“ศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของศาล”
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมแถลงพร้อมตุลาการรวม 5 คนถึงคลิปลับในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลิปที่ถูกแอบถ่าย และประธานศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งปลดนาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากการเป็นเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่ให้ออกจากราชการ และกำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน เนื่องจากนายพสิษฐ์มีภาพในคลิป ทำให้ภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย
นายอุดมศักดิ์กล่าวถึงคลิปภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการพิจารณาคดี รวมถึงคำวินิจฉัยต่างๆ เพราะเป็นคลิปเมื่อปี 2552 ซึ่งประธานศาลรัฐธรรมนูญได้รับรางวัล “นักกฎหมายดีเด่นสัญญา ธรรมศักดิ์” โดย พล.อ.เปรมเป็นผู้มอบรางวัล
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ผิดอาญาต่อแผ่นดิน คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายในเหตุที่เกิดขึ้นอีกทางถ้ามีความคืบหน้าจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบ
ปริศนา 5 คลิปฉาว
สำหรับคลิปที่เผยแพร่ทางยูทูบใช้ชื่อว่า “ohmy god3009” มี 5 ตอน ตอนแรกเป็นภาพนิ่งของ พล.อ. เปรม ตอนที่ 2 มีความยาว 8 นาที ตอนที่ 3 มีความยาว 11 นาที ตอนที่ 4 มีความยาว 11 นาที และตอนที่ 5 มีความยาว 11 นาที ซึ่งเนื้อหาของแต่ละตอนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้
ตอนที่ 2 เป็นคลิปและคำสนทนาของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์คดียุบพรรค กับนาย พสิษฐ์ ปรึกษาเรื่องนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะให้การเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ร่วมอยู่ด้วย
ตอนที่ 3 เป็นคลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนปรึกษาหารือเพื่ออ้างคำให้การของนายอภิชาตว่ามีอำนาจทำได้และพ่วงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตอนที่ 4 เป็นคลิปคำพูดปรึกษาหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ซ่อนนัย หากตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เกรงจะมีข้อครหานินทาเรื่องสองมาตรฐาน
ตอนที่ 5 เป็นคลิปทรรศนะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่มีต่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า “มัน” ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อ และการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“อภิชาต” ปมสำคัญยุบ ปชป.
มีคำถามสำคัญว่าทำไมจึงพุ่งเป้าไปที่นายอภิชาต ซึ่งคำตอบน่าจะอยู่ที่นายอภิชาตที่มีฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งเคยลงมติให้ยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องการขอเบิกตัวมาเป็นพยานคนสำคัญ เพราะประเด็นยุบพรรคประชาธิปัตย์มีการต่อสู้ใน 2 ประเด็นใหญ่ๆคือ อำนาจของผู้ฟ้องคือ กกต. รวมถึงประเด็นข้อเท็จจริงของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท และการใช้เงินบริจาค 258 ล้านบาท
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง 2550 มาตรา 95 ระบุว่า หากพบว่าพรรคการ เมืองใดกระทำผิดกฎหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ กกต. เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ในทางกลับกันถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าพรรค การเมืองนั้นไม่มีความผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดหรือขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต. เคยมีมติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 หลังที่ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คดี โดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงาน กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเสียงข้างมากให้เป็นดุลยพินิจของนายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะพิจารณาส่งคำร้องยุบพรรคนี้ไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่ เท่ากับให้อำนาจชี้ขาดอยู่ที่นายอภิชาตเพียงผู้เดียว ซึ่งนายอภิชาตชี้ขาดให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดตามผลการสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวน กกต.
แต่หลังจากมีการชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงที่สำนักงาน กกต. ทำให้นายอภิชาตเปลี่ยนใจรื้อฟื้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กลับมาหารือในที่ประชุม กกต. ใหม่ จนวันที่ 12 เมษายน 2553 ที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ประเด็นเงินบริจาค 258 ล้านบาท เสนออัยการ สูงสุดส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่ง 1 เสียงที่คัดค้านคือนายอภิชาต ส่วนประเด็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต. มีมติ 5 ต่อ 0 เสียงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
วิกฤตศรัทธา
คลิปฉาวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินจากกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองผิดประเภท 29 ล้านบาท
ภาพที่ปรากฏในคลิปจึงไม่ใช่แค่ตัวละคร 3 คนคือ นายวิรัช นายพสิษฐ์ และนายวรวุฒิ แม้พรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัชพยายามชี้แจงว่านายวรวุฒิเป็นผู้ประสานให้นายวิรัชพบกับนายพสิษฐ์ที่ร้านอาหารย่านประชาชื่นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553 เป็นเพียงการจัดฉากหรือวางแผนเพื่อทำลายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยากจะปฏิเสธว่านายวิรัชปรึกษาเรื่องการเตรียมการจะให้นายอภิชาตให้การกับศาลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคดีไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ขณะที่เนื้อหาในคลิปอีกส่วนหนึ่งที่เป็นการปรึกษากันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปรากฏชัดเจนว่าเกรงคำให้การของประธาน กกต. จะเกิดข้อครหานินทา เรื่องสองมาตรฐาน นอกจากนี้คำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พูดถึง “พรรคเพื่อไทย” ว่า “มัน” ก็ถูกตั้งคำถามว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอคติหรือไม่?
จิ๊กซอว์ล่องหน?
หลังจากปรากฏคลิปฉาวดังกล่าว นายพสิษฐ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันพุธที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่านาย พสิษฐ์เดินทางก่อนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะออกมาแถลงเรื่องคลิปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งนายพสิษฐ์เป็นจิ๊กซอว์ที่รู้เรื่องดีที่สุดว่าใครเป็นต้นคิด และเชื่อมโยงไปถึงใครบ้าง
เหมือนอย่างที่นายวิรัชออกมาให้สัมภาษณ์โยงไปถึงนายพสิษฐ์ว่าเป็นคนนัดทุกครั้ง และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันพระปกเกล้า (ป.ป.ร.) รุ่น 13 กับนายวรวุฒิ แม้จะอ้างว่าไม่เคยขอให้นายพสิษฐ์ช่วยทำอะไร เพราะเชื่อมั่นว่าไม่สามารถโน้มน้าวศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยกล่าวหาพรรคเพื่อไทยว่าจัดฉากถ่ายทำคลิปขึ้นมา
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งคณะ ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกับนายวิรัชว่าเข้าไปพัวพันโดยรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ แต่นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกมาท้วงติงว่าไม่เหมาะสมที่จะต้องตรวจสอบ
ดึงศาลกลับที่ตั้ง
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตั้งคำถามว่า วันนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะดึงผู้พิพากษาหรือตุลาการกลับที่ตั้งด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคลิปฉาวว่า ไม่อาจปฏิเสธว่ามีความพยายามล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นห่วงสถาบันตุลาการมาก เพราะ ไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่ และทำไมพัวพันกับองค์กรที่ถือว่าเราต้องยอมรับในคำวินิจฉัยของท่าน
“เรื่องนี้จะต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนก่อน เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สั่นสะเทือนทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม” นางสดศรียังกล่าวถึงสมัยที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าเคยเตือนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวว่าอย่าให้องค์กรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะสิ่งไหนที่เป็นเรื่องการเมืองแล้วตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะแปดเปื้อนไปด้วย
“อะไรที่เกิดขึ้นในศาลก็ต้องเคลียร์ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อยู่ศาลมานานไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย เห็นเรื่องแบบนี้แล้วน่ากลัวมาก แล้วเรื่องอย่างนี้หลุดออกไปได้อย่างไร”
นางสดศรีกล่าวอีกว่า ตอนนี้กระแสสังคมกดดันให้ศาลยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากศาลไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์อะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากให้สถานการณ์บ้านเมือง เป็นเช่นนี้เลย และศาลจะถูกเล่นงานมากขึ้น ตอนนี้เป็นการตีปลาหน้าไซ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบจะมีปัญหาทันที
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ดังนั้น การค้นหาความจริงของคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญจึงเหมือนเกราะป้องกันศาลรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ไม่เหมือนกรณี 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีทั้งพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปเหตุการณ์มากมาย แต่รัฐบาลยังไม่สามารถให้ความจริงได้ว่าเสียชีวิตอย่างไร และใครยิง อีกทั้งยังพยายามบิดเบือน ด้วยการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง โดยสร้างภาพให้เป็น ผู้ก่อการร้ายและกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายล้มสถาบัน
อย่างล่าสุดที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อ้างว่ามีข้อจำกัดหลายด้าน ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงปืนใส่ประชาชนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ การสอบสวนของดีเอสไอจึงทำได้เพียงสรุปสาเหตุการตาย วิถีกระสุน และรายงานความคืบหน้า รวมทั้งการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่นและอิตาลี ซึ่งสถานทูตต้องการคำตอบว่าใครเป็นคนยิง แต่ดีเอสไอและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กลับกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย โดยไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยที่ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศประณามว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม เป็นการคุกคามสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
สถาบันศาลรัฐธรรมนูญเองจึงต้องพยายามที่จะค้นหาความจริงว่ามีขบวนการพยายามแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และมองเข้าไปถึงเนื้อหาสาระในคลิป ว่าจริงหรือไม่ มิใช่เพียงแค่ปลดเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือมีความพยายามเอาผิดคนถ่ายหรือคนที่นำมาเผยแพร่เท่านั้น เพราะความจริงแล้วต่อให้เป็น การจัดฉากก็เหมือนการล่อซื้อยาเสพติดหรือล่อซื้อบริการทางเพศ หากกระทำผิดจริงต้องมีความผิด แม้ตุลาการส่วนใหญ่จะมีคุณวุฒิ วัยวุฒิสูงส่ง ทั้งประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้พิพากษาเองก็เป็นปุถุชน ธรรมดาที่ “กิน-ขี้-ปี้-นอน” มีโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา ไม่ใช่ “เทวดา” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำอะไรก็ไม่ผิด
ที่สำคัญคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลรัฐธรรมนูญนั้นปฏิบัติในนาม “พระปรมาภิไธย” ศาลจึงยิ่งต้องระมัดระวังการทำหน้าที่ของตนในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม เพราะศาลถือ เป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ในการทำหน้าที่ ต้องแสดงให้เห็นว่าไม่มีอคติหรือตั้งธงใดๆ เพราะหากศาลถูกมองว่าไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม หรือไม่ชอบธรรม อาจส่งผลกระทบถึงเบื้องสูง ไม่ใช่แค่สถาบันตุลาการเท่านั้น
วันนี้สังคมไทยจึงต้องกลับมามี “สติ” ไม่ใช่เต็มไปด้วย “อคติ” เหมือนธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง “อคติ 4” หรือ “ความลำเอียง 4” ได้แก่ ฉันทาคติ-อคติเพราะรัก, โทสาคติ-อคติเพราะโกรธ, โมหาคติ-อคติเพราะหลง และภยาคติ-อคติเพราะกลัว
เมื่อคนเรามีอคติ จิตก็จะไม่เที่ยง ไม่ตรง และไม่ตั้งอยู่ในธรรม จึงไม่มีสติที่จะคิดใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยหลักเหตุและผล
สังคมไทยวันนี้ต้องตั้งสติแล้วค้นหา “ความจริง” ว่าอะไรผิดอะไรถูก โดยเฉพาะกรณีคลิปฉาวที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญพยายามหาคนผิดที่ถ่ายคลิปหรือเผยแพร่ แต่ควรค้นหาความจริงของต้น ตอทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง แม้ความจริงนั้นอาจจะกลับมาทิ่มแทงอย่างเจ็บปวดบ้างก็ตาม
มีแต่ “ความจริง” เท่านั้น...ที่จะนำทางไปสู่ความยุติธรรม
อย่ามัวแต่ยก “ความดี” และจัดตั้ง “คนดี” โดยคณะรัฐประหารอยู่อีกเลย
ในทุกสังคมมีทั้ง “คนดี” และ “คนชั่ว” ไม่เว้นแม้แต่คณะผู้พิพากษา ตุลาการ ศาล เศรษฐี ขอทาน อำมาตย์ หรือไพร่...
