ศาลนัดพร้อม สืบพยาน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีผู้ออกแบบเว็บนปช.ยูเอสเอ เป็นเดือน ก.พ.54 ด้านคดี ‘ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล’ ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอประกันตัว ชี้ข้อหาร้ายแรงเกรงจะหลบหนี
ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดา ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อนัดพร้อม ตรวจสอบพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล อายุ 37 ปี เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เป็นผู้ให้บริการจงใจ สนับสนุน ยินยอมให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนและเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ตามมาตรา 3, 14, 15 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
รายงานข่าวระบุว่า จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นศาล และพนักงานอัยการได้ยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 12 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 6 ปาก ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ 3 นัด และพยานจำเลย 2 นัด หลังจากที่จำเลยได้ร้องขอให้มีการเพิ่มการนัดสืบพยานจำเลย เนื่องจากมีพยานหลายคนที่ไม่พร้อมให้การ เนื่องจากมีความวิตกกังวลว่าอาจถูกรัฐบาลเพ่งเล็งท่ามกลางการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้ อีกทั้งจำเลยยังเพิ่งได้พบทนายเป็นครั้งแรกในวันนี้ ศาลจึงอนุญาตให้สืบพยานจำเลยเพิ่มเติมจาก 1 นัด เป็น 2 นัด โดยกำหนดวันสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4, 8, 9 ก.พ.2554 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 10, 11 ก.พ.2554
ทั้งนี้ นายธันย์ฐวุฒิ หรือนามแฝง “เรดอีเกิ้ล” ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และ www.norporchorusa2.com และถูก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ อรุณศรีโสภณ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ห้องพักในเขตบางกะปิ กทม.พร้อมยึดคอมพิวเตอร์และของกลางหลายรายการ จากนั้นถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน
ด้านความคืบหน้าคดีนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 18 ปี เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2552 และทนายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 27 ต.ค.2552 ต่อมาทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 ก.ค.53 โดยระบุถึงสาเหตุขากรรไกรอักเสบรุนแรง ทำให้อ้าปากได้เพียงเล็กน้อยและต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ ขีดความสามารถเพียงพอ ทั้งยังต้องพักฟื้นอีก 1-2 ปี นอกจากนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีความผิดฐานเดียวกันก็ได้รับการปล่อยชั่วคราวเรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำของจำเลย กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและสักการะ และส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนผู้จงรักภักดีอย่างกว้างขวาง จึงถือเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยรวม ๑๘ ปี หากไดรับการปล่ออยชั่วคราวแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี ส่วนเหตุที่อ้างว่าจำเลยเจ็บป่วยนั้น จำเลยอาจร้องขอต่อราชทัณฑ์เพื่อไปรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่มีขีดความสามารถรักษาพยาบาลอาการป่วยของจำเลยได้อยู่แล้ว จึงยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”
นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายดารณี กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่น้องสาวซึ่งเจ็บป่วยไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ตนเองซึ่งอยู่จังหวัดภูเก็ตต้องเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกอาทิตย์มาเป็นเวลา 2 ปีกว่าแล้ว พร้อมทั้งต้องฝากเงินให้ดารณีเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อนมและอาหารอ่อนด้วย เนื่องจากดารณีอ้าปากได้น้อยมากและไม่สามารถทานอาหารที่เรือนจำจัดให้ได้ ขณะเดียวกันตนเองก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ช่วยเหลือน้องสาวได้น้อยลงด้วย ดังนั้น หากผู้ใดประสงค์จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สามารถโอนเงินเข้ามาได้ที่บัญชีออมทรัพย์ ชื่อ นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนพูนผล เลขที่ 297-1-25805-5
ที่มา.ประชาไท
_______________________________________________________________________
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รู้อื้อ, ยิ่งกว่า‘ลายนิ้วมือ’ตัวเอง
แผนคาร์บอมม์ วางระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา..ออกมาจากปาก “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้อำนวยการ ศอฉ. ยกให้ท่าน มีการข่าว ที่สุดเจ๋ง??
บวกกับความเก่ง ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ผบ.ตร. ที่ขานรับเป็นช่วง
ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน....จะถล่มบ้านเมือง ในงาน “วันแม่แผ่นดิน-แม่หลวง”
เห็นรู้ละเอียดถี่ยิบ แผนการทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ทำไม?.. “รัฐบาลและตำรวจ” ไม่จับ!!
เห็นดีแต่ประโคมข่าว....ไม่ยักจับใครได้สักเจ้า?...ดูแล้วกินภาษีเสียเปล่า จริงๆ ครับ??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ได้ใจประชาชน จึง ปกครองชาติได้
วิธีบริหารแผ่นดิน ของ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” เอาแต่ประโยชน์ แห่งตัวเองเป็นใหญ่??
วันนี้ “อภิสิทธิ์” ยังติดกับดักการเมือง เหยียบแผ่นดิน ไม่ได้ทุกภาค
ไม่กล้าควงแขน...แอ่นระแน้ไปเยี่ยมใครก็แล้วกัน สำหรับ “นายกฯมาร์ค”
เกาะกลุ่ม เก็บเกี่ยว อยู่แต่ในรัง แค่ทำเนียบรัฐบาล...ทั้งที่คุมอำนาจประเทศไทย แต่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ-เนวิน” กลับเก็บตัวเงียบ อยู่แต่ในกระดอง!!
ไม่ได้หัวใจประชาชน....หยั่งงี้ปกครองชาติไปก็ไร้ผล...เพราะคนแอนตี้ มากมายก่ายกอง??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยื่นหมูยื่นแมว!!!
สำเร็จสมใจนึกบางลำพูไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็น “จ่าฝูงทัพบก” ไปแล้ว??
แถมยังชักแถว เกี่ยวก้อยให้ “พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ” เพื่อนเลิฟ ตท. ๑๒ ก้าวมาเป็น “เสนาธิการทหารบก”
แท็กทีมกันเต็มคราบ...ดูการสนองคุณกลับ ดัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผงาดเป็นนายกฯ
สอดคล้องกับ “โหรคมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ แห่งสำนักสุขิโต เมืองเชียงใหม่ ที่ทิ้งปริศนาอักษรไขว้ว่า “ป.ปลาตากลม” จะเหาะฉิว เดินตัวปลิว เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี”!!!
ถ้า“บิ๊กป๊อก” พลาดไป.. ให้ดู“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”ไว้?..จะเป็นใหญ่ ในเก้าอี้นี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ยึดทำเนียบ” ประกาศ ว่าผิด!!!
เมื่อครั้งที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตัวพ่อม๊อบเหลือง ยึดทำเนียบฯ...แล้วพรรคประชาธิปัตย์ แห่แหนยกโขยงไปให้กำลังเต็มพิกัด ถึงตึกไทยคู่ฟ้า...ทำไมหนา? “นายกฯ มาร์ค” ถึงไม่คิด??
เท่ากับว่าวันนั้น “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปร่วมสังฆกรรมด้วย ต้องมีชนักติดหลัง
ตีความกันตรงๆ ...ฟันธง ท่านก็ไม่พ้นผิด กระมัง
ดีแต่จะเอากระบองยักษ์ แห่งเผด็จการ เพ่นกบาล “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ผู้หวงห่วงแผ่นดินทับซ้อน รอบ“ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่เค้าออกมาประท้วง ไม่ให้แผ่นดินไทย เสียหาย!!
เมื่อจะใช้กฎเหล็กให้เฉียบ..ท่านก็เคยร่วมบุกทำเนียบฯ? ..ทีหยั่งงี้ล่ะเงียบ เหยียบ เอาไว้??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียหน้าแทบไม่เหลือหรอ!!
วันนี้จันทร์ที่ ๙ สิงหาคม “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ฤกษ์เสียที.. กับการได้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เป็น “ผอบอตอรอ”??
นอกจาก ได้กำลังภายใน “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนุนสุดๆ ในงานนี้
“ว่าที่ผบ.ทบ.” พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา”...เดินร่วมรุ่น ตท.๑๒ ก็เดินหน้าหนุน เต็มที่
ทั้งได้การขยับเคลื่อน อีดฉีดยาโด๊ปเต็มสตีม จาก “พี่ใหญ่ตันประเสริฐ” ผู้เป็นพี่ชาย ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” รักษาการแทน ผบ.ตร. เชียร์ด้วย ทุกอย่าง จึงแบเบอร์!!!
ถ้าไม่มีพี่น้อง “ตันประเสริฐ” ...รับประกัน “บิ๊กวิเชียร” ไม่ได้เกิด? ..ใหญ่ระเบิดหรอกเธอ
_______________________________________________________
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************************
บวกกับความเก่ง ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ผบ.ตร. ที่ขานรับเป็นช่วง
ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน....จะถล่มบ้านเมือง ในงาน “วันแม่แผ่นดิน-แม่หลวง”
เห็นรู้ละเอียดถี่ยิบ แผนการทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ทำไม?.. “รัฐบาลและตำรวจ” ไม่จับ!!
เห็นดีแต่ประโคมข่าว....ไม่ยักจับใครได้สักเจ้า?...ดูแล้วกินภาษีเสียเปล่า จริงๆ ครับ??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ได้ใจประชาชน จึง ปกครองชาติได้
วิธีบริหารแผ่นดิน ของ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” เอาแต่ประโยชน์ แห่งตัวเองเป็นใหญ่??
วันนี้ “อภิสิทธิ์” ยังติดกับดักการเมือง เหยียบแผ่นดิน ไม่ได้ทุกภาค
ไม่กล้าควงแขน...แอ่นระแน้ไปเยี่ยมใครก็แล้วกัน สำหรับ “นายกฯมาร์ค”
เกาะกลุ่ม เก็บเกี่ยว อยู่แต่ในรัง แค่ทำเนียบรัฐบาล...ทั้งที่คุมอำนาจประเทศไทย แต่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ-เนวิน” กลับเก็บตัวเงียบ อยู่แต่ในกระดอง!!
ไม่ได้หัวใจประชาชน....หยั่งงี้ปกครองชาติไปก็ไร้ผล...เพราะคนแอนตี้ มากมายก่ายกอง??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยื่นหมูยื่นแมว!!!
สำเร็จสมใจนึกบางลำพูไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็น “จ่าฝูงทัพบก” ไปแล้ว??
แถมยังชักแถว เกี่ยวก้อยให้ “พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ” เพื่อนเลิฟ ตท. ๑๒ ก้าวมาเป็น “เสนาธิการทหารบก”
แท็กทีมกันเต็มคราบ...ดูการสนองคุณกลับ ดัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผงาดเป็นนายกฯ
สอดคล้องกับ “โหรคมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ แห่งสำนักสุขิโต เมืองเชียงใหม่ ที่ทิ้งปริศนาอักษรไขว้ว่า “ป.ปลาตากลม” จะเหาะฉิว เดินตัวปลิว เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี”!!!
ถ้า“บิ๊กป๊อก” พลาดไป.. ให้ดู“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”ไว้?..จะเป็นใหญ่ ในเก้าอี้นี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ยึดทำเนียบ” ประกาศ ว่าผิด!!!
เมื่อครั้งที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตัวพ่อม๊อบเหลือง ยึดทำเนียบฯ...แล้วพรรคประชาธิปัตย์ แห่แหนยกโขยงไปให้กำลังเต็มพิกัด ถึงตึกไทยคู่ฟ้า...ทำไมหนา? “นายกฯ มาร์ค” ถึงไม่คิด??
เท่ากับว่าวันนั้น “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปร่วมสังฆกรรมด้วย ต้องมีชนักติดหลัง
ตีความกันตรงๆ ...ฟันธง ท่านก็ไม่พ้นผิด กระมัง
ดีแต่จะเอากระบองยักษ์ แห่งเผด็จการ เพ่นกบาล “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ผู้หวงห่วงแผ่นดินทับซ้อน รอบ“ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่เค้าออกมาประท้วง ไม่ให้แผ่นดินไทย เสียหาย!!
