--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชี้ รัฐบาล ทาบ ส ส พท เสริมเสถียรภาพ


ที่มา.Asia Update TV

ดร.อำพน กิตติอำพน คนในฤดูกาล-การเมือง

คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
ทุกฤดูแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการระดับซี 11 มีชื่อ "ดร.อำพน" ติดโผทุกครั้ง

อาจเป็นเพราะเขาคือข้าราชการระดับสูงที่อายุน้อย เหลืออายุราชการ อีก 5 ปี บุคลิกคล่องแคล่ว-ว่องไว ปรับตัวทำงานได้กับรัฐมนตรีจากทุกพรรค ทุกกระทรวง

แม้ชีวิตประจำวันจะวิ่งขึ้น-วิ่งลงจากตึก สุริยานุวัตร อันเก่าแก่ ถึงห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า เข้าถึงห้องทำงานนายกรัฐมนตรี

ใกล้ชิดทั้ง ทักษิณ ชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาที่ "ดร.อำพน กิตติอำพน" เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล คุ้นเคย

แต่อีกไม่กี่เดือนแล้ว ที่ ดร.อำพน หรือ "ดร.กบ" จะต้องลงจากหลังเสือ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

โอกาสที่ครบวาระ 6 ปีที่สภาพัฒน์ "ดร.กบ" ถูกทาบทาม-ทั้งจากประมุขตึกไทยคู่ฟ้า-นายกรัฐมนตรี และถูกคาดหมายว่าจะได้ไปประจำการไม่น้อยกว่า 3 กระทรวง

อย่างน้อยก็มี กระทรวงการคลัง-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงคมนาคม

"ดร.กบ" เคยสารภาพจากใจจริง ในห้องสีงาช้าง อย่างไร้คมเขี้ยวว่า "ผมเคยอยากกลับไปอยู่กระทรวงเกษตรฯ เพราะอยากทำงานช่วยเหลือเกษตรกร"

แต่เมื่อพิเคราะห์-เปรียบเทียบ เรื่อง "คนใน-คนนอก" แล้ว "ดร.กบ" สรุปบทเรียนว่า กระทรวงที่ดึงคนนอกขึ้นมาเสียบเป็นผู้นำหมายเลข 1 นั้น บางองค์กรสำเร็จ บางองค์กรล้มเหลว-ผุพังเกินกว่าจะซ่อมแซม

มีคนยกตัวอย่างกระทรวงเกษตรฯ เมื่อพ้นยุคปลัด "ปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา" แล้ว แทบไม่มีใครจำผลงานได้ นอกจากเรื่อง "โกงลำไย" ตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันนี้ คดียังคาอยู่ในสำนักงาน ป.ป.ช.

กระทรวงเกษตรฯจึงเป็นพื้นที่ "ต้องห้าม" สำหรับ "ดร.กบ" ไปเสียแล้ว

นอกจาก 3 กระทรวงที่ว่าแล้ว ยังมีที่ไป ให้ "ดร.กบ" อีกไม่น้อยกว่า 2 สำนัก

สำนักแรก-สำนักนายกรัฐมนตรี มีตำแหน่ง "เลขาธิการคณะรัฐมนตรี" ให้ลุ้น เพราะอย่างน้อย "นายกรัฐมนตรี" ก็เคยทาบทาม "ดร.กบ" ด้วยตัวเองถึง 2 ครั้ง

สำนักที่สอง-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีตำแหน่ง "ปลัด" ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ให้ได้ลุ้น

ฉายา "ดร.กบ-แหกทุกโผ" อาจเป็นจริง...อีกครั้ง

"ถามผมจากใจจริง ผมอยากไปอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ด้วยเหตุผลสามข้อคือ หนึ่ง ไม่เหยียบตาปลาใคร เพราะปลัดคนเก่าเขาเกษียณ สอง ผมอยากทำโครงการ Knowledge Economy ทำงานเศรษฐกิจฐานความรู้ และการอยู่ในสังคมวิชาการไม่มีการโกงกัน โอกาสที่จะติด คุกต่ำ" ดร.กบ-พูดถึงที่หมายใหม่

สำหรับที่สภาพัฒน์ "ดร.กบ" อยากให้ "คนใน" รับไม้ต่อ ขึ้นเป็น ผู้นำหมายเลข 1

"ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ ความทุ่มเท เชื่อมั่นในความรู้วิชาการ ของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ว่าเขาขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีสีสันเหมือนผม"

"ดร.กบ" บอกว่า ตอนนี้ "คนใน-ลูกหม้อ" ของสภาพัฒน์ พร้อมแล้วที่จะขึ้นบริหาร พร้อมที่จะเป็น think thank ให้กับรัฐบาล

ด้วยคุณลักษณะเฉพาะทาง-ความสามารถเฉพาะตัว-ทำงานเป็นทีมของบุคลากรในสำนักเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจแห่งนี้ ทำให้ "ดร.กบ" อยู่ตลอดรอดฝั่งมาได้ถึง 6 ปี 5 ยุค 5 นายกรัฐมนตรี

เขาจึงปฏิบัติบูชา-กตัญญุตาต่อสำนักคิดแห่งนี้ ด้วยการ "พัฒนาคน" ตามที่เคยรับปาก "ดร.เสนาะ อูนากูล" ผู้อาวุโส-อดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ไว้

"ตอนรับตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ได้ไปกราบ ดร.เสนาะ ท่านบอกว่า ที่นี่คือสังคมวิชาการ การพัฒนาคนคือหัวใจที่สำคัญที่สุด การอยู่ที่สภาพัฒน์ต้อง ตัดสินใจในโครงการที่มีผลกระทบวงกว้าง ดังนั้นต้องตัดสินใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุด" ดร.กบ-เล่าย้อนหลัง

เขาจึงปลาบปลื้มทุกครั้งที่ นายกฯ-อภิสิทธิ์ "อ้างถึง" ความเห็นของเขาใน ฐานะ "ฝ่ายวิชาการ"

ดังนั้นในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เขาได้วางคนรุ่นใหม่ เพื่อเชื่อมกับนักบริหารรุ่นกลาง ให้รับไม้ต่อกันแล้ว

เขามักเล่าอย่างคล่องแคล่วว่า 6 ปีที่เป็น "เลขาธิการ" ภูมิใจที่ได้สร้างคน ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับปริญญาเอกกำลังจะกลับมาจากเมืองนอก 8 คน กำลังเรียนปริญญาโทในมหาวิทยาลัยทั้งในอังกฤษ-อเมริกา อีกราว 20 คน

เขาอิ่มใจที่ได้ทำโครงการ future team เพื่อให้เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ ๆ ที่จบปริญญาตรี-โทเกียรตินิยม 60 คน ไปเข้าโปรแกรมลงหมู่บ้าน นอนวัด เสวนา ฟังธรรม ฟังปัญหาความยากจนถึงพื้นที่ เพื่อลบภาพ "ลูกเจ้าสัว แต่งตัวเปรี้ยว เที่ยวผับ ทำงานที่สภาพัฒน์เป็นเกียรติประวัติ แก่วงศ์ตระกูล"

ภาพที่ติดตา-สะกิดใจ "ดร.กบ" ในโค้งสุดท้ายก่อนพ้นจากตึกสุริยานุวัตร คือ "ดร.เสนาะ" และอดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ 5 คน ได้ร่วมประชุม ร่าง-วิสัยทัศน์แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11

ทุกวันนี้ "ดร.กบ" มีความสุขกับการนั่งเครื่องบินไปต่างจังหวัด แล้วนั่งรถเข้าหมู่บ้าน เพื่อทำงานให้กับ "กองทุนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ" ตามพระราชดำริจัดตั้งทุนการศึกษาสำหรับเยาวชนไทย ที่กำลังอยู่ในวัยเรียนระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ถือเป็นทุนการศึกษาแบบให้เปล่า ปราศจากข้อผูกพันใด ๆ และมอบให้อย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ได้รับทุนจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี

ข่าว-กระแส-ข้อวิเคราะห์-และคำนินทา ในวงการเมือง-นักบริหาร ที่ว่าเขาคือคนของ "เนวิน ชิดชอบ" ผู้มีบารมีแห่งพรรคภูมิใจไทย อาจหนาหู แต่ "ดร.กบ" มักยืนยันเสมอว่า "ผมทำงานให้นายกรัฐมนตรี"

แต่ทั้งตำแหน่ง-แรงหนุน ที่เขาแหก ทุกโผ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) หรือรองปลัด กระทรวงเกษตรฯ แล้วข้ามห้วยไปเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ และเหาะไปเป็นประธานบอร์ดการบินไทยนั้น

ย่อมแยกยากว่า เก้าอี้ใหญ่ที่ "ดร.กบ" ครอบครองมาได้นั้น เป็นเพราะ คอนเน็กชั่นพิเศษกับ "เนวิน" หรือความสามารถพิเศษส่วนตัว

"ดร.กบ" วัย 55 ปี (เกิด 10 ต.ค. 2498) แม้ไม่เป็น "ข้าราชการ" เขาก็มีมรดกอันจะกินไปถึงรุ่นลูก-หลาน จากการแตกกอต่อยอด ในตระกูลนักธุรกิจฝ่ายมารดาเชื้อสาย "เอื้อวิทยา"

ด้วยดีกรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Northeastern University, บอสตัน สหรัฐอเมริกา และจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ ที่ Clemson University South Carolina สหรัฐอเมริกา

แม้เป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แต่ "ดร.กบ" ทำงานกับนักการเมืองได้ทุกพรรค ทุกกระทรวง

หากการเมืองไม่พลิกขั้ว-โผแต่งตั้ง โยกย้ายกำลังพลด้านเศรษฐกิจ คงมีชื่อ "ดร.อำพน กิตติอำพน" เป็นปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่มีรัฐมนตรีว่าการสังกัดค่ายประชาธิปัตย์

ฤดูกาล-การเมืองมักแปรปรวนเช่นนี้เสมอ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

เบน แอนเดอร์สัน: ทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง?

เบน แอนเดอร์สัน
หมายเหตุ: แปลโดย ภัควดี แปลจาก Benedict Anderson, “Why is the role of Public Intellectuals in decline?” ปาฐกถาเพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปีโครงการ Public Intellectuals Project ของ Nippon Foundation ที่มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila, 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเพลิดเพลินกับการอ่านเอกสารวิชาการประจำปีของมูลนิธิ Nippon Foundation งานเขียนส่วนใหญ่ให้ความรู้เปิดหูเปิดตา ไม่ใช่แค่ในด้านคุณภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกว้างขวางในการเปรียบเทียบ และประตูที่เปิดออกสู่เครือข่ายประชาชนมากมายหลายเครือข่าย ซึ่งใส่ใจเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของนโยบายรัฐที่มีมากมายเป็นบัญชีหางว่าว กระนั้นก็ตาม โดยรวมแล้ว งานเขียนเหล่านี้สะกิดความความไม่สบายใจบางอย่างขึ้นมาในใจผม คงเป็นเพราะผมเคยใช้เวลาหลายปีในมหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการที่เรียกกันว่า “นักรัฐศาสตร์”

ทศวรรษที่ผ่านมา กล่าวคือ ค.ศ. 1998-2008 (พ.ศ. 2541-2551) เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลาย ๆด้าน ไม่เพียงเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มูลนิธิ Nippon Foundation สนใจศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงโลกทั้งหมดด้วยทศวรรษนี้ลงเอยด้วยวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อทศวรรษ 1930 และเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในภูมิภาคนี้เมื่อค.ศ. 1997-1998 (พ.ศ. 2540-2541)

กล่าวในด้านการเมืองนั้น ทศวรรษนี้เริ่มต้นด้วยการปะทุขึ้นมาของการเมืองแบบปฏิรูปที่น่าชื่นชม แต่ลงท้ายอย่างน่าผิดหวังด้วยการลงหลักปักฐานของระบอบคณาธิปไตยในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทยและมาเลเซียในทุกประเทศที่กล่าวมานี้ ระดับของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และการที่รัฐเข้าไปควบคุมสื่อมวลชนนับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่สะดุดใจผมเมื่ออ่านเอกสารจำนวนมากในรายงานประจำปีของมูลนิธิก็คือ ความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งหมดนี้กลับแทบไม่ปรากฏให้เห็นเลย ลองยกประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นยาวนาน ซึ่งมีสัญญาณส่อเค้าให้เห็นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นศตวรรษใหม่แต่เอกสารเกี่ยวกับประเทศไทยแทบไม่เอ่ยชื่อของทักษิณชินวัตร ปัญหาของสถาบันกษัตริย์ หรือปัญหาอันน่าขมขื่นของการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมพูดภาษามลายูในเอกสารเหล่านี้ไม่มีคำเตือนถึงการเกิดขึ้นของขบวนการคนเสื้อแดงที่เราอ่านเจอทุกวันในหน้าหนังสือพิมพ์ เราสามารถอ่านเอกสารเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ โดยไม่ได้ความเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความหายนะที่เกิดจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนางกลอเรียมาคาปากัล อาร์โรโย ฯลฯ

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

เราอาจเริ่มต้นที่ความเสื่อมถอยระยะยาวของจารีตปัญญาชนสาธารณะ ซึ่งมีผู้อ่านหรือผู้ชมคือสาธารณชนทั่วไปในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ปัญญาชนสาธารณะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในฟิลิปปินส์คือเรนาโต คอนสตันติโน (Renato Constantino) เขาเขียนงานด้านประวัติศาสตร์ไว้มากมาย โดยมีบุคลิกแบบชาตินิยมฝ่ายซ้ายอย่างชัดเจน และแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “จิตใจแบบอาณานิคม” ที่ตกค้างอยู่ในเพื่อนร่วมชาติเขาไม่ใช่คนเดียวที่มีลักษณะแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น วิลเลียม เฮนรี สกอตต์ (William Henry Scott) ชาวอเมริกันโปรเตสแตนท์ ก็เขียนหนังสือที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคต้นของฟิลิปปินส์ และการละเมิดสิทธิ์ชนเผ่ากลุ่มน้อยในเขตกอร์ดีเยราของเกาะลูซอน ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่นักวิชาการหรือนักหนังสือพิมพ์อาชีพ ทุกวันนี้ คนที่มีบารมีแบบนี้แทบไม่มีเหลืออีกแล้วไม่มีชาวอินโดนีเซียคนไหนที่มีผลงานยิ่งใหญ่เทียบชั้นได้กับปรามูเดีย อนันตา ตูร์ผู้ล่วงลับ ทั้ง ๆที่ปรามูเดียเรียนไม่จบไฮสกูลด้วยซ้ำ แต่เขาฝากผลงานนวนิยายและเรื่องสั้นอันวิเศษไว้ให้แก่สาธารณชน ถึงแม้ต้องใช้เวลาถึง 13 ปีอยู่ในคุก จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่มีผู้สืบทอด