แต่สังคมจะอยู่อย่างสุขสงบได้ก็ด้วย “คนที่มีใจเป็นธรรม”
“ความยุติธรรม” เท่านั้นที่จะพาสังคมไทยไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์...
มิฉะนั้น... “คลิป” เด็ดกว่านี้คงมีมาอีกเรื่อยๆ...
ถึงวันนั้น...อาจจะสายเกินไป!!
ใช้วิชามาร 3 ตุลาการถอนตัว?
“การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า การใช้วิธีชั่วช้าต่างๆเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ตำรวจก็ใช้วิธีล่อซื้อแบบนี้เพื่อดักจับผู้ร้าย สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดคือ เนื้อหาการสนทนาในคลิปวิดีโอเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีการพูดเพื่อเจตนาที่จะทำอะไร ส่วน ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ คนที่คิดในเรื่องนี้กำลังถูกชักนำให้คิดไปในทางที่ผิดว่าการลอบถ่ายหรือการไปดักฟังเป็นเรื่องผิดหมด ถ้าหากการกระทำที่เขาไปลอบฟังหรือลอบถ่ายมาเป็นความผิด สิ่งที่ไปทำมาก็ถือเป็นหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดจริง ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า”
นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดตาก และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้คือเรื่องจริงคืออะไร ส่วนที่ว่ามีการหลอกลวงกันหรือหักหลังกันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่ว่ามีการไปล็อบบี้กันจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพูดว่า ต้องการให้ประธาน กกต. มาให้การศาล ซึ่งไม่ได้พูดระหว่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังพูดในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญด้วย
นายพนัสกล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า การลอบถ่ายเป็นความผิด เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ขอยกตัวอย่างกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือตำรวจ ถ้าไปดักฟังโทรศัพท์พวกนักค้ายาเสพติด หรือไปลอบถ่ายภาพวงจรปิด ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อดักถ่ายภาพผู้กระทำความผิด เพราะฉะนั้นการลอบถ่ายหรือการดักฟัง รวมทั้งการวางกับดัก ถ้าหากทำผิดจริง คนผิดจะเอามาอ้างอะไรไม่ได้ เพราะได้ทำผิดจริง
ส่วนกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งเลขานุการศาลรัฐ ธรรมนูญนั้น การกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนเป็นการปิดปากพยานมากกว่า เพราะนายพสิษฐ์เป็นผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุดถึงเหตุที่มีการทำผิด ใครเป็นคนทำ และใครเป็นต้นคิด นายพสิษฐ์เป็นตัวเชื่อมและตัวโยงคนเดียวที่สำคัญที่สุด และอยากให้สืบสวนให้ดีว่าเบื้องหลังของนาย พสิษฐ์เป็นอย่างไร เพราะอดีตเลขานุการคนนี้ในศาลรัฐธรรมนูญตั้งฉายาว่า “กงกง” ทำตัวเหมือนเป็นร่างทรงของประธานศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมได้รับข่าวจากวงในศาลรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้มีตุลาการ 3 คน เช่น นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร ได้ขอถอนตัวจากองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากก่อนหน้านี้มีตุลาการถอนตัวไปแล้ว 1 คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าข่าวนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะถ้ามีตุลาการถอนตัวเพิ่มอีก 3 คนจริง จะส่งผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ และจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบในที่สุด”
นายพนัสกล่าวว่า สาเหตุที่มีการใช้วิชามารในลักษณะนี้ เพราะถ้าจะออกไปในแนวการตัดสินคงออกไม่ได้ เนื่องจากเจอแรงบีบและแรงกระแทก ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์สถานเดียว จึงมีการใช้วิชามารโดยอาจให้ตุลาการถอนตัว ซึ่งคดีไม่เชิงโมฆะ แต่จะอ้างว่าเป็นคดีที่ศาลไม่อาจตัดสินได้เพราะองค์คณะไม่ครบ ดังนั้น ถ้ากระแสข่าวการถอนตัวของ 3 ตุลาการเป็นจริง ก็จะต้องดูว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องถอนตัว เพราะถ้าหากไม่มีใครไปคัดค้านจะถอนตัวได้อย่างไร
“ผมคิดว่าเป็นการใช้วิชามารและจะยิ่งส่อให้เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาที่ไม่สุจริต ถ้าหากใช้ทุกอย่างแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจะเรียกว่าอะไร ขณะนี้สถาบันตุลาการของประเทศไทยพังไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้อะไรเท่านั้น แต่คนวงในเขารู้นานแล้วว่าสถาบันตุลาการยิ่งกว่ากลวง และเน่าเฟะ”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สะเทือนบัลลังก์(ข่าวว่า..ยังมีเด็ดกว่านี้)
สปิริตประธานศาล รธน.หรือแค่"จ่าเฉย"
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ถึงเวลานี้ อาจจะยังไม่รู้ว่า ใครเป็นเหยื่อใคร กรณีการเผยแพร่คลิปที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า เป็นการต่อรองในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินภายในปลายปี 2553
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของทั้งองค์กรและผู้บริหารระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ววิกฤตที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญมิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544
พฤติการณ์ของตุลาการบาง(หลาย)คนและกระบวนการในการวินิจฉัยคดีที่"ไร้มาตรฐาน"ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
แต่น่าเสียดาย มิได้ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการบางคนสำนึกที่ช่วยกันสร้างองค์กรให้มีเข้มแข็งน่าเชื่อถือต่อสาธารณะ
หลังจากการตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ผ่านมา 10 ปี คนในศาลรัฐธรรมนูญได้ก่อวิกฤตขึ้นภายในองค์กรอีกครั้งหนึ่ง
การที่นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากตำแหน่งเลขานุการฯ หลังจากที่ก่อเหตุการณ์อื้อฉาวแอบอ้างตำแหน่งเลขานุการประธานศาลฯไปเจรจาต่อรองกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เรื่องคดียุบพรรค เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ นายชัชควรแสดงความรับผิดชอบ(มากกว่านี้)อย่างไร เพราะนายพสิษฐ์ เป็นบุคคลที่นายชัชแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ซึ่งให้"เอกสิทธิ์"นายชัชที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ เพราะต้องเป็นบุคคลที่ไว้วางใจ(สามารถปลดออกและพ้นตำแหน่งพร้อมประธานศาลฯ)
เมื่ออยู่ในตำแหน่งเลขานุการฯ นายชัชได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ เป็นตัวแทนในภารกิจหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกซึ่งนายพสิษฐ์เองก็ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้บริหารสำนักงานศาลอย่างเลขาธิการฯเองก็ให้ความเกรงใจ และสามารถใช้อำนาจดึงสาวคนสนิทในสำนักงานมาอยู่หน้าห้องประธานศาลได้ด้วย
ดังนั้น การที่นายพสิษฐ์อ้างตำแหน่งเลขานุการฯพูดคุยเรื่องคดียุบพรรคกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ตามเสียงในคลิป)ย่อมทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจได้ว่า นายพสิษฐ์มาในฐานะตัวแทนประธานศาลฯได้
แต่น่าแปลกคือ ไม่ค่อยมีใครทราบประวัติความเป็นมาของนายพสิษฐ์มากนัก(ยกเว้นตามคำบอกเล่าของตัวเองซึ่งแสดงถึงความเก่งกาจ) เช่น เปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมาถึง 6 ครั้งอย่างพิสดารจาก "กมษศักดิ์ชนะ" เป็น "ชนะ-เกษมศักดิ์ชนะ-พสิษฐ์-กันตินันทน์-พสิษฐ์ "
ที่รู้กันทั่วไปคือ นายชัชหอบหิ้วมาทำงานที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อได้รับตำแหน่งประธาน ทั้งที่นายพสิษฐ์จบมาทางด้านกายวิภาคศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต มิใช่ด้านกฎหมายที่น่าจะช่วยงานด้านวิชาการได้มากกว่า
เมื่อนายพสิษฐ์เป็นคนสนิท"ส่วนตัว" ก่อเรื่องขึ้น แทนที่นายชัชจะออกมาแถลงชี้แจงด้วยตนเอง กลับให้ตุลการ 5 คนซึ่งมิได้เกี่ยวข้องด้วย(ยกเว้นกรณีมีการแอบถ่ายคลิปในห้องประชุม)มาแถลงปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งทั้งที่อำนาจการปลดนายพสิษฐ์เป็นของนายชัชเพียงคนเดียว(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตุลาการ5คนออกมารับหน้าแทนทำไม?)