เมื่อจะใช้กฎเหล็กให้เฉียบ..ท่านก็เคยร่วมบุกทำเนียบฯ? ..ทีหยั่งงี้ล่ะเงียบ เหยียบ เอาไว้??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียหน้าแทบไม่เหลือหรอ!!
วันนี้จันทร์ที่ ๙ สิงหาคม “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ฤกษ์เสียที.. กับการได้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เป็น “ผอบอตอรอ”??
นอกจาก ได้กำลังภายใน “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนุนสุดๆ ในงานนี้
“ว่าที่ผบ.ทบ.” พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา”...เดินร่วมรุ่น ตท.๑๒ ก็เดินหน้าหนุน เต็มที่
ทั้งได้การขยับเคลื่อน อีดฉีดยาโด๊ปเต็มสตีม จาก “พี่ใหญ่ตันประเสริฐ” ผู้เป็นพี่ชาย ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” รักษาการแทน ผบ.ตร. เชียร์ด้วย ทุกอย่าง จึงแบเบอร์!!!
ถ้าไม่มีพี่น้อง “ตันประเสริฐ” ...รับประกัน “บิ๊กวิเชียร” ไม่ได้เกิด? ..ใหญ่ระเบิดหรอกเธอ
_______________________________________________________
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************************
'เหวง'ขึ้นศาลเบิกความชุมนุมสันติตามมตินปช.
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"นพ. เหวง" ขึ้นศาลไต่สวนอุทธรณ์ประกัน ระบุชุมนุมอย่างสันติตามมติของนปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง
ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก- ศาลไต่สวน คำร้องที่ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หนึ่งใน 25 ผู้ต้องหาคดีร่วมก่อการร้าย ยื่นอุทธรณ์ขอปล่อยชั่วคราว ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ไต่สวนพยาน
โดยศาลอาญา ได้เบิกตัว นพ.เหวง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเพื่อไต่สวน ขณะที่วันนี้ได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก ทนาย ประกอบด้วย น.พ.เหวง , พล.อ เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา และนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ขณะที่ นพ.เหวง เบิกความว่า การชุมนุมต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นการชุมนุมอย่างสันติตามมติของ นปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และผู้ร้องเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานด้วยตนเอง ทั้งที่ทราบดีว่าคดีมีโทษสูง โดยไม่คิดหลบหนี อีกทั้งหากยังถูกควบคุมตัวในเรือนจำ จะทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานการต่อสู้คดีเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผู้ร้องป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย
ด้านพล.อ. เลิศรัตน์ เบิกความว่า ตลอดการชุมนุมได้ติดต่อกับผู้ต้องหาเพื่อเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันที่บ้านพักของตน แต่ไม่ได้ข้อสรุปในการเจรจาครั้งนั้น
ส่วนนายธานินทร์ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เบิกความว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้านการประกันตัวของ น.พ.เหวงตั้งแต่การฝากขังครั้งแรก อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปคดีและพยานหลักฐานได้
ทั้งนี้ภายหลังศาลไต่สวนเสร็จสิ้นทั้ง 3 ปากแล้ว ศาลอาญามีคำสั่งรวบรวมการไต่สวนพยานส่งให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อมีคำสั่งต่อไป
_______________________________________________________________________
"นพ. เหวง" ขึ้นศาลไต่สวนอุทธรณ์ประกัน ระบุชุมนุมอย่างสันติตามมติของนปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง
ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก- ศาลไต่สวน คำร้องที่ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หนึ่งใน 25 ผู้ต้องหาคดีร่วมก่อการร้าย ยื่นอุทธรณ์ขอปล่อยชั่วคราว ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ไต่สวนพยาน
โดยศาลอาญา ได้เบิกตัว นพ.เหวง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเพื่อไต่สวน ขณะที่วันนี้ได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก ทนาย ประกอบด้วย น.พ.เหวง , พล.อ เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา และนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ขณะที่ นพ.เหวง เบิกความว่า การชุมนุมต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นการชุมนุมอย่างสันติตามมติของ นปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และผู้ร้องเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานด้วยตนเอง ทั้งที่ทราบดีว่าคดีมีโทษสูง โดยไม่คิดหลบหนี อีกทั้งหากยังถูกควบคุมตัวในเรือนจำ จะทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานการต่อสู้คดีเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผู้ร้องป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย
ด้านพล.อ. เลิศรัตน์ เบิกความว่า ตลอดการชุมนุมได้ติดต่อกับผู้ต้องหาเพื่อเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันที่บ้านพักของตน แต่ไม่ได้ข้อสรุปในการเจรจาครั้งนั้น
ส่วนนายธานินทร์ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เบิกความว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้านการประกันตัวของ น.พ.เหวงตั้งแต่การฝากขังครั้งแรก อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปคดีและพยานหลักฐานได้
ทั้งนี้ภายหลังศาลไต่สวนเสร็จสิ้นทั้ง 3 ปากแล้ว ศาลอาญามีคำสั่งรวบรวมการไต่สวนพยานส่งให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อมีคำสั่งต่อไป
_______________________________________________________________________
ฮุน เซน ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีความขัดแย้ง
สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีต่อความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารกับไทย โดยมีใจความกล่าวหาไทยว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการขู่ที่จะใช้กำลังทหารกับกัมพูชาเพื่อยุติปัญหาชายแดน
สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งหนังสือถึงนายอาลี อับดุสซาลัม ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และนายวิทาลี เชอร์กิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีต่อความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารกับไทย
โดยหนังสือดังกล่าวมีใจความกล่าวหาไทยว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 2.3 และ 2.4 อย่างชัดเจน ด้วยการขู่ที่จะใช้กำลังทหารกับกัมพูชาเพื่อยุติปัญหาชายแดน พร้อมกันนี้สมเด็จฮุนเซนยังย้ำถึงจุดยืนของกัมพูชาที่จะไม่ใช้กำลังทางทหารในการคลี่คลายความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน แต่จะปกป้องดินแดนและอธิปไตยของประเทศเต็มที่หากถูกคุกคาม
*****************************************************************************
ประเด็นร้อน...คนซื้อที่ดินต้องรู้...! ติดบ่วงแก๊ง "ออกโฉนดมิชอบ" เจอข้อหาฟอกเงิน-ยึดทรัพย์
ประชาชาติธุรกิจ
จากนี้ไปนักธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้ที่ต้องการซื้อที่ดิน โดยเฉพาะในทำเลสุ่มเสี่ยงที่เป็นภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ ที่สาธารณะ จะต้องตรวจสอบให้ดี เนื่องจากที่ดินผืนงามเหล่านั้นอาจมีการ ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และยังอาจติดบ่วงขบวนการ "ฟอกเงิน" เพราะไปซื้อทรัพย์สิน (ที่ดิน, โฉนด, น.ส.3 ก.) ที่เกิดจากการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ที่ดิน
การสัมมนาเรื่อง "การบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบ" ซึ่งจัดโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้ทรงคุณวุฒิจาก 8 หน่วยงาน มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า
"ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยประชาชนผู้ที่ได้รับเอกสารสิทธิและเป็น ผู้ครอบครองที่ดิน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ดินให้กระทำความผิด ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542"
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 ระบุว่า ผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด หรือ กระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงในการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่ายจ่ายโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดผู้นั้น "กระทำความผิดฐานฟอกเงิน"
ศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมทางธุรกิจและการฟอกเงิน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะตรงกับความผิดมูลฐานที่ 5 ของมาตรา 3 (5) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
ส่วนการนำ "ทรัพย์สิน" คือที่ดินและเอกสารสิทธิที่ออกมาโดยมิชอบ มาขายหรือจำหน่ายต่อไปนั้น "เงิน" ที่ได้มาจากการขายที่ดินถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพราะผู้กระทำความผิดมีเจตนาจะใช้ทรัพย์สินเป็นสำคัญในการกระทำผิด
สำหรับเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินจะเข้ากฎหมายฟอกเงิน และเมื่อที่ดินถูกเพิกถอนแล้วย่อมกลับเป็นที่ดินของรัฐ
ศาสตราจารย์วีระพงษ์ยังระบุด้วยว่า เหตุผลที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินเป็นจำนวนมาก เกิดจากปัจจัย 1) ราคาที่ดินในปัจจุบันสูงขึ้น ขณะที่พื้นที่ของประเทศมีขนาดคงเดิมและประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่ดินเพิ่มขึ้น
2) การซื้อขายที่ดินสามารถอำพรางหรือปกปิดเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย จึงนำมาซื้อที่ดินได้ง่าย กฎหมายจึงต้องให้มีการรายงานธุรกรรม
3) วิธีการฟอกเงินของประเทศที่กำลังพัฒนา คือการใช้ที่ดินเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน 4) เป็นความผิดที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก แต่สร้างผลตอบแทนได้สูง และ 5) เป็นความผิดที่สามารถใช้อิทธิพลมาครอบงำการทำงานของกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย
นอกจากนี้ หน่วยงานแห่งหนึ่งได้สำรวจทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้างที่มีความไม่โปร่งใสเข้าข่ายฟอกเงินทั่วประเทศประมาณ 1,800 แปลง เนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เช่น พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 243 แปลง เนื้อที่ 79 ไร่ ภาคอีสาน 394 แปลง เนื้อที่ 1,367 ไร่ ภาคเหนือ 274 แปลง เนื้อที่ 843 ไร่ ภาคตะวันออก 108 แปลง เนื้อที่ 250 ไร่ ภาคใต้ 180 แปลง เนื้อที่ 1,600 ไร่เศษ และภาคกลาง 114 แปลง เนื้อที่ 1,493 ไร่
ขณะเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็พบข้อมูลการกระทำความผิดเกี่ยวกับ การออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และ ร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายฟอกเงินเฉพาะในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกไม่น้อยกว่า 9 คดี
รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ผู้กระทำคือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้ที่ให้สินบน ทรัพย์สินเหล่านี้ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด การนำเอกสารสิทธิที่ออก โดยมิชอบมาหาประโยชน์ เท่ากับเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และควรเพิกถอนให้กลับมาเป็นที่ดินของรัฐ และหาก ยังไม่เพิกถอนก็สามารถยึดคืนกลับมาได้
"การเอาที่ดินไปขายถือเป็นการฟอกเงิน เพราะเป็นการให้สินบนกับเจ้าพนักงาน สามารถนำหลัก "ถ้าไม่ทำ ผลไม่เกิด" ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทุจริตก็ไม่ได้เงิน และไม่สามารถออกเป็นเอกสารสิทธิได้ ในการ ยึดเงินสามารถยึดได้ 2 ส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนของผู้สนับสนุน ดังนั้นเงินที่ได้มาทั้งหมดจึงเข้ากฎหมายฟอกเงิน"
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า การนำเอาที่ดินของรัฐ เช่น ที่ภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ มาออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบนั้น เช่น ใช้วิธี ส.ค.1 บิน หรือบวม เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมรู้อยู่แล้วว่าที่ดินนั้นเป็นของรัฐ ถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ค่าตอบแทนในการออกเอกสารสิทธิถือเป็นเงินสินบน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อันเป็นความผิดมูลฐาน การฟอกเงิน
"ส่วนเอกชนที่ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบ ที่ดินนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน และเมื่อมีการโอน, ขายต่อ ๆ กันไปเป็นทอด ๆ ก็เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดด้วย"
