส้ติดดาบวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจแนบเข้า ไปอีกหนึ่งขยัก
ล็อกเป้าตัดตอนอำนาจยุบสภาให้หลุดออกจาก มือ “เด็กดื้อ” และปล่อยให้ประชาธิปัตย์ไปวัดดวง บนชั้นศาลรัฐธรรมนูญในวันที่คลิปฉาวกำลังว่อนเน็ต
จากคำร่ำลือดังกล่าว จึงกลายเป็นที่มาของคำถามใน 2 สมมติฐาน...ตกลงความบาดหมางระหว่าง “เด็กดื้อ” กับ “ผู้มีอุปการคุณ” อันมีต้นเรื่องจาก การแก้รัฐธรรมนูญ นั่นเป็น “เรื่องจริง” หรือ “จำอวดระดับออสการ์”
จะ “จริง จริง เท็จ เท็จ” หรือ “เท็จ เท็จ จริง จริง” ก็ดี แต่มันก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงคำถามระดับมหาชนว่า..สิ่งที่นักเลือกตั้งกำลังเล่นเกม แก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้..ประชาชนนั้นได้อะไรบ้าง??? อนิจจา นักเลือกตั้งสวมบท “ทรพี-ทรพา” เดินสวนสนามบนความไว้วางใจของประชาชนกันอย่างสนุกสนาน.. การเมือง น้ำเน่าอันฟอนเฟะยังเป็นนิรันดร์ คู่ฟ้าประเทศไทย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------
เดิมที “ทรพา” เป็นยักษ์เฝ้าประตูวังชั้นในของ “พระอิศวร” ชื่อ “นนทกาล” แต่แอบหลง รักนางรับใช้ “พระอิศวร” จึงถูกสาปให้เกิดเป็น “ควายเผือก” ซึ่งจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อถูกลูกชายฆ่าตาย
“ทรพา” จึงได้ฆ่าลูกตัวผู้ของตนจนหมด มีนางควายตัวหนึ่งคลอดลูกออกมาเป็นกายสีดำ และตั้งชื่อให้ว่า “ทรพี” และฝากเทวดาช่วยเลี้ยง ดู เทวดาจึงมาสิงอยู่ในร่าง “ทรพี” 6 องค์ จนเติบใหญ่มีรอยเท้าเท่ากับพ่อ จึงได้ท้า “ทรพา” ผู้พ่อมาสู้กัน
สุดท้าย “ทรพี” เป็นฝ่ายชนะและฆ่า “ทรพา” ส่งผลให้ “ทรพา” พ้นคำสาปไปเป็นยักษ์เฝ้าประตูดังเดิม ภายหลัง “ทรพี” ต้องตายด้วยความคะนอง ในฤทธิ์ของตนเอง และไปท้า “พระอิศวร” มาสู้ “พระอิศวร” โกรธจึงสาปให้ไปสู้กับ “พาลี” และถูก “พาลี” ฆ่าตายและไปเกิดเป็นลูก “พญาขร” ชื่อว่า “มังกรกัณฐ์” และให้ตายอีกครั้งด้วย “ศรพระราม”
กระทั่งนิทานเรื่องนี้กลายเป็นที่มาของคำศัพท์ เชิงกระทบกระเทียบที่ว่า..“ลูกทรพี” ซึ่งหมาย ความว่า ..ลูกอกตัญญู ให้โทษแก่บิดา มารดา เช่นเดียวกับควายทรพี ที่ฆ่า พ่อของตน และคำว่า..“วัดรอย เท้า” ซึ่งหมายถึงคิดเปรียบเทียบ หรือคิดแข่งขันกับผู้มีคุณหรือผู้อาวุโสกว่า
จูนชุดความคิดกลับเข้าสู่ปริมณฑลการเมืองไทย เผอิญและบังเอิญเกิดปรากฏการณ์ “ชีวิตนักเลือกตั้ง เป็นดั่งนิทาน”เรื่องราวในวันวาน ก็มี “ทีมงานงูเห่า”...เมื่อไม่นานมานี้ก็มีวาทะหัก “เหลี่ยม”..“จบแล้วนาย”
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ขึ้นเมื่อไวๆ นี่เอง..นั่นก็คือสถานการณ์ความสัมพันธ์ ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กับ “ม็อบพันธมิตรฯ” รวมไปถึงความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวระหว่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์” เจ้าเดิม กับ “นายหัวชวน หลีกภัย” และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน”
อันมีที่มาที่ไปมาจากต้นเรื่องคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราร้อน โดยไม่ผ่านการคัดกรอง ในชั้น “ประชามติ”
เป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น “บัญญัติ บรรทัดฐาน” วอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมพรรค ซึ่งเกี่ยวเนื่องมา จากคำขู่ที่ว่า..หากผู้ทรงเกียรติท่านใดทะลึ่งฟรีโหวตและโหวตสวน พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ส่งผู้ ทรงเกียรติท่านนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งที่พร้อมจะเกิด ขึ้นได้ในทุกสถานการณ์
แม้สองผู้เฒ่าจะผนึกกำลังต้าน แต่ก็มิอาจ ต้านทานผู้ถือสิทธิ์ขาดในการยุบสภาได้แม้แต่น้อย
และเป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้น ม็อบพันธมิตรฯ หนึ่งในทีมงานที่ทำคลอด “รัฐบาลเทพประทาน” และปลุกปั้น “อภิสิทธิ์” ขึ้นมา เป็นนายกฯ ต้องเฮโลลงถนนออกมาคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “เตี้ยอุ้มห้อย” ในรอบนี้
หักหาญน้ำใจผู้มีอุปการคุณอย่างรุนแรงและมีนัยซ่อนเร้น ที่เผอิญสอดรับกับข่าวลือที่ดังออกมาจาก “เนวินกรุ๊ป” และ “ทักษิณ ชินวัตร”
ว่ากันว่า ถึงขั้นอาจมีงานพักรบเพื่อ พบรักเป็นการเฉพาะกิจ ในกรณีที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” บิดพลิ้วไม่แก้รัฐธรรมนูญ อาจมีการเขี่ย ลูกให้ “ปู่ชัย ชิดชอบ” หยิบ “รัฐธรรมนูญฉบับเหวงๆ” ที่คาอยู่ในสภาขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน โดยมีหมัด เด็ดสอดไส้ติดดาบวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจแนบเข้า ไปอีกหนึ่งขยัก
ล็อกเป้าตัดตอนอำนาจยุบสภาให้หลุดออกจาก มือ “เด็กดื้อ” และปล่อยให้ประชาธิปัตย์ไปวัดดวง บนชั้นศาลรัฐธรรมนูญในวันที่คลิปฉาวกำลังว่อนเน็ต
จากคำร่ำลือดังกล่าว จึงกลายเป็นที่มาของคำถามใน 2 สมมติฐาน...ตกลงความบาดหมางระหว่าง “เด็กดื้อ” กับ “ผู้มีอุปการคุณ” อันมีต้นเรื่องจาก การแก้รัฐธรรมนูญ นั่นเป็น “เรื่องจริง” หรือ “จำอวดระดับออสการ์”
จะ “จริง จริง เท็จ เท็จ” หรือ “เท็จ เท็จ จริง จริง” ก็ดี แต่มันก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงคำถามระดับมหาชนว่า..สิ่งที่นักเลือกตั้งกำลังเล่นเกม แก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้..ประชาชนนั้นได้อะไรบ้าง??? อนิจจา นักเลือกตั้งสวมบท “ทรพี-ทรพา” เดินสวนสนามบนความไว้วางใจของประชาชนกันอย่างสนุกสนาน.. การเมือง น้ำเน่าอันฟอนเฟะยังเป็นนิรันดร์ คู่ฟ้าประเทศไทย!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------
คลิป‘พสิษฐ์’มีนัยแฝงเพื่อไทยผวาทหารเตรียมกำลังเต็มอัตราศึก
โฆษกเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตคลิป “พสิษฐ์” โผล่ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีนัยสำคัญทางการเมือง ไม่เชื่อเป็นผู้เสียสละเพื่อความถูกต้อง ชี้อาจร่วมมือกันเป็นกระบวนการเพื่อเป้าหมายบางอย่าง สงสัยทำไมต้องสั่งกำลังทหาร ตำรวจเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก ด้านหมอดูดังชี้ผลของคดีจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย ระบุ 2 ปีจากนี้จะไม่มีเลือกตั้ง โดยทหารจะเข้าคุมอำนาจในบ้านเมือง ทีมกฎหมายประชาธิปัตย์พูดเป็นนัยผลการลงมติจะออกมาเป็นเอกฉันท์ไม่ 4 ต่อ 2 ก็ 5 ต่อ 1 เสียง เลขาฯการเมืองใหม่เชื่อคนในศาลปล่อยข่าวมติ 3 ต่อ 3 เสียง มั่นใจมีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของ “พสิษฐ์” แน่
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
************************************
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
************************************
จับตาคดียุบพรรค ปชป. 6 เสียงตุลาการไม่ธรรมดา
29 พ.ย. ลุ้นคะแนนเสมอ?