ในประเทศไทย สุลักษณ์ ศิวรักษ์คือนักวิจารณ์สังคม-การเมืองที่มีอิทธิพลที่สุดในประเทศมาหลายทศวรรษ และโดนข้อหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายต่อหลายครั้ง สุลักษณ์ไม่มีตำแหน่งทางวิชาการและไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงวัยเจ็ดสิบปีและไม่มีผู้สืบทอดที่ชัดเจน

มาเลเซียมีคนแบบนี้อยู่คนหนึ่ง ซึ่งยังค่อนข้างหนุ่ม เป็นนักเสียดสี บรรณาธิการ นักเขียนความเรียงและนักสร้างภาพยนตร์ที่โดดเด่น เขาชื่ออามีร์มูฮัมมัด (Amir Muhammad) ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่ใช่นักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์หรือข้าราชการแต่เขาก็ค่อนข้างโดดเดี่ยวเช่นกัน

เพื่อน ๆคงสังเกตเห็นแล้วว่า ผมจงใจเน้นย้ำการขาดหายไปของอาชีพนักวิชาการ จากประเด็นนี้ ผมต้องการชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งสองประการ ซึ่งทำให้การดำรงอยู่ของปัญญาชนสาธารณะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ประการแรกคือ การสร้างความเป็นวิชาชีพของมหาวิทยาลัย โดยใช้แนวทางตามอย่างอเมริกัน ซึ่งหยิบยืมลอกแบบมาจากเยอรมนีสมัยศตวรรษที่ 19 อีกทีหนึ่งการสร้างความเป็นวิชาชีพ (professionalisation) นี้เริ่มก่อตัวขึ้นมาจากการแยกสาขาวิชาอันกลายมาเป็นสถาบันที่ทรงพลัง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การแบ่งแยกความรู้และการศึกษาออกเป็นส่วนๆ ตามตรรกะของการแบ่งงานกันทำการแบ่งแยกเช่นนี้กีดกันไม่ให้นักประวัติศาสตร์สนใจมานุษยวิทยาหรือนักเศรษฐศาสตร์สนใจสังคมวิทยา แต่มันมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ผู้อาวุโสในสาขาวิชาต่างๆ จะมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดชี้ชะตาความสำเร็จทางวิชาการของนักวิชาการรุ่นใหม่ ๆด้วย

อนึ่ง การสร้างความเป็นวิชาชีพยังส่งเสริมการพัฒนาศัพท์เทคนิคที่เข้าใจกันเฉพาะในหมู่นักวิชาการที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน นี่หมายความว่ามันยิ่งทำให้นักวิชาการเขียนให้นักวิชาการด้วยกันเองอ่าน ตีพิมพ์ใน “วารสารทางวิชาการ” และในสื่อสิ่งพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแนวโน้มเช่นนี้ทำให้สาธารณชนทั่วไปถูกกีดกันออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆการเขียนหนังสือให้คนทั่วไปอ่านมักถูกตีตราว่าตื้นเขินและไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ ภาษาที่สละสลวยได้รับการยกย่องน้อยลงๆ

อย่างไรก็ตาม อเมริกามีลักษณะเฉพาะในบางแง่มุม ประการแรกสุด อเมริกาไม่มีมหาวิทยาลัยรัฐในระดับชาติ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆเกือบทุกประเทศทั่วโลก มหาวิทยาลัยระดับสุดยอดของอเมริกาเกือบทั้งหมดเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ประการที่สอง อเมริกาพัฒนามหาวิทยาลัยขึ้นมาหลายพันแห่งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมหาชน ในยุคสมัยที่ถือกันว่าปริญญาบัตรคือเงื่อนไขในการหางานรายได้ดี ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยประการที่สาม ประเทศนี้มีจารีตยาวนานของความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อปัญญาชนมหาวิทยาลัยโดยรวม นั่นหมายความว่า มีอาจารย์มหาวิทยาลัยเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอิทธิพลเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองหรือสื่อมวลชน

แต่ตัวอย่างของอเมริกาก็มีอิทธิพลอย่างยิ่งนับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา สืบเนื่องจากการครองความเป็นใหญ่ในโลกระหว่างและหลังจากสงครามเย็นเยาวชนหลายหมื่นคนจากหลาย ๆ ส่วนของโลกที่เรียกว่า “โลกเสรี” ได้รับเชิญให้มาศึกษาต่อขั้นสูงที่อเมริกา และได้รับทุนอุดหนุนเหลือเฟือจากมูลนิธิเอกชนและหน่วยงานรัฐเมื่อกลับไปบ้าน คนหนุ่มสาวเหล่านี้มักเจริญรอยตามตัวอย่างของอาจารย์และสร้างชีวิตมหาวิทยาลัยขึ้นมาตามต้นแบบ โดยมักได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการเมืองจากอเมริกาเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ประกอบภารกิจนี้ได้เพียงบางส่วน อันเนื่องมาจากลักษณะของสังคมบ้านเกิดของคนหนุ่มสาวเหล่านี้

ยกตัวอย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยระดับสุดยอดมักเป็นของรัฐ และคณาจารย์เป็นข้าราชการในแบบใดแบบหนึ่ง มีจารีตยาวนานของการเคารพผู้มีการศึกษาสูง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากระเบียบสังคมทั้งในยุคก่อนอาณานิคมและยุคอาณานิคมความเคารพต่อผู้มีการศึกษาสูงนี้ได้รับการตอกย้ำจากการมีเส้นสายเชื่อมโยงกับรัฐอย่างเหนียวแน่นอาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถเข้าถึงชนชั้นนำทางการเมืองและสื่อมวลชนในลักษณะที่นึกคิดแทบไม่ออกเลยในสหรัฐอเมริกาในอีกด้านหนึ่ง สถานะทางสังคมของพวกเขามักสวนทางกับการสนับสนุนทางการเงินที่พวกเขาได้รับ ในสหรัฐอเมริกาอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับค่าตอบแทนสูงมาก ศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนมีรายได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ (3.2 ล้านบาท)ขึ้นไปต่อปี ตรงกันข้าม ในอุษาคเนย์นั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ต่ำ จึงต้องหาทางออกด้วยการรับงานโครงการวิจัยของรัฐที่ไร้ประโยชน์ หาลำไพ่พิเศษด้วยการสอนที่มหาวิทยาลัยอื่น เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์และอาศัยช่องทางต่างๆ ในสื่อมวลชน เช่น เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ ทำรายการทีวีฯลฯ อาจารย์เหล่านี้จึงมักละเลยหรือไม่สนใจนักศึกษา หรือไม่ก็ปฏิบัติต่อนักศึกษาแบบราชการนักวิชาการจำนวนไม่น้อยไม่ยอมสอนหนังสือเลย แต่เลือกไปกินตำแหน่งในสถาบันวิจัยที่แทบไม่มีผลงานใดๆนี่คือเหตุผลที่นักศึกษาเก่งๆ จำนวนมากมักศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองและดูแคลนอาจารย์เพียงในนามเหล่านี้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักวิชาการหลายคนจึงแสวงหาความสำเร็จด้วยการเข้าข้างชนชั้นนำทางการเมือง หรือไม่ก็แข่งขันแย่งชิงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ของประเทศร่ำรวย ซึ่งก็มีวาระแฝงเร้นของตนเองแนวโน้มแบบนี้มีข้อเสียในตัวมันเอง ผมจำได้ดีถึงเจ้าหน้าที่สตรีผู้ขยันขันแข็งอย่างยิ่งคนหนึ่ง ซึ่งคอยจัดการการให้ทุนของมูลนิธิโตโยต้าแก่สถาบันการศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอบอกว่าเธอรู้สึกตกใจจริงๆที่พบว่า นักวิชาการชาวฟิลิปปินส์ที่มาร่วมการประชุมสัมมนาที่มูลนิธิเป็นผู้สนับสนุนให้จัดขึ้นพวกเขาไม่เพียงคาดหวังว่ามูลนิธิต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ถึงขนาดเรียกร้องเงินสดตอบแทนการมาร่วมประชุมด้วย เงินตอบแทนมักถูกใช้ไปกับการช้อปปิ้งสินค้าราคาแพง

การหาลำไพ่พิเศษกับสื่อมวลชนก็มีปัญหาในแบบของมันการออกทีวีได้รับค่าตอบแทนดี แต่ไม่ว่าใครก็มักมีเวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งไม่เพียงพอที่จะอธิบายสาระสำคัญอะไรได้การเขียนคอลัมน์อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยกระตุ้นให้นักวิชาการเขียนให้สาธารณชนในวงกว้างอ่าน แต่นักวิชาการที่จริงจังย่อมไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้ทุกสัปดาห์ โดยไม่พูดซ้ำซากวนไปวนมา หรือพูดถึงแต่ตัวเอง แถมยังต้องเชื่อฟังคำชี้นำของบรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์อีกต่างหาก นักวิชาการเหล่านี้กลายเป็นลูกจ้าง ลูกจ้างของรัฐ ของมูลนิธิต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นลูกจ้างของเจ้าพ่อหนังสือพิมพ์และผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาจึงมีเวลาน้อยมากที่จะทำงานวิจัยอย่างจริงจัง เขียนหนังสือที่มีความสำคัญ หรือท้าทายอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำ พวกเขายังปิดหูปิดตาตัวเองอย่างประหลาดด้วย

ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง สองสามปีก่อน ผมไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯให้อาจารย์และนักศึกษาราว 300 คนฟัง ในระหว่างการบรรยายนั้น ผมกล่าวยืดยาวพอควรเกี่ยวกับอัจฉริยะแท้จริงคนแรกที่ประเทศไทยผลิตขึ้นมานับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 นั่นคือ นักสร้างภาพยนตร์ชั้นยอดอย่างอภิชาติพงศ์วีระเศรษฐกุล ซึ่งได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลที่เมืองคานส์ในช่วงเวลาแค่สามปี อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายทั่วทั้งโลกภาพยนตร์ด้วยในตอนท้าย ผมถามผู้ฟังว่าใครเคยได้ยินชื่ออภิชาติพงศ์ขอให้ยกมือขึ้น มีคนยกมือประมาณ 10 คน เป็นนักศึกษาทั้งหมด มีกี่คนที่เคยดูภาพยนตร์ของเขา? มีประมาณ 6 คน นักศึกษาทั้งหมดเช่นกัน

ชั่วขณะนั้นเองที่ผมตระหนักถึงการปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลาของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งคงดูแต่หนังฮอลลีวู้ด และความหยิ่งจองหองของพวกเขา ก็นักสร้างภาพยนตร์ไม่มีปริญญามหาวิทยาลัยน่ะสิ! แทบไม่มีสะพานเชื่อมระหว่างอาจารย์กับนักสร้างภาพยนตร์ นักเขียนนวนิยายและจิตรกรฯลฯ ไม่น่าแปลกใจที่นักสร้างภาพยนตร์และนักเขียนนวนิยายเองก็มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนักต่ออาจารย์มหาวิทยาลัยมีเพียงนักศึกษาที่ยังไม่มีวิชาชีพเท่านั้นที่เชื่อมโยงระหว่างโลกทั้งสอง ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นเหตุผลบางประการว่าทำไมเราจึงไม่ค่อยพบปัญญาชนสาธารณะในมหาวิทยาลัย ถึงแม้มีข้อยกเว้นสำคัญอยู่เสมอก็ตามความเป็นวิชาชีพ สถานะข้าราชการ ความใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมือง ความไร้วัฒนธรรม การดูถูกดูแคลนนักศึกษา ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่มีบทบาททั้งสิ้น

แต่เราไม่สามารถกล่าวโทษมหาวิทยาลัยโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมของมัน ผมจึงขอกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญประการที่สองที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของปัญญาชนสาธารณะ ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจนิยามได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปของชนชั้นนำและวิธีการที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากอำนาจรัฐ

เรื่องแรกที่น่าสังเกตคือค่านิยมของชนชั้นนำที่มักส่งลูกหลานเรียนชั้นประถมและมัธยมในโรงเรียนที่เรียกว่า “โรงเรียนนานาชาติ” ในประเทศของตัวเอง จากนั้นก็ส่งไปต่างประเทศเพื่อทำปริญญาในสาขาต่าง ๆส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ และอังกฤษ ตลอดจนฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฯลฯทัศนคติเช่นนี้มีความหมายชัดเจนคือความไม่แยแสหรือถึงขั้นดูถูกสถาบันการศึกษาในประเทศของตัวเอง ด้วยเหตุผลนี้ ชนชั้นนำจึงไม่ค่อยมีความสะดุ้งสะเทือนกับอิทธิพลทางการเมืองที่แทรกแซงชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างหนัก ถึงที่สุดแล้ว มีแต่ปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศเท่านั้นที่มีเกียรติภูมิอย่างแท้จริง

สถานการณ์นี้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยได้เอกราชใหม่ๆ เมื่อทุกคนภาคภูมิใจกับโรงเรียนของตัวเอง และครูบาอาจารย์ก็ยังเป็นที่เคารพยกย่อง พวกลูกหลานชนชั้นนำไปเรียนอะไรมา ถ้าหากว่าพวกเขายอมเรียนหนังสือบ้าง? คุณแน่ใจได้เลยว่าปริญญาบัตรส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้มามักเป็นสาขาวิชาชีพเชิงพาณิชย์ เช่น บริหารธุรกิจ การตลาด เศรษฐศาสตร์ไอที ฯลฯ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ วรรณคดี มานุษยวิทยาหรือจิตวิทยาแน่ ๆเพราะสาขาวิชาเหล่านี้มักถูกมองว่า “ไร้ประโยชน์” และไม่ตรงกับความต้องการสำหรับ “ลูกหลานของเรา” ซึ่งจะต้องกลับมาสืบทอดตำแหน่งของพ่อแม่ในระบบการเมืองที่การเล่นพรรคเล่นพวกได้รับการส่งเสริมอย่างไร้ยางอายมากขึ้นทุกทีๆ

เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ: ครั้งล่าสุดที่ผมได้คุยกับอามีร์มูฮัมมัด เขาบอกผมว่า สำนักพิมพ์เล็ก ๆของเขาเพิ่งตีพิมพ์หนังสือรวมเรื่องสั้นของนักเขียนเกย์และเลสเบี้ยน เนื่องจากทราบดีว่า มาเลเซียมีกฎหมายลงโทษความสัมพันธ์ทางเพศที่ “อปกติ” ค่อนข้างหนักหน่วงทีเดียว ผมจึงถามเขาว่า เขาไม่กริ่งเกรงการลงโทษหรือ “ไม่เลย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ชนชั้นปกครองของเราไม่เคยอ่านหนังสือ อย่างมากก็อ่านแค่คำแนะนำด้านนโยบายสองหน้ากระดาษกับหนังสือพิมพ์เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ค่อยถนัดอยู่แล้ว”

ตัวอย่างที่สะท้อนภาพให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคเผด็จการยาวนานของซูฮาร์โต ในค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) มีเหตุการณ์ที่นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศลุกฮือขึ้นแข็งข้อต่อรัฐบาล ซึ่งก็ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็วผู้นำทางปัญญาส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบัน Technical Institute of Bandung (ในภาษาอินโดนีเซียคือ Institut Teknologi Bandung–ITB) อันทรงเกียรติ แต่ในการลุกฮือขึ้นต่อต้านซูฮาร์โตใน ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) หรืออีกยี่สิบปีต่อมา สถาบันนี้กลับไม่หลงเหลือบทบาทและไม่ทำอะไรเลย ทำไม? เหตุผลนั้นง่ายมาก ซูฮาร์โตต้องการการพัฒนาโดยไม่ต้องพะวงกับเสียงคัดค้าน รัฐบาลของเขาจึงจ้างบัณฑิตจาก ITB จำนวนมาก และมักส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อให้กลับมาทำงานในกระทรวงต่าง ๆที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ซึ่งต่อมาไม่นาน กระทรวงเหล่านี้ก็ขึ้นชื่อฉาวโฉ่ในด้านการเล่นพรรคเล่นพวกและการคอร์รัปชั่นผู้นำเผด็จการรู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม พวกเขาไม่มีฐานทางการเมืองหรือต้นทุนทางศีลธรรมในสังคมอินโดนีเซียอีกแล้วนักศึกษาที่มาแทนที่คนเหล่านี้มาจากมหาวิทยาลัย “ชั้นสอง” ซึ่งมักเป็นมหาวิทยาลัยด้านศาสนาและมหาวิทยาลัยเอกชน

รัฐเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อผมยื่นขอวีซ่าสำหรับนักวิจัยใน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ผมต้องรอถึงเก้าเดือนกว่าวีซ่าจะได้รับอนุมัติ เหตุผลหลักคือความเกียจคร้านของระบบราชการ แต่ก็มีความกลัวที่เข้าใจได้ด้วยว่า นักวิจัยต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาอาจเป็นสายลับของซีไอเอภายใต้รัฐบาลซูฮาร์โต ซึ่งเป็นคนโปรดของสหรัฐฯ มีความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลซูฮาร์โตต้องการมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเหนือนักศึกษาต่างชาติทุกคน โดยสั่งห้ามไม่ให้ศึกษาเรื่องอะไรก็ตามที่รัฐบาลถือว่า “อ่อนไหว” การควบคุมนี้อยู่ภายใต้หน่วยสืบราชการลับของรัฐ โดยอาศัยหน้าฉากของสถาบันที่เคยดูเหมือนใจกว้าง นั่นคือ สถาบัน Indonesian Institute for the Sciences (ภาษาอินโดนีเซียคือ Lembaga Ilmu Pengetahuan Indonesia—LIPI) ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการของรัฐ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนี้คือนักวิจัยที่รัฐไว้วางใจ ซึ่งแทบไม่เคยสอนนักศึกษาและมีความเชื่อมโยงกับนักศึกษาน้อยมาก เทคนิคการบริหารจัดการแบบนี้แพร่ไปถึงมาเลเซียและประเทศไทย และมีบ้างเล็กน้อยในฟิลิปปินส์อำนาจการยับยั้งของหน่วยงานสืบราชการลับในประเทศเหล่านี้มีมากถึงขนาดที่นักศึกษาที่มาขอวีซ่าวิจัยต้องหันไปหาโครงการที่ปลอดภัยไม่มีพิษมีภัย หรือไม่ก็เรียนรู้วิธีการโกหกอย่างฉลาดปราดเปรื่อง

นักศึกษาต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับเงินทุนจากมูลนิธิเอกชนหรือรัฐบาลในต่างประเทศ สถาบันเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันสัญชาติอเมริกัน ญี่ปุ่น ดัทช์ อังกฤษ ฝรั่งเศสแคนาดา ฯลฯต่างก็มีเป้าหมายระยะยาวในใจ และมีนักศึกษาหลายสิบหรืออาจถึงหลายร้อยคนที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันดังกล่าวรัฐบาลต่างประเทศ ซึ่งมีผลประโยชน์มากมายทับซ้อนอยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่นอินโดนีเซียหรือมาเลเซีย ย่อมต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางกับรัฐบาลในประเทศนั้นๆมูลนิธิเอกชนก็เผชิญปัญหาคล้าย ๆกัน กล่าวคือ ทำอย่างไรจะกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยที่ดี ในขณะเดียวกันก็ไม่สร้างความขุ่นเคืองหรือไม่พอใจต่อกลไกรัฐถ้ากล้าหาญเกินไป ก็อาจถูกสั่งห้าม โครงการถูกสกัดขัดขวาง ความสัมพันธ์ที่มีกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และเหนืออื่นใดคือหน่วยสืบราชการลับทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยลูกล่อลูกชนอย่างมากภายใต้ความกดดันเช่นนี้ เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่หน่วยงานและมูลนิธิเหล่านี้รู้สึกจำเป็นต้องรอบคอบระแวดระวังและอนุรักษ์นิยม ดังนั้น เห็นได้โดยง่ายว่า เหตุใดโครงการที่มีจุดมุ่งหมายที่ดีมักไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อปัญญาชนสาธารณะ แต่มักเน้นโครงการวิจัยแบบเทคโนแครตหรือโครงการขนาดเล็กๆที่ไม่น่าจะสร้างปัญหา ทั้งต่อหน่วยงานและมูลนิธิเอง รวมทั้งเยาวชนที่พวกเขาส่งเสริมและให้ทุนสนับสนุนด้วย

ภายในรัฐหรือกลุ่มพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับรัฐ มักมีกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจในการยับยั้ง (veto-groups) ซึ่งเราควรให้ความสนใจผมขอยกตัวอย่างจากแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการศึกษาของมูลนิธิ Nippon Foundation ในอินโดนีเซีย กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งกลุ่มสำคัญคือกองทัพและนักการเมืองมุสลิม ผมคิดไม่ออกเลยว่ามีหนังสือดีๆ ที่เขียนเกี่ยวกับกองทัพอินโดนีเซีย (ในระดับชาติ)สักเล่มเดียวตีพิมพ์ออกมาในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเขียนโดยนักวิชาการชาวอินโดนีเซียหรือชาวต่างประเทศ งานเขียนที่ดีที่สุดส่วนใหญ่เท่าที่มีอยู่มาจากโลกของเอ็นจีโอ เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล องค์กร Indonesia Watch ตลอดจนเอ็นจีโอท้องถิ่นเล็กๆ แต่งานเขียนเหล่านี้ไม่เป็นระบบมากนักและมักเน้นไปที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับต่างๆ และในท้องที่ต่าง ๆมากกว่า แต่การศึกษาอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ของกองทัพ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เป็นเรื่องต้องห้ามไม่มากก็น้อยคุณอาจคิดว่า มันน่าสนใจที่จะศึกษาสภาพการณ์อันแปลกประหลาดของอินโดนีเซีย ประเทศที่อ้างว่ามีคนมุสลิมถึง 90% แต่คะแนนเสียงรวมกันของพรรคการเมืองมุสลิมทั้งหมดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยเกินครึ่ง หรือทำไมทั้งๆที่อิทธิพลของศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่เกียรติภูมิของนักการเมืองมุสลิมกลับตกต่ำอย่างที่สุด? มีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ

ในประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งมากที่สุดคือศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งประสบความสำเร็จเสมอมาในการสกัดยับยั้งกฎหมายการหย่าร้างที่ก้าวหน้า ทำให้การแยกทางของคู่สมรสนับไม่ถ้วนสร้างความลำบากยากแค้นแสนสาหัสต่อผู้หญิงและเด็ก ศาสนจักรยังขัดขวางการเผยแพร่วิธีการและเครื่องมือในการคุมกำเนิด ซึ่งไม่เพียงทำให้เกิดปัญหาการขยายตัวของประชากรจนควบคุมไม่ได้ในประเทศที่ยากจนข้นแค้นและมีการอพยพของแรงงานจำนวนมาก แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้กับโรคเอดส์ด้วย ทรัพย์สินทั้งหมดและงบประมาณภายในของพระคาทอลิกเป็นความลับที่เก็บงำมิดชิดผมนึกไม่ออกว่ามีหนังสือแม้สักเล่มเดียวที่ตรวจสอบผลประโยชน์และนโยบายของศาสนจักรอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ตามมาด้วย

ในประเทศมาเลเซีย กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งอย่างสำคัญคือกลุ่มคณาธิปไตยภายในพรรคอัมโน ซึ่งครองอำนาจมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว หลายปีที่ผ่านมา กลุ่มนี้อาศัยกฎหมาย “ความมั่นคง” ภายในที่เข้มงวดเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งตกค้างจากยุคอาณานิคมอังกฤษ แต่มีการนำมาพัฒนาเพื่อใช้กดขี่ฝ่ายกบฏ ผู้วิพากษ์วิจารณ์และผู้ไม่พอใจรัฐบาล ทั้งหมดนี้อาศัยข้ออ้างบังหน้าในการรักษาความสงบของสังคม ความรู้รักสามัคคีของชาติและความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆจริงอยู่ ทุกวันนี้พรรคอัมโนอยู่ในภาวะตกต่ำ สืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ลึกซึ้งและกว้างขวาง กลุ่มผู้นำที่ไร้ความสามารถและฉ้อฉล รวมไปถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนจริงอยู่ มีเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมที่กระตือรือร้น มีเอ็นจีโอที่ทำงานต่อต้านการกีดกันด้านเชื้อชาติ โดยเฉพาะกับคนกลุ่มใหญ่ชาวอินเดียที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฯลฯ แต่การโจมตีซึ่งหน้าต่อปัญหาการคอร์รัปชั่น ความไร้ประสิทธิภาพ ความหน้าไหว้หลังหลอก ทัศนคติแบบเลือกปฏิบัติฯลฯของชนชั้นนำในพรรคอัมโนเองนั้น ยังไม่มีหรอก ถึงแม้ว่านักวิชาการจะมีความกล้ามากขึ้นทีละน้อยๆ ก็ตาม

ท้ายที่สุดคือประเทศไทยกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งในประเทศนี้คือ กลุ่มที่อยู่ล้อมรอบสถาบันกษัตริย์ ซึ่งได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวดเฉียบขาด

—————————————————–skip——————————————————–

แต่ผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่านั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในโลกวิชาการ ตัวอย่างเล็กๆแต่บอกอะไรเรามากมายตัวอย่างหนึ่งก็คือ ประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่จัดทำใส่กรอบสวยงามวิจิตรบรรจงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยนับตั้งแต่ต้นกำเนิดอันคลุมเครือเมื่อ 800 ปีก่อนมาจนถึงปัจจุบันเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริงก็คือ นิทรรศการถาวรนี้ถวายเป็นเกียรติแด่บุคคลเพียงสี่ห้าคน และทุกพระองค์คือพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่เคารพรักยิ่ง ไม่มีนักเขียน นายพล นายแพทย์ กวี นักวิทยาศาสตร์ พระ ผู้พิพากษา นักปรัชญา นักสังคมสงเคราะห์หรือจิตรกรแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้หญิงนิทรรศการเช่นนี้เป็นสิ่งที่นึกคิดไม่ได้เลยในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์หรือกระทั่งในมาเลเซียเรื่องแบบเดียวกันนี้ แต่ในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า สามารถพบเห็นได้ในสาขาวิชาต่าง ๆในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าในประวัติศาสตร์ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณคดีประจำชาติ รัฐศาสตร์ ชาติพันธุ์วิทยา ฯลฯแน่นอน มีวิญญาณเสรีอยู่บ้าง รวมทั้งอาจารย์บางคนที่อาวุโสจนน่าจะเกษียณได้แล้ว แต่ภาพรวมยังห่างไกลจากความน่ายินดี

เมื่อได้สาธยายเหตุผลข้างต้นไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นท้าทายให้เกิดข้อถกเถียง เหตุผลที่ว่าการสร้างความเป็นวิชาชีพและความเป็นพาณิชย์นิยมของมหาวิทยาลัย อำนาจที่เพิ่มพูนมากขึ้นของระบบราชการและหน่วยงานตรวจพิจารณาข่าวสาร (เซนเซอร์) รวมทั้งแนวโน้มของคณาธิปไตยในชนชั้นนำระดับรัฐ-ชาติ พื้นที่ที่เหลือให้ปัญญาชนสาธารณะจึงค่อนข้างจำกัดมาก อย่างน้อยก็ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแต่ผมขอพูดสรุปสั้น ๆอีกสักเล็กน้อยว่าทำไมสำหรับปัญญาชนสาธารณะ หนังสือยังมีความสำคัญอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์กับข้อเขียนในคอลัมน์เป็นงานเขียนที่มีอายุสั้น มันถูกกลืนหายไปทันทีที่ฉบับวันต่อไปออกมา โทรทัศน์อาจมีช่วงขณะที่มีชีวิตชีวาแจ่มชัด แต่ไม่มีใครดูรายการของปีที่แล้วหรอก บางครั้งภาพยนตร์ก็เป็นสื่อที่ยอดเยี่ยม แต่นอกจากผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คน คนส่วนใหญ่ก็ดูหนังแต่ละเรื่องแค่ครั้งสองครั้ง อินเทอร์เน็ตให้ชั่วขณะที่ปลดเปลื้องจากพันธนาการ แต่การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารมีมากเกินไป อีกทั้งข้อความในบล็อกเฟสบุ๊ก ฯลฯ ก็คงอยู่ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว

มีความหมายเฉพาะชั่วขณะนั้น ๆแต่หนังสือที่ดีสามารถอ่านซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือสามารถคงอยู่ คืนชีวิตได้ตลอดระยะเวลายาวนาน เรายังคงสามารถอ่านผลงานของท่านผู้หญิงมูราซากิด้วยความเพลิดเพลินและได้คติสอนใจ เช่นเดียวกับงานประพันธ์ของโฮเซริซัล, มิลตัน, ฮาฟิซ, วอลแตร์ ฯลฯหนังสือให้พื้นที่ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ซับซ้อนและยอกย้อน สามารถอ่านเงียบ ๆในใจ และไม่ระบุเจาะจงผู้อ่านไว้ล่วงหน้า ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้จากหนังสือ ณที่นี้ ผมอยากกล่าวว่า การพัฒนาเครือข่ายดังที่มูลนิธิ Nippon Foundation สนับสนุนนั้น เป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่องและมีคุณค่าอย่างยิ่ง กระนั้นก็ตาม มันมีความหมายเฉพาะในกลุ่มที่เข้าใจกันเองและมีความคิดเกี่ยวกับปัญหาคล้ายๆกันเท่านั้น แต่ในทัศนะของผม นี่ก็ยังไม่เหมือนกับคุณูปการของปัญญาชนสาธารณะ ซึ่งโดยหลักการแล้วย่อมพูดกับใครก็ได้และพูดกับทุกๆ คน ปัญญาชนสาธารณะมีผู้อ่าน ซึ่งอาจไม่เหมือนกับการมีเครือข่ายที่ใกล้ชิดแนบแน่น แต่ทุกสังคมพึงมีทั้งสองอย่าง
โดย Niwat Puttaprasart ให้ความเห็น

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหยียบเปลือกกล้วยล้ม!!

