--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ถ้าพี่ถูกจับ...ใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมด้วยนะ

                      โดย เพียงคำ ประดับความ

ถ้าพี่ถูกจับ...ใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมด้วยนะ
แล้ววาระ...นี้ก็เดินทางมาถึง
ท่ามกลางกระแสลมอึงคะนึง
เสรีภาพพี่ถูกขึงตรึงโซ่ตรวน

แม้รู้ว่าจะปวดเจ็บและเหน็บหนาว
กัดกลืนก้อนขื่นคาวร้าวลมหวน
อุดมการณ์พี่มั่นคงไม่เรรวน
ดาวแสงนวลไม่ได้เห็นไม่เป็นไร

ขอหยัดยืนขึ้นท้าท้องฟ้ามืด
จันทร์แสงจืดชืดชาลาลับหาย
อยู่ที่นั่นนอนหลับบ้าง...นะพี่ชาย
ฟูกแข็งไหมไหนผ้าห่มกันลมแรง

บนดินแดนที่แร้นแค้นเสรีภาพ
คนเปื้อนบาปซ่อนกายในคราบแฝง
คุกคือที่ขังคนกล้ามิเปลี่ยนแปลง
รู้ว่าพี่เข้มแข็งแกร่งเพียงพอ

แล้วจะใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมนะ
เสรีภาพอาจไม่ได้มา...ด้วยร้องขอ
แต่อย่างไรผองเราจะเฝ้ารอ
ให้ บก. กลับมา...”อาทิตย์สีแดง”

ที่มา.ไทยอีนิวส์

“อภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน”ปชป.ทนฟังไม่ได้ขู่ใช้หาเสียงเจอใบแดง

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

ประชาธิปัตย์ขู่เพื่อไทยห้ามนำเหตุการณ์กระชับพื้นที่มาใช้หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กทม. โดยเฉพาะคำว่า “นายกฯฆ่าประชาชน-นายอภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน-พรรคประชาธิปัตย์กระชับพื้นที่แล้วมีคนตาย” หากมีการเอ่ยถึงจะฟ้อง กกต. ให้แจกใบแดงทันที อ้างเป็นเรื่องโกหก ใส่ร้ายป้าสี เปิดสโลแกนหาเสียง “เดินไปข้างหน้า” ช่วย “พนิช” มั่นใจเข้าวินแน่ โต้ไม่มีคนชื่อย่อ “ช” ในพรรคล็อบบี้การเมืองใหม่ถอนตัวจากการแข่งขัน ด้านเพื่อไทยคึกจัดคณะใหญ่ไปรับ “ก่อแก้ว” ถึงเรือนจำคลองเปรม ยันมีสิทธิใส่ชุดนักโทษลงสมัคร เตือนอธิบดีราชทัณฑ์ทำหน้าที่เท่าที่กฎหมายกำหนดก็พอ อดีต กกต. เชื่อไม่มีเหตุรุนแรง ของจริงรอต้นปีหน้าซัดกันดุเดือดแน่

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เวลา 05.00 น. วันที่ 28 มิ.ย. นี้ นางสาวสุนีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายจะเดินทางไปพบนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อทำเรื่องขอเบิกตัวนายก่อแก้วไปยื่นใบสมัคร ส.ส. ที่สำนักงานเขตคลองสามวา ทั้งนี้ ยืนยันว่านายก่อแก้วจะใช้สิทธิใช่ชุดนักโทษไปยื่นใบสมัคร

เตือนอธิบดีกรมคุกอย่าทำเกินหน้าที่

“รับทราบมาว่ามีความพยายามจะดึงเรื่องเพื่อให้นายก่อแก้วออกมายื่นใบสมัครได้ล่าช้า ซึ่งอยากขอความเป็นธรรมจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพราะว่าจะมีผลต่อการจับสลากหมายเลขผู้สมัคร ส่วนที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์บอกว่าจะไม่ให้นายก่อแก้วใส่ชุดนักโทษมายื่นใบสมัครนั้น ขอเรียนว่าอย่าทำอะไรเกินหน้าที่ ทำแค่ที่กฎหมายกำหนดก็พอ” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า วันที่ 29 มิ.ย. นี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบว่าการถอนตัวจากการสมัคร ส.ส. ของ พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ รักษาการรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เป็นการฮั้วกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เพราะว่าคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่มีมติชัดเจนว่าจะส่ง พล.อ.กิตติศักดิ์ลงสมัครในนามตัวแทนพรรค

จี้ กกต. สอบ ปชป. ฮั้วการเมืองใหม่

“เรื่องนี้ กกต. ต้องตรวจสอบ เพราะหากมีการฮั้วกันจะทำพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบ พรรคการเมืองใหม่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคอย่างเป็นทางการ มีการแถลงข่าวอย่างชัดเจนว่าจะส่ง พล.อ.กิตติศักดิ์ลงสมัคร และมีแกนนำพรรคพูดชัดเจนว่าการส่งผู้สมัครจะเป็นการตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ทราบมีนักการเมืองชื่อย่อ ช. เป็นคนล็อบบี้ไม่ให้พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัคร ดังนั้น กกต. ต้องตรวจสอบเรื่องนี้” นายพร้อมพงศ์กล่าว

อดีต กกต. เชื่อหาเสียงไม่รุนแรง
นายยุวรัตน์ กมลเวชช อดีต กกต. เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 6 กทม. จะไม่รุนแรง เพราะ 1 เสียงที่ได้ไม่ค่อยมีความหมายต่อพรรคการเมือง และเป็นการแข่งกันแค่ 2 พรรคคือ พรรคเพื่อไทยที่ส่งนายก่อแก้วลงสมัคร และพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นผู้สมัคร
สมัครแค่ 2 พรรค กกต. ทำงานง่าย

