--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดาบ

เมื่อใดที่ผู้มีอำนาจ ใช้ดาบปกครองประชาชน..เมื่อนั้นที่นั่นก็ไม่ใช่แผ่นดินแห่งความผาสุก

เพราะ..ดาบ..คือเครื่องมือของการกดขี่..ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีแรงต้าน..

ว่ากันว่า....โลกไม่ต้องใช้อำนาจของศาสตรา..ว่ากันอีกว่า ดาบนั้นย่อม ต้องคืนสนองอยู่เสมอ...หนามชัฏย่อมงอกงามตามมา ในที่ที่กองทัพเคยตั้ง อยู่ ในทุกหน้าประวัติศาสตร์..อ่านกันมาได้เช่นนี้

ผู้ยินดีในการฆ่า..จะไม่รุ่งเรือง

เพราะ..ฉากสังหารที่ยังฝังใจ.. อาจจะเป็นเพราะหวาดหวั่น..กับฉาก สังหารที่ไม่สามารถควบคุมรายละเอียด ได้..ทำให้..รัฐบาลที่ยังเป็นรัฐบาล ไม่กล้าวางดาบแห่งอำนาจ..

แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ..ในที่ สุดท่านก็ต้องวางดาบทุกเล่มลงกับพื้น.. ไม่ว่าช้าหรือเร็วยิ่งวางช้า..ท่านก็จะยิ่งถูกท้าทาย มากขึ้น..ยิ่งวางช้า...ท่านก็จะยิ่งอับอาย เพิ่มขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------------------------------------

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปฏิรูปสื่อ (1)

กระแสทรรศน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน

น่าแปลกใจที่ในความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหลาย รัฐบาลนี้รวมเอาการปฏิรูปสื่อไว้ด้วย

รัฐมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้สื่อไร้คุณภาพ ไม่เฉพาะแต่ในสังคมไทย แต่ในอีกหลายสังคมทั่วโลก ในเมืองไทยเวลานี้ เสรีภาพของสื่อถูกลิดรอนอย่างร้ายกาจ ด้วย พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลคงมองไม่เห็นเป็นธรรมดา แต่สื่อเองเล่า มองเห็นหรือไม่ และถ้ามองเห็น จะร่วมมือกับรัฐบาลชุดที่ลิดรอนเสรีภาพของตนอย่างร้ายกาจนี้ได้ลงคอหรือ

เราน่าจะเริ่มต้นคิดจากปัญหาของสื่อเวลานี้ว่าคืออะไร ใครจะเป็นผู้นำการปฏิรูป และจะปฏิรูปอย่างไร แน่นอนว่าคำตอบของสื่อซึ่งกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว คงมีหลายอย่างหลายประการ แต่หากจะมองคำถามนี้จากสังคม และให้สังคมเป็นผู้ตอบ ก็คงได้คำตอบที่ต่างกันมาก

ผมจะพยายามมองปัญหาของสื่อปัจจุบันจากสังคม

ในสังคมที่ใหญ่ซับซ้อนอย่างสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลไม่ได้เปิดกว้างให้แก่ทุกคน อย่างในชุมชนหมู่บ้านโบราณ ในทุกสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลล้วนมีช่วงชั้น (hierachy) หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง อะไรจะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว ถูกกำหนดขึ้นโดยพีระมิดของการไหลเวียนอันหนึ่ง อำนาจในการกำกับไหลเวียนกระจุกตัวอยู่กับคนจำนวนน้อยข้างบน แล้วก็ค่อยๆ ทอนลงมาข้างล่างตามลำดับ จนถึงคนส่วนใหญ่ข้างล่าง แทบไม่มีอำนาจอะไรในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเลย

ในเมืองไทย คนจำนวนน้อยที่อยู่สุดยอดพีระมิดนั้นประกอบด้วยใครและอะไรบ้าง

รัฐ ซึ่งใช้ในที่นี้ให้รวมถึงตัวละครทางการเมืองทั้งหมด นักการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งแน่นอน แต่นอกจากนักการเมืองยังมีระบบราชการซึ่งเป็นผู้สร้าง "ข่าว" (หรือญัตติสาธารณะ) ที่ใหญ่มากในเมืองไทย เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในโลก นอกจากนี้ก็มี "นักวิชาการ" ทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นสถาบัน ก็ได้เปิดพื้นที่ให้ตนเองในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวมากขึ้นตามลำดับ และยังรวมถึงสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มบุคคลและสถาบันที่รวมกันเป็น "ชนชั้นนำ" ของประเทศนั่นเอง

ทุน ได้เข้ามามีส่วนในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล ทั้งโดยเปิดเผยผ่านองค์กรของตนเอง และโดยลับๆ ผ่านการกดดันสื่อในฐานะผู้ลงโฆษณา หรือผ่านการ "ซื้อตัว" ผู้ทำสื่อ

เมื่อพูดถึงทุนก็ต้องพูดถึงเจ้าของสื่อด้วย เพราะสื่อกระแสหลักในทุกวันนี้เป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แม้ว่าสื่อจำนวนมากได้จดทะเบียนธุรกิจของตนในตลาดหลักทรัพย์ แต่หุ้นก็ยังกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ราย ฉะนั้น เจ้าของสื่อจึงมีอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารในสื่อของตนอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่นักการเมืองมักพยายามใกล้ชิดกับเจ้าของสื่อ

นอกจากบุคคลแล้ว กึ๋นของคนทำสื่อก็มีส่วนอย่างมากในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เช่นนักข่าวไม่มีกึ๋นพอที่จะรายงานความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิด "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าว ได้แต่รายงานข่าว "ปรากฏการณ์" ไปวันๆ คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่สามารถสร้าง "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าวได้ จึงถูกตัดออกไปจาก "ข่าว" ที่ผู้รับสื่อจะได้รับเป็นธรรมดา

ข่าวสารข้อมูลภายใต้โครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเช่นนี้ จึงมีลักษณะไหลจากบนลงล่างเสมอ และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

แม้ไม่มีกฎหมายสักฉบับ (รวมทั้ง พ.ร.ก.การบริหารราชการฯด้วย) ที่ลิดรอนเสรีภาพของสื่อ โดยโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังกล่าว ก็เกิดการเซ็นเซอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเซ็นเซอร์ตามบัญชาของโครงสร้าง และเซ็นเซอร์ตนเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งของสื่อและคนทำสื่อ

ขอยกตัวอย่างรูปธรรม เช่น เวลาผ่านไปหลังการสังหารหมู่กลางเมืองไปเกือบสามเดือนแล้ว ในขณะที่การทำข่าวเจาะลึกเหตุการณ์ในหลายมิติได้มีการรายงานในสื่อต่างชาติมากขึ้น สื่อกระแสหลักไทยยังไม่ได้ขยับที่จะเจาะลึกเรื่องนี้สักชิ้นเดียว พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างเดียวอธิบายการละเลยหน้าที่อย่างน่าละอายนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลที่อ่อนแอด้านความชอบธรรมเช่นรัฐบาลนี้ ย่อมไม่กล้าพอจะปิดสื่อใดด้วยข้อหาก่อการร้ายอย่างแน่นอน อย่างมากก็ได้แต่ส่งหนังสือเตือนซึ่งจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ แต่เพราะสื่อเป็นธุรกิจ การเจาะข่าวเรื่องนี้ไม่ทำให้เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดได้มากนัก หรือได้ไม่คุ้มกับความเสี่ยงด้านอื่น นับตั้งแต่การถูกรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณา ไม่เป็นที่พอใจของพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่มีและไม่คิดสร้างกึ๋นของนักข่าวให้มากพอจะเจาะลึกได้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลมาจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลที่ได้กล่าวแล้วนั่นเอง

โครงสร้างเช่นนี้ ทิ้งใครไว้นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลบ้าง คำตอบคือคนส่วนใหญ่ เช่นประชาชนระดับล่างซึ่งไม่ใช่ลูกค้าทั้งของสื่อและของโฆษณาในสื่อ พวกเขาไม่สามารถสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นการเดินขบวนยึดท้องถนนในกรุงเทพฯ ในขณะที่ข่าวสารข้อมูลที่ไหลเวียนในสังคมนั้น ไม่ได้รวมเอามุมมองของเขาไว้ด้วยเลย ผู้ปลูกกระเทียมก็อยากต่อรองเหมือนผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในการทำเอฟทีเอเช่นกัน แต่เพราะเขาอยู่นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เขาจึงไม่มีพื้นที่

ความไม่สนใจของสื่อกระแสหลักที่จะทำข่าวเจาะหรือข่าวสืบสวน ทำให้สังคมไม่มีทางเข้าใจความเชื่อมโยงของคนกลุ่มนี้กับนโยบายสาธารณะ หรือ "ปรากฏการณ์" ระดับต่างๆ ที่เป็นข่าวได้

ดังนั้น การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลในสังคมไทย จึงไม่เคยมีการไหลขึ้นจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบนเลย

ผมคิดว่า นี่คือปัญหาใหญ่ของสื่อกระแสหลักในประเทศไทย หากจะมีการปฏิรูปสื่อโดยไม่เข้าไปจัดการกับปัญหานี้ ก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย และรัฐเพียงอย่างเดียว ไม่พอที่จะทำอะไรได้มากนัก

ข้อบกพร่องที่เกิดจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังที่กล่าวข้างต้นนั้น หลายอย่างด้วยกันเป็นเรื่องที่เกิดในสังคมอื่นๆ เช่นเดียวกัน และมีความพยายามหลากหลายรูปแบบในโลก ที่พยายามจะแก้ปัญหานี้ (อันเราอาจเรียนรู้ได้)

ทางออกโดยสรุปก็คือ การสร้างทางไหลขึ้นของวงจรไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล

สิ่งหนึ่งที่ทำกันมาก ทั้งในต่างประเทศและในไทย ก็คือการใช้สื่อทางเลือกที่มีขนาดเล็ก ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการได้ง่าย (จึงเกิดอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลมากขึ้น)

สื่อทางเลือกที่ใช้กันมากคือสื่อ "ออนไลน์" ทั้งหลาย ศักยภาพของสื่อประเภทนี้มีสูงมาก สำนักข่าวอัลจาห์ซีราเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ประสบความสำเร็จในการสร้างสมดุลของข่าว จากที่เคยถูกครอบงำโดยสำนักข่าวตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว และความสำเร็จที่สำคัญไม่แพ้กัน คือสามารถเชื่อมโยงกับสื่อกระแสหลักได้ เพราะกลายเป็นแหล่งข่าวที่สื่อกระแสหลักในหลายสังคมต้องรวมไว้ในการรายงานข่าวของตนด้วย

ในเมืองไทย เว็บไซต์ เช่น ประชาไท, ไทยอีนิวส์ ฯลฯ สร้างความสมดุลของข่าวได้มากขึ้น และค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น ยิ่งในช่วงที่ข่าวสารข้อมูลถูกปิดกั้น เว็บไซต์เหล่านี้ก็ยิ่งมีผู้นิยมอ่านหรือดูมาก เช่นเดียวกับ ASTV และทีวีของฝ่ายเสื้อแดง