ไม่ต้องมีใคร “ลอบสังหาร” หรือทำ “คารบอมม์”...วันนี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องกาลแห่งความล่มจม??? ด้วยการ “ลงแดง” เสพอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” อย่างไม่ยอมโงหัว...จนต่างชาติอย่าง “สหรัฐอเมริกา-อังกฤษ-ออสเตรเลีย-ญี่ปุ่น-” รุมประณาม ว่าเป็น “เผด็จการสายพันธุ์ใหม่”
โลกไม่ให้ราคา “มาร์ค”.....ยากที่จะอยู่ในอำนาจนี้ได้
ประกอบกับ “โค-สกโทรโข่ง” อย่าง “เทพไท เสนพงศ์ ปากประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เล่นนอกเกม ปล่อยข่าวทำลาย “เสื้อแดง” ผู้เป็นคนไทยรักประชาธิปไตย กันเป็นรายชั่วโมง..คนจึงเอียนกับพฤติการณ์ “ใส่ไฟ”อันไม่เลือกที่!!!
รัฐบาลนี้อยู่ด้วยปาก...มีคนค้ำ “นายกฯมาร์ค”?...หากปากอีกเช่นกัน ที่พังรัฐบาลนี้??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

น้ำลดตอผุด!!!

มีมติให้ “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” จาก “กกต.” และ “อัยการสูงสุด”?? เกี่ยวกับการอำพราง เงินบริจาค ๒๕๘ ล้าน ที่ “เจ้าสัวประชัย เลี่ยวไพรัตน์” แห่งทีพีไอ ให้มาเป็น “ขวัญถุง” บริจาคใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ครั้งที่แล้ว....
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องพ้นจากหัวหน้าพรรค...โดยเว้นวรรค พร้อมกับกรรมการพรรคเป็นแถว
งานนี้มีคนสมใจนึกบางลำพู เพราะซีกและฝ่ายที่ผลักดันให้ “นายหัวชวน หลีกภัย” กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อรีเทิร์นเดินบนพรมแดงกลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี”พากันดี๊ด้า ไม่ว่าจะเป็น “พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล” หรือ “ อาคม เอ่งฉ้วน” พากันตีปีกพึ่บพั่บ!!!!
ไม่มี “อภิสิทธิ์”เสียแล้ว...พวกนี้ไม่ต้องกินแห้ว?...เตรียมต่อแถว เป็นรัฐมนตรีกันเป็นตับ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เหมือน “ขมิ้นกับปูน”!!

“เชน” ใกล้คัมแบ็ก กับมาใหญ่อีกแล้ว..ก้อ “อดีตนายกฯชวน หลีกภัย” นั่นไงล่ะคุณ??
เสียงในพรรคยังหนาแน่น ที่จะให้ “บิ๊กชวน เชื่องช้า” กลับมาเป็นศิลปินเดี่ยว โชว์ลูกเขี้ยวในการเป็นหัวหน้าพรรค และ นายกรัฐมนตรี
“บิ๊กชวน”อยากลบคำสบประมาท..ยามมีอำนาจ ดีแต่ “เชื่องช้า” ตลอดทั้งปี
งานนี้,คนที่น้ำตาร่วงเช็ดหัวเข่า นอกจากจะเป็น “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กันแล้ว...แม้แต่ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล ก็ต้องเก๊กซิม!!!
เพราะ “ชวน” ใหญ่วันใด “สุเทพ” ก็รอวันตาย?..เตรียมมีดโกนเอาไว้ เพื่อเชือดนิ่มๆ??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

อยู่ “เมืองตรัง” แต่ว่าแตกแถว!!

พอได้เป็นรัฐมนตรีเข้าหน่อย “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ส.ส.ประชาธิปัตย์ แห่งเมืองตรัง ก็ถือว่าตัวเคย “คุณภาพคับแก้ว”?? ทำตัวไม่ต้องพึ่งใบบุญ ไม่ต้องอาศัยบารมี “เทพเจ้าแห่งภาคใต้” คุณพี่ชวน หลีกภัย ขาใหญ่ประจำจังหวัดตรัง กันเลยเชียว
มองข้ามศรีษะ “บิ๊กชวน หลีกภัย”.....ปีกอยู่ใต้ปีก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” คนเดียว
นี่เป็นอีกหนึ่งบัญชีต้องชำระ...พอก้าวเป็นใหญ่ ก็มองไม่เห็นบารมีผู้ใด ทั้งสิ้น!!!!
“สาทิตย์”คิดว่าตัวใหญ่นักหนา...แท้จริงแค่ “ลูกนก”ธรรมดา?...ตอนนี้ชะตาใกล้หมดโอกาสที่จะบิน???

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“ยุบพรรคประชาธิปัตย์” ก็ดี

โอกาสประสานเสียงเป็นคอรัสเดียวกันเพื่อดึง “บิ๊กชวน หลีกภัย” มาเป็นจ้าวแห่งตึกไทยคู่ฟ้า ก็ใกล้ความเป็นจริงกับการเป็น “นายกรัฐมนตรี”??
แต่ทั้งหมด ไม่สามารถกวาดล้าง เช็ดถู ปัญหาที่ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สร้างกันขึ้นมาสะเด็ดน้ำ เอาไว้ได้
ทางออกเพื่อทำให้ทุกอย่างสะอาด..คือตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ขึ้นมา ขอรับเจ้านาย
กลุ่ม “๓ พี” พินิจ จารุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ หรือแม้แต่ “พรรคเพื่อไทย” ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คัดท้ายอยู่ด้านหลัง ล้วนเห็นด้วยกับ “รัฐบาลแห่งชาติ”...อีกอย่างถ้า “บิ๊กชวน” เป็น “นายกฯ ก็รังเกียจ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มีนายใหญ่ “เนวิน ชิดชอบ” ถือแส้ คอยกำกับ!!!
“บิ๊กชวน” เมิน “เนวิน”...เรียกว่าเกลียดพอ ๆ กับ “ทักษิณ”?..จะให้อยู่กิน คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ???
************************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เปิดหัวใจช้ำๆ ลูกสาวเสธ.แดง “เดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ความสุข ความเศร้า ความเหงา และความแค้น !?

2 เดือนที่แล้ว "เดียร์" ขัตติยา สวัสดิผล สูญเสีย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" บิดาผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

ลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด พร้อมกับคำถามถึงผู้มีอำนาจว่า "พ่อหนูผิดอะไร"?

มาวันนี้ เดียร์ อยู่ในระยะทำใจ พยายามลบฝันร้ายไว้เบื้องหลัง และใช้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ...ยากจะลืมเลือน

ปัจจุบัน เดียร์ ทำงานเป็นนักกฎหมายอยู่ที่สำนักงานกฎหมาย วิสเซ่น แอนด์ โค จำกัด หลังจากเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบได้เป็นเนติบัณฑิต และจบปริญญาโท ด้านกฎหมาย จากUniversity of Wisconsin, Madison และ George Washington University สหรัฐอเมริกา โดยมีครอบครัวและญาติมิตรอันเป็นที่รัก คอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง

ฟ้าหลังฝน กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอให้สัมภาษณ์ แบบเต็มอิ่ม

บทสนทนาครั้งนี้ อาจทำให้คุณรู้ว่า จากนี้ไป ชีวิต การเมือง ผู้หญิง และความใฝ่ฝันในอนาคตของทายาทเสธ.แดง วัย 29 ปี ผู้นี้ น่าระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง ...

@ ในงานศพคุณพ่อ คุณตะโกนว่า พ่อทำผิดอะไร

ตอนนั้นเดียร์มีความรู้สึกว่า คุณพ่อไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับฝั่งรัฐบาลหรือทางกองทัพ เพียงแต่เขาเป็นทหารของกองทัพที่เลือกจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับประชาชน โดยมาทำให้มวลชนคนเสื้อแดงรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ถ้ามีคุณพ่ออยู่ คุณพ่อจะสามารถดูแลเขาได้ เพราะคุณพ่อวางยุทธศาสตร์ ไม่ให้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมได้

มันเป็นวิธีเดียวของกองทัพเหรอ รัฐบาลมีแค่วิธีเดียวเหรอ ที่ต้องใช้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุม ทำไมคุณไม่คุยกัน แสดงว่าคุณต้องการที่จะเอากองทัพเข้ามาสลายการชุมนุม

@ โกรธรัฐบาลไหมครับ

โกรธมากค่ะ ถ้าเดียร์บอกว่า เดียร์ไม่โกรธเลย มันเป็นการเสแสร้ง พ่อเราเสียชีวิตทั้งคน ทำไมเราจะไม่โกรธ ถามว่าแค้นมั๊ย เดียร์แค้นมาก(นะ) ถามว่าจะเอาคืนมั๊ย เดียร์ยังไม่บอกตอนนี้ แล้วเดียร์จะไม่ให้อภัยด้วย พ่อตายทั้งคน ถ้าเดียร์ให้อภัยเขา เดียร์ก็อกตัญญูแล้ว

@ แม้ว่าจะยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าใครทำอย่างนั้นหรือ

คือ เดียร์จะไม่พูดว่าใครทำ แต่อย่างน้อยเดียร์ก็รู้ได้ว่า ใครได้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของคุณพ่อ

@ ถามจริงๆ รู้สึกเหงามั๊ย

เหงามาก(ค่ะ) ตั้งแต่คุณพ่อจากไป ไม่เคยอยู่คนเดียวเลย จะมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อตลอด เพราะทุกครั้งที่หยิบรูปคุณพ่อขึ้นมาดู ก็จะร้องไห้

@ ทุกวันนี้ คุณคุยเรื่องการเมืองกับใคร

คุยกับเจ้านาย(ค่ะ) เป็นแดงจ๋าเลย(หัวเราะ) ช่วงงานศพ นอกจากนี้ก็คุยกับญาติๆ เดียร์ และก็คุยกับลูกน้องคุณพ่อ เพราะเราไม่รู้คนอื่นเขาคิดอะไร เพราะบางคนเขาก็ไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อ

@ รู้มาว่าคุณทำงานเป็นนักกฎหมาย เป็นอย่างไรบ้างครับ

เป็นที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ(ค่ะ) ลักษณะงานที่นี่ ลูกความส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเราจะต้องให้คำปรึกษาเขา ตั้งแต่เขาเริ่มที่คิดจะทำธุรกิจ และถ้าเขาจะทำธุรกิจประเภทนี้ หรือเขาต้องการจะตั้งบริษัทขึ้นมา เขาต้องทำอย่างไรบ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

พอเขาตั้งบริษัทมาเป็นรูปเป็นร่าง เราก็มีหน้าที่ร่างสัญญาให้เขา พอร่างสัญญาเสร็จ ทั้ง 2 ฝ่ายตรวจมา ทำยังไงให้ลูกความฝ่ายเราได้เปรียบมากที่สุดและเสียเปรียบน้อยที่สุด อันนี้คืองานของเรา พอเวลาเกิดข้อขัดแย้งขึ้น เราจะแก้ปัญหาอย่างไร อาจจะต้องฟ้องศาล มีตั้งแต่ร่างคำฟ้อง เป็นทนายความที่ศาล ก็คือต้องทำทุกอย่าง

@ ฟังดู คุณสนุกกับอาชีพนักกฏหมาย

สนุกมาก(ค่ะ) มีความสุขกับงานตรงนี้มาก ไม่อยากเปลี่ยน ถามว่าถ้าลงเล่นการเมืองจะลาออกจากงานตรงนี้ไหม เดียร์คิดว่าไม่ เพราะเราเรียนมาทางด้านนี้แล้ว และคุณพ่อก็ส่งเสียให้เรียนต่างประเทศ เดียร์อยากใช้สิ่งที่คุณพ่อให้มา เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ทำที่นี่มา 1 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ที่สำนักกฎหมายสากล สยามพรีเมียร์ จำกัด ของท่านสุรเกียรติ เสถียรไทย แล้วก็มาอยู่ที่นี่

@ บุคลิกและนิสัยของคุณเป็นแบบไหน บอกได้มั๊ย

คิดว่าเดียร์เหมือนคุณพ่อ(นะ) คือ ตรงไปตรงมา แต่อาจจะไม่พูดตรงเหมือนคุณพ่อเป๊ะ ไม่ค่อยโผงผางหรือมีคำหยาบคายออกมาเยอะแยะเหมือนพ่อ คือเดียร์เป็นลูกที่คุณพ่อเลี้ยงมากับมือ เราได้เชื้อพ่อมาโดยตรง มีคนบอกว่าการคิดการพูดเหมือนคุณพ่อเด๊ะ

ลูกน้องคุณพ่อบางคนก็บอกว่า นายเสียไปแล้ว แต่พอได้โทรมาคุยกับพี่เดียร์ เหมือนกับคุยกับคุณพ่อเลย ฉะนั้น เดียร์อยากทำให้เหมือนเขาทุกอย่าง และสิ่งหนึ่งที่อยากทำให้เหมือนเขามาก คือการได้ใจประชาชน เขาได้เข้าถึงประชาชน เพราะเขาติดดินและไม่ถือตัว สิ่งนี้แหละ ที่เดียร์พยายามทำให้ได้เหมือนเขา