ถ้าการสอบสวนชัดเจนว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด แม้ว่าจะเป็นที่ดินของรัฐก็ตาม หากขายแล้วได้เงินมาก็เป็นการฟอกเงิน และมีข้อสังเกตว่าในความผิดอาญาฐานฟอกเงินในการสอบสวนจะต้องพิจารณาถึงการมีผลบังคับใช้ของกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 19 สิงหาคม 2542 เพราะกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง หากมีการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหลังวันที่ 19 ส.ค. 2542 ก็สามารถดำเนินคดีฐานฟอกเงินได้
นี่คือประเด็นสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินจะต้องระมัดระวังตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าโฉนดออกโดยมิชอบและเข้าข่ายการฟอกเงิน
ไม่ว่าที่ดินแปลงนั้นจะถูกซื้อขายโอนไปกี่มือแล้วก็ตาม ในที่สุดแล้วจะต้องถูกเพิกถอนกลับไปเป็นของแผ่นดิน และผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตจะต้องไปฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับผู้ที่ขายที่ดินให้ตนเองต่อไป
****************************************************************************
จากนี้ไปนักธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้ที่ต้องการซื้อที่ดิน โดยเฉพาะในทำเลสุ่มเสี่ยงที่เป็นภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ ที่สาธารณะ จะต้องตรวจสอบให้ดี เนื่องจากที่ดินผืนงามเหล่านั้นอาจมีการ ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และยังอาจติดบ่วงขบวนการ "ฟอกเงิน" เพราะไปซื้อทรัพย์สิน (ที่ดิน, โฉนด, น.ส.3 ก.) ที่เกิดจากการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ที่ดิน
การสัมมนาเรื่อง "การบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบ" ซึ่งจัดโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้ทรงคุณวุฒิจาก 8 หน่วยงาน มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า
"ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยประชาชนผู้ที่ได้รับเอกสารสิทธิและเป็น ผู้ครอบครองที่ดิน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ดินให้กระทำความผิด ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542"
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 ระบุว่า ผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด หรือ กระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงในการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่ายจ่ายโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดผู้นั้น "กระทำความผิดฐานฟอกเงิน"
ศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมทางธุรกิจและการฟอกเงิน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะตรงกับความผิดมูลฐานที่ 5 ของมาตรา 3 (5) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ
ส่วนการนำ "ทรัพย์สิน" คือที่ดินและเอกสารสิทธิที่ออกมาโดยมิชอบ มาขายหรือจำหน่ายต่อไปนั้น "เงิน" ที่ได้มาจากการขายที่ดินถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพราะผู้กระทำความผิดมีเจตนาจะใช้ทรัพย์สินเป็นสำคัญในการกระทำผิด
สำหรับเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินจะเข้ากฎหมายฟอกเงิน และเมื่อที่ดินถูกเพิกถอนแล้วย่อมกลับเป็นที่ดินของรัฐ
ศาสตราจารย์วีระพงษ์ยังระบุด้วยว่า เหตุผลที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินเป็นจำนวนมาก เกิดจากปัจจัย 1) ราคาที่ดินในปัจจุบันสูงขึ้น ขณะที่พื้นที่ของประเทศมีขนาดคงเดิมและประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่ดินเพิ่มขึ้น
2) การซื้อขายที่ดินสามารถอำพรางหรือปกปิดเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย จึงนำมาซื้อที่ดินได้ง่าย กฎหมายจึงต้องให้มีการรายงานธุรกรรม
3) วิธีการฟอกเงินของประเทศที่กำลังพัฒนา คือการใช้ที่ดินเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน 4) เป็นความผิดที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก แต่สร้างผลตอบแทนได้สูง และ 5) เป็นความผิดที่สามารถใช้อิทธิพลมาครอบงำการทำงานของกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย
นอกจากนี้ หน่วยงานแห่งหนึ่งได้สำรวจทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้างที่มีความไม่โปร่งใสเข้าข่ายฟอกเงินทั่วประเทศประมาณ 1,800 แปลง เนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เช่น พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 243 แปลง เนื้อที่ 79 ไร่ ภาคอีสาน 394 แปลง เนื้อที่ 1,367 ไร่ ภาคเหนือ 274 แปลง เนื้อที่ 843 ไร่ ภาคตะวันออก 108 แปลง เนื้อที่ 250 ไร่ ภาคใต้ 180 แปลง เนื้อที่ 1,600 ไร่เศษ และภาคกลาง 114 แปลง เนื้อที่ 1,493 ไร่
ขณะเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็พบข้อมูลการกระทำความผิดเกี่ยวกับ การออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และ ร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายฟอกเงินเฉพาะในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกไม่น้อยกว่า 9 คดี
รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ผู้กระทำคือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้ที่ให้สินบน ทรัพย์สินเหล่านี้ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด การนำเอกสารสิทธิที่ออก โดยมิชอบมาหาประโยชน์ เท่ากับเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และควรเพิกถอนให้กลับมาเป็นที่ดินของรัฐ และหาก ยังไม่เพิกถอนก็สามารถยึดคืนกลับมาได้
"การเอาที่ดินไปขายถือเป็นการฟอกเงิน เพราะเป็นการให้สินบนกับเจ้าพนักงาน สามารถนำหลัก "ถ้าไม่ทำ ผลไม่เกิด" ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทุจริตก็ไม่ได้เงิน และไม่สามารถออกเป็นเอกสารสิทธิได้ ในการ ยึดเงินสามารถยึดได้ 2 ส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนของผู้สนับสนุน ดังนั้นเงินที่ได้มาทั้งหมดจึงเข้ากฎหมายฟอกเงิน"
นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า การนำเอาที่ดินของรัฐ เช่น ที่ภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ มาออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบนั้น เช่น ใช้วิธี ส.ค.1 บิน หรือบวม เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมรู้อยู่แล้วว่าที่ดินนั้นเป็นของรัฐ ถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ค่าตอบแทนในการออกเอกสารสิทธิถือเป็นเงินสินบน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อันเป็นความผิดมูลฐาน การฟอกเงิน
"ส่วนเอกชนที่ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบ ที่ดินนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน และเมื่อมีการโอน, ขายต่อ ๆ กันไปเป็นทอด ๆ ก็เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดด้วย"
ถ้าการสอบสวนชัดเจนว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด แม้ว่าจะเป็นที่ดินของรัฐก็ตาม หากขายแล้วได้เงินมาก็เป็นการฟอกเงิน และมีข้อสังเกตว่าในความผิดอาญาฐานฟอกเงินในการสอบสวนจะต้องพิจารณาถึงการมีผลบังคับใช้ของกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 19 สิงหาคม 2542 เพราะกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง หากมีการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหลังวันที่ 19 ส.ค. 2542 ก็สามารถดำเนินคดีฐานฟอกเงินได้
นี่คือประเด็นสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินจะต้องระมัดระวังตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าโฉนดออกโดยมิชอบและเข้าข่ายการฟอกเงิน
ไม่ว่าที่ดินแปลงนั้นจะถูกซื้อขายโอนไปกี่มือแล้วก็ตาม ในที่สุดแล้วจะต้องถูกเพิกถอนกลับไปเป็นของแผ่นดิน และผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตจะต้องไปฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับผู้ที่ขายที่ดินให้ตนเองต่อไป
****************************************************************************
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์: ใครกันแน่ที่ควรจะเข้ารับการบำบัดจิต
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
หลังจากที่อาจารย์ชำนาญ จันทร์เรือง เขียนบทความเรื่อง"ผมเห็นเด็กกำลังจะตายเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย"ผมก็คิดไปเองว่าคงจะไม่มีใครไปหาเรื่องหรือเอาเรื่องเอาราวกับเด็กนักเรียนอีก เพราะบทความชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้ เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้ กับเด็ก เพื่อที่จะสร้างผลงาน โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม" และบทความนี้ ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งในหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผมมองโลกอย่างคนธรรมดาว่าคงจะมีผู้มีอำนาจที่ตระหนักถึงความไม่ถูกต้องนี้ และสั่งลงมาว่าอย่าไปทำอะไรเด็กอีก
แต่ที่ไหนได้ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีข่าวว่าเด็กนักเรียนถูกสั่งจากนักจิตวิทยาประจำสถานพินิจคุ้ม ครองเด็กและเยาวชน เชียงรายให้เข้ารับ "การบำบัด" ซึ่งตามข่าว "การบำบัด" ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ซักถามตามธรรมเนียม (แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ เจ้าหน้าที่ได้ "แนะนำให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา") อะไรเกิดขึ้นที่เชียงราย
ผมคิดว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เองก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร เพราะรู้ดีอยู่ว่าเรื่องนี้เกินการควบคุมของตนเอง แต่เมื่อปรึกษา (อย่างไม่เป็นทางการ) กับเจ้านายเหนือขึ้นไป ก็น่าได้รับคำตอบทำนองว่าทำ อะไรก็ได้ที่เบาหน่อย แต่จะไม่ทำอะไรเลยนั้นคงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเกิดการ "เหิมเกริม" และจะคุมไม่อยู่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็พยายามคิดหาทางออก โดยเฉพาะทางออกก็เน้นให้พ้นมือ และความรับผิดชอบของตน การจัดการทั้งหมดจึงไปลงที่การส่งเด็กไปให้สถานพินิจฯ แต่จะส่งเด็กไปเข้าสถานพินิจฯ ก็ไม่ได้ เพราะความผิดไม่ชัดเจน จึงเลี่ยงด้วยการสั่งให้ไปหานักจิตวิทยาเพื่อรับการบำบัด ซึ่งพวกเขาคิดว่าน่าจะเบาที่สุด และปัดพ้นความรับผิดชอบไปได้
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยคงไม่เคยรู้ว่าวิธีการที่บรรดาเผด็จการในทุกสังคมชอบใช้ในการจัดการคนที่คิดต่างออกไป ได้แก่ การผลักดันให้กลายเป็น "คนบ้า" เพื่อจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนปกติว่าจะถูกหาว่าเป็น "คนบ้า" แต่วิธีการเช่นนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป จึงทำให้การใช้วิธีการเก่าแบบนี้ ยิ่งดูเป็นเรื่องสกปรกมากขึ้นในสายตาของสังคม
เหตุเกิดที่เชียงรายได้ ก็เพราะการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งบังคับให้เจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่ต้องทำอะไรสักอย่างแม้ว่า จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ไม่มี "ความกล้าหาญ" เพียงพอที่จะแย้งหรือไม่ทำตาม เพราะ "ความกล้าหาญ" ย่อมต้องการพลังทางสังคมสนับสนุน ตราบใดที่พลังทางสังคมยังไม่เป็นกระแสแรงพอ เจ้าหน้าที่ย่อมรู้สึกทันทีว่าหากขัดคำสั่งเจ้านายแล้ว ตนเองตายแต่ผู้เดียว
ในวันเดียวกัน ที่เด็กนักเรียนถูกจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนหก คนได้ประชุมมั่วสุมและฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาตรา 9 (1) และ (2) ที่สำคัญ ฝ่าฝืนหนักขนาดออกแถลงการณ์ให้ "ยกเลิก" (เลิกไปเลย) ไม่ให้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ให้อำนาจรัฐอย่างบ้าบอคอแตกเช่นนี้ นักข่าวสายสันติบาลก็เยอะแยะ แต่คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนไม่โดนข้อหาแบบเดียวกับเด็กที่เชียงราย เหตุผลก็คงมีหลายอย่างให้อ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดทางวิชาการ หรือพูดในมหาวิทยาลัย (พวกคุณไม่กล้าออกนอกมหาวิทยาลัยนี่หว่า ฮา) อะไรทำนองนี้ แต่ความเป็นจริง ก็คือ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบว่ามันน่าจะแตกต่างไปจากการ "ตบเด็ก" บรรดาผู้เฒ่าของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงไม่โดนข้อหาอะไร (อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เตรียมหลักทรัพย์พร้อมหนังสือรับรองเงินเดือนไว้ประกันตัวเองแล้ว ขอบอก)
ผมอยากจะเตือนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลประชาธิปัตย์ในเรื่องนี้ ว่า ผมเชื่อมั่นมากว่าหลังจากการ "ตบเด็ก" นี้ การท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นอีก และจะทวีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ คำถามที่ตามมา ก็คือ จะจับกันอย่างไรหวาดไหว และจะเอาจริงแค่ไหน หากรอจนวันที่พวกคุณไม่สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ได้แล้วค่อยเลิก พ.รก.ฉุกเฉิน คุณก็จะเป็นไอ้คนแหย ไม่มีน้ำยา มากกว่าเดิมเสียอีก
ที่ผมเชื่อว่าการท้าทายจะมีมากขึ้น ก็เพราะในสังคมวัฒนธรรมไทยไม่อนุญาตให้ผู้มีอำนาจ "ตบเด็ก" โดยเฉพาะเมื่อ "เด็ก" นั้นไม่ได้ละเมิดขนบของสังคมอย่างรุนแรง หากใครรังแกหรือทำร้ายเด็กก็จะถูกตัดสินทันทีว่าคุณเป็นคนเลว เด็กและคนชราเป็นข้อยกเว้นในสังคมวัฒนธรรมไทย แม้ในกฎหมายตราสามดวงก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเด็กและคนชรานั้นอยู่ในข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎหมาย
มิพักต้องพูดถึงกฎหมายเก่า หากมองถึงระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดแล้ว สังคมไทยให้อภัยต่อเด็กเสมอมา ลองคิดดูถึงการทำงานของมูลนิธิต่างๆ จะพบว่ามูลนิธิที่ทำงานกับเด็ก จะได้รับการดูแลจากสังคมมากว่าทำงานกับคนช่วงอายุอื่นๆ
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกำลังตั้งใจการละเมิดระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมโดยเพียงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของตน นับว่าเป็นการกระทำที่มืดบอดในความเข้าใจสังคมไทยโดยแท้ การค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมเก้าสิบกว่าศพ โดยคนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูงในเขตเมืองอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีหลงคิดไปว่าคนกลุ่มนี้จะค้ำยันในทุกเรื่อง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะการค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะถูกปลุกเร้าให้เห็นผู้ใหญ่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูกับสถาบันหลักของสังคม แต่สำหรับกรณีที่รัฐกระทำเด็กกลุ่มนี้กลับจะแตกต่างออกไป ผมเชื่อว่าในกลุ่มคนที่ค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นจำนวนไม่น้อยจะรู้สึกอยู่ว่ารัฐกระทำเกินไป และการเริ่มต้นคิดตรงจุดนี้ของคนชั้นกลางจะนำไปสู่การถอยการค้ำยันไปทีละน้อยๆ
ความไม่เข้าใจระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมไทย ความต้องการรักษาอำนาจไว้โดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ ที่ปรากฏอย่างชัดเจนในกรณีการ "ตบเด็ก" ที่เชียงราย ทำให้ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างหากที่ควรจะได้รับการศึกษาเพิ่มเติมในวิชาประวัติศาสตร์ระบบอารมณ์ความรู้สึกของสังคมไทย (เบื้องต้น) และที่สำคัญ ควรที่จะหาโอกาสไปปรึกษาแพทย์ทางด้านจิตวิทยาและ "บำบัด" พร้อมๆ กันไปด้วยครับ
ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่อาจารย์ชำนาญ จันทร์เรือง เขียนบทความเรื่อง"ผมเห็นเด็กกำลังจะตายเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย"ผมก็คิดไปเองว่าคงจะไม่มีใครไปหาเรื่องหรือเอาเรื่องเอาราวกับเด็กนักเรียนอีก เพราะบทความชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้ เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้ กับเด็ก เพื่อที่จะสร้างผลงาน โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม" และบทความนี้ ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งในหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผมมองโลกอย่างคนธรรมดาว่าคงจะมีผู้มีอำนาจที่ตระหนักถึงความไม่ถูกต้องนี้ และสั่งลงมาว่าอย่าไปทำอะไรเด็กอีก
แต่ที่ไหนได้ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีข่าวว่าเด็กนักเรียนถูกสั่งจากนักจิตวิทยาประจำสถานพินิจคุ้ม ครองเด็กและเยาวชน เชียงรายให้เข้ารับ "การบำบัด" ซึ่งตามข่าว "การบำบัด" ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ซักถามตามธรรมเนียม (แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ เจ้าหน้าที่ได้ "แนะนำให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา") อะไรเกิดขึ้นที่เชียงราย
ผมคิดว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เองก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร เพราะรู้ดีอยู่ว่าเรื่องนี้เกินการควบคุมของตนเอง แต่เมื่อปรึกษา (อย่างไม่เป็นทางการ) กับเจ้านายเหนือขึ้นไป ก็น่าได้รับคำตอบทำนองว่าทำ อะไรก็ได้ที่เบาหน่อย แต่จะไม่ทำอะไรเลยนั้นคงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเกิดการ "เหิมเกริม" และจะคุมไม่อยู่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็พยายามคิดหาทางออก โดยเฉพาะทางออกก็เน้นให้พ้นมือ และความรับผิดชอบของตน การจัดการทั้งหมดจึงไปลงที่การส่งเด็กไปให้สถานพินิจฯ แต่จะส่งเด็กไปเข้าสถานพินิจฯ ก็ไม่ได้ เพราะความผิดไม่ชัดเจน จึงเลี่ยงด้วยการสั่งให้ไปหานักจิตวิทยาเพื่อรับการบำบัด ซึ่งพวกเขาคิดว่าน่าจะเบาที่สุด และปัดพ้นความรับผิดชอบไปได้
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยคงไม่เคยรู้ว่าวิธีการที่บรรดาเผด็จการในทุกสังคมชอบใช้ในการจัดการคนที่คิดต่างออกไป ได้แก่ การผลักดันให้กลายเป็น "คนบ้า" เพื่อจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนปกติว่าจะถูกหาว่าเป็น "คนบ้า" แต่วิธีการเช่นนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป จึงทำให้การใช้วิธีการเก่าแบบนี้ ยิ่งดูเป็นเรื่องสกปรกมากขึ้นในสายตาของสังคม
เหตุเกิดที่เชียงรายได้ ก็เพราะการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งบังคับให้เจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่ต้องทำอะไรสักอย่างแม้ว่า จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ไม่มี "ความกล้าหาญ" เพียงพอที่จะแย้งหรือไม่ทำตาม เพราะ "ความกล้าหาญ" ย่อมต้องการพลังทางสังคมสนับสนุน ตราบใดที่พลังทางสังคมยังไม่เป็นกระแสแรงพอ เจ้าหน้าที่ย่อมรู้สึกทันทีว่าหากขัดคำสั่งเจ้านายแล้ว ตนเองตายแต่ผู้เดียว
ในวันเดียวกัน ที่เด็กนักเรียนถูกจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนหก คนได้ประชุมมั่วสุมและฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาตรา 9 (1) และ (2) ที่สำคัญ ฝ่าฝืนหนักขนาดออกแถลงการณ์ให้ "ยกเลิก" (เลิกไปเลย) ไม่ให้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ให้อำนาจรัฐอย่างบ้าบอคอแตกเช่นนี้ นักข่าวสายสันติบาลก็เยอะแยะ แต่คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนไม่โดนข้อหาแบบเดียวกับเด็กที่เชียงราย เหตุผลก็คงมีหลายอย่างให้อ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดทางวิชาการ หรือพูดในมหาวิทยาลัย (พวกคุณไม่กล้าออกนอกมหาวิทยาลัยนี่หว่า ฮา) อะไรทำนองนี้ แต่ความเป็นจริง ก็คือ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบว่ามันน่าจะแตกต่างไปจากการ "ตบเด็ก" บรรดาผู้เฒ่าของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงไม่โดนข้อหาอะไร (อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เตรียมหลักทรัพย์พร้อมหนังสือรับรองเงินเดือนไว้ประกันตัวเองแล้ว ขอบอก)
ผมอยากจะเตือนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลประชาธิปัตย์ในเรื่องนี้ ว่า ผมเชื่อมั่นมากว่าหลังจากการ "ตบเด็ก" นี้ การท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นอีก และจะทวีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ คำถามที่ตามมา ก็คือ จะจับกันอย่างไรหวาดไหว และจะเอาจริงแค่ไหน หากรอจนวันที่พวกคุณไม่สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ได้แล้วค่อยเลิก พ.รก.ฉุกเฉิน คุณก็จะเป็นไอ้คนแหย ไม่มีน้ำยา มากกว่าเดิมเสียอีก
ที่ผมเชื่อว่าการท้าทายจะมีมากขึ้น ก็เพราะในสังคมวัฒนธรรมไทยไม่อนุญาตให้ผู้มีอำนาจ "ตบเด็ก" โดยเฉพาะเมื่อ "เด็ก" นั้นไม่ได้ละเมิดขนบของสังคมอย่างรุนแรง หากใครรังแกหรือทำร้ายเด็กก็จะถูกตัดสินทันทีว่าคุณเป็นคนเลว เด็กและคนชราเป็นข้อยกเว้นในสังคมวัฒนธรรมไทย แม้ในกฎหมายตราสามดวงก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเด็กและคนชรานั้นอยู่ในข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎหมาย
มิพักต้องพูดถึงกฎหมายเก่า หากมองถึงระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดแล้ว สังคมไทยให้อภัยต่อเด็กเสมอมา ลองคิดดูถึงการทำงานของมูลนิธิต่างๆ จะพบว่ามูลนิธิที่ทำงานกับเด็ก จะได้รับการดูแลจากสังคมมากว่าทำงานกับคนช่วงอายุอื่นๆ
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกำลังตั้งใจการละเมิดระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมโดยเพียงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของตน นับว่าเป็นการกระทำที่มืดบอดในความเข้าใจสังคมไทยโดยแท้ การค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมเก้าสิบกว่าศพ โดยคนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูงในเขตเมืองอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีหลงคิดไปว่าคนกลุ่มนี้จะค้ำยันในทุกเรื่อง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะการค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะถูกปลุกเร้าให้เห็นผู้ใหญ่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูกับสถาบันหลักของสังคม แต่สำหรับกรณีที่รัฐกระทำเด็กกลุ่มนี้กลับจะแตกต่างออกไป ผมเชื่อว่าในกลุ่มคนที่ค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นจำนวนไม่น้อยจะรู้สึกอยู่ว่ารัฐกระทำเกินไป และการเริ่มต้นคิดตรงจุดนี้ของคนชั้นกลางจะนำไปสู่การถอยการค้ำยันไปทีละน้อยๆ
ความไม่เข้าใจระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมไทย ความต้องการรักษาอำนาจไว้โดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ ที่ปรากฏอย่างชัดเจนในกรณีการ "ตบเด็ก" ที่เชียงราย ทำให้ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างหากที่ควรจะได้รับการศึกษาเพิ่มเติมในวิชาประวัติศาสตร์ระบบอารมณ์ความรู้สึกของสังคมไทย (เบื้องต้น) และที่สำคัญ ควรที่จะหาโอกาสไปปรึกษาแพทย์ทางด้านจิตวิทยาและ "บำบัด" พร้อมๆ กันไปด้วยครับ
ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"นิธิ" ชี้เปรี้ยง "แลนด์ลอร์ดโง่" ขวางปฏิรูป "จัดสรรที่ดิน"
มติชนออนไลน์
ในขณะที่รัฐบาลจุดกระแส "ปฏิรูปประเทศไทย"
ในขณะที่คณะกรรมการปฏิรูปที่มี "อานันท์ ปันยารชุน" เป็นประธาน จุดกระแส "ปฏิวัติระบบบริหารจัดการทรัพยากร" เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
กลับปรากฏข่าว "ชนชั้นนำ-ชนชั้นปกครอง" เข้าครอบครองที่ดินโดยมิชอบ ไม่เว้นกระทั่งแกนนำคนสำคัญของ "รัฐบาลอภิสิทธิ์"
"นิธิ เอียวศรีวงศ์" กรรมการปฏิรูป เปิดฉากจาระไนปัญหาที่ดินและทรัพยากร ซึ่งยืดเยื้อ เรื้อรัง และเกี่ยวพันกับคนเป็นจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาจึงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยเงื้อมมือของคณะกรรมการรวม 20 ชีวิต แต่ต้องให้คนทั้งสังคมช่วยกันออกแรงผลัก
"ปัญหาทรัพยากรเป็นสิ่งที่กรรมการพูดกันมาก เราจะเริ่มจากประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง เช่น การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปโดยที่คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลย ชนชั้นกลางเสียเงินทั้งชีวิตเพื่อจะซื้อที่ดิน 50 ตารางวา แล้วคิดว่าจะอยู่ที่นั่นจนตาย แต่อยู่ได้ไม่กี่ปี ก็มีคนมาสร้างคอนโดมิเนียมสูงมหึมาอยู่หลังบ้านคุณ ลมอะไรก็ไม่เข้า มีแต่ขี้ฝุ่นตลอดเวลา ดังนั้น สิทธิในการจัดการผังเมือง คนในท้องที่ต้องเข้ามามีส่วนกำหนดด้วย เรื่องอย่างนี้ถามว่าชนชั้นกลางเห็นด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าเห็นด้วย"
"นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการกันที่ป่าที่เรียกว่า "เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า" หรืออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านควรมีส่วนร่วมตัดสินว่ามันแค่ไหนถึงอนุรักษ์ได้ ผมว่าทั้งคนบ้านนอกและคนเมืองกรุงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องเผชิญ ต้องเข้าไปโจมตีปัญหาเรื่องการตัดสินใจที่รวมศูนย์"
นั่นคือยุทธวิธีในการแสวงหาแนวร่วมที่คณะกรรมการปฏิรูปจะงัดขึ้นมาใช้
"นิธิ" ย้ำว่าปัญหาในการจัดการทรัพยากรทั้งในเมืองและชนบท เกิดจากการ "รวมศูนย์ของรัฐ" โดยประชาชนไม่มีอำนาจในการต่อรอง หรือคัดค้านการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเลย
แสดงว่าการลงหลักปักฐานประชาธิปไตยของไทยต้องต่อสู้กับรัฐ ซึ่งใช้อำนาจแบบรวมศูนย์?
