โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีระเบิด 3 จุดในวันเดียวเมื่อวันที่ 8 กันยายน จุดแรกที่ลานจอดรถห้างย่านงามวงศ์วาน นนทบุรี เป็นถุงทะเลแบบทหารที่ภายในบรรจุระเบิดแสวงเครื่องตั้งระเบิดด้วยนาฬิกาไว้ในถังดับเพลิง จุดที่ 2 ที่ลานจอดรถข้างตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นถุงผ้าทะเลเหมือนจุดแรก และจุดที่ 3 พบระเบิดใส่กระเป๋านักเรียนวางไว้ใต้บันไดสะพานลอยหน้าโรงเรียนสันติราษฎร์ เป็นถังดับเพลิง 2 ถังภายในบรรจุปุ๋ยยูเรียกับดินระเบิด
แม้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นไหวให้กับประชาชนไม่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้เกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน และยังจับผู้ก่อเหตุไม่ได้ ทั้งที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังวางมาตรการคุมเข้มเพื่อรับการก่อเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงถึง 454 จุด ตลอด 24 ชั่วโมง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประชาชนจะตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่ต้องการให้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปหรือไม่
แม้ล่าสุด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จะปฏิเสธว่าไม่ใช่การกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปก็ตาม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป
แต่ไม่ใช่ใช้วาทกรรมย้อนถามกลับว่าถ้าไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยิ่งเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองอีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งที่ ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐควรถามตัวเองถึงประสิทธิภาพในการทำงานว่ามีมากน้อยแค่ไหน เพราะมีทั้งอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งบประมาณ และกำลังเจ้าหน้าที่มากมาย
เรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงไม่ใช่รับแต่ความดี แต่ความผิดไม่ยอมรับหรืออ้างแต่มือที่สามที่ไม่หวังดีกับบ้านเมือง เหมือนกรณีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ศอฉ. พยายามยัดเยียดการสังหารโหดประชาชนและเจ้าหน้าที่ 91 ศพไปให้ “ไอ้โม่ง” และเสื้อแดงที่กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ใช่การกระทำของทหารหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ
แต่ข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ศอฉ. เป็นผู้รับผิดชอบต่อคำสั่ง “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งทุกฝ่ายต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาแถลงยืนยันความบริสุทธิ์โดยไม่มีหลักฐานหรือผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการใดๆ
**********************************************************************
วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553
เมื่อกลุ่มอำมาตย์นำพาประเทศไปสู่การถูกโดดเดี่ยว
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายน/พฤษภาคมปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลให้พลเรือนเกือบ 90รายเสียชีวิต รัฐบาลไทยได้พูดพึมพำถึงเรื่องแผนการปรองดองสมานฉันท์ โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทุกฝ่าย
และความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะแก้ไขการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาล
แต่เป็นที่น่าเสีย เพราะเกือบสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้ การกระทำของรัฐบาลที่ทำลายกระบวนการสมานฉันท์ปรองดองเผยให้เห็นถึงเบื้องลึกของความขัดแย้งอันสิ่งเลวร้ายซึ่งเต็มไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
เราสามารถสังเกตเห็นการกระทำของรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนกระบวนการสมานฉันท์ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเข้มงวดกวดขันและจำกัดสิทธิพื้นฐานของพลเรือน และในขณะเดียวกันยังเพ่งเล็งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างคนเสื้อแดง โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ. – “แก้ไข” ได้กลายมาเป็นคำอธิบายที่ตลกร้ายของหน่วยงานนี้) เป็นผู้การกระทำการอันกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การกระทำอันกดขี่เหล่านี้ได้รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ( เวปไซต์กว่า 100000 เวปไซต์ถูกบล็อก) ไปจนถึงเรื่องที่ไร้สาระ อย่างที่โฆษกศอฉ. ได้
ออกมาประกาศว่าการวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำเพื่อระลึกถึงนักโทษทางการเมืองอาจหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงและก้าวล่วงอำนาจศาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกรัฐบาลซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรได้แสดงความหวาดระแรงอย่างมากต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และความหวาดระแวงดังกล่าวส่งผลให้รัฐดำเนินนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรงที่สุด รวมไปถึงการบิดเบือนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดในประวัติการณ์ในยุคปัจจุบัน หลังจากการสั่งปิดนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ถูกสั่งปิดตัวลงล่าสุดในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นายประวิทย์ โรจนพฤษก์ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า “ ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมแห่งการปิดบังข้อมูลข่าวสาร” อย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นบางอย่างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรืออาชญากรรม การพูดคุยถึงเรื่องต้องห้ามบางเรื่องถือเป็นความกล้าหาญทางการเมือง” และนาย David Streckfuss ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีเนื้อหาโดดเด่นของเขาว่า ในประเทศไทย ความจริงมักจะถูกลงโทษ พรรคผู้นำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นการใช้อำนาจที่คลุมเครือน่าสงสัยโดยการดำเนินคดีกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจำนวนคดีที่ศาลรับพิจารณาในปี 2553 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2539และ 2548
แทนที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตามอำเภอใจในเดือนเมษายน/พฤษภาคมอย่างจริงจัง รัฐบาลกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่ามีส่วนรับผิดชอบในการสั่งการและดำเนินการสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการส่งข้อความที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการลงโทษหรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการใช้กำลังที่เกินสมควรต่อผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะหากเหยื่อเหล่านั้นใส่เสื้อสีแดง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำหัวเก่าที่มีแนวความคิดต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเป็นผู้บัญชาการทหารบก และสถาปนิกผู้ร่างแผนการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครอย่าง พลโทดาว์พงษ์ รันตสุวรรณ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในการปกครองแบบระบอบเผด็จการทหารคือการเลื่อนตำแหน่งในกับพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม สิ่งที่น่าประหลาดใจคือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกดำเนินคดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย (หรืออุ้มฆ่า) โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลเกิดความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ความไม่คืบหน้าของการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสังหาร 4นักการทูตของซาอุดิอาระเบีย และการติดตามเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียที่ถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน (มีการอ้างว่าเพชรดังกล่าวได้ให้เป็นของขวัญแก่กลุ่มตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย) ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาจากการเลื่อนตำแหน่งอันน่าฉงนของพล.ต.ท.สมคิด คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับการโดดเดี่ยวประเทศจากนานาชาติ และจะเพิ่มมากขึ้นหากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกันนี้ ( การแสดงความไม่เต็มใจอย่างต่อเนื่องที่จะส่งตัวพ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียนายบูทไปยังสหรัฐก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง) อภิสิทธ์ได้สัญญาว่าจะมีการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำเป็นไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่อภิสิทธิ์กลับคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยราย พรรคประชาธิปัตย์ได้สัญญากับประเทศสัมพันธมิตรว่าจะพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่กลับพยายามทำลายและกำจัดฝ่ายการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เป็นเงื่อนในการจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และในขณะเดียวกัน ได้มีข้อบ่งชี้หลายข้อที่พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกับใช้อำนาจฉุกเฉินของตนเอง โดยใช้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเป็นข้ออ้าง และทุกครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันให้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิของฝ่ายตรงข้าม มักจะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเกิดขึ้น
รอยด่างของภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกก็ปรากฏจัดเจนขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศเยอรมันตัดสินใจยับยั้งการขายอาวุธทางการทหาร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถหุ้มเกราะที่ผลิตในยูเครนให้กองทัพไทย โดยอ้างถึงกฎเกณฑ์ของกลุ่มประเทศยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับ “รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงทำลายหรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนอย่างเป็นระบบ” ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นที่จะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีการใช้อำนาจรัฐที่รุนแรง เป็นประเทศที่มีการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นดินแดนแห่งแสงแดดและรอยยิ้มตามที่ชาวตะวันตกหลายคนมอง
คงไม่มีอะไรจะจูงใจรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าประเทศสัมพันธมิตรที่สำคัญอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโยปจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยว่าการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยเปิดเผย และการใช้ความรุนแรงกำจัดประชาชนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนคือ กลุ่มอำมาตย์พร้อมและยอมที่จะโดดเดียวประเทศเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง แนวโน้มยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจจะเหลือช่องทางเพียงน้อยนิดสำหรับประชาคมโลกที่จะแสดงจุดยืนก่อนที่รัฐบาลไทยจะก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดคือฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลถูกใส้ร้ายอย่างรวดเร็ว จากการดำเนินนโยบายที่กดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชน การจำกัดเสรีภาพประชาชนแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกินความจำเป็นของรัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์กรนิโทษกรรมสากล (ซึ่งการยอมรับการจองจำบุคคลที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กรนี้คือสิ่งที่น่าอัปยศ) ควรจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องโดยการแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกลงโทษหากยังคงดำเนินนโยบายใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชน
หากเราเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ “รักษาอำนาจโดยการคอรัปชั่น หลอกลวง และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย” ตามที่ประธานาธิบดีได้กล่าวในวาระที่เข้ารับตำแหน่่งว่า นานาชาติมีพันธกรณีที่จะ “ไม่ยื่นมือ” ให้ความช่วยเหลือ จนกว่ารัฐบาลไทยจะคลายกำปั้นของตัวเองออกมา
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************************************************
และความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะแก้ไขการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาล
แต่เป็นที่น่าเสีย เพราะเกือบสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้ การกระทำของรัฐบาลที่ทำลายกระบวนการสมานฉันท์ปรองดองเผยให้เห็นถึงเบื้องลึกของความขัดแย้งอันสิ่งเลวร้ายซึ่งเต็มไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
เราสามารถสังเกตเห็นการกระทำของรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนกระบวนการสมานฉันท์ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเข้มงวดกวดขันและจำกัดสิทธิพื้นฐานของพลเรือน และในขณะเดียวกันยังเพ่งเล็งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างคนเสื้อแดง โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ. – “แก้ไข” ได้กลายมาเป็นคำอธิบายที่ตลกร้ายของหน่วยงานนี้) เป็นผู้การกระทำการอันกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การกระทำอันกดขี่เหล่านี้ได้รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ( เวปไซต์กว่า 100000 เวปไซต์ถูกบล็อก) ไปจนถึงเรื่องที่ไร้สาระ อย่างที่โฆษกศอฉ. ได้
ออกมาประกาศว่าการวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำเพื่อระลึกถึงนักโทษทางการเมืองอาจหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงและก้าวล่วงอำนาจศาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกรัฐบาลซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวรุนแรงพันธมิตรได้แสดงความหวาดระแรงอย่างมากต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และความหวาดระแวงดังกล่าวส่งผลให้รัฐดำเนินนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรงที่สุด รวมไปถึงการบิดเบือนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดในประวัติการณ์ในยุคปัจจุบัน หลังจากการสั่งปิดนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ถูกสั่งปิดตัวลงล่าสุดในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นายประวิทย์ โรจนพฤษก์ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า “ ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมแห่งการปิดบังข้อมูลข่าวสาร” อย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นบางอย่างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรืออาชญากรรม การพูดคุยถึงเรื่องต้องห้ามบางเรื่องถือเป็นความกล้าหาญทางการเมือง” และนาย David Streckfuss ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีเนื้อหาโดดเด่นของเขาว่า ในประเทศไทย ความจริงมักจะถูกลงโทษ พรรคผู้นำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นการใช้อำนาจที่คลุมเครือน่าสงสัยโดยการดำเนินคดีกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจำนวนคดีที่ศาลรับพิจารณาในปี 2553 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2539และ 2548