“เมื่อมีผู้สมัครจากพรรคจากพรรคใหญ่แค่ 2 พรรคทำให้ กกต. ทำงานง่าย เพราะติดตามดูแค่ 2 คนนี้เท่านั้น หากจะมีผู้สมัครจากพรรคเล็กพรรคน้อยลงแข่งด้วยก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถือเป็นแค่สีสัน อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งเชื่อว่าจะมีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องกันอุตลุด เพราะคงมีการกล่าวหากันหลายเรื่องในระหว่างการหาเสียงของ 2 พรรคใหญ่” นายยุวรัตน์กล่าวและว่า การเลือกตั้งที่ดุเดือดรุนแรงคือการเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะมีขึ้นต้นปีหน้า เนื่องจากการเมืองทุกวันนี้แตกต่างจากอดีตค่อนข้างมาก เมื่อก่อนเมื่อจบการเลือกตั้งแล้วก็จบกัน แต่เดี๋ยวนี้การแพ้ชนะหมายถึงสถานะทางสังคม คนแพ้อาจโดนลบชื่อออกจากสารบบ อาจอยู่ในประเทศไม่ได้ จึงต้องแข่งกันหนักเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ การเลือกตั้งแบบแพ้ไม่ได้จึงจะเกิดความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่แน่นอน

พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ทำให้ได้เปรียบเสียเปรียบ

นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และอดีต กกต. ระบุว่า การใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลไม่น่าจะส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 6 เพราะทั้ง 2 พรรคต้องหาเสียงภายใต้กติกาเดียวกัน ส่วนความรุนแรงในการเลือกตั้งนั้นอยู่ที่อารมณ์ การเมืองที่แบ่งขั้วกันชัดเจนหากใช้อารมณ์มากก็รุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม ในการหาเสียงอยากให้ผู้สมัครทั้ง 2 พรรคนำนโยบายมาใช้หาเสียงเป็นหลัก

ปชป. โต้ข้อหาฮั้วการเมืองใหม่

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค แถลงว่า การกล่าวหาว่าการที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ส่งผู้สมัครจะเป็นผลดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เป็นเรื่องไร้สาระ และไม่จริงที่กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ฮั้วกับพรรคการเมืองใหม่

เปิดสโลแกนหาเสียง “เดินไปข้างหน้า”

นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคจะใช้สโลแกนหาเสียงครั้งนี้ว่า “เดินไปข้างหน้า” โดนจะเน้นทำความเข้าใจเรื่องการแก้ปัญหาของประเทศเป็นหลัก เชื่อว่าผู้สมัครของพรรคจะชนะเลือกตั้งได้

อย่ากล่าวหานายกฯฆ่าประชาชน

“ผมขอเรียกร้องไปยังพรรคเพื่อไทยว่า หากอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขอย่างใช้โอกาสนี้ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมในครั้งต่อไป ขอให้หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ และขอเตือนพรรคเพื่อไทย นายก่อแก้วที่เป็นผู้สมัคร และนายจตุพร หากนำเหตุการณ์ที่ราชประสงค์ไปหาเสียง พูดเท็จโกหก ใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ พรรคจะส่งเรื่องให้ กกต. พิจารณาให้ใบแดงกับผู้สมัครทันที เช่น การพูดว่านายกฯฆ่าประชาชน นายอภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน หรือพรรคประชาธิปัตย์กระชับพื้นที่แล้วมีคนตาย” นายสาธิตกล่าวและว่า พรรคไม่ได้ฮั้วกับพรรคการเมืองใหม่ แต่ที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ส่งผู้สมัครน่าจะเกิดจากความไม่พร้อมมากกว่า

ฟุ้งประชาชนในพื้นที่ต้อนรับอบอุ่น

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเริ่มต้นรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อม กทม. เขต 6 แล้ว โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี

ท้าเพื่อไทยสู้กันด้วยนโยบาย

“การหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้จะรุนแรงหรือไม่อยู่ที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ขอเตือนว่าไม่ควรฉวยโอกาสเอาเหตุการณ์ที่ราชประสงค์มาหาเสียง เพราะจะเป็นการตอกย้ำความแตกแยกในสังคม อยากให้สู้กันด้วยนโยบายมากกว่า” นายเทพไทกล่าวและว่า พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงกำลังจะจัดคอนเสิร์ตบังหน้าเพื่อหาทุนช่วยเหลือนายก่อแก้ว โดยอ้างว่าบัญชีถูกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อายัด ซึ่งเรื่องนี้ ศอฉ. พูดชัดเจนว่าหากมีความจำเป็นสามารถขอเบิกถอนได้ การหาเสียง กกต. กำหนดไว้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท น่าจะขอเบิกถอนได้ ที่ไม่ขออนุญาตเบิกถอนเพราะต้องการเอาคอนเสิร์ตบังหน้าเพื่อรับเงินอุดหนุนจากหลายฝ่ายมากกว่า เหมือนกับการจัดคอนเสิร์ตเพื่อนร่วมร้อง พี่น้องร่วมรบ ที่โบนันซ่าเขาใหญ่ ที่ได้เงินมากมายจนส่งผลให้หลังการชุมนุมมี 83 คน โดนอายัดบัญชี ครั้งนี้ขอเรียกว่าเป็นคอนเสิร์ต 3 ก. ช่วยก่อแก้ว ทำก่อการร้าย ใช้ก่อกวน ซึ่งพรรคกลัวว่าจะมีเหตุรุนแรงจากสายแดงฮาร์ดคอร์ เพราะการข่าวทราบว่ามีแผนวางระเบิดหลายจุด

“ช” 10 คนในพรรคไม่รู้เรื่องล็อบบี้

นายเทพไทกล่าวอีกว่า ได้สอบถามคนที่มีชื่ออักษร ช.ช้างในพรรคที่มีเป็น 10 คนแล้ว ทุกคนยืนยันว่าไม่มีใครไปล็อบบี้ให้ พล.อ.กิตติศักดิ์ถอนตัวจากการลงสมัคร ส.ส. ครั้งนี้ตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหา การแอบอ้างอักษรย่อ ช.ช้างจึงน่าจะมาจากคำว่าชั่วที่มักชอบกล่าวหาคนอื่น ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องการกระชับพื้นที่มาใช้หาเสียงก็เพราะไม่มีผลงานสภาที่จะไปอวดอ้างกับประชาชน

