โดย:วรเจตน์ ภาคีรัตน์
1.ข้อความทั่วไป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ วรรคสองว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม” นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการบัญญัติคำว่า “หลักนิติธรรม” ไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามหากไปตรวจดูประวัติการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะพบว่าแต่เดิมในชั้นยกร่างนั้น ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกได้ใช้คำว่า “หลักนิติรัฐ” ไม่ใช่ “หลักนิติธรรม”ไม่ปรากฏเหตุผลในการจัดทำรัฐธรรมนูญว่า เหตุใดในเวลาต่อมา ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจึงได้เปลี่ยนแปลงคำว่า “หลักนิติรัฐ” เป็นคำว่า “หลักนิติธรรม” ไม่ปรากฏการอภิปรายว่าผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญเข้าใจหลักการทั้งสองว่าอย่างไร และโดยสรุปแล้วหลักการทั้งสองเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร1 ยิ่งไปกว่านั้น หากไปสำรวจตรวจสอบบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน โดยอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมที่ยอมรับนับถือกันเป็นสากลแล้ว จะพบว่าบทบัญญัติหลายมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าวเลย บทความนี้จะสำรวจตรวจสอบความหมาย ความเป็นมา ตลอดจนเนื้อหาของหลักการทั้งสองดังกล่าว พร้อมทั้งจะได้ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างของหลักการทั้งสองโดยสังเขป
โดยทั่วไปเราใช้คำว่าหลักนิติรัฐกับหลักนิติธรรมคู่กันไป โดยที่ไม่ได้แยกแยะความแตกต่างในรายละเอียด อันที่จริงจะว่าการใช้ถ้อยคำทั้งสองคำในความหมายอย่างเดียวกันเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงของผู้ใช้ถ้อยคำนี้คงจะไม่ได้ เพราะทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างก็ได้รับการพัฒนาขึ้นโลกตะวันตกโดยมีเป้าหมายที่จะจำกัดอำนาจของผู้ปกครองให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างก็ไม่ต้องการให้มนุษย์ปกครองมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ต้องการให้กฎหมายเป็นผู้ปกครองมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ทรงอำนาจบริหารปกครองบ้านเมืองจะกระทำการใดๆก็ตาม การกระทำนั้นจะต้องสอดคล้องกับกฎหมาย จะกระทำการให้ขัดต่อกฎหมายไม่ได้
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว จะพบว่าหลักการทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ สาเหตุแห่งความแตกต่างนั้นอยู่ที่พัฒนาการในทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความคิดว่าด้วยหลักนิติรัฐและในอังกฤษซึ่งพัฒนาความคิดว่าด้วยหลักนิติธรรมขึ้น ความแตกต่างของหลักการทั้งสองในรายละเอียดนั้นไม่เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะหลักการทั้งสองเกี่ยวพันกับ “กฎหมาย” แต่ “กฎหมาย” นั้น กฎหมายเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาของชนแต่ละชาติ ความเข้าใจบางประการที่แตกต่างกันที่ชนชาติเยอรมันและอังกฤษมีต่อมโนทัศน์ว่าด้วย “กฎหมาย” ตลอดจนประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองที่แตกต่างกันของชนชาติทั้งสองย่อมส่งผลต่อเนื้อหาของหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม และต่อการจัดโครงสร้าง บทบาท และความสัมพันธ์ขององค์กรของรัฐด้วย หลักนิติรัฐซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังในเยอรมนีในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้านั้นได้แผ่ขยายอิทธิพลออกไปทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกฎหมายมหาชนในอิตาลีที่ได้รวมชาติขึ้นสำเร็จในช่วงเวลานั้นและต่อฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่สาม ส่วนหลักนิติธรรมซึ่งมีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและรัฐธรรมนูญของอังกฤษตั้งแต่สมัยที่ชาวนอร์แมนเข้ายึดครองเกาะอังกฤษนั้น ก็มีอิทธิพลไม่น้อยต่อโครงสร้างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและต่อหลายประเทศที่ได้รับแนวความคิดจากสถาบันการเมืองการปกครองของอังกฤษ2
2.หลักนิติรัฐ (Rechtsstaatsprinzip)
2.1 พัฒนาการของหลักนิติรัฐ
คำว่า “นิติรัฐ” เป็นคำที่แปลมาจากภาษาเยอรมันว่า “Rechtsstaat” คำว่า “Rechtsstaat” ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือ คำว่า Recht ที่แปลว่า กฎหมาย (ในภาษาเยอรมันคำๆนี้สามารถแปลว่า “สิทธิ” ได้ด้วย) และคำว่า Staat ที่แปลว่า รัฐ แต่คำสองคำนี้เมื่อมารวมกันแล้วได้กลายเป็นคำศัพท์ทางนิติศาสตร์ในระบบกฎหมายเยอรมันซึ่งยากจะหาคำในภาษาต่างประเทศที่แปลแล้วให้ความหมายได้ตรงกับคำในภาษาเดิม ตำราที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษจำนวนหนึ่งได้ใช้คำๆนี้ทับศัพท์ภาษาเยอรมันโดยไม่แปล3 อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการแปลคำว่า Rechtsstaat อยู่เช่นกัน ถึงแม้ว่าคำแปลที่พยายามคิดกันขึ้นนั้นไม่สามารถสื่อความหมายของคำว่า Rechtsstaat ได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม เช่น ในระบบกฎหมายอังกฤษ แปลคำว่า Rechtsstaat ว่า rule of law หรือ state-under-law4 ระบบกฎหมายฝรั่งเศสแปลว่า état constitutionnel แต่ตำรากฎหมายฝรั่งเศสยุคหลังๆมักแปลว่า état de droit ซึ่งเป็นแนวโน้มการแปลในภาษาอื่นๆด้วย คือแปลตรงตัว เช่น ระบบกฎหมายอิตาลี แปลว่า Stato di diritto หรือระบบกฎหมายสเปนแปลว่า Estato de derecho เป็นต้น สำหรับในสหรัฐอเมริกาหากไม่แปลคำว่า Rechtsstaat ว่า rule of law ก็มักจะยกเอาหลักการในทางกฎหมายที่มีเนื้อหาบางส่วนที่คล้ายคลึงกับ Rechtsstaat มาเทียบเคียง เช่น due-process-clause หรือการกล่าวถึง limited government ในฐานะมโนทัศน์ทางกฎหมายที่ใกล้เคียงกับ Rechtsstaat เป็นต้น
ในทางวิชาการ ไม่ว่าจะแปลคำว่า Rechtsstaat ว่าอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญย่อมอยู่ที่ความหมายอันเป็นแก่นแท้ของหลักการนี้ กล่าวคือ การปกครองใน Rechtsstaat หรือนิติรัฐนั้น กฎหมายจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองใช้อำนาจตามอำเภอใจ ภายใต้กฎหมายบุคคลทุกคนต้องเสมอภาคกัน และบุคคลจะต้องสามารถทราบก่อนล่วงหน้าว่ากฎหมายมุ่งประสงค์จะบังคับให้ตนทำอะไรหรือไม่ให้ตนทำอะไร ผลร้ายอันเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายคืออะไร ทั้งนี้เพื่อที่จะบุคคลได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมาย แนวความคิดพื้นฐานดังกล่าวนี้ย่อมจะก่อให้เกิดหลักต่างๆตามมาในทางกฎหมายมากมาย เช่น หลักไม่มีความผิด ไม่มีโทษ โดยปราศจากกฎหมาย (nulla poena sine lege) หลักการห้ามลงโทษซ้ำซ้อน หลักการห้ามตรากฎหมายย้อนหลังกำหนดโทษแก่บุคคล เป็นต้น5
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาพัฒนาการของนิติรัฐแล้ว จะพบว่าแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐมีขึ้นเพื่อจำกัดอำนาจของรัฐหรือผู้ปกครองให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย คำกล่าวที่ว่านิติรัฐคือรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย ไม่ใช่โดยมนุษย์ (government of law and not of men) ดูจะเป็นการให้ความหมายของนิติรัฐในเบื้องต้นที่ตรงที่สุด ในแง่ของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐเริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ ในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจกล่าวได้ว่าเสาหลักที่ค้ำจุนนิติรัฐไว้ก็คือการปกป้องบุคคลจากการกระทำตามอำเภอใจของรัฐหรือผู้ปกครอง แนวความคิดนี้สอดคล้องต้องกันกับพัฒนาการและความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางว่าสันติสุขและความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ย่อมต้องอาศัยกฎหมาย อย่างไรก็ตามในวงวิชาการเยอรมัน ซึ่งเป็นแหล่งที่พัฒนาแนวคิดเรื่องนิติรัฐขึ้น จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ยุติว่าใครเป็นผู้ที่ให้ความหมายของคำว่า Rechtsstaat อย่างชัดเจนเป็นคนแรก แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า Robert von Mohl ซึ่งได้ศึกษารัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้นเป็นอย่างดี เป็นคนแรกที่นำเอาความคิดที่ว่าการดำรงอยู่ของรัฐไม่ควรจะขึ้นอยู่กับกำลังอำนาจ แต่ควรขึ้นอยู่กับเหตุผล มาอธิบายอย่างเป็นระบบในตำรากฎหมายว่าด้วยรัฐแห่งราชอาณาจักรวัวร์ดเท็มแบร์ก (Staatsrecht des Koenigreichs Wuerttemberg) อนึ่ง สำหรับ Mohl แล้วเสรีภาพของปัจเจกบุคคลย่อมถือเป็นหัวใจของมโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐ
อันที่จริงแล้ว ก่อนที่จะเริ่มมีคำอธิบายเกี่ยวกับนิติรัฐในทางตำรา เมื่อครั้งที่ยุโรปยังปกครองกันในระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ก็เริ่มปรากฏหลักเกณฑ์ในทางกฎหมายที่จำกัดอำนาจอำเภอใจของกษัตริย์บ้างแล้ว6 พัฒนาการของความคิดเรื่องนิติรัฐเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อรัฐสมัยใหม่ในยุโรปพัฒนาจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ความเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกเรียกร้องมากขึ้นในแง่ของเหตุผล กล่าวคือ ถึงแม้ว่ากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองจะยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ตาม แต่ในการใช้อำนาจนั้นมีการเรียกร้องให้กษัตริย์ต้องคำนึงถึงเหตุผลด้วย ปรัชญาว่าด้วยรัฐในยุคสมัยแห่งพุทธิปัญญานี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักคิดอย่าง Immanuel Kant ซึ่งนำเอาความคิดว่าด้วยเสรีภาพและเหตุผลมาเป็นศูนย์กลางของปรัชญาของตน อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า Kant ไม่ได้เน้นเสรีภาพของบุคคลไปที่เสรีภาพทางการเมืองเหมือนกับที่ปรากฏในหลายๆประเทศ แต่เน้นไปที่เสรีภาพในทางความคิด การมุ่งเน้นในประเด็นดังกล่าวของ Kant นี่เอง ที่ทำให้มโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐ แม้จะเป็นมโนทัศน์ที่สนับสนุนเสรีภาพ แต่ก็ขาดลักษณะประชาธิปไตย7 เราจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ของชาติเยอรมันว่าในห้วงเวลานั้นไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในทางอำนาจระหว่างรัฐกับราษฎรดังเช่นที่ปรากฏในฝรั่งเศสเลย ในขณะที่นักคิดในเยอรมันคงมุ่งเน้นเรื่องเสรีภาพในทางความคิดนั้น ชาวฝรั่งเศสกลับมุ่งความสนใจไปที่เสรีภาพในทางการเมือง และในที่สุดชนชาติฝรั่งเศสก็สามารถปลดปล่อยตนเองให้พ้นจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เมื่อมีการปฏิวัติใหญ่ใน ค.ศ. ๑๗๘๙
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับพัฒนาการของนิติรัฐในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ นี้อยู่ที่การฟื้นตัวของความคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติ แนวความคิดที่ว่าจักรวาลดำรงอยู่อย่างเป็นระบบระเบียบเพราะถูกกำกับควบคุมโดยสิ่งที่มีคุณภาพในทางสติปัญญาที่เรียกว่า logos (เหตุผลสากล) นั้น ปรากฏขึ้นตั้งแต่ในสมัยกรีกโบราณ โดยเฉพาะในปรัชญาของสำนักสโตอิคส์ (Stoicim) นักคิดสำนักนี้เชื่อว่ามนุษย์ได้รับประกายแห่งเหตุผลจากเหตุผลสากล มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมามีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ไม่มีใครเกิดมาในฐานะที่เป็นทาส มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ด้วยตนเอง กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติหรือกฎหมายแห่งเหตุผลได้โดยที่ไม่ต้องมีใครช่วยตีความให้ ความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผลดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างยิ่งในอาณาจักรโรมัน (ผ่านความคิดของนักคิดสำนักสโตอิคส์ที่เป็นชาวโรมันอย่างเช่นซิเซโร) ทำให้ชาวโรมันสามารถพัฒนาวิชานิติศาสตร์ที่ตั้งอยู่รากฐานของเหตุผลอย่างเป็นระบบขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามแนวความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผลของมนุษย์อ่อนแรงลงในสมัยกลาง ซึ่งเป็นสมัยที่นิติปรัชญาแนวคริสต์ครอบงำยุโรป จวบจนกระทั่งนักคิดอย่าง Samuel Pufendorf (ค.ศ.๑๖๓๒ ถึง ๑๖๙๔) และ Christian Wolff (๑๖๗๙-๑๗๕๔) ได้รื้อฟื้นแนวความดังกล่าวขึ้นมาพัฒนาต่อ ความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติจึงกลับฟื้นตัวขึ้น โดยนักคิดในยุคสมัยนั้นได้เชื่อมโยงความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติกับสิทธิตามธรรมชาติเข้าด้วยกัน ตามคำสอนของนักคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นตัวนี้ สิทธิตามธรรมชาติ คือสิทธิที่มนุษย์แต่ละคนมีติดตัวมาตามธรรมชาติ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิดังกล่าวนี้มนุษย์แต่ละคนมีอยู่โดยไม่ขึ้นอยู่กับรัฐและไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายบ้านเมือง กล่าวคือ เป็นสิทธิที่มีอยู่ก่อนมีรัฐ สิทธิตามธรรมชาติที่กล่าวถึงนี้เองที่ต่อมาจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งในทางเนื้อหาของหลักนิติรัฐ
การเริ่มตระหนักรู้ถึงสิทธิที่กล่าวมานี้ ทำให้ในราวปลายศตวรรษที่ ๑๘ ต่อเนื่องมาจนต้นศตวรรษที่ ๑๙ ราษฎรได้เรียกร้องให้รัฐปกป้องคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินตลอดจนเสรีภาพของตนมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการทางการเมือง การเรียกร้องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะในช่วงเวลานั้นราษฎรที่เป็นสามัญชนเริ่มมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อราษฎรต่างเริ่มมีทรัพย์สินมากขึ้น ก็ย่อมต้องการความมั่นคงปลอดภัยในทรัพย์สินที่ตนหามาได้เป็นธรรมดา ราษฎรเหล่านี้ต่างเห็นว่าการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวจะปรากฏเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อำนาจของรัฐต้องผูกพันอยู่กับกฎหมาย กฎหมายย่อมจะต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดขอบเขตภารกิจของรัฐ กฎหมายจะต้องสร้างกลไกในการควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ และกฎหมายจะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล
ในราวปลายศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งยังเป็นช่วงที่เยอรมนีอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ์ พัฒนาการเกี่ยวกับความคิดว่าด้วยนิติรัฐเกิดการหักเหขึ้น ที่ว่าเกิดการหักเหก็เนื่องจากในช่วงเวลานี้มโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐถูกจำกัดลงเหลือแต่เพียงองค์ประกอบในทางรูปแบบเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากในเวลานั้นคำสอนในทางปรัชญากฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย (Legal Positivism) เจริญงอกงามเฟื่องฟูขึ้น แนวคิดหลักของสำนักคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ต้องการสร้างความชัดเจน ความมั่นคง และความแน่นอนให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย สำนักคิดนี้ปฏิเสธคำสอนว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ ทำให้กฎหมายไม่มีความแน่นอน สำหรับสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายแล้ว กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นโดยผู้ที่ทรงอำนาจตรากฎหมายต้องถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความถูกต้องเป็นธรรม ดังนั้นหลักใหญ่ใจความของนิติรัฐจึงอยู่ที่ความผูกพันของฝ่ายปกครองต่อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในบ้านเมือง และการปกป้องคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชน (ที่เกิดจากกฎหมายที่ตราขึ้น) จากการล่วงละเมิดของฝ่ายปกครองโดยองค์กรตุลาการเท่านั้น แม้ว่ารัฐชนิดนี้จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการปกครอง แต่โดยที่ไม่มีการพูดถึงองค์ประกอบในทางเนื้อหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความยุติธรรม ตำรากฎหมายจำนวนหนึ่งจึงเรียกรัฐชนิดนี้ว่า Gesetzesstaat8 ( คำว่า Gesetz ในภาษาเยอรมันแปลว่า กฎหมาย เหมือนกับคำว่า Recht แต่ Gesetz มุ่งหมายถึงกฎหมายที่ได้รับการบัญญัติขึ้นเป็นสำคัญ) รัฐที่สนใจแต่เพียงกฎหมายในทางรูปแบบเช่นนี้เองที่ทำให้ในที่สุดเกิดรัฐตำรวจ (Polizeistaat) ขึ้น ในรัฐชนิดนี้ฝ่ายปกครองก็ผูกพันตนต่อกฎหมาย แต่ไม่ต้องสนใจว่ากฎหมายนั้นถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ โดยปรากฏการณ์เช่นนี้ คำว่า “รัฐตำรวจ” จึงได้กลายเป็นคำตรงกันข้ามกับคำว่า “นิติรัฐ” ผลพวงจากการเกิดขึ้นของรัฐตำรวจ ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดแรงต้านจากฝ่ายเสรีนิยม จนในที่สุดมโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐก็ได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมองค์ประกอบในทางเนื้อหาด้วย คือเป็นนิติรัฐที่เป็นเสรีนิยม คำนึงถึงความยุติธรรม และทำให้ในปัจจุบันนี้เมื่อกล่าวถึงนิติรัฐจะต้องพูดถึงองค์ประกอบทั้งสองด้าน คือ ทั้งในทางรูปแบบ และในทางเนื้อหา การกล่าวว่านิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย อาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่วงการกฎหมายไทยตลอดจนองค์กรตุลาการยอมรับบรรดาคำสั่งของคณะรัฐประหารทั้งปวงว่าเป็นกฎหมาย โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามในทางเนื้อหาเลยว่าสิ่งที่เกิดจากการประกาศของคณะรัฐประหารนั้นมีเนื้อหาที่สอดรับกับความถูกต้องเป็นธรรมและสมควรจะได้ชื่อว่าเป็น “กฎหมาย” ที่ผูกพันองค์กรของรัฐให้ต้องปฏิบัติตามหรือไม่
ในประเทศเยอรมนี ภายหลังจากพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้มีการพูดถึงนิติรัฐในทางเนื้อหามากขึ้น แต่การขึ้นครองอำนาจของ Adolf Hitler ก็ทำให้พัฒนาการในเรื่องนี้สะดุดลง จนกระทั่งประเทศเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง แนวความคิดดังกล่าวจึงพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ได้กล่าวมาแล้วว่าแนวความคิดพื้นฐานของนิติรัฐก็คือ การจำกัดอำนาจของรัฐโดยกฎหมาย การทำให้รัฐต้องผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานและคุณค่าทางกฎหมายโดยไม่อาจบิดพริ้วได้ ด้วยเหตุนี้หลักนิติรัฐจึงไม่มีความหมายแค่เพียงการบังคับให้รัฐต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้รัฐต้องดำเนินการในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นอย่างแท้จริงในสังคมด้วย วัตถุประสงค์ดังกล่าวจะบรรลุได้ก็แต่โดยการสร้างระบบการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่มีประสิทธิภาพและการยอมรับให้มีองค์กรตุลาการขึ้นมาโดยเฉพาะ (ศาลรัฐธรรมนูญ) ให้องค์กรดังกล่าวพิทักษ์ปกป้องคุณค่าในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เรียกว่า “กฎหมายพื้นฐาน” (Grundgesetz) ได้เดินตามแนวทางนี้และได้บัญญัติให้หลักนิติรัฐเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
2.2 องค์ประกอบของหลักนิติรัฐ
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในระบบกฎหมายเยอรมันว่า หลักนิติรัฐมีองค์ประกอบสำคัญสองส่วน คือ องค์ประกอบในทางรูปแบบ และองค์ประกอบในทางเนื้อหา ความเป็นนิติรัฐในทางรูปแบบ คือ การที่รัฐผูกพันตนเองไว้กับกฎหมายที่องค์กรของรัฐตราขึ้นตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดขึ้นหรือที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ ทั้งนี้เพื่อจำกัดอำนาจของรัฐลง เมื่อพิจารณาในทางรูปแบบแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่าหลักนิติรัฐมุ่งประกันความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล ส่วนความเป็นนิติรัฐในทางเนื้อหานั้น ก็คือ การที่รัฐประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของราษฎร โดยกำหนดให้บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้รัฐต้องกระทำการโดยยุติธรรมและถูกต้อง พิจารณาในทางเนื้อหา นิติรัฐ ย่อมต้องเป็นยุติธรรมรัฐ (Gerechtigkeitsstaat)
ในทางปฏิบัติเป็นไปได้เสมอที่หลักความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะกับหลักความยุติธรรมอาจจะขัดแย้งกัน เป็นหน้าที่ขององค์กรนิติบัญญัติที่จะพยายามประสานสองหลักการนี้เข้าด้วยกัน และในบางกรณีจะต้องตัดสินใจว่าจะใช้หลักการใดเป็นหลักการนำ บ่อยครั้งที่องค์กรนิติบัญญัติตัดสินใจเลือกหลักความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะเพื่อประกันความมั่นคงในระบบกฎหมาย เช่น การกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความไว้ในระบบกฎหมายเป็นต้น
2.2.1 องค์ประกอบในทางรูปแบบของหลักนิติรัฐ
พิจารณาในทางรูปแบบ หลักนิติรัฐประกอบไปด้วยหลักการย่อยๆ หลายประการ ที่สำคัญได้แก่ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำขององค์กรของรัฐ หลักการประกันสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดี ตลอดจนหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
หลักการแบ่งแยกอำนาจเรียกร้องมิให้อำนาจของรัฐรวมศูนย์อยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ให้มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจหรือกระจายการใช้อำนาจของรัฐให้องค์กรต่างองค์กรกันเป็นผู้ใช้ เพื่อให้เกิดการดุลและคานอำนาจกัน โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญของนิติรัฐจะแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐออกเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ องค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร และองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ
หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำขององค์กรของรัฐเรียกร้องให้การกระทำขององค์กรนิติบัญญัติต้องผูกพันอยู่กับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับในรัฐนั้น องค์กรนิติบัญญัติจะตรากฎหมายล่วงกรอบที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไม่ได้ หลักการดังกล่าวนี้ยังเรียกร้ององค์กรบริหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรฝ่ายปกครอง) และองค์กรตุลาการให้ต้องผูกพันต่อกฎหมาย ซึ่งหมายถึงต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญและบรรดากฎหมายต่างๆที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่องค์กรนิติบัญญัติได้ตราขึ้น กล่าวเฉพาะฝ่ายปกครองหลักการดังกล่าวนี้เรียกร้องให้ฝ่ายปกครองต้องกระทำการโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และในกรณีที่การกระทำทางปกครองมีผลก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของราษฎร ย่อมจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจฝ่ายปกครองกระทำการเช่นนั้นได้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจแล้ว การกระทำทางปกครองนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลักการประกันสิทธิในกระบวนการพิจารณาในชั้นเจ้าหน้าที่และศาลเรียกร้องให้รัฐต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรได้ต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนในกระบวนการพิจารณาต่างๆของรัฐได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ระบบกฎหมายของรัฐจึงกำหนดให้องค์กรของรัฐต้องรับฟังบุคคล เปิดโอกาสให้บุคคลนำพยานหลักฐานเข้าหักล้างข้อกล่าวหาต่างๆก่อนที่จะตัดสินใจกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่เป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้น ทั้งนี้กระบวนการพิจารณาที่ได้รับการออกแบบขึ้นจะต้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรม (fair) ด้วย อนึ่งในกรณีที่ราษฎรได้ความเสียหายจากการใช้อำนาจมหาชนขององค์กรของรัฐ รัฐจะต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรสามารถฟ้ององค์กรของรัฐที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนต่อศาลได้
สำหรับหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมนั้นเรียกร้องให้รัฐกำหนดกระบวนการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ เอกชนที่พิพาทกันเองต้องมีหนทางในการนำข้อพิพาทนั้นไปสู่ศาล และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีในชั้นศาลจะต้องได้รับการออกแบบให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบด้านตลอดจนกำหนดผลผูกพันเด็ดขาดของคำพิพากษาไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงแน่นอนในระบบกฎหมาย
2.2.2 องค์ประกอบในทางเนื้อหาของนิติรัฐ
ลำพังแต่การเรียกร้องให้องค์กรของรัฐต้องผูกพันต่อกฎหมายในการกระทำการต่างๆนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลได้ หากกฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นนั้นไม่สอดคล้องกับความถูกต้องเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้หลักนิติรัฐจึงเรียกร้องต่อไปอีกว่าในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับกับราษฎรนั้น กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นจะต้องมีความชัดเจนและแน่นอนเพียงพอที่ราษฎรจะเข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นระบบกฎหมายจะต้องคุ้มครองความเชื่อถือและไว้วางใจที่บุคคลมีต่อกฎหมาย การตรากฎหมายย้อนหลังไปเป็นผลร้ายแก่บุคคล ทั้งๆที่จะต้องคุ้มครองความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อกฎหมาย โดยหลักแล้วไม่อาจกระทำได้ หลักการดังกล่าวนี้เป็นหลักการที่บังคับใช้โดยไม่มีข้อยกเว้นในกรณีของกฎหมายอาญาสารบัญญัติ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าหากผลร้ายที่เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคลไม่ใช้โทษทางอาญาแล้ว รัฐสามารถตรากฎหมายย้อนหลังไปเป็นผลร้ายแก่บุคลได้ทุกกรณีดังที่เข้าใจผิดพลาดกันอยู่ในวงการกฎหมายไทยแต่อย่างใดไม่ การวินิจฉัยว่าการตรากฎหมายย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่บุคลจะกระทำได้หรือไม่จะต้องพิจารณาองค์ประกอบในแง่ความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อระบบกฎหมาย ตลอดจนการคาดหมายความคุ้มครองจากระบบกฎหมายของบุคคลประกอบกัน โดยหลักทั่วไปแล้ว ในกรณีที่บุคคลได้กระทำการจบสิ้นไปแล้วในอดีต ไม่สามารถหวนกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงการกระทำของตนได้แล้ว การตรากฎหมายไปกำหนดองค์ประกอบความผิดขึ้นใหม่ กำหนดโทษขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงโทษที่มีอยู่ในกฎหมายในขณะที่ได้กระทำการ แม้โทษนั้นจะไม่ใช่โทษอาญาก็กระทำไม่ได้
นอกจากหลักนิติรัฐในทางเนื้อหาจะเรียกร้องการคุ้มครองความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อระบบกฎหมายแล้ว หลักการดังกล่าวยังกำหนดให้สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลมีค่าบังคับทางกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญและถือว่าบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานเป็นกฎหมายโดยตรงอีกด้วย บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามหลักนิติรัฐที่ปรากฏในเยอรมนีจึงมีสองมิติ คือ มิติแรก สิทธิขั้นพื้นฐานมีลักษณะเป็นสิทธิหรืออำนาจที่ปัจเจกบุคคลสามารถยกขึ้นใช้ยันรัฐได้ โดยทั่วไปสิทธิขั้นพื้นฐานมีลักษณะเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลที่จะป้องกันตนจากการล่วงละเมิดโดยรัฐ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่เป็นสังคมรัฐหรือรัฐสวัสดิการ (Sozialstaat) สิทธิขั้นพื้นฐานยังมีลักษณะเป็นสิทธิที่ปัจเจกบุคคลสามารถเรียกร้องให้รัฐกระทำการที่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย เช่น สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาล เป็นต้น สำหรับอีกมิติหนึ่งหนึ่ง สิทธิขั้นพื้นฐานย่อมมีฐานะเป็น “กฎหมาย” ที่มีผลผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทุกองค์กรโดยตรง
หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งในทางเนื้อหาของนิติรัฐ คือ หลักความพอสมควรแก่เหตุ หลักการนี้เรียกร้องให้การใช้อำนาจของรัฐจะต้องเป็นไปโดยพอเหมาะพอประมาณเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรม ในนิติรัฐ รัฐไม่อาจใช้มาตรการใดๆก็ได้เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการ (ด้วยเหตุนี้แนวความคิด The end justifies the means จึงไปด้วยกันไม่ได้กับนิติรัฐ) การบรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรมต้องใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่ถูกต้อง พอเหมาะพอประมาณด้วย ดังนั้นแม้ว่าระบบกฎหมายจะมอบเครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายให้องค์กรของรัฐดำเนินการ แต่หากการใช้เครื่องมือหรือมาตรการนั้นไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ได้ หรือวัตถุประสงค์นั้นอาจบรรลุได้ เพียงแค่ใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่รุนแรงน้อยกว่า หรือแม้ในที่สุดแม้ไม่มีเครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่รุนแรงน้อยกว่า แต่การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้นปรากฏว่าทำให้ปัจเจกบุคคลได้รับผลร้ายอย่างรุนแรง ต้องเสียหายเกินกว่าที่จะคาดหมายจากบุคคลนั้น ไม่ได้สัดส่วนกับประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับ การใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายนั้นก็ย่อมไม่อาจกระทำได้ในนิติรัฐ นอกจากหลักความพอสมควรแก่เหตุแล้ว ในแง่เนื้อหา หลักนิติรัฐยังห้ามการกระทำตามอำเภอใจของรัฐ เรียกร้องให้รัฐต้องกระทำการโดยเคารพต่อหลักความเสมอภาค กล่าวคือ เรียกร้องรัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกันให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกัน ให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆด้วย
3. หลักนิติธรรม (The Rule of Law)
3.1 พัฒนาการของหลักนิติธรรม9
คำว่าหลักนิติธรรมนั้น วงการกฎหมายไทยแปลมาจากคำว่า The Rule of Law ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในระบบกฎหมายอังกฤษ ในประเทศอังกฤษความคิดที่ว่ามนุษย์ไม่ควรต้องถูกปกครองโดยมนุษย์ แต่ควรจะต้องถูกปกครองโดยกฎหมายนั้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ ๑๗ ในหนังสือชื่อ “The Common Wealth of Oceana” อันเป็นผลงานของ James Harrington ซึ่งเป็นผู้ที่นิยมระบอบสาธารณรัฐอย่างแน่วแน่10 อย่างไรก็ตาม แม้จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ คำว่า rule of law ก็เหมือนกับคำว่า Rechtsstaat ที่ยากจะหาคำจำกัดความหรือนิยามซึ่งยอมรับกันเป็นยุติได้ การทำความเข้าใจความหมายของ rule of law จึงควรต้องทำความเข้าใจจากความเป็นมาทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของอังกฤษซึ่งให้กำเนิดแนวความคิดนี้
แนวความคิดว่าด้วย rule of law หรือนิติธรรมอาจสืบสาวย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งย้อนกลับไปถึง ค.ศ. ๑๒๑๕ ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าจอนห์น (King John) กษัตริย์อังกฤษในเวลานั้นได้ลงนามในเอกสารสำคัญที่ชื่อว่า Magna Carta11 เอกสารฉบับนี้เป็นพันธสัญญาที่กษัตริย์อังกฤษให้ไว้แก่บรรดาขุนนางของพระองค์ในการที่จะจำกัดอำนาจของพระองค์ลง อาจกล่าวได้ว่า Magna Carta เป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของมนุษย์ที่จะนำไปสู่การปกครองโดยกฎหมายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา เนื่องจากเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารทางกฎหมายฉบับแรกที่ทำให้หลักการปกครองโดยกฎหมายได้รับการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และการประกันสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นไปอย่างชัดแจ้ง12 อย่างไรก็ตามไม่พึงเข้าใจว่าเมื่อมีการลงนามใน Magna Carta แล้วกษัตริย์เป็นอันถูกจำกัดอำนาจลงจนไม่มีอำนาจ ในเวลานั้นอำนาจยังคงอยู่ที่กษัตริย์ กฎเกณฑ์ที่จำกัดอำนาจกษัตริย์ลงในเวลานั้นก็มีแต่ Magna Carta และหลักกฎหมาย Common Law อันเป็นกฎหมายประเพณีที่รับสืบทอดและพัฒนามาโดยศาลเท่านั้น