แทนที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตามอำเภอใจในเดือนเมษายน/พฤษภาคมอย่างจริงจัง รัฐบาลกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่ามีส่วนรับผิดชอบในการสั่งการและดำเนินการสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการส่งข้อความที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการลงโทษหรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการใช้กำลังที่เกินสมควรต่อผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะหากเหยื่อเหล่านั้นใส่เสื้อสีแดง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำหัวเก่าที่มีแนวความคิดต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเป็นผู้บัญชาการทหารบก และสถาปนิกผู้ร่างแผนการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครอย่าง พลโทดาว์พงษ์ รันตสุวรรณ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในการปกครองแบบระบอบเผด็จการทหารคือการเลื่อนตำแหน่งในกับพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม สิ่งที่น่าประหลาดใจคือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกดำเนินคดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย (หรืออุ้มฆ่า) โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลเกิดความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ความไม่คืบหน้าของการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสังหาร 4นักการทูตของซาอุดิอาระเบีย และการติดตามเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียที่ถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน (มีการอ้างว่าเพชรดังกล่าวได้ให้เป็นของขวัญแก่กลุ่มตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย) ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาจากการเลื่อนตำแหน่งอันน่าฉงนของพล.ต.ท.สมคิด คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับการโดดเดี่ยวประเทศจากนานาชาติ และจะเพิ่มมากขึ้นหากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกันนี้ ( การแสดงความไม่เต็มใจอย่างต่อเนื่องที่จะส่งตัวพ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียนายบูทไปยังสหรัฐก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง) อภิสิทธ์ได้สัญญาว่าจะมีการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำเป็นไปสู่การแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่อภิสิทธิ์กลับคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยราย พรรคประชาธิปัตย์ได้สัญญากับประเทศสัมพันธมิตรว่าจะพยายามจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่กลับพยายามทำลายและกำจัดฝ่ายการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เป็นเงื่อนในการจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และในขณะเดียวกัน ได้มีข้อบ่งชี้หลายข้อที่พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกับใช้อำนาจฉุกเฉินของตนเอง โดยใช้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเป็นข้ออ้าง และทุกครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันให้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิของฝ่ายตรงข้าม มักจะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเกิดขึ้น
รอยด่างของภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกก็ปรากฏจัดเจนขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศเยอรมันตัดสินใจยับยั้งการขายอาวุธทางการทหาร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถหุ้มเกราะที่ผลิตในยูเครนให้กองทัพไทย โดยอ้างถึงกฎเกณฑ์ของกลุ่มประเทศยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับ “รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงทำลายหรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนอย่างเป็นระบบ” ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นที่จะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีการใช้อำนาจรัฐที่รุนแรง เป็นประเทศที่มีการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นดินแดนแห่งแสงแดดและรอยยิ้มตามที่ชาวตะวันตกหลายคนมอง
คงไม่มีอะไรจะจูงใจรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าประเทศสัมพันธมิตรที่สำคัญอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโยปจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยว่าการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยเปิดเผย และการใช้ความรุนแรงกำจัดประชาชนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนคือ กลุ่มอำมาตย์พร้อมและยอมที่จะโดดเดียวประเทศเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง แนวโน้มยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจจะเหลือช่องทางเพียงน้อยนิดสำหรับประชาคมโลกที่จะแสดงจุดยืนก่อนที่รัฐบาลไทยจะก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดคือฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลถูกใส้ร้ายอย่างรวดเร็ว จากการดำเนินนโยบายที่กดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชน การจำกัดเสรีภาพประชาชนแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกินความจำเป็นของรัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์กรนิโทษกรรมสากล (ซึ่งการยอมรับการจองจำบุคคลที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กรนี้คือสิ่งที่น่าอัปยศ) ควรจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องโดยการแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกลงโทษหากยังคงดำเนินนโยบายใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชน
หากเราเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ “รักษาอำนาจโดยการคอรัปชั่น หลอกลวง และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย” ตามที่ประธานาธิบดีได้กล่าวในวาระที่เข้ารับตำแหน่่งว่า นานาชาติมีพันธกรณีที่จะ “ไม่ยื่นมือ” ให้ความช่วยเหลือ จนกว่ารัฐบาลไทยจะคลายกำปั้นของตัวเองออกมา
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
******************************************************************
'โกวิท'เผยให้คำตอบ14ก.ย.นั่งหน.เพื่อไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พล.ต.อ.โกวิท"เผยวันอังคาร(14ก.ย.)ให้คำตอบนั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุแกนนำเตรียมจัดสัมมนาใหญ่ในกทม.ก่อนเดินสายต่างจังหวัดปลายเดือนนี้
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. และอดีตรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกระแสข่าวได้รับทาบทามให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า "เรื่องนี้ผมยังไม่ขอพูด ผมจะบอกในวันอังคารหน้า
เมื่อถามว่า จะเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.ต.อ.โกวิทกล่าวว่า "ไว้วันอังคารหน้าผมจะให้คำตอบ" จากนั้นได้ตัดสายทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำและคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมาเป็นระยะ โดยล่าสุดช่วงเช้าของวันที่ 10 ก.ย.ก็ได้มีการหารือกันซึ่งค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าหลังจากที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.มหาดไทย มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน เพื่อมาชูภาพใหญ่แก้ข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ประมาณปลายเดือนก.ย.พรรคเพื่อไทย จะเปิดคิกออฟแคมเปญครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนภาพใหญ่ของพรรคและรายภาค
จากนั้นจะมีการเดินสายปราศรัยหาเสียงทั่วประเทศ สำหรับแคมเปญหลักของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดออกมานั้นข้อสำคัญคือการเชิดชูสถาบัน แผนสร้างความปรองดอง การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสังคมและความยากจน โดยจะเป็นการผสมผสานนโยบายของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยเข้าด้วยกัน โดยจะเขียนเป็นสโลแกนทำนองว่า "ความสำเร็จจากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทยทั้งชาติ" ในเบื้องต้นทันทีที่ได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทันที โดยจะทำการจัดสัมมนาที่กรุงเทพฯ เป็นที่แรก จากนั้นจึงจะเดินสายไปตามต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ต่างวิเคราะห์แล้วว่า ควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจส่งผลให้มีการยุบสภาฯ ราวๆ เดือนพ.ย. และยังประเมินอีกว่าสภาพของรัฐบาลน่าจะเดินต่อไปได้ลำบากแล้วจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าถาโถมเข้ามา
นอกจากนี้รัฐบาลก็ได้ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายรวมทั้งการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ 2554 ไปแล้วด้วย จึงอาจจะมีการยุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องเร่งปรับทัพเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์และเพื่อทำให้ส.ส.และสมาชิกพรรคมีความเชื่อมั่นว่าพรรคจะยังคงมุ่งมั่นทำงานการเมืองต่อไปเพื่อที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล หลังจากที่ส.ส.ส่วนหนึ่งได้ตำหนิว่าพรรคไม่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองตามแนวทางของพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็ง และมีส.ส.บางคนตัดสินใจย้ายพรรคออกไป
************************************************************************
"พล.ต.อ.โกวิท"เผยวันอังคาร(14ก.ย.)ให้คำตอบนั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุแกนนำเตรียมจัดสัมมนาใหญ่ในกทม.ก่อนเดินสายต่างจังหวัดปลายเดือนนี้
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. และอดีตรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกระแสข่าวได้รับทาบทามให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า "เรื่องนี้ผมยังไม่ขอพูด ผมจะบอกในวันอังคารหน้า
เมื่อถามว่า จะเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.ต.อ.โกวิทกล่าวว่า "ไว้วันอังคารหน้าผมจะให้คำตอบ" จากนั้นได้ตัดสายทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำและคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมาเป็นระยะ โดยล่าสุดช่วงเช้าของวันที่ 10 ก.ย.ก็ได้มีการหารือกันซึ่งค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าหลังจากที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.มหาดไทย มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน เพื่อมาชูภาพใหญ่แก้ข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ประมาณปลายเดือนก.ย.พรรคเพื่อไทย จะเปิดคิกออฟแคมเปญครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนภาพใหญ่ของพรรคและรายภาค
จากนั้นจะมีการเดินสายปราศรัยหาเสียงทั่วประเทศ สำหรับแคมเปญหลักของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดออกมานั้นข้อสำคัญคือการเชิดชูสถาบัน แผนสร้างความปรองดอง การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสังคมและความยากจน โดยจะเป็นการผสมผสานนโยบายของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยเข้าด้วยกัน โดยจะเขียนเป็นสโลแกนทำนองว่า "ความสำเร็จจากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทยทั้งชาติ" ในเบื้องต้นทันทีที่ได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็จะเดินหน้าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทันที โดยจะทำการจัดสัมมนาที่กรุงเทพฯ เป็นที่แรก จากนั้นจึงจะเดินสายไปตามต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ต่างวิเคราะห์แล้วว่า ควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจส่งผลให้มีการยุบสภาฯ ราวๆ เดือนพ.ย. และยังประเมินอีกว่าสภาพของรัฐบาลน่าจะเดินต่อไปได้ลำบากแล้วจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าถาโถมเข้ามา
นอกจากนี้รัฐบาลก็ได้ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายรวมทั้งการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ 2554 ไปแล้วด้วย จึงอาจจะมีการยุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องเร่งปรับทัพเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์และเพื่อทำให้ส.ส.และสมาชิกพรรคมีความเชื่อมั่นว่าพรรคจะยังคงมุ่งมั่นทำงานการเมืองต่อไปเพื่อที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล หลังจากที่ส.ส.ส่วนหนึ่งได้ตำหนิว่าพรรคไม่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองตามแนวทางของพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็ง และมีส.ส.บางคนตัดสินใจย้ายพรรคออกไป
************************************************************************
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เราซุกระเบิดไว้ใต้พรม มันจะปะทุขึ้นใหม่ !!!
ประชาชาติธุรกิจ
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือเมื่อ 4 เดือนก่อน "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เงียบหายไปนานจากวงวิชาการสาธารณะ
มาวันนี้ อดีตหัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน สำนักท่าพระจันทร์ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบทวิพากษ์ว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปสังคมไทย แบบถึงพริกถึงขิง เช่นเดิม รวมถึงความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ล่าสุดของกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่น่าสนใจ
ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นบรรยากาศ การคุกคามทางวิชาการหรือเปล่าครับ อาจารย์ถึงได้เงียบหายไป
ไม่ถึงขนาดนั้น (ครับ) เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในช่วงเวลานั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการต่อสู้กันแล้วผมก็คิดว่าการที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ไม่มีผลกับผม (นะ) แต่มีผลต่อบรรยากาศทั่วไปในการแสดงออกซึ่งความเห็น
หมายความว่า การแสดงความคิดความอ่านอะไรไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับรัฐบาล รัฐบาลก็จะมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมไม่พูดในช่วงนั้น แต่ผมเห็นว่า เรื่องที่ผมควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้วก่อนหน้านั้น ผมพูดมาหลายปีแล้วในเรื่องสภาพความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งยังไม่จบและจะดำเนินต่อไปอีก
แต่บรรยากาศสังคมไทยอาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง ตรงนี้มีผลต่อบรรยากาศทางวิชาการบ้างหรือไม่
ในห้องเรียนผมก็ยังสอนหนังสือปกติ ผมก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย แต่ผมคิดว่าความเซ็นซิทีฟของฝ่ายรัฐแสดงออกมาในหลายลักษณะ ผมยกตัวอย่างเรื่องการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เรื่องขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา โดยมีเนื้อหาระบุเกี่ยวกับการพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากปัจจุบันมีแกนนำนักศึกษาจัดแสดงละครเวทีเพื่อแสดงความคิดเห็นด้านการเมือง โดยทาง สกอ.เห็นว่ามีลักษณะบิดเบือนสถานการณ์ทางการเมืองอันเป็นการปลุกระดมยั่วยุสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุความไม่สงบภายในประเทศ การทำหนังสืออย่างนี้ออกมาผมว่ามันกระทบนะในเชิงจิตวิทยา แล้วมันจะทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้น คือพอใช้อำนาจกด ก็จะมีการต้านการกดทับนั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีเหตุการณ์ระเบิดในหลายพื้นที่ ล่าสุดคือลอบยิงระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯ
แล้วมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันห้ามระเบิดได้หรือ (ครับ) ในทางกลับกัน มันก็ยังระเบิด แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าระเบิดเกิดจากสาเหตุใดหรือลักษณะไหนกันแน่ คือมันเป็นไปได้ทุกอย่าง อาจจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายสนับสนุนอำนาจรัฐบาลในปัจจุบันทำขึ้นมาเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ต่อไป หรืออาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามทำขึ้นเพื่อสั่นคลอนอำนาจรัฐบาล คือเราไม่รู้เลยว่าใครทำอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน แล้วจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันกระทบกับส่วนอื่น ๆ ของสังคม แล้วจะทำให้กระบวนการที่จะเปิดให้คนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างแสดงออกโดยที่ไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับอำนาจรัฐเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยาก นี่คือปัญหาใหญ่ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วไม่มีที่ไหนในโลกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแบบที่เราใช้อยู่ขณะนี้หรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมาตรฐานการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยนะ ว่าเสมอภาคไหม เห็น ๆ กันอยู่
เส้นทางในการนำสังคมไทยสู่ความปรองดองของรัฐบาล อาจารย์มีความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความเชื่อมั่นเลย แล้วผมก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ คนที่พยายามผลักดันการปฏิรูปวันนี้ก็คือ คนที่เคยทำการปฏิรูปเมื่อปี 2540 แล้วยังใช้วิธีคิดแบบช่วงก่อน 2540 อยู่ ทั้ง ๆ ที่สภาพทางการเมืองและความคิดความอ่านของคนเปลี่ยนไปมากแล้วในช่วง 10 กว่าปีมานี้
อาจารย์กำลังพูดถึงคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ (ปันยารชุน) และคุณหมอประเวศ (วะสี)
ถูกต้องครับ แล้วการโยนเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ออกมา ผมรู้สึกว่าเหมือนรัฐบาลโยนของเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังจัดการกับคนที่เห็นต่าง เดี๋ยวนี้การป้ายสีว่าเป็นพวก "ทักษิณ" ซึ่งเริ่มใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว เพราะคนไม่สนใจ แล้วก็เริ่มเห็นแล้วว่าคนที่เคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งตอนนี้ที่เป็นฝ่ายเสื้อแดงที่มีกิจกรรมอยู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณเลย
ฉะนั้นคนที่มาทำปฏิรูป ประเด็นหลักของผมอยู่ที่ว่าหลักการที่จะเข้าไปทำ มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายที่มีส่วนในความขัดแย้งต้องแสดงความรับผิดชอบก่อน การปฏิรูปมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง หลังจากที่มีเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุม แล้วมีคนตาย ไม่ต้องสนใจว่าคนที่ตายเกิดจากฝั่งไหน แล้วไม่ต้องบอกหรอกว่า เป็นทหารทำ หรือกลุ่มไหนทำ แต่เมื่อเกิดการตายขึ้น ต้องรับผิดชอบก่อนในเบื้องต้น เมื่อรับผิดชอบแล้ว จะต้องเปลี่ยนรัฐบาลซะก่อน ซึ่งยังไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเปลี่ยนขั้วพลิกข้างเสียทีเดียว อาจจะเป็นรัฐบาลกลุ่มเดิม แต่ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งในเวลาที่ เกิดเรื่องขึ้นต้องรับผิดชอบก่อน นี่เป็นหลักการเบื้องต้น
ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบอะไร แล้วตั้งคนโน้นคนนี้เป็นกรรมการ แล้วยังดำรงตำแหน่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ยังไง วิธีการคิดแบบนี้ แล้วใครเขาจะสมานฉันท์ด้วย แต่คนที่รับเป็นกรรมการ ผมเข้าใจว่าแต่ละคนก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ใครตัดสินใจยังไง ก็รับผิดชอบการตัดสินใจไปเอง แต่ผมว่าหลักการตรงนี้เป็นหลักการสำคัญ เป็นมโนธรรมสำนึกขั้นพื้นฐาน ถ้าคุณรับผิดชอบเสียก่อนในเบื้องต้น อันนี้ยังพอว่า อาจจะยังพอมีคนคิดว่ายังพอมองหน้ากัน พอที่จะคุยกันได้
แต่ถ้าคนในฟากรัฐบาลมองอีกแบบหนึ่งว่า เขาเป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้ถูกเผาจากกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ต้องการพิสูจน์ทางข้อเท็จจริงก่อน แต่ต้องเปิดให้มีการ พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ไม่ใช่คนที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้กุมอำนาจรัฐยึดกุมกระบวนการของการพิสูจน์ แต่ในเรื่องการเผาห้างในกรุงเทพฯนั้น รัฐบาลเองในมุมหนึ่งคุณก็ไม่สามารถรักษาตึกรามบ้านช่องไว้ได้ คุณปล่อยให้เกิดการเผา คุณก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แล้วก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง
เหมือนรถไฟตกรางมีคนตาย ผู้ว่าการการรถไฟหรือคนที่เป็นรัฐมนตรีในบางประเทศเขาก็ลาออก เขาไม่ต้องถามว่า ใครเป็นคนทำ นี่คือความรับผิดชอบทางการเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงกว่าเรื่องรถไฟตกรางไม่รู้กี่สิบเท่า วันนี้เราลืมถามประเด็นนี้ไป เพราะเราไปพูดถึงเรื่องคืนความสุข กลายเป็นว่าคนมาชุมนุมสร้างความทุกข์ คนที่คิดอย่างนี้ไม่รู้ว่าคนที่มาชุมนุมจำนวนไม่น้อยเขาทุกข์กว่าพวกคุณไม่รู้กี่เท่า แล้วก็ไม่เคยมีความสุขอย่างที่พวกคุณมี ภายใต้โครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่นี้ หลายคนก็รู้สึกโล่งใจว่าจบสักทีหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือการสร้างปัญหาใหม่ซึ่งมันจะแก้ยากกว่าเดิม
แล้วสังคมที่ร้าวลึกกว่าเดิมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
คาดการณ์ยาก แต่ก็คาดได้อย่างหนึ่งว่า สังคมก็จะไม่สงบ ความสุขที่ปรารถนาไม่มีทาง อาจจะได้ความสุขกลับมาชั่วครั้งชั่วคราว ได้ไปเดินช็อปปิ้ง แต่เรากำลังซุกขยะหรืออาจจะไม่ใช่ขยะแต่เป็นระเบิดไว้ใต้พรม กลบเกลื่อนไว้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่
แล้วโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปประเทศไทยที่ควรจะทำจริง ๆ คืออะไร
ต้องทำหลายเรื่องครับ แต่ในความเห็นผม เราพูดเสมอว่า เราอยากได้รัฐซึ่งดูแลประชาชน พูดเรื่องรัฐสวัสดิการ ขจัดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน เรื่องปฏิรูปที่ดิน เรื่องโครงสร้างภาษี ประเด็นพวกนี้มันจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะต้องมาทีหลังความยุติธรรมในทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ต้องทำตรงนี้ก่อน
ถามว่า ถ้าไม่ทำตรงนี้ในทางพื้นฐาน แล้วไปทำอย่างอื่น มันไม่มีทางสำเร็จ เพราะก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฐานต้องมาจากประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียก่อน ถามว่า แล้วคุณจะทำอะไร ก็ต้องมาตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามีสถาบันไหนบ้างเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งต้องตั้งคำถามตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องตอบกันอย่างตรง ๆ และมีการรีฟอร์มตัวระบบการเมืองทั้งหมด
สถาบันทุกสถาบันจะต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของตัว และอยู่ในที่ที่ตัวจะต้องอยู่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมคิดว่ามันจะไปได้ แต่ปัญหาวันนี้คือ มันไม่เป็นแบบนั้นครับ บางกรณีการพูดถึงสถาบันบางสถาบันแค่จะพูดยังไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยเขารู้สึกว่ามันต้องมีการพูดถึงในความเป็นจริง มีการวิพากษ์วิจารณ์ แล้วคนที่คิดอย่างนี้ เขาหวังดีกับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมากด้วย เขาต้องการให้มีการพูดคุยกัน แล้วจัดวางสมดุลในทางการเมืองให้ได้
รวมถึงสถาบันกองทัพด้วย
ผมหมายถึงทุกสถาบันเลย กองทัพอาจจะมาทีหลัง ผมอาจจะพูดเลยไปกว่านั้นอีก จำได้มั้ยครับว่า ผมเคยเสนอเรื่ององคมนตรี แล้วผมคิดว่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องพูดด้วย เราควรจะตั้งคำถามในทุกเรื่อง สมมติมีคนตั้งคำถามว่าในช่วงเวลาของ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา สถาบันในทาง รัฐธรรมนูญสถาบันใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง การเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นถูกต้องตรงตามหลักการที่ควรจะเป็นหรือไม่ ก็ต้องถกเถียงกันได้ว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พอเริ่มต้น ก็ห้ามพูดเสียแล้ว แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง สถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมถามว่า ถูกนำมาใช้ทางการเมืองมั้ย คำตอบก็คือใช่ ถ้าพูดกันตรง ๆ บางทีก็มีการชูสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทำลายปรปักษ์ทางการเมือง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลยนะ ผมถามว่า อย่างนี้ ถ้าไม่นำมาพูดกันให้มันหมดเปลือกตรงไปตรงมา เราจะแก้ปัญหาได้หรือ
ทราบว่า อาจารย์จะทำเว็บไซต์ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร
จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมาก คือคุยกันกับเพื่อนอาจารย์ในกลุ่มว่า มีกลุ่มคนในสังคมที่ตามความคิดของกลุ่ม 5 อาจารย์ บัดนี้มากกว่า 5 อาจารย์แล้ว ซึ่งได้แสดงจุดยืนและทรรศนะในทางกฎหมายในแต่ละเรื่อง แล้วก็เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ว่ากลุ่ม 5 อาจารย์ไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย หรือเกี่ยวข้องในทางทรัพย์สิน เงินทอง หรือการได้ประโยชน์จากฝ่ายใด
ก็เลยมีความคิดขึ้นมาว่า น่าจะทำเว็บขึ้นมา รวบรวมข้อมูลเรื่องที่เราได้ทำ ๆ ขึ้นไปรวมไว้ เอกสารเหล่านั้นซึ่งเป็นสาธารณะไปแล้วก็จะได้มีหลักแหล่งพอให้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครจะนำไปใช้ทำอะไรก็ขอให้อ้างอิง ไม่เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ใช้ได้หมด
อาจจะไม่ใช่แถลงการณ์อย่างเดียว แต่จะมีเรื่องบทความทาง วิชาการของผมเอง และของอาจารย์ในกลุ่มไปใส่เอาไว้ เพื่อให้คน ที่เขาตามมาค้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจจะรวมถึงบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ก็จะเอามารวมไว้ด้วย
แต่มากที่สุดและเป็นประเด็นหลักเลยก็คือกลุ่ม 5 อาจารย์และอาจารย์ที่เข้ามาสมทบเรายืนยันในหลักการประชาธิปไตย เป็นจุดยืนที่แน่วแน่มาโดยตลอด ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มมากกว่า 5 อาจารย์แล้ว คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนชื่อเว็บมีแล้วครับ แต่ขออุบไว้ก่อนนิดนึง เพราะอาจจะเป็นที่หมั่นไส้เล็กน้อย(ครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือเมื่อ 4 เดือนก่อน "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เงียบหายไปนานจากวงวิชาการสาธารณะ
มาวันนี้ อดีตหัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน สำนักท่าพระจันทร์ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบทวิพากษ์ว่าด้วยแนวทางการปฏิรูปสังคมไทย แบบถึงพริกถึงขิง เช่นเดิม รวมถึงความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ล่าสุดของกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่น่าสนใจ
ความวุ่นวายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นบรรยากาศ การคุกคามทางวิชาการหรือเปล่าครับ อาจารย์ถึงได้เงียบหายไป
ไม่ถึงขนาดนั้น (ครับ) เพียงแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรในช่วงเวลานั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องของการต่อสู้กันแล้วผมก็คิดว่าการที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ไม่มีผลกับผม (นะ) แต่มีผลต่อบรรยากาศทั่วไปในการแสดงออกซึ่งความเห็น
หมายความว่า การแสดงความคิดความอ่านอะไรไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับรัฐบาล รัฐบาลก็จะมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมไม่พูดในช่วงนั้น แต่ผมเห็นว่า เรื่องที่ผมควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้วก่อนหน้านั้น ผมพูดมาหลายปีแล้วในเรื่องสภาพความขัดแย้งในสังคมไทย ซึ่งยังไม่จบและจะดำเนินต่อไปอีก
แต่บรรยากาศสังคมไทยอาจต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง ตรงนี้มีผลต่อบรรยากาศทางวิชาการบ้างหรือไม่
ในห้องเรียนผมก็ยังสอนหนังสือปกติ ผมก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย แต่ผมคิดว่าความเซ็นซิทีฟของฝ่ายรัฐแสดงออกมาในหลายลักษณะ ผมยกตัวอย่างเรื่องการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เรื่องขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา โดยมีเนื้อหาระบุเกี่ยวกับการพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากปัจจุบันมีแกนนำนักศึกษาจัดแสดงละครเวทีเพื่อแสดงความคิดเห็นด้านการเมือง โดยทาง สกอ.เห็นว่ามีลักษณะบิดเบือนสถานการณ์ทางการเมืองอันเป็นการปลุกระดมยั่วยุสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุความไม่สงบภายในประเทศ การทำหนังสืออย่างนี้ออกมาผมว่ามันกระทบนะในเชิงจิตวิทยา แล้วมันจะทำให้เกิดแรงต้านมากขึ้น คือพอใช้อำนาจกด ก็จะมีการต้านการกดทับนั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีเหตุการณ์ระเบิดในหลายพื้นที่ ล่าสุดคือลอบยิงระเบิดหลายแห่งในกรุงเทพฯ
แล้วมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันห้ามระเบิดได้หรือ (ครับ) ในทางกลับกัน มันก็ยังระเบิด แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าระเบิดเกิดจากสาเหตุใดหรือลักษณะไหนกันแน่ คือมันเป็นไปได้ทุกอย่าง อาจจะเป็นไปได้ที่ฝ่ายสนับสนุนอำนาจรัฐบาลในปัจจุบันทำขึ้นมาเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ต่อไป หรืออาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามทำขึ้นเพื่อสั่นคลอนอำนาจรัฐบาล คือเราไม่รู้เลยว่าใครทำอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน แล้วจับกุมผู้กระทำความผิด
แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมันกระทบกับส่วนอื่น ๆ ของสังคม แล้วจะทำให้กระบวนการที่จะเปิดให้คนในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างแสดงออกโดยที่ไม่ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับอำนาจรัฐเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยาก นี่คือปัญหาใหญ่ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วไม่มีที่ไหนในโลกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแบบที่เราใช้อยู่ขณะนี้หรอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมาตรฐานการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วยนะ ว่าเสมอภาคไหม เห็น ๆ กันอยู่
เส้นทางในการนำสังคมไทยสู่ความปรองดองของรัฐบาล อาจารย์มีความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความเชื่อมั่นเลย แล้วผมก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ คนที่พยายามผลักดันการปฏิรูปวันนี้ก็คือ คนที่เคยทำการปฏิรูปเมื่อปี 2540 แล้วยังใช้วิธีคิดแบบช่วงก่อน 2540 อยู่ ทั้ง ๆ ที่สภาพทางการเมืองและความคิดความอ่านของคนเปลี่ยนไปมากแล้วในช่วง 10 กว่าปีมานี้
อาจารย์กำลังพูดถึงคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ (ปันยารชุน) และคุณหมอประเวศ (วะสี)
ถูกต้องครับ แล้วการโยนเรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ออกมา ผมรู้สึกว่าเหมือนรัฐบาลโยนของเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังจัดการกับคนที่เห็นต่าง เดี๋ยวนี้การป้ายสีว่าเป็นพวก "ทักษิณ" ซึ่งเริ่มใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว เพราะคนไม่สนใจ แล้วก็เริ่มเห็นแล้วว่าคนที่เคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งตอนนี้ที่เป็นฝ่ายเสื้อแดงที่มีกิจกรรมอยู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณเลย
ฉะนั้นคนที่มาทำปฏิรูป ประเด็นหลักของผมอยู่ที่ว่าหลักการที่จะเข้าไปทำ มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายที่มีส่วนในความขัดแย้งต้องแสดงความรับผิดชอบก่อน การปฏิรูปมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่ง หลังจากที่มีเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุม แล้วมีคนตาย ไม่ต้องสนใจว่าคนที่ตายเกิดจากฝั่งไหน แล้วไม่ต้องบอกหรอกว่า เป็นทหารทำ หรือกลุ่มไหนทำ แต่เมื่อเกิดการตายขึ้น ต้องรับผิดชอบก่อนในเบื้องต้น เมื่อรับผิดชอบแล้ว จะต้องเปลี่ยนรัฐบาลซะก่อน ซึ่งยังไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเปลี่ยนขั้วพลิกข้างเสียทีเดียว อาจจะเป็นรัฐบาลกลุ่มเดิม แต่ว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งในเวลาที่ เกิดเรื่องขึ้นต้องรับผิดชอบก่อน นี่เป็นหลักการเบื้องต้น
ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบอะไร แล้วตั้งคนโน้นคนนี้เป็นกรรมการ แล้วยังดำรงตำแหน่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ยังไง วิธีการคิดแบบนี้ แล้วใครเขาจะสมานฉันท์ด้วย แต่คนที่รับเป็นกรรมการ ผมเข้าใจว่าแต่ละคนก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ใครตัดสินใจยังไง ก็รับผิดชอบการตัดสินใจไปเอง แต่ผมว่าหลักการตรงนี้เป็นหลักการสำคัญ เป็นมโนธรรมสำนึกขั้นพื้นฐาน ถ้าคุณรับผิดชอบเสียก่อนในเบื้องต้น อันนี้ยังพอว่า อาจจะยังพอมีคนคิดว่ายังพอมองหน้ากัน พอที่จะคุยกันได้
แต่ถ้าคนในฟากรัฐบาลมองอีกแบบหนึ่งว่า เขาเป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ให้ถูกเผาจากกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง
ต้องการพิสูจน์ทางข้อเท็จจริงก่อน แต่ต้องเปิดให้มีการ พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ไม่ใช่คนที่เป็นคู่กรณีเป็นผู้กุมอำนาจรัฐยึดกุมกระบวนการของการพิสูจน์ แต่ในเรื่องการเผาห้างในกรุงเทพฯนั้น รัฐบาลเองในมุมหนึ่งคุณก็ไม่สามารถรักษาตึกรามบ้านช่องไว้ได้ คุณปล่อยให้เกิดการเผา คุณก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แล้วก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง
เหมือนรถไฟตกรางมีคนตาย ผู้ว่าการการรถไฟหรือคนที่เป็นรัฐมนตรีในบางประเทศเขาก็ลาออก เขาไม่ต้องถามว่า ใครเป็นคนทำ นี่คือความรับผิดชอบทางการเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงกว่าเรื่องรถไฟตกรางไม่รู้กี่สิบเท่า วันนี้เราลืมถามประเด็นนี้ไป เพราะเราไปพูดถึงเรื่องคืนความสุข กลายเป็นว่าคนมาชุมนุมสร้างความทุกข์ คนที่คิดอย่างนี้ไม่รู้ว่าคนที่มาชุมนุมจำนวนไม่น้อยเขาทุกข์กว่าพวกคุณไม่รู้กี่เท่า แล้วก็ไม่เคยมีความสุขอย่างที่พวกคุณมี ภายใต้โครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่นี้ หลายคนก็รู้สึกโล่งใจว่าจบสักทีหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือการสร้างปัญหาใหม่ซึ่งมันจะแก้ยากกว่าเดิม
แล้วสังคมที่ร้าวลึกกว่าเดิมจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง
คาดการณ์ยาก แต่ก็คาดได้อย่างหนึ่งว่า สังคมก็จะไม่สงบ ความสุขที่ปรารถนาไม่มีทาง อาจจะได้ความสุขกลับมาชั่วครั้งชั่วคราว ได้ไปเดินช็อปปิ้ง แต่เรากำลังซุกขยะหรืออาจจะไม่ใช่ขยะแต่เป็นระเบิดไว้ใต้พรม กลบเกลื่อนไว้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่
แล้วโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปประเทศไทยที่ควรจะทำจริง ๆ คืออะไร
ต้องทำหลายเรื่องครับ แต่ในความเห็นผม เราพูดเสมอว่า เราอยากได้รัฐซึ่งดูแลประชาชน พูดเรื่องรัฐสวัสดิการ ขจัดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน เรื่องปฏิรูปที่ดิน เรื่องโครงสร้างภาษี ประเด็นพวกนี้มันจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะต้องมาทีหลังความยุติธรรมในทางการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ต้องทำตรงนี้ก่อน
ถามว่า ถ้าไม่ทำตรงนี้ในทางพื้นฐาน แล้วไปทำอย่างอื่น มันไม่มีทางสำเร็จ เพราะก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฐานต้องมาจากประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียก่อน ถามว่า แล้วคุณจะทำอะไร ก็ต้องมาตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามีสถาบันไหนบ้างเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งต้องตั้งคำถามตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องตอบกันอย่างตรง ๆ และมีการรีฟอร์มตัวระบบการเมืองทั้งหมด
สถาบันทุกสถาบันจะต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของตัว และอยู่ในที่ที่ตัวจะต้องอยู่ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมคิดว่ามันจะไปได้ แต่ปัญหาวันนี้คือ มันไม่เป็นแบบนั้นครับ บางกรณีการพูดถึงสถาบันบางสถาบันแค่จะพูดยังไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยเขารู้สึกว่ามันต้องมีการพูดถึงในความเป็นจริง มีการวิพากษ์วิจารณ์ แล้วคนที่คิดอย่างนี้ เขาหวังดีกับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมากด้วย เขาต้องการให้มีการพูดคุยกัน แล้วจัดวางสมดุลในทางการเมืองให้ได้
รวมถึงสถาบันกองทัพด้วย
ผมหมายถึงทุกสถาบันเลย กองทัพอาจจะมาทีหลัง ผมอาจจะพูดเลยไปกว่านั้นอีก จำได้มั้ยครับว่า ผมเคยเสนอเรื่ององคมนตรี แล้วผมคิดว่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องพูดด้วย เราควรจะตั้งคำถามในทุกเรื่อง สมมติมีคนตั้งคำถามว่าในช่วงเวลาของ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา สถาบันในทาง รัฐธรรมนูญสถาบันใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง การเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นถูกต้องตรงตามหลักการที่ควรจะเป็นหรือไม่ ก็ต้องถกเถียงกันได้ว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พอเริ่มต้น ก็ห้ามพูดเสียแล้ว แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง สถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมถามว่า ถูกนำมาใช้ทางการเมืองมั้ย คำตอบก็คือใช่ ถ้าพูดกันตรง ๆ บางทีก็มีการชูสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทำลายปรปักษ์ทางการเมือง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลยนะ ผมถามว่า อย่างนี้ ถ้าไม่นำมาพูดกันให้มันหมดเปลือกตรงไปตรงมา เราจะแก้ปัญหาได้หรือ
ทราบว่า อาจารย์จะทำเว็บไซต์ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร
จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมาก คือคุยกันกับเพื่อนอาจารย์ในกลุ่มว่า มีกลุ่มคนในสังคมที่ตามความคิดของกลุ่ม 5 อาจารย์ บัดนี้มากกว่า 5 อาจารย์แล้ว ซึ่งได้แสดงจุดยืนและทรรศนะในทางกฎหมายในแต่ละเรื่อง แล้วก็เปิดเผยต่อสาธารณะ ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ว่ากลุ่ม 5 อาจารย์ไม่ได้มีประโยชน์ได้เสีย หรือเกี่ยวข้องในทางทรัพย์สิน เงินทอง หรือการได้ประโยชน์จากฝ่ายใด
ก็เลยมีความคิดขึ้นมาว่า น่าจะทำเว็บขึ้นมา รวบรวมข้อมูลเรื่องที่เราได้ทำ ๆ ขึ้นไปรวมไว้ เอกสารเหล่านั้นซึ่งเป็นสาธารณะไปแล้วก็จะได้มีหลักแหล่งพอให้อ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครจะนำไปใช้ทำอะไรก็ขอให้อ้างอิง ไม่เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ใช้ได้หมด
อาจจะไม่ใช่แถลงการณ์อย่างเดียว แต่จะมีเรื่องบทความทาง วิชาการของผมเอง และของอาจารย์ในกลุ่มไปใส่เอาไว้ เพื่อให้คน ที่เขาตามมาค้นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจจะรวมถึงบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ก็จะเอามารวมไว้ด้วย
แต่มากที่สุดและเป็นประเด็นหลักเลยก็คือกลุ่ม 5 อาจารย์และอาจารย์ที่เข้ามาสมทบเรายืนยันในหลักการประชาธิปไตย เป็นจุดยืนที่แน่วแน่มาโดยตลอด ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มมากกว่า 5 อาจารย์แล้ว คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนชื่อเว็บมีแล้วครับ แต่ขออุบไว้ก่อนนิดนึง เพราะอาจจะเป็นที่หมั่นไส้เล็กน้อย(ครับ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มทภ.3รับมือมืดยิงเอ็ม79บึ้มค่ายทหารแม่ริมเชียงใหม่
ที่มา.เนชั่น
พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า มีกลุ่มคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กรมรบพิเศษที่ 5 จ.เชียงใหม่ว่า จากที่ได้รับรายงาน และจากการตรวจสอบว่า ทราบว่าเมื่อคืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลา 19.00 น. มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 5 ลูก ตกบริเวณสนามหญ้า หน้ากองรักษาการ โดยกระสุนเอ็ม 79 ระเบิด 2 ลูก ส่วนที่เหลือไม่ทำงาน ส่งผลให้บริเวณสนามหญ้ากลายเป็นหลุมเล็กน้อย แต่สถานที่ส่วนอื่นไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเบื้องต้นได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจสอบถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนกลุ่มใด ส่วนการรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหารต่าง ๆ จากที่มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยรักษาความปลอดภัยบริเวณกองรักษาการณ์อยู่แล้ว คงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 แจ้งเหตุคนร้ายยิงเอ็ม -79 เข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ไม่น่าจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองแต่น่าจะเป็นเรื่องภายในของหน่วยมากกว่า เนื่องจากกรมรบพิเศษที่ 5 ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ซึ่งภายในหน่วยมีการไล่ทหารออก จึงทำให้ทหารที่ถูกไล่ออกโกรธแค้นจึงได้มีการก่อเหตุดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตามหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะตอนนี้มีการใช้อาวุธสงครามแบบ เอ็ม - 79 ขึ้นมาสร้างสถานการณ์เป็นจำนวนมากหากมีการวิเคราะห์ผิดจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมือง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า มีกลุ่มคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กรมรบพิเศษที่ 5 จ.เชียงใหม่ว่า จากที่ได้รับรายงาน และจากการตรวจสอบว่า ทราบว่าเมื่อคืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลา 19.00 น. มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 5 ลูก ตกบริเวณสนามหญ้า หน้ากองรักษาการ โดยกระสุนเอ็ม 79 ระเบิด 2 ลูก ส่วนที่เหลือไม่ทำงาน ส่งผลให้บริเวณสนามหญ้ากลายเป็นหลุมเล็กน้อย แต่สถานที่ส่วนอื่นไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเบื้องต้นได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจสอบถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนกลุ่มใด ส่วนการรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหารต่าง ๆ จากที่มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยรักษาความปลอดภัยบริเวณกองรักษาการณ์อยู่แล้ว คงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 แจ้งเหตุคนร้ายยิงเอ็ม -79 เข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ไม่น่าจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองแต่น่าจะเป็นเรื่องภายในของหน่วยมากกว่า เนื่องจากกรมรบพิเศษที่ 5 ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ซึ่งภายในหน่วยมีการไล่ทหารออก จึงทำให้ทหารที่ถูกไล่ออกโกรธแค้นจึงได้มีการก่อเหตุดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตามหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะตอนนี้มีการใช้อาวุธสงครามแบบ เอ็ม - 79 ขึ้นมาสร้างสถานการณ์เป็นจำนวนมากหากมีการวิเคราะห์ผิดจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมือง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตร.คุมเข้ม24ชม.โรงพิมพ์เรดพาวเวอร์ห้ามคนเข้าออก
ที่มา.เนชั่น
ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่ บริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ หลังจากที่พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆจำนวนหนึ่ง และมีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับ นิตยสารเรดพาวเวอร์ ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือเรดพาวเวอร์บางส่วนที่พิมพ์เสร็จแล้ว เมื่อวานนี้(9ก.ย.) ปรากฎว่าที่ประตูของโรงพิมพ์มีกุญแจล๊อคหนาแน่น ข้างในโรงพิมพ์มีหนังสือกองอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีใครอยู่อาศัย ซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี มาตรวจอยู่ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่สายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาให้มาสับเปลี่ยนมาดูแลโรงพิมพ์แห่งนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้มีการพิมพ์หรือขนย้ายหนังสืออกจากโรงพิมพ์และห้ามบุคคใดเข้าไปในโรงพิมพ์ ระหว่างมาตรวจไม่พบใครอยู่ภายในโรงพิมพ์เช่นกัน
จากการสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง กล่าวว่า พักอาศัยอยู่ใกล้กับโรงพิมพ์มาร่วม 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนนี้โรงพิมพ์แห่งนี้เปิดเป็นโรงงานเย็บผ้าแล้วเลิกกิจการไป จากนั้นมารับพิมพ์หนังสือได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งจะรับพิมพ์หนังสือเรียน หนังสือทั่วไป ส่วนที่รับพิมพ์หนังสือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นตนว่าไม่น่าจะมีถ้ามีคงจะรู้แล้ว การที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบคิดว่าน่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ก่อสร้างมากกว่าเพราะมีการปลูกต่อเติมอาคารเท่านั้น แต่ก่อนมีพนักงานอยู่ในโรงงานประมาณ 10 กว่าคนหลังจากตำรวจมาตรวจสอบโรงงานก็ปิดไม่มีใครอยู่เลยไม่ให้ใครเข้าไปในโรงพิมพ์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่ บริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ หลังจากที่พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆจำนวนหนึ่ง และมีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับ นิตยสารเรดพาวเวอร์ ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือเรดพาวเวอร์บางส่วนที่พิมพ์เสร็จแล้ว เมื่อวานนี้(9ก.ย.) ปรากฎว่าที่ประตูของโรงพิมพ์มีกุญแจล๊อคหนาแน่น ข้างในโรงพิมพ์มีหนังสือกองอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีใครอยู่อาศัย ซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี มาตรวจอยู่ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่สายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาให้มาสับเปลี่ยนมาดูแลโรงพิมพ์แห่งนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้มีการพิมพ์หรือขนย้ายหนังสืออกจากโรงพิมพ์และห้ามบุคคใดเข้าไปในโรงพิมพ์ ระหว่างมาตรวจไม่พบใครอยู่ภายในโรงพิมพ์เช่นกัน
จากการสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง กล่าวว่า พักอาศัยอยู่ใกล้กับโรงพิมพ์มาร่วม 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนนี้โรงพิมพ์แห่งนี้เปิดเป็นโรงงานเย็บผ้าแล้วเลิกกิจการไป จากนั้นมารับพิมพ์หนังสือได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งจะรับพิมพ์หนังสือเรียน หนังสือทั่วไป ส่วนที่รับพิมพ์หนังสือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นตนว่าไม่น่าจะมีถ้ามีคงจะรู้แล้ว การที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบคิดว่าน่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ก่อสร้างมากกว่าเพราะมีการปลูกต่อเติมอาคารเท่านั้น แต่ก่อนมีพนักงานอยู่ในโรงงานประมาณ 10 กว่าคนหลังจากตำรวจมาตรวจสอบโรงงานก็ปิดไม่มีใครอยู่เลยไม่ให้ใครเข้าไปในโรงพิมพ์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ศิริโชค’มุดคุก! หรือจะเป็นลาง?