ธรรมดาเสียที่ไหน กับการที่นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีหนังสือขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
เพราะเป็นการยื่นหนังสือในวันที่วันที่ 26 พ.ย. หรือเพียงแค่ 3 วัน ก่อนการแถลงปิดคดีด้วยวาจา และการตัดสินคดี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้แล้ว
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึงเหตุผลในการขอถอนตัวในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะได้มีการฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว
ซึ่ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่น อันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงอนุญาตให้นายจรูญ อินทจาร ถอนตัว
ส่วนนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว
นั่นย่อมหมายความว่าหลังจากที่นายจรูญถอนตัว จะทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต
เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวไปก่อนแล้ว
จึงต้องถือว่าคดีนี้ไม่ใช่แค่เป็นคดีที่ลากยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นคดีที่ส่งผลหรือสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดกับศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก เพราะสังคมมองภาพด้วยสายตาขงอคนภายนอกแล้ว ล้วนเกิดความสงสัยว่า
อะไรกันนักกันหนา!!!
เพราะหากเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองอื่นๆในอดีตที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่รวดเร็ว ม้วนเดียวจบง่ายๆทั้งสิ้น
ไม่เคยมีคลิปลับ ไม่เคยมีการขอถอนตัวเช่นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้เลย จนทำให้มีการจับตามองกันเป็นอย่างมากว่า แล้วหลัจากนี้จะเป็นอย่างไร
เพราะทันทีที่เกิดการถอนตัวของนายจรูญ แม้แต่ในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีการพูดกันกระหึ่มออกมาในทำนองว่า ขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวว่า การอ่านคำแถลงปิดคดียุบ ปชป. ด้วยวาจากรณีใช้กองทุนพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่คาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำตัดสินไปในวันเดียวกัน
ซึ่งผลการตัดสินน่าจะออกมาว่า ปชป.ถูกยุบ
ส่วนหนึ่งสังเกตุจากการที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างผิดปกติ รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าโบรกเกอร์บางรายที่สนิทสนมกับนักการเมืองต้องโทร.มาเช็คข่าวจากคนในรัฐบาลกันอุตลุดไปหมด
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข่าวลือภายในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งหลุดปากกับคนใกล้ชิดว่าจะยุบ ปชป.พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหาร ปชป. 4 คน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้า ปชป. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการ ปชป. และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการ ปชป.
อย่างไรก็ตามมีกระแสสวนกลับด้วยเช่นกันว่าโอกาสที่ ปชป.จะถูกยุบพรรคนั้น มาในขณะนี้เหลือเพียงแต่ 40% เท่านั้น หลังจากที่เหลือตุลาการรัฐธรรมนูญทำหน้าที่พิจารณาคดีนี้เพียงแค่ 6 คนเท่านั้น
นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้มีการแสดงความคิดเห็นด้วยความเป็นห่วงว่าการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างน้อยคงต้องถูกตั้งคำถามจากสาธารณชน เนื่องจากว่าความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยคดีก็ต้องอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล
แต่ครั้งนี้ เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของตัวตุลาการ เพราะมีปัญหากับเรื่องคลิปและความน่าเชื่อถือที่สาธารณชน และคดีนี้เป็น คดีสำคัญเกี่ยวข้องกับการเมืองที่เป็นปัญหาหลักอยู่ภายในขณะนี้
“ผมเรียนด้วยความเป็นห่วงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องวินิจฉัยคดีให้ดี ในที่นี้คือวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมา ต้องมีเหตุผลสนับสนุนอย่างหนักแน่นมั่นคง ถ้าการวินิจฉัยของศาลเป็นการวินิจฉัยที่ดีแล้ว อย่างน้อยความไม่น่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในกรณีของคลิปก็อาจจะได้กู้คืนกลับมาได้บ้าง แต่ถ้าคำวินิจฉัยออกมาไม่ดีไม่เหมาะไม่มีเหตุผล ตุลาการจะเจอกับวิกฤตหนักกว่าเรื่องคลิปอีก”
ซึ่งประเด็นที่มีการตั้งคำถามกันมาก ก็คือ หากมติของคณะตุลาการ 6 คน ออกมาเป็น 3 ต่อ 3 เสียง หรือเท่ากันระหว่างยุบกับไม่ยุบพรรค แล้วจะเดินกันต่อไปอย่างไร???
เพราะนายวิรัตน์ กัลยาศิริ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีการออกตัวว่า การขอถอนตัวของนายจรูญ อินทจาร คงไม่มีผลต่อการตัดสิน เนื่องจากคณะตุลาการฯที่เหลืออีก 6 คน สามารถทำหน้าที่ได้ สามารถให้คำวินิจฉัยได้
เพราะตามกฎหมายระบุว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลถูกต้อง เมื่อมีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 5 คน
ฉะนั้นหากตุลาการรัฐธรรมนูญมีความพร้อม ก็สามารถที่จะตัดสินในวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องหาตุลาการมาทดแทน
นั่นแปลว่าว่าหากจะต้องมีการหาตุลาการมาทดแทน นอกจากจะไม่ใช่เรื่อง่ายในการที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ ยังจะต้องมีการใช้ระยะเวลาด้วย ซึ่งจะมีการยืดคดีนี้ออกไปอีกด้วยหรือไม่???
นี่จึงเป็นเหตุให้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน มีการพูดเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กระหึ่มไปทั้งเมือง และมีการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาไปต่างๆนาๆ
แต่หากดูความนิ่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับแผนรองรับต่อการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณายุบพรรคว่า ยังไม่ทราบ
“ถ้าศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิดเรา ก็เดินหน้าทำงานต่อ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิดเราก็ต้องดูว่าศาลตัดสินลงโทษใครอย่างไร เราก็ต้องยอมรับการตัดสิน คนที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องหมดสิทธิ์ไป คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องตัดสินใจอนาคตทางการเมือง แต่มั่นใจว่าสมาชิกพรรคที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ก็ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงานในทางการเมืองต่อไป”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า กรณีการตัดสินคดียุบพรรคหากฝ่ายบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งไป คนถูกตัดสิทธิ์ก็ยังมีกลไกของรัฐสภาก็ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ และดำเนินการต่อไป ทุกคนต้องยอมรับกติกา
ท่าทีที่นิ่งของนายอภิสิทธิ์ และการที่ทีมสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมแม้แต่กระทั่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเชื่อมั่นมากๆ ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เรื่องนี้สุดท้ายน่าจะออกมาเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์จริงๆหรือไม่???