แม้ว่าในเวลาต่อมาจะได้มีการตั้งรัฐสภาขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๒๖๕ แต่อำนาจในการปกครองบ้านเมือง (Prerogatives) ก็ยังคงอยู่ในมือของกษัตริย์อย่างเดิม จะถูกจำกัดลงบ้างก็เพียงเล็กน้อย อำนาจของกษัตริย์อังกฤษพัฒนาขึ้นถึงจุดสูงสุดในสมัยราชวงศ์ Tudor อันเป็นช่วงเวลาที่บทบาทของรัฐสภาถดถอยลง อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานั้นกษัตริย์อังกฤษมีอำนาจมากและเข้าใจวิธีการในการรักษาอำนาจของตนและจำกัดอำนาจของรัฐสภา อีกทั้งยังรู้จักที่จะใช้รัฐสภาเป็นฐานในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตนด้วย อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมารัฐสภาได้พัฒนาต่อไปกลายเป็นสถาบันซึ่งเป็นผู้แทนของกลุ่มคนต่างๆ และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจนกลายเป็นคู่ปรับสำคัญของกษัตริย์
ใน ค.ศ. ๑๖๒๘ ในยุคสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่หนึ่ง (King Charles I ค.ศ.๑๖๐๐ ถึง ๑๖๔๙) รัฐสภาได้ตรา Petition of Rights ขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและเสรีภาพส่วนบุคคล โดยประกาศว่าผู้ปกครอง รัฐบาล ตลอดจนศาลต้องเคารพในสิทธิดังกล่าว ภายหลังจากได้มีการตรา Petition of Rights ได้สิบสองปี ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษ ตามมาด้วยการประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลที่ ๑ Petition of Rights ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารที่กล่าวถึงความยินยอมในการเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอำนาจให้แก่รัฐสภาเป็นอย่างมาก13 ในเวลาต่อมาเอกสารฉบับนี้ได้ถูกเพิ่มเติมโดยเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า Habeas Corpus Act (ค.ศ. ๑๖๗๙) เอกสารฉบับหลังนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการประกันสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม เนื้อหาหลักของเอกสารฉบับนี้ คือ การให้สิทธิแก่บุคคลทุกคนที่ถูกจับกุม กล่าวคือ ในกรณีที่บุคคลใดถูกจับกุม บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องปกป้องตนเองต่อศาลโดยคำฟ้องที่เรียกว่า writ of habeas corpus ทันที14
รัฐสภาสามารถที่จะสถาปนาและขยายอำนาจของตนออกไปอย่างมั่นคงตามลำดับ การขยายอำนาจของรัฐสภามีผลทำให้กษัตริย์ค่อยๆถูกจำกัดอำนาจลง และในที่สุดกษัตริย์เริ่มรู้สึกว่ารัฐสภามีอำนาจมากเกินไปและเริ่มเป็นอันตรายต่อพระองค์เสียแล้ว การแข่งกันเพื่อครองอำนาจที่เหนือกว่าระหว่างรัฐสภากับกษัตริย์เป็นไปอย่างเข้มข้น และได้ก็เกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในระหว่าง ค.ศ.๑๖๔๒ ถึง ๑๖๔๙ หลังจากสงครามกลางเมืองดังกล่าว การต่อสู้ก็คงดำเนินต่อไปอีก จนกระทั่งในที่สุดรัฐสภาก็กำชัยชนะได้ในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ระหว่าง ค.ศ.๑๖๘๘ ถึง ๑๖๘๙ ผลของการปฏิวัติดังกล่าวนำมาซึ่งเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่ง คือ Bill of Rights และทำให้รัฐสภาอังกฤษกลายเป็นรัฐาธิปัตย์คู่กันกับกษัตริย์
โดยเหตุที่ในช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๗ ยังไม่ปรากฏแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจในอังกฤษ ปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือปัญหาที่ว่าใครจะเป็นผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยในทางกฎหมายเป็นที่สุด อำนาจดังกล่าวควรอยู่กับกษัตริย์ สภา หรือศาล Francis Bacon (ค.ศ.๑๕๖๑ ถึง ๑๖๒๖) เห็นว่าโดยเหตุที่กษัตริย์มีอำนาจปกครองโดยเด็ดขาด และดำรงอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยรัฐสภา หรือ Common Law ที่พัฒนาขึ้นโดยศาล ดังนั้นกษัตริย์จึงมีอำนาจเหนือรัฐสภาและศาล15 ด้วยเหตุดังกล่าวกษัตริย์ย่อมต้องมีอำนาจในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ผ่านรัฐสภามาแล้วและมีอำนาจที่จะเข้ายุ่งเกี่ยวกับทางปฏิบัติของศาลโดยสามารถตรวจสอบแนวคำพิพากษาบรรทัดฐานตาม Common Law ได้ อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางการเมืองในเวลาต่อมาก็ไม่ได้เป็นไปตามแนวความคิดของ Francis Bacon เนื่องจากรัฐสภาสามารถจำกัดอำนาจกษัตริย์จนสำเร็จและได้กลายเป็นรัฐาธิปัตย์แทนที่กษัตริย์อังกฤษ และในช่วงที่รัฐสภาอังกฤษต่อสู้กับกษัตริย์อยู่นี้ ศาลก็ได้เข้ามีบทบาทด้วย โดย Sir Edward Coke (ค.ศ.๑๕๕๒ ถึง ๑๖๓๔) ได้พิพากษาคดีไปในทางยืนยันความเป็นกฎหมายสูงสุดของ Common Law ที่พัฒนาขึ้นโดยศาล โดยเห็นว่าทั้งกษัตริย์16และรัฐสภา17ย่อมต้องตกอยู่ภายใต้ Common Law กษัตริย์ก็ดี รัฐสภาก็ดีจะตรากฎหมายหรือกำหนดกฎเกณฑ์ใดให้ขัดกับ Common Law ไม่ได้ และศาลทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดในการวินิจฉัยว่ากฎหมายหรือกฎเกณฑ์นั้นขัดหรือแย้งกับ Common Law หรือไม่ แม้ว่าแนวความคิดและคำพิพากษาของ Coke จะไม่ได้ทำให้ศาลกลายผู้ทรงอำนาจสูงสุดในระบบการปกครองของอังกฤษ เพราะศาลต้องผูกพันต่อกฎหมายที่สภาตราขึ้น จะอ้าง Common Law ปฏิเสธกฎหมายที่สภาตราขึ้นไม่ได้ แม้กระนั้นแนวความคิดของ Coke ที่ปรากฏในคำพิพากษาก็ได้เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลักนิติธรรมในอังกฤษจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ในศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐสภาเข้มแข็งมากแล้วนั้น คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่โดยขึ้นอยู่กับสภาผู้แทนราษฎร และในเวลาต่อมาก็ค่อยสลัดตนเองพ้นจากอิทธิพลของราชวงศ์ เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๐ อาจกล่าวได้ว่าอังกฤษได้พัฒนาตนไปสู่ความเป็นรัฐเสรีประชาธิปไตยที่ยอมรับสิทธิเลือกตั้งของราษฎร สภาผู้แทนราษฎรอังกฤษพัฒนาไปในทิศทางของการมีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคผลัดกันเข้ามาบริหารประเทศ โดยฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเริ่มมีอำนาจมากขึ้น และยังคงความเข้มแข็งจนถึงทุกวันนี้
3.2 เนื้อหาของหลักนิติธรรม
นักกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งในการช่วยพัฒนาหลักนิติธรรม ก็คือ A.V. Dicey (ค.ศ.๑๘๓๕ ถึง ๑๙๒๒) ตำราของเขาที่ชื่อว่า Introduction to the Study of the Law of the Constitution (พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.๑๘๘๕) ได้กลายเป็นตำรามาตรฐานและเป็นตำราที่นักกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษส่วนใหญ่ต้องอ้างอิงเมื่อจะต้องอธิบายความหมายของหลักนิติธรรม Dicey เห็นว่า หลักนิติธรรมจะต้องสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา18 และหลักนิติธรรมนั้นย่อมมีเนื้อหาสาระที่สำคัญ คือ บุคคลทุกคนย่อมเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย บุคคลไม่ว่าจะในชนชั้นใดย่อมต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายปกติธรรมดาของแผ่นดิน (the ordinary law of the land) ซึ่งบรรดาศาลธรรมดาทั้งหลาย (ordinary courts) จะเป็นผู้รักษาไว้ซึ่งกฎหมายดังกล่าว19 หลักนิติธรรมในความหมายนี้ย่อมปฏิเสธความคิดทั้งหลายทั้งปวงที่จะยกเว้นมิให้บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต้องเคารพต่อกฎหมาย บุคคลทั้งหลายย่อมไม่ต้องถูกลงโทษ หากไม่ได้กระทำการอันผิดกฎหมาย และไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นแม้แต่กษัตริย์ที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้
กล่าวโดยรวมแล้ว Dicey เห็นว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งปวงของรัฐบาลและฝ่ายปกครองจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย จะต้องไม่กระทำการก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพของราษฎรตามอำเภอใจ หากปรากฏว่ารัฐบาลหรือฝ่ายปกครองกระทำการอันขัดต่อกฎหมาย การกระทำดังกล่าวย่อมต้องถูกฟ้องคดียังศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดาได้ เพราะรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ย่อมจะมีสิทธิพิเศษใดๆเหนือกว่าราษฎรไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่าหลักนิติธรรมตามแนวความคิดของ Dicey นี้มุ่งเน้นไปที่ความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายบริหาร ไม่ได้เรียกร้องฝ่ายนิติบัญญัติให้ต้องผูกพันต่อกฎเกณฑ์อื่นใดในการตรากฎหมาย
การที่ Dicey อธิบายเนื้อหาของหลักนิติธรรมในแง่ที่คนทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและภายใต้ศาลเดียวกันตามหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ส่งผลให้ Dicey ปฏิเสธการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเป็นอีกระบบศาลหนึ่งเคียงคู่ขนานกันไปกับศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดา โดย Dicey เห็นว่าหากจัดให้มีศาลปกครองหรือองค์กรอื่นซึ่งไม่ใช่ศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดาทำหน้าที่ตัดสินคดีปกครอง (ดังที่ปรากฏอยู่ในประเทศฝรั่งเศสในเวลานั้น) แล้ว บรรดาข้าราชการต่างๆที่ถูกฟ้องในศาลปกครองว่ากระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าราษฎรทั่วไป ซึ่ง Dicey เห็นว่าไม่ถูกต้อง แนวความคิดนี้ได้รับการยึดถือและเดินตามในบรรดาประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากระบบกฎหมายอังกฤษจนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากนี้แล้ว บรรดาสิทธิทั้งหลายทั้งปวงของราษฎรนั้นย่อมเกิดจากกฎหมายที่รัฐสภาได้ตราขึ้นและเกิดจากกฎหมายประเพณีที่พัฒนามาโดยศาล อาจกล่าวได้ว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของราษฎรอังกฤษไม่ได้รับการคุ้มครองและปกป้องโดยรัฐธรรมนูญ แต่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองโดยรัฐสภาและศาล
โดยเหตุที่ในระบบกฎหมายอังกฤษ รัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ศาลของอังกฤษไม่อำนาจที่จะตรวจสอบว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือชอบด้วยกฎหมายใดๆ หรือไม่ กล่าวในทางทฤษฎีแล้ว รัฐสภาอังกฤษสามารถตรากฎหมายให้มีเนื้อหาสาระอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมืองไม่ได้มีฐานะเป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายอื่นใดที่จะผูกพันรัฐสภาอังกฤษได้ ระบบการประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคลในอังกฤษจึงแตกต่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภาคพื้นยุโรปที่ถือว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลนั้นมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญ และย่อมผูกพันรัฐสภาในการตรากฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่พึงเข้าใจว่าระบบกฎหมายอังกฤษไม่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ในทางปฏิบัติสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐสภาและโดย Common Law ที่พัฒนามาโดยศาลในมาตรฐานที่ไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆในภาคพื้นยุโรปเลย
แน่นอนว่าในทางทฤษฎี เมื่อยอมรับว่ารัฐสภามีอำนาจสูงสุด กรณีจึงอาจเป็นไปได้ที่รัฐสภานั้นเองจะกระทำการอันก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยตรากฎหมายจำกัดตัดทอนสิทธิของบุคคลเสียโดยไม่เป็นธรรม และเมื่อหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภาอยู่เหนือกว่าหลักนิติธรรมเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประกันสิทธิและเสรีภาพของราษฎรจากการคุกคามโดยรัฐสภาได้ แต่ทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นในอังกฤษ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตามจารีตประเพณีแล้วรัฐสภาจะไม่ตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับหลักนิติธรรม ยิ่งไปกว่านั้นโดยเหตุที่การตรากฎหมายของรัฐสภาย่อมขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐบาล และพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลย่อมเป็นพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หากพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลซึ่งครองเสียงข้างมากสนับสนุนให้ตรากฎหมายที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรงแล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งถัดมาย่อมเป็นที่คาดหมายได้ ในที่สุดแล้ว การตรากฎหมายของรัฐสภาจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงของประชาชน กล่าวให้ถึงที่สุดแล้วประชาชนอังกฤษนั้นเองที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางหลักๆของการตรากฎหมาย และเมื่อกล่าวว่ารัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ในระบอบประชาธิปไตยที่พัฒนามาในอังกฤษ ย่อมต้องเข้าใจว่ารัฐสภาย่อมทรงอำนาจสูงสุดในหมู่องค์กรต่างๆของรัฐ แต่ในที่สุดแล้ว ในทางการเมืองก็อยู่ใต้ประชาชน ดังนั้นในประเทศอังกฤษ การจำกัดอำนาจของรัฐสภาจึงไม่ได้เกิดจากกฎหมายเหมือนกับในภาคพื้นยุโรป แต่เกิดจากธรรมชาติทางการเมืองและจารีตประเพณีที่รับสืบต่อกันมา ในประเทศที่สิทธิเสรีภาพฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณประชาชาติเช่นประเทศอังกฤษนี้ ย่อมไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเลยที่จะต้องบัญญัติกฎเกณฑ์ว่าด้วยความเป็นนิติรัฐ หรือบัญญัติรัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิเสรีภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นมาตราๆไป
แม้ว่าในปัจจุบัน การให้คำอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาของหลักนิติธรรม อาจจะแตกต่างกันอยู่บ้างในรายละเอียด แต่องค์ประกอบสำคัญของหลักนิติธรรมนั้น ตำราต่างๆก็ไม่ได้อธิบายความแตกต่างกันมากนัก องค์ประกอบที่สำคัญของหลักนิติธรรม คือ ความคาดหมายได้ของการกระทำของรัฐ ความชัดเจนของกฎหมาย ความมั่นคงของกฎหมาย ความเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมาย ความเป็นอิสระของศาล การเคารพในหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ ตลอดจนความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ในยุคหลังมีผู้อธิบายลักษณะของกฎหมายที่จะช่วยสร้างให้เกิดการปกครองตามหลักนิติธรรม ดังเช่นคำอธิบายของ Lon L. Fuller นักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันที่เห็นว่ากฎหมายที่จะทำให้หลักนิติธรรมปรากฏเป็นจริงได้นั้นต้องมีลักษณะสำคัญ20 คือ
1)กฎหมายจะต้องบังคับเป็นการทั่วไปกับบุคคลทุกคน ไม่เว้นแม้แต่องค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ
2)กฎหมายจะต้องได้รับการประกาศใช้อย่างเปิดเผย
3)กฎหมายจะต้องได้รับการตราขึ้นให้มีผลบังคับไปในอนาคต ไม่ใช่ตราขึ้นเพื่อใช้บังคับย้อนหลังไปในอดีต
4)กฎหมายจะต้องได้รับการตราขึ้นโดยมีข้อความที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการบังคับใช้ที่ไม่เป็นธรรม
5)กฎหมายจะต้องไม่มีข้อความที่ขัดแย้งกันเอง
6)กฎหมายจะต้องไม่เรียกร้องให้บุคคลปฏิบัติในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้
7)กฎหมายต้องมีความมั่นคงตามสมควร แต่ก็จะต้องเปิดโอกาสให้แก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้
8)กฎหมายที่ได้รับการประกาศใช้แล้วจะต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน กล่าวคือต้องบังคับการให้เป็นไปตามเนื้อหาของกฎหมายที่ได้ประกาศใช้แล้วนั้น
4.ผลของหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมและความแตกต่างระหว่างหลักการทั้งสอง
เมื่อพิจารณาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ประกอบกับการปรับใช้หลักนิติรัฐและนิติธรรมในระบบกฎหมายเยอรมันและระบบกฎหมายอังกฤษแล้ว พบว่าหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมมีความแตกต่างกันอยู่ ทั้งในแง่ของบ่อเกิดของกฎหมาย วิธีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน การกำหนดให้มีหรือไม่มีศาลปกครองและระบบวิธีพิจารณาคดี ตลอดจนการแบ่งแยกอำนาจ ดังจะชี้ให้เห็นได้ในเบื้องต้น ดังนี้
4.1 ความแตกต่างในแง่บ่อเกิดของกฎหมาย
ในระบบกฎหมายอังกฤษ ผู้พิพากษาซึ่งแต่เดิมเป็นผู้แทนของกษัตริย์นั้นได้เริ่มพัฒนา Common Law มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ ๑๒ ทั้งนี้เพื่อให้อำนาจของกษัตริย์ที่ส่วนกลางมั่นคงเข้มแข็ง กฎหมายที่ศาลใช้ในการตัดสินคดีนั้นมีลักษณะทั่วไป กล่าวคือ เป็นกฎเกณฑ์ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปในราชอาณาจักร จึงเรียกว่า Common Law21 กฎหมายดังกล่าวได้รับการ “สร้าง” ขึ้นโดยผู้พิพากษา เมื่อศาลได้ตัดสินคดีใดคดีหนึ่งไปแล้ว หลักกฎหมายที่ศาลได้สร้างขึ้นเพื่อใช้ตัดสินคดีก็ตกทอดต่อมาเป็นลำดับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองด้วย “กฎหมาย” ในระบบกฎหมายอังกฤษ จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะแต่กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นโดยรัฐสภาที่เรียกว่า “Statute Law” เท่านั้น แต่ยังหมายถึงหลักการและแนวทางการตัดสินของผู้พิพากษา (Case Law) ที่เกิดจากจารีตธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตอันเป็นกฎเกณฑ์ที่ศาลยอมรับสืบต่อกันมา (Common Law) ด้วย เอกสารทางประวัติศาสตร์อย่าง Magna Carta (ค.ศ.๑๒๑๕) Petition of Right (ค.ศ.๑๖๒๘) Habeas Corpus (ค.ศ.๑๖๗๙) หรือ Bill of Right (ค.ศ.๑๖๘๙) ยังมีฐานะเป็นบ่อเกิดของกฎหมายที่ศาลสามารถนำมาใช้ตัดสินได้ในอังกฤษจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อนึ่ง โดยเหตุที่ Common Law มีผลใช้บังคับได้ในคดีที่ศาลได้ตัดสินวางหลักไปแต่ละคดี คำว่า Case Law กับ Common Law จึงเป็นคำที่ใช้ในความหมายเดียวกัน นั่นคือหมายถึง กฎหมายที่เกิดจากผู้พิพากษา
การที่ระบบกฎหมายอังกฤษยอมรับให้ผู้พิพากษาสามารถ “สร้าง” กฎหมายขึ้นมาได้เองนี้ ส่งผลให้ระบบกฎหมายของอังกฤษมีลักษณะที่ยืดหยุ่น และสามารถพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าในระบบกฎหมายอังกฤษ ศาลจะเปลี่ยนแปลงแนวการตัดสินอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ เพราะหลัก “satre decisis” คือ หลักที่ว่าศาลในคดีหลังต้องผูกพันตามหลักกฎหมายที่ศาลในคดีก่อนได้ตัดสินไว้แล้ว ยังเป็นหลักที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงแนวคำพิพากษาจึงไม่ใช่จะกระทำได้โดยง่าย
ในขณะที่ระบบกฎหมายอังกฤษเริ่มพัฒนามาโดยให้ผู้พิพากษามีอำนาจ “สร้าง” กฎหมายขึ้นมาได้นั้น ระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปกลับมีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างออกไป เพราะในภาคพื้นยุโรปกฎหมายเกิดขึ้นจากการตราโดยกระบวนการนิติบัญญัติ ผู้พิพากษาในฐานะที่เป็นผู้ที่รับใช้รัฐมีหน้าที่ในการปรับใช้กฎหมาย การตัดสินคดีของผู้พิพากษาในแต่ละคดีไม่มีผลเป็นการสร้างกฎหมายขึ้นมาใหม่ แนวทางการตัดสินคดีของศาลในภาคพื้นยุโรปจึงไม่ถือว่าเป็นบ่อเกิดของกฎหมาย
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบกฎหมาย Common Law ของอังกฤษ ระบบกฎหมาย Civil Law ของภาคพื้นยุโรปมีลักษณะเป็นระบบกฎหมายที่ “ปิด” กว่า ข้อดีของระบบนี้ก็คือ ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะจะมีสูงกว่า แต่ก็อาจจะมีข้ออ่อนตรงการปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม การประมวลถ้อยคำขึ้นตัวบทกฎหมายในระบบกฎหมาย Civil Law นั้น ถ้อยคำจำนวนหนึ่งเป็นถ้อยคำเชิงหลักการ หรือถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง ศาลในระบบกฎหมาย Civil Law จึงมีความสามารถในการตีความตัวบทกฎหมายให้สอดรับกับความยุติธรรมและสภาพของสังคมได้เช่นกันภายใต้กรอบของนิติวิธี
4.2 ความแตกต่างในแง่ของการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน
โดยเหตุที่ระบบกฎหมาย Common Law ในอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร การประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในอังกฤษ จึงไม่ได้เป็นการประกันในระดับรัฐธรรมนูญ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในอังกฤษไม่ได้มีฐานะเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับโดยตรงและอยู่ในลำดับชั้นที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดาที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติบุคคลย่อมได้รับการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานโดยองค์กรตุลาการ
ในภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายเยอรมัน การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลเป็นการคุ้มครองในระดับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่ได้รับการบัญญัติไว้ใน “กฎหมายพื้นฐาน” ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีนั้น ผูกพันทั้งองค์กรนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการในฐานะที่เป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้โดยตรง22 ซึ่งหมายความว่าในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ องค์กรนิติบัญญัติมีหน้าที่ในทางรัฐธรรมนูญที่จะต้องไม่ตรากฎหมายให้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน มิฉะนั้นย่อมต้องถือว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ
4.3 ความแตกต่างในแง่ของการควบคุมตรวจสอบการตรากฎหมาย
ตามหลักนิติรัฐ องค์กรนิติบัญญัติย่อมต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ เพื่อให้หลักความผูกพันต่อรัฐธรรมนูญขององค์กรนิติบัญญัติมีผลในทางปฏิบัติ ประเทศหลายประเทศที่ยอมรับหลักนิติรัฐจึงกำหนดให้มีองค์กรที่ควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่องค์กรนิติบัญญัติตราขึ้น องค์กรที่ทำหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้ โดยปกติแล้วย่อมได้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ อาจกล่าวได้ว่าตามหลักนิติรัฐ การตรากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติย่อมตกอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบขององค์กรตุลาการ อย่างไรก็ตามการควบคุมตรวจสอบการตรากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัตินั้น องค์กรตุลาการซึ่งทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องผูกพันตนต่อรัฐธรรมนูญด้วย ศาลรัฐธรรมนูญจึงควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติโดยเกณฑ์ในทางกฎหมาย ไม่อาจนำเจตจำนงของตนเข้าแทนที่เจตจำนงขององค์กรนิติบัญญัติได้
ในอังกฤษซึ่งเดินตามหลักนิติธรรมนั้น ถือว่ารัฐสภาเป็นรัฐาธิปัตย์ ในทางทฤษฎีรัฐสภาสามารถตรากฎหมายอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่อาจมีกรณีที่รัฐสภาตรากฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ แม้หากว่าจะมีผู้ใดอ้างว่ารัฐสภาตรากฎหมายขัดกับรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี การอ้างเช่นนั้นก็หามีผลทำให้กฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภานั้นสิ้นผลลงไม่ ศาลในอังกฤษไม่มีอำนาจที่จะตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา และด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ การควบคุมการตรากฎหมายของรัฐสภาอังกฤษจึงเป็นการควบคุมกันทางการเมือง ไม่ใช่ทางกฎหมาย
เมื่อพิจารณาจากองค์กรที่ตรากฎหมายตลอดจนกระบวนการควบคุมตรวจสอบกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่า หลักนิติรัฐที่พัฒนามาในเยอรมนีสัมพันธ์กับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ และการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญโดยองค์กรตุลาการ ในขณะที่หลักนิติธรรมที่พัฒนามาในอังกฤษสัมพันธ์กับหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา
4.4 ความแตกต่างในแง่ของการมีศาลปกครองและระบบวิธีพิจารณาคดี
ระบบกฎหมายอังกฤษไม่มีการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนออกจากกัน ด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงไม่มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเป็นอีกระบบศาลหนึ่งโดยเฉพาะคู่ขนานไปกับศาลยุติธรรมดังที่ปรากฏในภาคพื้นยุโรป ในการฟ้องร้องขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครองนั้น ราษฎรอังกฤษอาจฟ้องได้ในศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดา โดยหลักนิติธรรมถือว่าทั้งราษฎรและองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและภายใต้ศาลเดียวกัน
ระบบกฎหมายเยอรมันซึ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนออกจากกันนั้น ไม่ได้ยึดถือหลักการทำนองเดียวกับหลักนิติธรรมในอังกฤษที่เรียกร้องให้การพิจารณาพิพากษาคดีต้องภายใต้ “ศาลปกติธรรมดา” (ordinary court) เท่านั้น ปัจจุบันนี้ประเทศเยอรมนีมีระบบศาลแยกออกต่างหากจากกันถึงห้าระบบศาล (ยังไม่นับศาลรัฐธรรมนูญ) คือ ระบบศาลธรรมดา (ศาลยุติธรรม) ระบบศาลปกครอง ระบบศาลแรงแรงงาน ระบบศาลภาษีอากร และระบบศาลสังคม โดยคดีปกครองจะได้รับการพิจารณาจากศาลใน ๓ ระบบศาล คือ คดีปกครองทั่วไป จะได้รับการพิจารณาโดยศาลปกครอง ส่วนคดีปกครองที่มีลักษณะเฉพาะ คือ คดีภาษีอากร จะได้รับการพิจารณาโดยศาลภาษีอากร และคดีสังคม (ข้อพิพาทอันเกิดจากกฎหมายประกันสังคม ฯลฯ) จะได้รับการพิจารณาโดยศาลสังคม
อาจกล่าวได้ว่าในขณะที่หลักนิติธรรมที่พัฒนามาในระบบกฎหมายอังกฤษปฏิเสธการจัดตั้งศาล “เฉพาะ” เพื่อพิจารณาพิพากษาคดี เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความไม่เสมลอภาคหรือไม่เท่าเทียมกันนั้น หลักนิติรัฐที่พัฒนามาในระบบกฎหมายเยอรมันไม่มีข้อกังวลต่อปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามแนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ระหว่างระบบกฎหมายอังกฤษกับระบบกฎหมายเยอรมันส่งผลต่อการออกแบบระบบวิธีพิจารณาคดีตลอดจนการนำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นศาลด้วย กล่าวคือ ในระบบกฎหมายอังกฤษ ศาลอังกฤษจะทำหน้าที่เป็นคนกลางอย่างเคร่งครัด ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานของคู่ความในคดีไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีปกครอง จะควบคุมกระบวนพิจารณาให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเป็นธรรม แล้วตัดสินคดี บทบาทของผู้พิพากษาในอังกฤษจึงเป็นเสมือนผู้ที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยทำให้ผลของคดีมีลักษณะเป็นการชดเชยให้ความเป็นธรรม23 ในระบบกฎหมายเยอรมัน ในคดีทางกฎหมายมหาชน ศาลเยอรมันมีอำนาจในการค้นหาความจริงในคดีโดยไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับพยานหลักฐานที่คู่ความได้ยื่นมาเท่านั้น ผู้พิพากษาเยอรมันจึงเปรียบเสมือนเป็นแขนของกฎหมายที่ยื่นออกไป มีลักษณะเป็นผู้แทนของรัฐที่ถือดาบและตราชูไว้ในมือ วินิจฉัยคดีไปตามกฎหมายและความยุติธรรม และบังคับใช้กฎหมายให้บรรลุผล24 เมื่อเปรียบเทียบบทบาทของผู้พิพากษาอังกฤษกับเยอรมันแล้ว จะพบว่าผู้พิพากษาเยอรมันจะมีบทบาทมากกว่าในการขับเคลื่อนกระบวนพิจารณาคดี ในขณะที่ผู้พิพากษาอังกฤษจะทำหน้าที่คล้ายเป็นคนกลางผู้ควบคุมกฎการต่อสู้คดีเท่านั้น แม้กระนั้นอำนาจของผู้พิพากษาศาลอังกฤษในแง่ของการสั่งลงโทษบุคคลก็มีมากกว่าผู้พิพากษาของศาลเยอรมัน ในคดีปกครองศาลอังกฤษอาจสั่งลงโทษบุคคลฐานละเมิดอำนาจศาลได้ แม้บุคคลนั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ในขณะที่ศาลปกครองเยอรมัน แม้ศาลจะมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการได้ แต่หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติ ศาลปกครองก็ไม่มีอำนาจสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่โดยถือว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดอำนาจศาลได้25
4.5 ความแตกต่างในแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ
หลักนิติรัฐถือว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นหลักการที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอันจะขาดเสียมิได้ ในขณะที่เมื่อพิเคราะห์คำอธิบายว่าด้วยหลักนิติธรรมแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ปรากฏเรื่องการแบ่งแยกอำนาจในหลักนิติธรรม ในทางตำราก็ปรากฏข้อถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงแล้วในอังกฤษมีการแบ่งแยกอำนาจจริงหรือไม่ นักกฎหมายบางท่านมีความเห็นว่าในอังกฤษรัฐสภากับรัฐบาลมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในอังกฤษมีการมอบอำนาจให้องค์กรฝ่ายปกครองออกกฎหมาย บังคับการตามกฎหมาย และอาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทในลักษณะที่เป็นการกระทำในทางตุลาการด้วย ดังนั้นจึงอาจจะพอกล่าวได้ว่าอังกฤษไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ26 อย่างน้อยก็ไม่ได้มีการแบ่งแยกอำนาจในความหมายเดียวกันกับที่ปรากฏในภาคพื้นยุโรป อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกี่ยวกับองค์กรตุลาการ ทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างมีองค์ประกอบประการหนึ่งตรงกัน คือ การยอมรับความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ
5. บทส่งท้าย
ถึงแม้ว่าหลักนิติรัฐกับหลักนิติธรรมจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่หลักการทั้งสองต่างก็เป็นหลักการที่มุ่งจะสร้างความยุติธรรมและสันติสุขให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมายเหมือนกัน และคงจะตอบได้ยากว่าหลักการใดดีกว่าหลักการใด หากนำเอาแนวความคิดทั้งสองมาพิเคราะห์เพื่ออธิบายระบบกฎหมายไทยโดยมุ่งไปที่การจัดโครงสร้างขององค์กรของรัฐในรัฐธรรมนูญไทยตลอดจนการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรแล้ว จะเห็นได้ว่าในแง่ของรูปแบบ ระบบกฎหมายไทยพยายามจะเดินตามแนวทางของหลักนิติรัฐที่พัฒนามาในภาคพื้นยุโรป ดังจะเห็นได้จากการยอมรับหลักการแบ่งแยกอำนาจในมาตรา ๓ การยอมรับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญในมาตรา ๖ ตลอดจนการประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎรไว้ในหมวด ๓ แม้กระนั้นเมื่อพิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ประกอบกับทางปฏิบัติที่เกิดจากการปรับใช้รัฐธรรมนูญแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังห่างไกลจากความเป็นนิติรัฐมากนัก แม้มาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญจะประกาศยอมรับหลักการแบ่งแยกอำนาจ แต่หลักการดังกล่าวก็ได้ถูกทำลายลงในมาตรา ๒๓๙ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลก่อนประกาศผลการเลือกตั้งและให้คำวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุด ซึ่งเท่ากับให้อำนาจองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นศาลได้ในตัวเอง แม้รัฐธรรมนูญจะยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลใน หมวด ๓ แต่ก็ทำลายหลักการประกันสิทธิทางการเมืองของบุคคลในมาตรา ๒๓๗ ที่กำหนดการให้การกระทำความผิดของบุคคลคนเดียวนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองทั้งพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลที่เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย แม้บุคคลนั้นจะไม่ได้กระทำความผิดก็ตาม แม้มาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญจะประกาศหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ แต่หลักการดังกล่าวก็ถูกทำลายลงในมาตรา ๓๐๙ เพราะตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แม้จะกระทำต่อไปในอนาคต ก็ได้รับการรับรองไว้ล่วงหน้าแล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มิพักต้องคำนึงว่าการกระทำนั้นจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อพิจารณาในทางนิติศาสตร์แล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขัดแย้งกันเองมากที่สุดฉบับหนึ่ง หากไม่พิเคราะห์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งฉบับบนพื้นฐานความเข้าใจแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐหรือนิติธรรมที่ยอมรับนับถือกันในสากลแล้ว ก็ย่อมจะไม่เห็นการซ่อนเร้นอำพรางแนวความคิดทางกฎหมายที่เป็นปรปักษ์กับหลักนิติรัฐหรือหลักนิติธรรม ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากแนวความคิดที่ปรปักษ์กับหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมยังคงถูกอำพรางอยู่ในรัฐธรรมนูญในนามของการปกครองแบบไทยๆดังที่มีความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญฉบับที่อำพรางว่าเป็นนิติรัฐนี้แล้ว ความยุติธรรมและสันติสุขในระบบกฎหมายย่อมยากที่จะเกิดขึ้นได้.