แต่น่าเสียดายที่การเติบโตของสื่อทางเลือกเช่นนี้ในเมืองไทย กลับถูกขวางกั้นด้วย พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (บวกกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปัจจุบัน) โอกาสที่จะค้นหาศักยภาพของสื่อทางเลือก เพื่อทำให้วงจรการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลได้มีส่วนไหลจากข้างล่างขึ้นบน จึงเหลือแคบลง (โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าหน้าด้านเกินไปที่จะพูดถึงการปฏิรูปสื่อ ท่ามกลาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)

ในทางตรงกันข้าม จนถึงนาทีนี้ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อกระแสหลักมีความสำคัญ เพราะมีผู้รับข่าวสารข้อมูลผ่านสื่อประเภทนี้อยู่มากในเมืองไทย (รวมวิทยุและทีวีด้วย) ฉะนั้น การปฏิรูปสื่อจึงต้องหมายรวมถึงการเชื่อมโยงสื่อทางเลือกกับสื่อกระแสหลักเข้าหากันได้ด้วย (ดังเช่นความสำเร็จของอัลจาห์ซีรา)

ในเมืองไทย มีความพยายามไปในทิศทางนี้อยู่บ้าง ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจคือการเพาะ "นักข่าวพลเมือง" ของทีวีไทย ซึ่งได้เปิดอบรมการทำข่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้ข่าวซึ่งประชาชนทำได้ออกอากาศ

แต่นี่เป็นความพยายามที่ไม่นำไปสู่อะไรได้มากนัก อยู่ที่ว่าจะให้เวลาได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ที่น่าจะทำมากกว่าก็คือการทำให้นักข่าวพลเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำข่าวของสถานี (ไม่ใช่ได้เวลาปิดท้ายข่าว 3 นาที) ทางสำนักข่าวของสถานีต้องมีโจทย์อยู่ในใจ สามารถติดต่อนักข่าวพลเมืองได้ทันที เมื่อต้องการได้ภาพและรายงานข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั่วประเทศไทย สถานีมีหน้าที่เลือกสรรคลิปที่ส่งเข้ามา และรวบรวมจนเป็นประเด็น "ข่าว" ขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างเช่นการจัดการน้ำโดยชุมชน สถานีอาจรับคลิปวิดีโอจากนักข่าวพลเมืองทั่วประเทศ แล้วสร้าง "ข่าว" ขึ้นจากคลิปเหล่านี้ แน่นอนต้องรวมถึงจากการบ้านที่สถานีต้องทำ ทั้งผ่านเอกสารและการสัมภาษณ์บุคคล จนเกิดความกระจ่างแจ้งและเป็นความรู้แก่สาธารณชน

หากโจทย์ของการปฏิรูปสื่อคือโครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เส้นทางปฏิรูปควรเป็นอย่างไร?

ผมขอพักเรื่องนี้ไปต่อในสัปดาห์หน้า

........................................................................

เปิดขุมทรัพย์ล่าสุด 7อรหันต์ กทช. ฮือฮาหลังบ้าน กก.ป้ายแดงตุนอื้อ"หุ้น 51บริษัท-พันธบัตร" 130 ล้าน

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดขุมทรัพย์ล่าสุด 7 อรหันต์ กทช. ฮือฮาหลังบ้าน พนา ทองมีอาคม กก.ป้ายแดงรวยอื้อ ตุนเงินลงทุน 51 บริษัท-แถมพันธบัตร" 130 ล้าน

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ที่รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 จำนวน 4 คน (แทนกรรมการ กทช.ที่จับฉลากออก) ประกอบด้วย นายพนา ทองมีอาคม พ.อ.ทนี ศุกลรัตน์ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยากำจร และนายบัณฑูร สุภัควณิช แต่ละคนมีทรัพย์สินดังนี้

นายพนา ทองมีอาคม แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 103,497,512 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 12,216,511 บาท เงินลงทุน 2,186,072 บาท ที่ดิน 3 แปลง 27,750,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 หลัง 58,349,428 บาท ไม่มีหนี้สิน

นางอรทัย คู่สมรส มีทรัพย์สิน 23,8791,298 บาท แบ่งเป็น เงินสด 6,817,205 บาท เงินลงทุน 130,595,694 บาท (เงินลงทุนพันธบัตร 52.5 ล้านบาท -พันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2552 จำนวน 50 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ปี 2548 5 แสนบาท พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 2 ล้านบาท-เงินลงทุนอื่นประมาณ 51 บริษัท ) ที่ดิน 38 แปลง 98,198,899 บาท รถยนต์ 360,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,819,500 บาท ไม่มีหนี้สิน บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 998,429 บาท
รวม 343,287,240 บาท

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ มีทรัพย์สิน 14,297,731 บาท แบ่งเป็นเงินสด 200,000 บาท เงินฝาก 2,338,232 บาท เงินลงทุน 2,244,407 บาท ที่ดิน 2 แปลง 4,515,000 บาท บ้าน 5,000,000 บาท

ร.ต.ท.หญิง สิริเพ็ญ คู่สมรส (กรรมการผู้จัดการบริษัท นีน่าไทย อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต จำกัด) มีทรัพย์สิน 16,090,787 บาท แบ่งเป็นเงินสด 250,000 บาท เงินฝาก 543,183 บาท เงินลงทุน 140,000 บาท ที่ดิน 7 แปลง 4,407,500 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 6,185,000 บาท รถยนต์ 800,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 3,765,000 บาท หนี้สิน 3,100,000 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 273,232 บาท
รวม 30,661,751 บาท

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร มีทรัพย์สิน 16474869 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 3,630,839 บาท เงินลงทุน 4,471,750 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,092,000 บาท รถยนต์ 5,480,280 บาท สิทธิสัมปทาน 800,000 บาท หนี้สิน 3,772,330 บาท

นางรัชนี กัลยาณคุณาวุฒิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 5,622,622 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 152,250 บาท เงินลงทุน 1,163,830 บาท ที่ดิน 4 แปลง 3,000,000 บาท รถยนต์ 1,306,542 บาท หนี้สิน 430,000 บาท
รวม 22,097,491 บาท

นายบัณฑูร สุภัควณิช (หย่า) มีทรัพย์สิน 14,750,222 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 3,650,222 บาท เงินลงทุน 900,000 บาท ที่ดิน 11 แปลง 16-2-53 ไร่ มูลค่า 610,0000 บาท บ้าน 3,300,000 บาท สิทธิสัมปทาน(ประกันชีวิต) 800,000 บาท หนี้สิน 2,350,878 บาท

ส่วน กทช.จำนวน 3 คนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547

นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ มีทรัพย์สิน 5,237,955 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 405,302 บาท เงินลงทุน 132,652 บาท (บริษัทเงินทุนอุตสาหกรรม 104152 บาท หุ้น บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 12,500 หุ้น บมจ.ศุภาลัย 16,000 หุ้น ) ที่ดิน 1 แปลง 0-0-62 ไร่ 3,000,000 บาท รถยนต์ 2 คัน 1,500,000 บาท หนี้สิน 9,465 บาท

นางญาดา ประพิณมงคลการ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 26,545,303 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,854,892 บาท เงินลงทุน 26 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม เอ็มเอฟซี 10,000 หุ้น , บมจ. กรุงเทพผลิตเหล็ก 3,000 หุ้น ,บมจ.เชงกรี-ลา โฮเต็ล 100 หุ้น ,บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 25,000 หุ้น , บมจ.ไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอม มิวนิเคชั่น 4,875 หุ้น ,บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม 3,110 หุ้น , บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ 2,500 หุ้น ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 322 หุ้น ,บมจ.ไทยฟิลาเท็กซ์ 18,000 หุ้น , ธนาคารกสิกรไทย 6920 หุ้น ,บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ 740 หุ้น ธนาคารทหารไทย 52,210 หุ้น ,บมจ.ปากพนังห้องเย็น 150 หุ้น ,บริษัท บางกอกดาต้าคอม 32,300 หุ้น ,บมจ.ยูไนเต็ดคอมมูเนเคชั่น 200 หุ้น ,บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก 250 หุ้น ,บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ 400 หุ้น ,บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี 400 หุ้น ,บมจ.ล็อกซ์เลย์ 1,500 หุ้น ,บมจ. อาร์ ซี เอ 26 หุ้น ,บมจ.อิตาเลี่ยนไทย 300 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เฟล็กซิเบิลฟันด์ 5,000 หุ้น ,กองทุนเปิด ทรัพย์อนันต์ 6,000 หุ้น กองทุนเปิด ยูไนเต็ดฟันด์ 1,000 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี

4,989,701 หุ้น ,กองทุนรวม เอ็มเอฟซีสปอทสี่ 20,000 หุ้น ที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 6-0-1 ไร่ มูลค่า 5,802,250 บาท บ้าน 2 หลัง 14,300,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
รวม 2 คนมีทรัพย์สิน 31,783,258 บาท

นายสุธรรม อยู่ในธรรม (ไม่มีคู่สมรส) มีทรัพย์สิน 13,635,878 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 10,099,223 บาท เงินลงทุน 2,806,654 บาท ได้แก่ สลากออมสิน ธนโชค 2,320,000 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ 286,654 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง 200,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 730,000 บาท หนี้สิน 443,338 บาท

นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ มีทรัพย์สิน 3,577,694 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 580825 บาท ที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 0-0-95 ไร่ มูลค่า 1,350,000 บาท บ้าน 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 2,045,208 บาท

นางวันเพ็ญ สุชาติเวชภูมิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 3,648,234 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 511,365 บาท ที่ดิน 3 แปลง เนื้อที่ 2-1-53 ไร่ มูลค่า 1,490,000 บาท บ้านอาศัย 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 1,889,208 บาท
รวม 2 คน 7,225,928 บาท

เบ็ดเสร็จทั้ง 7 คน มีทรัพย์สินประมาณ 463.1 ล้านบาท

***************************************************************************************

‘จิ้น’ฮึด ‘มาร์ค’สวน!