หรือนายชัช ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะสู้หน้าสาธารณชน คิดว่า การหลบหน้าหลบตาจะทำให้เรื่องเงียบไปกับสายลม แล้วไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
ที่สำคัญการดำเนินการกับนายพสิษฐ์เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะมีข่าวว่า นายพสิษฐ์เดินทางไปต่างประเทศด้วยหนังสือเดินทางของราชการ เมื่อถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหารุนแรง ทำไมสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำเรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอนหนังสือเดินทางราชการของนายพสิษฐ์
ขณะที่นายชัชเองก็ถูกสาธารณชนตั้งคำถามถึง"ความเที่ยงธรรม"ในการตัดสินคดีจากการกระทำของนายพสิษฐ์
ดังนั้นการปลดนายพสิษฐ์ จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเชื่อถือต่อตัวนายชัชได้ ตัวอย่างเช่น ถ้านายชัชตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่าต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงตัว
ถ้าตัดสินว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่า ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถามว่า ความรับผิดชอบของนายชัชควรอยู่ในระดับใด
ถ้าเอาระดับสูงสุด ควรลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ระดับรองลงมา ควรลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังเป็นตุลการอยู่
ระดับต่ำสุด ควรถอนตัวจากองค์คณะคดียุบพรรค
การตัดสินใจของนายชัชจะแสดงถึงสปิริตของคนที่เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายดีเด่นรางวัลศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
หรือแค่เล่นบท"จ่าเฉย"เพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์.
ถึงเวลานี้ อาจจะยังไม่รู้ว่า ใครเป็นเหยื่อใคร กรณีการเผยแพร่คลิปที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า เป็นการต่อรองในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินภายในปลายปี 2553
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของทั้งองค์กรและผู้บริหารระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ววิกฤตที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญมิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544
พฤติการณ์ของตุลาการบาง(หลาย)คนและกระบวนการในการวินิจฉัยคดีที่"ไร้มาตรฐาน"ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
แต่น่าเสียดาย มิได้ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการบางคนสำนึกที่ช่วยกันสร้างองค์กรให้มีเข้มแข็งน่าเชื่อถือต่อสาธารณะ
หลังจากการตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ผ่านมา 10 ปี คนในศาลรัฐธรรมนูญได้ก่อวิกฤตขึ้นภายในองค์กรอีกครั้งหนึ่ง
การที่นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากตำแหน่งเลขานุการฯ หลังจากที่ก่อเหตุการณ์อื้อฉาวแอบอ้างตำแหน่งเลขานุการประธานศาลฯไปเจรจาต่อรองกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เรื่องคดียุบพรรค เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ นายชัชควรแสดงความรับผิดชอบ(มากกว่านี้)อย่างไร เพราะนายพสิษฐ์ เป็นบุคคลที่นายชัชแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ซึ่งให้"เอกสิทธิ์"นายชัชที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ เพราะต้องเป็นบุคคลที่ไว้วางใจ(สามารถปลดออกและพ้นตำแหน่งพร้อมประธานศาลฯ)
เมื่ออยู่ในตำแหน่งเลขานุการฯ นายชัชได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ เป็นตัวแทนในภารกิจหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกซึ่งนายพสิษฐ์เองก็ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้บริหารสำนักงานศาลอย่างเลขาธิการฯเองก็ให้ความเกรงใจ และสามารถใช้อำนาจดึงสาวคนสนิทในสำนักงานมาอยู่หน้าห้องประธานศาลได้ด้วย
ดังนั้น การที่นายพสิษฐ์อ้างตำแหน่งเลขานุการฯพูดคุยเรื่องคดียุบพรรคกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ตามเสียงในคลิป)ย่อมทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจได้ว่า นายพสิษฐ์มาในฐานะตัวแทนประธานศาลฯได้
แต่น่าแปลกคือ ไม่ค่อยมีใครทราบประวัติความเป็นมาของนายพสิษฐ์มากนัก(ยกเว้นตามคำบอกเล่าของตัวเองซึ่งแสดงถึงความเก่งกาจ) เช่น เปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมาถึง 6 ครั้งอย่างพิสดารจาก "กมษศักดิ์ชนะ" เป็น "ชนะ-เกษมศักดิ์ชนะ-พสิษฐ์-กันตินันทน์-พสิษฐ์ "
ที่รู้กันทั่วไปคือ นายชัชหอบหิ้วมาทำงานที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อได้รับตำแหน่งประธาน ทั้งที่นายพสิษฐ์จบมาทางด้านกายวิภาคศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต มิใช่ด้านกฎหมายที่น่าจะช่วยงานด้านวิชาการได้มากกว่า
เมื่อนายพสิษฐ์เป็นคนสนิท"ส่วนตัว" ก่อเรื่องขึ้น แทนที่นายชัชจะออกมาแถลงชี้แจงด้วยตนเอง กลับให้ตุลการ 5 คนซึ่งมิได้เกี่ยวข้องด้วย(ยกเว้นกรณีมีการแอบถ่ายคลิปในห้องประชุม)มาแถลงปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งทั้งที่อำนาจการปลดนายพสิษฐ์เป็นของนายชัชเพียงคนเดียว(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตุลาการ5คนออกมารับหน้าแทนทำไม?)
หรือนายชัช ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะสู้หน้าสาธารณชน คิดว่า การหลบหน้าหลบตาจะทำให้เรื่องเงียบไปกับสายลม แล้วไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
ที่สำคัญการดำเนินการกับนายพสิษฐ์เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะมีข่าวว่า นายพสิษฐ์เดินทางไปต่างประเทศด้วยหนังสือเดินทางของราชการ เมื่อถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหารุนแรง ทำไมสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำเรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอนหนังสือเดินทางราชการของนายพสิษฐ์
ขณะที่นายชัชเองก็ถูกสาธารณชนตั้งคำถามถึง"ความเที่ยงธรรม"ในการตัดสินคดีจากการกระทำของนายพสิษฐ์
ดังนั้นการปลดนายพสิษฐ์ จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเชื่อถือต่อตัวนายชัชได้ ตัวอย่างเช่น ถ้านายชัชตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่าต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงตัว
ถ้าตัดสินว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่า ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถามว่า ความรับผิดชอบของนายชัชควรอยู่ในระดับใด
ถ้าเอาระดับสูงสุด ควรลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ระดับรองลงมา ควรลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังเป็นตุลการอยู่
ระดับต่ำสุด ควรถอนตัวจากองค์คณะคดียุบพรรค
การตัดสินใจของนายชัชจะแสดงถึงสปิริตของคนที่เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายดีเด่นรางวัลศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
หรือแค่เล่นบท"จ่าเฉย"เพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์.
มหาวิทยาลัยเทวดา
โดย:นักปรัชญาชายขอบ
ว่าด้วยบทสนทนาในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังปรับตัวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยก็คือคุณภาพบัณฑิตและความเป็นอิสระทางวิชาการ
สองวันมานี้ผมมานั่งฟังการอภิปรายแนวทางการการปรับเปลี่ยมหาวิทยาลัยไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แม้จะเห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่บางเรื่องก็เหนื่อยใจ
การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สิ่งที่พูดกันในประชาคมมหาวิทยาลัยก็คือเรื่องเก่าๆ เช่น ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ความมั่นคงของอาจารย์ค่าตอบแทนของอาจารย์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อกันสมองไหล การไม่ขึ้นค่าเรียน (เพราะสาเหตุการออกนอกระบบ ถ้าจะขึ้นก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม)
แต่เรื่องที่พูดกันน้อยคือ เรื่องคุณภาพบัณฑิตจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร มหาวิทยาลัยจะรับผิดชอบหรือรับใช้สังคมมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ที่คาใจผมคือการบรรยายของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) ที่บอกว่า การที่มหาวิทยาลัยจะก้าวไปสู่ความเป็นสากลจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย เน้นการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แล้วก็เอาความรู้นั้นมาพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน พร้อมกับบริการวิชาการแก่สังคม และ/หรือเสนอทางเลือกใหม่ๆ แก่สังคม ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย
แต่พอท่าน ยกตัวอย่างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามหาวิทยาลัยแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วก็ยกตัวอย่างว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่มีชื่อติดสื่อ ออกความเห็นผ่านสื่อทุกเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่ผู้รู้จริง แล้วท่านก็เสนอว่าการแสดงความเห็นต่อสาธารณะจะต้องรู้จริง และต้องคำนึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ ต้องมีความเป็นกลาง ตัดอัตตาของตัวเองออกไป
ไม่ควรคิดว่าอาจารย์คนใดคนหนึ่งแสดงความเห็นอะไรออกไปจะเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์คนนั้นเท่านั้น ยังไงก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าจะให้ดีก่อนที่อาจารย์หรือตัวบุคคลจะแสดงความเห็นอะไรออกไป ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อน หรือมีการกลั่นกรองกันภายในมหาวิทยาลัยก่อนว่าสิ่งที่จะเสนอต่อสาธารณะมันจริงหรือไม่? เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่?
ผมฟังถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่นึกในใจว่า ท่านผู้เสนอกำลังคิดว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันองคมนตรีหรืออย่างไร ท่านกำลังพูดเรื่องการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แต่ท่านกลับเสนอให้มี “ระบบเซ็นเซอร์” ความเห็นของอาจารย์ก่อนเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไปลดทอน “ความเป็นสากล” คือ “เสรีภาพทางวิชาการ” เสียเอง
แล้วมันก็น่าแปลกนะครับ การพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นสากล จะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้าง “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ราวกับว่ามหาวิทยาลัยมีวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งดีอยู่แล้ว
พูดซ้ำๆ กันว่าจะต้องพัฒนาให้บัณฑิตมีคุณธรรมจริยธรรม โดยท่านองคมตรียกตัวอย่างคุณธรรมที่ควรส่งเสริม เช่น ความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ผลิตคนจบออกไปแล้วไปโกงแผ่นดิน เผาบ้านเผาเมือง
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ปลง คือผมเห็นด้วยว่ามหาวิทยาลัยต้องวิจัย ต้องรู้จริง (แต่อย่าไปอวดว่ารู้จริงกว่าคนอื่น รู้จริงกว่าชาวบ้าน) และเรื่องที่มหาวิทยาลัยควรวิจัยอย่างยิ่งคือเรื่องบทบาทของกองทัพ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการเมือง ทำอย่างไรจะเอากองทัพออกไปจากการแทรกแซงทางการเมือง บทบาทของสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองจริงหรือไม่ ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลอย่างไร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยควรวิจัยเรื่องความตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้าน คนระดับล่างของสังคม คนต่างจังหวัด (ไม่ใช่เอาน้ำลายสื่อบางค่ายมาพูดว่าชาวบ้านถูกหลอกถูกล้างสมองถูกซื้อฯลฯ) เรื่องทัศนะต่อประชาธิปไตยของคนชั้นกลางในเมืองว่าทำไมจึงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของอำนาจเผด็จการจารีต เป็นต้น
แต่ว่าที่เร่งด่วนกว่า ควรวิจัยว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่พึ่งในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวบ้านไม่ได้ (แต่อธิการบดีของหลายมหาวิทยาลัยกลับเป็นที่พึ่งของ คมช. หรืออำนาจที่ทำรัฐประหารได้)
ถ้ามหาวิทยาลัยไม่แตะเรื่องสำคัญ เช่น บทบาทของกองทัพ สถาบันกษัตริย์ ต่อพัฒนาการประชาธิปไตย และการตื่นตัวเรียกร้องประชาธิปไตยของชาวบ้าน แล้วเสนอทางออกอย่างเป็นหลักวิชาการ เป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยจะอยู่ในระบบนอกระบบ จะเป็นท้องถิ่นหรือก้าวสู่สากล ก็ไม่มีความหมายอะไรต่อสังคมจริงๆ หรอกครับ
ความหมายจริงๆ ที่มีที่เป็นอยู่คือ ความเป็น “มหาวิทยาลัยเทวดา” ที่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์วิมาน ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ชาวบ้านที่เรียกร้องประชาธิปไตยจะตายหรือเป็น
อยู่กันแบบมหาวิทยาลัยเทวดาดีว่า ออกนอกระบบแล้วอาจารย์มีความมั่นคงรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ผู้บริหารมีอำนาจเพิ่ม เอางบประมาณมายำได้อย่างอิสระกว่าเดิมหรือไม่ จะมีสิทธิ์ได้เครื่องราชหรือไม่ ก็คุยกันไปถกเถียงกันไปเพราะเราคือมหาวิทยาลัยเทวดา!
ว่าด้วยบทสนทนาในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังปรับตัวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยก็คือคุณภาพบัณฑิตและความเป็นอิสระทางวิชาการ
สองวันมานี้ผมมานั่งฟังการอภิปรายแนวทางการการปรับเปลี่ยมหาวิทยาลัยไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แม้จะเห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่บางเรื่องก็เหนื่อยใจ
การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สิ่งที่พูดกันในประชาคมมหาวิทยาลัยก็คือเรื่องเก่าๆ เช่น ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ความมั่นคงของอาจารย์ค่าตอบแทนของอาจารย์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อกันสมองไหล การไม่ขึ้นค่าเรียน (เพราะสาเหตุการออกนอกระบบ ถ้าจะขึ้นก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม)
แต่เรื่องที่พูดกันน้อยคือ เรื่องคุณภาพบัณฑิตจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร มหาวิทยาลัยจะรับผิดชอบหรือรับใช้สังคมมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ที่คาใจผมคือการบรรยายของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) ที่บอกว่า การที่มหาวิทยาลัยจะก้าวไปสู่ความเป็นสากลจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย เน้นการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แล้วก็เอาความรู้นั้นมาพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน พร้อมกับบริการวิชาการแก่สังคม และ/หรือเสนอทางเลือกใหม่ๆ แก่สังคม ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย
แต่พอท่าน ยกตัวอย่างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามหาวิทยาลัยแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วก็ยกตัวอย่างว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่มีชื่อติดสื่อ ออกความเห็นผ่านสื่อทุกเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่ผู้รู้จริง แล้วท่านก็เสนอว่าการแสดงความเห็นต่อสาธารณะจะต้องรู้จริง และต้องคำนึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ ต้องมีความเป็นกลาง ตัดอัตตาของตัวเองออกไป
ไม่ควรคิดว่าอาจารย์คนใดคนหนึ่งแสดงความเห็นอะไรออกไปจะเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์คนนั้นเท่านั้น ยังไงก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าจะให้ดีก่อนที่อาจารย์หรือตัวบุคคลจะแสดงความเห็นอะไรออกไป ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อน หรือมีการกลั่นกรองกันภายในมหาวิทยาลัยก่อนว่าสิ่งที่จะเสนอต่อสาธารณะมันจริงหรือไม่? เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่?
ผมฟังถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่นึกในใจว่า ท่านผู้เสนอกำลังคิดว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันองคมนตรีหรืออย่างไร ท่านกำลังพูดเรื่องการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แต่ท่านกลับเสนอให้มี “ระบบเซ็นเซอร์” ความเห็นของอาจารย์ก่อนเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไปลดทอน “ความเป็นสากล” คือ “เสรีภาพทางวิชาการ” เสียเอง
แล้วมันก็น่าแปลกนะครับ การพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นสากล จะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้าง “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ราวกับว่ามหาวิทยาลัยมีวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งดีอยู่แล้ว
พูดซ้ำๆ กันว่าจะต้องพัฒนาให้บัณฑิตมีคุณธรรมจริยธรรม โดยท่านองคมตรียกตัวอย่างคุณธรรมที่ควรส่งเสริม เช่น ความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ผลิตคนจบออกไปแล้วไปโกงแผ่นดิน เผาบ้านเผาเมือง
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ปลง คือผมเห็นด้วยว่ามหาวิทยาลัยต้องวิจัย ต้องรู้จริง (แต่อย่าไปอวดว่ารู้จริงกว่าคนอื่น รู้จริงกว่าชาวบ้าน) และเรื่องที่มหาวิทยาลัยควรวิจัยอย่างยิ่งคือเรื่องบทบาทของกองทัพ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการเมือง ทำอย่างไรจะเอากองทัพออกไปจากการแทรกแซงทางการเมือง บทบาทของสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองจริงหรือไม่ ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลอย่างไร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยควรวิจัยเรื่องความตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้าน คนระดับล่างของสังคม คนต่างจังหวัด (ไม่ใช่เอาน้ำลายสื่อบางค่ายมาพูดว่าชาวบ้านถูกหลอกถูกล้างสมองถูกซื้อฯลฯ) เรื่องทัศนะต่อประชาธิปไตยของคนชั้นกลางในเมืองว่าทำไมจึงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของอำนาจเผด็จการจารีต เป็นต้น
แต่ว่าที่เร่งด่วนกว่า ควรวิจัยว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่พึ่งในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวบ้านไม่ได้ (แต่อธิการบดีของหลายมหาวิทยาลัยกลับเป็นที่พึ่งของ คมช. หรืออำนาจที่ทำรัฐประหารได้)
ถ้ามหาวิทยาลัยไม่แตะเรื่องสำคัญ เช่น บทบาทของกองทัพ สถาบันกษัตริย์ ต่อพัฒนาการประชาธิปไตย และการตื่นตัวเรียกร้องประชาธิปไตยของชาวบ้าน แล้วเสนอทางออกอย่างเป็นหลักวิชาการ เป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยจะอยู่ในระบบนอกระบบ จะเป็นท้องถิ่นหรือก้าวสู่สากล ก็ไม่มีความหมายอะไรต่อสังคมจริงๆ หรอกครับ
ความหมายจริงๆ ที่มีที่เป็นอยู่คือ ความเป็น “มหาวิทยาลัยเทวดา” ที่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์วิมาน ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ชาวบ้านที่เรียกร้องประชาธิปไตยจะตายหรือเป็น
อยู่กันแบบมหาวิทยาลัยเทวดาดีว่า ออกนอกระบบแล้วอาจารย์มีความมั่นคงรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ผู้บริหารมีอำนาจเพิ่ม เอางบประมาณมายำได้อย่างอิสระกว่าเดิมหรือไม่ จะมีสิทธิ์ได้เครื่องราชหรือไม่ ก็คุยกันไปถกเถียงกันไปเพราะเราคือมหาวิทยาลัยเทวดา!