และในแง่ที่ขณะนี้ จำนวนเสียงของตุลาการพิจารณษคดีนี้ เกิดเป็นเลขคู่ หลังจากมีการถอนตัวนั้น หากว่าเกิดฟลุ๊ก การลงคะแนนเสียงออกมาเท่ากัน อะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่ในมุมของนักกฎหมายยังมองไม่ตรงกัน
มุมหนึ่งมองว่า หากเสียงเท่ากัน ก็ต้องมีการย้อนกลับไปสรรหาแต่งตั้งตุลาการขึ้นมาทดแทนใหม่ ให้มีเสียงที่สามารถตัดสินชี้ขาดได้โดยไม่มีการเสมอกันอีก
แต่แน่นอนว่าวิธีการเช่นนี้ย่อมต้องใช้เวลา อันจะมีผลให้การตัดสินคดีต้องขยับออกไปอีก
ขณะเดียวกันก็มีมุมมองในทำนองที่ว่า ตามหลักกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหา ต้องถือว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ผิด ฉะนั้นหากไม่สามารถตัดสินได้ว่าผิดชัดเจน ก็ย่อมต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
ดังนั้นกรณีนี้ หากเสียงลงมติออกมาเสมอกัน ก็ควรยกประโยชน์ให้จำเลยไป !!!
ฉะนั้นจนถึงวินาทีนี้ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องจับตาและลุ้นกันสุดชีวิตจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------------
ธรรมดาเสียที่ไหน กับการที่นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีหนังสือขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
เพราะเป็นการยื่นหนังสือในวันที่วันที่ 26 พ.ย. หรือเพียงแค่ 3 วัน ก่อนการแถลงปิดคดีด้วยวาจา และการตัดสินคดี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้แล้ว
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึงเหตุผลในการขอถอนตัวในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะได้มีการฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว
ซึ่ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่น อันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงอนุญาตให้นายจรูญ อินทจาร ถอนตัว
ส่วนนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว
นั่นย่อมหมายความว่าหลังจากที่นายจรูญถอนตัว จะทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต
เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวไปก่อนแล้ว
จึงต้องถือว่าคดีนี้ไม่ใช่แค่เป็นคดีที่ลากยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นคดีที่ส่งผลหรือสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดกับศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก เพราะสังคมมองภาพด้วยสายตาขงอคนภายนอกแล้ว ล้วนเกิดความสงสัยว่า
อะไรกันนักกันหนา!!!
เพราะหากเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองอื่นๆในอดีตที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่รวดเร็ว ม้วนเดียวจบง่ายๆทั้งสิ้น
ไม่เคยมีคลิปลับ ไม่เคยมีการขอถอนตัวเช่นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้เลย จนทำให้มีการจับตามองกันเป็นอย่างมากว่า แล้วหลัจากนี้จะเป็นอย่างไร
เพราะทันทีที่เกิดการถอนตัวของนายจรูญ แม้แต่ในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีการพูดกันกระหึ่มออกมาในทำนองว่า ขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวว่า การอ่านคำแถลงปิดคดียุบ ปชป. ด้วยวาจากรณีใช้กองทุนพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่คาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำตัดสินไปในวันเดียวกัน
ซึ่งผลการตัดสินน่าจะออกมาว่า ปชป.ถูกยุบ
ส่วนหนึ่งสังเกตุจากการที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างผิดปกติ รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าโบรกเกอร์บางรายที่สนิทสนมกับนักการเมืองต้องโทร.มาเช็คข่าวจากคนในรัฐบาลกันอุตลุดไปหมด
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข่าวลือภายในแวดวงพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งหลุดปากกับคนใกล้ชิดว่าจะยุบ ปชป.พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหาร ปชป. 4 คน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้า ปชป. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการ ปชป. และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการ ปชป.
อย่างไรก็ตามมีกระแสสวนกลับด้วยเช่นกันว่าโอกาสที่ ปชป.จะถูกยุบพรรคนั้น มาในขณะนี้เหลือเพียงแต่ 40% เท่านั้น หลังจากที่เหลือตุลาการรัฐธรรมนูญทำหน้าที่พิจารณาคดีนี้เพียงแค่ 6 คนเท่านั้น
นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้มีการแสดงความคิดเห็นด้วยความเป็นห่วงว่าการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างน้อยคงต้องถูกตั้งคำถามจากสาธารณชน เนื่องจากว่าความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยคดีก็ต้องอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล
แต่ครั้งนี้ เหมือนกับเป็นคราวเคราะห์ของตัวตุลาการ เพราะมีปัญหากับเรื่องคลิปและความน่าเชื่อถือที่สาธารณชน และคดีนี้เป็น คดีสำคัญเกี่ยวข้องกับการเมืองที่เป็นปัญหาหลักอยู่ภายในขณะนี้
“ผมเรียนด้วยความเป็นห่วงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องวินิจฉัยคดีให้ดี ในที่นี้คือวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมา ต้องมีเหตุผลสนับสนุนอย่างหนักแน่นมั่นคง ถ้าการวินิจฉัยของศาลเป็นการวินิจฉัยที่ดีแล้ว อย่างน้อยความไม่น่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในกรณีของคลิปก็อาจจะได้กู้คืนกลับมาได้บ้าง แต่ถ้าคำวินิจฉัยออกมาไม่ดีไม่เหมาะไม่มีเหตุผล ตุลาการจะเจอกับวิกฤตหนักกว่าเรื่องคลิปอีก”
ซึ่งประเด็นที่มีการตั้งคำถามกันมาก ก็คือ หากมติของคณะตุลาการ 6 คน ออกมาเป็น 3 ต่อ 3 เสียง หรือเท่ากันระหว่างยุบกับไม่ยุบพรรค แล้วจะเดินกันต่อไปอย่างไร???
เพราะนายวิรัตน์ กัลยาศิริ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีการออกตัวว่า การขอถอนตัวของนายจรูญ อินทจาร คงไม่มีผลต่อการตัดสิน เนื่องจากคณะตุลาการฯที่เหลืออีก 6 คน สามารถทำหน้าที่ได้ สามารถให้คำวินิจฉัยได้
เพราะตามกฎหมายระบุว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลถูกต้อง เมื่อมีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 5 คน
ฉะนั้นหากตุลาการรัฐธรรมนูญมีความพร้อม ก็สามารถที่จะตัดสินในวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องหาตุลาการมาทดแทน
นั่นแปลว่าว่าหากจะต้องมีการหาตุลาการมาทดแทน นอกจากจะไม่ใช่เรื่อง่ายในการที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ ยังจะต้องมีการใช้ระยะเวลาด้วย ซึ่งจะมีการยืดคดีนี้ออกไปอีกด้วยหรือไม่???
นี่จึงเป็นเหตุให้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน มีการพูดเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กระหึ่มไปทั้งเมือง และมีการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาไปต่างๆนาๆ
แต่หากดูความนิ่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับแผนรองรับต่อการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณายุบพรรคว่า ยังไม่ทราบ
“ถ้าศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิดเรา ก็เดินหน้าทำงานต่อ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิดเราก็ต้องดูว่าศาลตัดสินลงโทษใครอย่างไร เราก็ต้องยอมรับการตัดสิน คนที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องหมดสิทธิ์ไป คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องตัดสินใจอนาคตทางการเมือง แต่มั่นใจว่าสมาชิกพรรคที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ก็ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงานในทางการเมืองต่อไป”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า กรณีการตัดสินคดียุบพรรคหากฝ่ายบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งไป คนถูกตัดสิทธิ์ก็ยังมีกลไกของรัฐสภาก็ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ และดำเนินการต่อไป ทุกคนต้องยอมรับกติกา
ท่าทีที่นิ่งของนายอภิสิทธิ์ และการที่ทีมสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมแม้แต่กระทั่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความเชื่อมั่นมากๆ ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เรื่องนี้สุดท้ายน่าจะออกมาเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์จริงๆหรือไม่???