ชวรัตน์-อภิสิทธิ์ -โสภณ
บาดแผลรถเมล์เช่า4พันคัน

แน่นอนว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงปัญหาโครงการรถเมล์ 4,000 คัน ว่าเป็นโครงการที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า เป็นโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังมีข้อสงสัย ความไม่มั่นใจในเรื่องของความโปร่งใส

ทำให้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ยังคงตีกลับ ก็เพราะ 3 ประเด็นหลัก ๆ ประเด็นแรกคือ การเอาระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพื่อการประหยัด และนำไปสู่การลดการขาดทุนของ ขสมก. ได้ ก็ต้องมีการลดพนักงาน แต่ปัญหาคือ ขณะนี้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดยังไม่เป็นไปตามเป้า ฉะนั้นต้องกลับไปทำตัวเลขมาให้ชัดเจนใหม่ ว่าสมควรเดินหน้าในลักษณะไหนอย่างไร

ประเด็นที่ 2 ปัจจุบันมีรถเมล์ฟรีวิ่งอยู่ 800 คัน และมีการต่ออายุไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม จึงจำเป็นต้องมาพิจารณาว่า จะดำเนินการโครงการนี้อย่างต่อเนื่องหรือไม่

ประเด็นที่ 3 การปรับระบบในเรื่องของการวิ่งรถทั้งหมด ย่อมไปกระทบกับรถซึ่งเป็นรถของภาคเอกชนหรือรถร่วมบริการ ซึ่งตรงนี้มีข้อเสนอเข้ามา แต่ยังไม่ได้มีการวิเคราะห์กันอย่างชัดแจ้งว่า ในที่สุดแล้วกติกาการทำงานกับภาคเอกชนที่เข้ามารับสัมปทานหรือวิ่งรถร่วม จะเป็นอย่างไร

“ก่อนที่รัฐบาลจะอนุมัติโครงการนี้ จะให้ความมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ในทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นแน่นอนที่สุดคือ ความโปร่งใสที่เกิดขึ้นในโครงการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า เป็นการเปิดหน้าชนกันแบบไม่ต้องรักษาหน้าหรือใส่หน้ากากกันอีกแล้ว
เพราะนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงกับตั้งคำถามในที่ประชุม ครม. ว่า วันนี้เรื่องเดินมาถึงจุดที่ว่า 1. คุณมีความตั้งใจจะทำโครงการนี้แค่ไหน 2. โครงการนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสามารถจะทำได้จริงหรือไม่ และ 3. ถ้าไม่มีความตั้งใจจริง หรือไม่มีความสามารถที่จะทำ มันมีโครงการอื่นที่จะทดแทนได้หรือไม่

ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่ได้ขัดข้องการเดินหน้าโครงการ เพราะครม. ก็อนุมัติหลักการไปแล้ว ส่วนข้อสังเกตต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นข้อสังเกตเดิมๆ ไม่ใช่การแตกประเด็นใหม่ แต่กระทรวงคมนาคมเองที่ตอบไม่เคลียร์ จึงอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง

ทำให้นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
“ครั้งก่อน ครม. ให้ไปศึกษา กว่าจะกลับมาอีกทีก็ปีกว่า เวลาผ่านไป 1 วัน ขสมก. ขาดทุน 7 ล้าน เราเป็น ครม. มาปีเศษ ขสมก. มีหนี้เพิ่ม 1-2 พันล้าน เพราะมัวแต่รีๆ รอๆ กันอยู่ ไม่กล้าตัดสินใจ”
ได้ผล... นายอภิสิทธิ์สวนกลับทันทีว่า

“ตัดสินใจ ไม่ใช่ไม่ตัดสินใจ แต่ก่อนจะตัดสินใจต้องรอบคอบ เพราะเวลาเกิดอะไรขึ้น ครม. ต้องร่วมกันรับผิดชอบ”
นายโสภณ จึงออกอาการงอนว่า “ถ้าวันนี้ไม่จบ ก็ไม่ทำแล้ว เอาไปทำกันเองเลยแล้วกัน”
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ สวนกลับแรงกว่าเดิมว่า “ถ้าคุณไม่มาขอเงิน ก็ไม่มีเรื่องต้องพิจารณา นี่คุณต้องใช้เงิน และเวลารับผิดชอบมันรับผิดชอบด้วยกัน ดังนั้น ควรเคลียร์ข้อมูลให้ชัดเจน ให้ทุกคนออกไปอธิบายได้เหมือนกันหมด”

แน่นอนว่าการที่ถูกตีกลับซ้ำซากก็หงุดหงิดเจ็บช้ำพออยู่แล้ว ยังมาโดนตอกย้ำในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความโปร่งใสของโครงการตลอดเวลา... จะไม่ให้พรรคภูมิใจไทยหงุดหงิดได้อย่างไร

สภาล่ม... โหวตงบประมาณปี 2554 ... หรือแม้แต่กระทั่งการพลิกไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย กลายเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นลูกระนาดตามมาในทันที และทำให้คอการเมืองทุกขั้วต่างจับตามองเขม็ง

ยิ่ง นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ออกมาระบุว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์วิกฤติ พรรคที่มาร่วมจับมือตั้งรัฐบาลขึ้นมา เป้าหมายเพื่อจะแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่ากลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งต่อมาเป็นพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่สุด

ดังนั้นแม้ว่าโครงการนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจมาก่อนสมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ได้ผ่านการศึกษา ปรับเปลี่ยนโครงการเดิมไปมากมาย โดยเฉพาะ เรื่องความโปร่งใส และถือว่าเป็นโครงการของรัฐบาลโดยรวมที่ได้ดูแลกันมาอย่างดีแล้ว แต่ยิ่งพูดไปเหมือนกับรัฐบาลพยายามแยกให้เห็นว่านี่คือรถเมล์พรรคภูมิใจไทย

ส่วนกระแสข่าวพรรคแกนนำอย่างประชาธิปัตย์ จะมีการปรับ ครม. หลังงบประมาณปี 54 ผ่าน และอาจจะดึงเอากระทรวงสำคัญๆ จากภูมิใจไทย ไปดูแลเอง นายศุภชัย กล่าวว่า จริงๆ รัฐบาลก็เพิ่งปรับ ครม. มาไม่กี่วัน รัฐมนตรีใหม่บางคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ถ้าจะมาปรับคงไม่น่าจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าจะเอากระทรวงที่ภูมิใจไทยดูแล กลับไปดูแลเอง ถ้าเป็นกรณีตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นโดยพรรคแกนนำเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก็คงใช่ที่พรรคแกนนำควรจะดูแลกระทรวงใหญ่

แต่สำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคนไม่ได้ยึดถือเรื่องหลักว่าใครเป็นพรรคใหญ่พรรคเล็กแต่เป็นกรณีการเข้ามากอบกู้แก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง กระทรวงที่รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ดูแลอยู่ก็สามารถทำงานได้ดีดูแล ทำงานเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ แล้วจะเอาเหตุอะไรมาอ้างตรงนี้
“ถ้าใครอยากจะดูกระทรวงใหญ่ควรจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า”

ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ทางแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เคยมาหารือเรื่องนี้ แต่การปรับ ครม. เป็นเรื่องปกติของรัฐบาล หากใครเป็นแล้วไม่เห็นผลงานก็ต้องปรับ แต่ถ้าเขาทำงานดีแล้วจะปรับทำไม ในส่วนของรัฐมนตรีของพรรคที่มีอยู่ปัจจุบันก็ทำงานมั่นคงแข็งแรงดีอยู่ แล้ว

“ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาเอาไปดู เราก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน จะไปอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ยินเรื่องนี้ มันเล่นแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเล่นอย่างนี้เขาคงจะเอาพรรคภูมิใจไทยออกไปนานแล้ว ภูมิใจไทยเราเล่นการเมืองแบบมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่นเมื่อไหร่”
นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง มานั่งทะเลาะกัน มันไม่มีประโยชน์ โครงการใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องมีคำถามเยอะ ยืนยันว่าพรรคไม่มีการเอาเรื่องรถเมล์ไปต่อรองกับการโหวตผ่านงบประมาณปี 54

“โครงการรถเมล์ถ้านายกฯอยากจะรู้ 3 ข้อ เราก็ตอบไปให้กระจ่างก็หมดเรื่องไป หากตอบให้กระจ่างแล้ว ถ้านายกฯ เขายังหาเรื่องอย่างอื่นมาอ้างอีกก็ค่อยว่ากันตอนนั้น”

ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บางคนออกมาขู่ทำนองจะพลิกขั้วไปจับมือกับพรรค เพื่อไทยตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองเขาว่ากันเอง ตนไม่ใช่นักการเมือง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นักการเมืองก็อาจจะเล่นไปตามกติกานั้นก็ได้ เพราะตามหลักการ การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรอยู่แล้ว เมื่อถึงวันนั้นหากการเมืองจะเปลี่ยนหรือจะเดินไปอย่างไร ก็แล้วแต่ทางพรรคจะว่ากันไป จะจับมือกับใครก็เป็นเรื่องอนาคต ไม่มีใครสามารถจะทราบได้
เปิดหน้าซดกันแบบนี้ อาการ “ร้าว” มีสิทธิ์ที่จะ “แตก”ได้ทุกเมื่อเสียแล้วกระมัง?!?


ที่มา.บางกอกทูเดย์****************************************************************************

ขัตติยา สวัสดิผล "พรรคของพ่อก็อยากให้เป็นพรรคของพ่อเสมอ... เดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง"

ข่าวสดรายวัน
สัมภาษณ์พิเศษ

ประกาศเป็นเสื้อแดงเต็มตัวแล้ว สำหรับ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือ น้องเดียร์

และยังสานต่อเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้พ่อ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล โดยเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคขัตติยะธรรม ที่เสธ.แดง ก่อตั้งมากับมือ

เดินหน้าจัดตั้งศูนย์ประสานงานของพรรคไปแล้ว 4 จังหวัด ใน 4 ภาค ประกอบด้วย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชลบุรี และพังงา

หากพรรคมีส.ส. จากการเลือกตั้ง ก็ขอเป็นแนวร่วมพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

แต่ภารกิจในฐานะทายาทเสธ.แดง ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

ยังต้องเดินหน้าหาสมาชิกให้พรรค เตรียมความพร้อมสำหรับศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง

รวมถึงเตรียมตัวลงสมัครส.ส.