---------------------------------------------
1. ในชั้นการประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างแม้จะมีการอภิปรายถึงคำว่านิติรัฐและนิติธรรม แต่ไม่ปรากฏ การอภิปรายในทางเนื้อหาถึงความแตกต่างของหลักการทั้งสอง ไม่มีกรรมาธิการผู้ใดอภิปรายถึงความเชื่อมโยงของหลักนิติธรรมกับความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา และความเชื่อมโยงของหลักนิติรัฐกับการยอมรับค่าบังคับของสิทธิขั้นพื้นฐานว่าเป็นค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญเลย ในชั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกัน คงมีแต่การอภิปรายว่าหลักการใดกว้างแคบอย่างไร ซึ่งไม่ทำให้เห็นถึงสารัตถะของความเหมือนและความแตกต่างของหลักการทั้งสอง จนทำให้ในที่สุดแล้ว แม้จะมีการลงคะแนนเสียงเพื่อหาข้อยุติในการใช้ถ้อยคำ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสรุปได้ว่าความเหมือนและความแตกต่างในทางเนื้อหาของหลักการทั้งสองคืออะไรกันแน่ อนึ่ง หากตรวจดูบันทึกเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญบันทึกเจตนารมณ์ จดหมายเหตุและตรวจรายงานการประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ความกระจ่างเช่นกัน
2. D. Zolo, The Rule of Law : A Critical Reappraisal, in : P. Costa / D. Zolo (eds.), The Rule of Law History, Theory and Criticism, Dordrecht : Springer, 2007, p. 3.
3. J. Stone, The Province and Function of Law, Cambridge : Harvard University Press, 1950, p. 713.; P. Van Dijk, Judicial Review of Governmental Action and the Requirement of a Interest to Sue, Alphen aan den Rijn: Sijthoff & Noordhoff, 1980, p. 1.
4. N. MacCormick, “Constitutionalism and Democracy” in R. Bellamy (ed.), Theories and Concepts of Politics, Manchester (NY) : Manchester University Press, 1993, pp. 125, 128-30; อย่างไรก็ตาม MacCorMick เห็นว่า นิติรัฐ (Rechtsstaat) ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญจาก นิติธรรม (rule of law) ดู N. MacCormick, Der Rechtstaat und die “rule of law”, Juristenzeitung, 39 (1984), p. 56.
5. K. Doehring, Allgemeine Staatslehre, Heidelberg : Mueller, 2004., p. 172.
6. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, Berlin Heidelberg : Springer, 2004, p. 227.
7. Böckenförde E.-W., Recht, Staat, Freiheit, Frankfurt a.M.: Suhrkamp, 1991, p. 146.
8. A. Katz, Staatsrecht, Heidelberg : Mueller, 1999, p. 83.
9. งานเขียนในภาคภาษาไทยที่อธิบายสรุปหลักนิติธรรมในแง่ความเป็นมาไว้เป็นอย่างดี ดู จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๗ (หรือที่พิมพ์ปีอื่นๆ) บทที่ ๑๔ บริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ของอุดมการณ์ “หลักนิติธรรม”.
10. Th. Fleiner / L. Basta Fleine, Allgemeine Staatslehre, Berlin-Heidelberg : Springer, 2004, p. 226.
11. Magna Carta เป็นชื่อที่เรียกกันย่อๆของเอกสารฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า Magna Carta Libertatum ซึ่งอาจจะแปลได้ว่า “มหาบัตรแห่งเสรีภาพ”
12. ดู อาทิ article 39 Magna Carta “ No free man shall be arrested or imprisoned or dissseised or outlawed or exiled or in any way victimised, neither will we attack him or send anyone to attack him, except by the lawful judgment of his peers or by the law of the land.”
13. G. Decker / M. Wirth, Das politische System Grossbritaniens, Berlin : Wissenschaftlicher Autoren, 1982,p. 7.
14. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 229.
15. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 231.
16. ความเห็นของ Coke ในเรื่องนี้ปรากฏใน Case of Proclamations (1610),12 Co. Rep. 74.
17. ความเห็นของ Coke ในเรื่องนี้ปรากฏใน Dr. Bonham's Case (1610), 8 Co. Rep. 114.
18. A.V. Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution (1885), London : Macmillan, 1959,p. 195.
19. A.V. Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution, pp. 187-203.
20. L. L. Fuller, The Morality of law, Revised Edition, New Haven : Yale University Press, 1969. pp. 46-91.
21. คำว่า Common Law มีหลายความหมาย โดยทั่วไปหมายถึงกฎหมายของอังกฤษทั้งหลายทั้งปวงที่รวมกันขึ้นเป็นระบบกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปที่เรียกว่า Civil Law ส่วนอีกความหมายหนึ่งซึ่งเป็นความหมายที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ Common Law หมายถึงกฎหมายที่ศาลในสมัยกลางพัฒนาขึ้นมาจากบรรดากฎหมายประเพณีต่างๆที่ใช้บังคับรวมกันในราชอาณาจักรอังกฤษ กลายเป็นกฎหมายทั่วไปในราชอาณาจักร ไม่ใช่กฎหมายที่ใชบังคับเฉพาะท้องถิ่นใดหรือเฉพาะชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งในอังกฤษ
22. กฎหมายพื้นฐานแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มาตรา ๑ (๓) – Grundgesetz der Bundesrepublik Deutschland Art. 1(3).
23. Th. Fleiner, p. 251.
24. Th.Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 251.
25. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 265.
26. K. Loewenstein, Staatsrecht und Staatspraxis von Grossbritannien, Bd. I, Berlin-Heidelberg-New York: Springer, 1967, p. 84.
17 September 2010 | by สาวตรี สุขศรี | tags นิติรัฐ บทความ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
นิติราษฏร์ ฉบับที่ ๑ (วรเจตน์ ภาคีรัตน์)
เมื่อสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์คิดการที่จะสร้างชุมชนทางวิชาการเล็กๆในทางนิติศาสตร์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางกฎหมายที่ถูกต้อง เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย และเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งนิติรัฐและความยุติธรรมให้เจริญงอกงามในสังคมไทย เรื่องหนึ่งที่พวกเราคิดกันนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาแล้วก็คือ เว็บไซต์ที่เราจะตั้งขึ้นนั้น ควรจะมีชื่อว่าอะไร มีชื่อที่เราคิดกันหลายชื่อ ในที่สุดเราก็ได้ชื่อที่อยู่หรือที่ตั้งของเว็บไซต์ว่า www.enlightened-jurists.com
ทำไมต้อง enlightened jurists
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วงชิงอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจ ตลอดจนทำลายอำนาจ การช่วงชิง สร้างความชอบธรรม และทำลายล้างในนามของกฎหมายและความยุติธรรมนั้น ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลที่ลึกอย่างยิ่งให้กับวงการกฎหมายและวงวิชาการ นิติศาสตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลสร้างความอยุติธรรมอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมโดยรวม ด้วย เมื่อได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน เราเห็นตรงกันว่าเหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์แบบนี้ขึ้นในสังคม ก็เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน
เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ เราเห็นว่าสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาหรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumières; Aufklärung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของ Enlightenment คือ การเกิดความเคลื่อนไหวทางความคิดในทุกแขนงวิชา โดยการเคลื่อนไหวทางความคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ การสงสัยต่อสิ่งที่ยอมรับเด็ดขาดเป็นยุติ ห้ามโต้แย้ง ห้ามคิดต่าง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือคำสอนทางศาสนา ทั้งนี้โดยที่ถือว่า “เหตุผล” มีคุณค่าเท่าเทียมกับ “ความดี” การใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรองไม่หลงเชื่ออะไรอย่างงมงายมีค่าเป็นคุณธรรม ถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสามารถที่จะได้รับการฝึกฝนให้ใช้สติปัญญาได้ และถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างเท่าทัน ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดการเรียกร้องให้มีขันติธรรมในเรื่องความเชื่อทางศาสนา กล่าวให้ถึงที่สุด ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คือ ยุคที่เสรีภาพจะเข้าแทนที่สมบูรณาญาสิทธิ์ ความเสมอภาคจะเข้าแทนที่ระบบชนชั้น เหตุผล ความรู้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จะเข้าแทนที่อคติและความงมงายทั้งหลาย
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นักคิดสกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) และนักคิดในสายถอดรื้อโครงสร้าง (Deconstruction) จะปฏิเสธคุณค่าภววิสัยและความจริงปรมัตถ์และเห็นว่าตรรกะไม่ใช่รากฐานเพียง ประการเดียวของความรู้ของมนุษย์ก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเราไม่เริ่มต้นตั้งคำถาม และใช้สติปัญญาของเราอันเปรียบเสมือนแสงสว่างขับไล่ความมืดมนคืออคติและความงมงายแล้ว เราก็คงจะสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ที่ยุติธรรมไม่ได้ แม้ว่ายุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาจะเป็นเพียงยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่เราเห็นว่าการใช้เหตุผลและสติปัญญาแสวงหาความจริงเป็นกระบวนการที่ไม่รู้จักจบสิ้น การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล ที่สามารถยอมรับได้ เราเห็นด้วยกับคำขวัญของยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คำขวัญที่ Immanuel Kant (ค.ศ.๑๗๒๔-๑๘๐๔) นักปรัชญาผู้เรืองนามชาวเยอรมันให้ไว้ว่า
“จงกล้า ที่จะใช้ปัญญาญานแห่งตน!” (Habe Mut, dich deines eigenen Verstandes zu bedienen!)
สำหรับชื่อภาษาไทยที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์” นั้น ความหมายอยู่ในคำขยายที่ตามมา นั่นคือ “นิติศาสตร์เพื่อราษฎร”
ประเด็นก็คือทำไมต้องเป็นนิติศาสตร์เพื่อราษฎร
หากเราย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว เราจะพบความจริงประการหนึ่งว่าวิธีคิดของคนในวงการนิติศาสตร์และระบบตลอดจน โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ไม่ได้ถูกปลูกฝังบ่มเพาะให้เข้าสู่ความรับรู้ของบุคคลในวงการกฎหมายอย่างที่ ควรจะเป็น การเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ในช่วงสามสี่ปีมานี้ ย่อมต้องถือว่าเป็นผลพวงของความล้มเหลวในอันที่จะสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์หลักในวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์ เหตุผลของความล้มเหลวดังกล่าวมีอยู่หลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งน่าจะเนื่องมาจากการที่สถาบันที่อบรมให้ความรู้ทางวิชาการและฝึกฝนวิชาชีพทางกฎหมายตัดตัวเองออกจากการเรียนการสอนกฎหมายมหาชนในแง่ของหลักการและคุณค่าที่แท้จริง นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา เราจึงได้เห็นการรัฐประหารและล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมายโดยแทบจะไม่มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในทางเนื้อหาของบรรดาประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลทำลายคุณค่าของวิชานิติศาสตร์ลงอย่างถึงรากแล้ว ในที่สุดยังเท่ากับเป็นการทำร้ายราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐด้วย
เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร เราใช้คำว่า “ราษฎร” โดยถือว่าคำๆนี้มีความหมายนัยเดียวกับ พลเมือง และประชาชนเราเห็นว่าการเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การ ท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออกจากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร วิชานิติศาสตร์ควรจะสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและเริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้ว หาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร เราเห็นว่าการศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย
เว็บไซต์ที่เราทำขึ้นนี้นอกจากจะเป็นที่รวบรวมงานทางวิชาการ กึ่งวิชาการ บทสัมภาษณ์ ตลอดจนความเห็นทางกฎหมายของสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์เพื่อสนับสนุน หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยแล้ว เรายังจะคัดสรรเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและ ประวัติศาสตร์กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชนมาลงไว้ด้วย การคัดสรรเอกสารเหล่านี้มาลงไว้นอกจากจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเรียนการ สอนรายวิชาต่างๆแล้ว เรายังหวังให้เอกสารทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ทั้งที่เป็นของไทยและต่างประเทศเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวของเอกสารนั้นเอง
นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังเปิดคอลัมน์บทความนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาวิชากฎหมายได้เขียนบทความทางวิชาการหรือกึ่งวิชาการแสดงทัศนะของตนต่อประเด็นปัญหาทางกฎหมายและการเมืองการปกครอง เราหวังว่านี่จะเป็นบันไดขั้นต้นสำหรับนักศึกษาที่รักในความรู้ที่จะได้ แสดงออกซึ่งความสามารถทางวิชาการของตน บทความแรกที่นำเสนอในการเปิดเว็บไซต์นี้คือบทความของคุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร นักศึกษาปริญญาโท สาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องปรองดองแห่งชาติในสายตาสังคมวิทยากฎหมาย
ส่วนที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ คือ บทความแนะนำ ในส่วนนี้สมาชิกผู้ก่อตั้งจะได้นำบทความที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการทำความ เข้าใจกฎหมายและการเมืองการปกครองมาลงไว้ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นบทความในทางนิติศาสตร์เท่านั้น ในชั้นแรกที่สุดนี้เราได้รับความอนุเคราะห์บทความจากอาจารย์ ดร. ณัฐพล ใจจริง เรื่อง “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะในคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญของสำนักจารีตประเพณีกับรัฐธรรมนูญนิยม ว่าด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ (๒๔๗๕-๒๕๐๐)แม้บทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารศิลปวัฒนธรรมมาแล้ว และแพร่หลายไปในวงกว้าง แต่สำหรับในวงวิชาการนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนว่าจะยังอ่านกันน้อยมาก บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นการต่อสู้ในทางความคิดของนักกฎหมาย ๒ สำนัก คือ สำนักจารีตประเพณี กับสำนักรัฐธรรมนูญนิยม อาจารย์ณัฐพลได้แสดงให้เห็นถึงภูมิหลังของนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบ จารีตนิยม กับนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบรัฐธรรมนูญนิยม การให้เหตุผลตลอดจนคำอธิบายสถานะในทางรัฐธรรมนูญของพระมหากษัตริย์ตามแนวทาง ของแต่ละสำนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด ปัญหาเรื่องการละเมิดไม่ได้กับความรับผิดชอบ ปัญหาเรื่องการรับสนองพระบรมราชโองการ ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล ปัญหาเรื่องที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ท้ายที่สุดอาจารย์ณัฐพลได้ชี้ให้เห็นว่าแม้คำอธิบายของสำนักรัฐธรรมนูญนิยม จะได้วางหลักความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่น่าสนใจไว้หลายประการ แต่หลักการเหล่านั้นได้สูญหายไปจากคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบทความนี้จะเขียนถึงการต่อสู้ทางความคิดของนักกฎหมายทั้งสองสำนัก ในช่วง ๒๕ ปีแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาที่ถกเถียงกันนั้นยังคงเป็นปัญหาหลักในทางการเมืองการปกครองไทยมาจนถึง ปัจจุบันนี้ สำหรับนักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว บทความนี้เป็นบทความที่จะผ่านเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เว็บไซต์นี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ สำหรับบทนำที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์ ฉบับที่ ...” นั้นสมาชิกผู้ก่อตั้งจะสลับกันเขียนทุกๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ แสดงทัศนะและความเห็นทางกฎหมาย เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง แนะนำหนังสือ แนะนำบทความ วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง เราหวังว่านี่จะเป็นก้าวเล็กๆในการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางวิชาการและ ทางความคิดเพื่อส่งเสริมให้การศึกษาวิชานิติศาสตร์มีชีวิตชีวา เพื่อสนับสนุนหลักนิติรัฐ และเพื่อให้ในที่สุดแล้วบทบัญญัติในมาตรา ๑ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ปรากฏขึ้นเป็นจริง
วรเจตน์ ภาคีรัตน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทำไมต้อง enlightened jurists
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วงชิงอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจ ตลอดจนทำลายอำนาจ การช่วงชิง สร้างความชอบธรรม และทำลายล้างในนามของกฎหมายและความยุติธรรมนั้น ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลที่ลึกอย่างยิ่งให้กับวงการกฎหมายและวงวิชาการ นิติศาสตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลสร้างความอยุติธรรมอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมโดยรวม ด้วย เมื่อได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน เราเห็นตรงกันว่าเหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์แบบนี้ขึ้นในสังคม ก็เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน
เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ เราเห็นว่าสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาหรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumières; Aufklärung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของ Enlightenment คือ การเกิดความเคลื่อนไหวทางความคิดในทุกแขนงวิชา โดยการเคลื่อนไหวทางความคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ การสงสัยต่อสิ่งที่ยอมรับเด็ดขาดเป็นยุติ ห้ามโต้แย้ง ห้ามคิดต่าง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือคำสอนทางศาสนา ทั้งนี้โดยที่ถือว่า “เหตุผล” มีคุณค่าเท่าเทียมกับ “ความดี” การใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรองไม่หลงเชื่ออะไรอย่างงมงายมีค่าเป็นคุณธรรม ถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสามารถที่จะได้รับการฝึกฝนให้ใช้สติปัญญาได้ และถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างเท่าทัน ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดการเรียกร้องให้มีขันติธรรมในเรื่องความเชื่อทางศาสนา กล่าวให้ถึงที่สุด ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คือ ยุคที่เสรีภาพจะเข้าแทนที่สมบูรณาญาสิทธิ์ ความเสมอภาคจะเข้าแทนที่ระบบชนชั้น เหตุผล ความรู้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จะเข้าแทนที่อคติและความงมงายทั้งหลาย
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นักคิดสกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) และนักคิดในสายถอดรื้อโครงสร้าง (Deconstruction) จะปฏิเสธคุณค่าภววิสัยและความจริงปรมัตถ์และเห็นว่าตรรกะไม่ใช่รากฐานเพียง ประการเดียวของความรู้ของมนุษย์ก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเราไม่เริ่มต้นตั้งคำถาม และใช้สติปัญญาของเราอันเปรียบเสมือนแสงสว่างขับไล่ความมืดมนคืออคติและความงมงายแล้ว เราก็คงจะสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ที่ยุติธรรมไม่ได้ แม้ว่ายุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาจะเป็นเพียงยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่เราเห็นว่าการใช้เหตุผลและสติปัญญาแสวงหาความจริงเป็นกระบวนการที่ไม่รู้จักจบสิ้น การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล ที่สามารถยอมรับได้ เราเห็นด้วยกับคำขวัญของยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คำขวัญที่ Immanuel Kant (ค.ศ.๑๗๒๔-๑๘๐๔) นักปรัชญาผู้เรืองนามชาวเยอรมันให้ไว้ว่า
“จงกล้า ที่จะใช้ปัญญาญานแห่งตน!” (Habe Mut, dich deines eigenen Verstandes zu bedienen!)