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553
"จตุพร" ซัดตุลาการกุข่าวถูกขู่ฆ่า
ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าถูกโทรศัพท์ขู่ฆ่าว่า ตามหลักการทั่วไปแล้วคนที่ถูกขู่ฆ่าเมื่อได้รับโทรศัพท์สิ่งแรกที่ควรทำคือแจ้งความดำเนินคดี แต่ปรากฏว่าไม่มีการแจ้งความใดๆ ตนไม่เห็นด้วยกับวิธีข่มขู่ แต่กรณีนี้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการกุข่าวกลบความเหลวแหลกภายในศาลรัฐธรรมนูญ จึงขอร้องว่าอย่าใช้วิธีการแบบนักการเมืองชั่ว ถ้าเป็นความจริงตำรวจต้องจับกุมตัวให้ได้ อย่าให้เป็นเพียงการสร้างเรื่องกลบเกลื่อน ส่วนเรื่องที่ตนออกมาพูดถึงการทุจริตการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาก็สุมหัวกันหารือ ไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องนี้ แต่คนที่ได้ข้อสอบจากท่าน 2 รายสารภาพและมีการบันทึกเอาไว้เรียบร้อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ตนไม่ได้พูดแบบโคมลอย แต่มีหลักฐาน เพียงแต่เปิดไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าจะถูกดำเนินคดีฐานนำมาเผยแพร่
นายจตุพร กล่าวว่า เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสัปดาห์หน้าตนจะนำคลิปไปมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญ และนัดสื่อมวลชนมาเปิดดูพร้อมกัน ตนได้ดูแล้วค่อนข้างยาวแต่ชัดเจนมาก เห็นภาพใครนั่งอยู่บ้าง มีเสียงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ที่สารภาพ 2 คน ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานอยู่ในศาล ยืนยันว่าตนไม่ได้แบล็คเมล์อะไร แต่ขอความกรุณาศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายตนมาในสัปดาห์หน้า จะได้ไปเปิดเผยความจริงกัน คลิปนี้ตนไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ แต่เห็นแล้วมันเป็นทุกขเวทนาจริงๆ มันดูแล้วทำให้เข้าใจว่าทำไมคดียุบพรรคถึงมีปัญหา นอกจากนี้ตนยังทราบด้วยว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้แต่งตั้งลูกชายตัวเองเป็นเลขานุการส่วนตัวกินเงินเดือนๆละ 4 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เลย เพราะเดินทางไปเมืองนอกเป็นเวลาปีเศษแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วยกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คิดว่าไม่ควรมีศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ต่อไป เพราะได้ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เป็นเรื่องของคนทำผิดแล้วถูกจับได้ แต่ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นอยู่แบบนี้ พรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบก็ได้
ที่มา.เนชั่น
นายจตุพร กล่าวว่า เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสัปดาห์หน้าตนจะนำคลิปไปมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญ และนัดสื่อมวลชนมาเปิดดูพร้อมกัน ตนได้ดูแล้วค่อนข้างยาวแต่ชัดเจนมาก เห็นภาพใครนั่งอยู่บ้าง มีเสียงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ที่สารภาพ 2 คน ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานอยู่ในศาล ยืนยันว่าตนไม่ได้แบล็คเมล์อะไร แต่ขอความกรุณาศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายตนมาในสัปดาห์หน้า จะได้ไปเปิดเผยความจริงกัน คลิปนี้ตนไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ แต่เห็นแล้วมันเป็นทุกขเวทนาจริงๆ มันดูแล้วทำให้เข้าใจว่าทำไมคดียุบพรรคถึงมีปัญหา นอกจากนี้ตนยังทราบด้วยว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้แต่งตั้งลูกชายตัวเองเป็นเลขานุการส่วนตัวกินเงินเดือนๆละ 4 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เลย เพราะเดินทางไปเมืองนอกเป็นเวลาปีเศษแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วยกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คิดว่าไม่ควรมีศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ต่อไป เพราะได้ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เป็นเรื่องของคนทำผิดแล้วถูกจับได้ แต่ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นอยู่แบบนี้ พรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบก็ได้
ที่มา.เนชั่น
สืบนอกศาลมือมืดใน 'คลิปลับ' หัวขบวน-ไอ้โม่งและนักปล่อยข่าว ภารกิจโค่นอำนาจ 'ปชป.และพวก'
แม้เสียงลึก-ลับ จะถูกเปิดฟังกันที่พรรคการเมืองหนึ่ง ก่อนถูกปล่อยลงในเว็บไซต์สาธารณะหลายวัน
แม้ "เสียง" จาก "คลิปลับ" จะถูกถอดเนื้อความ และบรรยายอย่างละเอียด จะถูกส่งออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง
แต่มือมืดที่ขยายผลเนื้อหาของคลิปภาพและเสียง ยังลอยนวล
ปล่อยให้ "คนในภาพ" เผชิญหน้า ชะตากรรม จำนนด้วยหลักฐาน
อย่างน้อย นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเด้งฟ้าผ่ากลางฤดูฝน
อย่างน้อย วิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็ติดกับดัก ถูกพรรคสอบสวนซ้ำ หลังถูกล่อไปนำสืบนอกศาล
แสงสว่างสาดส่องไปที่ 9 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
แผนล้มรัฐบาล ล้มพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นขบวนการเครือข่ายใต้ดินที่ไม่ปรากฏ "หัวหน้า" ขบวนการ มีเพียง "โฆษกพรรคเพื่อไทย" ที่ออกมายืน กลางแจ้ง
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทย เริ่มขบวนการปล่อยข้อมูลลับ-ชื่อย่อ-ตำแหน่ง ของคนในศาลควบคู่คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องด้วยการชี้เบาะแสคลิปเสียงที่ถูกปล่อยไว้ในเว็บไซต์สาธารณะ
จากนั้นก็อธิบายสำทับ ขยายความด้วยซับไตเติลข้อความใต้ภาพเคลื่อนไหว และโยงเนื้อเรื่องให้น่าติดตาม ด้วยการโชว์กราฟิก ลายเซ็น เรียงลำดับของบุคคลสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดคล้องกับ "ข้อมูล" ของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วิเคราะห์ไว้ว่า
"พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาช่องทางชนะฟาวล์ โดยจะให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเบิกความเป็นพยาน เพราะก่อนหน้านี้ ประธาน กกต.เคยบอกในขั้นตอนการพิจารณาก่อนส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่ผิด" ประธาน ส.ส. เพื่อไทยตอกย้ำความเคลื่อนไหวในคลิปลับ
ข้อความ-ข้อมูลที่ไม่เป็นคุณ สุ่มเสี่ยง เพลี่ยงพล้ำของฝ่ายประชาธิปัตย์ จึงถูก "มือดี" ปล่อยออกมาในชั่วโมงที่ 72 ก่อนที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในฐานะหัวหน้าพรรค จะไปขึ้นศาล สืบพยานผู้ถูกร้องนัดสุดท้าย
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทยยิ้มร่า เมื่อข้อความที่ถูกถอดรหัสอย่างละเอียด ถูกตีความเป็นไปตามแผน
เบื้องหลังรอยยิ้ม มีเสียงของ "ร.ต.อ.เฉลิม" เปิดหน้า ช่วงเดียวกับที่ "นายกรัฐมนตรีและคณะ" ไปให้การ
"พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ พรรคเพื่อไทยไม่วิตกกังวล แต่กรณีที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญต้องเคลียร์ ให้ชัด จะมาทะเล่อทะล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่คนรักพรรคเพื่อไทยก็มี พวกผมมีปัญญาถ่ายคลิปไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ศาล หรือแค่วันนี้จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จากนี้ไปจะต้องรบกัน ผมไม่ยอมให้คนมา กล่าวหาพรรคเพื่อไทย"
ข้อกล่าวหา-กล่าวอ้างเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า กระหึ่มทั่วทั้งเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการฟอร์เวิร์ดเมล์ "คลิปร้อน" ที่ตัดต่อไว้ 5 ตอนรวด
ประธาน ส.ส.เพื่อไทยที่เคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ มีข้อมูลใหม่ "อย่ามาโยนบาปกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยจัดฉากใส่ร้าย ตามหลักกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบแน่นอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์รอด ถือว่าปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว จากข้อมูลพยานหลักฐานมันชัดเจนหมด ยังไงก็ต้องยุบ"
ขณะที่การสืบพยานแต่ละนัด คำให้การของฝ่ายร้อง-กกต. และฝ่ายถูกร้อง-ประชาธิปัตย์ ไม่ถูกขยายความ
แต่ภาพและเสียงที่ปรากฏในคลิปลับ ถูกสืบ-สอบสวนในพื้นที่สาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยพรรคเพื่อไทย
แผนการแคมเปญ การอธิบายรายละเอียดเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่แตกต่างระหว่างคดียุบไทยรักไทย-พลังประชาชน และกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุติไว้ชั่วคราว เพราะเกรงละเมิดอำนาจศาล
ข้อเท็จจริง-พยานเอกสารของฝ่ายถูกร้องทั้งหมด ในการต่อสู้คดีโดย "ดรีมทีมทนายเทวดา" ที่ถูกรวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย จะถูกอธิบายต่อสาธารณะในช่วงที่การสืบพยานเสร็จสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้การต่อสาธารณะว่า "สิ่งที่ผมยืนยันได้ คือ พรรคไม่มีความจำเป็นใด ๆ ไม่มีเจตนาใด ๆ ต้องมาล็อบบี้ศาล พร้อมจะต่อสู้ในเนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันต้องการให้ศาลพิจารณาได้โดยปราศจากการกดดัน หรือล็อบบี้ใด ๆ ขอไม่พูดว่ามีความมั่นใจในคดีหรือไม่ แต่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลไปหมดแล้ว มั่นใจว่าศาลจะต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย"