หลายคนมองว่าที่ผ่านมาพรรคขัตติยะธรรมไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่

การจัดตั้งพรรคของพ่อ มีความลำบากตั้งแต่ต้น ช่วงแรกจะใช้ชื่อว่า "พรรคเสธ.แดง" แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่อนุญาต ถึงเปลี่ยนมาใช้ "พรรคขัตติยะธรรม"

จริงๆ ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พรรคขัตติยะธรรม ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว คือได้รับการจดทะเบียนจากกกต. มีสมาชิกพรรคครบ 5,000 คน มีกรรมการบริหารพรรค ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด

แต่ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพ่อที่เข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เน้นการดูแลผู้ชุมนุม พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงพรรคขัตติยะธรรม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรค ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระบบยุติธรรมที่ยังไม่ยุติธรรมในสายตาของหลายๆ คน หรือปัญหาเศรษฐกิจการเมือง สังคม การศึกษา

การที่พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงมากนัก ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักเท่าที่ควร และมองว่าพรรคขัตติยะธรรม ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง คนที่รู้จึงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ และเมื่อไม่มีพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้จึงเป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้ยังอยู่กับพรรคต่อไป และยังมีสมาชิกใหม่ ที่เห็นด้วยกับแนวพรรคมาสมัครเป็นสมาชิกของพรรค และเลือกพรรคขัตติยะธรรมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นี่คือหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป

แนวทางการทำงานของพรรค

พรรคขัตติยะธรรมไม่ใช่พรรคที่ร่ำรวย ตั้งแต่พ่อก่อตั้งพรรคมาก็ไม่เคยรับเงินบริจาค เพราะแนวทางของพ่อตั้งแต่ตั้งพรรค ใครต้องการลงสมัครส.ส.ในนามพรรค จะต้องหาทุนด้วยตัวเอง ต้องไม่เดือดร้อนหัวหน้าพรรค

กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกคนอื่นๆ ทุกคนต้องมีทุนของตัวเองถ้าจะมาร่วมพรรค ถ้ายอมรับในจุดนี้ได้ พรรคขัตติยะธรรมยินดีรับเป็นสมาชิก และส่งลงสมัครส.ส.ในนามพรรค

ฉะนั้น การใช้เงินเรียกคนมาเป็นสมาชิกพรรคจึงไม่มี วิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียง เดียร์จะต้องลงไปด้วยตัวเอง เช่น ลงไปที่สงขลา หาดใหญ่ และพังงา เพื่อพบประชาชน ไปหาคะแนนเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่พ่อทำมาตลอด

ที่ผ่านมาพ่อเดินสายพบประชาชนทั่วประเทศทั้งที่ไม่มีเงิน แต่ให้ความใกล้ชิด ให้ความเป็นกันเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนรักพ่อ รักเสธ.แดงมากขนาดนี้ จากการลงพื้นที่ของเดียร์ที่จ.สงขลา จึงได้รับเสียงตอบรับที่ดี แม้จะมีการบอกล่วงหน้าไม่นานก็ตาม

จุดเด่นและความพร้อมของพรรคขัตติยะธรรม

เราอยากสร้างฐานเสียงของตัวเอง จะไม่มีการดึงส.ส.จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ มาลงสมัครในนามพรรค ถามว่าหากพื้นที่นั้นมีการทับซ้อนกันของคะแนนเสียงจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าให้ประชาชนตัดสินตามแนวทางของประชาธิปไตย

ตอนนี้หากมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ พรรคขัตติยะธรรมก็พร้อมในสนามการเลือกตั้ง ถึงแม้เวลานั้นจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พร้อมจะแก้และเข้าสู่การเลือกตั้งได้

มีแนวคิดจะลงสู้ศึกในสนามท้องถิ่นหรือไม่

ยังไม่มี และแนวทางของพ่อก็ไม่เคยมี เพราะพรรคขัตติยะธรรม อยากทำงานในมุมกว้างทั่วประเทศ ไม่ได้เจาะจงเป็นพื้นที่เหมือนการเมืองท้องถิ่น

เน้นพื้นที่ไหนในประเทศเป็นพิเศษ

เน้นทั่วประเทศ เนื่องจากแนวทางการทำงานของพ่อที่เดินสายทั่วประเทศ รวมถึงคนที่เข้ามาคุยกับเดียร์ ก็มาจากหลายจังหวัดมาก ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวใน 2-3 จังหวัด แต่มีเกือบทั่วประเทศ จึงไม่ลงว่าตรงไหนเป็นฐานเสียง

นโยบายของพรรคขัตติยะธรรม

ประการแรก คือต้องการเข้ามาดูระบบกฎหมายของประเทศไทย ที่เป็นปัญหา อยากให้ประชาชนทั่วไป มีส่วนร่วมในระบบศาล หรือกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เช่น ให้มีคณะลูกขุน ช่วยผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ให้รู้ถึงความคิดเห็นของประชาชนในการตัดสินคดีต่างๆ บ้าง

หรืออัยการที่อาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เหมือนการเลือกส.ส. หากมีที่มาอย่างนี้ อัยการหรือคณะลูกขุนจะทำเพื่อประชาชน คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าที่เป็นอยู่

ในด้านเศรษฐกิจ จะช่วยแก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางที่กดราคาผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ จะได้มีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เงินจะตกอยู่กับเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ส่วนการศึกษา คำถามที่มีมานานแล้วคือ ทำไมตอนนี้มีเพียงโรงเรียนประจำจังหวัด และจบแล้วต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ต้องเลือกจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์

นโยบายทางการศึกษาของพรรคคือทำอย่างไรให้นักเรียนที่เรียนจบ ม.6 เลือกมหาวิทยาลัยในจังหวัดของตัวเอง โดยมหาวิทยาลัยนั้นต้องได้รับมาตรฐาน เทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่นกัน เรื่องนี้มองดูอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำและไปศึกษาปัญหาอย่างจริงจัง คิดว่าสามารถทำได้

จะเป็นหัวหน้าพรรคเองหรือไม่

ที่ผ่านมา เดียร์บอกเสมอว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคเอง เพราะเกรงว่าหัวหน้าพรรคจะต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และหากมีการกลั่นแกล้งทางการเมือง พรรคถูกยุบ เดียร์ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย พรรคขัตติยะธรรมก็จะหายไป เดียร์ไม่อยู่พรรคก็จะหายไปเลย

แต่มาคิดดูแล้ว พรรคของพ่อก็อยากให้เป็นพรรคของพ่อเสมอ ก่อตั้งโดยพ่อ คนที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็คือทายาท ก็คือเดียร์เอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องยอมรับ เดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง

ลงสมัครเขตไหน

พ่อตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่า อยากให้เดียร์ลงสมัครแบบบัญชีรายชื่อในเขตกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล ส่วนอีก 7 เขตทั่วประเทศก็ให้เป็นหน้าที่ของสาขาพรรคแต่ละภาคว่าจะพิจารณาส่งใครลงสมัครเอง

คาดหวังมากแค่ไหน

ไม่กล้าตอบว่าคาดหวังมากขนาดไหน เพราะไม่อยากให้คำพูดมาผูกมัดตัวเอง อยากให้เป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า แต่ถ้าถามว่าหวังหรือไม่ ต้องตอบว่าหวังแน่นอน

กลัวหรือกังวลในเกมการเมืองหรือไม่ หลังจากประกาศว่าเป็นเสื้อแดงเต็มตัว

ไม่กลัวหรือกังวล เพราะการดำเนินการของพรรคตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องกลัวถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ไม่ใช่คนเสื้อแดงทุกคนทำผิดกฎหมาย

ในเมื่อประกาศว่าเดียร์ยืนข้างพ่อ พ่อคิดอย่างไรเดียร์คิดอย่างนั้น เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ที่พบเจอคนเสื้อแดงรวมถึงกำลังใจที่ได้รับจากพี่น้องคนเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า เดียร์ควรเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับพ่อ

ฉะนั้นการที่เลือกยืนอยู่ข้างนี้แล้วไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย

จะมีการฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาว่า เสธ.แดง อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายต่างๆ หรือไม่

ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานในการแถลงข่าวทุกวัน จะสามารถเอาผิดในฐานะหมิ่นประมาทได้หรือไม่ ต้องดูหลักฐานว่ามีมากแค่ไหน เพราะถ้าไม่มีหลักฐานพอ ฟ้องไปก็เปล่าประโยชน์

สิ่งแรกที่ทำหากได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.

อยากให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดง นี่คือสิ่งที่ต้องการ อยากให้ความยุติธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และเดือนพ.ค. ทุกคน

**********************************************************************************************

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“เอียงกะเท่เร่” ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของรัฐบาลอภิสิทธิ์

ที่มา.robertamsterdam.com
เมื่อกล้องจับภาพเหตุการณ์ที่บุคคลคนหนึ่งพยายามสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการขับรถพุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายในขณะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากจะขับรถพุ่งชนแล้วบุคคลดังกล่าวยังถอยรถทับเจ้าหน้าที่อี

กด้วย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าหึ่งรายขาหลักและที่เหลือได้รับบาดเจ็บ โดยปกติบุคคลนั้นสมควรที่จะได้รับโทษจำคุกอย่างเหมาะแก่การกระทำ

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากคนร้ายคนนั้นคือสมาชิกของกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงที่มีคณะอำมาตย์หนุนหลังอย่างกลุ่มพันธมิตร เราขอต้อนรับคุณเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของนายอภิสิทธิ์

วันนี้ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานครได้ติดสินคนขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าตำรวจในวิดีโอ นายนายปรีชา ตรีจรูญ ผู้ชุมนุมกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงอย่างกลุ่มพันธมิตร ผู้ซึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในระหว่างการชุมนุมในกรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคมปี 2551 โดยศาลได้ตัดสินให้นายปรีชาจำคุกเป็น เวลา 3 ปี ลดโทษจำคุกให้เหลือเป็นรอลงอาญา 2 ปี และให้ทำงานสาธารณะประโยชน์บริการสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ในคำตัดสินอย่างเป็นทางการของศาลระบุว่านายปรีชามีเจตนาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง แต่เนื่องจากนายปรีชาไม่เคยต้องโทษทางอาญามาก่อนศาลจึงลดโทษให้ มาถึงตรงนี้เราคงต้องนั่งเดาว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่

เราควรจะเปรียบเทียบการกระทำและโทษที่นายปรีชาได้รับกับพราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ พราหมณ์ผู้ทำพิธีเทเลือดหน้าทำเนียบรับบาลเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้

การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีที่เทเลือดคนหน้าทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง จริงอยู่ที่การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีอาจเป็จสิ่งที่ไม่่น่าพึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรงหรืออันตรายแก่ผู้ใด

ในวันที่ 2 สิงหาคม พราหมณ์ศักดิ์ระพีได้ถูกตัดสินให้จำคุกในข้อหามั่วสุมและกีดขวางการจลาจร

เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ารัฐสองมาตรฐานแบบโอเวลเลี่ยน (กล่าวถึงนิยายเรื่อง1984 ของGeorge Orwell) ในประเทศไทย ได้ก้าวไปสู่ระดับที่งงงวยและน่าขันยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะการพยายามฆ่าคนตายนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในขณะที่การกีดขวางทางจราจรหมายถึงการถูกจองจำที่ยาวนาน
___________________________________________________________________

ปลื้ม-สุรบถ ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์ 2 หัวโขน 2 เชื้อสายการเมือง

ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง

2 เด็กหนุ่มทายาทคนการเมือง ถูกสปอตไลต์ฉายแสงอีกรอบ 2 เด็กหนุ่ม 2 คน 1 ชื่อเดียวกัน คือ "ปลื้ม"

1 ปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย ทายาท "ชวน หลีกภัย" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 20

1 ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ทายาท "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี

1 ปลื้ม-สุรบถ กำลังเข้าสู่วงการการเมืองมีตำแหน่งเต็มตัวเป็นครั้งแรก

1 ปลื้ม-กำลังเข้าสู่พิธีวิวาห์ ระดับปรากฏการณ์ในสังคมชนชั้น "ไฮโซไซตี้"

ปลื้ม-สุรบถ หลานชาย-ย่าถ้วน ชื่อแปลว่า "ท้องฟ้า" ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เป็นลูกของแม่-ภักดิพร บุตรสาวคนโตของนายกัลย์ทัศน์ อดีตมหาดเล็กในรัชกาลปัจจุบัน และนางดรรชี สุจริตกุล โดยมีย่าคือ นางสุมิตรา เป็นข้าหลวงในรัชกาลที่ 6