และในแง่ที่ขณะนี้ จำนวนเสียงของตุลาการพิจารณษคดีนี้ เกิดเป็นเลขคู่ หลังจากมีการถอนตัวนั้น หากว่าเกิดฟลุ๊ก การลงคะแนนเสียงออกมาเท่ากัน อะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่ในมุมของนักกฎหมายยังมองไม่ตรงกัน
มุมหนึ่งมองว่า หากเสียงเท่ากัน ก็ต้องมีการย้อนกลับไปสรรหาแต่งตั้งตุลาการขึ้นมาทดแทนใหม่ ให้มีเสียงที่สามารถตัดสินชี้ขาดได้โดยไม่มีการเสมอกันอีก
แต่แน่นอนว่าวิธีการเช่นนี้ย่อมต้องใช้เวลา อันจะมีผลให้การตัดสินคดีต้องขยับออกไปอีก
ขณะเดียวกันก็มีมุมมองในทำนองที่ว่า ตามหลักกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหา ต้องถือว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ผิด ฉะนั้นหากไม่สามารถตัดสินได้ว่าผิดชัดเจน ก็ย่อมต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
ดังนั้นกรณีนี้ หากเสียงลงมติออกมาเสมอกัน ก็ควรยกประโยชน์ให้จำเลยไป !!!
ฉะนั้นจนถึงวินาทีนี้ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องจับตาและลุ้นกันสุดชีวิตจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------------
เปิดศึก 4 ด้าน..!!!
อย่ากะพริบตา วันจันทร์นี้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์คงจะรู้ชัดว่าออกหัวหรือก้อย
เดิมทีศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายให้เป็นวันที่ทั้งฝ่ายโจทก์คือกกต.และจำเลยคือพรรคประชาธิปัตย์แถลงปิดคดี
แต่กระแสข่าวในช่วง 2-3 วันมานี้ คาดการณ์กันว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยทันที
ต้องลุ้นกันระทึกว่าจะยุบหรือไม่ยุบ!?
จะตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดหรือว่าแค่บางส่วน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหรือไม่
ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตของนายกฯมาร์คจริงๆ
ปัญหารุมเร้ามาตลอด นับจากการสลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน เป็นเหมือนตราบาป โดนม็อบแดงตามกดดันให้รับผิดชอบมาตลอด 6 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะดุเดือดยิ่งขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.นี้ไปจนถึงปีใหม่
ก็เพราะความ 2 มาตรฐานนั่นเอง!
การโหวตร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปหมาดๆ ก็เป็นไปแบบกระท่อนกระแท่น อลหม่าน
ม็อบที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันมาจนได้เป็นรัฐบาล กลับแว้งใส่กันเอง
เพียงเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว!?
นายกฯมาร์คคงไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
โดนศาสดาม็อบผู้มีพระคุณเล่นงานเข้าให้บ้าง
คำชื่นชมรื่นหูกลายเป็นคำก่นด่าสาปแช่ง
ความสัมพันธ์กับกองทัพก็ไม่เหมือนเดิม ไม่กลมเกลียวเหมือนเมื่อครั้งที่จัดตั้งรัฐบาลกันใน 'ราบ 11'
ความเหินห่างสะสมมาพอสมควร
และรุนแรงขึ้นเมื่อนายกฯมาร์คออกมายอมรับเรื่องที่ประชุมบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีการหารือกันเรื่องจะมีปฏิวัติในเร็วๆ นี้
บรรดาผบ.เหล่าทัพต้องออกมายืนกรานเสียงแข็งว่าไม่มีปฏิวัติแน่ๆ
ระหองระแหงกันเรื่อยมาจนล่าสุดคำสั่งศอฉ.ห้ามขายรองเท้าแตะหน้ามาร์ค
เบรกกันไปกันมาระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ
ยังมีเรื่องเก่าความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยที่กลายเป็นเรื้อรังไปแล้ว
ถึงเวลานี้นายกฯมาร์คต้องทำใจ ยอมรับสภาพ หน้าตาเลยดูหมองๆ ไปเยอะ
ผิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ดูผุดผ่องมีราศี ท่ามกลางกระแสข่าวคั่วนายกฯสำรอง
ว่าไปแล้วนายสุเทพอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากเกิดมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาจริงๆ
องค์ประกอบต่างๆ ก็เอื้ออำนวย เป็นส.ส. ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค
ยิ่งความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาล-กองทัพก็ยังแน่นแฟ้น
สมมติว่าพรรคประชาธิปัตย์เกิดปาฏิหาริย์ รอดจากการยุบพรรคขึ้นมาจริงๆ
แต่เก้าอี้นายกฯของนายอภิสิทธิ์ คงไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เพราะเปิดศึก 4 ด้าน
'แดง-เหลือง-เขียว-น้ำเงิน'นัวเนียกันไปหมด
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน สมิงสามผลัด
------------------------------------------------------
เดิมทีศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายให้เป็นวันที่ทั้งฝ่ายโจทก์คือกกต.และจำเลยคือพรรคประชาธิปัตย์แถลงปิดคดี
แต่กระแสข่าวในช่วง 2-3 วันมานี้ คาดการณ์กันว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยทันที
ต้องลุ้นกันระทึกว่าจะยุบหรือไม่ยุบ!?
จะตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดหรือว่าแค่บางส่วน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหรือไม่
ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤตของนายกฯมาร์คจริงๆ
ปัญหารุมเร้ามาตลอด นับจากการสลายม็อบแดงจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน เป็นเหมือนตราบาป โดนม็อบแดงตามกดดันให้รับผิดชอบมาตลอด 6 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะดุเดือดยิ่งขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.นี้ไปจนถึงปีใหม่
ก็เพราะความ 2 มาตรฐานนั่นเอง!
การโหวตร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปหมาดๆ ก็เป็นไปแบบกระท่อนกระแท่น อลหม่าน
ม็อบที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันมาจนได้เป็นรัฐบาล กลับแว้งใส่กันเอง
เพียงเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว!?
นายกฯมาร์คคงไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร
โดนศาสดาม็อบผู้มีพระคุณเล่นงานเข้าให้บ้าง
คำชื่นชมรื่นหูกลายเป็นคำก่นด่าสาปแช่ง
ความสัมพันธ์กับกองทัพก็ไม่เหมือนเดิม ไม่กลมเกลียวเหมือนเมื่อครั้งที่จัดตั้งรัฐบาลกันใน 'ราบ 11'
ความเหินห่างสะสมมาพอสมควร
และรุนแรงขึ้นเมื่อนายกฯมาร์คออกมายอมรับเรื่องที่ประชุมบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีการหารือกันเรื่องจะมีปฏิวัติในเร็วๆ นี้
บรรดาผบ.เหล่าทัพต้องออกมายืนกรานเสียงแข็งว่าไม่มีปฏิวัติแน่ๆ
ระหองระแหงกันเรื่อยมาจนล่าสุดคำสั่งศอฉ.ห้ามขายรองเท้าแตะหน้ามาร์ค
เบรกกันไปกันมาระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ
ยังมีเรื่องเก่าความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยที่กลายเป็นเรื้อรังไปแล้ว
ถึงเวลานี้นายกฯมาร์คต้องทำใจ ยอมรับสภาพ หน้าตาเลยดูหมองๆ ไปเยอะ
ผิดกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ดูผุดผ่องมีราศี ท่ามกลางกระแสข่าวคั่วนายกฯสำรอง
ว่าไปแล้วนายสุเทพอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หากเกิดมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาจริงๆ
องค์ประกอบต่างๆ ก็เอื้ออำนวย เป็นส.ส. ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค
ยิ่งความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาล-กองทัพก็ยังแน่นแฟ้น
สมมติว่าพรรคประชาธิปัตย์เกิดปาฏิหาริย์ รอดจากการยุบพรรคขึ้นมาจริงๆ
แต่เก้าอี้นายกฯของนายอภิสิทธิ์ คงไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เพราะเปิดศึก 4 ด้าน
'แดง-เหลือง-เขียว-น้ำเงิน'นัวเนียกันไปหมด
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน สมิงสามผลัด
------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ละคร....!!!???