ที่มา.บางกอกทูเดย์
‘ต่อพงษ์’ลุยไม่เลิก... เกิดอะไรกับ ‘บูท’?
กลายเป็นหนังเรื่องยาวไปแล้ว กรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ดอดเข้าคุกเพื่อไปเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธที่เรือนจำบางขวาง
งานนี้แม้จะมีการพาดพิงไปถึงฮอลีวูด แต่เชื่อแน่นอนว่าทางฮอลีวูดคงไม่ใช้สิทธิพาดพิง และไม่เอาเรื่องราวของนักการเมืองไทยไปทำเป็นหนังอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้มีกลิ่นของการผิดศีลข้อ 4 ในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ สถานการณ์บ้านเมือง และกลไกอำนาจทางการเมืองมันผิดเพี้ยนไปหมด จากการที่มีกลุ่มขั้วอำนาจเข้ามาเล่นเกมยึดกุมอำนาจรัฐอย่างเห็นได้ชัด
ผิดก็ให้เป็นถูกได้ และแน่นอนที่คิดว่าถูกก็สามารถพลิกให้กลายเป็นผิดได้อย่างสบาย
สถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่า ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทย ยังต้องผจญวิบากกรรมอีกยาวไกล
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบแทนบุญคุณคนรอบข้างสารพัด ไล่มาตั้งแต่กลุ่มอำนาจ กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม กลุ่มแกนนำพันธมิตร กลุ่ม ส.ส. กลุ่มนักการเมือง... แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะเหลือความเป็นตัวของตัวเอง หรือเหลือสติสัมปชัญญะสักเท่าไร
ต่อให้เป็นนักเรียนนักศึกษาเรียนดีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็ตาม มาเจอสิ่งที่ในตำราไม่ได้เขียนไว้ ก็จอดไม่ต้องแจวเหมือนกัน
เพราะเมื่อติดหนี้บุญคุณที่สานฝันดันก้นให้เป็นนายกรัฐมนตรีทางลัด เมื่อทหารจะของบ หรือจะขอตำแหน่ง จะกล้าทัดทานได้หรือ
หรือเจอนักการเมืองที่เปลี่ยนสีประดุจเปลี่ยนกางเกงใน พร้อมจะกอดกับใครก็ได้ จะร้องห่มร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้... เมื่อติดบ่วงไปแล้ว ทุกวันนี้รู้ทั้งรู้ว่าค่ายนี้นิยมยัดโครงการ อภิมหาโปรเจกต์เข้ามาเป็นระยะๆ ในครม. ล้วนแล้วแต่หลักหมื่นหลักแสนล้านบาท แล้วจะทำอะไรได้
ได้แต่เล่นดึงเกมดึงเวลาประคองตัวไปวันๆ แต่ไม่กล้าที่จะหักกลางลำ ก็เลยต้องให้เก้าอี้บ้าง ให้โครงการเล็กๆบ้างเป็นน้ำจิ้มไปตามเกม
แต่ข้าราชการทั่วไปเขาไม่สนุกด้วยแน่ มีอย่างที่ไหน ถ้าโดนอันดับ 2 อันดับ 3 ลัดคิวข้ามหัว ยังพอกล้ำกลืนฝืนทน แต่นี่เลยเอาลำกับที่ 54 ข้ามหัวรวดเดียวมาอยู่หน้าลำดับที่ 1 จะไม่เจ็บปวดกระดองใจได้อย่างไร
เพราะบางคนตอนที่เด็กเส้นยังเป็นแค่นายอำเภออยู่เลยนั้น คนอื่นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว... ใครจะคิดว่า จะมีรายการนั่งเรือเหาะข้ามหัวกันได้ขนาดนี้
แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง อย่างนายศิริโชค ที่สื่อมวลชนอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยนายอภิสิทธิ์จะเสียภาพลักษณ์และเปลืองตัวโดยใช่เหตุ อุตส่าห์ตั้งฉายาให้นายศิริโชคแบบประชดประชันให้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชครู้ตัวว่า
“วอลล์เปเปอร์”
แทนที่จะสำนึกที่ไหนได้กลับยิ่งภูมิใจ เสนอหน้าใกล้ชิดได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีแม้แต่จะกระแอมไอสักนิดเพื่อห้ามปราม
แล้วจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าคงมีตำแหน่ง ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี... อะไรประมาณนั้นได้อย่างไร
แต่โบราณสอนไว้นานกาเล ว่าเลี้ยงหมาให้ระวังนะลูก หมาจะเลียปากเอา
วันนี้กรณีของนายศิริโชคที่มุดคุกบางขวาง จึงกลายเป็นประเด็นลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้เปื้อนไปด้วย
รู้เห็นเป็นใจหรือเปล่า??? ... ใช้ให้ไปหรือไม่???...
หรือว่าจริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายต้องพลอยโจนไปด้วย
งานนี้จึงทำให้พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเกมในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ยิ่งเมื่อจับพิรุธพูดไม่ตรงได้ทีละชอตทีละซีน สังคมยิ่งเหวอว่าอะไรกันนี่
เริ่มจากวันที่มุดเข้าคุก ทีแรกก็ว่าเข้าไปตามกระบวนการปกติ แต่มาเจอหลักฐานยันว่าเข้าไปในวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการที่ราชทัณฑ์ห้ามเยี่ยม... นั่นแสดงว่าจะต้องมีการใช้กำลังภายใน ใช้ความเป็นรัฐบาล ใช้ความเป็นคนใกล้ชิดนายกฯในการเปิดคุกให้เข้าไปใช่หรือไม่?
ต่อมาก็มาเจอประเด็น ว่าแนะนำตัวเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เพราะเวลาชี้แจงว่าไม่เข้าใจว่าไปทำไม ไปในฐานะอะไร ก็บอกว่าไปในฐานะ ส.ส. เพราะเห็นเป็นคดีดัง... ทั้งๆที่คดีอื่นที่ดังกว่านี้ มีอีกมากมาย ไม่เห็นคิดจะไป
ยิ่งทางซีกนายบูทยืนยันว่า มีการแนะนำตัววาเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีจริงๆ ไม่งั้นจะไปเอามาจากไหน นายศิริโชคก็ออกแบบสีข้างถลอกเลยว่า คงเป้นความเข้าใจผิดเพราะนายบูทไม่เข้าใจภาษา ก็เลยอาจจะไปแปลหรือสื่อความให้ภรรยาให้ทนายฟังผิด
คงลืมไปว่า วิคเตอร์ บูท นั้นเป็นนักค้าอาวุธ เป็นอดีตเคจีบี ที่สำคัญยังเคยทำหน้าที่เป็นล่าม เรื่องภาษาสากลสำหรับคนประเภทนี้ ต้องถือว่าชิลด์ๆ... คนไปเรียนต่างประเทศแบบนายศิริโชค ที่กลับมาแล้วพยายามพูดไทยคำอังกฤษคำ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่านายบูทจริงๆหรือ???
งานนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องและบานปลายอย่างที่เห็น
เพราะนักการเมืองคลื่นลูกใหม่ไฟแรงอย่าง นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ไม่ตลกด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแค่เฉพาะประเทศรัสเซียเท่านั้น
แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็กระทบกระเทือนไปด้วยแล้ว
แถมรัสเซียยังมีการตั้งคำถามดังไปทั่วโลก ว่ามาตรฐานกฎหมายไทยเชื่อถือได้แค่ไหน มี 2 มาตรฐานหรือไม่???
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ รัฐสภา จึงอยู่เฉยไม่ได้
นี่คือสาเหตุที่นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต้องเข้าไปพบนายวิคเตอร์ บูท ที่เรือนจำ เพื่อซักถามข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าอะไรกันแน่
ขณะเดียวกันก็ต้องเชิญนายศิริโชค ให้ เข้าชี้แจงกรณีที่มุดคุกไปพบนายวิคเตอร์ บูท ด้วย
เพราะนายต่อพงษ์ ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เข้าพบนายบูทแล้ว แต่ได้รับข้อมูลต่างกัน โดยนายศิริโชค ชี้แจงว่า เป็นการทำหน้าที่ของส.ส. ที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่ในท่าทีและควมต้องการ ซึ่งตรงกันทั้งการบอกของนายบูท และการยอมรับของนายศิริโชค ก็คือ นายศิริโชคพยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างนายบูท กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้
รวมทั้งพยามหาจุดเชื่อมโยงว่าอาวุธที่จับได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่???
ส่วนจะมีการยื่นข้อเสนอใดๆหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยากจะมีใครยอมรับ เพราะลำพังแค่เข้าไปกับใคร หรือเข้าไปคนเดียว ประเด็นนี้ก็ยังซัดกันนัวอยู่เลย
ทั้งๆที่การขนอาวุธนั้นถูกจับได้เมื่อเดือนธ.ค.52 ก่อนที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ!!!
แถมนายจตุพร พรหมพันธ์ุ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ยังตั้งคำถามตรงๆว่า ถ้าแบบนี้ทำไมถึงไม่ยอมเพิ่มข้อกล่าวหาให้กับนายบูท แต่กลับปล่อยตัวลูกเรือจำนวน 5 คน คือชาวเบรารุส และชาวคาซัคสถานที่ถูกจับกุมพร้อมหลักฐานอาวุธชัดเจน แต่กลับจับกุมนายบูทไว้
และที่บอกว่ามีการนำอาวุธสงครามไปใช้การชุมนุมนั้น ไม่ทราบว่านายศิริโชคได้เห็นอาวุธหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามยาวเป็นเมตร จะไปใช้ในการชุมนุมได้อย่างไร?
เนื่องจากตอนนั้นภาพข่าวต่างๆมัชัดเจนว่าอาวุธที่จับได้ เป็นจรวดขีปนาวุธ โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงจรวดอาร์พีจี แต่อย่างใด
ก็เลยกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงระหว่างนายจตุพรกับนายศิริโชค กระทั่งนายเจริญ คันธวงศ์ ที่ปรึกษากมธ. ต่างประเทศ ได้กล่าวเตือนสติว่า อย่าใช้เวทีกมธ.ต่างประเทศเป็นเวทีโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ ขอวิงวอนให้อยู่ประเด็นและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
ซึ่งนายต่อพงษ์ ได้ให้แต่ละฝ่ายสรุป โดยนายจตุพร กล่าวสรุปว่า ถึงแม้ว่าตนจะไม่เปิดอภิปรายถึงนายศิริโชคเข้าพบนายบูท หรือสื่อมวลชนไม่เขียน ทางการรัสเซียก็รับรู้ได้ว่า ประเทศไทยกำลังทำอะไร ดังนั้นนายศิริโชคอย่าโทษบุคคลอื่น
และตนขอเรียกร้องให้กรรมาธิการหรือหน่วยงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง ขอให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อ เพราะสิ่งที่นายศิริโชคเปิดเผยในที่ประชุมนั้น ชัดเจนแล้วว่า มีความเชื่อมโยงการค้าอาวุธกับนายบูท ซึ่งนายศิริโชคที่ระบุว่า ทำเพื่อประเทศ ก็ต้องไปให้ปากคำที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำคดีเพิ่ม
หากนายศิริโชคไม่ดำเนินการใดๆ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตนจะติดตามดู
ด้านนายศิริโชค กล่าวว่า สิ่งที่ตนพยายามบอกวันนี้คือการเข้าไปพบนายบูทของกมธ.ต่างประเทศนั้น นายบูทไม่ได้บอกความจริงกับกมธ.ทั้งหมด ผมยืนยันว่าไปเอาข้อมูลเรื่องเครื่องบินที่ถูกจับ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงคดีของนายบูทอย่างที่ถูกกล่าวหา
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่จบง่ายๆแน่
ยิ่งนายวิคเตอร์ ได้พยายามยื่นหนังสือเป็นภาษาอังกฤษความยาว 5 หน้า ให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในการให้ข้อมูล แต่เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายทางกรมราชทัณฑ์ พิจารณาไม่ให้เปิดเผยหนังสือดังกล่าว
จึงยิ่งกลายเป็นปมประเด็นมากขึ้นไปอีก และก่อให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้นสำหรับสังคมไทย
งานนี้จึงต้องถือว่า นายศิริโชค โสภา เปลืองตัวอย่างที่สุด และพลอยทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องร้อนไปด้วย
เพราะนี่คือผลงานของวอลล์เปเปอร์ของนายอภิสิทธิ์นั่นเอง!!