"แน่นอน คือประชาธิปไตยเนี่ย ถ้าดูรัฐธรรมนูญฝรั่งทุกฉบับเขียนขึ้นมาเพื่อจำกัดอำนาจรัฐ เพราะมันมีประวัติการต่อสู้กับรัฐมายาวนาน แต่ของเรา ต่อสู้แล้วไม่เคยชนะล่ะมั้ง จนกระทั่งลืมไปว่าตัวที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชีวิตเราก็คือตัวรัฐเนี่ยแหละ ดังนั้น การปฏิรูปจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถทำลายฐานอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำลงได้ วันนี้คนทั้งสังคมต้องช่วยกันโจมตีกลุ่มปัญหาที่มีร่วมกัน ถ้าสังคมรู้สึกว่ามันกระทบกระเทือนก็ต้องช่วยกันผลักดัน มันน่าประหลาดไหมที่คุณกรณ์ จาติกวณิช ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปุ๊บก็บอกว่าเราควรจะเปลี่ยนระบบภาษีโรงเรือนมาเป็นภาษีที่ดินทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง ปล่อยมาป่านนี้ยังไม่มีใครช่วยผลักดันเลย"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ "ผู้ยึดกุมอำนาจ" และ "ผู้ครอบครองที่ดิน" เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็น "ตัวฉุด" มากกว่า "ตัวผลัก"
"ผมว่าไม่นะ แต่ปัญหาเป็นเพราะประชาชนไม่รู้สึกด้วย เพราะคุณไม่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจว่าปัญหาที่ดินเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง"
แม้แต่กรรมการปฏิรูปบางคนก็เป็น "แลนด์ลอร์ด" ถ้าเช่นนั้นจะปฏิวัติระบบบริหารจัดการที่ดินได้จริงหรือ?
เขาโดดป้องเพื่อนร่วมวงทันควันว่า "การมองว่าเขาเป็นแลนด์ลอร์ดอย่างเดียว มันไม่ได้ ถ้าดูตัวอย่างแลนด์ลอร์ดจำนวนหนึ่งจะคิดว่าถ้ากูเปลี่ยนฐานทรัพย์ของกูไปเป็นอย่างอื่น กูจะรวยกว่าเก่า ถ้าพูดภาษาฝ่ายซ้าย นี่คือนายทุนก้าวหน้า เขารู้ว่าการกอดที่ดินเนี่ย มันไม่มีประโยชน์เท่าไร แต่ถ้าคุณเป็นคนผลักดันให้มีการปฏิรูปที่ดิน โดยเงินของคุณอยู่บนที่ดินต่อ เพราะที่ดินเป็นทรัพย์ที่เฮงซวยมาก จะเอาไปลงทุนอะไรไม่ได้สักอย่าง สู้ไปลงทุนทำโรงงานทอผ้า ไปลงทุนทำอย่างอื่น มันดีกว่าการเป็นตาแก่นั่งเฝ้าที่ดินอยู่"
"สิ่งที่เราจะทำมันไม่ถึงขั้นปฏิวัติเพื่อล้มล้างทรัพย์ทั้งหมด เพียงแต่ปรับเปลี่ยนทรัพย์ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป พอคุณไม่ยอมปรับตัว คุณก็ไม่ยอมให้มีการปรับเปลี่ยน"
"กรรมการปฏิรูป" ฟันธงในบรรทัดสุดท้ายว่ากลุ่มคนที่เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทรัพยากร หาได้เป็น "แลนด์ลอร์ด" ไม่ หากแต่เป็น "แลนด์ลอร์ดโง่ๆ ที่ไม่รู้จักปรับตัว" !!!
***********************************************************************
ในขณะที่รัฐบาลจุดกระแส "ปฏิรูปประเทศไทย"
ในขณะที่คณะกรรมการปฏิรูปที่มี "อานันท์ ปันยารชุน" เป็นประธาน จุดกระแส "ปฏิวัติระบบบริหารจัดการทรัพยากร" เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
กลับปรากฏข่าว "ชนชั้นนำ-ชนชั้นปกครอง" เข้าครอบครองที่ดินโดยมิชอบ ไม่เว้นกระทั่งแกนนำคนสำคัญของ "รัฐบาลอภิสิทธิ์"
"นิธิ เอียวศรีวงศ์" กรรมการปฏิรูป เปิดฉากจาระไนปัญหาที่ดินและทรัพยากร ซึ่งยืดเยื้อ เรื้อรัง และเกี่ยวพันกับคนเป็นจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาจึงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยเงื้อมมือของคณะกรรมการรวม 20 ชีวิต แต่ต้องให้คนทั้งสังคมช่วยกันออกแรงผลัก
"ปัญหาทรัพยากรเป็นสิ่งที่กรรมการพูดกันมาก เราจะเริ่มจากประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง เช่น การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปโดยที่คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลย ชนชั้นกลางเสียเงินทั้งชีวิตเพื่อจะซื้อที่ดิน 50 ตารางวา แล้วคิดว่าจะอยู่ที่นั่นจนตาย แต่อยู่ได้ไม่กี่ปี ก็มีคนมาสร้างคอนโดมิเนียมสูงมหึมาอยู่หลังบ้านคุณ ลมอะไรก็ไม่เข้า มีแต่ขี้ฝุ่นตลอดเวลา ดังนั้น สิทธิในการจัดการผังเมือง คนในท้องที่ต้องเข้ามามีส่วนกำหนดด้วย เรื่องอย่างนี้ถามว่าชนชั้นกลางเห็นด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าเห็นด้วย"
"นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการกันที่ป่าที่เรียกว่า "เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า" หรืออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านควรมีส่วนร่วมตัดสินว่ามันแค่ไหนถึงอนุรักษ์ได้ ผมว่าทั้งคนบ้านนอกและคนเมืองกรุงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องเผชิญ ต้องเข้าไปโจมตีปัญหาเรื่องการตัดสินใจที่รวมศูนย์"
นั่นคือยุทธวิธีในการแสวงหาแนวร่วมที่คณะกรรมการปฏิรูปจะงัดขึ้นมาใช้
"นิธิ" ย้ำว่าปัญหาในการจัดการทรัพยากรทั้งในเมืองและชนบท เกิดจากการ "รวมศูนย์ของรัฐ" โดยประชาชนไม่มีอำนาจในการต่อรอง หรือคัดค้านการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเลย
แสดงว่าการลงหลักปักฐานประชาธิปไตยของไทยต้องต่อสู้กับรัฐ ซึ่งใช้อำนาจแบบรวมศูนย์?
"แน่นอน คือประชาธิปไตยเนี่ย ถ้าดูรัฐธรรมนูญฝรั่งทุกฉบับเขียนขึ้นมาเพื่อจำกัดอำนาจรัฐ เพราะมันมีประวัติการต่อสู้กับรัฐมายาวนาน แต่ของเรา ต่อสู้แล้วไม่เคยชนะล่ะมั้ง จนกระทั่งลืมไปว่าตัวที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชีวิตเราก็คือตัวรัฐเนี่ยแหละ ดังนั้น การปฏิรูปจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถทำลายฐานอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำลงได้ วันนี้คนทั้งสังคมต้องช่วยกันโจมตีกลุ่มปัญหาที่มีร่วมกัน ถ้าสังคมรู้สึกว่ามันกระทบกระเทือนก็ต้องช่วยกันผลักดัน มันน่าประหลาดไหมที่คุณกรณ์ จาติกวณิช ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปุ๊บก็บอกว่าเราควรจะเปลี่ยนระบบภาษีโรงเรือนมาเป็นภาษีที่ดินทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง ปล่อยมาป่านนี้ยังไม่มีใครช่วยผลักดันเลย"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ "ผู้ยึดกุมอำนาจ" และ "ผู้ครอบครองที่ดิน" เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็น "ตัวฉุด" มากกว่า "ตัวผลัก"
"ผมว่าไม่นะ แต่ปัญหาเป็นเพราะประชาชนไม่รู้สึกด้วย เพราะคุณไม่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจว่าปัญหาที่ดินเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง"
แม้แต่กรรมการปฏิรูปบางคนก็เป็น "แลนด์ลอร์ด" ถ้าเช่นนั้นจะปฏิวัติระบบบริหารจัดการที่ดินได้จริงหรือ?
เขาโดดป้องเพื่อนร่วมวงทันควันว่า "การมองว่าเขาเป็นแลนด์ลอร์ดอย่างเดียว มันไม่ได้ ถ้าดูตัวอย่างแลนด์ลอร์ดจำนวนหนึ่งจะคิดว่าถ้ากูเปลี่ยนฐานทรัพย์ของกูไปเป็นอย่างอื่น กูจะรวยกว่าเก่า ถ้าพูดภาษาฝ่ายซ้าย นี่คือนายทุนก้าวหน้า เขารู้ว่าการกอดที่ดินเนี่ย มันไม่มีประโยชน์เท่าไร แต่ถ้าคุณเป็นคนผลักดันให้มีการปฏิรูปที่ดิน โดยเงินของคุณอยู่บนที่ดินต่อ เพราะที่ดินเป็นทรัพย์ที่เฮงซวยมาก จะเอาไปลงทุนอะไรไม่ได้สักอย่าง สู้ไปลงทุนทำโรงงานทอผ้า ไปลงทุนทำอย่างอื่น มันดีกว่าการเป็นตาแก่นั่งเฝ้าที่ดินอยู่"
"สิ่งที่เราจะทำมันไม่ถึงขั้นปฏิวัติเพื่อล้มล้างทรัพย์ทั้งหมด เพียงแต่ปรับเปลี่ยนทรัพย์ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป พอคุณไม่ยอมปรับตัว คุณก็ไม่ยอมให้มีการปรับเปลี่ยน"
"กรรมการปฏิรูป" ฟันธงในบรรทัดสุดท้ายว่ากลุ่มคนที่เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทรัพยากร หาได้เป็น "แลนด์ลอร์ด" ไม่ หากแต่เป็น "แลนด์ลอร์ดโง่ๆ ที่ไม่รู้จักปรับตัว" !!!