และแล้วละครลวงโลก...การจัดฉากสร้างเรื่องราว...ก็ต้องมีอันเป็นไป
รู้กันทั้งนั้นว่า...ประชาธิปัตย์และชาวประชาธิปัตย์...ไม่ปรารถนาที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่อง
การเลือกตั้ง...แบบวันแมนวันโหวต...หรือเขตเล็ก
เบอร์เดียว
เพราะประชาธิปัตย์นั้น...เป็นพรรคนามธรรม...กล่าวคือสามารถเอาชื่อพรรคเป็นใบเบิกทางหาเสียงได้...อดีตที่ย้อนหลังไปได้ถึง 60 ปี...ในฐานะพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย...อดีตที่ได้ต่อสู้กันมาอย่างโชกโชนกับอำนาจเผด็จการ...ทำให้คนไทยหัวใจประชาธิปไตย รับเอาประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของเขาในทุกครั้งที่ต้องเข้าคูหาหย่อนบัตร
จะกี่ปีของการเป็นพรรคฝ่ายค้าน...นานแค่ไหนของการรอคอยความวิบัติของจอมเผด็จการทั้งหลาย...แต่ประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยน...ความเป็นประชาธิปัตย์...
กระทั่งถึงยุค...ไม้ผลัดใบ
ประชาธิปัตย์...เปลี่ยนไปมากมายเหลือเชื่อ...ประชาธิปัตย์กลมเกลียวกับกองทัพและสั่งการให้ทหารออกมาเข่นฆ่าประชาชนอย่างคาดไม่ได้คิดไม่ถึง
ผู้นำยุคใหม่...ปิดซอยทั้งซอย...เพื่อความปลอดภัย...โดยไม่ใส่ใจกับเสียงร้องของผู้อยู่อาศัยและการทำมาหากินของเพื่อนบ้าน
เราได้ศรีธนญชัยตัวพ่อ...หล่อแต่กินไม่ได้..
พูดอย่างอธิบายไปอีกอย่าง...เป็นครั้งแรก
ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์..ที่..สิ่งศักดิ์สิทธิ์..ทวงถามเรื่องรัฐบาลโกงกิน
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น..มันก็ยังไม่น่าเวทนาเท่ากับการ..
สร้างละครลวงโลกขึ้นมา..หรือคอนเสิร์ต..ต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ยอมย่ำยีความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย..ที่ห้ามชุมนุมกันในทางการเมือง..สร้างดับเบิ้ลสแตนดาร์ด..สีหนึ่ง
ทำได้แต่อีกสีหนึ่งทำไม่ได้..แยกคนไทย ออกจากคนไทย..ฯลฯ
พรรคร่วมผนึกกัน..เลือกตั้งคราวหน้าให้เป็นเขตเล็กเบอร์เดียว..เพื่อจะยังมีเก้าอี้ผู้แทนประดับพรรค..ประชาธิปัตย์ปฏิเสธ..ก็อาจจะโดนหักหลังในวัน
อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สามารถอยู่ได้และผ่านศึกไม่ไว้วางใจแบบผู้ชนะ
ละครลวงโลกจึงถูกสร้างขึ้นมา..พันธมิตรฯ กับ
ไม้ผลัดใบ
พรรคร่วมอาจจะเชื่อ..ว่าประชาธิปัตย์จริงใจอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ..แต่ประชาชนคนเสื้อเหลืองกลับปฏิเสธมหกรรมลวงโลกครั้งนี้
ท่านอาจจะหลอกลวงใครบางคนได้ในบางครั้ง แต่จะหลอกลวงทุกๆ คนไม่ได้ในทุกๆ ครั้ง
โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้ทูเดย์ ,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รู้กันทั้งนั้นว่า...ประชาธิปัตย์และชาวประชาธิปัตย์...ไม่ปรารถนาที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่อง
การเลือกตั้ง...แบบวันแมนวันโหวต...หรือเขตเล็ก
เบอร์เดียว
เพราะประชาธิปัตย์นั้น...เป็นพรรคนามธรรม...กล่าวคือสามารถเอาชื่อพรรคเป็นใบเบิกทางหาเสียงได้...อดีตที่ย้อนหลังไปได้ถึง 60 ปี...ในฐานะพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย...อดีตที่ได้ต่อสู้กันมาอย่างโชกโชนกับอำนาจเผด็จการ...ทำให้คนไทยหัวใจประชาธิปไตย รับเอาประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของเขาในทุกครั้งที่ต้องเข้าคูหาหย่อนบัตร
จะกี่ปีของการเป็นพรรคฝ่ายค้าน...นานแค่ไหนของการรอคอยความวิบัติของจอมเผด็จการทั้งหลาย...แต่ประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยน...ความเป็นประชาธิปัตย์...
กระทั่งถึงยุค...ไม้ผลัดใบ
ประชาธิปัตย์...เปลี่ยนไปมากมายเหลือเชื่อ...ประชาธิปัตย์กลมเกลียวกับกองทัพและสั่งการให้ทหารออกมาเข่นฆ่าประชาชนอย่างคาดไม่ได้คิดไม่ถึง
ผู้นำยุคใหม่...ปิดซอยทั้งซอย...เพื่อความปลอดภัย...โดยไม่ใส่ใจกับเสียงร้องของผู้อยู่อาศัยและการทำมาหากินของเพื่อนบ้าน
เราได้ศรีธนญชัยตัวพ่อ...หล่อแต่กินไม่ได้..
พูดอย่างอธิบายไปอีกอย่าง...เป็นครั้งแรก
ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์..ที่..สิ่งศักดิ์สิทธิ์..ทวงถามเรื่องรัฐบาลโกงกิน
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น..มันก็ยังไม่น่าเวทนาเท่ากับการ..