สอดคล้องกับสมมติฐานของประธาน ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรค ที่เคยตั้งประเด็นไว้ว่า จะมีความพยายามในการกดดันศาลหลายรูปแบบ
ดังนั้นจึงได้มีการสั่งการให้ "ลูกทีม- ลูกพรรค" อยู่ในที่ตั้ง ห้ามให้ความเห็น-ก้าวล่วงในรูปคดี
แต่จนแล้ว-จนรอดก็เพลี่ยงพล้ำ เพราะลูกพรรคไปพัวพัน-พูดคุยเรื่องคดี กับคนนอกพรรค ที่มีตำแหน่งแห่งหนสำคัญ ต่อรูปคดี
24 ชั่วโมง หลังคลิปเสียง-ภาพปรากฏ สู่เว็บไซต์สาธารณะ คณะตุลาการ 5 คน แถลงข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
"กรณีที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกทางสื่อมวลชนได้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ขอชี้แจงว่าคลิปที่ปรากฏภาพของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของศาลได้ ดังนั้น นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำสั่งปลด นายพสิษฐ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพสิษฐ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
"ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชน มั่นใจการทำงานของศาล"
คำให้การของพยานฝ่ายผู้ถูกร้องถูกเปิดเผย เปิดตัว เปิดหน้า
ถ้อยแถลง-ท่าทีของคณะตุลาการถูกยืนยันเจตนา ด้วยการ "ปลด" คนที่พัวพันในคดี
การนำสืบจากคลิปลับ จึงเหลือ เพียง "ไอ้โม่ง" หัวขบวน ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการแผนซ้อนแผน ที่ยังไม่เผยตัวในที่แจ้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
แม้ "เสียง" จาก "คลิปลับ" จะถูกถอดเนื้อความ และบรรยายอย่างละเอียด จะถูกส่งออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง
แต่มือมืดที่ขยายผลเนื้อหาของคลิปภาพและเสียง ยังลอยนวล
ปล่อยให้ "คนในภาพ" เผชิญหน้า ชะตากรรม จำนนด้วยหลักฐาน
อย่างน้อย นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเด้งฟ้าผ่ากลางฤดูฝน
อย่างน้อย วิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็ติดกับดัก ถูกพรรคสอบสวนซ้ำ หลังถูกล่อไปนำสืบนอกศาล
แสงสว่างสาดส่องไปที่ 9 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
แผนล้มรัฐบาล ล้มพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นขบวนการเครือข่ายใต้ดินที่ไม่ปรากฏ "หัวหน้า" ขบวนการ มีเพียง "โฆษกพรรคเพื่อไทย" ที่ออกมายืน กลางแจ้ง
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทย เริ่มขบวนการปล่อยข้อมูลลับ-ชื่อย่อ-ตำแหน่ง ของคนในศาลควบคู่คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องด้วยการชี้เบาะแสคลิปเสียงที่ถูกปล่อยไว้ในเว็บไซต์สาธารณะ
จากนั้นก็อธิบายสำทับ ขยายความด้วยซับไตเติลข้อความใต้ภาพเคลื่อนไหว และโยงเนื้อเรื่องให้น่าติดตาม ด้วยการโชว์กราฟิก ลายเซ็น เรียงลำดับของบุคคลสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดคล้องกับ "ข้อมูล" ของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วิเคราะห์ไว้ว่า
"พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาช่องทางชนะฟาวล์ โดยจะให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเบิกความเป็นพยาน เพราะก่อนหน้านี้ ประธาน กกต.เคยบอกในขั้นตอนการพิจารณาก่อนส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่ผิด" ประธาน ส.ส. เพื่อไทยตอกย้ำความเคลื่อนไหวในคลิปลับ
ข้อความ-ข้อมูลที่ไม่เป็นคุณ สุ่มเสี่ยง เพลี่ยงพล้ำของฝ่ายประชาธิปัตย์ จึงถูก "มือดี" ปล่อยออกมาในชั่วโมงที่ 72 ก่อนที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในฐานะหัวหน้าพรรค จะไปขึ้นศาล สืบพยานผู้ถูกร้องนัดสุดท้าย
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทยยิ้มร่า เมื่อข้อความที่ถูกถอดรหัสอย่างละเอียด ถูกตีความเป็นไปตามแผน
เบื้องหลังรอยยิ้ม มีเสียงของ "ร.ต.อ.เฉลิม" เปิดหน้า ช่วงเดียวกับที่ "นายกรัฐมนตรีและคณะ" ไปให้การ
"พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ พรรคเพื่อไทยไม่วิตกกังวล แต่กรณีที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญต้องเคลียร์ ให้ชัด จะมาทะเล่อทะล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่คนรักพรรคเพื่อไทยก็มี พวกผมมีปัญญาถ่ายคลิปไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ศาล หรือแค่วันนี้จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จากนี้ไปจะต้องรบกัน ผมไม่ยอมให้คนมา กล่าวหาพรรคเพื่อไทย"
ข้อกล่าวหา-กล่าวอ้างเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า กระหึ่มทั่วทั้งเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการฟอร์เวิร์ดเมล์ "คลิปร้อน" ที่ตัดต่อไว้ 5 ตอนรวด
ประธาน ส.ส.เพื่อไทยที่เคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ มีข้อมูลใหม่ "อย่ามาโยนบาปกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยจัดฉากใส่ร้าย ตามหลักกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบแน่นอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์รอด ถือว่าปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว จากข้อมูลพยานหลักฐานมันชัดเจนหมด ยังไงก็ต้องยุบ"
ขณะที่การสืบพยานแต่ละนัด คำให้การของฝ่ายร้อง-กกต. และฝ่ายถูกร้อง-ประชาธิปัตย์ ไม่ถูกขยายความ
แต่ภาพและเสียงที่ปรากฏในคลิปลับ ถูกสืบ-สอบสวนในพื้นที่สาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยพรรคเพื่อไทย
แผนการแคมเปญ การอธิบายรายละเอียดเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่แตกต่างระหว่างคดียุบไทยรักไทย-พลังประชาชน และกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุติไว้ชั่วคราว เพราะเกรงละเมิดอำนาจศาล
ข้อเท็จจริง-พยานเอกสารของฝ่ายถูกร้องทั้งหมด ในการต่อสู้คดีโดย "ดรีมทีมทนายเทวดา" ที่ถูกรวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย จะถูกอธิบายต่อสาธารณะในช่วงที่การสืบพยานเสร็จสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้การต่อสาธารณะว่า "สิ่งที่ผมยืนยันได้ คือ พรรคไม่มีความจำเป็นใด ๆ ไม่มีเจตนาใด ๆ ต้องมาล็อบบี้ศาล พร้อมจะต่อสู้ในเนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันต้องการให้ศาลพิจารณาได้โดยปราศจากการกดดัน หรือล็อบบี้ใด ๆ ขอไม่พูดว่ามีความมั่นใจในคดีหรือไม่ แต่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลไปหมดแล้ว มั่นใจว่าศาลจะต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย"
สอดคล้องกับสมมติฐานของประธาน ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรค ที่เคยตั้งประเด็นไว้ว่า จะมีความพยายามในการกดดันศาลหลายรูปแบบ
ดังนั้นจึงได้มีการสั่งการให้ "ลูกทีม- ลูกพรรค" อยู่ในที่ตั้ง ห้ามให้ความเห็น-ก้าวล่วงในรูปคดี
แต่จนแล้ว-จนรอดก็เพลี่ยงพล้ำ เพราะลูกพรรคไปพัวพัน-พูดคุยเรื่องคดี กับคนนอกพรรค ที่มีตำแหน่งแห่งหนสำคัญ ต่อรูปคดี
24 ชั่วโมง หลังคลิปเสียง-ภาพปรากฏ สู่เว็บไซต์สาธารณะ คณะตุลาการ 5 คน แถลงข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
"กรณีที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกทางสื่อมวลชนได้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ขอชี้แจงว่าคลิปที่ปรากฏภาพของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของศาลได้ ดังนั้น นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำสั่งปลด นายพสิษฐ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพสิษฐ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
"ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชน มั่นใจการทำงานของศาล"
คำให้การของพยานฝ่ายผู้ถูกร้องถูกเปิดเผย เปิดตัว เปิดหน้า
ถ้อยแถลง-ท่าทีของคณะตุลาการถูกยืนยันเจตนา ด้วยการ "ปลด" คนที่พัวพันในคดี
การนำสืบจากคลิปลับ จึงเหลือ เพียง "ไอ้โม่ง" หัวขบวน ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการแผนซ้อนแผน ที่ยังไม่เผยตัวในที่แจ้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ปล้นชาติ
มาอีกรายการแล้ว...ท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็งานประมูลทุบทิ้งเสาโฮปเวลล์... อนุสาวรีย์แห่งการคอร์รัปชั่น..ของ.. ฯพณฯ ทั้งหลายวันนี้ค่ารับเหมาทุบทิ้ง...มาถึง ผู้รับเหมาต้นละ 5 แสนบาท..มีเสาอยู่ 520 ต้น..ถ้าทุบหมด..ประเทศต้องจ่าย เงินให้กับผู้รับเหมา..เกือบ 300 ล้าน..
ในเสา 1 ต้น..ให้ขุดลึกลงไป 3 เมตร..ให้เอาเศษเหล็กไปขายได้..จะได้ต้น ละ 3 แสนบาท..ราคาเศษเหล็กวันนี้..กิโล ละ 14 บาท..แบบว่าโรงถลุงแย่งกันซื้อ..
ปูนที่ทุบทิ้ง..ยังมีราคาต้นละกว่า 1 หมื่นบาท..รวมแล้วผู้รับเหมาทุบเสาโฮปเวลล์.. จะได้เงินไประหว่าง 8-9 แสนบาท..ว่ากันไปแล้ว..เสาโฮปเวลล์ 1 ต้นในวันนี้..ก็เหมือนเหมืองแร่เหล็ก..ที่ สำเร็จรูปพร้อมใช้..ที่มี..ปูนซีเมนต์หุ้มห่อ ไว้หนาไม่กี่คืบ..ไม่ต้องจ่าย 5 แสนบาท.. แถมยังให้ผู้ประเมินจ่ายกลับมาประเทศ ยังจะส่วนแบ่งจากค่าเศษเหล็ก..