“พนิช” ไม่มีฤกษ์ยื่นใบสมัคร

นายสมัย เจริญช่าง ส.ส.กทม. เขต 6 และผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเดินทางไปยื่นใบสมัครของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ตัวแทนพรรค ในวันที่ 28 มิ.ย. นี้จะไม่ถือฤกษ์อะไร เพราะฤกษ์งามยามดีก็สู้ความดีของนายพนิชไม่ได้ ซึ่งจากการลงพื้นที่เบื้องต้นพบว่าประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับนายพนิชเป็นอย่างดี

ห่วงหยุดยาวคนไม่อยู่ใช้สิทธิ

นายสมัยกล่าวว่า เป็นห่วง 2 เรื่องคือ 1.อยากเห็นการแข่งขันโดยเอาความดีมาแข่งกันตามกรอบกฎหมาย และ 2.ห่วงเรื่องเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากในวันเลือกตั้งเป็นช่วงวันหยุดยาว เกรงว่าประชาชนจะเดินทางออกไปต่างจังหวัดกันหมด

เพื่อไทยอย่านำคนนอกพื้นที่ช่วยหาเสียง

“การเลือกตั้งใน กทม. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกหลังการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 และเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังผ่านวิกฤตความรุนแรง จึงไม่อยากเห็นการแข่งขันที่ไร้คุณธรรม โดยเฉพาะการที่นายจตุพรระบุว่าจะพาครอบครัวผู้สูญเสียมาร่วมหาเสียงด้วย ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอย่างไร เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ หากมีการปราศรัยให้ร้ายป้ายสีก็หมิ่นเหม่ ผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง และอยากขอให้ให้เกียรติคนในเขตเลือกตั้งด้วย ไม่ควรเอาคนนอกเขตมาทำให้เกิดความวุ่นวาย” นายสมัยกล่าว

“มาร์ค” ห้ามใช้เวลาราชการหาเสียง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้สั่งห้ามรัฐมนตรีและ ส.ส. ของพรรคใช้เวลาราชการ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือของราชการไปใช้หาเสียง ส่วนการประกาศต่ออายุมาตรการช่วยลดค่าครองชีพประชาชนนั้นยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อหาเสียง เพราะเรื่องนี้ทำมานานแล้ว

การเมืองใหม่ไม่ส่งผู้สมัครเป็นสิทธิ

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า การที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ส่งผู้สมัครถือเป็นเอกสิทธิของแต่ละพรรค ไม่ใช่เรื่องการฮั้ว เพราะหากเป็นการฮั้วต้องเป็นการสมยอมกันระหว่างพรรคการเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคเพื่อไทยระบุคนอักษรย่อ ช. ในพรรคประชาธิปัตย์เป็นคนล็อบบี้ให้ว่าที่ผู้สมัครพรรคการเมืองใหม่ถอนตัว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ผมเห็นอักษรย่อมาเยอะแล้ว ไม่เห็นมีความจริงเลยสักเรื่องที่พูดอักษรย่อมาเนี่ย”

เมื่อถามอีกว่าดีหรือไม่ที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ส่ง เพราะจะได้ไม่ต้องมาตัดคะแนนกันเอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การแข่งขันเป็นเรื่องปรกติทางการเมือง การจะส่งผู้สมัครหรือไม่เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคจะตัดสินใจเอง ที่ผ่านมาเวลาเลือกตั้งซ่อมก็จะมีบางพรรคไม่ส่งผู้สมัคร ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ

“กิตติศักดิ์” ยันไม่ถูกล็อบบี้ให้ถอนตัว

ด้าน พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ รักษาการรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ยืนยันว่า การประกาศถอนตัวไม่ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กทม. ไม่ได้เป็นเพราะมีคนชื่อย่อ ช. โทรศัพท์มาล็อบบี้อย่างที่มีการกล่าวหา และขอให้ยุติการกล่าวหา เพราะคนที่พยายามจะพูดถึงนั้นเป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่าเอามาตรฐานตัวเองมาเปรียบเทียบ

อ้างไม่ลงเพราะไม่อยากยุ่งกับนักโทษ

“ที่ผมตัดสินใจถอนตัวไม่ลงสมัครเพราะไม่ต้องการสังฆกรรมกับนักโทษที่มาลงสมัคร เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ที่สำคัญครอบครัวรวมถึงประชาชนที่สนับสนุนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะลงสมัครเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะเห็นว่าได้ไม่คุ้มเสีย และก่อนที่จะตัดสินใจถอนตัวก็ได้มีการหารือกับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รวมทั้งประธานที่ปรึกษาพรรคการเมืองใหม่แล้ว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย และการถอนตัวก็ไม่ได้สร้างความเสียหาย เพราะเป็นการถอนตัวก่อนที่จะถึงวันลงสมัคร” พล.อ.กิตติศักดิ์กล่าวและว่า จะลงพื้นที่พบกับประชาชนในพื้นที่ที่ให้การสนับสนุนเพื่อขอโทษและชี้แจงเหตุผลให้ทราบ แต่จะไม่ช่วยหาเสียงให้ใคร หากประชาชนถามก็จะบอกเพียงว่าให้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกพรรคเทพหรือพรรคมาร เลือกคนชั่วหรือคนดีเข้าไปนั่งเป็นตัวแทนในสภา

ไอพีเอส: รัฐบาลไล่ขยี้เสื้อแดงหนักมือด้วยกฎหมาย และการล้างสมอง

By Marwaan Macan-Markar
ที่มา – IPS
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

กรุงเทพ – ด้วยอำนาจ พ.ร.บ.ฉุกเฉินในกำมือรัฐบาลไทยของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำมาใช้บีบบังคับการเคลื่อนไหวประท้วงของฝ่ายตรงข้าม หากใช้ไม่ถูกวิธี จะต้องชำระด้วยบทเรียนราคาแพงทางการเมือง

วันที่ ๒๘ มิถุนายน กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าจะเริ่มสอบสวนตัวบุคคล และบริษัทจำนวน ๘๓ ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนทางการเงินต่อผู้ประท้วง ซึ่งใช้สัญลักษณ์ในการประท้วงด้วยสี “เสื้อแดง” และได้เข้ายึดพื้นที่สัญลักษณ์ของกรุงเทพนานเกินสองเดือน จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม

ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งกำลังวางแผนจะออกหมายเรียกตัว ญาติของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีต่างๆ นายทหารระดับสูงของกองทัพที่ปลดเกษียณ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแกนนำเสื้อแดงนั้น ได้ยอมรับว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งมีอำนาจในวงกว้างใช้เป็นเครื่องมือเพื่อติดตามการหมุนเวียนของเงิน ที่โยงไปถึงการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง ทักษิณ ซึ่งถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ และกำลังลี้ภัยเพื่อเลี่ยงโทษจำคุกในข้อหาทุจริต เสมือนผู้คอยบงการทางการเมืองของ น.ป.ช. ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่สงบลงไปในเวลานี้ ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนหลายหมื่นคนที่มารวมตัวกันเพื่อกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ยุบสภา และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้น

การปราบปรามอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพไทยด้วยอาวุธหนักพร้อมมือ และ น.ป.ช.ฝ่ายติดอาวุธในเดือนเมษายน และกลางเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ๘๘ ศพ ซึ่งเป็นชาวบ้าน ๘๐ ศพ และได้รับบาดเจ็บประมาณ ๑,๘๐๐ กว่าคน ในช่วงที่กองทัพได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่ถนนในกรุงเทพ

พ.ร.ก.ฉุกเฉินถูกประกาศใช้ครั้งแรกในต้นเดือนเมษายน เพื่อใช้รับมือกับกลุ่มต่อต้านเสื้อแดงในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง และได้ขยายเวลาออกไปอีกหลายอาทิตย์เพื่อครอบคลุมถึงต่างจังหวัดซึ่งมีอาชีพทำนา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่ น.ป.ช.ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามที่สุด

ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล อ้างความชอบธรรมของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า “เราต้องการให้แน่ใจว่าสถานการณ์ได้กลับสู่ความสงบ ซึ่งต้องให้มั่นใจว่า ทั้งปัจจัยเสี่ยง และความวิตกในด้านความมั่นคงซึ่งเป็นกุญแจหลักได้รับการดูแล” “เรากำลังจับตาดูเงินซึ่งใช้สนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมายนี้ การใช้สื่อเพื่อยุยงให้เกิดการประจันหน้ากัน และการใช้อุปกรณ์อาวุธ”

เขากล่าวกับไอพีเอสว่า “การสอบสวนการโอนถ่ายเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยในด้านความมั่นคง” “พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้เราสามารถใช้อำนาจจากทุกองค์กรมาร่วมทำงานกัน ก่อนที่ทุกคดีจะถูกส่งฟ้องศาล”

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีผลควบคุมในสามเดือน ให้อำนาจรัฐบาลที่จะจัดการโหมทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อด้วยความลำเอียงใส่ความผู้ต่อต้าน เพื่อให้แน่ใจว่าสื่อหลักจะเน้นเสนอแต่แง่มุมของรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ในการรับมือเรื่องเงินสนับสนุน แรกเริ่ม รัฐบาลประกาศรายชื่อบุคคลและรายชื่อบริษัทต้องสงสัย ๑๗๐ รายชื่อ ที่เดาว่าให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทกับกลุ่มเสื้อแดง และสุดท้ายถูกตัดเหลือเพียง ๘๓ รายชื่อ หนังสือพิมพ์ต่างตีปีกขานรับโดยการแฉข้อมูลส่วนตัวในบัญชีธนาคารของบุคคลเหล่านี้ ที่ทำได้ก็เพราะอำนาจอันล้นฟ้าของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมถึงกฎหมายอื่นๆที่ถูกนำมาร่วมบังคับใช้

และยังสื่อถึงประชาชนตามบ้านด้วยเนื้อหาที่ว่า เสื้อแดงสนใจเพียงต้องการสร้างความรุนแรงบนท้องถนนในเมืองหลวงของไทย แกนนำหลัก น.ป.ช. ๓๙ คนถูกคุมขังด้วยข้อหาผู้ก่อการร้าย ทักษิณ ซึ่งกำลังลี้ภัย ถูกยัดข้อหาคล้ายคลึงกันเพื่อทำให้เรื่องที่รัฐบาลแต่งขึ้นมีความสมจริงสมจัง – ที่ว่าเสื้อแดง ต้องรับผิดแต่ฝ่ายเดียวในการเผาตึกอย่างน้อย ๓๐ หลัง และเป็นผู้เดียวที่ใช้อาวุธในระหว่างการเผชิญหน้ากับกองทัพ

สื่อเสื้อแดง – สร้างเครือข่ายอันกว้างไกลทั้งสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุชุมชน นิตยสารจำนวนหนึ่ง และเว็บไซต์ต่างๆ – แต่ยังไม่สามารถแก้มือการใช้วาทศิลป์โฆษณาชวนเชื่อของรัฐ ซึ่งออกมาอย่างถี่ยิบไม่ยั้งมือตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ สื่อหลายแขนงได้ถูก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำการปิดปาก ในขณะที่ผู้ดำเนินการของสื่อเสื้อแดงที่เหลือต่างยอมรับกับไอเอสพีว่า พวกเขาได้ถูกบังคับให้ต้องเงียบมิฉะนั้นจะเสี่ยงกับการถูกจับกุม

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวปัญหา เป็นตัวปิดกั้นเสรีภาพของสื่อ” “กฎหมายช่วยสร้างภาพพจน์ของผู้ประท้วงว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรง”

นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องยึดสายการปฏิบัติที่รุนแรงดังกล่าว ในขณะเดียวกันรัฐบาลออกมาสัญญาว่า จะรักษาความแตกแยกทางการเมืองแห่งราชอาณาจักรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ด้วยการเริ่มต้นวิธีสมานฉันท์ จะเป็นการเปิดทางให้กับข้อกล่าวหาต่างๆที่ว่า แท้จริงรัฐบาลเป็นตัวบ่อนทำลาย ในขณะที่รัฐบาลเองอ้างซ้ำซากว่า เป็นผู้รักษามาตรฐานแห่งคุณค่าทางเสรีประชาธิปไตย