@ หมายความว่า คุณจะลงเล่นการเมือง

จริงๆ คิดมานานแล้วตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ พอคุณพ่อตั้งพรรคการเมือง ก็บอกว่าคุณพ่อจะให้น้องเดียร์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 หลังจากนั้นพ่อก็คอยแกล้งตลอดว่า เตรียมตัว นะมันจะยุบสภากันแล้ว เราก็เตรียมพร้อมถ้าเลือกตั้ง เราต้องเป็น 1 ในผู้สมัครรับเลือกตั้ง พอคุณพ่อเสีย ยิ่งรู้สึกว่าเราจะต้องทำให้พรรคขับเคลื่อน ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง

@ เป็นไปได้ไหม ที่คุณจะเป็นผู้นำมวลชนในอนาคต

ยังค่ะ. เดียร์อยากลองเข้าไปสัมผัสเขาจริงๆ จังๆ ก่อน เหมือนที่คุณพ่อทำ ถามว่าตอนนี้เดียร์จะเป็นแกนนำได้ไหม เดียร์บอกได้เลยว่าความสามารถของเดียร์รวมถึงประสบการณ์ยังไม่ได้ แต่ขอใช้เวลาศึกษาก่อนว่าระบบการเมืองการเข้าถึงมวลชนรากหญ้าหรืออะไรก็แล้วแต่เป็นยังไง แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาพูดกัน เพราะบางที เมื่อถึงตอนนั้น ระบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ ใครอาจจะเป็นรัฐบาลก็ได้

@ จะเป็นหัวหน้าพรรคขัตติยะธรรมต่อจากคุณพ่อด้วยหรือเปล่า

เรื่องหัวหน้าพรรค เดียร์กำลังคิดอยู่ว่าเดียร์จะเป็นเองหรือเปล่า ต้องดูข้อกฎหมายก่อน ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเป็นกรรมการบริหารพรรคโดยตำแหน่งด้วย ก็อาจจะไม่เป็นหัวหน้าพรรค แต่อาจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคเราเป็นพรรคเล็ก และก่อตั้งโดยเสธ.แดง เราอาจจะโดนแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้

ถ้าแกล้งแล้วโดนยุบพรรคไป มันก็เหมือนไม่มีตัวแทนของเสธ.แดง เพื่อจะมาตั้งพรรคใหม่อีกพรรคหนึ่ง เพราะถ้าโดนยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง อย่างน้อยให้เหลือเดียร์ไว้สักคน อาจจะตั้งพรรคใหม่เป็นพรรคขัตติยะ หรืออย่างอื่นก็ได้ แล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง

@ แล้วพรรคของคุณมีนโยบายแตกต่างจากพรรคอื่นอย่างไร

เท่าที่คุณพ่อ พูดเอาไว้ก่อนเสียชีวิต บอกว่า กองทัพทหารของเรา อันดับตกไปที่เท่าไหร่เดียร์ไม่แน่ใจ คุณพ่อจึงอยากพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กลับเข้ามาอยู่ 1 ใน 5 ของเอเชียอีกครั้ง อีกอย่างคือ คุณพ่ออยากแยกอำนาจสืบสวนสอบสวนออกจากตำรวจ ซึ่งเหมือนกับระบบของสหรัฐอเมริกา คุณพ่ออยากให้เป็นแบบนั้น

@ คุณทักษิณ เคยชวนเข้าพรรคเพื่อไทยบ้างไหม

มีคนอื่นชวนซึ่งไม่ใช่คุณทักษิณ แต่เดียร์ไม่ไป(ค่ะ) เพราะถ้าไม่ใช่พรรคขัตติยะธรรม เดียร์ก็จะไม่ลงเล่นการเมือง ที่ลงเพราะคุณพ่อทิ้งหน้าที่นี้ไว้ให้ พร้อมกับมวลชนทุกคนบอกว่าสานต่อเจตนารมย์คุณพ่อ บอกว่าเดียร์อย่าทิ้งพรรค เดียร์เอาสิ่งที่คุณพ่อพูด รวมถึงกำลังใจจากทุกคนมาดำเนินตาม แต่ไม่ใช่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย

@ มองสถาบันพรรคการเมืองไทยอย่างไร ขณะที่เตรียมสานต่อพรรคขัตติยะธรรม

ตอนกลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เดียร์เคยทำอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน เพราะคุณพ่อให้ไปทำอยู่ฝ่ายกฎหมายที่นั่น ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ระบบพรรคการเมืองเป็นอย่างไร แต่ถามว่ามองพรรคการเมืองของประเทศไทยอย่างไรและจะทำอย่างไรกับพรรคขัตติยะธรรม เดียร์อยากให้พรรคขัตติยะธรรมเป็นพรรคที่ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง หรือจากการเข้าไปเป็นรัฐบาล เพราะรู้ว่าการเลือกตั้งใช้เงินเยอะ เพราะเหตุดังกล่าวจึงทำให้นักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐบาลต้องคอร์รัปชั่น เพื่อเอาเงินส่วนนั้นคืนมา

เพราะฉะนั้น มีความรู้สึกว่าถ้าพรรคขัตติยะธรรมใช้เงินให้น้อยที่สุด ใช้เงินเท่าที่จำเป็นโดยไม่ฟุ่มเฟือย เราต้องใช้ความสามารถ ใช้การซื้อใจประชาชนด้วยคำพูดหรือด้วยความคิดและการปฏิบัติของเรามากกว่าที่จะใช้เงิน หากได้เข้าไปเป็นรัฐบาลหรือส่วนหนึ่งของการเมืองไทยแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นจะให้ พรรคขัตติยะธรรมยืนอยู่บนรากฐานแบบนี้ และตามอุดมการณ์ของคุณพ่อทุกอย่าง

@คุณมองความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างไรบ้าง

ความขัดแย้งเกิดจากอำนาจ เพราะคนๆ หนึ่งต้องการอยู่ในอำนาจมากเกินไป พอตัวเองได้อำนาจมา ก็หลงระเริงในอำนาจ พอมีคนจะแย่งอำนาจไปก็เกิดความดื้อ ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา ถ้าเขาไม่หลงระเริงในอำนาจสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เดียร์จะไม่บอกว่าเป็นใครที่หลงระเริงในอำนาจ แต่อยากให้เรื่องของคุณพ่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับทุกคน ว่า เมื่อมีคนหลงระเริงอำนาจ แล้วพอมีคนออกมาพูดอะไรที่ตรงๆ โดยที่ไม่กลัวอะไรเลย สุดท้ายก็จะจบชีวิตแบบนี้ เหมือนอยู่ในสังคมที่พูดความจริงไม่ได้

อย่างคุณพ่อ เขาพูดความจริงทุกอย่างเยอะเกินไป เดียร์มีความรู้สึกว่าถ้าเขารู้แล้วไม่พูด และไปทำวิธีอื่นแทน มันน่าจะดีกว่านี้ แต่คุณพ่อเป็นคนที่คิดแล้วพูดด้วยความที่เขาเป็นคนตรงๆ ข้อดีของสิ่งนี้คือ เขาได้ใจประชาชน

@ แต่คุณเคยมีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากคุณพ่อมาก่อน

จริงๆ แล้ว เราไม่ได้มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันเลย เดียร์เชื่อว่าหลายๆ คน ที่ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เขาเห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมีอยู่แล้วที่ไปเพราะอยากรู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ พูดอะไร ยังไง แล้วเราก็มาชั่งน้ำหนัก กับอีกฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลซึ่งขณะนั้นปีกเสื้อแดงเป็นรัฐบาล แล้วนำเสนอข่าว

ฉะนั้น เราเอา 2 อย่างมาชั่งน้ำหนักกัน นั่นคือสาเหตุที่เดียร์ไป อีกอย่างคุณพ่อมองว่า การที่เดียร์ไปชุมนุม เป็นเรื่องเด็กๆ เหมือนไปกับเพื่อน เพราะฉะนั้น เราไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องนี้ อยู่ที่บ้านไม่เคยพูดกันเรื่องนี้เลย ยกเว้นแต่เอามือตบไปแหย่เขา แกล้งเขา แค่นั้นเอง ถามว่ามีปัญหาเรื่องนี้ไหม มันไม่เคยมีปัญหามาตั้งแต่แรก

และยิ่งเราอยู่ตรงกลางตั้งแต่แรก พอเจอเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวเรา ยิ่งทำให้เดียร์เลือกที่จะมาอยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คือ อย่าบอกว่าเป็นเสื้อแดงหรืออยู่ฝั่งไหน เอาเป็นว่าเดียร์อยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คุณพ่ออยู่ฝั่งไหนเดียร์อยู่ฝั่งนั้น

@ มองอย่างไรที่คนในสังคมไทยจำนวนมาก เลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ

นี่แหละคือประชาธิปไตย เขามีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อ ในเมื่อเขาเชื่อว่า ระบบตอนนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาเรียกร้อง ไม่งั้นคุณก็เปลี่ยนระบบการปกครองไปสิ การที่เสื้อแดงออกมาเรียกร้อง มันไม่ใช่แค่คำว่าทักษิณ ชินวัตร แล้ว มันเลยทักษิณไปแล้ว คุณพ่อเคยบอกว่าน้องเดียร์มันมากกว่านั้นแล้ว เราฉุดมันไม่อยู่แล้ว

@ หลังจากได้สัมผัสมวลชนกับคุณพ่อมาบ้างแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรเวลามีการกล่าวหาว่ามีขบวนการใต้ดินใช้ความรุนแรง

ไหนล่ะคือหลักฐาน แล้วก็มีการบอกว่านายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะโดนลอบทำร้าย คุณไปเอาข่าวมาจากไหน คุณช่วยเอามาให้เขาดูหน่อยว่าไปเอาอะไรมา คุณไปดักฟังโทรศัพท์เขาเหรอหรือว่าไปเอาอะไรมาพูด

คือทุกอย่างเดียร์รู้สึกว่า อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นมีสิทธิ์จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้เพื่อให้ประชาชนเชื่อ พูดไปก็มีแต่ความแค้นนะเนี่ย ไม่รู้จะพูดยังไง (หัวเราะ) โกรธมาก ตอนนี้ เปิดทีวีมา ไม่อยากเห็นหน้านายกฯ ไม่อยากเห็นหน้า ผบ.ทบ. เลย

@เวลาที่มีคนบอกว่าเสธ.แดง เป็นผู้ก่อการร้าย คุณคิดเห็นอย่างไร

เศร้านะ คือคุณพ่อเดียร์ เทิดทูนสถาบันฯมาก เดียร์ไม่รู้จะพูดยังไง มีคนบอกว่าที่มีการสั่งยิงคุณพ่อ เพราะเขาเชื่อว่าคุณพ่อจะล้มล้างสถาบันฯ เดียร์ขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่าคุณพ่อไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่ในหัว เพราะคุณพ่อเทิดทูนสถาบันฯมาก เราอยู่กับคุณพ่อมา คุณพ่อสอนให้เราเทิดทูนสถาบันฯ มาโดยตลอดและไม่ว่าอะไร คุณพ่อจะนึกถึงสถาบันฯตลอด

ฉะนั้น คุณเลิกพูดเถอะว่าคุณพ่อเป็นผู้ก่อการร้าย ระหว่างที่คุณพ่ออยู่ในม็อบ ก็ไม่เคยถืออาวุธ ถามว่าอาวุธของเสื้อแดงคืออะไร เดียร์เห็นเขาเหลาไม้ไผ่แหลมๆ แต่การที่เขาถือไม้ไผ่แล้วคุณบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คุณบ้าไปแล้ว

@ รัฐบาลเร่งปฏิรูปเรื่องปรองดอง คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม มากน้อยแค่ไหน

ไม่ได้(ค่ะ) ต่อให้ 63 ล้านความคิด ก็ไม่มีทาง คือตั้งแต่แผนที่รัฐบาลเสนอมา เสื้อแดงยังไม่รับเลย หลักๆ เลยคุณหาคนรับผิดชอบวันที่ 10 เมษายน กับช่วงเดือนพฤษภาคม ก่อนดีกว่า ว่าใครจะรับผิดชอบ และใครจะมารับผิดชอบการตายของคุณพ่อเดียร์ ถ้าคุณทำ 3 อย่างนี้ได้นะ คุณค่อยมาคิดแผนปรองดองใหม่

@ คุณคาดหวังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ชุดอาจารย์คณิต ณ นคร มากน้อยแค่ไหน

อาจารย์คณิต เขาส่งจดหมายให้เดียร์นะ แต่ยังไม่ได้อ่าน เพราะอยู่ที่บ้าน แต่เท่าที่ทราบคือ สำนวนถูกส่งจากตำรวจที่รับผิดชอบ ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว มันเลยยิ่งทำให้ความหวังที่จะได้ตัวคนร้ายคนยิง รวมถึงการที่จะหาข้อสรุปคดีคุณพ่อมันน้อยมาก

@ อยากฝากอะไรถึงผู้มีอำนาจในขณะนี้มั๊ย

อยากบอกว่า ให้เป็นมาตรฐานเดียวได้แล้ว และเป็นมาตรฐานที่ยุติธรรม ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน และคนที่อยู่ในอำนาจ สักวันก็ต้องลงจากอำนาจ ยังไงก็ต้องมีวันนั้น ฉะนั้น ในเมื่ออยู่ในอำนาจก็อยากให้เขาใช้อำนาจในทางที่ถูกเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ 63 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มเดียวหรือ 2 กลุ่ม

@ แล้วอยากฝากอะไรถึงคุณพ่อหรือคนที่ให้กำลังใจบ้าง

เดียร์อยากขอบคุณคนเสื้อแดงมากๆ และประชาชนที่อาจจะไม่ใช่เสื้อแดง แต่ได้แสดงความเป็นห่วงใยและให้ความเคารพคุณพ่อ รวมถึงให้กำลังใจครอบครัวเรา เดียร์พูดได้เต็มปากว่า ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวันโดยไม่มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เป็นเพราะกำลังใจจากพวกเขาทั้งนั้นเลย

ส่วนคุณพ่อ เดียร์รู้สึกว่า ท่านได้ทำหน้าที่ในชาตินี้ได้ดีที่สุดแล้ว และคุณพ่อก็จากไปอย่างสมเกียรติ ถึงแม้คุณพ่อจะไม่ได้จากไปในหน้าที่ในสมรภูมิรบ แต่คุณพ่อจากไปในฐานะทหารของประชาชนและเป็นสมรภูมิรบเพื่อประชาธิปไตย
@ หลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้คุณมีความสุขในชีวิตไหม