สำหรับชื่อภาษาไทยที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์” นั้น ความหมายอยู่ในคำขยายที่ตามมา นั่นคือ “นิติศาสตร์เพื่อราษฎร”
ประเด็นก็คือทำไมต้องเป็นนิติศาสตร์เพื่อราษฎร
หากเราย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว เราจะพบความจริงประการหนึ่งว่าวิธีคิดของคนในวงการนิติศาสตร์และระบบตลอดจน โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ไม่ได้ถูกปลูกฝังบ่มเพาะให้เข้าสู่ความรับรู้ของบุคคลในวงการกฎหมายอย่างที่ ควรจะเป็น การเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ในช่วงสามสี่ปีมานี้ ย่อมต้องถือว่าเป็นผลพวงของความล้มเหลวในอันที่จะสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์หลักในวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์ เหตุผลของความล้มเหลวดังกล่าวมีอยู่หลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งน่าจะเนื่องมาจากการที่สถาบันที่อบรมให้ความรู้ทางวิชาการและฝึกฝนวิชาชีพทางกฎหมายตัดตัวเองออกจากการเรียนการสอนกฎหมายมหาชนในแง่ของหลักการและคุณค่าที่แท้จริง นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา เราจึงได้เห็นการรัฐประหารและล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมายโดยแทบจะไม่มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในทางเนื้อหาของบรรดาประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลทำลายคุณค่าของวิชานิติศาสตร์ลงอย่างถึงรากแล้ว ในที่สุดยังเท่ากับเป็นการทำร้ายราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐด้วย
เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร เราใช้คำว่า “ราษฎร” โดยถือว่าคำๆนี้มีความหมายนัยเดียวกับ พลเมือง และประชาชนเราเห็นว่าการเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การ ท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออกจากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร วิชานิติศาสตร์ควรจะสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและเริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้ว หาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร เราเห็นว่าการศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย
เว็บไซต์ที่เราทำขึ้นนี้นอกจากจะเป็นที่รวบรวมงานทางวิชาการ กึ่งวิชาการ บทสัมภาษณ์ ตลอดจนความเห็นทางกฎหมายของสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์เพื่อสนับสนุน หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยแล้ว เรายังจะคัดสรรเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและ ประวัติศาสตร์กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชนมาลงไว้ด้วย การคัดสรรเอกสารเหล่านี้มาลงไว้นอกจากจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเรียนการ สอนรายวิชาต่างๆแล้ว เรายังหวังให้เอกสารทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ทั้งที่เป็นของไทยและต่างประเทศเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวของเอกสารนั้นเอง
นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังเปิดคอลัมน์บทความนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาวิชากฎหมายได้เขียนบทความทางวิชาการหรือกึ่งวิชาการแสดงทัศนะของตนต่อประเด็นปัญหาทางกฎหมายและการเมืองการปกครอง เราหวังว่านี่จะเป็นบันไดขั้นต้นสำหรับนักศึกษาที่รักในความรู้ที่จะได้ แสดงออกซึ่งความสามารถทางวิชาการของตน บทความแรกที่นำเสนอในการเปิดเว็บไซต์นี้คือบทความของคุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร นักศึกษาปริญญาโท สาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องปรองดองแห่งชาติในสายตาสังคมวิทยากฎหมาย
ส่วนที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ คือ บทความแนะนำ ในส่วนนี้สมาชิกผู้ก่อตั้งจะได้นำบทความที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการทำความ เข้าใจกฎหมายและการเมืองการปกครองมาลงไว้ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นบทความในทางนิติศาสตร์เท่านั้น ในชั้นแรกที่สุดนี้เราได้รับความอนุเคราะห์บทความจากอาจารย์ ดร. ณัฐพล ใจจริง เรื่อง “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะในคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญของสำนักจารีตประเพณีกับรัฐธรรมนูญนิยม ว่าด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ (๒๔๗๕-๒๕๐๐)แม้บทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารศิลปวัฒนธรรมมาแล้ว และแพร่หลายไปในวงกว้าง แต่สำหรับในวงวิชาการนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนว่าจะยังอ่านกันน้อยมาก บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นการต่อสู้ในทางความคิดของนักกฎหมาย ๒ สำนัก คือ สำนักจารีตประเพณี กับสำนักรัฐธรรมนูญนิยม อาจารย์ณัฐพลได้แสดงให้เห็นถึงภูมิหลังของนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบ จารีตนิยม กับนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบรัฐธรรมนูญนิยม การให้เหตุผลตลอดจนคำอธิบายสถานะในทางรัฐธรรมนูญของพระมหากษัตริย์ตามแนวทาง ของแต่ละสำนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด ปัญหาเรื่องการละเมิดไม่ได้กับความรับผิดชอบ ปัญหาเรื่องการรับสนองพระบรมราชโองการ ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล ปัญหาเรื่องที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ท้ายที่สุดอาจารย์ณัฐพลได้ชี้ให้เห็นว่าแม้คำอธิบายของสำนักรัฐธรรมนูญนิยม จะได้วางหลักความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่น่าสนใจไว้หลายประการ แต่หลักการเหล่านั้นได้สูญหายไปจากคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบทความนี้จะเขียนถึงการต่อสู้ทางความคิดของนักกฎหมายทั้งสองสำนัก ในช่วง ๒๕ ปีแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาที่ถกเถียงกันนั้นยังคงเป็นปัญหาหลักในทางการเมืองการปกครองไทยมาจนถึง ปัจจุบันนี้ สำหรับนักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว บทความนี้เป็นบทความที่จะผ่านเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เว็บไซต์นี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ สำหรับบทนำที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์ ฉบับที่ ...” นั้นสมาชิกผู้ก่อตั้งจะสลับกันเขียนทุกๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ แสดงทัศนะและความเห็นทางกฎหมาย เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง แนะนำหนังสือ แนะนำบทความ วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง เราหวังว่านี่จะเป็นก้าวเล็กๆในการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางวิชาการและ ทางความคิดเพื่อส่งเสริมให้การศึกษาวิชานิติศาสตร์มีชีวิตชีวา เพื่อสนับสนุนหลักนิติรัฐ และเพื่อให้ในที่สุดแล้วบทบัญญัติในมาตรา ๑ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ปรากฏขึ้นเป็นจริง
วรเจตน์ ภาคีรัตน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
19 กันยายน คือรัฐประหารที่รุนแรงและนองเลือด
นพพล อาชามาส
แต่ 4 ปีผ่านไป พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐประหารนอกจากจะไม่สามารถหยุดยั้งความขัดแย้งในสังคม ไม่สามารถปฏิรูปอะไรได้แล้ว กลับนำพาสังคมไทยเข้าสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และแม้จะไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงทันทีทันใด แต่การนองเลือดก็เกิดขึ้นและค่อยๆ มากขึ้นเป็นลำดับเมื่อเวลาผ่านไป
บทความนี้เสนอให้มองการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในระยะยาวกว่าวันที่ 19 กันยายน 2549 ยาวกว่าเวลาอยู่ในอำนาจของคมช. หรือยาวกว่าเวลาการมีอำนาจของรัฐบาลพลเอกสรยุทธ์ จุลานนท์ แต่หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงทุกวันนี้ สังคมไทยยังคงอยู่ใน "กระบวนการรัฐประหาร" ที่ไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังได้ตกลงไปในหลุมลึกของความขัดแย้งใหม่ ซึ่งแหลมคมจนแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง เราจึงควรมองการรัฐประหารครั้งนี้ในฐานะรัฐประหารที่นำไปสู่การนองเลือดอย่างต่อเนื่อง (bloodshed coup) ทั้งของฝ่ายที่พิทักษ์กระบวนการรัฐประหาร และฝ่ายที่ต่อต้านกระบวนการรัฐประหาร
การจดจำเนื้อหา หรือความหมายที่ถูกให้กับเหตุการณ์นี้ใหม่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งในแง่ของการมองผลของการรัฐประหารต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน และในแง่ของการปฏิเสธความชอบธรรมใดๆ ของรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 3-9 กันยายน 2553 ได้ลงบทสัมภาษณ์พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำการรัฐประหาร 19 กันยายน ในโอกาสที่ใกล้ครบรอบ 4 ปีของเหตุการณ์นั้น ความตอนหนึ่งว่า
“มีสักแว่บหนึ่งของความคิดบ้างไหม ที่พอเห็นเหตุการณ์รุนแรงทางหน้าจอทีวี แล้วเกิดความรู้สึกว่า เป็นเพราะการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือเปล่า บ้านเมืองถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้
- ทางกองทัพมีหน้าที่ในเรื่องการรักษาความมั่นคง รักษาความปลอดภัย และที่สำคัญรักษาระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีหน้าที่พวกนี้
ท่านไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารหรอกหรือ
หมายความว่า ไม่ได้ประเมินว่ามันจะเลวร้าย
ไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเขาสู้ ทำให้เกิดปัญหามาจนถึงวันนี้
นอกจากจะน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่าเมื่อไรกันที่กองทัพมีหน้าที่สำคัญในการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว ยังน่าสนใจในความขัดแย้งของตรรกะวิธีคิดของนายทหารผู้นี้ เพราะหากกองทัพทำไปเพราะต้องการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว เหตุใดกระบวนการตัดสินใจ ประเมินสถานการณ์ข้างหน้าหลังจากการรัฐประหาร กลับกระทำโดยคณะรัฐประหาร หรือคนกลุ่มน้อยไม่กี่คน
จึงไม่ใช่เรื่องขัดแย้งหรือน่าแปลกใจ ที่เหล่าคณะรัฐประหารจะประเมินสถานการณ์ข้างหน้ากันเอาเอง แล้วจึง “เข้ามาจัดระบบให้มันเป็นประชาธิปไตย”
อาจกล่าวได้ว่า เนื้อหาของการรัฐประหารครั้งนี้คือการที่คนกลุ่มน้อยซึ่ง “รู้ดีกว่า” เข้ามาจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ที่ถูกทำให้ “สับสน” ไปในสมัยของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้คืนสู่ “สภาพเดิม”
เกษียร เตชะพีระ เคยประเมินเนื้อหาหรือแก่นแท้ของการรัฐประหาร 19 กันยายน ว่าเป็น "รัฐประหารเพื่อราชบัลลังก์...กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อรัฐประหารขึ้นก็เพื่อปฏิรูปประชาธิปไตยไทยไปในลักษณะวิถีทางที่จะทำให้มันปลอดภัยสำหรับสถาบันกษัตริย์จากการท้าทายด้วยอำนาจนำทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ หรือที่พลเอกสนธิ เรียกในเวลาต่อมาว่า ‘เผด็จการทุนนิยม’ ” นั่นเอง (เน้นโดยเกษียรเอง ใน "รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 กับการเมืองไทย" รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2551 หน้า 52-53)
สำหรับรูปแบบของการรัฐประหาร เกษียรก็ชี้ให้เห็นว่าเป็นการรัฐประหารเชิงตั้งรับ คือทหารเข้ามาแทรกแซง ยึดอำนาจรัฐแบบเฉพาะกิจเฉพาะการณ์ ช่วงเวลาค่อนข้างสั้น จากนั้นก็ฟื้นฟูการปกครองโดยพลเรือนคืนมาพร้อมกับทหารพากันยกพลกลับสู่กรมกองบางส่วน (หน้า 54)
นอกจากนั้น รูปแบบอีกอย่างหนึ่งของการรัฐประหารในครั้งนี้คือ การดึงสถาบัน และองค์กรหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเข้ามารองรับความชอบธรรมของการยึดอำนาจโดยทหาร ไม่ว่าจะเป็นสถาบันตุลาการ สถาบันกษัตริย์ สถาบันวิชาการ องคมนตรี องค์กรอิสระ นักการเมือง เอ็นจีโอ รวมทั้ง “ภาคประชาชน” บางส่วน นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในช่วงแรกของการรัฐประหารไม่มีความรุนแรง หรือการนองเลือดเกิดขึ้น เพราะมีฐานค้ำยันจำนวนมากอยู่
อีกทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐประหารยังไม่สามารถก่อตัว รวมตัวต่อสู้ ต่อต้านได้ แต่ก็เต็มไปด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยจากกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยหลายกลุ่มโดยตลอดตั้งแต่หลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ก่อนที่จะแปรกลายไปเป็นกลุ่มที่เรียกว่าเสื้อแดงหรือนปช.หลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ในที่สุด
กระบวนการรัฐประหารและต้านรัฐประหารยังไม่สิ้นสุด
การยึดอำนาจโดยตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้เกิดการจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ได้แต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการขับไล่ผู้ครองอำนาจอยู่เดิมออกไปเท่านั้น กระบวนการต่างๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นจึงเป็น
แถมวิธีการที่ใช้ก็เช่นเดียวกับช่วงรัฐประหาร คือการดึงสถาบันหรือองค์กรทุกๆ ภาคส่วนดังกล่าวข้างต้น เข้ามาพัวพัน แทรกแซง วุ่นวายกับการรื้อถอนระบบการเมืองเก่าที่ "สับสน" และจัดระบบการเมืองใหม่ที่จะทำให้สังคมไทยกลับสู่ "สภาพเดิม" อย่างปกติสุข ดังนั้นแม้คณะรัฐประหารจะหมดอำนาจไปแล้ว แต่กระบวนการจัดระบบใหม่ก็ยังถูกส่งไม้ไปยังตัวละครทางการเมืองอื่นๆ ต่อไป และแม้จะเกิดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขึ้น แต่กระบวนการหลังจากนั้นก็ยังดำเนินไปภายใต้เนื้อหาของการรัฐประหารเช่นเดิม
เพียงแต่ผลที่ "ไม่มีใครคาดคิด" ก็เกิดขึ้นตามมา เมื่อวิธีการดึงสถาบันและองค์กรจำนวนมากเข้ามาช่วยกันกำจัดระบบเก่า สร้างระบบใหม่ กลับกลายเป็นการกัดกร่อน ทำลาย บ่อนเซาะตัวสถาบัน องค์กรต่างๆ เหล่านั้นเสียเอง กระบวนการจัดการทักษิณและการ "ปฏิรูปประชาธิปไตยไทย" ดำเนินไปตลอด 4 ปีโดยสะสมปัญหาและผลิตความขัดแย้งมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเดินหน้าไปความรุนแรงก็มากขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามพิทักษ์เนื้อหาของการรัฐประหารจึงใช้ต้นทุนทางสังคมไทยสูงมากในทุกๆ ด้าน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้กำไรแล้ว ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะได้ทุนคืนมา
ระบบยุติธรรมที่พอจะมีอยู่บ้างในสังคม พังทลายลงจนคนจำนวนมากไม่เชื่อถืออีกเลยไม่ว่าจะตัดสินเรื่องใดก็ตาม ความน่าเชื่อถือต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมหลายคนมลายหายสูญไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถาบันกษัตริย์ถูกดึงและลงมาพัวพันกับความขัดแย้ง ซึ่งยิ่งสร้างความสุ่มเสี่ยงของโอกาสเกิดความรุนแรง สถาบันวิชาการถูกท้าทาย ตั้งคำถาม และถูกมองอย่างหมดความหวัง สถานะความเป็นเอ็นจีโอถูกสงสัย เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ของรัฐเป็นจำนวนมาก และต้องเผชิญกับความแตกร้าวภายในอย่างรุนแรง
เงื่อนไขเหล่านี้เอง ที่ทำให้ขบวนการต้านรัฐประหารค่อยๆ เติบโตขึ้น การรวมตัวขยายใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าคนบางส่วนก็สนับสนุนทักษิณ หากแม้รัฐบาลทักษิณจะมีปัญหาในหลายๆ ด้าน และตัวระบบการเมืองในสมัยทักษิณก็มีปัญหาเช่นกัน แต่ "การปฏิรูปประชาธิปไตย" โดยเริ่มต้นจากการทำรัฐประหารกลับกลายเป็นการเพิ่มเงื่อนไขของความขัดแย้ง แทนที่จะลดความรุนแรงลงไปดังที่ถูกอ้าง
ประเด็นความไม่เป็นธรรมจากการพยายามรื้อระบบเก่า เป็นไปอย่างโจ่งแจ้งและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนหลอมรวมกลายเป็น "สภาวะสองมาตรฐาน" ประเด็นความไม่พอใจต่อ "คนกลุ่มน้อยที่รู้ดีกว่า" ผนวกรวมกับปัญหาการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยที่คาราคาซังมาตั้งแต่ 2475 กลายมาเป็นถ้อยคำที่ถูกเรียกว่า "อำมาตย์กับไพร่"
คนจำนวนมากที่ในตอนแรกไม่ได้สนใจเข้าร่วมต้านรัฐประหาร แต่สะสมความไม่พอใจไว้ และเมื่อกระบวนการพิทักษ์รัฐประหารยิ่งแสดงความไม่เป็นธรรมมากขึ้น คนเหล่านี้ก็ทยอยกระโดดลงมาร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเมื่อสงกรานต์เลือดปีที่แล้ว ต้นปีที่ผ่านมา และในขณะนี้
สิ่งสำคัญอีกประการ ที่เป็นผลพวงใหญ่ของการรัฐประหารครั้งนี้ คือการรื้อฟื้นอำนาจของกองทัพต่อการเมือง และทำให้วิธีการทางทหารในการจัดการปัญหาความขัดแย้งต่างๆ กลับคืนมาสู่สังคมไทย
ไล่ตั้งแต่งบประมาณทางทหารที่หลายคนชี้ให้เห็นแล้วว่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี หรือการเข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างการตั้ง "รัฐบาลในค่ายทหาร" หรือการที่กฎหมายด้านความมั่นคง ซึ่งให้อำนาจกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างมาก ได้แก่ กฎอัยการศึก, พรก.ฉุกเฉิน และพรบ.ความมั่นคง ถูกประกาศใช้อย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แม้แต่ในสมัยนายกฯ สมัคร และสมชาย ก็มีการใช้กฎหมายเหล่านี้เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าใครจะเข้ามายึดกุมอำนาจ แต่รัฐและสังคมไทยได้เปิดโอกาสให้มีการใช้กระบวนการทางทหารเข้ามาจัดการปัญหาอย่างเข้มข้น
รวมถึงการใช้อาวุธสงครามไม่รู้กี่ประเภทที่มีให้เห็นอยู่แทบตลอดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะใช้ยิงกันโต้งๆ กลางเมือง หรือแอบยิงในที่ต่างๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนทำ มันกลับสะท้อนเช่นเดียวกันว่า "เครื่องมือแบบทหาร" กำลังถูกใช้ในความขัดแย้งครั้งนี้ จนอาจกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว
หากก็ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้อำนาจของกองทัพ หรือวิธีการทางทหารไม่ได้มีอยู่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ (เห็นได้ชัดเจนในกรณีปัญหาชายแดนใต้) เพียงแต่ความเข้มข้นและปริมาณในระดับประเทศกลับมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
การดึงวิธีการและเครื่องมือแบบทหาร (Militarization) กลับเข้ามาในการเมืองไทยอย่างเข้มข้นดังกล่าว กลายเป็นผลผลิตหนึ่งของการรัฐประหาร ที่ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนใช้ มันกลับยิ่งค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความรุนแรงในความหมายกว้าง ที่ไม่จำเป็นต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย อย่างการปิดกั้นสื่อ การคุกคามสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในรูปแบบต่างๆ และความรุนแรงในความหมายแคบ นั่นคือการบาดเจ็บ ล้มตายของผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน สีใด
ถ้าสังคมไทยไม่หาวิธีการลดความเข้มข้นของการใช้เครื่องมือแบบทหารเหล่านี้ลง อาจเป็นไปได้ว่า ความรุนแรงอาจขยายตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็พึงตระหนักว่าการใช้วิธีการแบบทหารจัดการกับวิธีการแบบทหารเหมือนกัน กลับจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงเสียอีกด้วยซ้ำ พรก.ฉุกเฉินที่ดำเนินอยู่ขณะนี้ จึงส่งเสริมความรุนแรงในตัวของมันเอง
กลับไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง
กระบวนการรัฐประหารได้พาสังคมไทยตกลงไปในหลุมลึกที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน บานปลายเรื่อยมา แถมการพยายามถอยขึ้นมาจากหลุมก็ดูจะไม่ง่าย จะไปต่อข้างหน้าก็ดูจะมืดๆ มัวๆ อีกเช่นกัน
คณะรัฐประหารดูเหมือนจะรู้ว่าทางเลือกที่นำสังคมไทยมานั้นผิด พ.ล.เอกสนธิ บุญยรัตกลิน ตอบบทสัมภาษณ์ของมติชนสุดสัปดาห์ว่าถ้าเลือกใหม่ได้ อาจจะไม่ทำรัฐประหาร และ “ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้” แม้คำตอบจะเป็นไปแบบอ้ำๆ อึ้งๆ อ้อมค้อมไปหน่อยก็ตาม แต่ปัญหาคือสังคมกลับไปก่อนหน้าการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว พวกเขาทำการเลือกใหม่ไม่ได้
ขณะที่เหล่าผู้พิทักษ์การรัฐประหารพยายามเดินหน้าต่อไป โดยไม่สนใจความผิดพลาดในอดีต อ้างซ้ำๆ ว่ามันเกิดขึ้นแล้วจะให้ทำอย่างไร แต่ก็กลับพบว่ากระบวนทั้งหมดที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างไม่ชอบธรรมเสียแล้ว “ความผิดเก่าๆ” ยังไม่เคยถูกแก้ไข “ความผิดใหม่ๆ” ก็สะสมเพิ่มขึ้นมา แถมคนจำนวนมากเลือกไม่สังฆกรรมกับกระบวนการใดๆ ทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากยังต่อสู้ เหนี่ยวรั้ง ตั้งคำถาม และท้าทายให้จัดการกับมันใหม่ ความตึงเครียดดังกล่าวจึงยังอยู่ในสังคมไทยมาตลอดและพร้อมแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการรัฐประหาร เป็นทั้งความรุนแรงโดยตัวมันเอง และเป็นโครงสร้างที่ผลิตความขัดแย้ง ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม จึงถือได้ว่าเป็นผลพวงที่มาช้าไปเกือบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน แต่แทนที่พลเมืองจะออกมาต่อสู้กับทหารที่รัฐประหาร ทหารกลับออกมา “กระชับพื้นที่” ของพลเมืองแทน
แต่หากมองในทางกลับกัน สังคมไทยมีเวลาถึงเกือบ 4 ปีในการแก้ไข “ความผิดพลาด” หรือหยุดยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เราจึงอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองร่วมกันว่าเหตุใดเราจึงมากันถึงวันนี้? และต่อจากนี้ไปเราจะจัดการกับโครงสร้างแบบนี้อย่างไร?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าจำกันได้ เหตุผลหนึ่งในการรองรับความชอบธรรมของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือรัฐประหารครั้งนั้นไม่นองเลือด (bloodless coup) แถมยังช่วยระงับ หยุดยั้งความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 20 กันยายน 2549 หรือแม้แต่ข้ออ้างว่าเป็นการช่วยแก้ไขความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนั้นระหว่างรัฐบาลทักษิณกับพันธมิตรฯ
แต่ 4 ปีผ่านไป พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐประหารนอกจากจะไม่สามารถหยุดยั้งความขัดแย้งในสังคม ไม่สามารถปฏิรูปอะไรได้แล้ว กลับนำพาสังคมไทยเข้าสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และแม้จะไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงทันทีทันใด แต่การนองเลือดก็เกิดขึ้นและค่อยๆ มากขึ้นเป็นลำดับเมื่อเวลาผ่านไป
บทความนี้เสนอให้มองการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในระยะยาวกว่าวันที่ 19 กันยายน 2549 ยาวกว่าเวลาอยู่ในอำนาจของคมช. หรือยาวกว่าเวลาการมีอำนาจของรัฐบาลพลเอกสรยุทธ์ จุลานนท์ แต่หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงทุกวันนี้ สังคมไทยยังคงอยู่ใน "กระบวนการรัฐประหาร" ที่ไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังได้ตกลงไปในหลุมลึกของความขัดแย้งใหม่ ซึ่งแหลมคมจนแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง เราจึงควรมองการรัฐประหารครั้งนี้ในฐานะรัฐประหารที่นำไปสู่การนองเลือดอย่างต่อเนื่อง (bloodshed coup) ทั้งของฝ่ายที่พิทักษ์กระบวนการรัฐประหาร และฝ่ายที่ต่อต้านกระบวนการรัฐประหาร
การจดจำเนื้อหา หรือความหมายที่ถูกให้กับเหตุการณ์นี้ใหม่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งในแง่ของการมองผลของการรัฐประหารต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน และในแง่ของการปฏิเสธความชอบธรรมใดๆ ของรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
เนื้อหาและรูปแบบของการรัฐประหาร
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 3-9 กันยายน 2553 ได้ลงบทสัมภาษณ์พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำการรัฐประหาร 19 กันยายน ในโอกาสที่ใกล้ครบรอบ 4 ปีของเหตุการณ์นั้น ความตอนหนึ่งว่า
“มีสักแว่บหนึ่งของความคิดบ้างไหม ที่พอเห็นเหตุการณ์รุนแรงทางหน้าจอทีวี แล้วเกิดความรู้สึกว่า เป็นเพราะการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือเปล่า บ้านเมืองถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้
- ทางกองทัพมีหน้าที่ในเรื่องการรักษาความมั่นคง รักษาความปลอดภัย และที่สำคัญรักษาระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีหน้าที่พวกนี้
ท่านไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารหรอกหรือ
- มันอาจจะเกิดจากที่ผ่านมา เกิดจากว่าเราประเมินสถานการณ์ข้างหน้าดูดีมากไปหน่อย
หมายความว่า ไม่ได้ประเมินว่ามันจะเลวร้าย
- ใช่ ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้ ไม่มีใครคาดคิด
ไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเขาสู้ ทำให้เกิดปัญหามาจนถึงวันนี้
- ผมทำตรงนี้ก็เพื่อว่ารักษาระบอบประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ของกองทัพ บ้านเราต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในเมื่อมันกำลังสับสนในระบอบประชาธิปไตย เราก็เข้ามาจัดระบบให้มันเป็นประชาธิปไตย”
นอกจากจะน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่าเมื่อไรกันที่กองทัพมีหน้าที่สำคัญในการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว ยังน่าสนใจในความขัดแย้งของตรรกะวิธีคิดของนายทหารผู้นี้ เพราะหากกองทัพทำไปเพราะต้องการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว เหตุใดกระบวนการตัดสินใจ ประเมินสถานการณ์ข้างหน้าหลังจากการรัฐประหาร กลับกระทำโดยคณะรัฐประหาร หรือคนกลุ่มน้อยไม่กี่คน
แต่มองในอีกมุมหนึ่ง “ระบอบประชาธิปไตย” ที่พล.อ.สนธิกล่าวถึงนั้น กลับไม่ได้หมายความถึงการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อย ผู้คอยถ่วงดุลตรวจสอบเสียงส่วนใหญ่ และเสนอทางเลือกให้หากเสียงส่วนใหญ่พาไปในทางที่ผิดแล้ว แต่หมายถึงการปกครองของคนส่วนน้อย ที่ในสภาวะซึ่งเกิด "ความสับสน" ขึ้นในสังคม จะ “รู้ดีกว่า” คนส่วนใหญ่ว่าอะไร “มั่นคง” อะไรคือ “ประชาธิปไตย” และอะไรคือทางแก้ปัญหา
จึงไม่ใช่เรื่องขัดแย้งหรือน่าแปลกใจ ที่เหล่าคณะรัฐประหารจะประเมินสถานการณ์ข้างหน้ากันเอาเอง แล้วจึง “เข้ามาจัดระบบให้มันเป็นประชาธิปไตย”
อาจกล่าวได้ว่า เนื้อหาของการรัฐประหารครั้งนี้คือการที่คนกลุ่มน้อยซึ่ง “รู้ดีกว่า” เข้ามาจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ที่ถูกทำให้ “สับสน” ไปในสมัยของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้คืนสู่ “สภาพเดิม”
เกษียร เตชะพีระ เคยประเมินเนื้อหาหรือแก่นแท้ของการรัฐประหาร 19 กันยายน ว่าเป็น "รัฐประหารเพื่อราชบัลลังก์...กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อรัฐประหารขึ้นก็เพื่อปฏิรูปประชาธิปไตยไทยไปในลักษณะวิถีทางที่จะทำให้มันปลอดภัยสำหรับสถาบันกษัตริย์จากการท้าทายด้วยอำนาจนำทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ หรือที่พลเอกสนธิ เรียกในเวลาต่อมาว่า ‘เผด็จการทุนนิยม’ ” นั่นเอง (เน้นโดยเกษียรเอง ใน "รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 กับการเมืองไทย" รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2551 หน้า 52-53)
สำหรับรูปแบบของการรัฐประหาร เกษียรก็ชี้ให้เห็นว่าเป็นการรัฐประหารเชิงตั้งรับ คือทหารเข้ามาแทรกแซง ยึดอำนาจรัฐแบบเฉพาะกิจเฉพาะการณ์ ช่วงเวลาค่อนข้างสั้น จากนั้นก็ฟื้นฟูการปกครองโดยพลเรือนคืนมาพร้อมกับทหารพากันยกพลกลับสู่กรมกองบางส่วน (หน้า 54)
นอกจากนั้น รูปแบบอีกอย่างหนึ่งของการรัฐประหารในครั้งนี้คือ การดึงสถาบัน และองค์กรหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเข้ามารองรับความชอบธรรมของการยึดอำนาจโดยทหาร ไม่ว่าจะเป็นสถาบันตุลาการ สถาบันกษัตริย์ สถาบันวิชาการ องคมนตรี องค์กรอิสระ นักการเมือง เอ็นจีโอ รวมทั้ง “ภาคประชาชน” บางส่วน นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในช่วงแรกของการรัฐประหารไม่มีความรุนแรง หรือการนองเลือดเกิดขึ้น เพราะมีฐานค้ำยันจำนวนมากอยู่
อีกทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐประหารยังไม่สามารถก่อตัว รวมตัวต่อสู้ ต่อต้านได้ แต่ก็เต็มไปด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยจากกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยหลายกลุ่มโดยตลอดตั้งแต่หลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ก่อนที่จะแปรกลายไปเป็นกลุ่มที่เรียกว่าเสื้อแดงหรือนปช.หลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ในที่สุด
กระบวนการรัฐประหารและต้านรัฐประหารยังไม่สิ้นสุด
การยึดอำนาจโดยตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้เกิดการจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ได้แต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการขับไล่ผู้ครองอำนาจอยู่เดิมออกไปเท่านั้น กระบวนการต่างๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นจึงเป็น
แถมวิธีการที่ใช้ก็เช่นเดียวกับช่วงรัฐประหาร คือการดึงสถาบันหรือองค์กรทุกๆ ภาคส่วนดังกล่าวข้างต้น เข้ามาพัวพัน แทรกแซง วุ่นวายกับการรื้อถอนระบบการเมืองเก่าที่ "สับสน" และจัดระบบการเมืองใหม่ที่จะทำให้สังคมไทยกลับสู่ "สภาพเดิม" อย่างปกติสุข ดังนั้นแม้คณะรัฐประหารจะหมดอำนาจไปแล้ว แต่กระบวนการจัดระบบใหม่ก็ยังถูกส่งไม้ไปยังตัวละครทางการเมืองอื่นๆ ต่อไป และแม้จะเกิดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขึ้น แต่กระบวนการหลังจากนั้นก็ยังดำเนินไปภายใต้เนื้อหาของการรัฐประหารเช่นเดิม
เพียงแต่ผลที่ "ไม่มีใครคาดคิด" ก็เกิดขึ้นตามมา เมื่อวิธีการดึงสถาบันและองค์กรจำนวนมากเข้ามาช่วยกันกำจัดระบบเก่า สร้างระบบใหม่ กลับกลายเป็นการกัดกร่อน ทำลาย บ่อนเซาะตัวสถาบัน องค์กรต่างๆ เหล่านั้นเสียเอง กระบวนการจัดการทักษิณและการ "ปฏิรูปประชาธิปไตยไทย" ดำเนินไปตลอด 4 ปีโดยสะสมปัญหาและผลิตความขัดแย้งมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเดินหน้าไปความรุนแรงก็มากขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามพิทักษ์เนื้อหาของการรัฐประหารจึงใช้ต้นทุนทางสังคมไทยสูงมากในทุกๆ ด้าน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้กำไรแล้ว ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะได้ทุนคืนมา
ระบบยุติธรรมที่พอจะมีอยู่บ้างในสังคม พังทลายลงจนคนจำนวนมากไม่เชื่อถืออีกเลยไม่ว่าจะตัดสินเรื่องใดก็ตาม ความน่าเชื่อถือต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมหลายคนมลายหายสูญไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถาบันกษัตริย์ถูกดึงและลงมาพัวพันกับความขัดแย้ง ซึ่งยิ่งสร้างความสุ่มเสี่ยงของโอกาสเกิดความรุนแรง สถาบันวิชาการถูกท้าทาย ตั้งคำถาม และถูกมองอย่างหมดความหวัง สถานะความเป็นเอ็นจีโอถูกสงสัย เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ของรัฐเป็นจำนวนมาก และต้องเผชิญกับความแตกร้าวภายในอย่างรุนแรง
เงื่อนไขเหล่านี้เอง ที่ทำให้ขบวนการต้านรัฐประหารค่อยๆ เติบโตขึ้น การรวมตัวขยายใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าคนบางส่วนก็สนับสนุนทักษิณ หากแม้รัฐบาลทักษิณจะมีปัญหาในหลายๆ ด้าน และตัวระบบการเมืองในสมัยทักษิณก็มีปัญหาเช่นกัน แต่ "การปฏิรูปประชาธิปไตย" โดยเริ่มต้นจากการทำรัฐประหารกลับกลายเป็นการเพิ่มเงื่อนไขของความขัดแย้ง แทนที่จะลดความรุนแรงลงไปดังที่ถูกอ้าง
ประเด็นความไม่เป็นธรรมจากการพยายามรื้อระบบเก่า เป็นไปอย่างโจ่งแจ้งและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนหลอมรวมกลายเป็น "สภาวะสองมาตรฐาน" ประเด็นความไม่พอใจต่อ "คนกลุ่มน้อยที่รู้ดีกว่า" ผนวกรวมกับปัญหาการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยที่คาราคาซังมาตั้งแต่ 2475 กลายมาเป็นถ้อยคำที่ถูกเรียกว่า "อำมาตย์กับไพร่"
คนจำนวนมากที่ในตอนแรกไม่ได้สนใจเข้าร่วมต้านรัฐประหาร แต่สะสมความไม่พอใจไว้ และเมื่อกระบวนการพิทักษ์รัฐประหารยิ่งแสดงความไม่เป็นธรรมมากขึ้น คนเหล่านี้ก็ทยอยกระโดดลงมาร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเมื่อสงกรานต์เลือดปีที่แล้ว ต้นปีที่ผ่านมา และในขณะนี้
สิ่งสำคัญอีกประการ ที่เป็นผลพวงใหญ่ของการรัฐประหารครั้งนี้ คือการรื้อฟื้นอำนาจของกองทัพต่อการเมือง และทำให้วิธีการทางทหารในการจัดการปัญหาความขัดแย้งต่างๆ กลับคืนมาสู่สังคมไทย
ไล่ตั้งแต่งบประมาณทางทหารที่หลายคนชี้ให้เห็นแล้วว่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี หรือการเข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างการตั้ง "รัฐบาลในค่ายทหาร" หรือการที่กฎหมายด้านความมั่นคง ซึ่งให้อำนาจกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างมาก ได้แก่ กฎอัยการศึก, พรก.ฉุกเฉิน และพรบ.ความมั่นคง ถูกประกาศใช้อย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แม้แต่ในสมัยนายกฯ สมัคร และสมชาย ก็มีการใช้กฎหมายเหล่านี้เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าใครจะเข้ามายึดกุมอำนาจ แต่รัฐและสังคมไทยได้เปิดโอกาสให้มีการใช้กระบวนการทางทหารเข้ามาจัดการปัญหาอย่างเข้มข้น
รวมถึงการใช้อาวุธสงครามไม่รู้กี่ประเภทที่มีให้เห็นอยู่แทบตลอดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะใช้ยิงกันโต้งๆ กลางเมือง หรือแอบยิงในที่ต่างๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนทำ มันกลับสะท้อนเช่นเดียวกันว่า "เครื่องมือแบบทหาร" กำลังถูกใช้ในความขัดแย้งครั้งนี้ จนอาจกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว
หากก็ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้อำนาจของกองทัพ หรือวิธีการทางทหารไม่ได้มีอยู่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ (เห็นได้ชัดเจนในกรณีปัญหาชายแดนใต้) เพียงแต่ความเข้มข้นและปริมาณในระดับประเทศกลับมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