นักวิจารณ์ต่างๆกล่าวว่า รัฐบาลอายุ ๑๘ เดือนของอภิสิทธิ์ได้พิสูจน์แล้วในสิ่งที่ผู้ประท้วงเสื้อแดงเคยกล่าวมาแล้วทั้งหมด – ว่าเป็นรัฐบาลที่ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ และบิดพลิ้วไม่ยอมให้เกิดการเลือกตั้งในการจะประกันความเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย มุมมองข้อหลังนี้เกิดขึ้นจากบทบาทของผู้นำกองทัพอันทรงพลังของประเทศ ที่เป็นตัวบงการชักใยอยู่เบื้องหลังในค่ายทหารเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๒ เพื่อประกันว่าอภิสิทธิ์จะได้เสียงจากพรรคร่วมพอที่จะนำมาซึ่งชัยชนะในการออกเสียงในสภา

จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ และเป็นผู้พูดบนเวทีชุมนุมเสื้อแดงโดยเสมอกล่าวว่า รัฐบาลพูดเรื่องการสมานฉันท์ แต่ประเทศกำลังเป็นพยานกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับตั้งแต่มีการปราบปราม ว่ากำลังส่งสัญญาณการมุ่งหน้าไปสู่ “การปกครองแบบเผด็จการ” “มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลพลเรือน กองทัพ ศักดินา และสื่อหลัก”

แม้หนังสือพิมพ์ต่างๆซึ่งเข้าข้างรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยสันดานได้เริ่มส่งเสียงเตือนถึงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปัจจุบัน – ที่ให้อำนาจล้นฟ้าในกำมือของกองทัพ ตำรวจ และดีเอสไอ เพื่อไล่ล่าเสื้อแดง – อาจกลายเป็นดาบสองคม

ความเห็นจากบรรณาธิการใน “บางกอกโพสต์” หนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษกล่าวว่า “การยังคงใช้ (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ซึ่งในเวลานี้การชุมนุม (ของเสื้อแดง) ได้สลายตัวไปแล้ว คำถามจึงผุดขึ้นมาว่า รัฐบาลเจตนาจะกุมอำนาจอันล้นฟ้า เพียงเพื่อจะทำการขยี้ “ศัตรู” และหาประโยชน์ทางการเมืองใส่ตัวให้หนักมือขึ้นใช่หรือไม่”

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทสนทนาถึงผู้มาก่อนกาล

            กฤช เหลือลมัย อ่านที่หมุดเหล็กคณะราษฎร ลานพระรูปฯ
คลิปโดย abhichon

หลายครั้งเรา ไม่อาจรู้… แสงหรุบหรู่อยู่ต่อหน้า
คือรุ่งอรุณหรือสนธยา เช้า ? หรือเย็น ?
ความมืดมิด เมื่อยาวนาน การข้ามผ่าน ย่อมยากเข็ญ
เรางุนงงหลงประเด็น ไม่เห็นทาง
ความทรงจำ อันรางเลือน ยิ่งเสมือนดังความต่าง
ภาพและคำ ล้วนอำพราง ความเป็นไป
แต่..รุ่งอรุณหรือสนธยา ห้วงเวลา สำคัญไฉน ?
ในเมื่อมีคนมากมาย เคยมุ่งหน้า..มาก่อนกาล
………………………….

ข้าฯ ขอระลึก นึกถึงพวกเขา ผู้คน–เรื่องราว อันวีระอาจหาญ
ภาระ, พันธะ และมโนปณิธาน เราจักสืบสานสั่งสมสืบไป
รุ่งอรุณมืดมนดังแดนสนธยา แลไปข้างหน้าแทบไม่เห็นจุดหมาย
หากฟ้าอีกฟาก แสงจากคบไฟ ยังสว่างไสวอยู่ในใจเรา
อยู่ในความงาม ความจริง ความลวง นำทางเราล่วง พ้นห้วงความเขลา
เรา, ผู้เหยียบยืนอยู่บนรอยเท้า ของผู้ที่ก้าวล่วงมาก่อนกาล
…………………………..

ข้าฯ เคยสงสัย, ว่าที่ผ่านไป…หากไม่มีพวกเขา
ในห้วงเวลาอันเนิ่นนานยาว ในทุกหย่อมย่าน
จะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทย เมื่อครั้งวันวาน
หากไม่มีการอภิวัฒน์ครั้งนั้น…จะอยู่กันอย่างไร ?
เราคงยังเป็น “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
รวมศูนย์ผูกขาด เผด็จอำนาจ โดยถูกกฎหมาย
ลูกหลานเราคงไม่เคยรู้จัก “กษัตริย์นักประชาธิปไตย”
เพราะอาจไม่มี “ประชาธิปไตย” ในบ้านเมืองนี้ !
การรอบัญชาจากฟ้าลงมา เสียเวลาเปล่า
ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ถูกพวกเขาร่างขึ้นที่นี่
คงต้องรอการพระราชทานฯ ไปอีกร้อยปี
เพราะ “…ประเทศนี้ยังไม่พร้อมจะมีการเลือกผู้แทนฯ..”
เราคงมีเพียงอเนกชนนิกรสโมสรสมมุติ
เป็น absolute เหนือคนอื่นๆ อีกนับหมื่นแสน
แต่งตั้ง – ถอดถอน ทุกตำแหน่งขั้นตอน ได้ทั่วทิศทั่วแดน
ทั่วทุกเขตร์แคว้นในแผ่นดินนี้..ผ่านองคมนตรีสภา !
หากไม่มีพวกเขา, เราคงต้องเสียภาษีสมพัตสร
หรือถูกริบทรัพย์กลับเป็นกรรมกรอย่างอนาถา
หากไม่มีพวกเขา, เราคงยังเสียอากรค่านา
รัชชูปการต่างๆ นานา มาจนเดี๋ยวนี้
หากไม่มีพวกเขา, ก็อาจไม่มี “กรณีสวรรคตฯ”
ไม่มีใครต้องตายอย่างน่าเศร้าสลด ไร้สิ้นศักดิ์ศรี
ผืนแผ่นดินไทยคงยังเป็นบ้านของท่านปรีดีฯ
นายชิต, นายบุศย์, นายเฉลียวคงมีลูกหลานอีกมากมาย
เพราะมีพวกเขา…เราจึงมองเห็นความเป็นมนุษย์
เห็นความฉ้อฉลและความบริสุทธิ์ของทั้งเจ้าและไพร่
เห็นการแก่งแย่งแบ่งสรรอำนาจฝ่ายนอกฝ่ายใน
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนงมงายได้ทั้งสิ้นทั้งนั้น

ข้าฯ ขอเคารพในความงดงามของความหาญกล้า
นำพาเมืองไทยเดินไปข้างหน้า ในเวลาคับขัน
พวกเขาเคยทำให้เสียงของเราทุกคนเท่าเทียมกัน
แม้ช่วงสั้นๆ..ก่อนชะงักงันมาครึ่งศตวรรษ !
…………………………..