***********************************************************************
เพื่อไทยอัดรัฐบาล-การเมืองใหม่เล่นละครการเมือง
เพื่อไทยชี้รัฐบาล-พรรคการเมืองใหม่ โต้แย้งเรื่องเขาพระวิหาร แค่ละครการเมือง หวังผลเบี่ยงเบนประเด็นคดีก่อการร้าย
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 กรณีเขาพระวิหาร เป็นการเล่นละครการเมือง
ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ยอมให้นายกรัฐมนตรีไปพูดบนเวทีได้ง่ายๆ โดยที่ยังชี้แจงการแก้ปัญหาเขาพระวิหารไม่ชัดเจน และเรื่องเอ็มโอยูไม่ชัด แต่กลับไปไชโยโห่ร้องเท่ากับเป็นการทำให้สังคมเห็นว่ารัฐบาลนี้ดำเนินการโดยชอบธรรม
นอกจากนี้ยังมองว่าการที่พันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวเพราะหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อประวิงเวลาในคดีก่อการร้าย เพราะหากโดนจะตายกันทั้งพรรค และเพื่อปลุกกระแสรักชาติตามสไตล์พันธมิตรฯ ทั้งนี้เพื่อหวังผลเลือกตั้ง ส.ก. ส.ข. สิ้นเดือนสิงหาคมนี้รวมทั้งการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้น เพราะหากพันธมิตรฯ หรือพรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถเจาะพื้นที่กรุงเทพฯ และมี ส.ก. ส.ข.ได้อาจทำให้พรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถเกิดได้ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการที่พันธมิตรฯ จะนำจุดขายเรื่องต่อต้านพระวิหารมาใช้คงทำได้ยาก เพราะประชาชนทราบดีว่ากลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์มีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันอยู่ เป็นพวกเดียวกัน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**************************************************************************
นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 กรณีเขาพระวิหาร เป็นการเล่นละครการเมือง
ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ยอมให้นายกรัฐมนตรีไปพูดบนเวทีได้ง่ายๆ โดยที่ยังชี้แจงการแก้ปัญหาเขาพระวิหารไม่ชัดเจน และเรื่องเอ็มโอยูไม่ชัด แต่กลับไปไชโยโห่ร้องเท่ากับเป็นการทำให้สังคมเห็นว่ารัฐบาลนี้ดำเนินการโดยชอบธรรม
นอกจากนี้ยังมองว่าการที่พันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวเพราะหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อประวิงเวลาในคดีก่อการร้าย เพราะหากโดนจะตายกันทั้งพรรค และเพื่อปลุกกระแสรักชาติตามสไตล์พันธมิตรฯ ทั้งนี้เพื่อหวังผลเลือกตั้ง ส.ก. ส.ข. สิ้นเดือนสิงหาคมนี้รวมทั้งการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้น เพราะหากพันธมิตรฯ หรือพรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถเจาะพื้นที่กรุงเทพฯ และมี ส.ก. ส.ข.ได้อาจทำให้พรรคการเมืองใหม่ไม่สามารถเกิดได้ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการที่พันธมิตรฯ จะนำจุดขายเรื่องต่อต้านพระวิหารมาใช้คงทำได้ยาก เพราะประชาชนทราบดีว่ากลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์มีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันอยู่ เป็นพวกเดียวกัน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
**************************************************************************
"น้องเดียร์"ประกาศเป็นเสื้อแดงเต็มตัว ดัน"พรรคขัตติยะธรรม"เคียงข้าง"เพื่อไทย" หวังเปลี่ยนระบบกฎหมาย
ข่าว Nationsiam
น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และหัวหน้าพรรค"ขัตติยะธรรม" กล่าวเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า มีความรู้สึกดีใจที่ได้สานต่อเจตนารมณ์ในการ จัดตั้งพรรคการเมืองจากพ่อ เพราะตอนนี้ตนเองได้เป็นคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัวแล้ว นอกจากจะพบปะกับพี่น้องที่เป็นแฟนคลับคุณพ่อแล้ว ก็ต้องการที่จะเชิญชวนพี่น้องทุกคนสมัคร เป็นสมาชิกพรรคขัตติยะธรรม เพื่อที่จะได้สานต่อเจตนารมณ์ในการจัดตั้งพรรคการเมืองของพ่อ
น.ส.ขัตติยาเปิดเผยว่า ถ้าพรรคขัตติยะธรรมมีสมาชิกพรรคครบตามจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดไว้และ ส.ส.ที่ลงสมัครได้รับการเลือกตั้ง ตนและพรรคก็พร้อมที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ตนก็ไม่เกี่ยง
บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคขัตติยะธรรมได้มีการจัดตั้งศูนย์ขึ้นมา 4 ศูนย์ คือ จ.เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชลบุรี และ จ.พังงา สำหรับภาคใต้ตอนล่างก็ได้คิดว่าจะจัดตั้งที่ จ.ยะลา แต่หากมีการจัดกิจกรรมก็จะดำเนินการใน จ.สงขลา เพื่อความสะดวก
น.ส.ขัตติยาเปิดเผยว่า สำหรับด้านนโยบายเด่นจะนำเสนอก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายการเมืองไทย คือ ต้องการให้เป็นอย่างสหรัฐอเมริกา การมีคณะลูกขุน ซึ่งคัดเลือกมาจากชาวบ้าน ไม่ใช่กฎหมายไทยในขณะนี้ ที่ระบบตุลาการมีการตัดสินคดีแต่ละคดีตามใบสั่ง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทางพรรคขัตติยธรรมจะมองแล้วว่า เป็นเรื่องที่ยากในการจะเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายไทยใหม่ แต่ตนก็อยากที่จะทำ
"ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่ก็อยากทำให้ระบบกฎหมายที่เป็น 2 มาตรฐานในขณะนี้ลดน้อยลง และขอให้คำมั่นสัญญาในการที่จะนำพาพรรคขัตติยธรรม ให้เดินทางเดินหน้าต่อไปอย่างขาวสะอาด" บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
*****************************************************************************
น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และหัวหน้าพรรค"ขัตติยะธรรม" กล่าวเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า มีความรู้สึกดีใจที่ได้สานต่อเจตนารมณ์ในการ จัดตั้งพรรคการเมืองจากพ่อ เพราะตอนนี้ตนเองได้เป็นคนเสื้อแดงอย่างเต็มตัวแล้ว นอกจากจะพบปะกับพี่น้องที่เป็นแฟนคลับคุณพ่อแล้ว ก็ต้องการที่จะเชิญชวนพี่น้องทุกคนสมัคร เป็นสมาชิกพรรคขัตติยะธรรม เพื่อที่จะได้สานต่อเจตนารมณ์ในการจัดตั้งพรรคการเมืองของพ่อ
น.ส.ขัตติยาเปิดเผยว่า ถ้าพรรคขัตติยะธรรมมีสมาชิกพรรคครบตามจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดไว้และ ส.ส.ที่ลงสมัครได้รับการเลือกตั้ง ตนและพรรคก็พร้อมที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ตนก็ไม่เกี่ยง
บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคขัตติยะธรรมได้มีการจัดตั้งศูนย์ขึ้นมา 4 ศูนย์ คือ จ.เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชลบุรี และ จ.พังงา สำหรับภาคใต้ตอนล่างก็ได้คิดว่าจะจัดตั้งที่ จ.ยะลา แต่หากมีการจัดกิจกรรมก็จะดำเนินการใน จ.สงขลา เพื่อความสะดวก
น.ส.ขัตติยาเปิดเผยว่า สำหรับด้านนโยบายเด่นจะนำเสนอก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายการเมืองไทย คือ ต้องการให้เป็นอย่างสหรัฐอเมริกา การมีคณะลูกขุน ซึ่งคัดเลือกมาจากชาวบ้าน ไม่ใช่กฎหมายไทยในขณะนี้ ที่ระบบตุลาการมีการตัดสินคดีแต่ละคดีตามใบสั่ง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทางพรรคขัตติยธรรมจะมองแล้วว่า เป็นเรื่องที่ยากในการจะเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายไทยใหม่ แต่ตนก็อยากที่จะทำ
"ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่ก็อยากทำให้ระบบกฎหมายที่เป็น 2 มาตรฐานในขณะนี้ลดน้อยลง และขอให้คำมั่นสัญญาในการที่จะนำพาพรรคขัตติยธรรม ให้เดินทางเดินหน้าต่อไปอย่างขาวสะอาด" บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
*****************************************************************************
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
‘สิทธัตถะ’
ขอน้อมเศียรบูชา “องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”
ครานั้น พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และ เชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ “ไตรเพท” จำนวน 108 คนเข้าวัง..
เพื่อที่จะทำนาย พระราชกุมาร ที่เพิ่งจะประสูติได้เพียง 5 วัน!
ต่างพร้อมใจถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า “ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ”
ในพระพุทธประวัติ ยังกล่าวต่อไปว่า..
ได้มีการคัดเลือกพรามหณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 8 คนเท่านั้น.. และ “พรามหณ์ 7 คนแรก” ทำนายเหมือนกันหมดทั้ง 7 คนว่า..มีความเป็นไปได้ในสองทางคือ...
ทางแรก.. หากว่าทรงเสด็จอยู่ครองเรือน ก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
อีกทาง..หากทรงผนวชเป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า!!
ก็มี..แต่เพียง “โกณทัญญะพรามหณ์” คนเดียวซึ่งอายุน้อยที่สุดในหมู่พรามหณ์ด้วยกัน“ฟันธง” พร้อมทำนายไปทางเดียวเลยว่า...
“พระราชกุมารจะเสด็จออกจากวังเพื่อทรงผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดสิ้นกิเลสแล้วในโลกนี้”
จากนั้นมาจวบจนบัดนี้..โดยเฉพาะเรา “คนไทย” ไล่เดียะยาวมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี สืบทอดเป็นสายใยเชื่อมต่อกันมามิได้ขาด
ด้วยการได้ยึดเอา “พระพุทธเจ้า” และ“หลักธรรม” คำสอนมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ..ปลาบปลื้มกับ “ศาสนาพุทธ” ที่นำพาพวกเราเดินมาถูกทางตลอด
แม้โลกใบนี้จะถูกฉุดกระชากไปด้วย“เท็คโนโลยี่”และ“อารยะธรรม” ต่างๆ
ซึ่งทำเอา“สันดานคน”ถูกดัดแปลงแทบไม่เหลือความเป็น“มนุษย์”..จะมีก็แต่คำสอน
ของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่คอย ซึม ซับ และ กระซิบแผ่วๆ แทรกอยู่ในดวงจิตของชาวพุทธอยู่เสมอ..เป็นการเตือนให้มี “สติ” ระลึกไว้ตลอด
ด้วยการให้ ลด ละ เลิก ไม่ โลภ โกรธ หลง กับกิเลสที่วางเป็น “กับดัก” ล่อไว้
สมควรแล้วที่ ปู่ ย่า ตา ทวด ของเรารับเอา “พุทธศาสนา” มาเป็นที่ ยึดมั่น บูชา และ“กราบไหว้” ได้อย่างสนิทใจ..ซึ่งจะหาอะไรมาเทียบกับพระองค์มิได้แล้วในโลกนี้
แล้วมึงเป็นใคร?..หือ ไอ้ “ส้มจีน”!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
________________________________________________________________________
ครานั้น พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และ เชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ “ไตรเพท” จำนวน 108 คนเข้าวัง..