การดึงวิธีการและเครื่องมือแบบทหาร (Militarization) กลับเข้ามาในการเมืองไทยอย่างเข้มข้นดังกล่าว กลายเป็นผลผลิตหนึ่งของการรัฐประหาร ที่ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนใช้ มันกลับยิ่งค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความรุนแรงในความหมายกว้าง ที่ไม่จำเป็นต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย อย่างการปิดกั้นสื่อ การคุกคามสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในรูปแบบต่างๆ และความรุนแรงในความหมายแคบ นั่นคือการบาดเจ็บ ล้มตายของผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน สีใด
ถ้าสังคมไทยไม่หาวิธีการลดความเข้มข้นของการใช้เครื่องมือแบบทหารเหล่านี้ลง อาจเป็นไปได้ว่า ความรุนแรงอาจขยายตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็พึงตระหนักว่าการใช้วิธีการแบบทหารจัดการกับวิธีการแบบทหารเหมือนกัน กลับจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงเสียอีกด้วยซ้ำ พรก.ฉุกเฉินที่ดำเนินอยู่ขณะนี้ จึงส่งเสริมความรุนแรงในตัวของมันเอง
กลับไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง
กระบวนการรัฐประหารได้พาสังคมไทยตกลงไปในหลุมลึกที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน บานปลายเรื่อยมา แถมการพยายามถอยขึ้นมาจากหลุมก็ดูจะไม่ง่าย จะไปต่อข้างหน้าก็ดูจะมืดๆ มัวๆ อีกเช่นกัน
คณะรัฐประหารดูเหมือนจะรู้ว่าทางเลือกที่นำสังคมไทยมานั้นผิด พ.ล.เอกสนธิ บุญยรัตกลิน ตอบบทสัมภาษณ์ของมติชนสุดสัปดาห์ว่าถ้าเลือกใหม่ได้ อาจจะไม่ทำรัฐประหาร และ “ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้” แม้คำตอบจะเป็นไปแบบอ้ำๆ อึ้งๆ อ้อมค้อมไปหน่อยก็ตาม แต่ปัญหาคือสังคมกลับไปก่อนหน้าการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว พวกเขาทำการเลือกใหม่ไม่ได้
ขณะที่เหล่าผู้พิทักษ์การรัฐประหารพยายามเดินหน้าต่อไป โดยไม่สนใจความผิดพลาดในอดีต อ้างซ้ำๆ ว่ามันเกิดขึ้นแล้วจะให้ทำอย่างไร แต่ก็กลับพบว่ากระบวนทั้งหมดที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างไม่ชอบธรรมเสียแล้ว “ความผิดเก่าๆ” ยังไม่เคยถูกแก้ไข “ความผิดใหม่ๆ” ก็สะสมเพิ่มขึ้นมา แถมคนจำนวนมากเลือกไม่สังฆกรรมกับกระบวนการใดๆ ทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากยังต่อสู้ เหนี่ยวรั้ง ตั้งคำถาม และท้าทายให้จัดการกับมันใหม่ ความตึงเครียดดังกล่าวจึงยังอยู่ในสังคมไทยมาตลอดและพร้อมแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการรัฐประหาร เป็นทั้งความรุนแรงโดยตัวมันเอง และเป็นโครงสร้างที่ผลิตความขัดแย้ง ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม จึงถือได้ว่าเป็นผลพวงที่มาช้าไปเกือบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน แต่แทนที่พลเมืองจะออกมาต่อสู้กับทหารที่รัฐประหาร ทหารกลับออกมา “กระชับพื้นที่” ของพลเมืองแทน
แต่หากมองในทางกลับกัน สังคมไทยมีเวลาถึงเกือบ 4 ปีในการแก้ไข “ความผิดพลาด” หรือหยุดยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เราจึงอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองร่วมกันว่าเหตุใดเราจึงมากันถึงวันนี้? และต่อจากนี้ไปเราจะจัดการกับโครงสร้างแบบนี้อย่างไร?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
4ปี19กันยาฯ ยังไม่พ้นวิกฤต
ข่าวสดรายวัน
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เนื่องจากวันนี้ตรงกับวันครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์ 19 พ.ค. 2553
ความเข้มข้นเลยยกระดับเป็นสองแรงบวก
ทุกครั้งที่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. เวียนมาบรรจบครบรอบปี
มักจะมีการตั้งวงสรุปบทเรียนกันตลอดเวลาภายใต้หัวข้อคำถามเดิมๆ คือการปฏิวัติของคณะทหารภายใต้ชื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช. เมื่อ 4 ปีก่อน
นำพาผลลัพธ์อะไรมาสู่บ้านเมืองในปัจจุบัน ดีขึ้นหรือเลวร้ายหนักกว่าเก่า
การจะตอบคำถามนี้ส่วนหนึ่งต้องนำเอาเหตุผล 4 ข้อที่ คมช.ใช้ในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นตัวตั้ง
1.รัฐบาลมีการคอร์รัปชั่น 2.รัฐบาลสร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ 3.รัฐบาลแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 4.มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภายหลังการรัฐหาร 19 ก.ย. 2549 ประเทศไทยมีรัฐบาลแล้ว 4 ชุด
ชุดแรกคือรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามารักษาการอำนาจชั่วคราวระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
เนื่องจากรัฐบาลสุรยุทธ์ ได้อำนาจมาจากรถถังและกระบอกปืน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกประชาธิปไตย ผลคือทำให้ประเทศชาติหยุดนิ่งเป็นระยะเวลาปีเศษ
การตั้งข้อหาไล่ล่ายึดทรัพย์ทักษิณ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้าน โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ดูเหมือนเป็นอย่างเดียวที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ประกาศแผนบันได 4 ขั้น
1.การยุบพรรคจะต้องเกิดขึ้น 2.ความผิดทางอาญาเรื่องโกงกินคอร์รัปชั่นจะปรากฏ 3.พรรคจะเริ่มแตกและเริ่มวิ่งกระจัดกระจาย และในที่สุดก็สิ้นสุด จากนั้นจะนำมาสู่การลงประชามติรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง
"การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องเป็นพรรคที่ทุกคนในฝ่ายบริหารจะต้องรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ ทุกอย่างในขณะนี้เดินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ผลผลิตของคตส.กำลังบรรลุเป็นขั้นๆ"
___________________________________
ผลเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550 สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายโค่นล้มทักษิณอย่างมาก
เนื่องจากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิม ได้รับเลือกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าคือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่แล้วนายสมัคร ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติ จากการเป็นพิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี
เดือนก.ย.2551 สภาโหวตเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ
ด้วยความที่นายสมชาย เป็น"น้องเขย"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยนายสมัคร ไม่พอใจ
ยกระดับการชุมนุมเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินในเวลาต่อมา
เดือนธ.ค.2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนอีกรอบ ทำให้นายสมชาย ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ตามหลังนายสมัครไปติดๆ
ในจังหวะนั้นได้เกิดการแปรพักตร์ของ"กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่สลัดทิ้ง"นายใหญ่"หันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตรงข้าม ทำให้การเมืองเกิดการ"พลิกขั้ว"อย่างรุนแรง
กลุ่มเพื่อนเนวิน ผลักดันตัวเองจนกลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
เป็นบันไดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง
ทุกอย่างเริ่มกลับสู่เส้นทางบันได 4 ขั้นที่พล.อ.สนธิ เคยวางไว้อีกครั้ง
หลังจากแผนสะดุดไปเมื่อตอนเลือกตั้งธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ถึงจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ พรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ และมือที่มองไม่เห็น
แต่หุ้นส่วนอำนาจ 3-4 กลุ่มเหล่านี้เป็นการรวมตัวกันบนความเชื่อที่ว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างถาวร ทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย
ส่วนเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ ทางใครทางมัน นานวันไปจึงทำให้เกิดปัญหาแตกคอกันเอง
การชิงดีชิงเด่น แย่งผลงาน เตะตัดขา วางยากันเองจึงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล
__________________________
กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศไว้อย่างหรูหราในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่เคยเป็นจริงในทางปฏิบัติ
บางคนถึงกับระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่ายุครัฐบาลทักษิณ
การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในหลายกระทรวง จัดวางคนของตนเองลงไปในตำแหน่งตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับท้องถิ่น กระทั่งถูกยื่นถวายฎีการ้องเรียน
บรรยากาศไม่แตกต่างไปจากการสรรหาแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ส่วนจากที่รัฐบาลสั่งการใช้กำลังทหารติดอาวุธ เข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน
การติดตามไล่ล่าคนเสื้อแดงแบบเอาเป็นเอาตาย การจับกุมดำเนินคดีแบบสองมาตรฐาน การดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
ส่งผลให้คนในประเทศแตกแยกอย่างลึกซึ้งและรุนแรงจนไม่อาจเยียวยาสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป สะท้อนจากการที่แผนปรองดองถูกฉีกทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่วทุกมุมเมือง
สิ่งเหล่านี้ผสมผสานเป็นแรงกดดันต้องการให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อใช้เสียงของประชาชนเป็นเครื่องนำพาการเมืองไทยกลับสู่เส้นทางตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หลังจากออกนอกลู่นอกทางมานานตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
ซึ่งเป็นตัวฉุดประเทศถอยหลังในทุกๆ ด้าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เนื่องจากวันนี้ตรงกับวันครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์ 19 พ.ค. 2553
ความเข้มข้นเลยยกระดับเป็นสองแรงบวก
ทุกครั้งที่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. เวียนมาบรรจบครบรอบปี
มักจะมีการตั้งวงสรุปบทเรียนกันตลอดเวลาภายใต้หัวข้อคำถามเดิมๆ คือการปฏิวัติของคณะทหารภายใต้ชื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช. เมื่อ 4 ปีก่อน
นำพาผลลัพธ์อะไรมาสู่บ้านเมืองในปัจจุบัน ดีขึ้นหรือเลวร้ายหนักกว่าเก่า
การจะตอบคำถามนี้ส่วนหนึ่งต้องนำเอาเหตุผล 4 ข้อที่ คมช.ใช้ในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นตัวตั้ง
1.รัฐบาลมีการคอร์รัปชั่น 2.รัฐบาลสร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ 3.รัฐบาลแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 4.มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ภายหลังการรัฐหาร 19 ก.ย. 2549 ประเทศไทยมีรัฐบาลแล้ว 4 ชุด
ชุดแรกคือรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามารักษาการอำนาจชั่วคราวระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
เนื่องจากรัฐบาลสุรยุทธ์ ได้อำนาจมาจากรถถังและกระบอกปืน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกประชาธิปไตย ผลคือทำให้ประเทศชาติหยุดนิ่งเป็นระยะเวลาปีเศษ
การตั้งข้อหาไล่ล่ายึดทรัพย์ทักษิณ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้าน โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ดูเหมือนเป็นอย่างเดียวที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ประกาศแผนบันได 4 ขั้น
1.การยุบพรรคจะต้องเกิดขึ้น 2.ความผิดทางอาญาเรื่องโกงกินคอร์รัปชั่นจะปรากฏ 3.พรรคจะเริ่มแตกและเริ่มวิ่งกระจัดกระจาย และในที่สุดก็สิ้นสุด จากนั้นจะนำมาสู่การลงประชามติรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง
"การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องเป็นพรรคที่ทุกคนในฝ่ายบริหารจะต้องรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ ทุกอย่างในขณะนี้เดินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ผลผลิตของคตส.กำลังบรรลุเป็นขั้นๆ"
___________________________________
ผลเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550 สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายโค่นล้มทักษิณอย่างมาก
เนื่องจากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิม ได้รับเลือกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าคือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่แล้วนายสมัคร ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติ จากการเป็นพิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี
เดือนก.ย.2551 สภาโหวตเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ
ด้วยความที่นายสมชาย เป็น"น้องเขย"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยนายสมัคร ไม่พอใจ
ยกระดับการชุมนุมเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินในเวลาต่อมา
เดือนธ.ค.2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนอีกรอบ ทำให้นายสมชาย ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ตามหลังนายสมัครไปติดๆ
ในจังหวะนั้นได้เกิดการแปรพักตร์ของ"กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่สลัดทิ้ง"นายใหญ่"หันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตรงข้าม ทำให้การเมืองเกิดการ"พลิกขั้ว"อย่างรุนแรง
กลุ่มเพื่อนเนวิน ผลักดันตัวเองจนกลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
เป็นบันไดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง
ทุกอย่างเริ่มกลับสู่เส้นทางบันได 4 ขั้นที่พล.อ.สนธิ เคยวางไว้อีกครั้ง
หลังจากแผนสะดุดไปเมื่อตอนเลือกตั้งธ.ค.2550
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ถึงจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ พรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ และมือที่มองไม่เห็น
แต่หุ้นส่วนอำนาจ 3-4 กลุ่มเหล่านี้เป็นการรวมตัวกันบนความเชื่อที่ว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างถาวร ทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย
ส่วนเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ ทางใครทางมัน นานวันไปจึงทำให้เกิดปัญหาแตกคอกันเอง
การชิงดีชิงเด่น แย่งผลงาน เตะตัดขา วางยากันเองจึงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล
__________________________
กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศไว้อย่างหรูหราในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่เคยเป็นจริงในทางปฏิบัติ
บางคนถึงกับระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่ายุครัฐบาลทักษิณ
การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในหลายกระทรวง จัดวางคนของตนเองลงไปในตำแหน่งตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับท้องถิ่น กระทั่งถูกยื่นถวายฎีการ้องเรียน
บรรยากาศไม่แตกต่างไปจากการสรรหาแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระในสมัยรัฐบาลทักษิณ
ส่วนจากที่รัฐบาลสั่งการใช้กำลังทหารติดอาวุธ เข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน
การติดตามไล่ล่าคนเสื้อแดงแบบเอาเป็นเอาตาย การจับกุมดำเนินคดีแบบสองมาตรฐาน การดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
ส่งผลให้คนในประเทศแตกแยกอย่างลึกซึ้งและรุนแรงจนไม่อาจเยียวยาสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป สะท้อนจากการที่แผนปรองดองถูกฉีกทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่วทุกมุมเมือง
สิ่งเหล่านี้ผสมผสานเป็นแรงกดดันต้องการให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อใช้เสียงของประชาชนเป็นเครื่องนำพาการเมืองไทยกลับสู่เส้นทางตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หลังจากออกนอกลู่นอกทางมานานตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
ซึ่งเป็นตัวฉุดประเทศถอยหลังในทุกๆ ด้าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักษิณทวิตครบ4ปีรัฐประหาร วอนเสียสละปรองดอง
เมื่อเวลาประมาณ 23.30น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนทวิตเตอร์ข้อความว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า19ก.ย.แล้ว ก็เป็นวันครบรอบ4ปีของการปฏิวัติ และ 4 เดือนของโศกอนาถกรรมทางการเมืองที่แสนสาหัสอยากเห็นการมองไปข้างหน้า ร่วมกัน พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนข้อความว่า ผม อยากเห็นการเยียวยาผู้ที่ประสพเคราะห์กรรมจากการขัดแย้งในครั้งนี้ อยากเห็นการให้อภัยซึ่งกันและกันผม อยากเห็นความมีเมตตาต่อกัน ไม่อยากเห็นการก่อความไม่สงบใดฯ ไม่อยากเห็นการนำสถาบันฯ มายุ่งกับการเมือง ไม่อยากเห็นการทำลายซึ่งกันและกันด้วยระบบ2มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม นี่คือ ความหมายของคำว่าปรองดองครับ ผมขอให้การนองเลือดที่ทหารต้องปราบปรามประชาชนเมื่อ 19พ.ค.2553เป็นครั้งสุดท้าย ผมขอให้การปฏิวัติ รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ครั้งสุดท้าย
ขอให้การขัดแย้งทีนำความเสียหายอย่างมหันต์แก่ประเทศ แก่ประชาชน แก่สถาบันแทบทุกสถาบันเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับสาธุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า 4ปีเราเจ็บปวดกันมามากแล้วเราได้ ทิ้งหลักการ ทิ้งอุดมการณ์ ทิ้งหลักกฎหมาย และหลักความเป็นธรรม เราทิ้งคุณธรรมจริยธรรม เราทิ้งวัฒนธรรมอันดีงามที่ ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพียงแค่ต้องการเอาชนะกันทั้งที่พูดกันรู้เรื่องเพราะเป็นคนด้วยกันหันหน้า พูดกันเถอะไม่มีโอกาสไหนที่จะพูดกัน ดีกว่าโอกาสนี้อีกแล้ว รู้ว่าหลายคนยังโกรธหลายคนยังไม่พอใจแต่ขอให้คิดว่าคำว่าชาติที่รุ่งเรือง ต้องประกอบด้วยคนในชาติที่รู้จักคำว่าเสียสละ มาร่วมกันเสียสละยอมกลืนความเจ็บ ปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดองด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติซึ่งได้ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผมหวังว่าคงจะไม่มีคนไหนขาดสติทำลายการปรองดองของคนในชาติ เราเสียหายกันเยอะแล้ว ความสุขที่เราเคยมีอยู่หายไปนานแล้วช่วยกันตามกลับมาคืนคนไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอให้การขัดแย้งทีนำความเสียหายอย่างมหันต์แก่ประเทศ แก่ประชาชน แก่สถาบันแทบทุกสถาบันเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับสาธุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า 4ปีเราเจ็บปวดกันมามากแล้วเราได้ ทิ้งหลักการ ทิ้งอุดมการณ์ ทิ้งหลักกฎหมาย และหลักความเป็นธรรม เราทิ้งคุณธรรมจริยธรรม เราทิ้งวัฒนธรรมอันดีงามที่ ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพียงแค่ต้องการเอาชนะกันทั้งที่พูดกันรู้เรื่องเพราะเป็นคนด้วยกันหันหน้า พูดกันเถอะไม่มีโอกาสไหนที่จะพูดกัน ดีกว่าโอกาสนี้อีกแล้ว รู้ว่าหลายคนยังโกรธหลายคนยังไม่พอใจแต่ขอให้คิดว่าคำว่าชาติที่รุ่งเรือง ต้องประกอบด้วยคนในชาติที่รู้จักคำว่าเสียสละ มาร่วมกันเสียสละยอมกลืนความเจ็บ ปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดองด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติซึ่งได้ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผมหวังว่าคงจะไม่มีคนไหนขาดสติทำลายการปรองดองของคนในชาติ เราเสียหายกันเยอะแล้ว ความสุขที่เราเคยมีอยู่หายไปนานแล้วช่วยกันตามกลับมาคืนคนไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
UN ประสาน EU ลากคอตัวบงการ ในการสังหารหมู่ประชาชนในไทย
UN ไม่ปล่อยมือให้ลอยนวล -Navi Pillay หัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ทางด้านสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติออกมากล่าวเรียกร้องเมื่อวันจันทร์ให้มีคณะกรรมการสอบสวนที่ เป็นอิสระเพื่อสืบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย พร้อมย้ำว่าจะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อกฏหมายสากล ฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โทษสถานเดียวคือ "แขวนคอ "
หลังจากสภาEU(สภาสหภาพยุโรป) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ประนามรัฐบาลไทย ในการใช้กำลังทหารเข้าเข่นฆ่าสังหารหมู่ประชาชนผู้มาชุมนุมเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตยอันเป็นสากลโลก ด้วยมือเปล่า พร้อมกับได้จัดส่งคณะสืบสวนเข้ามาสืบค้นหลักฐานข้อมูลเพื่อนำตัวผู้บงการและผู้ร่ีวมกระทำความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ อันเป็นคดีที่ไม่มีอายุความนั้น แรงกดดันของประเทศสมาชิกร่วมEU ได้ส่งผลไปยัง UN ซึ่งอยู่ในสภาพนิ่งเฉยทั้งที่ได้รับรู้เรื่องราว และได้ส่งผู้สังเกตุการณ์เข้าไปยังประเทศไทย ก่อนเกิดเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ เป็นสาเหตุให้UN ไม่อาจนิ่งเฉยต่อสภาวะบีบคั้นของประชาคมโลกที่ได้รับรู้ความจริงผ่านสื่อสารไร้สายไปทั่ว ไม่อาจที่จะปัดความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งไม่อาจพึ่งอำนาจทางการเมืองของสหรัฐซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ต้องอาศัยปัจจัยหลักทางเศรษฐกิจจากเอเซีย และยุโรปเพื่อความอยู่รอด ด้วยสภาวะการบีบคั้นจากประชาคมโลก และ จีึน ซึ่งเป็นสมาชิกถาวร ได้ส่งสัญญาณด้านลบ ต่อ UN ให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อยับยั้งการขยายตัวของปัญหา อันเป็นที่ทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาภายใต้องค์กร CIA สนับสนุน วางแผน พร้อมทั้งให้งบประมาณในการก่อตั้ง ขับเคลื่อนกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งเท่ากับสหรัฐได้ขยายขอบเขตอิทธิพลเข้าสู่ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในทิศทางอันจะนำไปสู่การขยายตัวเป็นการสู้รบระดับภูมิภาค ซึ่งหากทาง UN ไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง จีนซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของUN ก็จะดำเนินการเรื่องนี้ด้วยเอกสิทธิ์ของสมาชิกถาวร
จากการกดดันจากสภา EU และประเทศที่สูญเสียพลเมืองของตน ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ นั้น ทำให้ UN จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างเป็นทางการและเป็นไปตามระบบกฏหมายสากล อันเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกในทันที โดย
Navi Pillay หัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(UN) ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการ เมืองของไทย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 80 ศพ โดยระบุว่า การกระทำผิดครั้งนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ หากผลการสอบสวนที่เป็นอิสระได้ผลว่า ใครก็ตามที่เป็นตัวผู้บงการ อันก่อให้เกิดการสังหารหมู่ประชาชน อันเป็นความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และละเมิดสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับสังคมสูงขนาดใด มีอิทธิพลเพียงใด ก็ต้องนำตัวมาลงโทษขั้นสูงสุดให้ได้โดยเฉียบขาด ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลยภาพแห่งการเคลื่อนไหวในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ีงนานาประเทศทั่วโลกยอมรับและใช้ในการปกครอง
ที่มา nonlaw forum
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากสภาEU(สภาสหภาพยุโรป) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ประนามรัฐบาลไทย ในการใช้กำลังทหารเข้าเข่นฆ่าสังหารหมู่ประชาชนผู้มาชุมนุมเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตยอันเป็นสากลโลก ด้วยมือเปล่า พร้อมกับได้จัดส่งคณะสืบสวนเข้ามาสืบค้นหลักฐานข้อมูลเพื่อนำตัวผู้บงการและผู้ร่ีวมกระทำความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ อันเป็นคดีที่ไม่มีอายุความนั้น แรงกดดันของประเทศสมาชิกร่วมEU ได้ส่งผลไปยัง UN ซึ่งอยู่ในสภาพนิ่งเฉยทั้งที่ได้รับรู้เรื่องราว และได้ส่งผู้สังเกตุการณ์เข้าไปยังประเทศไทย ก่อนเกิดเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ เป็นสาเหตุให้UN ไม่อาจนิ่งเฉยต่อสภาวะบีบคั้นของประชาคมโลกที่ได้รับรู้ความจริงผ่านสื่อสารไร้สายไปทั่ว ไม่อาจที่จะปัดความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งไม่อาจพึ่งอำนาจทางการเมืองของสหรัฐซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ต้องอาศัยปัจจัยหลักทางเศรษฐกิจจากเอเซีย และยุโรปเพื่อความอยู่รอด ด้วยสภาวะการบีบคั้นจากประชาคมโลก และ จีึน ซึ่งเป็นสมาชิกถาวร ได้ส่งสัญญาณด้านลบ ต่อ UN ให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อยับยั้งการขยายตัวของปัญหา อันเป็นที่ทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สหรัฐอเมริกาภายใต้องค์กร CIA สนับสนุน วางแผน พร้อมทั้งให้งบประมาณในการก่อตั้ง ขับเคลื่อนกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งเท่ากับสหรัฐได้ขยายขอบเขตอิทธิพลเข้าสู่ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในทิศทางอันจะนำไปสู่การขยายตัวเป็นการสู้รบระดับภูมิภาค ซึ่งหากทาง UN ไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง จีนซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของUN ก็จะดำเนินการเรื่องนี้ด้วยเอกสิทธิ์ของสมาชิกถาวร
จากการกดดันจากสภา EU และประเทศที่สูญเสียพลเมืองของตน ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ นั้น ทำให้ UN จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างเป็นทางการและเป็นไปตามระบบกฏหมายสากล อันเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกในทันที โดย
Navi Pillay หัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(UN) ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการ เมืองของไทย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 80 ศพ โดยระบุว่า การกระทำผิดครั้งนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ หากผลการสอบสวนที่เป็นอิสระได้ผลว่า ใครก็ตามที่เป็นตัวผู้บงการ อันก่อให้เกิดการสังหารหมู่ประชาชน อันเป็นความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และละเมิดสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับสังคมสูงขนาดใด มีอิทธิพลเพียงใด ก็ต้องนำตัวมาลงโทษขั้นสูงสุดให้ได้โดยเฉียบขาด ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลยภาพแห่งการเคลื่อนไหวในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ีงนานาประเทศทั่วโลกยอมรับและใช้ในการปกครอง
ที่มา nonlaw forum
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
ขบวนการลิ้มเจ้า อ้างแอบแนบชิดบิดเบือนสะเทือนแผ่นดิน
4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต”
เป็นกิจกรรมสำคัญของเครือข่ายภาคประชาชนที่รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงทั้งในประเทศและทั่วโลกที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งปีที่ 4 ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แตกต่างกับปีที่ผ่านๆมา เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากถึง 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
4 ปีแห่งความหายนะ
การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “วงจรอุบาทว์” อย่างแท้จริง แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ยอมรับว่า
“ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “ความสูญเปล่า” ที่ไม่เพียงฉุดให้บ้านเมืองจมปลักลงไปในเหวลึก ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกและแบ่งฝ่ายเลือกขั้วอย่างที่ไม่เคยปรากฏแล้ว เศรษฐกิจยังพังพินาศ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ไร้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม องค์กรอิสระต่างๆถูกวิพากษ์วิจารณ์และประณามเรื่องความไม่เป็นธรรมและ 2 มาตรฐาน
แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถูกวิจารณ์ว่าตกต่ำสุดขีดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพราะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการหมกเม็ดเพื่อลดทอนและทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังหมกเม็ดมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญให้รับรองความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” อีก
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนเกิดความตื่นตัวตระหนักถึงคำว่า “ประชาธิปไตยและความยุติธรรม” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองกลับจมปลักอยู่กับโครงสร้างอำนาจเดิมๆของกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มอำมาตย์
มาตรฐานอภิสิทธิ์ชน
คนเสื้อแดงหลายล้านคนยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมด้วยมือเปล่า แต่กลับถูกปราบปรามด้วยกำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเครือข่ายขบวน การ “ล้มเจ้า” แกนนำคนเสื้อแดงถูกส่งฟ้องศาลและจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว
แต่คนเสื้อเหลืองปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายและซ่องโจร แค่มารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วปล่อยตัว
อดีตนายกรัฐมนตรีบุกรุกและครอบครองที่ดินป่าสงวนฯบนเขาไม่มีความผิดเพราะอัยการชี้ว่าขาดเจตนา แต่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณเชิงเขากลับถูกจับและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่
คนเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินและยึดทำเนียบรัฐบาลนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาลและถูกสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
7 ตุลา-พฤษภาอำมหิต 2 มาตรฐาน
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 คนเสื้อเหลืองชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 2 ราย และบาดเจ็บ 443 ราย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งสั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังมีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. กลับยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดเพราะไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังคงอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม
ม็อบเสื้อเหลืองขับรถชนและถอยหลังทับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู้คดีและไม่รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปรานีให้รอลงอาญา
ขณะที่พราหมณ์เสื้อแดง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ซึ่งทำพิธีเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ครั้งเหตุการณ์เมษายน 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศักดิ์ระพีมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
โบดำวิชาการ
นักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ถือป้ายรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดนหมาย เรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาชุมนุม 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่คนเสื้อเหลืองนับร้อยชุมนุมค้านการนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนเป็นมรดกโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดี
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากลับมีหนังสือเวียนถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาให้ควบคุมดูแลไม่ให้ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง เป็นตลกร้ายที่ไม่ต่างกับยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของนิสิต นักศึกษาไม่ให้แสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อำนาจ “โจราธิปัตย์”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังทำให้เห็นว่านักการเมือง นักวิชาการ และผู้อาวุโสของสังคมจำนวนไม่น้อยที่เคยประกาศว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับออกมาเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายตุลาการก็ยอมรับอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ทั้งที่ในระบอบประชาธิปไตยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ระบุว่า การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา เป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย
แม้จะมีตุลาการบางคนกล้าสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีคำวินิจฉัยส่วนตัวในคำพิพากษาว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วเท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
การปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” แต่เป็น “โจราธิปัตย์” โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ถือเป็นความล้มเหลวและความเลวร้ายที่สุดของสังคมไทย ทำ ให้บ้านเมืองต้องแตกแยกและหายนะมาจนทุกวันนี้
อำนาจในมือ “อำมาตย์”
เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่รายล้อมในวัง แต่ “ขบวนการอ้างแอบ” ก็ยังพยายามใช้วาทกรรมต่างๆบิดเบือนและตีความให้สูงไปกว่านั้นเพื่อเป็นอาวุธทางการเมืองกล่าวหาและทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินสายด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ให้โอวาทและบรรยายแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. และนายทหารให้ตระหนักถึงบทบาทของกองทัพ โดยเฉพาะคำว่า “รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร...”