สร้างละครลวงโลกขึ้นมา..หรือคอนเสิร์ต..ต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ยอมย่ำยีความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย..ที่ห้ามชุมนุมกันในทางการเมือง..สร้างดับเบิ้ลสแตนดาร์ด..สีหนึ่ง
ทำได้แต่อีกสีหนึ่งทำไม่ได้..แยกคนไทย ออกจากคนไทย..ฯลฯ
พรรคร่วมผนึกกัน..เลือกตั้งคราวหน้าให้เป็นเขตเล็กเบอร์เดียว..เพื่อจะยังมีเก้าอี้ผู้แทนประดับพรรค..ประชาธิปัตย์ปฏิเสธ..ก็อาจจะโดนหักหลังในวัน
อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สามารถอยู่ได้และผ่านศึกไม่ไว้วางใจแบบผู้ชนะ
ละครลวงโลกจึงถูกสร้างขึ้นมา..พันธมิตรฯ กับ
ไม้ผลัดใบ
พรรคร่วมอาจจะเชื่อ..ว่าประชาธิปัตย์จริงใจอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ..แต่ประชาชนคนเสื้อเหลืองกลับปฏิเสธมหกรรมลวงโลกครั้งนี้
ท่านอาจจะหลอกลวงใครบางคนได้ในบางครั้ง แต่จะหลอกลวงทุกๆ คนไม่ได้ในทุกๆ ครั้ง
โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้ทูเดย์ ,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ดักคอศาลรัฐธรรมนูญยื้อคดียุบปชป.ถึง11ธ.ค
แกนนำเพื่อไทยเชื่อวันที่ 29 พ.ย. หลังแถลงปิดคดีด้วยวาจาศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อจะยื้อไปจนถึงการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลของพันธมิตรฯในวันที่ 11 ธ.ค. ระบุมีความพยายามอาศัยสถานการณ์สร้างความชุลมุนเพื่อให้อำนาจนอกระบบเข้ามาเคลียร์เงื่อนปมต่างๆที่ทำให้ฝ่ายถืออำนาจในปัจจุบันได้ประโยชน์กันทั่วหน้าและประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ “อภิสิทธิ์” ไม่กังวลเทปเสียง “ประจวบ” โผล่เพราะเป็นเรื่องเก่าที่นำสืบในชั้นศาลหมดแล้ว ยอมรับกังวลวันแถลงปิดคดีอาจเกิดความวุ่นวาย ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ต่างหน่วยงานประเมินสถานการณ์ไม่ตรงกัน กำชับตำรวจคุ้มกันตุลาการใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าวันที่ 29 พ.ย. นี้หลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะไม่มีทางออกอื่นแล้ว เนื่องจากทั้งพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญต่างมีปัญหาภายใน จึงต้องตัวใครตัวมันเพื่อรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้
“มีทางเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบคือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ บางทีวันที่ 29 พ.ย. หลังแถลงปิดคดีแล้วศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่มีคำตัดสินใจทันที แต่จะยื้อเวลาออกไปจนถึงวันที่ 11 ธ.ค. เพื่อรอให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล เชื่อว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น ซึ่งเหมาะที่ทหารจะออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงเท่านี้ก็จะสมประโยชน์กันทุกฝ่าย ทหารได้อำนาจรัฐ ได้เข้ามาบริหารประเทศ พันธมิตรฯก็ได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ในสภา ในกรรมการชุดต่างๆเหมือนตอนปฏิวัติคราวที่แล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ถูกยุบ”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเสียงของนายประจวบ สังข์ขาว พยานคนสำคัญคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเผยแพร่ทำนองกล่าวหาแกนนำพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคว่า เท่าที่ฟังจากเนื้อหาเหมือนกับประเด็นที่เอามาใช้ในทางคดีและศาลได้นำสืบไปแล้ว ทั้งเรื่องที่ว่าเอาเงินมาให้พรรค ตนรับรู้เรื่องทุกอย่าง หรือต้องขอให้ตำรวจคุ้มกันเพื่อความปลอดภัย ซึ่งในชั้นศาลนายประจวบยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่จริง
“วันที่ 29 พ.ย. ที่มีการแถลงปิดคดีด้วยวาจาจะเดินทางไปฟังการแถลงที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยการแถลงเป็นหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ในฐานะหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เท่าที่ดูคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรเห็นว่าสามารถชี้แจงได้ครบทุกประเด็นกล่าวหาอย่างชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า เป็นห่วงสถานการณ์วันที่ 29 พ.ย. พอสมควร เพราะเข้าใจว่าจะมีผู้ชุมนุมไปรอฟังคำตัดสินเป็นจำนวนมาก ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำลังติดตามประเมินสถานการณ์อยู่ ในส่วนความปลอดภัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้กำชับกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้วว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ตุลาการเกิดความมั่นใจในความปลอดภัย
“สิ่งที่เป็นห่วงตอนนี้คือเรื่องของการประสานงาน เพราะว่ารายงานที่ได้รับมาเป็นอย่างหนึ่ง แต่เรื่องที่ได้ยินมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยตรงกัน แต่ได้กำชับผู้เกี่ยวข้องไปแล้วว่าให้แก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าวและว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการขนคนจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเพื่อกดดันศาลหรือไม่ ส่วนตัวอยากให้ทุกคนร่วมมือกันให้บ้านเมืองผ่านเรื่องนี้ไปได้ โดยให้ตุลาการเป็นอิสระในการตัดสินคดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มั่นใจว่าหลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาแล้วศาลจะตัดสินเลยหรือไม่ เพราะตามนัดระบุเพียงให้ไปแถลงปิดคดีด้วยวาจา
ส่วนกรณีที่มีเสียงวิจารณ์กรณีที่พรรคออกหนังสือ “ความดีสู้อธรรม” ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวคดียุบพรรคที่ออกมาก่อนวันตัดสินคดี เป็นการทำเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีอะไรไปกดดัน เพราะเป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงของคดี
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าวันที่ 29 พ.ย. นี้หลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะไม่มีทางออกอื่นแล้ว เนื่องจากทั้งพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญต่างมีปัญหาภายใน จึงต้องตัวใครตัวมันเพื่อรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้
“มีทางเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบคือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ บางทีวันที่ 29 พ.ย. หลังแถลงปิดคดีแล้วศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่มีคำตัดสินใจทันที แต่จะยื้อเวลาออกไปจนถึงวันที่ 11 ธ.ค. เพื่อรอให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล เชื่อว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น ซึ่งเหมาะที่ทหารจะออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงเท่านี้ก็จะสมประโยชน์กันทุกฝ่าย ทหารได้อำนาจรัฐ ได้เข้ามาบริหารประเทศ พันธมิตรฯก็ได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ในสภา ในกรรมการชุดต่างๆเหมือนตอนปฏิวัติคราวที่แล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ถูกยุบ”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเสียงของนายประจวบ สังข์ขาว พยานคนสำคัญคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเผยแพร่ทำนองกล่าวหาแกนนำพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคว่า เท่าที่ฟังจากเนื้อหาเหมือนกับประเด็นที่เอามาใช้ในทางคดีและศาลได้นำสืบไปแล้ว ทั้งเรื่องที่ว่าเอาเงินมาให้พรรค ตนรับรู้เรื่องทุกอย่าง หรือต้องขอให้ตำรวจคุ้มกันเพื่อความปลอดภัย ซึ่งในชั้นศาลนายประจวบยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่จริง
“วันที่ 29 พ.ย. ที่มีการแถลงปิดคดีด้วยวาจาจะเดินทางไปฟังการแถลงที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยการแถลงเป็นหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ในฐานะหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เท่าที่ดูคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรเห็นว่าสามารถชี้แจงได้ครบทุกประเด็นกล่าวหาอย่างชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่า เป็นห่วงสถานการณ์วันที่ 29 พ.ย. พอสมควร เพราะเข้าใจว่าจะมีผู้ชุมนุมไปรอฟังคำตัดสินเป็นจำนวนมาก ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำลังติดตามประเมินสถานการณ์อยู่ ในส่วนความปลอดภัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้กำชับกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้วว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ตุลาการเกิดความมั่นใจในความปลอดภัย
“สิ่งที่เป็นห่วงตอนนี้คือเรื่องของการประสานงาน เพราะว่ารายงานที่ได้รับมาเป็นอย่างหนึ่ง แต่เรื่องที่ได้ยินมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยตรงกัน แต่ได้กำชับผู้เกี่ยวข้องไปแล้วว่าให้แก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าวและว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการขนคนจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเพื่อกดดันศาลหรือไม่ ส่วนตัวอยากให้ทุกคนร่วมมือกันให้บ้านเมืองผ่านเรื่องนี้ไปได้ โดยให้ตุลาการเป็นอิสระในการตัดสินคดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มั่นใจว่าหลังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาแล้วศาลจะตัดสินเลยหรือไม่ เพราะตามนัดระบุเพียงให้ไปแถลงปิดคดีด้วยวาจา