ที่สำคัญหลังความจริงปรากฏ ไม่ใครก็ใครอาจจะต้องย้ายนิวาสถานกันบ้างก็ได้???
************************************************************
‘ต่อพงษ์’ลุยไม่เลิก... เกิดอะไรกับ ‘บูท’?
กลายเป็นหนังเรื่องยาวไปแล้ว กรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ดอดเข้าคุกเพื่อไปเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธที่เรือนจำบางขวาง
งานนี้แม้จะมีการพาดพิงไปถึงฮอลีวูด แต่เชื่อแน่นอนว่าทางฮอลีวูดคงไม่ใช้สิทธิพาดพิง และไม่เอาเรื่องราวของนักการเมืองไทยไปทำเป็นหนังอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้มีกลิ่นของการผิดศีลข้อ 4 ในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ สถานการณ์บ้านเมือง และกลไกอำนาจทางการเมืองมันผิดเพี้ยนไปหมด จากการที่มีกลุ่มขั้วอำนาจเข้ามาเล่นเกมยึดกุมอำนาจรัฐอย่างเห็นได้ชัด
ผิดก็ให้เป็นถูกได้ และแน่นอนที่คิดว่าถูกก็สามารถพลิกให้กลายเป็นผิดได้อย่างสบาย
สถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่า ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทย ยังต้องผจญวิบากกรรมอีกยาวไกล
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบแทนบุญคุณคนรอบข้างสารพัด ไล่มาตั้งแต่กลุ่มอำนาจ กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม กลุ่มแกนนำพันธมิตร กลุ่ม ส.ส. กลุ่มนักการเมือง... แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะเหลือความเป็นตัวของตัวเอง หรือเหลือสติสัมปชัญญะสักเท่าไร
ต่อให้เป็นนักเรียนนักศึกษาเรียนดีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็ตาม มาเจอสิ่งที่ในตำราไม่ได้เขียนไว้ ก็จอดไม่ต้องแจวเหมือนกัน
เพราะเมื่อติดหนี้บุญคุณที่สานฝันดันก้นให้เป็นนายกรัฐมนตรีทางลัด เมื่อทหารจะของบ หรือจะขอตำแหน่ง จะกล้าทัดทานได้หรือ
หรือเจอนักการเมืองที่เปลี่ยนสีประดุจเปลี่ยนกางเกงใน พร้อมจะกอดกับใครก็ได้ จะร้องห่มร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้... เมื่อติดบ่วงไปแล้ว ทุกวันนี้รู้ทั้งรู้ว่าค่ายนี้นิยมยัดโครงการ อภิมหาโปรเจกต์เข้ามาเป็นระยะๆ ในครม. ล้วนแล้วแต่หลักหมื่นหลักแสนล้านบาท แล้วจะทำอะไรได้
ได้แต่เล่นดึงเกมดึงเวลาประคองตัวไปวันๆ แต่ไม่กล้าที่จะหักกลางลำ ก็เลยต้องให้เก้าอี้บ้าง ให้โครงการเล็กๆบ้างเป็นน้ำจิ้มไปตามเกม
แต่ข้าราชการทั่วไปเขาไม่สนุกด้วยแน่ มีอย่างที่ไหน ถ้าโดนอันดับ 2 อันดับ 3 ลัดคิวข้ามหัว ยังพอกล้ำกลืนฝืนทน แต่นี่เลยเอาลำกับที่ 54 ข้ามหัวรวดเดียวมาอยู่หน้าลำดับที่ 1 จะไม่เจ็บปวดกระดองใจได้อย่างไร
เพราะบางคนตอนที่เด็กเส้นยังเป็นแค่นายอำเภออยู่เลยนั้น คนอื่นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว... ใครจะคิดว่า จะมีรายการนั่งเรือเหาะข้ามหัวกันได้ขนาดนี้
แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง อย่างนายศิริโชค ที่สื่อมวลชนอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยนายอภิสิทธิ์จะเสียภาพลักษณ์และเปลืองตัวโดยใช่เหตุ อุตส่าห์ตั้งฉายาให้นายศิริโชคแบบประชดประชันให้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชครู้ตัวว่า
“วอลล์เปเปอร์”
แทนที่จะสำนึกที่ไหนได้กลับยิ่งภูมิใจ เสนอหน้าใกล้ชิดได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีแม้แต่จะกระแอมไอสักนิดเพื่อห้ามปราม
แล้วจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าคงมีตำแหน่ง ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี... อะไรประมาณนั้นได้อย่างไร
แต่โบราณสอนไว้นานกาเล ว่าเลี้ยงหมาให้ระวังนะลูก หมาจะเลียปากเอา
วันนี้กรณีของนายศิริโชคที่มุดคุกบางขวาง จึงกลายเป็นประเด็นลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้เปื้อนไปด้วย
รู้เห็นเป็นใจหรือเปล่า??? ... ใช้ให้ไปหรือไม่???...
หรือว่าจริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายต้องพลอยโจนไปด้วย
งานนี้จึงทำให้พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเกมในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ยิ่งเมื่อจับพิรุธพูดไม่ตรงได้ทีละชอตทีละซีน สังคมยิ่งเหวอว่าอะไรกันนี่
เริ่มจากวันที่มุดเข้าคุก ทีแรกก็ว่าเข้าไปตามกระบวนการปกติ แต่มาเจอหลักฐานยันว่าเข้าไปในวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการที่ราชทัณฑ์ห้ามเยี่ยม... นั่นแสดงว่าจะต้องมีการใช้กำลังภายใน ใช้ความเป็นรัฐบาล ใช้ความเป็นคนใกล้ชิดนายกฯในการเปิดคุกให้เข้าไปใช่หรือไม่?
ต่อมาก็มาเจอประเด็น ว่าแนะนำตัวเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เพราะเวลาชี้แจงว่าไม่เข้าใจว่าไปทำไม ไปในฐานะอะไร ก็บอกว่าไปในฐานะ ส.ส. เพราะเห็นเป็นคดีดัง... ทั้งๆที่คดีอื่นที่ดังกว่านี้ มีอีกมากมาย ไม่เห็นคิดจะไป
ยิ่งทางซีกนายบูทยืนยันว่า มีการแนะนำตัววาเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีจริงๆ ไม่งั้นจะไปเอามาจากไหน นายศิริโชคก็ออกแบบสีข้างถลอกเลยว่า คงเป้นความเข้าใจผิดเพราะนายบูทไม่เข้าใจภาษา ก็เลยอาจจะไปแปลหรือสื่อความให้ภรรยาให้ทนายฟังผิด
คงลืมไปว่า วิคเตอร์ บูท นั้นเป็นนักค้าอาวุธ เป็นอดีตเคจีบี ที่สำคัญยังเคยทำหน้าที่เป็นล่าม เรื่องภาษาสากลสำหรับคนประเภทนี้ ต้องถือว่าชิลด์ๆ... คนไปเรียนต่างประเทศแบบนายศิริโชค ที่กลับมาแล้วพยายามพูดไทยคำอังกฤษคำ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่านายบูทจริงๆหรือ???
งานนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องและบานปลายอย่างที่เห็น
เพราะนักการเมืองคลื่นลูกใหม่ไฟแรงอย่าง นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ไม่ตลกด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแค่เฉพาะประเทศรัสเซียเท่านั้น
แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็กระทบกระเทือนไปด้วยแล้ว
แถมรัสเซียยังมีการตั้งคำถามดังไปทั่วโลก ว่ามาตรฐานกฎหมายไทยเชื่อถือได้แค่ไหน มี 2 มาตรฐานหรือไม่???
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ รัฐสภา จึงอยู่เฉยไม่ได้
นี่คือสาเหตุที่นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต้องเข้าไปพบนายวิคเตอร์ บูท ที่เรือนจำ เพื่อซักถามข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าอะไรกันแน่
ขณะเดียวกันก็ต้องเชิญนายศิริโชค ให้ เข้าชี้แจงกรณีที่มุดคุกไปพบนายวิคเตอร์ บูท ด้วย
เพราะนายต่อพงษ์ ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เข้าพบนายบูทแล้ว แต่ได้รับข้อมูลต่างกัน โดยนายศิริโชค ชี้แจงว่า เป็นการทำหน้าที่ของส.ส. ที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่ในท่าทีและควมต้องการ ซึ่งตรงกันทั้งการบอกของนายบูท และการยอมรับของนายศิริโชค ก็คือ นายศิริโชคพยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างนายบูท กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้
รวมทั้งพยามหาจุดเชื่อมโยงว่าอาวุธที่จับได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่???
ส่วนจะมีการยื่นข้อเสนอใดๆหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยากจะมีใครยอมรับ เพราะลำพังแค่เข้าไปกับใคร หรือเข้าไปคนเดียว ประเด็นนี้ก็ยังซัดกันนัวอยู่เลย
ทั้งๆที่การขนอาวุธนั้นถูกจับได้เมื่อเดือนธ.ค.52 ก่อนที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ!!!
แถมนายจตุพร พรหมพันธ์ุ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ยังตั้งคำถามตรงๆว่า ถ้าแบบนี้ทำไมถึงไม่ยอมเพิ่มข้อกล่าวหาให้กับนายบูท แต่กลับปล่อยตัวลูกเรือจำนวน 5 คน คือชาวเบรารุส และชาวคาซัคสถานที่ถูกจับกุมพร้อมหลักฐานอาวุธชัดเจน แต่กลับจับกุมนายบูทไว้
และที่บอกว่ามีการนำอาวุธสงครามไปใช้การชุมนุมนั้น ไม่ทราบว่านายศิริโชคได้เห็นอาวุธหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามยาวเป็นเมตร จะไปใช้ในการชุมนุมได้อย่างไร?
เนื่องจากตอนนั้นภาพข่าวต่างๆมัชัดเจนว่าอาวุธที่จับได้ เป็นจรวดขีปนาวุธ โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงจรวดอาร์พีจี แต่อย่างใด
ก็เลยกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงระหว่างนายจตุพรกับนายศิริโชค กระทั่งนายเจริญ คันธวงศ์ ที่ปรึกษากมธ. ต่างประเทศ ได้กล่าวเตือนสติว่า อย่าใช้เวทีกมธ.ต่างประเทศเป็นเวทีโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ ขอวิงวอนให้อยู่ประเด็นและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
ซึ่งนายต่อพงษ์ ได้ให้แต่ละฝ่ายสรุป โดยนายจตุพร กล่าวสรุปว่า ถึงแม้ว่าตนจะไม่เปิดอภิปรายถึงนายศิริโชคเข้าพบนายบูท หรือสื่อมวลชนไม่เขียน ทางการรัสเซียก็รับรู้ได้ว่า ประเทศไทยกำลังทำอะไร ดังนั้นนายศิริโชคอย่าโทษบุคคลอื่น
และตนขอเรียกร้องให้กรรมาธิการหรือหน่วยงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง ขอให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อ เพราะสิ่งที่นายศิริโชคเปิดเผยในที่ประชุมนั้น ชัดเจนแล้วว่า มีความเชื่อมโยงการค้าอาวุธกับนายบูท ซึ่งนายศิริโชคที่ระบุว่า ทำเพื่อประเทศ ก็ต้องไปให้ปากคำที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำคดีเพิ่ม
หากนายศิริโชคไม่ดำเนินการใดๆ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตนจะติดตามดู
ด้านนายศิริโชค กล่าวว่า สิ่งที่ตนพยายามบอกวันนี้คือการเข้าไปพบนายบูทของกมธ.ต่างประเทศนั้น นายบูทไม่ได้บอกความจริงกับกมธ.ทั้งหมด ผมยืนยันว่าไปเอาข้อมูลเรื่องเครื่องบินที่ถูกจับ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงคดีของนายบูทอย่างที่ถูกกล่าวหา
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่จบง่ายๆแน่
ยิ่งนายวิคเตอร์ ได้พยายามยื่นหนังสือเป็นภาษาอังกฤษความยาว 5 หน้า ให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในการให้ข้อมูล แต่เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายทางกรมราชทัณฑ์ พิจารณาไม่ให้เปิดเผยหนังสือดังกล่าว
จึงยิ่งกลายเป็นปมประเด็นมากขึ้นไปอีก และก่อให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้นสำหรับสังคมไทย
งานนี้จึงต้องถือว่า นายศิริโชค โสภา เปลืองตัวอย่างที่สุด และพลอยทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องร้อนไปด้วย
เพราะนี่คือผลงานของวอลล์เปเปอร์ของนายอภิสิทธิ์นั่นเอง!!
ที่สำคัญหลังความจริงปรากฏ ไม่ใครก็ใครอาจจะต้องย้ายนิวาสถานกันบ้างก็ได้???
************************************************************
กลุ่ม 9 ส.