…มืดมิดมาตลอดคืน เราตื่นเช้า
ยังเป็นแผ่นดินเก่าอันเงียบสงัด
หากความคิดเราแจ่มแจ้ง กระจ่างชัด
มุ่งสู่การเปลี่ยนผลัด ในไม่ช้า
……………………………
ความคิดเราช่างแจ่มแจ้ง กระจ่างชัด
รอเวลาเปลี่ยนผลัด…ในไม่ช้าฯ

เอเอฟพี: ทนายทักษิณอัดแผนสมานฉันท์ “แหกตา”

ที่มา – AFP
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

เมื่อวันพุธ ทนายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรที่กำลังลี้ภัยวิจารณ์แผนการสมานฉันท์ของกรุงเทพว่า เป็นเรื่อง “แหกตา” เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการเสียชีวิตในระหว่างการประท้วงบนท้องถนนของ “เสื้อแดง”

โรเบิร์ด อัมสเตอร์ดัม ทนายความกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะมาสร้างความสมานฉันท์ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซึ่งคุณจับยัดคุกโดยใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ นำกฎหมายฉุกเฉินมาใช้โดยขัดกับหลักนิติธรรม”
“รัฐบาลไทยทำทุกอย่างเพื่อจำกัดสิทธิในทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อจำกัดสิทธิในการเดินทาง เพื่อจำกัดสิทธิในการพูด ที่เป็นอยู่อย่างนี้นะหรือ ต้องขอโทษด้วยหากผมจะพูดว่า เป็นการสร้างความสมานฉันท์อย่างแหกตา”

อัมสเตอร์ดัม หนึ่งในทีมทนายความอย่างน้อย ๗ คนซึ่งเป็นตัวแทนของทักษิณ เรียกร้องให้มีการสมานฉันท์ผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และ “เปลี่ยนแปลงการปกครองบางอย่างที่เรียกกันว่า การเลือกตั้ง”

การชุมนุมของเสื้อแดงต้องถูกสลายไปเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เมื่อกองทัพบุกเข้าทำลายค่ายที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพ การปะทะกันอย่างรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่า และการจูโจมของกองทัพทำให้มีผู้เสียชีวิต ๙๐ ศพ และได้รับบาดเจ็บเกือบ ๑,๙๐๐ คน

รัฐบาลได้ออกมาแก้ตัวในการใช้กำลังทหาร โดยกล่าวว่าพวกเขาได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงเพื่อแค่เป็นการยิงเตือน เพื่อการป้องกันตัวเอง หรือเพื่อต่อต้าน “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งรัฐบาลกล่าวหาว่ายุแหย่ให้เกิดความไม่สงบ

นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สัญญาว่าจะมีการสอบสวนในการตายอย่างไม่ลำเอียง แต่พรรคฝ่ายค้านหลักกล่าวว่า พวกเขากลัวเรื่อง “ความไม่โปร่งใส”

กรุงเทพกล่าวหาทักษิณว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินในการประท้วง และยุยงให้เกิดความวุ่นวาย ในขณะที่ศาลไทยออกหมายจับอดีตมหาเศรษฐีด้านโทรคมนาคม – ซึ่งถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารของกองทัพในปี ๒๕๔๙ – ด้วยข้อหาผู้ก่อการร้าย

แกนนำเสื้อแดงระดับสูงหลายคนถูกจำคุก

อัมสเตอร์ดัม พูดในระหว่างการแถลงข่าวที่โตเกียว โดยกล่าวว่า เขามาเยือนญี่ปุ่นเนื่องจากเหยื่อรายหนึ่งเป็นนักข่าวชาวญี่ปุ่น

เสื้อแดงกำลังรณรงค์ให้มีการเลือกตั้ง พวกเขาหวังว่าจะขับไล่รัฐบาลชุดนี้ได้ ซึ่งพวกเขามองว่าขาดความเป็นประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลนี้เข้ามามีอำนาจโดยการหนุนหลังของกองทัพ หลังจากศาลมีคำสั่งให้ยุบรัฐบาลชุดที่แล้ว

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ป.ป.ช.บิดเบือนการใช้กฎหมาย?

เมื่อสัปดาห์ก่อนพูดถึงเรื่องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เป็นผู้ทำลายหลักการและกฎหมายการป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ของรัฐเสียเอง

เนื่องจากมีมติให้ยกคำร้องกรณีที่มีการกล่าวหาว่า นายชาญชัย แสวงศักดิ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ขณะเป็นเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และนางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ รองเลขาธิการฯเข้าไปมีส่วนได้เสียในโครงการที่สำนักงานศาลปกครองว่าจ้างสถาบันพระปกเกล้าทำวิจัย โดยบุคคลทั้งสองรับค่าที่ปรึกษาโครงการคนละเกือบ 200,000 บาท ทั้งที่ๆที่เป็นผู้อนุมัติให้ว่าจ้างและตรวจรับงานดังกล่าว

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ทำในลักษณะที่อาจทำให้เข้าใจได้ว่า กำลังบิดเบือนการใช้กฎหมายโดยมีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ให้ยกคำร้องกรณีที่มีการกล่าวหานายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ว่า กระทำการขัดต่อมาตรา 100 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และมาตรา 267 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพราะเป็นกรรมการและนายกสภาในสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน(มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยสยาม มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยเฉลิมกาญจนา วิทยาลัยศรีโสภณ) และของรัฐหลายแห่ง

เหตุผลในการยกคำร้องดังกล่าวสรุปได้ ดังนี้

1.ขณะนายวิจิตรเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ยังอยู่ภายใต้การบังคับใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ซึ่งมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเหตุแห่งความสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีกำหนดไว้