หลังจากเกิดรัฐประหาร ซึ่งนักวิชาการมากมายระบุว่า พล.อ.เปรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสาร Image ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหาร โดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
“พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของ พล.อ.เปรมก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง...
...วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่านคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารมีการประชุมหารือที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของเครือแปซิฟิก ถึง 4 ครั้ง และทุกครั้งก็มีการเชิญบุคคลสำคัญๆที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นแขก ซึ่งต่อมานายปีย์ก็เปิดเผยเองว่าบุคคล 7 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหารคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูง สุด (ในขณะนั้น) นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้เปิดประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ รวมถึงนายปีย์ โดยยืนยันว่าไม่มีการพูดถึงการทำรัฐประหารและการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการหารือเรื่องการบ้านการเมืองกันตามปรกติ
ขบวนการลิ้มเจ้า
ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากแถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1 คือการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนเคลือบ แคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
แถลงการณ์ดังกล่าวสอดรับกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และสื่อของเขาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนัก ทั้งเรื่องคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มี “สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง” ชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องจนเป็นกลุ่มพันธมิตรฯในปัจจุบัน
รัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง “พลังประชาชน” ถูกล้มโดยวิธีพิเศษถึง 2 นายกฯ จนมาเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และยุค ศอฉ. ที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่ต่างจากรัฐบาลในยุครัฐประหารที่ยืดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างไม่มีกำหนด
_________________________________
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน...ครบรอบ 4 เดือน 19 พฤษภาอำมหิต!!
วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่”.. “กระชับวงล้อม”.. มีไว้ปราบปรามสลายการชุมนุม จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมาเรียกร้อง.. ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแม้ใช้กระสุนจริง?
วาทกรรม “ล้มเจ้า”.. “ไม่ จงรักภักดี”.. มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องหาหลักฐาน?
วาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” จึงทำท่าว่าจะเป็น “ขบวนการล้มเจ้ามือหวยบนดิน” เสียมากกว่า?
ทำไมคำว่า “ล้มเจ้า” จึงเป็นวาทกรรมตลาดกลาดเกลื่อน?
ทำไมหนังสือขายดีต้องพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า “ล้มเจ้า”?
ตราบใดที่ยังมี “ขบวนการลิ้มเจ้า” คอยเฝ้าอ้างแอบ แนบชิด บิดเบือน...
ตราบนั้น วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็จะยังคงหลอกหลอนฟั่นเฟือนสะเทือนแผ่นดินอยู่ต่อไปไม่รู้จบ...
ถ้าอยากอ่านแบบเข้มๆเต็มฉบับ แนะนำให้ไปหาซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค “ขบวนการลิ้มเจ้า” ผลงานขมปี๋...โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” มาอ่านได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นกิจกรรมสำคัญของเครือข่ายภาคประชาชนที่รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงทั้งในประเทศและทั่วโลกที่พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งปีที่ 4 ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แตกต่างกับปีที่ผ่านๆมา เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมากถึง 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
4 ปีแห่งความหายนะ
การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “วงจรอุบาทว์” อย่างแท้จริง แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ยอมรับว่า
“ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็น “ความสูญเปล่า” ที่ไม่เพียงฉุดให้บ้านเมืองจมปลักลงไปในเหวลึก ทำให้คนในชาติเกิดความแตกแยกและแบ่งฝ่ายเลือกขั้วอย่างที่ไม่เคยปรากฏแล้ว เศรษฐกิจยังพังพินาศ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ไร้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม องค์กรอิสระต่างๆถูกวิพากษ์วิจารณ์และประณามเรื่องความไม่เป็นธรรมและ 2 มาตรฐาน
แม้แต่สถาบันตุลาการก็ถูกวิจารณ์ว่าตกต่ำสุดขีดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพราะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็มีการหมกเม็ดเพื่อลดทอนและทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังหมกเม็ดมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญให้รับรองความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” อีก
แต่กลับทำให้ภาคประชาชนเกิดความตื่นตัวตระหนักถึงคำว่า “ประชาธิปไตยและความยุติธรรม” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองกลับจมปลักอยู่กับโครงสร้างอำนาจเดิมๆของกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มอำมาตย์
มาตรฐานอภิสิทธิ์ชน
คนเสื้อแดงหลายล้านคนยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมด้วยมือเปล่า แต่กลับถูกปราบปรามด้วยกำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงคราม ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเครือข่ายขบวน การ “ล้มเจ้า” แกนนำคนเสื้อแดงถูกส่งฟ้องศาลและจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว
แต่คนเสื้อเหลืองปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายและซ่องโจร แค่มารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาแล้วปล่อยตัว
อดีตนายกรัฐมนตรีบุกรุกและครอบครองที่ดินป่าสงวนฯบนเขาไม่มีความผิดเพราะอัยการชี้ว่าขาดเจตนา แต่ชาวบ้านบุกเบิกพื้นที่ทำกินบริเวณเชิงเขากลับถูกจับและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่
คนเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินและยึดทำเนียบรัฐบาลนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาลและถูกสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
7 ตุลา-พฤษภาอำมหิต 2 มาตรฐาน
เหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 คนเสื้อเหลืองชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 2 ราย และบาดเจ็บ 443 ราย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งสั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังมีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 ราย นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. กลับยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดเพราะไม่ได้สั่งฆ่าประชาชน ทั้งยังคงอำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม
ม็อบเสื้อเหลืองขับรถชนและถอยหลังทับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู้คดีและไม่รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปรานีให้รอลงอาญา
ขณะที่พราหมณ์เสื้อแดง นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ ซึ่งทำพิธีเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ครั้งเหตุการณ์เมษายน 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศักดิ์ระพีมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
โบดำวิชาการ
นักเรียน นักศึกษาเชียงราย 5 คน ถือป้ายรณรงค์ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดนหมาย เรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาชุมนุม 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่คนเสื้อเหลืองนับร้อยชุมนุมค้านการนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนเป็นมรดกโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 กลับไม่ถูกดำเนินคดี
ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยมีหลักสูตร ให้นักเรียน นักศึกษาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากลับมีหนังสือเวียนถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาให้ควบคุมดูแลไม่ให้ล้อเลียนและเสียดสีการเมือง เป็นตลกร้ายที่ไม่ต่างกับยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของนิสิต นักศึกษาไม่ให้แสดงออกและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อำนาจ “โจราธิปัตย์”
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังทำให้เห็นว่านักการเมือง นักวิชาการ และผู้อาวุโสของสังคมจำนวนไม่น้อยที่เคยประกาศว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับออกมาเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ขณะที่ฝ่ายตุลาการก็ยอมรับอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ทั้งที่ในระบอบประชาธิปไตยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ระบุว่า การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา เป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย
แม้จะมีตุลาการบางคนกล้าสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีคำวินิจฉัยส่วนตัวในคำพิพากษาว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วเท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
การปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” แต่เป็น “โจราธิปัตย์” โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ถือเป็นความล้มเหลวและความเลวร้ายที่สุดของสังคมไทย ทำ ให้บ้านเมืองต้องแตกแยกและหายนะมาจนทุกวันนี้
อำนาจในมือ “อำมาตย์”
เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่ผู้อยู่รายล้อมในวัง แต่ “ขบวนการอ้างแอบ” ก็ยังพยายามใช้วาทกรรมต่างๆบิดเบือนและตีความให้สูงไปกว่านั้นเพื่อเป็นอาวุธทางการเมืองกล่าวหาและทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินสายด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ให้โอวาทและบรรยายแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. และนายทหารให้ตระหนักถึงบทบาทของกองทัพ โดยเฉพาะคำว่า “รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร...”
หลังจากเกิดรัฐประหาร ซึ่งนักวิชาการมากมายระบุว่า พล.อ.เปรมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังให้สัมภาษณ์ลงในนิตยสาร Image ระบุว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหาร โดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
“พล.อ.เปรมเป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของ พล.อ.เปรมก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง...
...วันนี้ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมใช้อำนาจนั้นผ่านคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารมีการประชุมหารือที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของเครือแปซิฟิก ถึง 4 ครั้ง และทุกครั้งก็มีการเชิญบุคคลสำคัญๆที่มีตำแหน่งระดับสูงเป็นแขก ซึ่งต่อมานายปีย์ก็เปิดเผยเองว่าบุคคล 7 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนรัฐประหารคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูง สุด (ในขณะนั้น) นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้เปิดประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์ รวมถึงนายปีย์ โดยยืนยันว่าไม่มีการพูดถึงการทำรัฐประหารและการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการหารือเรื่องการบ้านการเมืองกันตามปรกติ
ขบวนการลิ้มเจ้า
ที่สำคัญหนึ่งในเหตุผลของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จากแถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1 คือการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนเคลือบ แคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
แถลงการณ์ดังกล่าวสอดรับกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” และสื่อของเขาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนัก ทั้งเรื่องคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่มี “สัญลักษณ์เสื้อสีเหลือง” ชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องจนเป็นกลุ่มพันธมิตรฯในปัจจุบัน
รัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง “พลังประชาชน” ถูกล้มโดยวิธีพิเศษถึง 2 นายกฯ จนมาเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และยุค ศอฉ. ที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่ต่างจากรัฐบาลในยุครัฐประหารที่ยืดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างไม่มีกำหนด
_________________________________
ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน...ครบรอบ 4 เดือน 19 พฤษภาอำมหิต!!
วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่”.. “กระชับวงล้อม”.. มีไว้ปราบปรามสลายการชุมนุม จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมาเรียกร้อง.. ก็สามารถจัดการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแม้ใช้กระสุนจริง?
วาทกรรม “ล้มเจ้า”.. “ไม่ จงรักภักดี”.. มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องหาหลักฐาน?
วาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” จึงทำท่าว่าจะเป็น “ขบวนการล้มเจ้ามือหวยบนดิน” เสียมากกว่า?
ทำไมคำว่า “ล้มเจ้า” จึงเป็นวาทกรรมตลาดกลาดเกลื่อน?
ทำไมหนังสือขายดีต้องพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า “ล้มเจ้า”?
ตราบใดที่ยังมี “ขบวนการลิ้มเจ้า” คอยเฝ้าอ้างแอบ แนบชิด บิดเบือน...
ตราบนั้น วาทกรรม “ล้มเจ้า” ก็จะยังคงหลอกหลอนฟั่นเฟือนสะเทือนแผ่นดินอยู่ต่อไปไม่รู้จบ...
ถ้าอยากอ่านแบบเข้มๆเต็มฉบับ แนะนำให้ไปหาซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค “ขบวนการลิ้มเจ้า” ผลงานขมปี๋...โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” มาอ่านได้แล้ววันนี้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เส้นทางทำกิน(แดก?)ในกระทรวงพาณิชย์
มติชนออนไลน์
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตามที่นางพรทิวา นาคาสัย เจ้ากระทรวงเสนอ
นางบุญยิ่ง มีสามีชื่อนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรีเขต 2 สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เมื่อนายสมศักดิ์แยกออกมาตั้งพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ให้นายวิวัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค(เนื่องจากนายสมศักดิ์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งการยุบพรรคไทยรักไทย) มีนางพรทิวา เป็นเลขาธิการพรรค
ปัจจุบัน นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สังกัดภรรคภูมิใจไทย(ในฐานะเลขาธิการพรรค)ในโควต้าของกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย)ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา
นอกจากความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นแล้ว การได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ย่อมทำให้นางบุญยิ่งมีอิทธิพลและ เป็นที่เกรงอกเกรงใจของข้าราชการประจำในสังกัดกระทรวงพาณิชย์
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้ที่ปรึกษาช่วยดูแลงานด้านใดด้าหนนึ่งหรือที่ปรึกษาบางคนมีบทบาทอย่างสูงในการช่วยรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน
แต่แล้วจู่ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ก็มี บริษัท กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม จำกัด หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม (ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนายวิวัฒน์ -นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่) เข้าร่วมประมูล มันเส้นล็อตใหญ่กว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท จากโกดังของรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52
ปรากฏว่า บริษัททั้ง 3 ราย((จากผู้ยื่นประมูล 7 ราย)ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานคณะทำงาน
จากนั้นเสนอเรื่องให้นางพรทิวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลังอนุมัติและนำเสนอ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง
จนกระทั่งมีการนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเมื่อวันที่ 24 สิหงาคม 2553 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการประมูลไม่มีการเปิดเผยว่า บริษัททั้ง3 แห่งเป็นบริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แต่ถูกสื่อมวลชนเปิดโปง มีการนำเอกสารหลักฐานมาเชื่อมโยงให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า บริษัทที่เข้าประมูลรวมถึงตัวบุคคลมีสายสัมพันธ์กันอย่างไรกับบริษัทของที่ปรึกษารัฐมนตรี (ดู "แกะรอยประมูลมันเส้นฉาว "กาญจนาฟาร์ม & กาญจนพันธ์ฯ" ยึดหัวหาด กวาดเรียบ 2.5 แสนตัน"
จากพฤติการณ์ดังกล่าวในการประมูล อาจเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เพราะการที่ผู้เข้าประมูลและชนะการประมูลเป็นบริษัทในเครือของของที่ปรึกษารัฐมนตรีทั้งหมดอย่างบังเอิญ ทำให้อาจมีการ"ฮั้ว" สมยอมราคาหรือตกลงราคากัน
นอกจากนั้น อาจทำให้สาธารณชนเชื่อว่า มีการใช้อิทธิพลของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าแทรกแซงการประมูลครั้งนี้ด้วยหรือไม่
การกระทำผิดในลักษณะนี้ มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 3 ปี และปรับร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ( อาจเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการประมูล รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่า การเสนอราคามีการกระทำความผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการการประมูล ต้องมีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท
การที่บริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าร่วมประมูลมันเส้น มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทและชนะการประมูลอย่างบังเอิญโดยพร้อมเพรียงดังกล่าว แม้ยังไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิดอาญาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง(เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางารเมืองอื่น นอจากคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องห้ามกระทำตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏอย่างชัดเจน ยังไม่เพียงพออีกหรือที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่กล่าวอ้างว่า รังเกียจการทุจริตและวางกฎ 9 ข้อให้รัฐมนตรีปฏิบัติ จะแสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งในคำกล่าวอ้างดังกล่าว
เพื่อพิสูจน์ว่า มิใช่ปล่อยการกล่าวอ้างลอยๆเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองเท่านั้น
***********************************************************
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตามที่นางพรทิวา นาคาสัย เจ้ากระทรวงเสนอ
นางบุญยิ่ง มีสามีชื่อนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรีเขต 2 สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เมื่อนายสมศักดิ์แยกออกมาตั้งพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ให้นายวิวัฒน์ เป็นรองหัวหน้าพรรค(เนื่องจากนายสมศักดิ์ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งการยุบพรรคไทยรักไทย) มีนางพรทิวา เป็นเลขาธิการพรรค
ปัจจุบัน นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สังกัดภรรคภูมิใจไทย(ในฐานะเลขาธิการพรรค)ในโควต้าของกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย)ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา
นอกจากความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นแล้ว การได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ย่อมทำให้นางบุญยิ่งมีอิทธิพลและ เป็นที่เกรงอกเกรงใจของข้าราชการประจำในสังกัดกระทรวงพาณิชย์
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้ที่ปรึกษาช่วยดูแลงานด้านใดด้าหนนึ่งหรือที่ปรึกษาบางคนมีบทบาทอย่างสูงในการช่วยรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน
แต่แล้วจู่ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ก็มี บริษัท กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม จำกัด หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม (ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนายวิวัฒน์ -นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่) เข้าร่วมประมูล มันเส้นล็อตใหญ่กว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท จากโกดังของรัฐบาลซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52
ปรากฏว่า บริษัททั้ง 3 ราย((จากผู้ยื่นประมูล 7 ราย)ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานคณะทำงาน
จากนั้นเสนอเรื่องให้นางพรทิวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลังอนุมัติและนำเสนอ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง
จนกระทั่งมีการนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเมื่อวันที่ 24 สิหงาคม 2553 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการประมูลไม่มีการเปิดเผยว่า บริษัททั้ง3 แห่งเป็นบริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แต่ถูกสื่อมวลชนเปิดโปง มีการนำเอกสารหลักฐานมาเชื่อมโยงให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า บริษัทที่เข้าประมูลรวมถึงตัวบุคคลมีสายสัมพันธ์กันอย่างไรกับบริษัทของที่ปรึกษารัฐมนตรี (ดู "แกะรอยประมูลมันเส้นฉาว "กาญจนาฟาร์ม & กาญจนพันธ์ฯ" ยึดหัวหาด กวาดเรียบ 2.5 แสนตัน"
จากพฤติการณ์ดังกล่าวในการประมูล อาจเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เพราะการที่ผู้เข้าประมูลและชนะการประมูลเป็นบริษัทในเครือของของที่ปรึกษารัฐมนตรีทั้งหมดอย่างบังเอิญ ทำให้อาจมีการ"ฮั้ว" สมยอมราคาหรือตกลงราคากัน
นอกจากนั้น อาจทำให้สาธารณชนเชื่อว่า มีการใช้อิทธิพลของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าแทรกแซงการประมูลครั้งนี้ด้วยหรือไม่
การกระทำผิดในลักษณะนี้ มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 3 ปี และปรับร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ( อาจเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการประมูล รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) รู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่า ควรรู้ว่า การเสนอราคามีการกระทำความผิด ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการการประมูล ต้องมีความผิดฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท
การที่บริษัทในเครือของที่ปรึกษารัฐมนตรีเข้าร่วมประมูลมันเส้น มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทและชนะการประมูลอย่างบังเอิญโดยพร้อมเพรียงดังกล่าว แม้ยังไม่มีกฎหมายที่จะเอาผิดอาญาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง(เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางารเมืองอื่น นอจากคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องห้ามกระทำตามมาตรา 100 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏอย่างชัดเจน ยังไม่เพียงพออีกหรือที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่กล่าวอ้างว่า รังเกียจการทุจริตและวางกฎ 9 ข้อให้รัฐมนตรีปฏิบัติ จะแสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งในคำกล่าวอ้างดังกล่าว
เพื่อพิสูจน์ว่า มิใช่ปล่อยการกล่าวอ้างลอยๆเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองเท่านั้น
***********************************************************
เปิด"บก.ศอฉ."ตั้งวอร์รูม"อนุพงษ์"คุม จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง สอบอาวุธหายจากคลังแสง
เปิด"บก.ศอฉ."ตั้งวอร์รูม " อนุพงษ์" ผบ.เหตุการณ์ เตรียมกำลังไว้รับมือสถานการณ์ 18-19 ก.ย. ครอบคลุมทุกจังหวัดที่ประกาศใช้ พ.ร.ก. อ้างได้ข่าวมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีจ้องฉกฉวยสถานการณ์ ออกประกาศห้ามใช้เครื่องขยายเสียง บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่เสี่ยง 3 ระดับ ประเมินม็อบไม่เกิน 5 พัน "แดง" 19 จว.พร้อมใจวางดอกไม้หน้าคุก "พท."ซัดตำรวจซี้"ชวน"ปูดข่าวชุดดำลวงโลก "มาร์ค" ให้กองทัพตรวจสอบ อาวุธหายจากคลังแสงทหาร
สุเทพยันไม่มีข่าว"ใช้อาวุธ-รุนแรง"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายสามารถควบคุมสถานการณ์การเคลื่อนไหว และจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร ระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 19 กันยายนได้ โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายสุเทพกล่าวว่า อยากบอกประชาชนให้ทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์และดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ภายหลังมีการส่งคนไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม หากได้รับความร่วมมือก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้หากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้ ทั้งนี้ จะใช้ตำรวจและพลเรือนเป็นหลัก แต่ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเอาไว้แล้วในกรณีเหลือบ่ากว่าแรง ทหารก็จะออกมาช่วยตำรวจ
นายสุเทพกล่าวกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระบุถึงการสั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษคุ้มครองบุคคลระดับวีไอพี 64 คน ที่ตกเป็นเป้าหมายเป็นพิเศษว่า " เราจะพยายามดูแล เพราะเมื่อเราเห็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเหตุการณ์ร้ายแรงในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษแก่สถานที่ที่อาจจะเป็นเป้าหมายคือสถานที่ราชการสำคัญๆ บ้านพักบุคคลสำคัญ รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวว่าจะมีการใช้ความรุนแรง หรือใช้อาวุธ
หนักแต่อย่างใด "
ไม่พูดต่อความยาวปมชายชุดดำ
สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระแสข่าวกองกำลังชุดดำที่ไปซุ่มสังเกตการณ์ โดยเช่าคอนโดมิเนียมคนสนิทของแกนนำฝ่ายค้าน อยู่บริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นายสุเทพปฏิเสธจะให้ความเห็น โดยกล่าวว่า "ผมว่าเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก็พอแล้ว" ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการระบุถึงขั้น กองกำลังชุดดำได้รับการฝึกจากต่างประเทศ รอง นายกฯกล่าวว่า ให้สื่อมวลชนฉบับนั้นเปิดข้อมูลให้เต็มที่ จะได้ติดตาม ตนไม่ใช่คนเอาข่าวนี้มาพูด อย่าทำให้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ แต่ขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เมื่อถามย้ำว่า หน่วยงานด้านการข่าวรายงานว่ากองกำลังชุดดำเป็นนักรบรับจ้างบ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่พูดต่อความยาวมากไปกว่านี้ แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่าฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ขอให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ อย่าได้กังวลใจ ทุกอย่างดูแลให้มีความสงบได้
ย้อนต้นตอปว.-รบ.แม้วคอร์รัปชั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ เพราะมีการจัดกิจกรรมควบคู่กันไปในอีก 6 ประเทศ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่กังวลเลย ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นในไทยไม่มีอะไรน่ากังวล หากมีอะไรที่คนต่างประเทศไม่เข้าใจ สถานทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ก็ชี้แจงได้ " ผมว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น่ากังวลกว่า เพราะต้องพยายามปิดบังภาพที่ไปพบกับนายทอม ดันดี อดีตนักร้อง ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ถูกใจคนไทย มีการกระทำไม่ดีต่อประเทศและสถาบันที่เคารพกัน "นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกับนายทอมไปพบกันที่ไหน นายสุเทพกล่าวว่า เห็นว่าเป็นที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้กำลังตามตรวจสอบภาพที่หลุดออกมาว่าเป็นภาพเก่าหรือใหม่ ขณะนี้เป็นรายงานข่าว ต้องตรวจสอบก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผ่านมา 4 ปีแล้วเหตุใดการเล่นงานคนคนเดียวยังไม่จบสิ้น นายสุเทพกล่าวว่า "ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเราทั้งประเทศจนเดือดร้อน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเองทั้งสิ้น ก่อนหน้านั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาตักเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมาก ใหญ่โตมาก จึงไม่ค่อยฟังใคร วันนี้เมื่อจะมีการจัดกิจกรรมครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ คนไทยก็น่าจะนึกย้อนไปด้วยว่าเหตุที่มีการปฏิวัติ เพราะรัฐบาลขณะนั้นได้ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นจนประชาชนเอือมระอา ปล่อยให้มีการล้วงละเมิดสถาบันที่เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานขององค์กรอิสระ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คนไทยทำ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขาทำตัวเขาเอง เมื่อเขาต้องคำพิพากษาก็ไม่มารับโทษ พวกผมยังไม่ได้ไปไล่ล่าที่ไหนเลย "
มาร์ค รับทราบข่าวอาวุธหาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอาวุธหายไปจากคลังแสง จ.ลพบุรี จำนวนมาก ว่าทราบข่าวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอยู่ ส่วนที่ว่าจรวดอาร์พีจีหายไป 72 ลูกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เท่าที่ฟังข้อมูลมา พบว่าไม่ใช่จำนวนตามนั้น แต่ตรวจสอบกันอยู่ ซึ่งขอให้กองทัพเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ดีกว่า ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้กระทบกระเทือนกองทัพ
ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าอาวุธที่หายจะเกี่ยวโยงกับกรณีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ หรือคาบเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า " ยังไม่ได้สรุป เพราะได้สอบถามไปแล้ว และเขากำลังมีการตรวจสอบกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ กองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดและจะรายงานเข้ามาที่ผม " เมื่อถามต่อว่า กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดหรือไม่หลังจากเกิดเหตุนี้ขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลความสงบเรียบร้อยยิ่งทำงานหนักและเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
ชี้มีคนไม่ลดละการใช้ความรุนแรง
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวกรณี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เข้าพบในช่วงเช้าที่ตึกไทยคู่ฟ้า ว่า ไม่ได้มารายงานเรื่องการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่นำข้อมูลเรื่องตอบกระทู้ถามมาให้ ส่วนการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีการส่งชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามแฝงตัวเข้ามาจ้องก่อเหตุวุ่นวายในประเทศไทยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังติดตามข่าวคราวในทำนองนี้อยู่ ไม่ได้มีเฉพาะคนสัญชาติที่ว่า แต่มีความเคลื่อนไหวหลายส่วนที่อยู่ระหว่างการติดตาม แต่ไม่ขอลงรายละเอียด
" ผมย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวของข่าวคราวอย่างนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละในการใช้ความรุนแรง ทำให้เราจำเป็นต้องพยายามสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในเรื่องความรุนแรงว่าจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาฉวยโอกาส ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะดูแลสถานการณ์ได้ " นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชทพ.ให้ระวัง-อย่าเคร่งครัดม็อบ
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แถลงว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 17-19 กันยายน เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเล็กๆ และเชื่อว่าแกนนำจะสามารถควบคุมได้ เพราะเป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้อำนาจอย่างระวัง อะลุ่มอล่วย อย่ายึดกฎระเบียบกฎหมายข้อบังคับที่เคร่งครัด บางอย่างที่ปล่อยไปได้ก็ขอให้ปล่อย แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือชายชุดดำ และข่าวปองร้ายบุคคลสำคัญในประเทศ ซึ่งการปล่อยข่าวดังกล่าวไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด อยากเรียกร้องผู้ปล่อยข่าวให้ระมัดระวังการปล่อยข่าวและเช็คให้ดีว่าจริงแค่ไหน เพราะจะกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ถ้าจริงก็ต้องรีบดำเนินการจับกุมแบบเงียบๆ แต่ถ้าเป็นการปรามก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะจะเป็นการ
ขาดทุนมาก
พท.ซัดตร.ซี้"ชวน"ปูดชุดดำลวงโลก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ว่าที่โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ที่อ้างรายงานข่าวกลุ่มคนชุดดำเช่าคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการเช่าจากบิ๊กฝ่ายค้าน ในความหมายคือ พท. ว่า เป็นเพียงการปั่นกระแสสร้างข่าว เรียกคะแนนสงสารให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อกลบข่าวครบ 4 ปีรัฐประหารและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยคนที่จุดพลุเรื่องชายชุดดำเป็นผู้การ 191 อดีตนายตำรวจติดตามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายก็เป็นเรื่องลวงโลก โดยอ้างว่าชายชุดดำหนีออกนอกประเทศไปก่อน ทั้งที่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.มีอำนาจควบคุมผู้ต้องสงสัยเป็นเวลา 30 วัน แต่ไม่กลับทำ จึงเรียกร้องไปยังหน่วยงานความมั่นคงอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาลและพรรคการเมือง จนขาดความเชื่อถือจากประชาชน
"จิ๋ว" ว่าข้อมูลเก่า-ทำลายภาพปท.