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เมื่ออาทิตย์ก่อน อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ
เพิ่งจะมากล่าวปิดโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change) ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด
ปรากฏว่าถัดจากนั้นไม่กี่วันชื่อนายสมคิด ก็ปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ในฐานะคนที่ถูกผลักดันให้เป็นผู้นำการเมืองขั้วใหม่ที่ชื่อว่ากลุ่ม "9ส."
ต้นสายที่มาข่าวกลุ่ม "9ส." นี้
เป็นนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธานส.ส.พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นกับนักข่าวภายหลังการประชุมพรรคเมื่อวันอังคารว่า
ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ
คือมีนักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ลงเล่นการเมือง กำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ใช้ชื่อว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ
จุดประสงค์เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จากนั้นนักข่าวก็ไปขุดคุ้ยต่อจนได้ความมาว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ หรือที่เรียกเหมารวมว่ากลุ่ม 9 ส.
นอกจากนายสมคิดที่ได้รับผลักดันเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว
สมาชิก ส.ที่เหลือก็คือ สุวิทย์ คุณกิตติ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, สุรนันทน์ เวชชาชีวะ, สนธยา คุณปลื้ม, สรอรรถ กลิ่นประทุม, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
และส.พิเศษ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ รุ่งขึ้นนักข่าวต่างก็หาทางติดต่อสอบถามไปยัง 9 ส.
ปรากฏว่าส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธ แต่ก็มีบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้
ยอมรับว่ามีการนัดกินข้าวพูดคุยกันจริง แต่ครั้งละ 2-3 คนสลับหมุนวนกันไป ไม่ได้นัดรวมตัวกันครั้งเดียว 9 คนอย่างที่เข้าใจ
อีกทั้งเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันธรรมดา
ไม่ได้มีวาระจับขั้วตั้งกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด
เพราะเวลานี้แต่ละ ส. ก็มีทิศทางการทำงานของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว
บาง ส. ยังถือโอกาสวิเคราะห์ต่อท้ายด้วยว่า คนที่ออกมาปูดข่าวเรื่องนี้ก็เพื่อต้อนให้ทั้ง 9 ส. ออกมาปฏิเสธ
เป็นการดักทางกันไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้กลุ่ม 9 ส. เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ
เพราะหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ปลดล็อก" ปล่อย 111 คนออกจากกรงขังทางการเมืองขึ้นมาเมื่อไหร่
ชื่อของ "สมคิด" จะกลับมาขายดี
ยิ่งกว่าชื่อ "อภิสิทธิ์-เนวิน" แบบเห็นๆ
**********************************************************************
คอลัมน์ เหล็กใน
เมื่ออาทิตย์ก่อน อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ
เพิ่งจะมากล่าวปิดโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change) ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด
ปรากฏว่าถัดจากนั้นไม่กี่วันชื่อนายสมคิด ก็ปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ในฐานะคนที่ถูกผลักดันให้เป็นผู้นำการเมืองขั้วใหม่ที่ชื่อว่ากลุ่ม "9ส."
ต้นสายที่มาข่าวกลุ่ม "9ส." นี้
เป็นนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธานส.ส.พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นกับนักข่าวภายหลังการประชุมพรรคเมื่อวันอังคารว่า
ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ
คือมีนักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ลงเล่นการเมือง กำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ใช้ชื่อว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ
จุดประสงค์เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จากนั้นนักข่าวก็ไปขุดคุ้ยต่อจนได้ความมาว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ หรือที่เรียกเหมารวมว่ากลุ่ม 9 ส.
นอกจากนายสมคิดที่ได้รับผลักดันเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว
สมาชิก ส.ที่เหลือก็คือ สุวิทย์ คุณกิตติ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, สุรนันทน์ เวชชาชีวะ, สนธยา คุณปลื้ม, สรอรรถ กลิ่นประทุม, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
และส.พิเศษ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ รุ่งขึ้นนักข่าวต่างก็หาทางติดต่อสอบถามไปยัง 9 ส.
ปรากฏว่าส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธ แต่ก็มีบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้
ยอมรับว่ามีการนัดกินข้าวพูดคุยกันจริง แต่ครั้งละ 2-3 คนสลับหมุนวนกันไป ไม่ได้นัดรวมตัวกันครั้งเดียว 9 คนอย่างที่เข้าใจ
อีกทั้งเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันธรรมดา
ไม่ได้มีวาระจับขั้วตั้งกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด
เพราะเวลานี้แต่ละ ส. ก็มีทิศทางการทำงานของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว
บาง ส. ยังถือโอกาสวิเคราะห์ต่อท้ายด้วยว่า คนที่ออกมาปูดข่าวเรื่องนี้ก็เพื่อต้อนให้ทั้ง 9 ส. ออกมาปฏิเสธ
เป็นการดักทางกันไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้กลุ่ม 9 ส. เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ
เพราะหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ปลดล็อก" ปล่อย 111 คนออกจากกรงขังทางการเมืองขึ้นมาเมื่อไหร่
ชื่อของ "สมคิด" จะกลับมาขายดี
ยิ่งกว่าชื่อ "อภิสิทธิ์-เนวิน" แบบเห็นๆ
**********************************************************************
บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ศอฉ. สั่งตำรวจนนทบุรี บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ อายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ 282/4 หมู่ที่ 2 ซอยงามวงศ์วาน 27 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสาร เรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่าบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมาย ผิดตามพ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมากได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้น และยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
*******************************************************************
ศอฉ. สั่งตำรวจนนทบุรี บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ อายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ 282/4 หมู่ที่ 2 ซอยงามวงศ์วาน 27 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสาร เรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่าบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมาย ผิดตามพ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมากได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้น และยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
*******************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
'ยงยุทธ' แถลงลาออกพรรคเพื่อไทย บอกอย่าโยง 'ทักษิณ'
ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แถลงลาออกจากหัวพรรคแล้ว ระบุพรรคต้องปรับโครงสร้างรับเลือกตั้งต้องหาคนเหมาะสมมาบริหาร ยันยังช่วยงานพรรคตามเดิม 14 ก.ย. จะประชุม กก.บริหารพรรค
9 ก.ย. 2553 - สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค แถลงภายหลังการประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย วันนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า ได้ประกาศยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว แต่ยืนยันว่าจะช่วยพรรคทำงานตามเดิม
นายยงยุทธ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ระบุว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี ส.ส. และสมาชิกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทย มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว ได้ใช้ความรู้ความสมารถในเชิงบริหารสมควรแล้ว ดังนั้น ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีเศษ พรรคจึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหารการเลือกตั้ง พร้อมกับการมีคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรค เพื่อคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนจะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องหารือให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมพรรคก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรค
“อย่านำเรื่องการลาออกของผมไปโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้ามีการสั่งการมาจริง ผมก็จะรู้สึกไม่พอใจ” นายยงยุทธ กล่าว
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************************
9 ก.ย. 2553 - สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค แถลงภายหลังการประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย วันนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า ได้ประกาศยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว แต่ยืนยันว่าจะช่วยพรรคทำงานตามเดิม
นายยงยุทธ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ระบุว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี ส.ส. และสมาชิกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทย มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว ได้ใช้ความรู้ความสมารถในเชิงบริหารสมควรแล้ว ดังนั้น ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีเศษ พรรคจึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหารการเลือกตั้ง พร้อมกับการมีคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรค เพื่อคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนจะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องหารือให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมพรรคก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรค
“อย่านำเรื่องการลาออกของผมไปโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้ามีการสั่งการมาจริง ผมก็จะรู้สึกไม่พอใจ” นายยงยุทธ กล่าว
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************************
‘มาร์ค’ชิ่งเจรจาสร้างปรองดอง‘สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์’ไม่ใช่ตัวแทน
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“อภิสิทธิ์” ชิ่งหนีดื้อๆยืนยัน “สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์-บุรณัชย์” ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ในการเจรจาสร้างความปรองดองกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับมีการไปคุยกันจริงและได้รับรายงานหลังการพูดคุยบ้าง ย้ำคำเดิมจะปรองดองต้องร่วมมือปกป้องสถาบัน “สุเทพ” โบ้ยไม่เคยส่งใครไปคุยกับใครและไม่เคยรับรู้ว่าใครไปทำอะไร โฆษกประชาธิปัตย์ระบุไปรับฟังความเห็นมาหลายเวทีไม่ถือเป็นการเจรจาและไม่ใช่ความลับ “ทักษิณ” ให้เลิกรักษาฟอร์มเพิ่มความจริงใจเพื่อประโยชน์ชาติ วอนผู้สนับสนุนและคนรักประชาธิปไตยสนับสนุนแนวทางสร้างความสงบสุขให้บ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยส่งคนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ไปเจรจาทางลับกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับว่ามีคนของพรรคไปพูดคุยและมีการแจ้งให้ทราบหลังการเจรจา
“มาร์ค” อ้างไม่รู้ต้องคุยกับใคร
“เป็นการไปพูดคุยกันกว้างๆ เรื่องการเจรจาเป็นทางการไม่มีและไม่รู้ว่าหากจะเจรจาเป็นทางการจะต้องคุยกับใครในพรรคเพื่อไทย ผมขอย้ำว่าหากพรรคเพื่อไทยจริงใจจะเข้าสู่ขบวนการปรองดองก็ต้องให้ความร่วมมือในการปกป้องสถาบัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับฟังความคิดเห็นของนักสันติวิธีในหลายเวที ซึ่งเป็นการคุยอย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องลับอะไร ส่วนที่มีการอ้างชื่อย่อที่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูงมาเจรจาด้วยนั้นยืนยันได้ว่าไม่มี การพูดคุยทุกครั้งอยู่ที่เงื่อนไขความสมัครใจ
“เทพไท” จี้เพื่อไทยคุยกันให้รู้เรื่อง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แตกแยกเป็น 4 ฝ่ายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องการจะสร้างความปรองดองขอให้พรรคเพื่อไทยไปแก้ปัญหาแตกแยกในพรรคให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยแตกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สู้แล้วรวย กับกลุ่ม ส.ส. ที่ไม่ต้องการให้พรรคถูกคนเสื้อแดงครอบงำ
“สุเทพ” บอกไม่เคยรับรู้ใครไปทำอะไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยรับทราบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปเจรจากับใคร ที่ไหน อย่างไร และไม่เคยทราบเลยว่ามีคนของพรรคคนอื่นๆไปคุยกับคนของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยขอให้ยุติการกล่าวหาเรื่องล้มเจ้ากับก่อการร้ายก่อนการเจรจานั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน อะไรที่เป็นคดีความไปแล้วไม่สามารถที่จะไปยกเลิกได้ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย เช่นเดียวกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากเอาเรื่องเหล่านี้มาปะปนจะทำให้เจรจากันลำบาก
ชัดเจนมีการตั้งวงคุยกันมาหลายครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมเจรจากับตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย มาหลายครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว
“ทักษิณ” วอนผู้สนับสนุนหนุนปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์หลังจากไม่ได้สื่อสารผ่านช่องทางดังกล่าวมานาน โดยระบุว่า ขอให้ผู้ที่เป็นแนวร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและเพื่อความยุติธรรมของบ้านเมือง ร่วมสนับสนุนให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงในบ้านเมือง เพื่อให้เกิดการหยุดเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียวทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย
เสนอ 5 ข้อสู่ความปรองดอง
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอแนวทาง 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ประณามการก่อความไม่สงบและการสร้างสถานการณ์ใดๆเพื่อความสันติและความมั่นคงของชาติ 2.ประณามการแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์แห่งตน ตลอดจนประณามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพราะสถาบันทรงอยู่เหนือการเมือง
เลิกพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
3.ขอวิงวอนให้ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย เลิกรักษ์หน้ารักษ์ตาโดยพูดเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น หยุดพูดเพิ่มความขัดแย้ง ขอให้มองสู่อนาคตของชาติและลูกหลานร่วมกัน 4.ขอให้มีการเยียวยาแก่ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากความขัดแย้งครั้งนี้ทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งคนตาย บาดเจ็บ หรือบาดเจ็บสาหัสอย่างเหมาะสม 5.ขออย่าได้ห่วงเรื่องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะหนักหนากว่าใครแต่ก็ยังนับไม่ได้กับความบอบช้ำของบ้านเมืองและของประชาชนโดยรวม
เลิกรักษาฟอร์มจะปรองดองได้จริง