ม.ล.ปลื้ม- ณัฏฐกรณ์ ทายาทแห่งตระกูล "ท่านปู่-เทวกุล" ของ "ม.ล.ปลื้ม" ที่สืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 4 "ท่านปู่" ของ "ม.ล.ปลื้ม" คือ หม่อมเจ้า ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงเป็นโอรสในสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ออกพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเทวัญ อุไทยวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

ญาติในดงการเมืองของ "ม.ล.ปลื้ม" มีทั้ง "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เป็นคนในเครือเถาเหล่ากอ-สืบเชื้อสายมาจากต้นทางเดียวกันกับ "ม.ล.อภิมงคล โสณกุล" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทายาท "ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล" อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

และสืบจากญาติสายตรงเป็น "พี่-น้อง" กับตระกูล "สวัสดิวัตน์" กับ "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)

เพราะ "ปิยสวัสดิ์" คือ "ลูกชาย" ของ ม.ร.ว.ปิ่มสาย สวัสดิวัตน์ ผู้สืบเชื้อสายจากท่านตา คือ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ และ "ตาทวด" คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระนามเดิมพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จ พระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

"ม.ล.ปลื้ม" ปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะในฐานะ "นักสื่อสารมวลชน" และ "นักการเมือง" ในฐานะผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แข่งกับ "ญาติ" สาย "บริพัตร" แม้ไม่ชนะแต่ได้คะแนนไม่น้อย

ปรากฏตัวในนามการเมือง "เฉดสีแดง" สายปัญญาชน หลายเวที

กลับมาฮือฮาบนพื้นที่สื่อ เมื่อเหล่า "เซเลบริตี้" ได้รับ "การ์ดแต่งงาน" ระบุว่า

"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" และ "นางธนาวดี อภิธนานนท์" ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส ระหว่าง "ณัฐรดา อภิธนานนท์" หรือแจ๊คกี้ กับ "ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 ที่ห้องสกุณตลา บอลรูม โรงแรมเพนนินซูล่า (งานเลี้ยงค็อกเทล)

........................

ปลื้ม-สุรบถ เคยปรากฏตัวที่ตึกไทย คู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่ "นายชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี

และมักปรากฏตัวพร้อมหน้าครอบครัว "แม่-นางภักดิพร สุจริตกุล" และ"พ่อ-ชวน" ในการทัศนศึกษาที่สวนสัตว์ และหน้าเวที "แสดงโขน" ที่โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร ที่ "ด.ช.ปลื้ม" ร่วมแสดงเป็นตัวเอก

สมัยเป็น "ด.ช.ปลื้ม" สนใจการเมืองตัวกลั่น มักเปิดปากสนทนา และเป็นที่สนใจของนักข่าวสายการเมือง แต่เป็นเด็กอยู่ใน "กรอบ" ของพ่อ-ชวน อย่างเคร่งครัด

คราวหนึ่งพี่นักข่าวถาม "ด.ช.ปลื้ม" ว่า "โตขึ้นอยากเป็นนักการเมืองมั้ย" น้องปลื้มตอบทันที "อยากเป็นเพราะ...." แต่นักข่าวยังไม่ได้ฟังเหตุผล เพราะ พ่อ-ชวน พูดสวนเสริมมาว่า "เป็นเด็กอย่าเพิ่งพูด เรื่องการเมือง"

ในวาระประชุมคณะรัฐมนตรี 10 สิงหาคม 2553 "นายปลื้ม" กลับมาปรากฏตัวที่ตึกแดงทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม" มีภารกิจหลักคือ "โปรโมตโขนร่วมสมัย" ของกระทรวง

คราวนี้นายปลื้ม-ในฐานะผู้ช่วยโฆษกพูดโดยไม่ต้องติดกรอบของ "พ่อ-ชวน" ว่า...

"แนวคิดในการทำงานของผมคือ การสานต่อวัฒนธรรมไทยให้กับคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไทย ดังนั้นผมตั้งใจจะทำการปรับหรือผสานวัฒนธรรมไทย อาทิ โขน ให้มีความเป็นร่วมสมัย ให้เกิดความแปลกใหม่ น่าสนใจ และดูง่าย เพื่อสร้างกระแสความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ"

"ผมตั้งใจจะเข้ามาทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้สังคมได้เห็นคนดี เมื่อประชาชนได้รู้ว่าการทำความดีทำให้คนอื่นเห็นได้และเป็นเรื่องน่ายกย่อง สังคมก็น่าจะดีขึ้น และทำเรื่องส่งเสริมสิทธิสตรีด้วย"

หากนายชวนคือแสง "ปลื้ม" ก็ไม่พ้นเงาของฉายา "ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง"

"คุณพ่ออยากให้ปลื้มลองอะไรหลาย ๆ อย่าง เผื่อจะได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ที่เข้ามาทำตรงนี้ โดยหลัก ๆ แล้วก็อยากทำเพื่อสังคม อยากเดินตามรอยคุณพ่อในรูปแบบของตัวเอง การได้ทำให้สังคมดีกว่าเดิม"

หัวโขนของ "ปลื้ม หลีกภัย" แม้ในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษก" แต่ความฝันของนักการเมืองทุกคนคือ "นายกรัฐมนตรี"

"เจ้านาย" ของ "ปลื้ม" ที่กระทรวงวัฒนธรรม "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ผู้ซึ่งนับถือนายชวนเป็น "เทพเจ้าทางการเมือง" จึงปฏิบัติบูชา-ทอดสะพานให้ "ปลื้ม" อย่างเต็มกำลัง

"หลังจากนี้อาจจะอีก 30 ปีข้างหน้า อยากเห็นนายสุรบถเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะคนเดินบนถนนสายนี้ก็หวังทุกคน ซึ่งถ้ามีโอกาส เชื่อว่าพื้นฐานของนายสุรบถไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองคนอื่น หากได้รับการฝึกฝนที่ดีก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้"

หัวโขนของ "ปลื้ม-สุรบถ" กำลังถูก สปอตไลต์ฉายจับเจิดจ้าในเวทีการเมือง

หัวโขนของ "ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์" กำลัง ถูกจับตาใกล้ชิด ทั้งบนเวทีสื่อ-หน้าจอทีวี และเวทีการเมือง

*********************************************************************************************

ปชช. 63% รับไม่ได้นักการเมืองปากพล่อย ดูหมิ่นถากถาง มีเล่ห์เหลี่ยม จี้ให้เร่งปรองดอง เลิกทุจริต งดใส่ร้ายป้ายสี

มติชนออนไลน์

สวนดุสิตโพลแถลงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม เรื่อง "พฤติกรรมนักการเมืองในสายตาประชาชน" จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 2,354 คน ระหว่างวันที่ 10-14 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า พฤติกรรมการกระทำของนักการเมืองที่ไม่ดีที่ประชาชนเคยพบเห็น ส่วนใหญ่ 63.84% คือ พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ถากถาง และมีเล่ห์เหลี่ยม รองลงมา 21.27% คือ ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟังประธานรัฐสภา และขาดความรับผิดชอบ กรณีออกจากที่ประชุม หรือวอล์กเอ๊าต์, ตามด้วยการชกต่อย ใช้กิริยาไม่เหมาะสม 10.76%

ส่วนพฤติกรรมที่ดีของนักการเมืองที่ประชาชนพบเห็นนั้น ส่วนใหญ่ระบุว่า มีความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพ เป็นกันเอง 33.19% ตามด้วยการพูดจริง ทำจริง รักษาคำพูด 24.08% และมีความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ 23.53%

ขณะที่พฤติกรรมที่ทำลายภาพลักษณ์ของนักการเมือง คือ การทะเลาะกันในที่สาธารณะ สูงถึง 42.38% ตามด้วยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น 30.57% และการพูดให้ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม 17.64% ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก้าวก่ายการทำงานในหน่วยงานต่างๆ 9.41%

นอกจากนี้ ประชาชนยังมองว่าพฤติกรรมของนักการเมืองที่ควรแก้ไขและเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน คือ การขาดความสามัคคี ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 40.21% การแสวงหาประโยชน์ส่วนตน และทุจริตคอร์รัปชั่น 31.36% การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง 15.21% ขาดคุณธรรม และจริยธรรมทางการเมือง 13.22% ส่วนพฤติกรรมของนักการเมืองที่ประชาชนคาดหวัง ส่วนใหญ่ระบุ อยากให้มีความสามัคคี ไม่แบ่งพรรคพวก ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความรับผิดชอบ มุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ขณะที่นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและฐานสนับสนุนทางการเมือง" กรณีศึกษาผู้มีสิทธิเลือกตั้งและกลุ่มนิวเจนที่จะมีสิทธิในอีก 3 ปีข้างหน้าใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,250 ตัวอย่าง ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า ประชาชน 42% คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ มี 38.8% ระบุไม่แน่ใจ และมีเพียง 19.2% ที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจจำแนกตามอาชีพ พบว่า พนักงานบริษัท 51.4% คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ข้าราชการ 26.6% ไม่คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อพิจารณาจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า 21.2% ระบุจุดยืนทางการเมืองของตนคือสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในขณะที่ 17% ระบุไม่สนับสนุน แต่ตัวอย่างส่วนใหญ่คือ 61.8% ไม่อยู่ฝ่ายใด (พลังเงียบ) เมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามระดับการศึกษา พบว่า คนจบสูงกว่าปริญญาตรี 41.7% ระบุสนับสนุนรัฐบาล จบปริญญาตรี 30.9% ระบุสนับสนุนรัฐบาล ต่ำกว่าปริญญาตรีมีเพียง 19.5% เท่านั้นที่ระบุสนับสนุนรัฐบาล

เมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามที่พักอาศัย พบว่า คนที่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเพียง 13% เท่านั้น ที่ระบุสนับสนุนรัฐบาล นอกเขตเทศบาล 17% และคนที่พักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล 28.6% ระบุสนับสนุนรัฐบาล

คำถามถึงพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบสัดสัดส่วนถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้นไปตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 45.1% และ 47.5% ตามลำดับ และเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้นไป คิดเป็น 42.7% และะ 40.6% ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์
***************************************************************************************

บทเรียนสงครามอ้างอธิปไตยเหนือดินแดน สงครามอิรัก-อิหร่าน

ไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ

จากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่กล่าวว่า "เราต้องการใช้การทูตผสมกับทางทหาร...การใช้กำลังจะเป็นทางเลือกสุดท้าย" ที่สืบเนื่องการเรียกร้องให้ทวงคืนเขาพระวิหารได้ขยายไปสู่กระแสการใช้กำลังทหาร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรตระหนักยิ่ง จึงต้องทบทวนผ่านสงครามที่เกิดขึ้นจากการอ้างอธิปไตยเหนือดินแดน หนึ่งในนั้นคือ สงครามอิรัก-อิหร่าน

สงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านกินเวลายาวนาน 8 ปี ตั้งแต่ปี 2523 ถึง 2531 สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับทั้งสองประเทศ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างไม่คาดคิดในเวลาต่อมา

จุดเริ่มต้นของสงคราม
จุดเริ่มของสงครามมาจากการโค่นล้มพระเจ้าชาห์ ปาฮ์เลวี โดยกลุ่มฝ่ายซ้าย กลุ่มเสรีนิยม และกลุ่มศาสนานำโดย อยาโตเลาะ โคไมนิ ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียพันธมิตรทางทหารและดุลทางทหารในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ชาติอาหรับซุนหนี่มีความหวาดกลัวต่อการขยายของการปฏิวัติอิสลาม โดยเฉพาะอิรัก เพื่อนบ้านที่มีชาวชีอะเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศถึงร้อยละ 60 แต่มีรัฐบาลเป็นชาวซุนนี่ ภายใต้การปกครองของพรรคบาธ (Ba'ath) ที่มี ซัดดัม ฮุสเซนเป็นประธานาธิบดี ประกอบกับอิรักมีความขัดแย้งด้านพรมแดนมาก่อนหน้านี้จึงนำไปสู่การทำสงครามระหว่างสองประเทศ

ในครั้งนั้น เป้าหมายของการทำสงครามของอิรัก คือ
1. การควบคุมแม่น้ำชัต อัล อาหรับ (Shatt al-Arab)
2. เกาะอบู มูซา (Abu Musa) เกาะเกรทเตอร์ และเลเซอร์ ตับส์ (Greater and Lesser Tunbs) ของสหรัฐ อาหรับ อิมิเรต
3. การผนวกคูเซสถาน (Khuzestan)
4. การต่อต้านการปฏิวัติอิหร่าน

โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์มุ่งเน้นไปที่การต่อต้านปฏิวัติอิหร่าน โดยการสนับสนุนชาติอาหรับซุนหนี่และสหรัฐ โดยให้อิรักเป็นแนวหน้าก็ตาม แต่ผลประโยชน์ของอิรักเป็นจุดสำคัญต่อการตัดสินใจของอิรัก โดยเฉพาะปัญหาบูรณภาพเหนือดินแดน

แม่น้ำชัท อัล อาหรับ ที่เป็นจุดสำคัญของความขัดแย้ง เกิดจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสรวมกันก่อนไหลออกสู่อ่าวเปอร์เซีย ความขัดแย้งของการอ้างสิทธิเหนือแม่น้ำสายนี้สืบกลับไปถึงสัญญาสันติภาพ ปี พ.ศ. 2193 ระหว่างอาณาจักร อ๊อตโตมันกับเปอร์เซีย ในยุคอาณาอาณานิคม มีความพยายามแก้ไขพิพาทนี้โดยอังกฤษเสนอให้ใช้ร่องน้ำลึกเป็นแนวเขตแดน แต่ฝ่ายอิรักไม่ยอม โดยมีต้องการให้เส้นพรมแดนอยู่ที่ฝั่งของอิหร่าน แต่ในที่สุดอิรักยอมลงนามในสัญญาอัลเจียร์ (Algiers Accord) ยอมใช้ร่องน้ำลึกเป็นแนวเขตแดน ภายใต้ความกดดันของสหรัฐที่หนุนหลังพระเจ้าชาร์ ปาฮ์เลวี และอิหร่าน

คูเซสถาน เป็นจังหวัดของอิหร่านติดกับจังหวัดบาสรา ของอิรัก และอ่าวเปอร์เซีย จังหวัดนี้อุดมไปด้วยน้ำมัน เมืองอบาดานมีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ อังกฤษผนวกดินแดนให้กับอิหร่านในยุคอาณานิคม ทำให้อิรักใช้เป็นข้ออ้างถึงอธิปไตย

เกาะอบู มูซา เกาะเกรทเตอร์ และเลเซอร์ ตับส์ อยู่ในอ่าวเปอร์เซียใกล้แหลมฮอร์มูซ มีการอ้างสิทธิระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอาหรับอิมิเรต พระเจ้าชาร์ ปาฮ์เลวี แห่งอิหร่านได้อ้างสิทธิครอบครองในปี พ.ศ.2514 แต่ส่งผลให้อิรักตัดความสัมพันธ์กับอิหร่านเพื่อประท้วงการครอบครองของอิหร่าน

จนถึงปี 2522 เกิดปฏิวัติอิหร่านที่นำโดยแนวร่วมต่อต้านพระเจ้าชาร์ ในที่สุด อยาโตลา โคไมนิ ได้เข้าเป็นผู้นำของประเทศ จุดนี้อาจจะทำให้ซัดดัม ฮุสเซน เห็นโอกาสในการโจมตีอิหร่าน จึงส่งกำลังรุกรานอิหร่านที่นำไปสู่สงครามอันยาวนาน

22 กันยายน 2523 อิรักส่งทหาร 21 กองพลรุกรานโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนอิหร่าน เปิดแนวรบยาว 644 กิโลเมตร เมืองสำคัญของอิหร่านใกล้กับปากแม่น้ำชัท อัล อาหรับ ได้ความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม เมืองอบาดาน เมืองสำคัญด้านอุตสาหกรรมน้ำมันถูกอิรักยึดครอง แต่กองกำลังทหารอิหร่านต้านทานอย่างเข้มแข็ง จนอิรักไม่สามารถรุกคืบเข้าไป

ระหว่างสงคราม สหรัฐสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยและการส่งกำลังบำรุงให้กับอิรัก เมื่ออิหร่านโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของอิรัก ชาติอาหรับอื่นปิดทางเให้อิรักส่งออกน้ำมันที่เกาะคาร์ก (Khark)

ชาติตะวันตกให้การสนับสนุนกับฝ่ายอิรัก เกาหลีเหนือและอิสราเอลให้การสนับสนุนอิหร่าน สหรัฐนอกจากจะให้การสนับสนุนอิรักอย่างเปิดเผยแล้ว ยังให้การสนับสนุนฝ่ายอิหร่านอย่างลับๆด้วย รัสเซียให้ความสนับสนุนทั้งสองฝ่าย

ด้านอิหร่าน ฝ่ายศาสนาใช้โอกาสนี้ สร้างด้วยกระแสคลั่งชาติ กวาดล้างหุ้นส่วนการปฏิวัติ คือ ผู้นำเสรีนิยมหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ พลพรรคจำนวนมากของพรรคมาร์กซิส ทูเดย์ ถูกสังหาร กองกำลังฝ่ายซ้ายอะบอฮาสซาน บานิซาดี (Abolhassan Banisadr) ถูกกวาดล้าง พรรคแนวหน้าประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Front) นำโดยอยาโตเลาะคาเซม ชาเรียมาดาริ (Kazem Shariatmadari) ถูกยุบ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติที่ขึ้นต่อผู้นำศาสนาได้รับเสริมและขยายความเข้มแข็ง

จนถึงปี 2530 จึงเริ่มเปิดการเจรจา จนกระทั่งลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกเมื่อ 26 สิงหาคม 2531 ฝ่ายอิรักต้องกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากความเสียหาย

ต้นทุนของสงคราม
สงครามอิรัก-อิหร่านสร้างความสูญหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล อิหร่านมีความสูญเสีย 1 ล้านคน จากการถูกฆ่า หรือบาดเจ็บ รวมถึงชาวอิหร่านที่เจ็บป่วยและตายจากผลของอาวุธเคมี อิรักมีความสูญเสีย 250,000 – 500,000 คน พลเรือนหลายหมื่นคนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธ

การสูญเสียทางการเงินมีมูลค่า 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (18.6 ล้านล้านบาท) สำหรับแต่ละฝ่าย ในระยะสั้น หลังจากสงครามเกิดขึ้น ต้นทุนทางเศรษฐกิจมีผลมาก การพัฒนาเศรษฐกิจชะงักงันเนื่องจากการส่งออกน้ำมันถูกขัดขวาง ภาวะทางเศรษฐกิจสร้างความเสียหายให้อิรักมากที่หนี้สินมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับอิหร่าน โดยอิหร่านใช้ชีวิตที่ปลุกเร้าด้วยความรักชาติ แต่เป็นยุทธวิธีที่มีต้นทุนทางการเงินถูกกว่าระหว่างสงคราม จึงใช้ชีวิตของทหารแทนที่สำหรับการขาดแคลนแหล่งเงินทุน เรื่องนี้ทำให้ซัดดัมเข้าสู่ตำแหน่งยากลำบากด้วยหนี้สินระหว่างประเทศ 130,000 ล้านเหรียญ (4 ล้านล้านบาท) จำนวนมากเป็นของชาติพันธมิตรอาหรับ 67,000 ล้านเหรียญ (268,000 ล้านบาท) ปารีสคลับ 21,000 ล้านเหรียญ (380,000 ล้านบาท) ทำให้อัตราหนี้ต่อจีดีพี (ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ) ของอิรักสูงถึง 1,000 % หรือ 10 เท่าของจีดีพี จากจุดนี้นำไปสู่สงครามรุกรานคูเวตของซัดดัม

ต้องไม่มีสงคราม
สงครามครั้งนี้มีข้อสังเกตประการแรกคือ อิรักสามารถยึดครองดินแดนที่ต้องการไว้ได้ แต่ฝ่ายอิหร่านมิได้พ่ายแพ้ การยึดครองจึงไม่มีความหมาย และกลับไปมือเปล่า ถึงแม้ว่าอิหร่านจะเป็นศัตรูกับสหรัฐและอิรักเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ แต่การเปลี่ยนแปลงพรมแดนมิได้เกิดขึ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงพรมแดนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ อาจจะมีเพียงกรณีเดียว คือ การแยกประเทศในค่ายโซเวียตหลังยุคล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งเรื่องมีความซับซ้อนด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติตะวันตก แต่ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับส่วนอื่นของโลก อย่างไรก็ตามอาจจะเกิดกับดาร์ฟูที่อุดมไปด้วยน้ำมันภายใต้ความเห็นชอบของชาติตะวันตก การใช้กำลังเข้ายึดครองเขาพระวิหารจะสำเร็จจริงหรือ นี่เป็นคำถาม

สงครามสร้างต้นทุนด้านชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งอิหร่านและอิรักเคยเป็นประเทศร่ำรวย แต่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเสื่อมโทรมลงหลังสงคราม ในขณะที่ผู้บาดเจ็บนับล้านคนสร้างความทุกขเวทนาให้กับญาติพี่น้อง สังคมมีต้นทุนในการเยียวยาสูงมาก แน่นอนพวกเขาถูกทอดทิ้ง

ในขณะที่สิทธิและเสรีภาพถูกคุกคาม ในกรณีของอิหร่านเห็นได้อย่างชัดเจนจากฝ่ายศาสนาใช้โอกาสกวาดล้างฝ่ายอื่น ทั้งที่ไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง เพียงแต่ความเห็นทางการเมืองต่างกันเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยพร้อมกับสงครามหรือไม่ ถ้าดูจากการปราบปรามกองกำลังอาร์เคเค ที่มีไม่มากนัก กองทัพไทยต้องใช้กำลังถึง 50,000 คน ถ้าต้องเผชิญกับทหารหนึ่ง 100,000 คนของกัมพูชา ฝ่ายไทยต้องใช้ทหารเท่าไร