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังบรรยายพิเศษให้นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กรณีพรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกรัฐมนตรี นั้นไม่ควรกระทำ เพราะทำลายภาพพจน์ประเทศไทย เพราะปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์นี้ และข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเก่าที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเชื่อมโยงข้อมูลถึงปัจจุบัน ถือว่าข้อมูลไม่เป็นปัจจุบันแล้วหากพรรคประชาธิปัตย์จะพูดหรือเตือนในลักษณะนี้ ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ หากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันก็ไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะเป็นเรื่องเก่าและผ่านมาแล้ว ที่สำคัญทำลายภาพลักษณ์ของประเทศและทำลายบรรยากาศแสวงหาแนวทางปรองดอง
" คนไทยไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่กรอบแนวทางสันติวิถีหรือวิธีอหิงสา เป็นแนวทางที่นักการเมืองมักนิยมใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็นที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ประเด็นสองมาตรฐาน ความไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายนนี้ พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม 4 ปี การปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่ม นปช. จัดกิจกรรมทั่วประเทศเพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้นและนำบทเรียนต่างๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั่วไป เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรือรุนแรงแน่นอน นอกจากกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องในการบริหารประเทศชาติ " พล.อ.ชวลิตกล่าว
จัดงาน-ปลุกประณามรัฐประหาร
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีตโฆษก พท. แถลงที่ พท.ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (คตร.) พท. ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ได้หารือกันแล้วมีมติที่จะจัดงานเสวนา "4 ปีรัฐ ประหารผ่านไปประเทศไทยได้อะไร" ขึ้นในโอกาสครบรอบ 4 ปีในวันที่ 19 กันยายน ที่ห้องประชุมชั้น 2 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อวิจารณ์และประณามการรัฐประหาร เนื่องจาก คตร.เห็นสอดคล้องกันว่าการรัฐประหารเป็นเหตุเริ่มต้นของความวุ่นวายของปัญหาการเมือง จนเป็นบาดแผลลึกกับสังคมไทย ซึ่งวันนี้ทั้งฝ่ายผู้ก่อการ ผู้สนับสนุน ยังมีชีวิตอยู่กันครบถ้วน
ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการรัฐประหาร ดังนั้น ทั้ง 3 ส่วนประกอบนี้ต้องรับรู้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้วเพราะอะไร ประชาชนจึงต้องประณาม ประท้วงและมีกิจกรรมต่อต้านกันทุกปี โดยนายสมชาย จะปาฐกถาพิเศษครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร จากนั้นก็จะเริ่มการเสวนาโดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรค
ไทยรักไทย และนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ร่วมเป็นวิทยากร
นปช.วางกุหลาบหน้าคุก-เยี่ยม"แกนนำ"
ขณะที่กลุ่ม นปช.จัดกิจกรรมวางดอกไม้หน้าเรือนจำทั่วประเทศ โดยเมื่อเวลา 08.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายสมหวัง อัคศราศรี เจ้าของบริษัทมิตซูชิต้า และนายวรวุธ วิชัยดิษฐ แนวร่วม นปช. รวมตัวกันบริเวณทางเท้าหน้าเรือนจำ และนำกุหลาบสีแดงผูกกระดาษมีข้อความ " บ้านเมืองมีกฎหมายอย่าใช้ศาลเตี้ยกับแกนนำของเรา" และ "ปล่อยแกนนำออกมาได้แล้ว" มาวางและผูกกับรั้วเรือนจำตลอดแนว พร้อมกันนี้แนวร่วม นปช.ประกาศผ่านโทรโข่งปราศรัยเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย เพราะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ มีผู้ชุมนุมบางคนไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปวางดอกไม้ภายในเรือนจำ ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้การจราจร ถนนงามวงศ์วานติดขัด เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมนำรถยนต์ส่วนตัวและรถบัสมาจอดทำให้เสียช่องทางจราจรไปหนึ่งช่องทาง
ส่วนพ่อค้าและแม่ค้านำสินค้าที่ระลึกในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาวางขายตลอดริมทางเท้าหน้าเรือนจำรวมถึงป้ายหยุดรถประจำทาง โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนเจรจาขอให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 100 คน เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง แต่ ผบ.เรือนจำอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 30 คน จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมยินยอมทำความตกลงส่งตัวแทนเข้าเยี่ยม
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำ นปช. เดินทางถึงหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 10.15 น. พร้อมทั้งนำดอกกุหลาบสีแดงวางหน้าเรือนจำ และเดินทางกลับ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกน "เสื้อแดง สู้ๆ" ตลอดเวลา
ตู่ดักคอจ้างมือที่3ป่วนกิจกรรม19ก.ย.
นายจตุพรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมวางดอกไม้ด้านหน้าเรือนจำอีก เพื่อแสดงให้คนข้างในเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน แต่การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน จึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จจะเดินทางกลับเหมือนกิจกรรมในวันนี้
นายจตุพรกล่าวถึงกรณี ที่มีการปล่อยข่าวว่ามีชายชุดดำแฝงตัวอยู่บนคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี ว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจในพื้นที่ว่าชายชุดดำเป็นทหารที่ได้รับการประสานมาดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรี หากนำเทปจากกล้องวงจรปิดคอนโดมิเนียมมาตรวจสอบจะรู้ความจริงทั้งหมดว่าเป็น รปภ.นายกรัฐมนตรีมาสวมชุดดำ หลังจากนี้ไม่ต้องการให้มีการกล่าวหาหากเห็นคนชุดดำก็จะอ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงไปทั้งหมด
ผบ.คุกเล็งเพิ่มโควต้าเยี่ยมแกนนปช.
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า เชื่อว่ากิจกรรมคนเสื้อแดงเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ หากวางดอกไม้เสร็จก็คงกลับ ไม่ขัดข้องที่จะเปิดให้เข้าเยี่ยมแกนนำ นปช.และอาจเพิ่มจำนวนผู้เข้าเยี่ยมจาก 1 ต่อ 10 เป็น 1 ต่อ 20 โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้จัดตำรวจ 5 กองร้อยมาดูแล นอกจากนี้ ได้ระดมกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษจากทุกเรือนจำมาประจำการ เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณเรือนจำ
นายโสภณกล่าวต่อว่า เรือนจำเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามปกติ แต่ต้องผ่านด่านตรวจยานพาหนะอย่างเข้มงวด ส่วนคนเสื้อแดงที่ต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังแกนนำ นปช. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนและลงทะเบียนเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ เรือนจำจัดให้เข้าเยี่ยมอัตราส่วน 1 ต่อ 10 คือผู้ต้องขัง 1 คน มีญาติเข้าเยี่ยมได้ 10 คน ใช้เวลา 15 นาที ตามระเบียบ ส่วนการวางดอกไม้ตกลงให้วางที่ประตูด้านหน้าริมถนนงามวงศ์วาน ไม่อนุญาตให้มาทำกิจกรรมที่ประตูชั้นใน ทั้งนี้ หากมีดอกไม้มากจะเก็บไปบูชา บางส่วนจะให้ผู้ต้องขังแกนนำ นปช.
ปชป.กลัวคนแฝงสร้างความรุนแรง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เเถลงว่า กรณีที่คนเสื้อเเดงเดินสายไปวางดอกไม้สีเเดงที่ด้านหน้าเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวในวันนี้มีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์เเท้เเละฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อเเดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นเเรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อเเดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นเเรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกเเบบ "ดังเเต่ท่อ ล้อไม่หมุน " หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศ วันที่ 19 กันยายน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคไม่วิตกเรื่องจำนวน แต่วิตกเรื่องการเเฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมโดยใช้ความรุนเเรงเหมือนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะเเกนนำคนเสื้อเเดงไม่สามารถสั่งการเเละควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งยังโยนความผิดให้รัฐบาลด้วย ฉะนั้นหลังวันที่ 19 กันยายนไปเเล้ว ขอเรียกร้องว่าคนเสื้อเเดงไม่ควรมาชุมนุมอีก เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว เเต่หากยังจะชุมนุมต่อไปนั้นเเสดงว่าไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากการเคลื่อนไหวการเมือง
บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่18-19ก.ย.
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยในช่วงกลุ่มคนเสื้อแดงวางกุหลาบหน้าเรือนจำว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปก.น.) รายงานสถานการณ์ว่าขณะนี้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ดูแลพื้นที่หน้าเรือนจำกลาง พบว่า นายจตุพรนำมวลชนมาวางดอกไม้ได้เดินทางกลับแล้ว มวลชนเริ่มทยอยเดินทางกลับเหลือไม่ถึง 100 คน บางส่วนเข้าเยี่ยมตามปกติ สำหรับเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับตำรวจทั่วประเทศ โดย จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง มีการวางดอกไม้เช่นกัน ทุกแห่งยังเรียบร้อยดี ผู้เข้าร่วมชุมนุมก็ปฏิบัติตามกรอบ กติกา ที่ ศอฉ.กำหนดไว้ ไม่มีการรุกล้ำผิดกฎจราจร ไม่ปักหลักกีดขวางและปฏิบัติตามกฎหมายปกติ
" ในส่วนของ บช.น. ทาง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. วางกำลัง 2 กองร้อย รวมทั้งฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร และฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ และวางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจนกว่าสถานการณ์เรียบร้อยจึงเดินทางกลับ สำหรับการเตรียมความพร้อมในวันที่ 18-19 กันยายน มีการตรวจสอบความพร้อมของ บก.ต่างๆ ในส่วนของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 มอบหมายให้รับหน้าที่เจรจาต่อรองกับแกนนำผู้ชุมนุมรับทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือไม่ได้ ซึ่งก็รับทราบเป็นอย่างดี สำหรับ บก.น.5 รับผิดชอบพื้นที่ราชประสงค์ บก.น.6 รับผิดชอบพื้นที่ต่อเนื่อง และวัดปทุมวนาราม ได้ออกแผนการปฏิบัติชัดเจนเรียบร้อย ส่งแผนการปฏิบัติให้ บช.น.และ ตร. เรียบร้อยแล้ว " โฆษก บช.น.กล่าว
ตรวจ-ค้นเข้มข้นพื้นที่จัดกิจกรรม
โฆษก บชน.กล่าวว่า ในส่วนของ บก.อื่นๆ ที่มีสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักบุคคลสำคัญ บ้านนายกรัฐมนตรี บ้านรองนายกรัฐมนตรี จัดกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว สำหรับกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ช่วงเช้าจะจัดสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้มวลชนบางส่วนจะไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกคอกวัว ซึ่งทาง บก.น.1 รับผิดชอบดูแลและไม่มีปัญหา ส่วนการทำบุญการข่าวล่าสุดยังทำบุญที่วัดปทุมวนารามอยู่ แต่บางส่วนก็บอกจะไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง ซึ่งก็กำลังดูอยู่ โดยเวลา 07.00 น. ยังมีกิจกรรม "คาร์ฟรีเดย์" ของ กทม. โดยขี่จักรยานรอบ กทม. และชมรมขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ จึงขอแยกให้ออก มีเส้นทางประมาณ 20 เส้นทาง ใช้เส้นทางลานคนเมือง ถนนราชดำเนินนอก ถนนอัษฎางค์ ถนนเจริญกรุง พระราม 4 พญาไท ผ่านห้างมาบุญครอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี กลับถนนราชดำเนินกลาง และเข้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่ง บก.จร.ประสานว่าขอให้กิจกรรมเหล่านี้เสร็จสิ้นเวลา 12.00 น. จะมีตำรวจจราจรดูแลตลอดเส้นทาง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า กิจกรรมที่อาจกระทบบ้างคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผบช.น. ให้จัด ปจ.ของ บก.น.6 และ บก.น.9 ดูแลความเรียบร้อย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจรด้วย เพราะพื้นที่ราชประสงค์ประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ การจัดกิจกรรมจัดได้บนฟุตปาธ บก.จร.จัดให้ข้ามถนนตามสัญญาณไฟ ส่วนการตรวจค้นยานพาหนะ ด่านต่างๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ตรวจเข้มอยู่ โดยประสาน กทม. ในพื้นที่จุดจัดกิจกรรม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกราชประสงค์ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่ง กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจาก กทม. บก.จร. รวมถึงร้านค้าต่างๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ไปดูกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากกิจกรรมใดฝ่าฝืนกฎหมายตำรวจจะเข้าไปเตือนก่อน แต่หากฝ่าฝืนอีกตำรวจจะจับกุม ซึ่งกิจกรรมใดที่จับกุมแล้วไม่เหมาะสมก็อาจออกหมายจับเพื่อจับกุมต่อไป
" สำหรับการปิดถนน การปิดเส้นทางจราจร การปิดเส้นทางเข้าออก การใช้เครื่องขยายเสียงรบกวนผู้อื่น ศอฉ.สั่งการว่าห้ามเด็ดขาด ให้ทำตามกติกา สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ ทั้งผูกผ้าแดง การชูป้าย แต่ข้อความก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบผู้อื่น ซึ่งความพร้อมต่างๆ ผบช.น.ให้ ผบก.พื้นที่เป็น ผบ.เหตุการณ์ในพื้นที่ และมี พล.ต.ต.วรศักดิ์ และ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. กำกับดูแลอยู่ โดย ศปก.น.ปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมงจนกว่าจะเสร็จสิ้น ใช้แผนพิทักษ์เมืองในการดูแล " พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ตร.ประเมินม็อบ19ก.ย.ไม่เกิน5พัน
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ส่วนใหญ่จะไปทำกิจกรรมที่ จ.เชียงใหม่ ที่ กทม.เป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง คาดว่ามีประมาณ 500-1,000 คน ถ้าจำนวนมากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา ตำรวจวางกำลังดูแลเป็นระลอกอยู่แล้ว พล.ต.ต.วิชัยไปเจรจากับแกนนำแล้ว แจ้งว่าทำกิจกรรมบริเวณราชประสงค์ไม่เกินเวลา 20.00 น. ส่วนที่สนามกีฬากลางเชียงใหม่ไม่เกินเที่ยงคืน บริเวณราชประสงค์นั้นไม่มีการปิดจราจรประชาชนสามารถใช้เส้นการได้ตามปกติ โดยดูมวลชนเป็นหลักถ้าบนทางเท้ารองรับจำนวนคนไม่ไหว อาจจะล้ำมาบนพื้นผิวการจราจรได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่ามีจำนวนน้อยแล้วปิดการจราจร
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประเมินการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าวันที่ 19 กันยายน กำหนดการเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เสร็จสิ้นสุดเวลา 19.30 น. คาดว่าผู้ชุมนุมไม่เกิน 5,000 คน ในส่วนของการใช้พื้นผิวจราจรมีการทำข้อตกลงว่าหากผู้ชุมนุมจำนวนไม่มากให้อยู่บนทางเท้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะมีจำนวนมากก็ให้กระจายไปอยู่บนทางเท้าอื่นๆ ก่อน แต่หากไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาคุยกันว่าจำนวนมากขนาดไหนถึงจะใช้พื้นผิวจราจรได้ ทั้งนี้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวยังอยู่ในความเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ไม่วิตกแต่ไม่ประมาทมือที่3ป่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงมือที่ 3 มาก่อเหตุบ้างหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจมีความเป็นห่วงเรื่องมือที่ 3 แต่ไม่ถึงกับวิตกกังวล ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การข่าวยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีเหตุป่วน หรือสร้างสถานการณ์ แต่ก็ไม่ประมาท ได้วางกำลังไว้ในจุดที่สำคัญหรือจุดที่น่าจะมีเหตุ นอกจากนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ประสานงานกับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมาไปได้ด้วยดี ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด เช่นการใช้เครื่องขยายเสียงก็ใช้เพียงขนาดเล็ก อย่างโทรโข่ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกลุ่มเสื้อหลากสีจะชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วยจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจทราบข้อมูลเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทราบจำนวนคน แต่หากเป็นการแสดงกิจกรรมหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หากไม่เกินจากกรอบที่วางไว้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาระบุว่าการปล่อยข่าวชายชุดดำเป็นการกุข่าวเพื่อสร้างกระแส พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของการสืบสวนของตำรวจนครบาล และฝ่ายความมั่นคง ยืนยันตรงกันว่ามีกลุ่มคนเข้ามาสร้างความไม่สงบ ล่าสุด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ติดตามจับกุม ซึ่งทางนครบาลมีหลักฐานและอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามแต่ยังไม่ถึงขั้นออกหมายจับ
จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง
รายงานข่าวแจ้งว่า กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประเมินสถานการณ์ด้านการข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 18-19 กันยายน ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงในการเฝ้าระวังเป็น 3 ระดับ ดังนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมาก ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุและเป็นกลุ่มทุน 2.แยกราชประสงค์และห้างสรรพสินค้าโดยรอบ 3.สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุในช่วงที่มีการชุมนุม และ 4. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
พื้นที่ที่ความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ 1.บริเวณแยกประตูน้ำ หน้าโรงแรมอินทรา 2.หน้าห้างสรรพสินค้าฟอร์จูน รัชดาภิเษก 3.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.สถานีขนส่งหมอชิต 5.สถานีรถไฟบางซื่อ 6.หน้าห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ 7.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 8.สถานีขนส่งเอกมัย 9.สถานีรถไฟหัวลำโพง 10.หน้าห้างมาบุญครอง 11.สถานีขนส่งสายใต้ 12.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและโรงหนังเมเจอร์ปิ่นเกล้า และ 13.สยามและห้างโดยรอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย 1.ท่าพระจันทร์ 2.สนามบินดอนเมือง 3.สะพานควาย 4.โรงหนังเมเจอร์ รัชโยธิน 5.หน้าสวนจตุจักร 6.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว 7.ห้างเดอะมอลล์บางกะปิและตะวันนา 8.บริเวณเยาวราช วังบูรพาและพาหุรัด และ 9.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เหนือ-อีสานพรึ่บวางดอกไม้หน้าคุก
ทางด้านการวางดอกไม้หน้าเรือนจำในจังหวัดต่างๆ นั้น เมื่อเวลา 10.00 น. บริเวณทางเข้าหน้าเรือนจำจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พะเยา นำโดยนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงาน นปช.พะเยา พร้อมแนวร่วมประมาณ 30 คน เดินทางร่วมวางดอกไม้สีแดง พร้อมอ่านจดหมายเปิดผนึกเพื่อสดุดีกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกโดยมี พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ ผกก.สภ.เมือง นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 นาย เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความสงบ
นายศิริวัฒน์กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ โดยวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำ เพื่อสดุดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ได้รับโทษถูกจำคุกตามเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ
กลุ่ม นปช.อุบลราชธานี นำดอกไม้ร่วม 60 ดอก มาวางบริเวณป้ายชื่อเรือนจำจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อให้กำลังใจเพื่อน นปช.ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ขณะที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานีมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ และตรวจค้นอย่างเข้มงวด โดยใช้เครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยกับผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง รวมทั้งตรวจรอบๆ เรือนจำทั้ง 4 ด้าน ส่วนที่เรือนจำกลาง จ.ยโสธร จะมีมวลชนประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่รวมตัววางดอกไม้ แล้วแยกย้ายเดินทางกลับ เช่นเดียวกันกับที่ จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยและเรียกร้องความยุติธรรม จ.อุตรดิตถ์ หรือกลุ่มเสื้อแดงราว 50 คน นำโดยนายปัณณวัฒน์ นาคมูล อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) อุตรดิตถ์ เขต อ.ลับแล และคณะทำงานของนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. รวมตัวกันที่ศาลาจัตุรมุข สนามหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเดินทางไปยังหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อเวลา 10.05 น. เพื่ออ่านแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จากนั้นวางดอกกุหลาบสีแดงที่รั้วและป้ายหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งผูกผ้าแดงตามรั้วเรือนจำ
เฟซบุ๊กขอเทศบาลขวางแดงเชียงใหม่
ที่ จ.เชียงใหม่กลุ่มแดงอิสระกว่า 20 คน รวมตัวนำดอกไม้แดงวางหน้าเรือนจำกลางเชียงใหม่ อ.เมือง ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง 1 คน คือ นายสุจิตต์ อินทรชัย หลังบุกเผาประตูจวนผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ และบ้านปลัด จ.เชียงใหม่ เสียหาย ที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ กลุ่มเฟซบุ๊ก และชาวเชียงใหม่ที่รักและห่วงใยประเทศชาตินำโดย น.ส.หฤทัย จำปางาม และนายธนภูมิ อโศกตระกูล เข้าพบนายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ยื่นแถลงการณ์ชาวเชียงใหม่เรื่อง ขอแสดงจุดยืนต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายน 2553 โดยระบุว่า มีความห่วงใยอย่างมากใน
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเสนอให้เทศบาลนครเชียงใหม่ระมัดระวังการอนุญาตให้ใช้สนามกีฬาเทศบาลเป็นสถานที่ชุมนุม เพราะเกรงจะมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่งผลเสียหายต่อเมืองเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย
น.ส.หฤทัยกล่าวว่า ไม่ค้านการจัดกิจกรรม แต่ไม่อยากให้คนภูมิภาคอื่นๆ มองเชียงใหม่ในทางที่ไม่ดีและไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวอีก จึงไม่อยากให้แบ่งสีแบ่งกลุ่ม อยากให้คนเชียงใหม่หันมาจับมือกันเป็นสีเดียว เพื่อให้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว
นายสุนทรกล่าวว่า ลงนามอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้สนามกีฬาเทศบาลเพราะมีการปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบการขอใช้สถานที่ถูกต้อง ขณะนี้มีการชำระค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่มาแล้ว 3,000 บาท ค่าไฟฟ้า 1,000 บาท หลังจากแกนนำ นปช.แดงเชียงใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย จะชุมนุมอย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะผู้บริหารก็ต้องอนุญาตหากสนามว่าง โดยเทศบาลจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย
"ผู้บริหารเทศบาลก็อยากเห็นบ้านเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะเราประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่อยากให้กลับมาใช้อีก อยากให้มีการพูดจากันดีๆ มากกว่า" นายสุนทรกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สุเทพยันไม่มีข่าว"ใช้อาวุธ-รุนแรง"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายสามารถควบคุมสถานการณ์การเคลื่อนไหว และจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร ระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 19 กันยายนได้ โดยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายสุเทพกล่าวว่า อยากบอกประชาชนให้ทำใจให้สบาย อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะสามารถรักษาสถานการณ์และดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ภายหลังมีการส่งคนไปเจรจากับฝ่ายผู้ชุมนุม หากได้รับความร่วมมือก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้หากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้ ทั้งนี้ จะใช้ตำรวจและพลเรือนเป็นหลัก แต่ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเอาไว้แล้วในกรณีเหลือบ่ากว่าแรง ทหารก็จะออกมาช่วยตำรวจ
นายสุเทพกล่าวกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ระบุถึงการสั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษคุ้มครองบุคคลระดับวีไอพี 64 คน ที่ตกเป็นเป้าหมายเป็นพิเศษว่า " เราจะพยายามดูแล เพราะเมื่อเราเห็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามสร้างเหตุการณ์ร้ายแรงในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษแก่สถานที่ที่อาจจะเป็นเป้าหมายคือสถานที่ราชการสำคัญๆ บ้านพักบุคคลสำคัญ รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวว่าจะมีการใช้ความรุนแรง หรือใช้อาวุธ
หนักแต่อย่างใด "
ไม่พูดต่อความยาวปมชายชุดดำ
สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระแสข่าวกองกำลังชุดดำที่ไปซุ่มสังเกตการณ์ โดยเช่าคอนโดมิเนียมคนสนิทของแกนนำฝ่ายค้าน อยู่บริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นายสุเทพปฏิเสธจะให้ความเห็น โดยกล่าวว่า "ผมว่าเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก็พอแล้ว" ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการระบุถึงขั้น กองกำลังชุดดำได้รับการฝึกจากต่างประเทศ รอง นายกฯกล่าวว่า ให้สื่อมวลชนฉบับนั้นเปิดข้อมูลให้เต็มที่ จะได้ติดตาม ตนไม่ใช่คนเอาข่าวนี้มาพูด อย่าทำให้ไปกันใหญ่ ทำให้เบาๆ แต่ขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เมื่อถามย้ำว่า หน่วยงานด้านการข่าวรายงานว่ากองกำลังชุดดำเป็นนักรบรับจ้างบ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า คงไม่พูดต่อความยาวมากไปกว่านี้ แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่าฝ่ายความมั่นคงจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรับมือและควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ขอให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ อย่าได้กังวลใจ ทุกอย่างดูแลให้มีความสงบได้
ย้อนต้นตอปว.-รบ.แม้วคอร์รัปชั่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ เพราะมีการจัดกิจกรรมควบคู่กันไปในอีก 6 ประเทศ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่กังวลเลย ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นในไทยไม่มีอะไรน่ากังวล หากมีอะไรที่คนต่างประเทศไม่เข้าใจ สถานทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ก็ชี้แจงได้ " ผมว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น่ากังวลกว่า เพราะต้องพยายามปิดบังภาพที่ไปพบกับนายทอม ดันดี อดีตนักร้อง ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ถูกใจคนไทย มีการกระทำไม่ดีต่อประเทศและสถาบันที่เคารพกัน "นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกับนายทอมไปพบกันที่ไหน นายสุเทพกล่าวว่า เห็นว่าเป็นที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้กำลังตามตรวจสอบภาพที่หลุดออกมาว่าเป็นภาพเก่าหรือใหม่ ขณะนี้เป็นรายงานข่าว ต้องตรวจสอบก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผ่านมา 4 ปีแล้วเหตุใดการเล่นงานคนคนเดียวยังไม่จบสิ้น นายสุเทพกล่าวว่า "ความจริงคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครไปเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเล่นงานคนไทยมากกว่า ฟาดเราทั้งประเทศจนเดือดร้อน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเองทั้งสิ้น ก่อนหน้านั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาตักเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจมาก ใหญ่โตมาก จึงไม่ค่อยฟังใคร วันนี้เมื่อจะมีการจัดกิจกรรมครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ คนไทยก็น่าจะนึกย้อนไปด้วยว่าเหตุที่มีการปฏิวัติ เพราะรัฐบาลขณะนั้นได้ทำการทุจริตคอร์รัปชั่นจนประชาชนเอือมระอา ปล่อยให้มีการล้วงละเมิดสถาบันที่เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานขององค์กรอิสระ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่คนไทยทำ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขาทำตัวเขาเอง เมื่อเขาต้องคำพิพากษาก็ไม่มารับโทษ พวกผมยังไม่ได้ไปไล่ล่าที่ไหนเลย "
มาร์ค รับทราบข่าวอาวุธหาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอาวุธหายไปจากคลังแสง จ.ลพบุรี จำนวนมาก ว่าทราบข่าวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอยู่ ส่วนที่ว่าจรวดอาร์พีจีหายไป 72 ลูกนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เท่าที่ฟังข้อมูลมา พบว่าไม่ใช่จำนวนตามนั้น แต่ตรวจสอบกันอยู่ ซึ่งขอให้กองทัพเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ดีกว่า ของอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นคนในไม่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้กระทบกระเทือนกองทัพ
ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าอาวุธที่หายจะเกี่ยวโยงกับกรณีที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ หรือคาบเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า " ยังไม่ได้สรุป เพราะได้สอบถามไปแล้ว และเขากำลังมีการตรวจสอบกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ กองทัพกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดและจะรายงานเข้ามาที่ผม " เมื่อถามต่อว่า กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดหรือไม่หลังจากเกิดเหตุนี้ขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลความสงบเรียบร้อยยิ่งทำงานหนักและเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
ชี้มีคนไม่ลดละการใช้ความรุนแรง
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวกรณี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เข้าพบในช่วงเช้าที่ตึกไทยคู่ฟ้า ว่า ไม่ได้มารายงานเรื่องการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่นำข้อมูลเรื่องตอบกระทู้ถามมาให้ ส่วนการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่ามีการส่งชาวกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามแฝงตัวเข้ามาจ้องก่อเหตุวุ่นวายในประเทศไทยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกำลังติดตามข่าวคราวในทำนองนี้อยู่ ไม่ได้มีเฉพาะคนสัญชาติที่ว่า แต่มีความเคลื่อนไหวหลายส่วนที่อยู่ระหว่างการติดตาม แต่ไม่ขอลงรายละเอียด
" ผมย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวของข่าวคราวอย่างนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ลดละในการใช้ความรุนแรง ทำให้เราจำเป็นต้องพยายามสื่อสารไปยังคนที่เคลื่อนไหวโดยไม่เชื่อในเรื่องความรุนแรงว่าจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาฉวยโอกาส ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะดูแลสถานการณ์ได้ " นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชทพ.ให้ระวัง-อย่าเคร่งครัดม็อบ
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แถลงว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 17-19 กันยายน เชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะเป็นการชุมนุมของกลุ่มเล็กๆ และเชื่อว่าแกนนำจะสามารถควบคุมได้ เพราะเป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้อำนาจอย่างระวัง อะลุ่มอล่วย อย่ายึดกฎระเบียบกฎหมายข้อบังคับที่เคร่งครัด บางอย่างที่ปล่อยไปได้ก็ขอให้ปล่อย แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือชายชุดดำ และข่าวปองร้ายบุคคลสำคัญในประเทศ ซึ่งการปล่อยข่าวดังกล่าวไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด อยากเรียกร้องผู้ปล่อยข่าวให้ระมัดระวังการปล่อยข่าวและเช็คให้ดีว่าจริงแค่ไหน เพราะจะกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ถ้าจริงก็ต้องรีบดำเนินการจับกุมแบบเงียบๆ แต่ถ้าเป็นการปรามก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะจะเป็นการ
ขาดทุนมาก
พท.ซัดตร.ซี้"ชวน"ปูดชุดดำลวงโลก
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ว่าที่โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ที่อ้างรายงานข่าวกลุ่มคนชุดดำเช่าคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นการเช่าจากบิ๊กฝ่ายค้าน ในความหมายคือ พท. ว่า เป็นเพียงการปั่นกระแสสร้างข่าว เรียกคะแนนสงสารให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อกลบข่าวครบ 4 ปีรัฐประหารและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยคนที่จุดพลุเรื่องชายชุดดำเป็นผู้การ 191 อดีตนายตำรวจติดตามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายก็เป็นเรื่องลวงโลก โดยอ้างว่าชายชุดดำหนีออกนอกประเทศไปก่อน ทั้งที่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.มีอำนาจควบคุมผู้ต้องสงสัยเป็นเวลา 30 วัน แต่ไม่กลับทำ จึงเรียกร้องไปยังหน่วยงานความมั่นคงอย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้รัฐบาลและพรรคการเมือง จนขาดความเชื่อถือจากประชาชน
"จิ๋ว" ว่าข้อมูลเก่า-ทำลายภาพปท.