มันไม่มีอยู่แล้ว ตอนที่อยู่กับคุณพ่อ ถึงคุณแม่จะเสียไป แต่เราก็ยังมีความสุขที่เราได้ทำอะไรให้คุณพ่อ เราทำงานได้งานมาชิ้นหนึ่ง พอเราทำสำเร็จ เราก็เอาให้คุณพ่อดู เอาไปอวดคุณพ่อ ไม่ว่าเราจะมีเรื่องอะไร ตื่นเต้น เศร้าใจ เสียใจ คุณพ่อจะเป็นคนแรกที่เดียร์นึกถึงและคุยกับเขา แต่เมื่อพอเสียคุณพ่อจากไป มันไม่มีใครแล้ว พูดให้ใครฟังก็ไม่เหมือนพูดให้พ่อกับแม่ฟัง

ทุกวันนี้ยังคิดถึงเขา แล้วบางทีเจอเรื่องอะไรมา หยิบโทรศัพท์มาจะโทรหาคุณพ่อ แต่ทุกวันนี้ไม่มีคุณพ่อให้โทรแล้ว ถามว่ามีความสุขไหม มันไม่มีความสุข แต่ก็พยายามทำให้ตัวเองมีความสุข ทำให้ตัวเองไม่เศร้าใจ

@ แล้วคุณจะดำเนินชีวิตจากนี้ต่อไปอย่างไร ไม่ให้เศร้าใจ

ตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ คุณพ่อจะไม่อยากให้เดียร์เครียดกับเรื่องอะไร ไม่ว่าคุณพ่อจะมีปัญหาอะไร คุณพ่อจะบอกน้องเดียร์ไปดำเนินชีวิตตามปกติ ไปสังสรรค์กับเพื่อนไปเฮฮาได้เลย ทุกอย่างมีทางแก้ คุณพ่อจะหาทางแก้ได้

ฉะนั้นสิ่งนี้จะติดตัวเรามาถึงทุกวันนี้ พอมีเรื่องอะไร จะคิดแป๊บเดียวแล้วเราก็เลิกคิด แล้วหาความสุขใส่ตัวทุกวัน สังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ทำงานให้ผ่านไปได้แต่ละวัน แล้วก็มองถึงอนาคต ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่อยู่ดูแล้ว แต่เขาก็ดูเราได้จากข้างบน เหมือนทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อเขาถึงแม้เขาจะไม่อยู่ดูแล้ว

ทุกวันนี้ ก็มีทั้งเพื่อนและแฟนเดียร์ และญาติๆ คุณป้าคุณน้า ทุกคนให้กำลังใจ โชคดีว่า ที่ผ่านมา คุณพ่อให้เดียร์ตัดสินใจเอง ฉะนั้น ถ้าเรื่องไม่หนักหนาก็จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าผิดหรือถูกเราก็ต้องยอมรับสภาพ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้นว่า “ทหารไทยนี่แหละที่ยิงผม”

โดย Elizabeth Garrett
ที่มา International Press Institute

หน่วยฉุกเฉินได้นำตัวนักข่าวชาวฮอลแลนด์ ผู้ซึ่งถูกยิงระหว่างการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุุมนุมประท้วง “เสื้อแดง” กับทหารไทย ไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พ.ค. Photo: REUTERS/Stringer

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. องค์กรสื่อนานาชาติ หรือ IPI ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้มีการสอบสวนที่เน้นว่าต้องโปร่งใสอย่างเร่งด่วนที่สุด ต่อกรณีการฆ่าและการทำร้ายให้บาดเจ็บที่มีต่อผู้สื่อข่าวระหว่างการปะทะกันในเดือนเม.ษ. และพฤษภาคมที่ผ่านมา

ความรุนแรงในประเทศไทยครั้งดังกล่าวทำให้นักข่าวสองคนต้องเสียชีวิต และมีนักข่าวบาดเจ็บอย่างน้อยห้าราย

ทั้งๆที่มีการเรียกร้องจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งรวมไปถึงองค์กรสื่อนานาชาติ แล้วนั้น ปรากฏว่ายังไม่มีการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด

นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกยิงได้แก่นาย Michel Maas ซึ่งเป็นชาวดัชต์ ทำงานภายใต้สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ (NWR) และ นสพ.Volkskrant ในฮอลแลนด์ เขาถูกยิงที่ไหล่ระหว่างความโกลาหลที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการโจมตีที่ป้อมปราการของคนเสื้อแดงโดยพวกทหารไทย

นายมาสขณะนั้นอยู่กับคนเสื้อแดงในขณะที่พวกทหารกำลังเริ่มโจมตี ในตอนนั้นเขาบอกกับบรรณาธิการหนังสือ Volkskrant ว่า อันตรายที่สุดในขณะนั้นก็คือพวกทหาร “เพราะว่าพวกเขายิงทุกอย่างที่เคลื่อนที่ และยิงโดยไม่ถามก่อนด้วย แม้ว่าจะเป็นนักข่าว”

องค์กร IPI ได้ขอสัมภาษณ์กับนาย Maas โดยมีรายละเอียดดังนี้

IPI: มันเป็นยังไงบ้างสำหรับนักข่าวที่รายงานข่าวความไม่สงบในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา

MM: ปัญหาใหญ่คือการหาให้เจอว่าความจริง จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะว่าสื่อไทยเกือบทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงหนังสือพิมพ์ “อิสระ”(ประชด) คือ เนชั่นฯ และบางกอกโพสต์ โดยเฉพาะเนชั่นฯ มันเป็นอะไรที่เทียบเคียงได้กับหนังสื่อ”โพรพาแกนด้าต่อต้านพวกเสื้อแดง” สิ่งนี้แหละที่ทำให้หน้าที่ของนักข่าวต่างประเทศยากยิ่งยวดและสำคัญมากๆ

และการที่สื่อต่างประเทศจำต้องจับข่าวจากสำนักข่าวท้องถิ่น และเพราะว่าไม่มีแหล่งข้อมูลข่าวใดๆเชื่อถือได้ คนที่ทำงานจำต้องใช้ตาและหูกันแบบสุดๆ และตรวจสอบข่าวกันทุกเม็ดและทำซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในทางปฏิบัติแล้ว การทำงานมันยุ่งๆที่ต้องผ่านจุดตรวจ โดยเฉพาะจุดตรวจของทหาร ผมถูกกักมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายครั้งทหารยืนยันว่าผมจะต้องไม่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ พวกเขาไม่ค่อยชอบช่างภาพเท่าไหร่

พวกทหารได้ออกคำเตือนหลายต่อหลายครั้งกับนักข่าว โดยเฉพาะที่บอกว่านักข่าวต่างประเทศคือ “เป้า” ของผู้ก่อการร้าย มีข่าวลือหลายครั้งว่าพวกเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าว และเตือนไม่ให้พวกเขาเข้าไปยังที่ตั้งของคนเสื้อแดง แม้ว่าผมจะรู้ว่าคนเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าวในพื้นที่คนสองคน และนักข่าวต่างประเทศบางครั้งก็ถูกกักไม่ให้เข้าไปยังพื้นที่ของคนเสื้อแดง หรือถูกเรียกให้ออกจากพื้นที่ ผมก็ยังได้ไปที่ชุมนุมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมของผมหลายต่อหลายครั้งในหนึ่งวัน และได้รับการตอบรับอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่ง ผมสามารถรายงานอย่างอิสระ และกับใครก็ได้ที่ผมต้องการ และกระทั่งในเวลาที่กำลังระอุ

IPI: จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.

MM: ผมเห็นผ่านทางทีวีว่าพวกทหารได้เริ่มเปิดฉากทลายกำแพงที่ฝั่งถนนสีลม ผมจึงเข้าไปที่ชุมนุมโดยใช้ช่องทางอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลจากถนนสีลม ในฝั่งนี้นั้นทุกอย่างเงียบเชียบ คนเสื้อแดงจำนวนมากกำลังตามข่าวผ่านทางทีวีในขณะที่เวทีกลางมีกำลังมีการปราศรัยโดยแกนนำไปเรื่อยๆ

ผมเดินไปตลอดจนถึงอีกฝั่ง และเห็นพวกทหารบุกเข้ามา และในขณะที่ผมอยู่ห่างออกไปจากแนวกำแพงประมาณ 200 เมตร ผมเห็นควัน และหลังจากนั้นไม่นานพวกทหารก็แหวกม่านควันเดินออกมา พวกเสื้อแดงได้เตรียมขวดน้ำมันเล็กๆและไม่ไผ่เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ต่อสู้ ผมเห็นชายคนหนึ่งถือปืนสั้นที่ค่อนข้างโบราณ และแม้กระทั่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ขนาดนี้ที่แนวหน้า ผมก็ยังไม่สังเกตเห็นสัญญาณใดๆของ “อาวุธร้ายแรง” ที่พวกเสื้อแดงถูกคาดว่าจะมี โดยเฉพาะตามที่อ้างมาจากสื่อของรัฐฯ

ในขณะนั้นผมอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้สื่อข่าวต่างประเทศประมาณ 20 คน ผู้ซึ่งก็กำลังชมเหตุการณ์ร่วมกับผม พวกเราพยายามหาที่หลบกำบังตามมุมตึก หลังต้นไม้ แต่ก็ไม่มีใครดูกังวล ต่อมาพวกทหารก็ได้เริ่มที่จะยิงแก๊สน้ำตา และยิงขึ้นฟ้าเพื่อที่จะสลายพวกผู้ชุมนุม

การเปิดฉากยิงเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังรายงานสดทางวิทยุ การยิงเกิดขึ้นจากฝ่ายเดียวคือฝ่ายทหาร และพวกเขาไม่ได้ยิงขึ้้นไปบนฟ้า พวกคนเสื้อแดงและนักข่าวเริ่มวิ่งหนี ผมก็วิ่งด้วย เพราะจากประสบการณ์ได้สอนผมว่า ในเหตุการณ์อย่างนี้ต้องตามคนท้องถิ่นดีที่สุด เพราะคนพวกนี้ได้เคยผ่านสมรภูมิก่อนๆมาแล้วและรู้ว่าเมื่อไหร่จะอันตรายจริงๆ

แต่งวดนี้ผมตัดสินใจผิด เพราะการวิ่งหนีทำให้ผมต้องออกไปจากที่กำบังมุมตึกและต้องอยู่ในที่โล่ง ผมถูกยิงทันทีที่หลัง มันยังไม่ทำให้ผมล้มลงดังนั้นผมจึงยังวิ่งต่อไป และหลังจากนั้นประมาณสองร้อยเมตรก็มีคนนำผมขึ้นมอเตอร์ไซต์และนำผมไปส่งโรงพยาบาลตำรวจที่อยู่ภายในที่ชุมนุม

ผมโชคดีอย่างยิ่งยวด กระสุน (ซึ่งชัวร์ว่าเป็นเอ็มสิบหก) พลาดปอดผมไปคือครึ่งนิ้ว แต่โดนไหล่และซี่โครงและหยุดภายในกล้ามเนื้อซึ่งก็ยังอยู่ตรงนั้น รอเวลาเพื่อการผ่าตัดเอาออก นักข่าวชาวอิตาเลียนไม่โชคดีอย่างนั้น นาย Fabio Polenghi ตายในที่เดียวกับที่ผมโดนยิง นักข่าวชาวคานาดาก็ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บในจุดจุดเดียวกันอีกด้วย

IPI: คุณเชื่อว่าใครยิงคุณ

MM: ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้น ว่ากองทัพไทยนี่แหละที่ยิงผม ไม่มีคนอื่นหรอกที่ยิงผม นี่พูดตามที่ผมบอกได้ พวกทหารมีสไนปเปอร์บนทางรถไฟลอยฟ้าเหนือหัวเรา พวกทหารในสวนลุมก็อยู่ด้านหน้าเรา มันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว และกองกำลังก็เดินคืบหน้ามาในทิศทางที่ผมโดนยิง

การที่ปรากฏว่าตัวเลขเหยื่อเป็นชาวต่างชาติเป็นสัดส่วนที่สูง ประกอบกับการประกาศเตือนล่วงหน้าโดยกองทัพ ได้ทำให้มีข้อสงสัยว่า นักข่าวชาวต่างชาติอาจะเป็นรายการที่ต้องยิงจริงๆ และไม่ใช่ยิงโดยพวก “ผู้ก่อการร้าย” แต่ยิงโดยพวกทหาร พวกเขาอ้างไม่ได้ว่าพวกเขาแยกแยะระหว่างคนเสื้อแดงกับชาวต่างชาติไม่ออก

ผมถูกสังเกตเห็นอย่างง่ายว่าแตกต่างกับคนอื่นในขณะที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน จากความสูงผม (ผมสูงกว่าคนไทยโดยเฉลี่ย) จากเสื้อผ้าผม สีผมรวมทั้งสีผิว ส่วนคุณฟาบริโอ โปลองกี่ ก็ใส่เสื้อเกราะและหมวกยืนเด่นแปลกแยกออกจากผู้ประท้วง พวกทหารแก้ข้อกล่าวหาได้ทางเดียวโดยอาจจะอ้างว่าก็เพราะพวกเขายิงไม่เลือกอย่างเท่าเทียมไปยังฝูงคนนี่เอง (ไม่ได้ยิงเหนือศีรษะ ผมโดนยิงใต้ระดับไหล่ ฟาบริโอโดนยิงที่ท้อง)

IPI: เหตุการณ์ดังกล่าวบอกอะไรคุณเกี่ยวกับมุมมองที่เขามองนักข่าว

MM: ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ก่อนหน้านี้ผมได้ยินถึงคำบ่นว่านักข่าวต่างประเทศเข้าข้างผู้ประท้วงมากเกินไป และมันชัดที่ว่าพวกทหารไม่ชอบที่พวกเรารายงานเหตุการณ์การปะทะก่อนหน้านี้ซึ่งจบลงที่ความล้มเหลวของฝ่ายกองทัพของรัฐบาล เหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาคิดว่าพวกนักข่าวในพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงอาจจะมีส่วนร่วมหรืออะไรๆก็ตาม ซึ่งอาจจะนำให้พวกเขาคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะยิงพวกเราเช่นเดียวกับที่ยิงผู้ประท้วง

IPI: แล้วอย่างนั้นพวกเขาควรจะมองนักข่าวอย่างไรล่ะ

MM: ก็มองดังเช่นคนที่เขาควรจะปกป้อง แม้ในช่วงมีการโจมตี พวกเขาน่าจะออกประกาศเตือนและให้โอกาศกับนักข่าวที่จะออกจากพื้นที่ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็แค่ยิงเลย ไม่เตือน

IPI: มีปฏิกิริยาอะไรจากเจ้าหน้าที่ทางการดัชต์หรือไทยต่อการยิงคุณ

MM: กระทรวงการท่องเที่ยวส่งอีเมล์มาหาผมโดยเสอนว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษา แต่ผมเห็นว่ามันค่อนข้างใจดีกับคนต่างชาติ ก็เพราะเพื่อรักษาภาพพจน์ของการท่องเที่ยวไทย