2.แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีในเหตุแห่งการกระทำที่เป็นขัดกันแห่งผลประโยชน์ มาตรา 265 - 269 แต่บทเฉพาะกาลมาตรา 298 วรรคสาม กำหนดมิให้นำบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 267 - 269 มาเป็นเหตุสิ้นสุดแห่งความเป็นรัฐมนตรีรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

ดังนั้น แม้ว่านายวิจิตร จะดำรงตำแหน่งกรรมการและนายกสภามหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นกรรมการและมหาวิทยาลัยของรัฐ อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 267 แต่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 298 วรรคสาม

3. การที่ไม่มีบทบัญญัติเรื่องการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มีความมุ่งหมายที่จะสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจากบุคคลต่างๆ หลายแหล่งโดยไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติของหลักการหลายอย่างในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และ 2550 รวมทั้งหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ด้วย

ความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้รับการยืนยันโดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 298 (ยกเว้นการบังคับใช้ มาตรามาตรา 265 - 269กับคณะรัฐมนตรี)

ดังนั้น รัฐธรรมนูญ จึงได้บัญญัติยกเว้นอยู่ในตัวมิให้การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(4)

ถ้าอ่านข้ออ้างในการยกคำร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช.อย่างผ่านๆแล้วอาจดูสมเหตุสมผล แต่ถ้าพิจารณาข้อกฎหมายอย่างละเอียดแล้ว เห็นชัดว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำลังตีขลุม(มั่ว?)เอาบทบัญญัติของกฎหมายที่มีสาระคนละเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 267-268 มีสาระสำคัญเรื่องการห้ามรัฐมนตรีเข้าดำรงตำแหน่ง ห้ามแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงห้ามถือสัมปทานหรือเป็นหุ้นส่วนของบริษัทที่ถือสัมปทานของรัฐเท่านั้น

ขณะที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 100(4) ที่นายวิจิตรถูกกล่าวหาว่า กระทำการฝ่าฝืนนั้น เป็นการห้ามมิให้รัฐมนตรีเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างของธุรกิจเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลหรือตรวจสอบของหน่วยงานรัฐที่รัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลเพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจเพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอกชนที่ตนมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่

ถ้ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ต้องการมิให้นำบทบัญญัติในมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาบังคับใช้ ก็ควรบัญญัติไว้ให้ชัดเจนเช่นเดียวกับบัญญัติมิให้นำรัฐธรรมนูญมาตรา 267-268 มาบังคับใช้

นอกจากนั้น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯฉบับนี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงที่มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งนายกฯและรัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน อาทิ การยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่แม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมิได้บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน แต่รัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ

มีรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ เช่น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติในมาตรา 100(4) อย่างเคร่งครัดทั้งขณะดำรงตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง ขณะที่นายวิจิตรกลับละเลยเพิกเฉย

แต่ไม่รู้ทำบุญอะไรไว้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติอุ้มอย่างโจ่งแจ้งแบบไม่อายฟ้าไม่อายดิน

ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

24 มิถุนากับพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร และลูกชาย ที่ชื่อประชาธิปไตย

อรรคพล สาตุ้ม

24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ

การตีความ 24 มิถุนายน 2475
ผู้เขียนสนใจในประเด็นของการตีความ 24 มิถุนายน 2475 โดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าการเข้าร่วมคณะราษฎรของพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และผู้เขียนอ้างอิงที่มาของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ๒๔ มิถุนา: การตีความ ๔ แบบ ซึ่งเริ่มต้นว่า เหตุการณ์ แบบไหนจัดว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์? วินาทีที่ผู้อ่านกำลังอ่านข้อความเหล่านี้ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย หรือในโลก มีเด็กกำลังเกิด ซึ่งสำหรับพ่อแม่ของเด็กนั้น คงทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย อาจจะเปลี่ยนแปลงชนิดตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้เลยก็ได้

ในแง่นี้ การเกิดของลูกย่อมเป็น “เหตุการณ์สำคัญ” ของพวกเขา แต่สำหรับคนอื่นๆ (“สังคม”) การเกิดของเด็กชายหรือเด็กหญิงคนนั้น จะถือว่าเป็น “เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์” ได้หรือไม่?

ปัญหาว่าอะไรคือ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นปัญหาที่นักประวัติศาสตร์เองและผู้สนใน ปรัชญาประวัติศาสตร์ถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบมาเป็นเวลานาน นักปรัชญาผู้หนึ่งเคยเสนอว่า เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความ สัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่ (causes a mutation in the existing structural relations) แต่ก็มีนักปรัชญาบางคนแย้งว่า เหตุการณ์อย่างการตายของคาร์ล มาร์กซ แม้จะไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง แต่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ . . . . .
เหตุการณ์ ในประเทศสยาม เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หรือไม่? สำคัญแค่ไหน? อย่างไร? ในเวลา ๗๑ ปีที่ผ่านมา ความคิดเห็น ความรู้สึก (หรือพูดแบบวิชาการหน่อยคือ “การตีความ”) ต่อเหตุการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไป อาจกล่าวได้ว่าในระยะ ๗ ทศวรรษนี้ มีวิธีมอง “๒๔ มิถุนา” หรือ “๒๔๗๕” ได้ ๔ แบบ ถ้าจะยืมภาษาวิชาการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ความคิดที่ได้รับการ ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ก็คือ มี “กระบวนทัศน์การตีความ” (interpretive paradigm) เกี่ยวกับ “๒๔ มิถุนา” อยู่ ๔ กระบวนทัศน์ คือ แบบที่หนึ่ง เชียร์คณะราษฎร โจมตีเจ้า แบบที่สอง เชียร์เจ้า โจมตีคณะราษฎร แบบที่สาม โจมตีทั้งเจ้า ทั้งคณะราษฎร และผู้เขียน ก็ขอเน้นที่มุมมองล่าสุดในการตีความ 2475 แบบที่สี่ เชียร์ทั้งเจ้า ทั้งปรีดี (คณะราษฎร) ในปัจจุบัน โดยเน้นชัดที่ปรีดี พนมยงค์ คือ