วันนี้มีป้ายติดอยู่ข้างถนนมากมาย.. รับทุบตึกและรื้ออาคารให้ฟรี..เสาโฮปเวลล์ ทั้ง 520 ต้น..ถ้าเอามาประมูลขายยังได้ตังค์ แต่วันนี้กลับจ่ายตังค์ไปให้เขาทุบแถมแจกเหล็กกับเศษปูนให้เขาไปขาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....เปิดหูเปิดตา ดูแล...ไม่ว่าผลงานกระทรวงไหน..ก็เป็น ไปในรัฐบาลของท่าน..เศษเหล็กต้นละ 40 ตัน..มันเป็น สินค้าขายได้..แถมยังไม่ใช่เศษเหล็ก..มันเป็นเหล็กใหญ่เส้นยาวที่พร้อมนำไปใช้งาน..ราคามันสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไป..แถม คุณภาพยังเหนือกว่า..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันนี้เขายังแค่ ทุบเพียงต้น...ระวังอย่าให้อีก 520 ต้นตามมา..ระวังทีโออาร์จะฝั่งคอร์-รัปชั่นขนานใหญ่วันนี้คนได้สัมปทานรถไฟฟ้าหลากสี..มีความจำเป็นจะต้องใช้เหล็ก ขนาดใหญ่..ต่อไปเหล็กจะมีราคา.. เสาโฮปเวลล์แต่ละต้นคือธนาคารเหล็ก..อย่าให้โจรเขมือบไปขาย..อย่า ให้มันออกอุบายปล้นชาติ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ศรัทธาที่ ท่านมีคือความเป็นคนไม่โลภโมโทสัน.. รักษามันไว้..อย่าพายเรือให้โจรนั่ง.. อย่านั่งในเรือที่โจรพาย..การเมืองของ คนแก่..อีกไม่นานก็แพ้สังขารกันไปหมด..อนาคตของท่านอยู่กับปัจจุบันในวันนี้..ทำวันนี้ให้ดี..เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า..
ที่มา.สยามธุรกิจ
ในเสา 1 ต้น..ให้ขุดลึกลงไป 3 เมตร..ให้เอาเศษเหล็กไปขายได้..จะได้ต้น ละ 3 แสนบาท..ราคาเศษเหล็กวันนี้..กิโล ละ 14 บาท..แบบว่าโรงถลุงแย่งกันซื้อ..
ปูนที่ทุบทิ้ง..ยังมีราคาต้นละกว่า 1 หมื่นบาท..รวมแล้วผู้รับเหมาทุบเสาโฮปเวลล์.. จะได้เงินไประหว่าง 8-9 แสนบาท..ว่ากันไปแล้ว..เสาโฮปเวลล์ 1 ต้นในวันนี้..ก็เหมือนเหมืองแร่เหล็ก..ที่ สำเร็จรูปพร้อมใช้..ที่มี..ปูนซีเมนต์หุ้มห่อ ไว้หนาไม่กี่คืบ..ไม่ต้องจ่าย 5 แสนบาท.. แถมยังให้ผู้ประเมินจ่ายกลับมาประเทศ ยังจะส่วนแบ่งจากค่าเศษเหล็ก..
วันนี้มีป้ายติดอยู่ข้างถนนมากมาย.. รับทุบตึกและรื้ออาคารให้ฟรี..เสาโฮปเวลล์ ทั้ง 520 ต้น..ถ้าเอามาประมูลขายยังได้ตังค์ แต่วันนี้กลับจ่ายตังค์ไปให้เขาทุบแถมแจกเหล็กกับเศษปูนให้เขาไปขาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....เปิดหูเปิดตา ดูแล...ไม่ว่าผลงานกระทรวงไหน..ก็เป็น ไปในรัฐบาลของท่าน..เศษเหล็กต้นละ 40 ตัน..มันเป็น สินค้าขายได้..แถมยังไม่ใช่เศษเหล็ก..มันเป็นเหล็กใหญ่เส้นยาวที่พร้อมนำไปใช้งาน..ราคามันสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไป..แถม คุณภาพยังเหนือกว่า..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันนี้เขายังแค่ ทุบเพียงต้น...ระวังอย่าให้อีก 520 ต้นตามมา..ระวังทีโออาร์จะฝั่งคอร์-รัปชั่นขนานใหญ่วันนี้คนได้สัมปทานรถไฟฟ้าหลากสี..มีความจำเป็นจะต้องใช้เหล็ก ขนาดใหญ่..ต่อไปเหล็กจะมีราคา.. เสาโฮปเวลล์แต่ละต้นคือธนาคารเหล็ก..อย่าให้โจรเขมือบไปขาย..อย่า ให้มันออกอุบายปล้นชาติ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ศรัทธาที่ ท่านมีคือความเป็นคนไม่โลภโมโทสัน.. รักษามันไว้..อย่าพายเรือให้โจรนั่ง.. อย่านั่งในเรือที่โจรพาย..การเมืองของ คนแก่..อีกไม่นานก็แพ้สังขารกันไปหมด..อนาคตของท่านอยู่กับปัจจุบันในวันนี้..ทำวันนี้ให้ดี..เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า..
ที่มา.สยามธุรกิจ
แกะรอย ณัฐวุฒิ-จตุพร-จักรภพ-วีระ โอนหุ้นโทรทัศน์แดง PTV 2 บริษัท 40 ล้านอุตลุตช่วงปี2550 ให้ใครบ้าง
แม้ว่า "เขาพลายดำรีสอร์ท" ใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช (แหล่งพักพิกของนายจตุพร พรมหพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ) ไม่มีชื่อของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถือครองแม้แต่หุ้นเดียว
กระนั้นมี 2 บริษัทที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.เหล่านี้ร่วมกันถือหุ้น
นั่นคือ บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด หรือทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อ 2 ปีก่อน
ประการสำคัญหากเจาะลึกพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตกว่า 40 ล้านบาท กล่าวคือ
1.บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2545 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 7 คน ประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 15,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายอนกูล ก้องกูล นายชนินทร์ หวันกะมา คนละ 10,000 หุ้น นายวุฒิไกร ทองอ่อน 2,000 หุ้น นายเชิดศักดิ์ พงศ์เวตร และนายสาวธัญรัตน์ พุทธสุข คนละ 1,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ดูตารางประกอบ)
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 (ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ โดยนายณัฐวุฒิถือ 20,000 หุ้น นายจตุพร 10,000 หุ้น นายวีระ 10,000 หุ้น ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร คนละ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 45 ล้านบาท (จาก 5 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท) นายณัฐวุฒิได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) นายจตุพร 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท) นายวีระ 100,000 หุ้น ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ได้เพิ่มสัดส่วนเป็นคนละ 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 นายจักรภพ เพ็ญแข ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เป็นครั้งแรก โดยได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิ จำนวน 100,000 หุ้น เท่ากับ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นายวีระ และ นายจักรภพ ถือหุ้นเท่ากับคนละ 100,000 หุ้น (มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท) ส่วนที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ถือครองหุ้นจำนวนเท่าเดิม คนละ 25,000 หุ้น
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 100,000 หุ้น รวม 200,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 90,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 115,000 หุ้น)
และ นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ 10,000 หุ้น (นายอุกฤษฏฺ์ เข้ามาถือเป็นครั้งแรก อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช)
ส่วนนายวีระ และ นายจักรภพ ถือครองหุ้นเท่าเดิมคนละ 100,000 หุ้น
วันที่ 15 มกราคม 2551 (รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯวันที่ 6 ก.พ.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯกำกับสื่อของรัฐ) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 คนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้น 100,000 หุ้นไปให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 (รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯวันที่ 25 ก.ย.2551) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก 100,000 หุ้น เหลือ 20,000 หุ้น อีก 80,000 หุ้นได้โอนไปให้ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้นายนิรันดร์เพิ่มสัดส่วนจาก 115,000 หุ้น เป็น 195,000 หุ้นวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯวันที่ 22 ธ.ค.2551) บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ซึ่งมีนายวีระ เป็นกรรมการ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท (จาก 50 ล้านบาทเป็น 90 ล้านบาท) แบ่งเป็น 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีการกระจายให้ผู้ถือหุ้น 7 คน
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายสุชาติ ประเสริฐศรี จาก 100,000 หุ้น เพิ่มเป็น 180,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์ จาก 20,000 หุ้น เพิ่มเป็น 36,000 หุ้น
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 195,000 หุ้น เพิ่มเป็น 351,000 หุ้น
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร จาก 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 45,000 หุ้น
นายอุกฤษก์ ชลสินธุ์ จาก 10,000 หุ้น เพิ่มเป็น 18,000 หุ้น
2. บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 มีผู้ถือหุ้น 8 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนละ 10,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่าคนละ 2,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 100 บาท มีนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 10,000 หุ้น รวม 20,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 10,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้น เป็น 12,500 หุ้น) นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า คนละ 5,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้นเป็น 7,500 หุ้น)
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 นายวีระได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 รายคือขอเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ใหม่คือนายนิรันดร์ แก่นยะมูล ซึ่งที่ถือ 12,500 หุ้น ลดเหลือ 11,500 หุ้น อีก 1,000 หุ้นโอนให้ให้นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์
วันที่ 31 มกราคม 2551 นายวีระ ได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น1 รายคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้นให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 นายวีระได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือ 2,000 หุ้น ที่เหลือ 8,000 หุ้น ได้โอนไปให้นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้มนายนิรันดร์มีสัดส่วนจาก 11,500 หุ้นเป็น 19,500 หุ้น
กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2552 หุ้นของนายนิรันดร์ แก่นยะกูล จำนวน 8000 หุ้น ได้โอนกลับมาให้นายวีระเหมือนเดิม ทำให้นายวีระมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10,000 หุ้น
กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
นายณัฐวุฒิถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 200,000 หุ้น (ขณะเพิ่มทุนในช่วงปี 2550 และยังไม่โอนให้บุคคลอื่น) มูลค่า 20 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมมูลค่า 21 ล้านบาท
นายจตุพร ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นายจักรภพ เพ็ญแข ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ช่วงปี 2550 (รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิวันที่ 4 มิถุนายน 2550) จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท , บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นายวีระ มุสิกพงศ์ ถือครอง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
กล่าวเฉพาะนายณัฐวุฒิ ในช่วงนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ มีตำแหน่งเป็นรองโฆษรัฐบาล บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มิได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ใครทราบว่านายณัฐวุฒิแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินฝาก 2,599,939 บาท หนี้สิน เงินกู้ 2,750,112 บาท
นายจักรภพ เพ็ญแข ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ระบุว่าทรัพย์สิน 10.3 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินสดและเงินฝาก 1.1 ล้านบาท หนี้สิน 1.7 ล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าวย่อมต้องเกิดคำถามทันทีนอกจาก"ที่มา"ของเงินลงทุน 40-50 ล้านบาทของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และเครือข่ายแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้น (ถ้าขาย) หายไปอย่างพิสดารได้อย่างไร?