ผมได้คุยกับเอกอัครราชทูตดัชต์ในกรุงเทพฯอย่างดี เขาบอกว่าเขาจะบอกให้รัฐบาลดัชต์เรียกร้องให้มีการเปิดเผยโดยรัฐบาลไทย แต่ผมยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

IPI: มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าใครยิงคุณบ้างไหม

MM: เท่าที่ผมรู้-ไม่มี ไม่มีกระทั่งรายงานจากตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

IPI: สถานการณ์ของนักข่าวในไทยเป็นอย่างไร เท่าที่คุณรู้

MM: โดยรวมแล้วเสรีภาพสื่อในไทยยังมีอยู่ แต่ยากที่จะบอกว่าเสรีภาพมันกินขอบเขตแค่ไหน พวกสื่อไม่เซ็นเซอร์ตัวเองก็โดนควบคุมโดยรัฐ และก็มีหัวข้อที่ไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้เขียนได้คือ หัวข้อที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์

IPI: คุณจะแนะนำกับนักข่าวคนอื่นอย่างไรเมื่อต้องรายงานสถานการณ์แบบนี้อีก

MM: สถานการณ์มันแตกต่างกันไป คุณต้องระวังตลอดและหาคนท้องที่ที่คุณไว้ใจได้

ผมอาจจะบอกเพิ่มว่า ขอให้เอาเสื้อกันกระสุนไปด้วย แต่อย่าไว้ใจมาก เพราะฟาบริวโอก็โดนยิงทั้งๆที่ใส่เสื้อเกราะ

13.713778 100.210606
Filed under Unrest in Bangkok, การเมือง, ความยุติธรรม, ต่างประเทศ, สังคม Tagged with Elizabeth Garrett

ปฏิรูปไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวด

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

พลันเมื่อได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) สื่อมวลชนรายงานว่า นพ. ประเวศ วะสี ประธาน คสป. กล่าวว่า “คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง เพราะปรองดองเป็นเรื่องของอดีต มีโจทก์และจำเลย แต่การปฏิรูปเป็นการมองไปข้างหน้า ไม่ใช่แก้ปัญหา แต่จะเป็นการทำสิ่งใหม่เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย” (8 กรกฎาคม 2553 มติชนออนไลน์)

ออกจะเป็นเรื่องแปลกที่คน “องค์รวม” อย่างหมอประเวศจะพูดว่าเราควรเดินหน้าต่อไป โดยมองข้ามอดีต และที่น่าสนใจก็คือทำไมคุณหมอถึงบอกให้มองข้ามอดีตทั้ง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญและมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และตามเนื้อทฤษฎีที่คุณหมอมักกล่าวอ้าง แทบไม่มีครั้งใดเลยที่คุณหมอจะไม่พูดเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน อย่างเช่น

“เมื่อเราเกิดปัญญาแล้วจะสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทำให้เห็นอนาคตและกลับไปพิจารณาอดีตปัจจุบันด้วยกระบวนการทางปัญญา” (การจัดการความรู้ ศ.นพ. ประเวศ วะสี ปาฐกถาพิเศษ ในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548)

เมื่อเห็นรายชื่อกรรมการหลายคน โดยส่วนตัวผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมและเจตนารมณ์ที่ดีของท่านทั้งหลาย แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจใยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย แต่เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต

ทำไมท่านประธานฯ ถึงบอกว่าอดีตเป็นแค่เรื่องระหว่าง “โจทก์และจำเลย” ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่เรียกว่าเป็นความคิดแบบคู่ตรงข้าม ที่ตัวท่านประธานฯ เองเสนอหลายครั้งหลายคราให้เรามองข้ามคู่ความคิดที่ตรงข้ามเช่นนี้

อดีตที่เพิ่งผ่านมาเพียงสองสามเดือน หรือจะย้อนหลังไปจนตั้งแต่ช่วงมีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ไม่ใช่สิ่งที่เรามองข้ามถ้าเราต้องการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุด กรรมการชุดนี้ควรมีสำเหนียกและสำนึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็เกิดขึ้นกับบรรดา “คนเล็กคนน้อย คนยากคนจน” ที่ท่านประธานฯ เรียกร้องให้มีการเคารพศักดิ์ศรีทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยท่านประธานฯ เองก็มองว่า “ศีลธรรมพื้นฐานคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน” (ปาฐกถาเดียวกัน)

คนที่ตายเกือบร้อยชีวิต คนที่เจ็บกว่าสองพัน เขามีศักดิ์ศรีหรือไม่ ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายพอจะมีเวลาและพร้อมจะสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับเขาสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่ม “ปฏิรูปอนาคต” ของประเทศที่ผู้สูญเสียเหล่านี้รัก ท่านพร้อมจะไว้อาลัยให้กับประชาธิปไตยที่คนเหล่านี้เอาชีวิตเข้าแลกได้หรือไม่

ในเมื่อยังไม่มีการสำเหนียกและสำนึกซึ่งความเจ็บปวด ไม่พักต้องพูดถึงความจริงที่ต้องคลี่คลาย ทั้งการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และราษฎร ซึ่งในฝ่ายแรกก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นความขัดแย้งกันเองในกองทัพหรือไม่ ในฝ่ายหลังมีหลักฐานประจักษ์ชัดมากทีเดียวว่ารัฐมีการกระทำที่น่าจะพิจารณาว่าเกินกว่าเหตุ ไม่นับคนอีกหลายร้อยคนที่ถูกจองจำเพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองของตน

เขาเหล่านั้นยังมีครอบครัว ญาติมิตร ลูกหลาน หลายคนเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ที่อุบลราชธานี แม่คนหนึ่งถูกยิงขาทะลุและถูกจับ ศาลปฏิเสธไม่ปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่พฤษภาคม ถูกต้องข้อหาอาญา เพียงเพราะเข้าร่วมการชุมนุม ปล่อยลูกสามคนที่แคระแกรนเพราะขาดสารอาหารอยู่กับยายอายุ 84 ปีเพียงลำพัง ยายมีรายได้เพียง 500 บาทต่อเดือน (เบี้ยยังชีพ)
และยังอีกหลายร้อยคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐตามล่าหาตัว กล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้เกิดการชุมนุมประท้วง
การเข้าร่วมการประท้วงจึงกลายเป็นความผิดทางอาญาไปสำหรับรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ปาก

ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไรในเมื่อความจริงเหล่านี้ยังไม่คลี่คลาย อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งซึ่งตั้งโดยรัฐบาลนี้สอบสวนและพบว่าเจ้าพนักงานของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเหล่านี้ การทำหน้าที่ที่อ้างว่าเป็น “การปฏิรูปอนาคต” ของท่าน จะไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐที่ขาดความชอบธรรมไปนานแล้วหรือ

ผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมของกรรมการทั้งหลาย ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าทุกท่านมีเจตนาดี ด้วยความคุ้นเคยและด้วยความเคารพต่อกรรมการบางท่าน ผู้เขียนอยากขอให้ท่านทั้งหลายยืนนิ่งไว้อาลัยอย่างน้อยสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานทุกครั้ง การไว้อาลัยเช่นนี้แล เชื่อได้ว่าจะทำให้ท่านสามารถ “พิจารณาอย่างลึกซึ้ง มีสติ ก็จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการทางบวกที่เรามองความสำเร็จ ทำให้เกิดพลังเพิ่มขึ้น” ซึ่งเป็นคำพูดของท่านประธานฯ เคยกล่าวไว้เอง

ในระหว่างความเงียบงันระหว่างสงบนิ่งนั้น ขอให้ท่านกรรมการสัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงอดีตอันเจ็บปวดเพราะ

“คำว่าปรองดอง มันพูดง่าย แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูด ถ้าเห็นใจก็คือ คุณรู้สึกจริงๆ รู้สึกเจ็บปวดร่วมกับคนเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นที่พูดออกมาเป็นคำไม่ได้” และ “การให้อภัยดูจะเป็นหนทางหนึ่งในการคืนศักดิ์ศรีให้กับตัวเราเองด้วย ไม่กลัวที่จะยอมรับบทเรียนอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และไม่กลัวที่จะเผชิญปัญหาต่อไป หรือแม้แต่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป การให้อภัยได้เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับพลังทางสติปัญญาเข้ามามีบทบาทแทนที่ ความโกรธเกลียดได้”
("ทุกข์ร่วมจึงร่วม ทุกข์ สัมภาษณ์ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ (ตอนที่ 1) วิจักขณ์ พานิช http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278076278&catid=02)

'พร้อมพงศ์ ' ซัดเทพไทกุข่าวกองกำลังหวังผลการเมือง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกประจำตัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่ามีการซ่องสุมกำลังและฝึกใช้อาวุธของคนเสื้อแดงจำนวน 3 จุด ซึ่งเจ้าของพื้นที่ต่างๆ ทั้งตำรวจสันติบาล แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาปฎิเสธข่าวทั้งหมดแล้ว และส่วนของจุดที่ถนนคู้บอน 53 เขตคันนายาวนั้น ตนมีรูปภาพมายืนยันว่าการฝึกดังกล่าวนั้น เป็นโครงการฝึกอบรมตำรวจบ้านเพื่อป้องกันอาชญากรรม ทุกคนเป็นชาวบ้านอาสามาด้วยใจเพื่อปกป้องชุมชน ซึ่งการที่คนของรัฐบาลออกมาให้ข่าวเช่นนี้เป็นการตี 2 หน้า ทำไปเพื่อวัตถประสงค์สร้างความชอบธรรมในการยืนอายุพรก.ฉุกเฉินฯออกไป และอีกอย่างก็คือหวังผลในการทำลายความชอบธรรมของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. ที่ลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย การให้ข่าวทั้งหมดตนได้รวบรวมเป็นหลักฐานแล้วและจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกกต.ในสัปดาห์หน้า

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ เป็นอธิบดีนั้น ทราบว่าได้มีการประชุมรวมหน่วยงานสอบสวน เพื่อที่จะเร่งทำคดีล้มเจ้า ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีแผนผังที่มีรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกมา เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำงานของนายธาริตนั้น กำลังทำให้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากมีคดีที่คืบหน้าคือคดีก่อการร้าย และตอนนี้ก็กำลังจะทำคดีล้มเจ้า แต่คดีที่มีคนตายกว่า 90 ศพ และมีคนบาดเจ็บอีกเป็นพันคน จากเหตการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ตนได้ไปยื่นเรื่องเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งตนได้ตั้งทีมงานติดตามการทำงานของดีเอสไอและนายธาริต หากพบว่าต่อไปนี้คดีต่างๆที่เราไปยื่นไม่มีความคืบหน้าก็จะดำเนินการเอาผิดต่อนายธาริตต่อไป

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลแต่งตั้งตำแหน่งสบ.10 หรือเทียบเท่าตำแห่งรองผบ.ตร.นั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนบันได 3 ขั้น ที่จะเอาคนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บันไดขั้นที่ 1 คือ ตั้งตำแหน่งสบ. 10 ขึ้นมาเพื่อเป็นเส้นทางลัดในการเอาคนของตัวเองขึ้นสู่อำนาจ ขั้นที่ 2 คือเมื่อมีตำแหน่งแล้วก็จัดการเลือกคนของตัวเองล็อกสเป็คให้มารับตำแหน่ง และขั้นที่ 3 ก็คือเมื่อถึงเวลาที่จะมีการโยกย้ายก็จะให้คนของตัวเองที่เตรียมไว้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายระบบระเบียบ และระบบอาวุโสของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจ ซึ่งตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ และเกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งเขาทนเห็นรัฐบาลปู๊ยี่ปู๊ยำสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ จึงต้องการให้ฝ่ายค้านเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการร่วมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุด ในการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ได้มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนในฐานะที่เป็นโฆษกคณะทำงานติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ต้องขอชื่นชมการทำงานในครั้งนี้ เพราะคดีนี้เป็นที่จับตาของประชาชนทั่วไปอยู่ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็ต้องรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ที่มา.ข่าวเพื่อไทย

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

‘กำกระบอง’ ไว้แน่น!!

‘กำกระบอง’ ไว้แน่น!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้, “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รู้ “เนวิน ชิดชอบ” รู้, “บิ๊กป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รู้, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.รู้ “ปลดล็อก พรกฉุกเฉิน” พวกตัวต้อง โดนถูกชำระแค้น??

พฤติการณ์โหด หัวใจอำมหิต ทำที่เอาไว้นั้น...ผู้มีหัวใจแห่งประชาธิปไตยเต็มรัก รอสิบปีร้อยปี แก้แค้นนี้ ก็ไม่สาย

อยู่ด้วย “กฎหมายฮิตเล่อร์”.....หมดอำนาจเจอเช็คบิล แน่นอนจะบอกให้
ประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็น สาขา ๒ และ ผู้กุมอำนาจประเทศไทย “บิ๊กป้อมและบิ๊กป๊อก” ร่วมกันต่ออายุ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไป ๓ เดือน ก็ “คงอำนาจ” ของตัวเองเอาไว้เท่านั้นแหละ แต่ประเทศชาติ ง่อยเปลี้ยเสียขา “ประชาธิปไตย” ถูกอำนาจนอกระบบเข้าเย้ย!!
ใช้กฎหมาย “กดหัวคน” ให้อยู่....จ้องฟาดฟันศัตรู?..ดูแล้วไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย??
................................

ทำงานแบบ‘มือทอง’สมองเพ็ชร!!

แต่เลือก “ทีมเวิร์ค” คนรู้ใจ ที่ทำงานเข้าขากันไม่ได้!...ดูแล้ว “เดอะไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงไอซีที เก่งกล้าแค่ไหน เดี๋ยวก็ต้องเสร็จ??

เมื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการรัฐบาลมือเก๋า..ใส่ตระกร้าล้างน้ำ ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องโกยอ้าว เป็นลิเกปิดวิก ลาโรง จากปัญหา “โครงการไทยเข้มแข็ง”

“แม่เลี้ยงติ๊ก” เป็นเงาประกบแจ “รัฐมนตรีไก่”....หลายคนพากันแขยง
เพราะผลงาน เม็ดงาน แต่ละช็อต ที่ปรากฏแก่สายตามิตรรักนักเพลง ที่กระทรวงสาธารณสุข จน “วิทยา แก้วภราดัย” และ “มานิต นพอมรบดี” ๒ รัฐมนตรี ทิ้งกระทรวงไม่ทัน!!
ขอให้ “รัฐมนตรีไก่”.....อย่ามีสภาพจำใจ?..ต้องไขก๊อกออก ก็แล้วกัลล์ล์??
.................................