ดังนั้น ข้อเสนอสงครามจึงไม่ใช่ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาพรมแดนอย่างเด็ดขาด เพราะมีต้นทุนมากเกินไปจากบทเรียนของสงครามอิรัก-อิหร่าน

ดังนั้น คำพูดของนายอภิสิทธิ์ “...การใช้กำลังจะเป็นทางเลือกสุดท้าย” จึงไม่ถูกต้องแม้แต่น้อย

เพราะต้องไม่มีสงคราม

เพราะสงครามคืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

เพราะสงครามทำร้ายพี่น้องร่วมชาติ
************************************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรณีเขาพระวิหาร

คนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ขณะนั้นยังเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดูจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกปราศรัยทางโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษาของศาลโลก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดไปควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลโลกโดยการถอนกำลังออกจากพระวิหาร และต้องคืนโบราณวัตถุกลับไปให้กัมพูชา พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาและมอบหมายให้สหภาพพม่าเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของทางราชการไทยในพนมเปญและที่เมืองอื่น ๆ

ทางรถไฟที่ทอดยาวจากหัวลำโพงไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นอันต้องหยุด ประเทศไทยประกาศปิดชายแดน ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ประเทศก็หมดความเป็นมิตรต่อกัน แต่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศตามชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันต่างก็ยังไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันตามปกติ จนนายพลลอนนอลรัฐประหารขับไล่ สมเด็จพระเจ้าสีหนุออกไปร่วมกับฝ่ายเขมรแดง เราจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่ แล้วข่าวคราวเรื่องเขาพระวิหารก็เงียบหายไป

เมื่อปี 2506 พวกเรานิสิตรัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง ต้องเรียนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดกกับท่านศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคณะทนายของฝ่ายไทย หัวหน้าคณะทนายความของไทยเป็นฝรั่งเข้าใจว่าเป็นอเมริกัน ส่วนหัวหน้าทนายความของฝ่ายกัมพูชาเป็นชาวฝรั่งเศส

พวกเราก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ว่า ประเด็นที่ต่อสู้กันนั้นว่าอย่างไร ท่านก็บอกให้พวกเรากลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลโลกเสียก่อนแล้วท่านจะอธิบายให้ฟัง

เมื่ออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจขึ้นเป็นอันมาก เพราะคำพิพากษาเขียนเหตุผลไว้อย่างละเอียด ทั้งคำฟ้องร้องของกัมพูชาและคำแก้คดีของฝ่ายไทย รวมทั้งเอกสารสนธิสัญญาแผนที่แนบท้ายสัญญา ลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปถึงข้าหลวงฝรั่งเศสประจำกัมพูชา เรื่องขออนุญาตเสด็จไปเยี่ยมชมเขาพระวิหาร ภาพถ่ายสมเด็จกับ ม.จ.พูนพิศมัยพระธิดาเสด็จเขาพระวิหาร

ประเด็นที่ต่อสู้กันก็คือ แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับปี 1904 ที่ให้เอาสันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่แผนที่แนบท้ายใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขีดมาตามสันปันน้ำ แล้วมาวกเอาปราสาทเขาวิหารไปเป็นของกัมพูชา แล้วจึงวกกลับมาบน สันปันน้ำอีกทีหนึ่ง

เรารู้ว่าแผนที่นั้นผิดไม่ตรงกับตัวหนังสือในสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ค.ศ. 1904 อีกทั้งไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำฝ่ายเดียวแล้วส่งมาให้ไทย ไทยรับรองให้ความเห็นชอบเพราะฝ่ายไทยไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมคณะปักปันเขตแดนตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา

แต่ในที่สุดศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะแผนที่ แนบท้าย ค.ศ. 1904 เป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญาทั้งในแง่เอกสารและข้อเท็จจริงที่ทางไทยไม่ได้ทักท้วงภายใน 10 ปี อีกทั้งหัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝ่ายไทยจะเสด็จเยี่ยมปราสาทพระวิหารก็ทรงมีลายพระหัตถ์ขออนุญาตข้าหลวงฝรั่งเศส ข้าหลวงฝรั่งเศสก็ออกมารับเสด็จพร้อมกับชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา มีการถ่ายรูปร่วมกัน

อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเล่าให้พวกเราลูกศิษย์ฟังว่า ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเราคงจะแพ้คดี แต่โดยหน้าที่ที่เป็น คนไทยและจรรยาบรรณของทนายความก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างถึงที่สุด

ท่านเล่าว่าทางที่ถูกเราไม่ควรตกลงให้กัมพูชานำคดีขึ้นศาลโลก เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมให้ศาลโลกพิจารณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ท่านต้องการรักษาเกียรติภูมิของชาติว่าเราเป็นชาติอารยะ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ และทนายฝรั่งเชื่อว่าฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ท่านเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจแล้วท่านก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในฐานะที่มีอาชีพทนายความและเป็นคนไทย

เมื่อฝ่ายเราแพ้คดีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา มีผลบังคับใช้เหมือนกับกรณีเจดีย์สามองค์ ที่ด่านเจดีย์สามองค์ที่อังกฤษขีดวกเข้ามาทางฝ่ายไทยเป็นปากนกแก้วให้เป็นของพม่า

ปัญหาก็คือ ความชัดเจนว่าขอบเขตปราสาทพระวิหารนั้นกินขอบเขตพื้นที่ไปถึงไหน เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสส่งมาให้ไทยเรารับรองหรือทักท้วงนั้นใช้มาตราส่วนย่อมาก ดูได้ไม่ชัด

คณะรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์จึง ตีความคำพิพากษาว่า ขอบเขตของปราสาทพระวิหาร หรือ ′The Temple of Pra Vihar′ (สื่อมวลชนไทย สะกดภาษาอังกฤษตามสำเนียงเขมรว่า The Temple of Preach Vihear ซึ่งไม่ควรสะกดอย่างฝรั่ง ควรสะกดตามสำเนียงไทย หรือสำเนียงแขกเจ้าของภาษาสันสกฤตว่า The Temple of Pra Vihar อาจจะเพราะความไม่รู้หรือไม่ก็เพราะเห่อฝรั่ง)มีขอบเขตแค่ไหน

ทางฝ่ายกัมพูชาก็ว่า ′สระตาล′ห่างออกมาไกลสองสระที่เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ขอมข้างหนึ่ง และเป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของพราหมณ์ข้างหนึ่งก่อนขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่ปราสาท เป็นส่วนหนึ่งของเทวสถานแห่งนี้

นอกจากนั้น ไกลออกมาถึงสถูปคู่ ซึ่งคงจะหมายถึงประตูทางเข้าพระวิหาร ซึ่งไกลออกมาถึง 2 ก.ม. เป็นเครื่องหมายแสดงขอบเขตของพระวิหาร

รวมทั้งหมดจึงจะเป็นเทวสถานหรือ พระวิหารแห่งพระอิศวรเจ้าที่สมบูรณ์ เหมือนกับอาณาเขตของวัดคงไม่ใช่เฉพาะพระอุโบสถภายในเขตที่ลงลูกนิมิตและใบเสมา คงเริ่มจากซุ้มประตูภายในกำแพงทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีศาลาราย วิหารคต ศาลา กุฏิพระ ฯลฯ ด้วยประกอบเข้าจึงเป็นวัด หรือ ′พุทธสถาน′ หรือ ′พระวิหาร′

ทางเราก็ตีความว่า คำพิพากษาหมายถึงเฉพาะตัวพระวิหารสิ้นสุดที่บันไดขึ้นวิหารเท่านั้น ดังนั้นพื้นที่รอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงยังเป็นของไทย เขมรบอกไม่ใช่ของไทย กัมพูชาไม่เคยรับรู้ ดังนั้นต่างคนต่างอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ ดังกล่าวจนทางฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทางยูเนสโกจึงขอให้เขมรเจรจากับไทยว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไรให้เป็นเทวสถานที่สมบูรณ์ เพราะทางขึ้นอยู่ทางฝั่งไทย

หนังสือช่วยจำที่ลงนามโดย รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ปี 2543 ก็ถูกต้องแล้ว หนังสือช่วยจำลงนามโดย รมต.นพดล ปัทมะ ที่ทำให้เขมรยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม เป็นพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกต้อง หนังสือของ รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เพื่อ ปูทางไปในการปักปันเขตแดน ส่วนของ รมต.นพดล ปัทมะ ก็เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก และร่วมกันพัฒนาให้เป็นมรดกโลก ทั้ง 2 บันทึกมีประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศและของโลกในแง่สันติภาพและวัฒนธรรมร่วมกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบใช้ประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองใช้ประหัตประหารกันทางการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง เมื่อฝ่ายหนึ่งทำเรื่องให้ง่ายให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน อีกฝ่ายต้องการให้เป็นเรื่องยากให้เป็นโทษกับประเทศชาติ อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน มีพรรคฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็ใช้กรณีนี้เล่นงานผู้นำของตน เอาอย่างประเทศไทยเรื่องก็เลยทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่

ดีที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นอารยะพอ ไม่เถื่อนกระโจนไปตามการเมือง ซึ่งต้องชมเชยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ มิฉะนั้นก็ต้องรบกัน พาลูกหลานชาวบ้านไปตายโดยเปล่าประโยชน์

สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศก็พลอยไปเล่นการเมืองกับเขาด้วย ไม่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยศึกษา ไม่อ่านบันทึกของอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์ ดร.ชาญวิทย์ คำพิพากษาของศาลโลกก็คงไม่อ่านอยู่แล้ว

ถ้าเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงไม่มีทางเลือกต้องกลับไปที่ศาลโลกให้ตัดสินให้ชัดเจนว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม.เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะได้เคยตกลงให้ศาลโลกพิจารณามาแล้ว

คิดอย่างสามัญสำนึก โอกาสที่เราจะแพ้น่าจะสูงกว่าโอกาสที่จะชนะ ทางที่ดีปล่อยให้คลุมเครือดีกว่าให้ศาลโลกตัดสินอีกครั้ง โดยถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน น่าเสียใจที่เราไปเล่นการเมืองกันจนวิถีทางการแก้ปัญหาที่พัฒนามาด้วยดีนั้นกำลังพังทลายลง พอรัฐบาลจะลงก็ต้องหาบันไดลง

แต่ก็มีคนกำลังจะชักบันไดออกไม่ให้ลง
_____________________________________________________________________________________

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิบาก

คอลัมน์ เหล็กใน

อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง 19 นปช. ทั้งระดับแกนนำ และมือปฏิบัติการสายฮาร์ดคอร์ไปแล้ว

โดยเหลืออีก 6 ราย (มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรด้วย) ที่หากตามเจอตัวเมื่อไร ก็จะโดนฟ้องเช่นกัน

ข้อหาฉกรรจ์ "ก่อการร้าย"

จากคำบรรยายฟ้องนั้น กล่าวหาพฤติกรรมต่างกรรมต่างวาระของนปช. ในช่วงที่มีการชุมนุมยืดเยื้อในกทม.