ส่วนกรณีที่มีเสียงวิจารณ์กรณีที่พรรคออกหนังสือ “ความดีสู้อธรรม” ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวคดียุบพรรคที่ออกมาก่อนวันตัดสินคดี เป็นการทำเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีอะไรไปกดดัน เพราะเป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงของคดี
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
“แอมเนสตีมาเลเซีย” สัมภาษณ์พิเศษ “ออง ซาน ซูจี”
“ออง ซาน ซูจี” ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีของพม่า ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ “แอมเนสตี มาเลเซีย” ตอบคำถามจากเยาวชนอาเซียน พร้อมฝากคนหนุ่มสาวทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่า ซึ่งในจำนวนนี้มีเยาวชนรวมอยู่ด้วย “ประชาไท” นำเสนอพร้อมเสียงสัมภาษณ์
ไฟล์เสียงสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์กับ “ออง ซาน ซูจี” เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา จากคำถามของนักกิจกรรมเยาวชนในอาเซียน ตั้งถามโดยนอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย [ที่มา: ได้รับการเอื้อเฟื้อจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia)]
ที่ผ่านมา ที่เปตาลิงจายา ประเทศมาเลเซีย แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia) หรือเอไอมาเลเซีย ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนางออง ซาน ซูจี ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปี 2534 และผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของพม่า ซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังถูกกักบริเวณในบ้านมาตั้งแต่ปี 2546 โดยการสนทนานี้กินเวลาประมาณ 6 นาทีเศษ
ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา เอไอมาเลเซีย พยายามจัดการสนทนาทางไกล (teleconference) กับนางออง ซาน ซูจี เช่นกัน โดยกำหนดการในวันดังกล่าวนักกิจกรรมเยาวชนของเอไอมาเลเซีย และนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตีอินเตอร์เนชั่นแนลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ รวมทั้งฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะเป็นผู้ตั้งคำถาม และนางออง ซาน ซูจีจะเป็นผู้ตอบ อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์เข้าไปในพม่าได้
เอไอมาเลเซีย พยายามติดต่อนางออง ซาน ซูจีอีกครั้ง โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ออสเตรเลีย หรือ เอไอ ออสเตรเลีย ได้ร่วมฟังการสนทนาทางไกลครั้งนี้ด้วย และในครั้งนี้สามารถติดต่อกับนางออง ซาน ซูจีได้ โดยผู้สัมภาษณ์คือ น.ส.นอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการเอไอมาเลเซีย เป็นผู้สัมภาษณ์นางออง ซาน ซูจี โดยใช้คำถามที่รวบรวมจากนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล และคำถามจากนางนอราเอง
“เรากังวลมากว่าสายจะถูกตัด เราทราบมาก่อนว่าการโทรศัพท์เข้าพม่าเป็นเรื่องไม่น่าวางใจ แต่คืนดังกล่าวถือเป็นคืนที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเราและบรรดาเยาวชน” นอรากล่าวผ่านคำแถลงในอีเมล์ “สิ่งนี้ทำให้พวกเรามีความสุขและมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานของเราต่อไป”
โดยนางออง ซาน ซูจีตอบคำถามทั้งหมด 5 ข้อ โดยนางออง ซาน ซูจี ได้ตอบคำถามของนายไฟซาล อาซิส (Faisal Aziz) เยาวชนจากมาเลเซีย ซึ่งถามปรึกษาว่าเยาวชนจะสามารถดำเนินการรณรงค์ในประเด็นพม่าได้ในด้านใด และกลุ่มใดที่ควรเป็นเป้าหมายของการรณรงค์ โดยนางออง ซาน ซูจีตอบว่า “เพื่อนคนหนุ่มสาว ขอให้พยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่าจำนวนกว่า 2,200 คน ในจำนวนนี้เป็นคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกัน จำนวนมากอายุไม่ถึง 20 ปี” นางออง ซาน ซูจีกล่าวด้วยว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ “สร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์นักโทษการเมืองในพม่า”
ออง ซาน ซูจี ตอบคำถามถึงสถานการณ์ในพม่าหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวว่า สิ่งที่ฉันเห็นในวันแรกก็คือ ได้เห็นคนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมากในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่เธอกล่าวปราศรัยที่หน้าพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเธอระบุว่า “เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีกำลังใจมากๆ” และระบุว่าอยากเห็นคนหนุ่มสาวในพม่าได้ติดต่อกับคนหนุ่มสาวทั่วโลก ซึ่งจะช่วยหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับพม่าต่อไป
ต่อคำถามสุดท้ายที่ว่า รัฐบาลประเทศไหนที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่คนหนุ่มสาวจะรณรงค์เพื่อสร้างกระแสกดดันต่อรัฐบาลทหารพม่าให้เกิดมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน นางออง ซาน ซูจี ตอบว่า เพื่อให้เกิดสิทธิมนุษยชนในพม่า กล่าวเฉพาะประเทศในอาเซียนทั้งหมด เราต้องการให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยถือว่าสำคัญเพราะถือเป็นประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ก็เป็นประเทศสำคัญด้านเศรษฐกิจกับพม่า มาเลเซียก็สำคัญเพราะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน รวมทั้งอินโดนีเซียก็มีความสำคัญเพราะเคยเป็นประเทศเผด็จการทหารและปัจจุบันเปลี่ยนเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีประธานาธิบดีมีท่าทีที่ดีต่อเรา
โอกาสนี้ เอไอมาเลเซียได้เอื้อเฟื้อคลิปเสียงสัมภาษณ์ออง ซาน ซูจีความยาวประมาณ 6 นาทีเศษสำหรับเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไทด้วย
ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ "จรูญ" ถอนตัว คดียุบพรรคปชป.
ศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอกสารเผยแพร่ มาแจกให้กับผู้สื่อข่าวโดยเนื้อความระบุว่า เนื่องจากนายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือขอถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลว่าได้ฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้จึงอนุญาตให้นายจรูญ ถอนตัว ส่วนนายสุพจน์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว
ทั้งนี้ เมื่อคณะตุลาการให้นายจรูญถอนตัวก็ทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์และนายนุรักษ์ มาประณีต
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
----------------------------------------------------
ทั้งนี้ เมื่อคณะตุลาการให้นายจรูญถอนตัวก็ทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพล ไข่มุกด์และนายนุรักษ์ มาประณีต
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
----------------------------------------------------
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
นักวิชาการสงสัยคอป.ถูกบีบล้มดึงต่างชาติสอบสลายแดง
นักวิชาการตั้งข้อสงสัยทำไม คอป. ยกเลิกดึงนักวิชาการจากต่างชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีอยากดึงมาร่วมทำงานเพื่อให้ผลที่ออกมาได้รับการยอมรับ ระบุประเทศไทยมีธรรมเนียมปฏิบัติไม่ดี ไม่ใจกว้างให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องต่างๆอย่างเป็นทางการ หากจะมาทำได้แค่ในนามส่วนตัวเพื่อเก็บข้อมูลจากเอ็นจีโอไทยเท่านั้น “ประยุทธ์” ยืนยันไม่ยกเลิกประกาศห้ามจำหน่ายสินค้ายั่วยุ ย้ำจะบังคับใช้ไปจนกกว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อย
น.ส.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัย มหิดล ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะควรยกเลิกกฎหมายพิเศษแบบนี้ตั้งนานแล้ว
“ความจริงต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาตั้งแต่ยุบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะไม่ควรมีกฎหมายแบบนี้ใช้ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำมาบังคับใช้ก็ยิ่งเห็นว่าสมควรยกเลิกกฎหมายนี้ไปเลย เพราะไม่เป็นคุณกับประเทศและประชาชนเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐได้” น.ส.ศรีประภากล่าว
น.ส.ศรีประภายังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศไทย หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ย. 2553 ว่ารัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ชุดเดียวที่ไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องภายในประเทศ แต่รัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับให้องค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาตรวจสอบอย่างเป็นทางการ หากจะเข้ามาต้องมาในนามส่วนตัวเพื่อหาข้อมูลหรือพูดคุยกับองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอของไทย
“ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศไทยไปแล้วที่ไม่ยอมรับให้ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นเข้ามาตรวจ สอบเรื่องต่างๆภายในประเทศ ทั้งๆที่แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ตรงนี้รัฐบาลไทยควรต้องเปิดใจกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลหรือเปิดให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบ ถ้ามีความมั่นใจว่าไม่มีอะไรปกปิดก็ต้องให้เขาเข้ามาตรวจสอบ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก” น.ส.ศรีประภากล่าวและว่า เคยนำเรื่องนี้เข้าหารือกับ ศ.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่าควรเอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมเป็นกรรมการ เพราะจะทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รับความน่าเชื่อถือเนื่องจากเราไม่ได้ทำแบบทำกันเอง ตอนแรกก็สนใจแต่เรื่องก็เงียบไป
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการยกเลิกการเยือนไทยของนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษชน โดยเฉพาะเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. นั้น น.ส.ศรีประภากล่าวว่า ต้องยอมรับว่าประเทศอังกฤษได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนค่อนข้างแข็งกร้าวมาตลอด และถือเป็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นกรณีพม่า โดยอังกฤษเป็นประเทศแรกๆที่ขอร้องไม่ให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพม่า ไม่ออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพม่า และมีหลายเรื่องที่อังกฤษทำ จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอังกฤษให้ความสำคัญกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงมาก ดังนั้น ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าอังกฤษจะมีปฏิกิริยากับไทยอย่างไรต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยกว่า ทั้งตนและ ศอฉ. เข้าใจตรงกันว่าอะไรที่เป็นความผิดต่อส่วนรวมถือเป็นความผิดที่ต้องดำเนินการ คำสั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำงาน แต่อะไรที่เป็นความผิดส่วนบุคคล ศอฉ. จะไม่เข้าไปยุ่ง
“ถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในทางปฏิบัติเขาก็ต้องทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ทำอะไรแค่ไหน อย่างไร เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งหรืองัดข้ออะไร เพราะหลักการของผมกับ ศอฉ. ตรงกันคือ หากเป็นความผิดเกี่ยวกับบุคคลจะไม่ยุ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยืนยันว่า คำสั่งของ ศอฉ. ไม่ได้เจาะจงว่าใช้เฉพาะคนสีไหน และจะบังคับใช้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย ไม่ให้มีความรุนแรง ไม่มีการหมิ่นสถาบัน
“เราจำเป็นต้องดำเนินการ ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย การใช้สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย” ผบ.ทบ. กล่าวและว่า ที่ผ่านมาตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศกิจอะลุ้มอล่วยเต็มที่แล้ว หากมีการจับกุมก็ลงโทษสถานเบาแค่ปรับแล้วก็ปล่อย สิ่งที่เรามุ่งหวังจากคำสั่งของ ศอฉ. นี้คือทำสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ใครก็ตามที่เอาของมาขายต้องรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ยกเลิกคำสั่งนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านเพียงแต่บอกว่าให้ช่วยดูให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการปฏิบัติของเจ้า หน้าที่ ซึ่ง ศอฉ. ได้ประชุมกำหนดความชัดเจนไปแล้ว การออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะต้องพิจารณาโดยคณะกรรมการของ ศอฉ. ไม่ได้ให้ใครกำหนดเพียงคนเดียว เราได้หารือกันแล้ว เมื่อได้ข้อยุติจึงมีมติและประกาศออกมา
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
น.ส.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัย มหิดล ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็ว เพราะควรยกเลิกกฎหมายพิเศษแบบนี้ตั้งนานแล้ว
“ความจริงต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาตั้งแต่ยุบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะไม่ควรมีกฎหมายแบบนี้ใช้ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำมาบังคับใช้ก็ยิ่งเห็นว่าสมควรยกเลิกกฎหมายนี้ไปเลย เพราะไม่เป็นคุณกับประเทศและประชาชนเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐได้” น.ส.ศรีประภากล่าว
น.ส.ศรีประภายังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์ในประเทศไทย หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ย. 2553 ว่ารัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ชุดเดียวที่ไม่อนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบเรื่องภายในประเทศ แต่รัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับให้องค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาตรวจสอบอย่างเป็นทางการ หากจะเข้ามาต้องมาในนามส่วนตัวเพื่อหาข้อมูลหรือพูดคุยกับองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอของไทย
“ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศไทยไปแล้วที่ไม่ยอมรับให้ผู้แทนพิเศษของยูเอ็นเข้ามาตรวจ สอบเรื่องต่างๆภายในประเทศ ทั้งๆที่แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ตรงนี้รัฐบาลไทยควรต้องเปิดใจกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลหรือเปิดให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบ ถ้ามีความมั่นใจว่าไม่มีอะไรปกปิดก็ต้องให้เขาเข้ามาตรวจสอบ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก” น.ส.ศรีประภากล่าวและว่า เคยนำเรื่องนี้เข้าหารือกับ ศ.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่าควรเอาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมเป็นกรรมการ เพราะจะทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รับความน่าเชื่อถือเนื่องจากเราไม่ได้ทำแบบทำกันเอง ตอนแรกก็สนใจแต่เรื่องก็เงียบไป
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการยกเลิกการเยือนไทยของนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษชน โดยเฉพาะเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. นั้น น.ส.ศรีประภากล่าวว่า ต้องยอมรับว่าประเทศอังกฤษได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนค่อนข้างแข็งกร้าวมาตลอด และถือเป็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่นกรณีพม่า โดยอังกฤษเป็นประเทศแรกๆที่ขอร้องไม่ให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพม่า ไม่ออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพม่า และมีหลายเรื่องที่อังกฤษทำ จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอังกฤษให้ความสำคัญกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงมาก ดังนั้น ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าอังกฤษจะมีปฏิกิริยากับไทยอย่างไรต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยกว่า ทั้งตนและ ศอฉ. เข้าใจตรงกันว่าอะไรที่เป็นความผิดต่อส่วนรวมถือเป็นความผิดที่ต้องดำเนินการ คำสั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำงาน แต่อะไรที่เป็นความผิดส่วนบุคคล ศอฉ. จะไม่เข้าไปยุ่ง
“ถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ในทางปฏิบัติเขาก็ต้องทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ทำอะไรแค่ไหน อย่างไร เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งหรืองัดข้ออะไร เพราะหลักการของผมกับ ศอฉ. ตรงกันคือ หากเป็นความผิดเกี่ยวกับบุคคลจะไม่ยุ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยืนยันว่า คำสั่งของ ศอฉ. ไม่ได้เจาะจงว่าใช้เฉพาะคนสีไหน และจะบังคับใช้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย ไม่ให้มีความรุนแรง ไม่มีการหมิ่นสถาบัน
“เราจำเป็นต้องดำเนินการ ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย การใช้สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องทำได้แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย” ผบ.ทบ. กล่าวและว่า ที่ผ่านมาตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศกิจอะลุ้มอล่วยเต็มที่แล้ว หากมีการจับกุมก็ลงโทษสถานเบาแค่ปรับแล้วก็ปล่อย สิ่งที่เรามุ่งหวังจากคำสั่งของ ศอฉ. นี้คือทำสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ใครก็ตามที่เอาของมาขายต้องรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ยกเลิกคำสั่งนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านเพียงแต่บอกว่าให้ช่วยดูให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการปฏิบัติของเจ้า หน้าที่ ซึ่ง ศอฉ. ได้ประชุมกำหนดความชัดเจนไปแล้ว การออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะต้องพิจารณาโดยคณะกรรมการของ ศอฉ. ไม่ได้ให้ใครกำหนดเพียงคนเดียว เราได้หารือกันแล้ว เมื่อได้ข้อยุติจึงมีมติและประกาศออกมา
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)