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************************
กระนั้นมี 2 บริษัทที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.เหล่านี้ร่วมกันถือหุ้น
นั่นคือ บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด หรือทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อ 2 ปีก่อน
ประการสำคัญหากเจาะลึกพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตกว่า 40 ล้านบาท กล่าวคือ
1.บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2545 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 7 คน ประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 15,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายอนกูล ก้องกูล นายชนินทร์ หวันกะมา คนละ 10,000 หุ้น นายวุฒิไกร ทองอ่อน 2,000 หุ้น นายเชิดศักดิ์ พงศ์เวตร และนายสาวธัญรัตน์ พุทธสุข คนละ 1,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ดูตารางประกอบ)
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 (ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ โดยนายณัฐวุฒิถือ 20,000 หุ้น นายจตุพร 10,000 หุ้น นายวีระ 10,000 หุ้น ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร คนละ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 45 ล้านบาท (จาก 5 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท) นายณัฐวุฒิได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) นายจตุพร 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท) นายวีระ 100,000 หุ้น ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ได้เพิ่มสัดส่วนเป็นคนละ 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 นายจักรภพ เพ็ญแข ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เป็นครั้งแรก โดยได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิ จำนวน 100,000 หุ้น เท่ากับ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นายวีระ และ นายจักรภพ ถือหุ้นเท่ากับคนละ 100,000 หุ้น (มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท) ส่วนที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ถือครองหุ้นจำนวนเท่าเดิม คนละ 25,000 หุ้น
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 100,000 หุ้น รวม 200,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 90,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 115,000 หุ้น)
และ นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ 10,000 หุ้น (นายอุกฤษฏฺ์ เข้ามาถือเป็นครั้งแรก อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช)
ส่วนนายวีระ และ นายจักรภพ ถือครองหุ้นเท่าเดิมคนละ 100,000 หุ้น
วันที่ 15 มกราคม 2551 (รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯวันที่ 6 ก.พ.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯกำกับสื่อของรัฐ) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 คนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้น 100,000 หุ้นไปให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 (รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯวันที่ 25 ก.ย.2551) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก 100,000 หุ้น เหลือ 20,000 หุ้น อีก 80,000 หุ้นได้โอนไปให้ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้นายนิรันดร์เพิ่มสัดส่วนจาก 115,000 หุ้น เป็น 195,000 หุ้นวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯวันที่ 22 ธ.ค.2551) บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ซึ่งมีนายวีระ เป็นกรรมการ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท (จาก 50 ล้านบาทเป็น 90 ล้านบาท) แบ่งเป็น 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีการกระจายให้ผู้ถือหุ้น 7 คน
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายสุชาติ ประเสริฐศรี จาก 100,000 หุ้น เพิ่มเป็น 180,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์ จาก 20,000 หุ้น เพิ่มเป็น 36,000 หุ้น
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 195,000 หุ้น เพิ่มเป็น 351,000 หุ้น
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร จาก 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 45,000 หุ้น
นายอุกฤษก์ ชลสินธุ์ จาก 10,000 หุ้น เพิ่มเป็น 18,000 หุ้น
2. บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 มีผู้ถือหุ้น 8 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนละ 10,000 หุ้น นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่าคนละ 2,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 100 บาท มีนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 10,000 หุ้น รวม 20,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 10,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้น เป็น 12,500 หุ้น) นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า คนละ 5,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้นเป็น 7,500 หุ้น)
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 นายวีระได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 รายคือขอเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ใหม่คือนายนิรันดร์ แก่นยะมูล ซึ่งที่ถือ 12,500 หุ้น ลดเหลือ 11,500 หุ้น อีก 1,000 หุ้นโอนให้ให้นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์
วันที่ 31 มกราคม 2551 นายวีระ ได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น1 รายคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้นให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี ทั้งหมด
วันที่ 11 กันยายน 2551 นายวีระได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือ 2,000 หุ้น ที่เหลือ 8,000 หุ้น ได้โอนไปให้นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้มนายนิรันดร์มีสัดส่วนจาก 11,500 หุ้นเป็น 19,500 หุ้น
กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2552 หุ้นของนายนิรันดร์ แก่นยะกูล จำนวน 8000 หุ้น ได้โอนกลับมาให้นายวีระเหมือนเดิม ทำให้นายวีระมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10,000 หุ้น
กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
นายณัฐวุฒิถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 200,000 หุ้น (ขณะเพิ่มทุนในช่วงปี 2550 และยังไม่โอนให้บุคคลอื่น) มูลค่า 20 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมมูลค่า 21 ล้านบาท
นายจตุพร ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นายจักรภพ เพ็ญแข ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ช่วงปี 2550 (รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิวันที่ 4 มิถุนายน 2550) จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท , บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
นายวีระ มุสิกพงศ์ ถือครอง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท
กล่าวเฉพาะนายณัฐวุฒิ ในช่วงนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ มีตำแหน่งเป็นรองโฆษรัฐบาล บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มิได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ใครทราบว่านายณัฐวุฒิแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินฝาก 2,599,939 บาท หนี้สิน เงินกู้ 2,750,112 บาท
นายจักรภพ เพ็ญแข ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ระบุว่าทรัพย์สิน 10.3 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินสดและเงินฝาก 1.1 ล้านบาท หนี้สิน 1.7 ล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าวย่อมต้องเกิดคำถามทันทีนอกจาก"ที่มา"ของเงินลงทุน 40-50 ล้านบาทของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และเครือข่ายแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้น (ถ้าขาย) หายไปอย่างพิสดารได้อย่างไร?
การถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด
25 ธ.ค.2549 | 18 ม.ค.2550 (เพิ่มทุนเป็น 50 ล้าน) | 4 มิ.ย.2550 |
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 2,500 หุ้น | นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 25,000 หุ้น | นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 25,000 หุ้น |
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 2,500 หุ้น | นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 25,000 หุ้น | นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 25,000 หุ้น |
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 20,000 หุ้น | นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 200,000 หุ้น | นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 100,000 หุ้น |
นายจตุพร พรหมพันธุ์ 10,000 หุ้น | นายจตุพร พรหมพันธุ์ 100,000 หุ้น | นายจตุพร พรหมพันธุ์ 100,000 หุ้น |
นายวีระ มุสิกพงศ์ 10,000 หุ้น | นายวีระ มุสิกพงศ์ 100,000 หุ้น | นายวีระ มุสิกพงศ์ 100,000 หุ้น |
นายนิรันดร์ แก่นยะกูล 2,500 หุ้น | นายนิรันดร์ แก่นยะกูล 25,000 หุ้น | นายนิรันดร์ แก่นยะกูล 25,000 หุ้น |
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร 2,500 หุ้น | นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร 25,000 หุ้น | นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร 25,000 หุ้น |
นายจักรภพ เพ็ญแข 100,000 หุ้น |
31 ต.ค.2551 | 15 ม.ค.2551 | 11 ก.ย.2551 |
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น | นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น | นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น |
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น | นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น | นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 75,000 หุ้น |
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - | นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - | นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - |
นายจตุพร พรหมพันธุ์ - | นายจตุพร พรหมพันธุ์ - | นายจตุพร พรหมพันธุ์ - |
นายวีระ มุสิกพงศ์ 100,000 หุ้น | นายวีระ มุสิกพงศ์ 100,000 หุ้น | นายวีระ มุสิกพงศ์ 20,000 หุ้น |
นายนิรันดร์ แก่นยะกูล 115,000 หุ้น | นายนิรันดร์ แก่นยะกูล 115,000 หุ้น | function BackPage() {history.back();} --> |
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************************
เมื่อการขายรองเท้าแตะกล่ายเป็น “อาชญากรรมร้ายแรง” ในประเทศไทย
การจับกุมในลักษณะดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก โดยเมื่อวันที่ 3ตุลาคม น.ส.อมรวัลย์ เจริญกิจ แม่ค้าขายรองเท้าแตะลายพิมพ์คล้ายหน้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยถูกจับกุมที่ จ.อยุธยาภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง แม้ว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจ.อยุธยา จะถูกยกเลิกแล้วก็ตาม
นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ออกมาสนับสนุนการจับกุมดังกล่าวว่าการขายรองเท้าดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
หลายคนคงอยากถามเจ้าหน้ารัฐและนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ว่าการที่กลุ่มอำมาตย์ส่งมือปืนซุ่มยิงไปยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ พยาบาลอาสา นักข่าวและประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงจับกุมคุมขังและคุกคามฝ่ายตรงข้าม เป็นการข่มเหงรังแกผู้อื่น และละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากใช่เหตุใดผู้บ่งการยังลอยหน้าลอยหน้าลอยนวลอยู่ หรือพวกท่านเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่คิดต่างจากท่าน “ไม่ใช่มนุษย์”?
ที่มา:
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)