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังบรรยายพิเศษให้นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กรณีพรรคประชาธิปัตย์ประโคมข่าวกลุ่มชายชุดดำอยู่ใกล้บ้านนายกรัฐมนตรี นั้นไม่ควรกระทำ เพราะทำลายภาพพจน์ประเทศไทย เพราะปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์นี้ และข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเก่าที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเชื่อมโยงข้อมูลถึงปัจจุบัน ถือว่าข้อมูลไม่เป็นปัจจุบันแล้วหากพรรคประชาธิปัตย์จะพูดหรือเตือนในลักษณะนี้ ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ หากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบันก็ไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะเป็นเรื่องเก่าและผ่านมาแล้ว ที่สำคัญทำลายภาพลักษณ์ของประเทศและทำลายบรรยากาศแสวงหาแนวทางปรองดอง
" คนไทยไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศ แต่กรอบแนวทางสันติวิถีหรือวิธีอหิงสา เป็นแนวทางที่นักการเมืองมักนิยมใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะเกิดจากปัญหาบางจุดบางประเด็นที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ประเด็นสองมาตรฐาน ความไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายนนี้ พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม 4 ปี การปฏิวัติรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์ เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่ม นปช. จัดกิจกรรมทั่วประเทศเพื่อรำลึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวันนั้นและนำบทเรียนต่างๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั่วไป เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรือรุนแรงแน่นอน นอกจากกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องในการบริหารประเทศชาติ " พล.อ.ชวลิตกล่าว
จัดงาน-ปลุกประณามรัฐประหาร
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีตโฆษก พท. แถลงที่ พท.ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (คตร.) พท. ที่มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ได้หารือกันแล้วมีมติที่จะจัดงานเสวนา "4 ปีรัฐ ประหารผ่านไปประเทศไทยได้อะไร" ขึ้นในโอกาสครบรอบ 4 ปีในวันที่ 19 กันยายน ที่ห้องประชุมชั้น 2 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อวิจารณ์และประณามการรัฐประหาร เนื่องจาก คตร.เห็นสอดคล้องกันว่าการรัฐประหารเป็นเหตุเริ่มต้นของความวุ่นวายของปัญหาการเมือง จนเป็นบาดแผลลึกกับสังคมไทย ซึ่งวันนี้ทั้งฝ่ายผู้ก่อการ ผู้สนับสนุน ยังมีชีวิตอยู่กันครบถ้วน
ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการรัฐประหาร ดังนั้น ทั้ง 3 ส่วนประกอบนี้ต้องรับรู้ว่าการรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้วเพราะอะไร ประชาชนจึงต้องประณาม ประท้วงและมีกิจกรรมต่อต้านกันทุกปี โดยนายสมชาย จะปาฐกถาพิเศษครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร จากนั้นก็จะเริ่มการเสวนาโดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรค
ไทยรักไทย และนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ร่วมเป็นวิทยากร
นปช.วางกุหลาบหน้าคุก-เยี่ยม"แกนนำ"
ขณะที่กลุ่ม นปช.จัดกิจกรรมวางดอกไม้หน้าเรือนจำทั่วประเทศ โดยเมื่อเวลา 08.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายสมหวัง อัคศราศรี เจ้าของบริษัทมิตซูชิต้า และนายวรวุธ วิชัยดิษฐ แนวร่วม นปช. รวมตัวกันบริเวณทางเท้าหน้าเรือนจำ และนำกุหลาบสีแดงผูกกระดาษมีข้อความ " บ้านเมืองมีกฎหมายอย่าใช้ศาลเตี้ยกับแกนนำของเรา" และ "ปล่อยแกนนำออกมาได้แล้ว" มาวางและผูกกับรั้วเรือนจำตลอดแนว พร้อมกันนี้แนวร่วม นปช.ประกาศผ่านโทรโข่งปราศรัยเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังในคดีก่อการร้าย เพราะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ มีผู้ชุมนุมบางคนไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปวางดอกไม้ภายในเรือนจำ ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้การจราจร ถนนงามวงศ์วานติดขัด เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมนำรถยนต์ส่วนตัวและรถบัสมาจอดทำให้เสียช่องทางจราจรไปหนึ่งช่องทาง
ส่วนพ่อค้าและแม่ค้านำสินค้าที่ระลึกในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมาวางขายตลอดริมทางเท้าหน้าเรือนจำรวมถึงป้ายหยุดรถประจำทาง โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นตัวแทนเจรจาขอให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อนุญาตให้ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 100 คน เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง แต่ ผบ.เรือนจำอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 30 คน จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมยินยอมทำความตกลงส่งตัวแทนเข้าเยี่ยม
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำ นปช. เดินทางถึงหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 10.15 น. พร้อมทั้งนำดอกกุหลาบสีแดงวางหน้าเรือนจำ และเดินทางกลับ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกน "เสื้อแดง สู้ๆ" ตลอดเวลา
ตู่ดักคอจ้างมือที่3ป่วนกิจกรรม19ก.ย.
นายจตุพรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมวางดอกไม้ด้านหน้าเรือนจำอีก เพื่อแสดงให้คนข้างในเห็นว่าคนเสื้อแดงข้างนอกยังไม่ลืมคนที่อยู่ข้างใน แต่การจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการกดดันศาล สำหรับการจัดกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ที่จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบจะเป็นการปราศรัยถึงแนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน จึงขอร้องรัฐบาลว่าอย่าจ้างมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย เพราะเมื่อคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมเสร็จจะเดินทางกลับเหมือนกิจกรรมในวันนี้
นายจตุพรกล่าวถึงกรณี ที่มีการปล่อยข่าวว่ามีชายชุดดำแฝงตัวอยู่บนคอนโดมิเนียมใกล้บ้านพักนายกรัฐมนตรี ว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจในพื้นที่ว่าชายชุดดำเป็นทหารที่ได้รับการประสานมาดูแลความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรี หากนำเทปจากกล้องวงจรปิดคอนโดมิเนียมมาตรวจสอบจะรู้ความจริงทั้งหมดว่าเป็น รปภ.นายกรัฐมนตรีมาสวมชุดดำ หลังจากนี้ไม่ต้องการให้มีการกล่าวหาหากเห็นคนชุดดำก็จะอ้างว่าเป็นคนเสื้อแดงไปทั้งหมด
ผบ.คุกเล็งเพิ่มโควต้าเยี่ยมแกนนปช.
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า เชื่อว่ากิจกรรมคนเสื้อแดงเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ หากวางดอกไม้เสร็จก็คงกลับ ไม่ขัดข้องที่จะเปิดให้เข้าเยี่ยมแกนนำ นปช.และอาจเพิ่มจำนวนผู้เข้าเยี่ยมจาก 1 ต่อ 10 เป็น 1 ต่อ 20 โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้จัดตำรวจ 5 กองร้อยมาดูแล นอกจากนี้ ได้ระดมกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษจากทุกเรือนจำมาประจำการ เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณเรือนจำ
นายโสภณกล่าวต่อว่า เรือนจำเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามปกติ แต่ต้องผ่านด่านตรวจยานพาหนะอย่างเข้มงวด ส่วนคนเสื้อแดงที่ต้องการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังแกนนำ นปช. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนและลงทะเบียนเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ เรือนจำจัดให้เข้าเยี่ยมอัตราส่วน 1 ต่อ 10 คือผู้ต้องขัง 1 คน มีญาติเข้าเยี่ยมได้ 10 คน ใช้เวลา 15 นาที ตามระเบียบ ส่วนการวางดอกไม้ตกลงให้วางที่ประตูด้านหน้าริมถนนงามวงศ์วาน ไม่อนุญาตให้มาทำกิจกรรมที่ประตูชั้นใน ทั้งนี้ หากมีดอกไม้มากจะเก็บไปบูชา บางส่วนจะให้ผู้ต้องขังแกนนำ นปช.
ปชป.กลัวคนแฝงสร้างความรุนแรง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เเถลงว่า กรณีที่คนเสื้อเเดงเดินสายไปวางดอกไม้สีเเดงที่ด้านหน้าเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าดูความเคลื่อนไหวในวันนี้คิดว่าเรียบร้อย เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้มีการวางแผนให้การเคลื่อนไหวเป็นตามแผน อีกทั้งการเคลื่อนไหวในวันนี้มีคนเข้าร่วมน้อย มีเฉพาะแฟนพันธุ์เเท้เเละฮาร์ดคอร์ หรือเป็นเพราะแกนนำคนเสื้อเเดงแถวสองมีบทบาทน้อย หลังจากแกนนำรุ่นเเรกถูกจับกุม ทำให้ระดมคนเสื้อเเดงได้ไม่มากพอ มีเพียงแกนนำรุ่นเเรกบางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. โฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นตระหนกเเบบ "ดังเเต่ท่อ ล้อไม่หมุน " หากยังมีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ คิดว่าบรรยากาศ วันที่ 19 กันยายน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคไม่วิตกเรื่องจำนวน แต่วิตกเรื่องการเเฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมโดยใช้ความรุนเเรงเหมือนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะเเกนนำคนเสื้อเเดงไม่สามารถสั่งการเเละควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งยังโยนความผิดให้รัฐบาลด้วย ฉะนั้นหลังวันที่ 19 กันยายนไปเเล้ว ขอเรียกร้องว่าคนเสื้อเเดงไม่ควรมาชุมนุมอีก เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว เเต่หากยังจะชุมนุมต่อไปนั้นเเสดงว่าไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากการเคลื่อนไหวการเมือง
บช.น.แบ่งงานคุมพื้นที่18-19ก.ย.
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยในช่วงกลุ่มคนเสื้อแดงวางกุหลาบหน้าเรือนจำว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปก.น.) รายงานสถานการณ์ว่าขณะนี้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.2 ดูแลพื้นที่หน้าเรือนจำกลาง พบว่า นายจตุพรนำมวลชนมาวางดอกไม้ได้เดินทางกลับแล้ว มวลชนเริ่มทยอยเดินทางกลับเหลือไม่ถึง 100 คน บางส่วนเข้าเยี่ยมตามปกติ สำหรับเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ10) ได้ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับตำรวจทั่วประเทศ โดย จ.เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง มีการวางดอกไม้เช่นกัน ทุกแห่งยังเรียบร้อยดี ผู้เข้าร่วมชุมนุมก็ปฏิบัติตามกรอบ กติกา ที่ ศอฉ.กำหนดไว้ ไม่มีการรุกล้ำผิดกฎจราจร ไม่ปักหลักกีดขวางและปฏิบัติตามกฎหมายปกติ
" ในส่วนของ บช.น. ทาง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. วางกำลัง 2 กองร้อย รวมทั้งฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร และฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ และวางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจนกว่าสถานการณ์เรียบร้อยจึงเดินทางกลับ สำหรับการเตรียมความพร้อมในวันที่ 18-19 กันยายน มีการตรวจสอบความพร้อมของ บก.ต่างๆ ในส่วนของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 มอบหมายให้รับหน้าที่เจรจาต่อรองกับแกนนำผู้ชุมนุมรับทราบว่าทำอะไรได้บ้างหรือไม่ได้ ซึ่งก็รับทราบเป็นอย่างดี สำหรับ บก.น.5 รับผิดชอบพื้นที่ราชประสงค์ บก.น.6 รับผิดชอบพื้นที่ต่อเนื่อง และวัดปทุมวนาราม ได้ออกแผนการปฏิบัติชัดเจนเรียบร้อย ส่งแผนการปฏิบัติให้ บช.น.และ ตร. เรียบร้อยแล้ว " โฆษก บช.น.กล่าว
ตรวจ-ค้นเข้มข้นพื้นที่จัดกิจกรรม
โฆษก บชน.กล่าวว่า ในส่วนของ บก.อื่นๆ ที่มีสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักบุคคลสำคัญ บ้านนายกรัฐมนตรี บ้านรองนายกรัฐมนตรี จัดกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว สำหรับกิจกรรมในวันที่ 19 กันยายน ช่วงเช้าจะจัดสัมมนาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้มวลชนบางส่วนจะไปทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกคอกวัว ซึ่งทาง บก.น.1 รับผิดชอบดูแลและไม่มีปัญหา ส่วนการทำบุญการข่าวล่าสุดยังทำบุญที่วัดปทุมวนารามอยู่ แต่บางส่วนก็บอกจะไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง ซึ่งก็กำลังดูอยู่ โดยเวลา 07.00 น. ยังมีกิจกรรม "คาร์ฟรีเดย์" ของ กทม. โดยขี่จักรยานรอบ กทม. และชมรมขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ จึงขอแยกให้ออก มีเส้นทางประมาณ 20 เส้นทาง ใช้เส้นทางลานคนเมือง ถนนราชดำเนินนอก ถนนอัษฎางค์ ถนนเจริญกรุง พระราม 4 พญาไท ผ่านห้างมาบุญครอง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี กลับถนนราชดำเนินกลาง และเข้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่ง บก.จร.ประสานว่าขอให้กิจกรรมเหล่านี้เสร็จสิ้นเวลา 12.00 น. จะมีตำรวจจราจรดูแลตลอดเส้นทาง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า กิจกรรมที่อาจกระทบบ้างคือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผบช.น. ให้จัด ปจ.ของ บก.น.6 และ บก.น.9 ดูแลความเรียบร้อย ทั้งนี้ ขอให้ผู้ชุมนุมเคารพกฎจราจรด้วย เพราะพื้นที่ราชประสงค์ประชาชนมาจับจ่ายใช้สอยอยู่ การจัดกิจกรรมจัดได้บนฟุตปาธ บก.จร.จัดให้ข้ามถนนตามสัญญาณไฟ ส่วนการตรวจค้นยานพาหนะ ด่านต่างๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ตรวจเข้มอยู่ โดยประสาน กทม. ในพื้นที่จุดจัดกิจกรรม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกราชประสงค์ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่ง กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจาก กทม. บก.จร. รวมถึงร้านค้าต่างๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ไปดูกล้องวงจรปิดตลอดเวลา หากกิจกรรมใดฝ่าฝืนกฎหมายตำรวจจะเข้าไปเตือนก่อน แต่หากฝ่าฝืนอีกตำรวจจะจับกุม ซึ่งกิจกรรมใดที่จับกุมแล้วไม่เหมาะสมก็อาจออกหมายจับเพื่อจับกุมต่อไป
" สำหรับการปิดถนน การปิดเส้นทางจราจร การปิดเส้นทางเข้าออก การใช้เครื่องขยายเสียงรบกวนผู้อื่น ศอฉ.สั่งการว่าห้ามเด็ดขาด ให้ทำตามกติกา สามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ ทั้งผูกผ้าแดง การชูป้าย แต่ข้อความก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบผู้อื่น ซึ่งความพร้อมต่างๆ ผบช.น.ให้ ผบก.พื้นที่เป็น ผบ.เหตุการณ์ในพื้นที่ และมี พล.ต.ต.วรศักดิ์ และ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ รอง ผบช.น. กำกับดูแลอยู่ โดย ศปก.น.ปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมงจนกว่าจะเสร็จสิ้น ใช้แผนพิทักษ์เมืองในการดูแล " พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
ตร.ประเมินม็อบ19ก.ย.ไม่เกิน5พัน
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ส่วนใหญ่จะไปทำกิจกรรมที่ จ.เชียงใหม่ ที่ กทม.เป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง คาดว่ามีประมาณ 500-1,000 คน ถ้าจำนวนมากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา ตำรวจวางกำลังดูแลเป็นระลอกอยู่แล้ว พล.ต.ต.วิชัยไปเจรจากับแกนนำแล้ว แจ้งว่าทำกิจกรรมบริเวณราชประสงค์ไม่เกินเวลา 20.00 น. ส่วนที่สนามกีฬากลางเชียงใหม่ไม่เกินเที่ยงคืน บริเวณราชประสงค์นั้นไม่มีการปิดจราจรประชาชนสามารถใช้เส้นการได้ตามปกติ โดยดูมวลชนเป็นหลักถ้าบนทางเท้ารองรับจำนวนคนไม่ไหว อาจจะล้ำมาบนพื้นผิวการจราจรได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่ามีจำนวนน้อยแล้วปิดการจราจร
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประเมินการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าวันที่ 19 กันยายน กำหนดการเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น. เสร็จสิ้นสุดเวลา 19.30 น. คาดว่าผู้ชุมนุมไม่เกิน 5,000 คน ในส่วนของการใช้พื้นผิวจราจรมีการทำข้อตกลงว่าหากผู้ชุมนุมจำนวนไม่มากให้อยู่บนทางเท้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะมีจำนวนมากก็ให้กระจายไปอยู่บนทางเท้าอื่นๆ ก่อน แต่หากไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาคุยกันว่าจำนวนมากขนาดไหนถึงจะใช้พื้นผิวจราจรได้ ทั้งนี้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวยังอยู่ในความเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ไม่วิตกแต่ไม่ประมาทมือที่3ป่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงมือที่ 3 มาก่อเหตุบ้างหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจมีความเป็นห่วงเรื่องมือที่ 3 แต่ไม่ถึงกับวิตกกังวล ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การข่าวยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีเหตุป่วน หรือสร้างสถานการณ์ แต่ก็ไม่ประมาท ได้วางกำลังไว้ในจุดที่สำคัญหรือจุดที่น่าจะมีเหตุ นอกจากนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ประสานงานกับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมาไปได้ด้วยดี ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด เช่นการใช้เครื่องขยายเสียงก็ใช้เพียงขนาดเล็ก อย่างโทรโข่ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกลุ่มเสื้อหลากสีจะชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วยจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจทราบข้อมูลเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทราบจำนวนคน แต่หากเป็นการแสดงกิจกรรมหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หากไม่เกินจากกรอบที่วางไว้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านออกมาระบุว่าการปล่อยข่าวชายชุดดำเป็นการกุข่าวเพื่อสร้างกระแส พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของการสืบสวนของตำรวจนครบาล และฝ่ายความมั่นคง ยืนยันตรงกันว่ามีกลุ่มคนเข้ามาสร้างความไม่สงบ ล่าสุด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ติดตามจับกุม ซึ่งทางนครบาลมีหลักฐานและอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามแต่ยังไม่ถึงขั้นออกหมายจับ
จัดพื้นที่เสี่ยง3ระดับคอยเฝ้าระวัง
รายงานข่าวแจ้งว่า กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ประเมินสถานการณ์ด้านการข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 18-19 กันยายน ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงในการเฝ้าระวังเป็น 3 ระดับ ดังนี้ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงมาก ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุและเป็นกลุ่มทุน 2.แยกราชประสงค์และห้างสรรพสินค้าโดยรอบ 3.สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุในช่วงที่มีการชุมนุม และ 4. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
พื้นที่ที่ความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ 1.บริเวณแยกประตูน้ำ หน้าโรงแรมอินทรา 2.หน้าห้างสรรพสินค้าฟอร์จูน รัชดาภิเษก 3.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.สถานีขนส่งหมอชิต 5.สถานีรถไฟบางซื่อ 6.หน้าห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ 7.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 8.สถานีขนส่งเอกมัย 9.สถานีรถไฟหัวลำโพง 10.หน้าห้างมาบุญครอง 11.สถานีขนส่งสายใต้ 12.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและโรงหนังเมเจอร์ปิ่นเกล้า และ 13.สยามและห้างโดยรอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย 1.ท่าพระจันทร์ 2.สนามบินดอนเมือง 3.สะพานควาย 4.โรงหนังเมเจอร์ รัชโยธิน 5.หน้าสวนจตุจักร 6.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว 7.ห้างเดอะมอลล์บางกะปิและตะวันนา 8.บริเวณเยาวราช วังบูรพาและพาหุรัด และ 9.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เหนือ-อีสานพรึ่บวางดอกไม้หน้าคุก
ทางด้านการวางดอกไม้หน้าเรือนจำในจังหวัดต่างๆ นั้น เมื่อเวลา 10.00 น. บริเวณทางเข้าหน้าเรือนจำจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พะเยา นำโดยนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงาน นปช.พะเยา พร้อมแนวร่วมประมาณ 30 คน เดินทางร่วมวางดอกไม้สีแดง พร้อมอ่านจดหมายเปิดผนึกเพื่อสดุดีกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกโดยมี พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ ผกก.สภ.เมือง นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 นาย เฝ้าสังเกตการณ์และรักษาความสงบ
นายศิริวัฒน์กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ โดยวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำ เพื่อสดุดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา และให้กำลังใจคนเสื้อแดงที่ได้รับโทษถูกจำคุกตามเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ
กลุ่ม นปช.อุบลราชธานี นำดอกไม้ร่วม 60 ดอก มาวางบริเวณป้ายชื่อเรือนจำจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อให้กำลังใจเพื่อน นปช.ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ขณะที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานีมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ และตรวจค้นอย่างเข้มงวด โดยใช้เครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยกับผู้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง รวมทั้งตรวจรอบๆ เรือนจำทั้ง 4 ด้าน ส่วนที่เรือนจำกลาง จ.ยโสธร จะมีมวลชนประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่รวมตัววางดอกไม้ แล้วแยกย้ายเดินทางกลับ เช่นเดียวกันกับที่ จ.อุตรดิตถ์ กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยและเรียกร้องความยุติธรรม จ.อุตรดิตถ์ หรือกลุ่มเสื้อแดงราว 50 คน นำโดยนายปัณณวัฒน์ นาคมูล อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) อุตรดิตถ์ เขต อ.ลับแล และคณะทำงานของนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. รวมตัวกันที่ศาลาจัตุรมุข สนามหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเดินทางไปยังหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อเวลา 10.05 น. เพื่ออ่านแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จากนั้นวางดอกกุหลาบสีแดงที่รั้วและป้ายหน้าเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งผูกผ้าแดงตามรั้วเรือนจำ
เฟซบุ๊กขอเทศบาลขวางแดงเชียงใหม่
ที่ จ.เชียงใหม่กลุ่มแดงอิสระกว่า 20 คน รวมตัวนำดอกไม้แดงวางหน้าเรือนจำกลางเชียงใหม่ อ.เมือง ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง 1 คน คือ นายสุจิตต์ อินทรชัย หลังบุกเผาประตูจวนผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ และบ้านปลัด จ.เชียงใหม่ เสียหาย ที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่ กลุ่มเฟซบุ๊ก และชาวเชียงใหม่ที่รักและห่วงใยประเทศชาตินำโดย น.ส.หฤทัย จำปางาม และนายธนภูมิ อโศกตระกูล เข้าพบนายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ยื่นแถลงการณ์ชาวเชียงใหม่เรื่อง ขอแสดงจุดยืนต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายน 2553 โดยระบุว่า มีความห่วงใยอย่างมากใน
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเสนอให้เทศบาลนครเชียงใหม่ระมัดระวังการอนุญาตให้ใช้สนามกีฬาเทศบาลเป็นสถานที่ชุมนุม เพราะเกรงจะมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ ส่งผลเสียหายต่อเมืองเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย
น.ส.หฤทัยกล่าวว่า ไม่ค้านการจัดกิจกรรม แต่ไม่อยากให้คนภูมิภาคอื่นๆ มองเชียงใหม่ในทางที่ไม่ดีและไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวอีก จึงไม่อยากให้แบ่งสีแบ่งกลุ่ม อยากให้คนเชียงใหม่หันมาจับมือกันเป็นสีเดียว เพื่อให้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว
นายสุนทรกล่าวว่า ลงนามอนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงใช้สนามกีฬาเทศบาลเพราะมีการปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบการขอใช้สถานที่ถูกต้อง ขณะนี้มีการชำระค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่มาแล้ว 3,000 บาท ค่าไฟฟ้า 1,000 บาท หลังจากแกนนำ นปช.แดงเชียงใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย จะชุมนุมอย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในฐานะผู้บริหารก็ต้องอนุญาตหากสนามว่าง โดยเทศบาลจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัย
"ผู้บริหารเทศบาลก็อยากเห็นบ้านเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะเราประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่อยากให้กลับมาใช้อีก อยากให้มีการพูดจากันดีๆ มากกว่า" นายสุนทรกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)