ตั้งแต่เรื่องปิดถนน บุกสถานที่ราชการ ตลอดจนถล่มระเบิดที่โน่นที่นี่

ร้ายแรงที่สุด ก็คืออยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ (ซึ่งรวมยอด 91 ศพ) ทั้งทหารและผู้ชุมนุมด้วยกัน

จากนี้ไป ความยากลำบากแสนสาหัสจะต้องอยู่กับฝ่ายจำเลย

แม้จะได้รับความช่วยเหลือเต็มที่ จากทีมทนายความนปช.เอง และทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย

แต่ใครก็ตามที่โดนข้อหา "หลายกระทง" มากมายขนาดนี้ จะต้องเจอศึกหนักที่สุดในชีวิต

เป็นภาระที่ต้องหาพยานหลักฐานมาแก้ต่าง ในเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไล่กันเรียงประเด็น

บางพฤติการณ์ โอกาสต่อสู้ให้ชนะก็แทบจะมืดมน อาทิ การบุกรุกรัฐสภา แล้วมีการรุมตื้บสห.

ภาพของสื่อมวลชน เห็นเหตุการณ์ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มจนจบ

ถ้าสามารถหาพยานหลักฐานมาปฏิเสธได้ ต้องถือว่าสุดยอด

แต่ในบางประเด็นที่ร้ายแรงกว่า อย่างการสังหารเจ้าหน้าที่และประชาชน

ถึงข้อหาจะหนักมากถึงมากที่สุด แต่โอกาสต่อสู้ก็เปิดกว้างให้กับจำเลยมากเช่นกัน

คาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่า ในห้องพิจารณาคดี

จะต้องเกิด "สงครามคลิป" นำเสนอต่อหน้าผู้พิพากษากันอุตลุด

เช่น ฝ่ายจำเลยก็คงฉายคลิป "สไนเปอร์" ของทหาร ที่มีสื่อต่างชาติถ่ายไว้อย่างชัดเจน

มือยิง ยิงคนจนล้มลง มือตรวจการณ์สั่งหยุดยิง ก็ยังยิงแถมไปอีกเปรี้ยง

แต่ฝ่ายอัยการ ก็คงฉายคลิป ภาพวินาทีแถวทหารล้มครืน เนื่องจากโดนระเบิดถล่มเข้าใส่

แล้วก็คลิปชายชุดดำที่กำบังเสา สาดกระสุนอาก้าอย่างเลือดเย็น

ว่าไปแล้ว เรื่องราวการชุมนุมจะไม่บานปลายถึงขณะนี้

หากว่าเมื่อวันที่ 10 เมษาฯ ไม่มีเสียงระเบิดตูมแรกดังขึ้น!

เมื่อมีการสูญเสียของทหารสัญญาบัตร ก็แน่ชัดตั้งแต่นั้นว่า กองทัพคงต้องเอาคืนด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

ซึ่งถึงตอนนี้ ก็เห็นกันแล้วว่า นปช.สูญเสียชีวิตของคนเสื้อแดงไปมากมายไม่พอ

ยังต้องกลายเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาอีกต่างหาก ว่าฆ่าพวกเดียวกัน!

สำนวนคดี ให้ฝ่ายนปช.รับผิดชอบต่อการตายของคนทั้งหมด ไม่ว่าทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน

ตรงนี้ต้องบอกว่าน่าเห็นใจยิ่ง

เพราะมีคนมากมายเห็นกับตา ว่ารัฐทำอะไรลงไป!
**************************************************************************************

ย้อนปมร้าวประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ

การตีกลับโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี มูลค่า 6.4 หมื่นล้านของกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครม. ไม่ยอมอนุมัติโครงการดังกล่าว แต่เป็นการสั่งให้นำกลับมาศึกษา ทบทวน และตั้งกรรมการขึ้นมาดูแลทุกครั้งที่คมนาคมเสนอเรื่อง

โครงการนี้จึงกลายเป็นปมความขัดแย้งสำคัญระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย

บรรยากาศการโต้คารมระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ระหว่างที่ครม.พิจารณาเรื่องนี้

ระอุถึงขั้นนายโสภณ ประชดว่า "ถ้าวันนี้ไม่จบก็ไม่ทำแล้ว เอาไปทำกันเองเลยแล้วกัน"

โครงการเช่ารถเมล์ ถูกเบรกตั้งแต่แรกเริ่ม ครม.ตีกลับ ตัดยอดเช่าจาก 6,000 คัน มูลค่าแสนกว่าล้าน เหลือ 4,000 คัน มูลค่า 6.4 หมื่นล้าน และให้สภาพัฒน์ ไปศึกษาว่าการเช่าคุ้มหรือไม่

ก่อนจะให้กระทรวงคมนาคม ไปทำแผนกำหนดปฏิทินทั้งการเออร์ลี่รีไทร์พนักงาน การตั้งอู่เอ็นจีวีขึ้นมารองรับ

ข้ามมาถึงปี "53 มติครม. ครั้งล่าสุด ได้ตั้งคณะกรรมการทบทวน 3 ประเด็นที่ครม.คาใจ ประกอบด้วยแผนรองรับพนักงานที่ไม่สมัครใจลาออกก่อนเกษียณ รถเมล์ฟรี และรถร่วมบริการที่จะมีผลกระทบต่อโครงการ

พร้อมมอบหมาย นายไตรรงค์ สุวรรณ คีรี เป็นประธาน มีกรอบการทำงาน 2 เดือน

หลังมติดังกล่าว การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันรุ่งขึ้นก็ล่มไม่เป็นท่า เป็นไปตามคำเตือนล่วงหน้าของแกนนำพรรคภูมิใจไทย

เช็กยอดส.ส.ที่ขาดประชุม พบมีส.ส.จากทุกพรรค แต่ผิดสังเกตตรงที่พรรคภูมิใจไทยที่ขาดประชุม 9 คนนั้น 8 คน เป็นส.ส.ในกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ

ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา พ่อของนายเนวิน ที่นั่งทำหน้าที่ประธาน ไม่กดบัตรแสดงตน

แล้วยังใช้ความเก๋าสั่งนับองค์ประชุม เมื่อไม่ครบก็สั่งปิดประชุมทันที

เป็นการเรียกนับองค์ประชุมทั้งที่ส.ส.ลงชื่อ ครบแล้ว ผิดจากที่เคยปฏิบัติจนพรรคประชาธิปัตย์ข้องใจ

ปฏิกิริยาของพรรคภูมิใจไทย ชัดเจนถึงความไม่พอใจ

นายโสภณ ยืนยันชี้แจงครม.ได้หมดทุกเรื่อง แต่ที่ครม.ไม่อนุมัติเป็นเพราะความเชื่อ

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ยอมรับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยหลายคนมีความรู้สึกกับมติครม. ที่ออกมาต่างจากทุกครั้งที่ผ่านๆ มา แม้ข่าววงในจะระบุความไม่พอใจ แต่การให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะจะเป็นไปในลักษณะประนีประนอม บอก ปัดความขัดแย้ง

พรรคภูมิใจไทยอาจคิดว่า "เหลืออด" แล้วก็ได้

เพราะความขัดแย้งของ 2 ฝ่าย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก และไม่ได้มีแค่เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี เพียงเรื่องเดียว

ความเห็นแย้งในการบริหารงานระหว่าง 2 พรรค เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นของรัฐบาล

13 พ.ค.52 ครม. มีมติเบรกการระบายสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.49 แสนตัน ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของภูมิใจไทยเช่นกัน

บรรยากาศการประชุมครม. หนนั้น เดือดถึงขั้นนายกฯ สั่งให้นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ที่เข้าชี้แจงออกจากห้องประชุม

ด้าน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า หลุดปากนายกฯ 2 มาตรฐาน

ปลายส.ค. รอยร้าวระหว่างประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย ปะทุขึ้นที่กระทรวงพาณิชย์อีกครั้ง

เมื่อนางพรทิวา เสนอแต่งตั้ง นายยรรยง พวงราช ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่นายกฯ ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา และเลื่อนการพิจารณาถึง 3 ครั้ง 3 ครา

กระทั่งนายยรรยง เข้าพบพูดคุยกับนายกฯ เป็นการส่วนตัว ครม.จึงมีมติแต่งตั้ง

เหตุผลการเลื่อนมองกันไปหลายมุม บ้างว่ามาจากการเข้าชี้แจงเรื่องสต๊อกข้าวโพด ที่นายยรรยง กล้าต่อปากต่อคำนายกฯ จนถูกเชิญออกจากห้องประชุม

ข่าวอีกทางระบุ นายกฯ เล็งแต่งตั้งนายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เพราะต้องการให้ความสำคัญกับการส่งออกเพื่อฉุดเศรษฐกิจ

บางกระแสว่าเป็นการยื้อเพื่อแลกเสียงโหวตแต่งตั้งผบ.ตร. ที่ขณะนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล

ซึ่งประเด็นผบ.ตร. ก็เป็นอีกข้อขัดแย้งหนึ่งของประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทย ด้วยเช่นกัน

ตอนนั้น นายกฯ ผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นสู่ตำแหน่ง

แต่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาด ไทย หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) กลับประกาศชัดเจนว่าสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย

ปัญหาความขัดแย้งของ 2 พรรค ทำให้คาดเดากันไปถึงการพิจารณางบประมาณ ในวันที่ 18-19 ส.ค. ที่จะถึงนี้

ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ดูเชื่อมั่นกับเสียงสนับสนุนอย่างยิ่ง

นั่นอาจเพราะ การแต่งตั้งผบ.ตร. ที่คาราคาซังมานานนับปีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

อีกทั้ง การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีก็จบลงด้วยดี

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังเบิกโรงตีปี๊บสังคมสวัสดิการ เพื่อใช้หาเสียงครั้งหน้าอย่างต่อเนื่องแล้ว

เป็นการขยับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเข้าไปทุกขณะ

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย แม้จะเห็นการตระเตรียมความพร้อมอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นรองโดยเฉพาะกระแส

ยิ่งถ้าวัดจากโครงการรถเมล์เอ็นจีวี จะเห็นว่าผลสำรวจออกมาทีไรไม่เข้าตาประชาชนสักที ถึงขั้นเป็นโครงการ "สร้างชื่อเสีย" ของรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ

จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ จะมั่นใจในเสียงโหวตงบประมาณ

พร้อมระบุ หากไม่ผ่านนายกฯ ก็ต้องยุบสภาตามที่กฎหมายกำหนด

แล้วจะมีใครกันที่นั่งเป็นรัฐบาลอยู่ดีๆ อยากให้ยุบสภาก่อนวาระ

****************************************************************************