เพื่อที่จะทำนาย พระราชกุมาร ที่เพิ่งจะประสูติได้เพียง 5 วัน!
ต่างพร้อมใจถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า “ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ”
ในพระพุทธประวัติ ยังกล่าวต่อไปว่า..
ได้มีการคัดเลือกพรามหณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเพียง 8 คนเท่านั้น.. และ “พรามหณ์ 7 คนแรก” ทำนายเหมือนกันหมดทั้ง 7 คนว่า..มีความเป็นไปได้ในสองทางคือ...
ทางแรก.. หากว่าทรงเสด็จอยู่ครองเรือน ก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม
อีกทาง..หากทรงผนวชเป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า!!
ก็มี..แต่เพียง “โกณทัญญะพรามหณ์” คนเดียวซึ่งอายุน้อยที่สุดในหมู่พรามหณ์ด้วยกัน“ฟันธง” พร้อมทำนายไปทางเดียวเลยว่า...
“พระราชกุมารจะเสด็จออกจากวังเพื่อทรงผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดสิ้นกิเลสแล้วในโลกนี้”
จากนั้นมาจวบจนบัดนี้..โดยเฉพาะเรา “คนไทย” ไล่เดียะยาวมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี สืบทอดเป็นสายใยเชื่อมต่อกันมามิได้ขาด
ด้วยการได้ยึดเอา “พระพุทธเจ้า” และ“หลักธรรม” คำสอนมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ..ปลาบปลื้มกับ “ศาสนาพุทธ” ที่นำพาพวกเราเดินมาถูกทางตลอด
แม้โลกใบนี้จะถูกฉุดกระชากไปด้วย“เท็คโนโลยี่”และ“อารยะธรรม” ต่างๆ
ซึ่งทำเอา“สันดานคน”ถูกดัดแปลงแทบไม่เหลือความเป็น“มนุษย์”..จะมีก็แต่คำสอน
ของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่คอย ซึม ซับ และ กระซิบแผ่วๆ แทรกอยู่ในดวงจิตของชาวพุทธอยู่เสมอ..เป็นการเตือนให้มี “สติ” ระลึกไว้ตลอด
ด้วยการให้ ลด ละ เลิก ไม่ โลภ โกรธ หลง กับกิเลสที่วางเป็น “กับดัก” ล่อไว้
สมควรแล้วที่ ปู่ ย่า ตา ทวด ของเรารับเอา “พุทธศาสนา” มาเป็นที่ ยึดมั่น บูชา และ“กราบไหว้” ได้อย่างสนิทใจ..ซึ่งจะหาอะไรมาเทียบกับพระองค์มิได้แล้วในโลกนี้
แล้วมึงเป็นใคร?..หือ ไอ้ “ส้มจีน”!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
________________________________________________________________________
ย้ายเพราะเงินแต่อ้างประชาชน แบบนี้สังคมต้องช่วยกันสั่งสอนให้รู้สำนึก
ไทยโพสต์
บทบรรณาธิการ
เกทับกันไปมาระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ต่อการย้ายพรรคย้ายสังกัดของบรรดาเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย ที่แม้จะไม่ถึงกับฝุ่นตลบแต่ก็สร้างความคึกคักให้กับแวดวงการเมืองไม่น้อยในช่วงที่การเมืองหลายอย่างดูจะแน่นิ่งไปหมด และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหญ่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การเปิดตัวของพรรคการเมืองอย่างพรรคภูมิใจไทยที่โชว์พลังดูด ส.ส.ต่างพรรครวมถึงแกนนำกลุ่มก๊วนการเมืองและอดีตรัฐมนตรีมาเข้าพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก
ท่ามกลางกระแสข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้กันไปต่างๆ โดยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่พรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ก็มีหลายพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ก็มี ส.ส. ต่างพรรค หรืออดีต ส.ส.มาติดต่อขอย้ายเข้าพรรคเช่นกัน บนเหตุผลและการตัดสินใจของนักการเมืองที่ย่อมแตกต่างกันไปตามปัจจัยการเมืองของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็นการย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคใหม่ที่จะย้ายไปด้วยมีอนาคตที่ดีกว่า มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล หรือมีเงินสนับสนุนทางการเมือง ให้ดีกว่าทั้งเงินรายเดือนหรือเงินเพื่อนำใปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่โดยสรุปแล้วจะพบว่านักการเมืองไทยส่วนมากจะย้ายพรรคเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งพรรคใหม่ให้ดีกว่าพรรคที่สังกัดอยู่ในปัจจุบันมีเพียงส่วนน้อยมากที่ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าแนวทางการเมืองของตนเองกับพรรคที่สังกัดอยู่ไปด้วยกันไม่ได้ อุดมการณ์การเมือง หรือแนวคิดการทำการเมืองแตกต่างกัน
การย้ายพรรคของนักการเมืองจึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนักการเมืองบางคนเรียกได้ว่าย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจนประชาชนในพื้นที่ยังจำไม่ได้แล้วว่าอยู่พรรคการเมืองไหน เพราะนักการเมืองเหล่านี้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่เลือกคนไปเป็น ส.ส. เพราะความนิยมส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับพรรคการเมือง
ดังนั้น พวกนักการเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้ยึดติด หรือคิดจะร่วมกันสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริง แต่คิดจะหาประโยชน์จากการย้ายพรรคเรี่อยไปเสมือนกับการเร่ขายประมูลตัวกัน พรรคไหนให้ราคาที่ดีกว่า จ่ายเงินอุดหนุนในการเลือกตั้งดีกว่า หรือจะให้ผลประโยชน์การเมืองที่ดีกว่าเช่น เก้าอี้รัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมือง เมื่อตกลงกันได้ ก็ทำการย้ายพรรค เร่ขายตัวกันเรื่อยไป แล้วปากก็อ้างว่าที่ย้ายพรรคเพราะอุดมการณ์ของตนเองกับพรรคที่สังกัดเดิมไปด้วยกันไม่ได้ หรือประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ย้ายพรรค แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือย้ายเพราะ "เงิน-ผลประโยชน์" ล้วนๆ แต่ทำปากดีเอาประชาชนมาอ้างเพื่อหากินไปวันๆ
แต่ยังดีที่ระยะหลังประชาชนเริ่มมีความรู้และความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ไม่ได้เลือก ส.ส. เพียงเพราะความคุ้นเคยจากรูปแบบเดิมๆ เช่น มาร่วมงานบวช งานแต่งงาน ของประชาชนในพื้นที่ แต่งานในสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำ หรือไม่สนใจประชาชน ไม่สนใจในการพัฒนาพื้นที่เลือกตั้ง พอเลือกตั้งทีหนึ่งก็เอาเงินใส่ซองมาซื้อเสียง ทำให้ระยะหลังเริ่มเห็นได้ชัดว่าบรรดา ส.ส.ที่ย้ายพรรคบ่อยๆ แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆ
เช่น คุณสมบัติของผู้ลงสมัคร ส.ส. ในการสังกัดพรรคการเมืองที่มีระยะเวลาแน่นอน ทำให้การย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทำได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมี ส.ส.-อดีต ส.ส.หลายคนหาช่องว่างจากกฎหมายทำการย้ายพรรคได้ตลอด แต่เมื่อประชาชนมีความรู้ความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การเลือก ส.ส.ก็เปลี่ยนไป ทำให้นักการเมืองที่ย้ายพรรคบ่อยๆ และย้ายแบบไม่มีเหตุผล ย้ายเพราะผลประโยชน์ที่ตัวเองได้ฝ่ายเดียวส่วนรวมไม่ได้ก็พาสอบตกกันเป็นจำนวนมากปีละครั้ง อันถือเป็นการสั่งสอนพวกนักการเมืองได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น แม้ตอนนี้ประเมินแล้วคาดว่าจะเหลือเวลาอีกนานกว่าจะยุบสภา แต่ก็เชื่อว่าการย้ายพรรคของพวกนักการเมืองก็คงเกิดขึ้นเรื่อยๆ อันถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากประชาชนเห็นว่านักการเมืองคนไหนเป็นพวกขายตัว ย้ายพรรคโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคที่อยู่เดิมสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้ แต่ย้ายเพราะตัวเองได้ประโยชน์ ถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนไม่ว่าจะเป็นเขตเลือกตั้งไหนจะช่วยกันสั่งสอน เช่น ไม่เลือกเข้าไปเป็น ส.ส. แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดีไม่น้อย.
*****************************************************************************
บทบรรณาธิการ
เกทับกันไปมาระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ต่อการย้ายพรรคย้ายสังกัดของบรรดาเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย ที่แม้จะไม่ถึงกับฝุ่นตลบแต่ก็สร้างความคึกคักให้กับแวดวงการเมืองไม่น้อยในช่วงที่การเมืองหลายอย่างดูจะแน่นิ่งไปหมด และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหญ่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การเปิดตัวของพรรคการเมืองอย่างพรรคภูมิใจไทยที่โชว์พลังดูด ส.ส.ต่างพรรครวมถึงแกนนำกลุ่มก๊วนการเมืองและอดีตรัฐมนตรีมาเข้าพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก
ท่ามกลางกระแสข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้กันไปต่างๆ โดยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่พรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่ก็มีหลายพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ก็มี ส.ส. ต่างพรรค หรืออดีต ส.ส.มาติดต่อขอย้ายเข้าพรรคเช่นกัน บนเหตุผลและการตัดสินใจของนักการเมืองที่ย่อมแตกต่างกันไปตามปัจจัยการเมืองของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็นการย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคใหม่ที่จะย้ายไปด้วยมีอนาคตที่ดีกว่า มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล หรือมีเงินสนับสนุนทางการเมือง ให้ดีกว่าทั้งเงินรายเดือนหรือเงินเพื่อนำใปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่โดยสรุปแล้วจะพบว่านักการเมืองไทยส่วนมากจะย้ายพรรคเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งพรรคใหม่ให้ดีกว่าพรรคที่สังกัดอยู่ในปัจจุบันมีเพียงส่วนน้อยมากที่ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าแนวทางการเมืองของตนเองกับพรรคที่สังกัดอยู่ไปด้วยกันไม่ได้ อุดมการณ์การเมือง หรือแนวคิดการทำการเมืองแตกต่างกัน
การย้ายพรรคของนักการเมืองจึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนักการเมืองบางคนเรียกได้ว่าย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจนประชาชนในพื้นที่ยังจำไม่ได้แล้วว่าอยู่พรรคการเมืองไหน เพราะนักการเมืองเหล่านี้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่เลือกคนไปเป็น ส.ส. เพราะความนิยมส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับพรรคการเมือง
ดังนั้น พวกนักการเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้ยึดติด หรือคิดจะร่วมกันสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริง แต่คิดจะหาประโยชน์จากการย้ายพรรคเรี่อยไปเสมือนกับการเร่ขายประมูลตัวกัน พรรคไหนให้ราคาที่ดีกว่า จ่ายเงินอุดหนุนในการเลือกตั้งดีกว่า หรือจะให้ผลประโยชน์การเมืองที่ดีกว่าเช่น เก้าอี้รัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมือง เมื่อตกลงกันได้ ก็ทำการย้ายพรรค เร่ขายตัวกันเรื่อยไป แล้วปากก็อ้างว่าที่ย้ายพรรคเพราะอุดมการณ์ของตนเองกับพรรคที่สังกัดเดิมไปด้วยกันไม่ได้ หรือประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ย้ายพรรค แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือย้ายเพราะ "เงิน-ผลประโยชน์" ล้วนๆ แต่ทำปากดีเอาประชาชนมาอ้างเพื่อหากินไปวันๆ
แต่ยังดีที่ระยะหลังประชาชนเริ่มมีความรู้และความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ไม่ได้เลือก ส.ส. เพียงเพราะความคุ้นเคยจากรูปแบบเดิมๆ เช่น มาร่วมงานบวช งานแต่งงาน ของประชาชนในพื้นที่ แต่งานในสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำ หรือไม่สนใจประชาชน ไม่สนใจในการพัฒนาพื้นที่เลือกตั้ง พอเลือกตั้งทีหนึ่งก็เอาเงินใส่ซองมาซื้อเสียง ทำให้ระยะหลังเริ่มเห็นได้ชัดว่าบรรดา ส.ส.ที่ย้ายพรรคบ่อยๆ แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆ
เช่น คุณสมบัติของผู้ลงสมัคร ส.ส. ในการสังกัดพรรคการเมืองที่มีระยะเวลาแน่นอน ทำให้การย้ายพรรคทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทำได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมี ส.ส.-อดีต ส.ส.หลายคนหาช่องว่างจากกฎหมายทำการย้ายพรรคได้ตลอด แต่เมื่อประชาชนมีความรู้ความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การเลือก ส.ส.ก็เปลี่ยนไป ทำให้นักการเมืองที่ย้ายพรรคบ่อยๆ และย้ายแบบไม่มีเหตุผล ย้ายเพราะผลประโยชน์ที่ตัวเองได้ฝ่ายเดียวส่วนรวมไม่ได้ก็พาสอบตกกันเป็นจำนวนมากปีละครั้ง อันถือเป็นการสั่งสอนพวกนักการเมืองได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น แม้ตอนนี้ประเมินแล้วคาดว่าจะเหลือเวลาอีกนานกว่าจะยุบสภา แต่ก็เชื่อว่าการย้ายพรรคของพวกนักการเมืองก็คงเกิดขึ้นเรื่อยๆ อันถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากประชาชนเห็นว่านักการเมืองคนไหนเป็นพวกขายตัว ย้ายพรรคโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้ย้ายพรรคเพราะเห็นว่าพรรคที่อยู่เดิมสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้ แต่ย้ายเพราะตัวเองได้ประโยชน์ ถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนไม่ว่าจะเป็นเขตเลือกตั้งไหนจะช่วยกันสั่งสอน เช่น ไม่เลือกเข้าไปเป็น ส.ส. แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดีไม่น้อย.