เป็น‘สุสาน’แห่ง‘เด็กฝาก’!!

เมื่อ “ทั่นรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” เข้าประกวด มาเดินเป็นเงาตามตัว “บิ๊กไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที ก็ปฏิเสธยากส์??

เช่นเดียวกันกับ “หนูตั๊น” จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นหลานเหลนแห่ง “เบียร์สิงห์” ให้เข้ามาหยิบชิ้นปลามัน เป็น “เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที”ใหญ่มะลักกักลือลั่น

มาด้วยกำลังภายในเหลือล้น...จาก “ท่านบิ๊กนิพนธ์ พร้อมพันธุ์”

แต่ที่หวือหวายิ่งไปกว่านั้น... “มัลลิกา บุญมีตระกูล” อดีตเหยี่ยวสาวปากกล้า รับจ๊อบเข้ามาสะเดิ๊ปตำแหน่ง เป็น “ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงไอซีที” ..แต่ที่จะเป็น “กุนซือ” หรือ “โค้ช” แนะนำสิ่งดีๆ กับลดเกรด ถามผู้มาติดต่อ “รัฐมนตรีจุติ” ซึ่งไม่ใช่งาน และตำแหน่ง!!!

เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี.....ไปแย่งงานเด็กหน้าห้องเช่นนี้?....เสียดายที่กินเงินเดือนเสียแพง??
....................................

โปร่งใส ‘มิสเตอร์คลีน’มาทั้งดุ้น!!

ตัดสินประกวดภาพถ่ายยอดเยี่ยม ชิงถ้วยพระราชทาน “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของ “คุณพี่วิชัย วลาพล” นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชแห่งประเทศไทย นั่นไงล่ะคุณ??

ได้รับเกียรติจาก “ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล วิรุฬห์รักษ์” “มานิจ สุขสมจิตร”แห่งไทยรัฐ “มดคันไฟ” อนันต์ อัศวนนท์” แห่งบางกอก ทูเดย์ พร้อมบอสใหญ่หนังสือพิมพ์ ทีวีโทรทัศน์ และผู้ทรงเกียรติแห่งสถาบันการศึกษา ร่วมตัดสิน “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” วันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฏาฯ ที่ร.ร.เซ็นทรัล ลาดพร้าว

วันประกาศผล “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”...จะมาเป็นประธาน กันเหมือนเก่า
โดยผลตัดสิน ภาพถ่ายยอดเยี่ยมทุกอันดับ.. มีการถ่ายทอดสดแพร่ภาพ ทางช่อง ๗ สี วันพฤหัสบดีที่ ๕ สิงหาคม ...งานนี้ถือว่า เป็นยอดแห่งเกียรติยศ ความภูมิใจ ของช่างภาพหนังสือพิมพ์ และทีวี ที่ผลงาน จะได้เป็นที่ประจักษ์!!!

“นายกฯ อภิสิทธิ์” มาร่วมงาน....มาสร้างความสัมพันธ์....ชื่นมื่นชื่นบาน อย่างคึกคัก??
...................................

หัวเป็นเกลียวตัวเป็นน็อต!!
ทุ่มเต็มแรง เต็มกำลัง เหมือน “นายหัวชวน หลีกภัย” จะรู้ว่า “ประชาธิปัตย์”ไม่รอด??
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ที่ใช้ผิดประสงค์ ถึงจะมีพยาน ไว้แก้ต่างกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของ “ท่านประธานชัช ชลวร” ไว้เต็มที่

แต่น้ำหนักหักล้าง....แก้ต่าง น่าหนักใจมากเลยล่ะพี่
หลายคนมองว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องม้วนเสื่อโดย “ยุบพรรค” อย่างเสร็จสรรพ!!!
ขณะนี้เตรียมทีหนีทีไล่...เพราะจดชื่อพรรคใหม่?...เอาไว้ไม่คอยท่า ด้วยสิครับ??
...................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ตากสิน 2

จะอะไรกันนักหนา..
จากที่ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ ออกมาปูดว่า จะมีขบวนการ “ลอบสังหาร”บุคคลในรัฐบาล..

เท่านั้นแหละ หลายคนต่างก็เอาหัวแม่มือทิ่มแปะหน้าอกตัวเอง..เหมือนจะบอกว่า “ฉันนี่แหละที่โดนกาหัว”เรียงหน้าเสนอตัวชูคอล่อเป้ากันสลอน

โธ่..ก็มันโก้ เท่ เก๋ ไก๋ ชไนเปอร์ หยอกซะเมื่อไหร่ล่ะ!
ไล่มาตั้งแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ/ กรณ์ จาติกวณิช/พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และอีกหลายคน..

การปูดเรื่องครั้งนี้เหมือนยิงหนังสติ๊กลูกเดียวได้นกทั้งพวง..นกตัวแรก คือคงเอาไว้ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทุกฝ่ายเรียกร้องให้เลิก แต่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังกอดแน่น

นกตัวที่สองคือสามารถสั่ง “รถยนต์กันกระสุน”นำเข้ามาได้อีกล็อตใหญ่
และ..นกตัวสุดท้ายคือ “คะแนนสงสาร”..ก้อ..โถ! คนไทยนี่ครับ!!
เมื่อรู้ข่าวว่าใครจะถูก “ลอบสังหาร” ก็ห่วงหาอาทรณ์กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตาเขียวเป็นจ้ำๆ..เหมือนคนดูบอลโลกรอบดึก

ยิ่งคนที่ตนรัก หยั่ง อภิสิทธิ์.. กรณ์ และ ไก่อู แม่ยกทั้งหลายร้องไห้กันตาแดงกล่ำยังกะนกกะปูดตูดเปิด..เตลิดเปิดเปิงยิ่งกว่าตีเปิงมางในงานวัด

และเพื่อให้ข่าว “ลอบสังหาร” นี้กระชับพื้นที่ในการเชื่อถือมากขึ้นจึงส่ง.. เทพไท เสนพงศ์ ออกมาปูดข่าวต่อว่าแผนนี้คือ “ตากสิน2” ของ “คนเสื้อแดง”!!

ก็หากินอยู่กับซอยตากสินแถววงเวียนใหญ่นี่แหละไปไหนไม่ถูกแล้ว
เมื่อปีก่อนก็ “ตากสิน2” ทีนึง..ล่วงเลยมาป่านนี้น่าจะถึง “ตากสินซอย10” แล้วนะ ..เป็นไงล่ะ!..เงียบฉี่ เหมือนสุภาพสตรีนั่งเยี่ยวไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม

ครั้งนั้นทำเอาผู้อาศัยอยู่ที่ “ตากสิน2” ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งซอย
สุภาษิตแต้จิ๋วบอกว่า หงี่ ซิม แซ อ้ำ กุ้ย แปลว่า “จิตระแวงก่อให้เกิดจิตหลอน”
ไม่มีอะไรหรอก “รัฐบาลอภิสิทธิ์”เกิดจิตระแวงไปเอง..เที่ยวส่งคนมาปูดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที..จากที่มีคนสงสารเห็นใจจึงเปลี่ยนเป็นอาการ“หมั่นไส้” แทน

เพราะ “เล่นเชิงปลากราย”มากเกินจะรับกันได้..ประชาชนรู้ทันจึงจับทางถูก
แทนที่จะมีคุณค่าราคาเท่ากับ “บอลสเปน”ในฐานะผู้เข้าชิง..เลยกลับกลายเป็นบอลระดับ “วัดลิงขบ” ไปโดยอัตโนมัติ..เพราะปาก “เทพไท แกงไตปลา” คนนี้นี่เอง!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์

“ไพโรจน์” ถอนตัว 1 ใน 9 กรรมการอิสระตรวจสอบความจริงฯ ชุด “คณิต” แล้ว

"ไพโรจน์ พลเพชร" ถอนตัวจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เผยปฏิเสธการทาบทามตั้งแต่ต้น ชี้ไม่แถลงข่าวแต่พร้อมแจง ย้ำขอทำงานคู่ขนาน เกื้อหนุน-ตรวจสอบกัน

นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อเป็น 1 ใน 9 ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน ว่า เมื่อเร็วๆ ได้ประสานงานไปทางนายคณิต เพื่อถอนตัวจากคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ส่วนตัวได้ทำงานคู่ขนานในการสืบค้นข้อเท็จจริงในฐานะที่เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชน จากการดำเนินงานของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.) ซึ่งทำหน้าที่ในเรื่องเดียวกันนี้อยู่แล้ว

นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่าเขาได้ปฏิเสธการทาบทามให้เข้าร่วมมาตั้งแต่ต้น แต่อาจเนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาดจึงทำให้ยังมีชื่อไปปรากฏในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อทราบข่าวครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ ทั้งนี้ เมื่อมีการสื่อสารไปยังนายคณิตแล้ว ในส่วนคณะกรรมการอิสระฯ จะมีการทาบทามคนใหม่ หรือคงจำนวนคณะกรรมการที่เหลืออยู่ไว้นั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของนายคณิตซึ่งเป็นประธานที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามเขาจะไม่แถลงข่าวต่อกรณีการถอนตัวดังกล่าว แต่พร้อมจะให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามของนักข่าว

ต่อเรื่องการสืบค้นความจริงในเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า เป็นประเด็นที่สังคมควรให้การสนับสนุน เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคม องค์กร สถาบันต่างๆ เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่สืบหาข้อมูล และตรวจสอบซึ่งกันและกัน ในส่วนคณะกรรมการอิสระนั้นทางกลุ่มเองก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาโดยตลอด นับจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งก็รู้สึกยินดีที่มีคนมาทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพราะก่อนหน้านี้คนที่จะเข้ามา อาจถูกกล่าวจากหลายๆ ฝ่าย และต้องเผชิญหน้ากับความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจ ในภาวะที่สังคม มีความขัดแยงรุนแรง

ส่วนคำถามถึงการเข้าถึงข้อมูลของ คอป.ที่อาจมีปัญหาความหวาดระแวงจากคนบางกลุ่ม เนื่องมาจากได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า หากจะมีคนหวาดระแวงก็เป็นเรื่องธรรมดาในภาวะที่เราต้องเผชิญปัญหาร่วมกันในสังคมตอนนี้ อย่างไรก็ตาม การทำงานดังกล่าวจะมีข้อเด่นในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐ เพราะรัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งในส่วนงบประมาณและข้อมูล อีกทั้งคณะกรรมการอิสระ ดังกล่าวยังถูกจับตามมองจากทั้งในและนอกประเทศ ถึงความเป็นอิสระว่ามีจริงหรือไม่ และรัฐจะเกื้อหนุนให้สามารถทำงานได้เต็มที่จริงหรือไม่

นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการทำงานในส่วนของ ศรส.น่าจะเป็นการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมที่คู่ขนานกันไปกับภาคส่วนอื่นๆ โดยอาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุน ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาทำงานตรงนี้จากมีความสามารถในการเปิดพื้นที่ของข้อมูลที่แตกต่างกัน หรืออาจทำหน้าที่ในการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความชอบธรรมของแต่ละองค์กร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อกรรมการที่นายคณิตเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายกิติพงษ์ กิตติยารัตน์ (อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม) นางจุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (นักวิชาการ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ) นายเดชา สังขละวรรณ (อดีตคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) นายไพโรจน์ พลเพชร (NGOs) นายมานิจ สุขสมจิตร (สื่อมวลชน สสร.50) นายรณชัย คงสกนธ์ (รองคณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี) นายสมชาย หอมละออ (NGOs) เเละนายสุรชัย ลิขสิทธิ์วัฒนกุล (ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ศิริราช) โดยอายุการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้มีอายุไม่เกินสองปี

ที่มา.ประชาไท

2 คน 2 แบบ

ถ้าจะถามกันนิติสัมผัส..ใครคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย..คำตอบก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์..

ถ้าจะถามกันตามความรู้สึกแล้ว..แทบจะไม่มีใคร คิดว่า...เขา...คือนายกรัฐมนตรี

บางท่านบางคนอาจจะนึกถึงนักแสดงหนุ่มหล่อ ในบทบาทของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..ทุกสภาพการ เคลื่อนไหวและบทบาทในการเจรจา..ล้วนมีที่มาจากบทที่ถูกกำกับไว้..

แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นักแสดง..หลายๆ ครั้งเขาจึงตีบทไม่แตก..ไม่แนบเนียนอย่างที่ศิลปินชั้นนำควร มี..บางครั้งหน้าไปอย่างตาไปอย่างปากไปอีกอย่าง

คนดูคนชมธรรมดาอาจจะมองไม่เห็นนักวิจารณ์และ กรรมการที่จะให้ตุ๊กตาทองจะมองเห็น

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..กับบทบาทนายกรัฐมนตรี....กับบทบาทของ..มาร์ค..เมื่ออยู่ในแวดวงของคนร่วมสกุลเวชชาชีวะ เป็นเรื่องลี้ลับ..แตกต่างไปจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในบทบาทของนายกรัฐมนตรี และในฐานะพ่อและผัวของครอบครัว

จะเป็นการดีอย่างยิ่ง..ถ้าเอาส่วนที่ดีของ 2 นายกรัฐมนตรีมารวมกัน..แล้วให้กำเนิดนายกรัฐมนตรีคนใหม่.. แต่สิ่งนั้นจะมีวันเกิดขึ้นหรือ..

นายกรัฐมนตรีที่คงทนต่อการตรวจสอบในทุกรูปแบบ.. และนายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะสั่งสอนและบอกให้นายกรัฐมนตรีในแต่ละประเทศให้คล้อยตามในสิ่งที่เขาเรียกร้อง

นายกรัฐมนตรีที่คล่องแคล่วในการเจรจา กับ นายกรัฐมนตรีที่มองเห็นทางออกในทุกๆ ปัญหา

ประเทศไทยโชคร้าย..เราไม่เคยได้ในสิ่งที่เราปรารถนา.. เวียดนามยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะเขามี..ผู้นำที่เด็ดเดี่ยว สันโดษ และเฉลียวฉลาด..ลาวกลายเป็นประเทศที่ประ ชาชนมีความผาสุกในอันดับต้นๆ ของโลก..ก็เพราะผู้นำของเขาในวันนี้..ยังทำนาและต้มสุรากินเอง

แต่นายกรัฐมนตรีผู้นำไทย..ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจากสภา แห่งผลประโยชน์..และประชาธิปไตยแบบเปิดซอง...ไทย ถึงไปได้ไม่ถึงไหน..และนับวันจะลื่นไหลลงไปในหุบเหวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เราจะโทษใครก็เราแค่เลือกตั้งยังไม่เป็น
ที่มา.สยามธุรกิจ