“ผมขอเป็นฝ่ายช่วยและสนับสนุนให้เกิดความปรองดองขึ้นจริง ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ออกมาขานรับการปรองดอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจที่เป็นกุศล มีเมตตา หยุดรักษาฟอร์ม ต้องทำจริง” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
ที่กองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานว่า ที่ประชุมหารือข้อห่วงใยเรื่องที่ยังมีบางกลุ่มให้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนกับประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งทหาร ตำรวจ ทำร้ายประชาชนในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา จึงขอยืนยันว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มุ่งทำร้ายประชาชน
ศอฉ. ยังไม่คิดเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เหลือ
“คดีความต่างๆได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว การเสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างความปรองดองนั้น ศอฉ. และรัฐบาลไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ปล่อยหรือจับกุมใคร” พ.อ.สรรเสริญกล่าวและว่า จะยังไม่มีการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ยังประกาศใช้อยู่ เพราะต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการระงับยับยั้งเหตุรุนแรง เพราะที่ผ่านมาแม้จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ยังมีการก่อเหตุเป็นระยะ ทั้งยิงเอ็ม 79 และวางระเบิด ส่วนความเห็นว่าให้ยกเลิกไปก่อนหากมีเหตุร้ายค่อยประกาศใช้ใหม่นั้น ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าหากทำอย่างนั้นจะยิ่งกระทบต่อภาพพจน์และความเชื่อมั่นต่อประเทศมากขึ้น
ห่วงคนเสื้อแดงวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
โฆษก ศอฉ. ย้ำว่า การเคลื่อนไหวต่างๆหากอยู่ในกรอบของกฎหมายสามารถทำได้ แต่บางเรื่องแม้จะอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ควรพิจารณาความเหมาะสมด้วย เช่น การนัดหมายนำดอกไม้ไปวางที่หน้าเรือนจำของคนเสื้อแดง เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล และยังส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจการค้าด้วย เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มนิ่ง การทำธุรกิจการค้ากำลังฟื้นตัว จึงไม่ควรทำอะไรให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกอีก
**********************************************************************
“อภิสิทธิ์” ชิ่งหนีดื้อๆยืนยัน “สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์-บุรณัชย์” ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ในการเจรจาสร้างความปรองดองกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับมีการไปคุยกันจริงและได้รับรายงานหลังการพูดคุยบ้าง ย้ำคำเดิมจะปรองดองต้องร่วมมือปกป้องสถาบัน “สุเทพ” โบ้ยไม่เคยส่งใครไปคุยกับใครและไม่เคยรับรู้ว่าใครไปทำอะไร โฆษกประชาธิปัตย์ระบุไปรับฟังความเห็นมาหลายเวทีไม่ถือเป็นการเจรจาและไม่ใช่ความลับ “ทักษิณ” ให้เลิกรักษาฟอร์มเพิ่มความจริงใจเพื่อประโยชน์ชาติ วอนผู้สนับสนุนและคนรักประชาธิปไตยสนับสนุนแนวทางสร้างความสงบสุขให้บ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยส่งคนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ไปเจรจาทางลับกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับว่ามีคนของพรรคไปพูดคุยและมีการแจ้งให้ทราบหลังการเจรจา
“มาร์ค” อ้างไม่รู้ต้องคุยกับใคร
“เป็นการไปพูดคุยกันกว้างๆ เรื่องการเจรจาเป็นทางการไม่มีและไม่รู้ว่าหากจะเจรจาเป็นทางการจะต้องคุยกับใครในพรรคเพื่อไทย ผมขอย้ำว่าหากพรรคเพื่อไทยจริงใจจะเข้าสู่ขบวนการปรองดองก็ต้องให้ความร่วมมือในการปกป้องสถาบัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับฟังความคิดเห็นของนักสันติวิธีในหลายเวที ซึ่งเป็นการคุยอย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องลับอะไร ส่วนที่มีการอ้างชื่อย่อที่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูงมาเจรจาด้วยนั้นยืนยันได้ว่าไม่มี การพูดคุยทุกครั้งอยู่ที่เงื่อนไขความสมัครใจ
“เทพไท” จี้เพื่อไทยคุยกันให้รู้เรื่อง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แตกแยกเป็น 4 ฝ่ายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องการจะสร้างความปรองดองขอให้พรรคเพื่อไทยไปแก้ปัญหาแตกแยกในพรรคให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยแตกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สู้แล้วรวย กับกลุ่ม ส.ส. ที่ไม่ต้องการให้พรรคถูกคนเสื้อแดงครอบงำ
“สุเทพ” บอกไม่เคยรับรู้ใครไปทำอะไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยรับทราบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปเจรจากับใคร ที่ไหน อย่างไร และไม่เคยทราบเลยว่ามีคนของพรรคคนอื่นๆไปคุยกับคนของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยขอให้ยุติการกล่าวหาเรื่องล้มเจ้ากับก่อการร้ายก่อนการเจรจานั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน อะไรที่เป็นคดีความไปแล้วไม่สามารถที่จะไปยกเลิกได้ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย เช่นเดียวกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากเอาเรื่องเหล่านี้มาปะปนจะทำให้เจรจากันลำบาก
ชัดเจนมีการตั้งวงคุยกันมาหลายครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมเจรจากับตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย มาหลายครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว
“ทักษิณ” วอนผู้สนับสนุนหนุนปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์หลังจากไม่ได้สื่อสารผ่านช่องทางดังกล่าวมานาน โดยระบุว่า ขอให้ผู้ที่เป็นแนวร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและเพื่อความยุติธรรมของบ้านเมือง ร่วมสนับสนุนให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงในบ้านเมือง เพื่อให้เกิดการหยุดเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียวทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย
เสนอ 5 ข้อสู่ความปรองดอง
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอแนวทาง 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ประณามการก่อความไม่สงบและการสร้างสถานการณ์ใดๆเพื่อความสันติและความมั่นคงของชาติ 2.ประณามการแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์แห่งตน ตลอดจนประณามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพราะสถาบันทรงอยู่เหนือการเมือง
เลิกพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
3.ขอวิงวอนให้ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย เลิกรักษ์หน้ารักษ์ตาโดยพูดเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น หยุดพูดเพิ่มความขัดแย้ง ขอให้มองสู่อนาคตของชาติและลูกหลานร่วมกัน 4.ขอให้มีการเยียวยาแก่ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากความขัดแย้งครั้งนี้ทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งคนตาย บาดเจ็บ หรือบาดเจ็บสาหัสอย่างเหมาะสม 5.ขออย่าได้ห่วงเรื่องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะหนักหนากว่าใครแต่ก็ยังนับไม่ได้กับความบอบช้ำของบ้านเมืองและของประชาชนโดยรวม
เลิกรักษาฟอร์มจะปรองดองได้จริง
“ผมขอเป็นฝ่ายช่วยและสนับสนุนให้เกิดความปรองดองขึ้นจริง ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ออกมาขานรับการปรองดอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจที่เป็นกุศล มีเมตตา หยุดรักษาฟอร์ม ต้องทำจริง” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
ที่กองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานว่า ที่ประชุมหารือข้อห่วงใยเรื่องที่ยังมีบางกลุ่มให้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนกับประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งทหาร ตำรวจ ทำร้ายประชาชนในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา จึงขอยืนยันว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มุ่งทำร้ายประชาชน
ศอฉ. ยังไม่คิดเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เหลือ
“คดีความต่างๆได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว การเสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างความปรองดองนั้น ศอฉ. และรัฐบาลไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ปล่อยหรือจับกุมใคร” พ.อ.สรรเสริญกล่าวและว่า จะยังไม่มีการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ยังประกาศใช้อยู่ เพราะต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการระงับยับยั้งเหตุรุนแรง เพราะที่ผ่านมาแม้จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ยังมีการก่อเหตุเป็นระยะ ทั้งยิงเอ็ม 79 และวางระเบิด ส่วนความเห็นว่าให้ยกเลิกไปก่อนหากมีเหตุร้ายค่อยประกาศใช้ใหม่นั้น ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าหากทำอย่างนั้นจะยิ่งกระทบต่อภาพพจน์และความเชื่อมั่นต่อประเทศมากขึ้น
ห่วงคนเสื้อแดงวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
โฆษก ศอฉ. ย้ำว่า การเคลื่อนไหวต่างๆหากอยู่ในกรอบของกฎหมายสามารถทำได้ แต่บางเรื่องแม้จะอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ควรพิจารณาความเหมาะสมด้วย เช่น การนัดหมายนำดอกไม้ไปวางที่หน้าเรือนจำของคนเสื้อแดง เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล และยังส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจการค้าด้วย เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มนิ่ง การทำธุรกิจการค้ากำลังฟื้นตัว จึงไม่ควรทำอะไรให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกอีก
**********************************************************************
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน! คาด"ยงยุทธ" ลาออกเปิดทาง"โกวิท"นั่งหน.พรรค "เนวิน" ฉุนข่าว"9 ส."ตั้งก๊กใหม่
มติชนออนไลน์
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน 11โมง "ยงยุทธ"ขอลาออกยกเก้าอี้ให้"โกวิท"
มีรายงานข่าวว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นัดกรรมการบริหารพรรคประชุมด่วน เพื่อแจ้งข่าวการลาออกจากตำแหน่งในวันนี้(9 ก.ย.) เวลา 11.00 น. ระบุว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน ซึ่งพรรคจะประชุมใหญ่วิสามัญคัดเลือกในวันที่ 14 ก.ย.นี้
"บุญจง"ยันไม่มี "9 ส."ร่วมกลุ่มใหม่แยกวงตั้งพรรคใหม่
ทางด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าว "8 ส. และ 1 ส.พิเศษ"เคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นหัวหน้ากลุ่ม ว่า ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่า เรื่องที่ปรากฏในข่าวไม่เป็นความจริง ไม่มี ส.สมคิด มาเป็นหัวหน้าพรรค หรือหัวหน้ากลุ่ม ขณะนี้ ส.ส.และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ยังมีความเป็นเอกภาพเหมือนเดิม ส่วนบุคคลบ้านเลขที่ 111 อาจนัดรับประทานอาหารกันบ้าง แต่ไม่มีการทาบทามเรื่องอะไร
สะพัด"ยงยุทธ"ลาออกหน.พรรคพท. "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ"นั่งแทน
ค่ำวันที่ 8 กันยายน มีกระแสข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.)ระบุว่า ในวันที่ 9 กันยายน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจจะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 14 กันยายน เพื่อให้ที่ประชุมรับรองผล สาเหตุที่มีการเสนอชื่อ พล.อ.โกวิทมาแทน เพราะผู้ใหญ่ในพรรคต้องการยืนยันให้เห็นว่า พรรคมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทาบทาม พล.ต.อ.โกวิทด้วยตัวเอง
"เนวิน"ฉุน"ประจักษ์"เฉ่งข้ามประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธาน ส.ส.ภท. เปิดเผยความเคลื่อนไหว ของกลุ่ม 9 ส. ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จำนวน 8 ส. และ ส.พิเศษอีก 1 ส. นั้น ทำให้นายเนวิน แกนนำ ภท.ที่อยู่ประเทศอังกฤษ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และโทรศัพท์ต่อว่านายประจักษ์อย่างรุนแรง โดยนายประจักษ์เปิดเผยว่า ชี้แจงให้นายเนวินทราบแล้วว่า เรื่อง 9 ส. ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ ภท.และตนไม่ได้พูดว่าจะมาร่วมงานกับ ภท.
"เป็นเพียงการวิเคราะห์อนาคตทางการเมือง หากมีการปลดล็อคสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม 8 ส. กับอีก 1 ส.พิเศษ หากรวมตัวกันจะมีอำนาจมหาศาลจนสามารถพลิกโฉมหน้าและประวัติศาสตร์การเมืองรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต และไม่เคยบอกว่าจะให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นหัวหน้า ภท. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายเนวินไม่พอใจ" นายประจักษ์ระบุ
************************************************************************
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน 11โมง "ยงยุทธ"ขอลาออกยกเก้าอี้ให้"โกวิท"
มีรายงานข่าวว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นัดกรรมการบริหารพรรคประชุมด่วน เพื่อแจ้งข่าวการลาออกจากตำแหน่งในวันนี้(9 ก.ย.) เวลา 11.00 น. ระบุว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน ซึ่งพรรคจะประชุมใหญ่วิสามัญคัดเลือกในวันที่ 14 ก.ย.นี้
"บุญจง"ยันไม่มี "9 ส."ร่วมกลุ่มใหม่แยกวงตั้งพรรคใหม่
ทางด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าว "8 ส. และ 1 ส.พิเศษ"เคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นหัวหน้ากลุ่ม ว่า ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่า เรื่องที่ปรากฏในข่าวไม่เป็นความจริง ไม่มี ส.สมคิด มาเป็นหัวหน้าพรรค หรือหัวหน้ากลุ่ม ขณะนี้ ส.ส.และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ยังมีความเป็นเอกภาพเหมือนเดิม ส่วนบุคคลบ้านเลขที่ 111 อาจนัดรับประทานอาหารกันบ้าง แต่ไม่มีการทาบทามเรื่องอะไร
สะพัด"ยงยุทธ"ลาออกหน.พรรคพท. "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ"นั่งแทน
ค่ำวันที่ 8 กันยายน มีกระแสข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.)ระบุว่า ในวันที่ 9 กันยายน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจจะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 14 กันยายน เพื่อให้ที่ประชุมรับรองผล สาเหตุที่มีการเสนอชื่อ พล.อ.โกวิทมาแทน เพราะผู้ใหญ่ในพรรคต้องการยืนยันให้เห็นว่า พรรคมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทาบทาม พล.ต.อ.โกวิทด้วยตัวเอง
"เนวิน"ฉุน"ประจักษ์"เฉ่งข้ามประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธาน ส.ส.ภท. เปิดเผยความเคลื่อนไหว ของกลุ่ม 9 ส. ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จำนวน 8 ส. และ ส.พิเศษอีก 1 ส. นั้น ทำให้นายเนวิน แกนนำ ภท.ที่อยู่ประเทศอังกฤษ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และโทรศัพท์ต่อว่านายประจักษ์อย่างรุนแรง โดยนายประจักษ์เปิดเผยว่า ชี้แจงให้นายเนวินทราบแล้วว่า เรื่อง 9 ส. ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ ภท.และตนไม่ได้พูดว่าจะมาร่วมงานกับ ภท.
"เป็นเพียงการวิเคราะห์อนาคตทางการเมือง หากมีการปลดล็อคสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม 8 ส. กับอีก 1 ส.พิเศษ หากรวมตัวกันจะมีอำนาจมหาศาลจนสามารถพลิกโฉมหน้าและประวัติศาสตร์การเมืองรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต และไม่เคยบอกว่าจะให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นหัวหน้า ภท. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายเนวินไม่พอใจ" นายประจักษ์ระบุ
************************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)