*****************************************************************************
อำมาตย์เฒ่าเครียด!
โดย : แกะรอยการเมือง: ประชา บูรพาวิถี
โผโยกย้ายนายทหารประจำปี 2553 คงได้เห็นรายชื่อกันไปเรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะในส่วนของ "กองทัพบก" ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู เพราะมีรายการพลิกโผอยู่หลายตำแหน่ง
ว่ากันว่า การโยกย้ายในกองทัพบกครั้งนี้ พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีบูรพาพยัคฆ์! ไม่มีวงศ์เทวัญ! ไม่มีทหารเสือราชินี!
มีแต่คำว่า "รุ่น" และการสถาปนาอำนาจนำในกองทัพ ยามที่ฝ่าย "การเมืองอ่อนแอ" ต้องพึ่ง "ปืน" รักษาความมั่นคง และค้ำยันรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ว่าที่ เสธ.ทบ. สรุปได้ในระหว่างการกรำศึกกับ "แก๊งทหารแก่" และกองทัพเสื้อแดง
จึงกระชับอำนาจ ด้วยการดึงเอาเพื่อน "เตรียมทหารรุ่นที่ 12" หรือ "นักเรียนนายร้อย จปร.23" มาวางลงในตำแหน่งต่างๆ ทั้งในระดับ "5 เสือ ทบ.", "แม่ทัพภาค" และเจ้ากรม
ด้วยเหตุนี้ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 จึงถูกโยกออกไปนอกวงจร "5 เสือ ทบ." แทนที่จะได้ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. ตามที่กองเชียร์บางกลุ่มแอบลุ้น
แม้ พล.ท.คณิต จะเป็นน้องเล็ก ที่คลานตามก้นกันมาจาก ร.21 รอ. หรือ "ค่ายทหารเสือราชินี"
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่จะให้ พล.ท.วรรณวิทย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 เพื่อน ตท.12 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3
จึงทำให้ พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 คนเก่า ต้องหาที่ลงก่อนเกษียณ ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.ที่เคยคาดว่าจะตกเป็น พล.ท.คณิต เลยเปลี่ยนเป็นของ พล.ท.ทนงศักดิ์
ทำนองเดียวกัน ก่อนที่ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 จะขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. ก็หนุน พล.ต.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นแม่ทัพทักษิณคนใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกเพื่อน ตท.12 พล.ต.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หัวหน้าประสานงานไทย-มาเลเซีย ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4
ชื่อ พล.ต.อกนิษฐ์ อาจไม่คุ้นตาเท่ากับรองแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้พลาดตำแหน่ง แต่ผลงานในยุคที่ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ก็การันตี "ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 4" ในความเป็นยอดฝีมืองานการข่าว และกิจการพลเรือน
ส่วนเพื่อน ตท.12 อีกคนหนึ่ง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพน้อยที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ชนิดแบเบอร์
สรุปว่า 4 กองทัพภาค เป็นนายทหาร ตท.12 เสีย 3 คน และที่เหลือคือ กองทัพภาคที่ 1 พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1
น่าจะเป็นน้องเล็กอีกคนที่หลงเหลืออยู่ ในฐานะทหารเสือราชินี ที่คลานตามกันมาจากชลบุรี!
สำหรับ 5 เสือ ทบ.ตามบัญชีโยกย้ายใหม่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังฝากฝังเพื่อนรัก พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. ไว้ในตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ.
พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. 'เด็กบิ๊กป้อม' ได้เวลาไปนั่งเป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. (อัตราจอมพล)
พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. ข้ามห้วยไปเป็น รอง ผบ.สส. ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็มีข่าวปล่อยออกมาเป็นระยะๆ ว่า อาจได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.อะไรประมาณนี้
แต่ "ลูกม้า" คนนี้ ทำได้แค่รับฟังการบ้านเรื่อง "กองพลทหารม้าที่ 3" จากคนแก่บ้านหลายเสา จวบจนถึงวันนี้ "พล.ม.3" ก็มีทีท่าว่าจะถูกดองยาว
ขณะที่ "กองพลทหารราบที่ 7" อาจได้รับการจัดตั้งขึ้นมาก่อนที่ภาคเหนือ จึงเป็นที่มาของข่าวลือ "คนแก่" ไม่พอใจขุนศึกรุ่นนี้
ที่สำคัญ การจัดทำโผโยกย้ายนายทหารของ ทบ.หนนี้เป็นเรื่องของคนสองคน และ "คนแก่" ไม่มีเอี่ยว ยิ่งตอกย้ำข่าวลือคนแก่เครียด
แม้ "คนแก่" อายุอานามจะมาก แต่อย่าประมาท "ฤทธิ์เดช"...ไม่มีปืน ไม่มีรถถัง ยังล้มรัฐบาลพรรคเดียวได้!
---------------------------------------------------------------------------
โผโยกย้ายนายทหารประจำปี 2553 คงได้เห็นรายชื่อกันไปเรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะในส่วนของ "กองทัพบก" ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู เพราะมีรายการพลิกโผอยู่หลายตำแหน่ง
ว่ากันว่า การโยกย้ายในกองทัพบกครั้งนี้ พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีบูรพาพยัคฆ์! ไม่มีวงศ์เทวัญ! ไม่มีทหารเสือราชินี!
มีแต่คำว่า "รุ่น" และการสถาปนาอำนาจนำในกองทัพ ยามที่ฝ่าย "การเมืองอ่อนแอ" ต้องพึ่ง "ปืน" รักษาความมั่นคง และค้ำยันรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ว่าที่ เสธ.ทบ. สรุปได้ในระหว่างการกรำศึกกับ "แก๊งทหารแก่" และกองทัพเสื้อแดง
จึงกระชับอำนาจ ด้วยการดึงเอาเพื่อน "เตรียมทหารรุ่นที่ 12" หรือ "นักเรียนนายร้อย จปร.23" มาวางลงในตำแหน่งต่างๆ ทั้งในระดับ "5 เสือ ทบ.", "แม่ทัพภาค" และเจ้ากรม
ด้วยเหตุนี้ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 จึงถูกโยกออกไปนอกวงจร "5 เสือ ทบ." แทนที่จะได้ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. ตามที่กองเชียร์บางกลุ่มแอบลุ้น
แม้ พล.ท.คณิต จะเป็นน้องเล็ก ที่คลานตามก้นกันมาจาก ร.21 รอ. หรือ "ค่ายทหารเสือราชินี"
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่จะให้ พล.ท.วรรณวิทย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 เพื่อน ตท.12 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3
จึงทำให้ พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 คนเก่า ต้องหาที่ลงก่อนเกษียณ ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.ที่เคยคาดว่าจะตกเป็น พล.ท.คณิต เลยเปลี่ยนเป็นของ พล.ท.ทนงศักดิ์
ทำนองเดียวกัน ก่อนที่ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 จะขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. ก็หนุน พล.ต.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นแม่ทัพทักษิณคนใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกเพื่อน ตท.12 พล.ต.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หัวหน้าประสานงานไทย-มาเลเซีย ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4
ชื่อ พล.ต.อกนิษฐ์ อาจไม่คุ้นตาเท่ากับรองแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้พลาดตำแหน่ง แต่ผลงานในยุคที่ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ก็การันตี "ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 4" ในความเป็นยอดฝีมืองานการข่าว และกิจการพลเรือน
ส่วนเพื่อน ตท.12 อีกคนหนึ่ง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพน้อยที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ชนิดแบเบอร์
สรุปว่า 4 กองทัพภาค เป็นนายทหาร ตท.12 เสีย 3 คน และที่เหลือคือ กองทัพภาคที่ 1 พล.ต.อุดมเดช สีตบุตร รองแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1
น่าจะเป็นน้องเล็กอีกคนที่หลงเหลืออยู่ ในฐานะทหารเสือราชินี ที่คลานตามกันมาจากชลบุรี!
สำหรับ 5 เสือ ทบ.ตามบัญชีโยกย้ายใหม่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังฝากฝังเพื่อนรัก พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. ไว้ในตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ.
พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. 'เด็กบิ๊กป้อม' ได้เวลาไปนั่งเป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. (อัตราจอมพล)
พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. ข้ามห้วยไปเป็น รอง ผบ.สส. ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็มีข่าวปล่อยออกมาเป็นระยะๆ ว่า อาจได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.อะไรประมาณนี้
แต่ "ลูกม้า" คนนี้ ทำได้แค่รับฟังการบ้านเรื่อง "กองพลทหารม้าที่ 3" จากคนแก่บ้านหลายเสา จวบจนถึงวันนี้ "พล.ม.3" ก็มีทีท่าว่าจะถูกดองยาว
ขณะที่ "กองพลทหารราบที่ 7" อาจได้รับการจัดตั้งขึ้นมาก่อนที่ภาคเหนือ จึงเป็นที่มาของข่าวลือ "คนแก่" ไม่พอใจขุนศึกรุ่นนี้
ที่สำคัญ การจัดทำโผโยกย้ายนายทหารของ ทบ.หนนี้เป็นเรื่องของคนสองคน และ "คนแก่" ไม่มีเอี่ยว ยิ่งตอกย้ำข่าวลือคนแก่เครียด
แม้ "คนแก่" อายุอานามจะมาก แต่อย่าประมาท "ฤทธิ์เดช"...ไม่มีปืน ไม่มีรถถัง ยังล้มรัฐบาลพรรคเดียวได้!
---------------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)