....กระบวนทัศน์ใหม่ได้ ขณะเดียวกัน การรื้อฟื้นเกียรติภูมิของปรีดี ก็มีลักษณะที่คล้ายกับการยกย่องผู้นำแบบจารีตของไทยในอดีตมากขึ้นทุกที (โปรดสังเกตการเรียกปรีดีว่า “พ่อ” ในกลอน “พ่อของข้าฯนามระบือชื่อปรีดี”) เราจึงอาจกล่าวถึง “การรองรับซึ่งกันและกัน” (mutual-accommodation) ระหว่างกระบวนทัศน์ทั้งสองต้นแบบ ของการรองรับซึ่งกันและกันนี้ เริ่มมีร่องรอยให้เห็นตั้งแต่ปลายปี ๒๕๒๓ ในหนังสือที่ระลึกพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระปกเกล้า ซึ่งนอกจากมีเนื้อหาที่เป็นราชสดุดีต่อรัชกาลที่ ๗ แล้ว ยังมีการตีพิมพ์ประกาศคณะราษฎร (ที่ประณามพระองค์) ฉบับเต็มด้วย ในทางกลับกัน ในงานฉลอง ๑๐๐ ปีปรีดี ที่ธรรมศาสตร์ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ ในภาพสไลด์ชุดสดุดีปรีดี มีภาพหนึ่งเป็นพระราชหัตถเลขาสละราชย์ (ที่ประณามปรีดีและคณะราษฎร) แต่ที่อาจถือเป็นแบบฉบับของกระบวนทัศน์ใหม่นี้ คือบทความ (จากปาฐกถา) ของประเวศ วะสี เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์”

ที่สำคัญ กระบวนทัศน์การตีความ “๒๔ มิถุนา” ใหม่นี้ แสดงออกที่ ในปัจจุบัน รัฐได้ให้การสนับสนุนและดำเนินการจัดตั้งองค์การอย่าง สถาบัน และ พิพิธภัณฑ์ พระปกเกล้า ขณะเดียวกับที่ ทำการเสนอชื่อปรีดี ให้เป็นบุคคลสำคัญของยูเนสโก และจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีให้กับปรีดี(1)

คณะราษฎร:พระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร และลูกชาย ที่ชื่อประชาธิปไตย

พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหนึ่งในคณะราษฎรฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็น 1 ใน 4 ทหารเสือ ที่ประกอบด้วย ตัวท่าน, พระยาฤทธิ์อัคเนย์, พระยาทรงสุรเดช และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ในระหว่างการประชุมวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหล ฯ ได้เคยมีดำริถึงเรื่องนี้มาก่อนและเปรยว่า ทำอย่างไรให้อำนาจการปกครองอยู่ในมือของคนทั่วไปจริง ๆ ไม่ใช่อยู่ในมือของชนชั้นปกครองแค่ไม่กี่คน และเมื่อคณะราษฎรทั้งหมดยกให้ท่านเป็นหัวหน้า ท่านก็รับไว้

ในเช้าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านได้สั่งเสียไว้กับภรรยา (ท่านผู้หญิงบุญหลง พลพยุหเสนา) ว่า หากทำการมิสำเร็จและต้องประสบภัยถึงแก่ชีวิตแล้ว ขอให้คุณหญิงจงเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่า "การที่คิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินครั้งนี้ มิได้หมายจะช่วงชิงเอาราชบัลลังก์ หรือคิดจะล้มราชบัลลังก์แต่อย่างใดเลย ความมุ่งหมายจำกัดอยู่แต่เพียงว่า ให้องค์กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาการปกครองแผ่นดิน เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ผู้น้อยและประชาราษฎรได้แสดงความคิดเห็นในราชการบ้านเมืองได้บ้าง" และฝากให้เลี้ยงลูกให้เป็นคนดีด้วย ก่อนออกจากบ้านไปพร้อมกับพระประศาสน์พิทยายุทธที่ขับรถมา มุ่งหน้าไปยังกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อสมทบกับพระยาทรงสุรเดชตามแผนที่วางไว้ พร้อมกับเหน็บปืนพกค้อลท์รีวอลเวอร์ที่เอว เป็นอาวุธข้างกาย

ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมแล้ว พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เดินออกจากร่มเงาต้นอโศกข้างถนนราชดำเนิน เพื่อแสดงตนเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และอ่านประกาศฉบับแรกของคณะราษฏร (2) เป็นต้นธารของประวัติศาสตร์ แน่นอนว่า เมื่อเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งคนในสมัยปัจจุบัน ก็ประเมินเหตุการณ์นี้ไปคนละแบบ โดยแต่ละมุมมอง(3) ก็น่าสนใจผู้เขียน ก็เห็นว่าไม่มีการเสียเลือดเนื้อใด

ในการเปลี่ยนแปลง 2475 และก็สมควรกับการทำหน้าที่ของสิ่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนา มีคติประจำใจว่า ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ต้องไว้ชื่อ และบทบาทอันควรค่าของพระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะทหาร กับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้ร่วมกับคณะราษฎรโดยเป็นหัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จนได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" จากบทบาทที่มีค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ ซึ่งต่อมาชื่อของพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็ปรากฏเป็นชื่อ ถนนพหลโยธิน ต่างๆ นานา

เมื่อชาวบ้านบางคนคิดว่า จุดเริ่มต้นคำว่าประชาธิปไตยนั้น สัมพันธ์เป็นชื่อของลูกชายพระยาพหลพลพยุหเสนา กับอุดมการณ์ของคณะราษฎร ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนวันชาติ คือ วันที่ 24 มิถุนา หายไปในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่มีการสถาปนาการเมืองระบบพ่อขุนอุปถ้มภ์แบบเผด็จการ ซึ่งทหาร ก็มาลบภาพความทรงจำของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากความสำคัญของวันชาติในอดีต โดยสัญลักษณ์เชื่อมโยงวันต้นไม้ประจำปีของชาติ และวันเปิดสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และตราสัญลักษณ์ของทีวี ในสมัยนั้น ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนบทความไปก่อนหน้านี้ แล้วเวลาต่อมา พระยาพหลพลพยุหเสนา และปรีดี พนมยงค์ ก็ค่อยๆ จางหายไปจากประวัติศาสตร์ จนกระทั่ง หลังยุคสฤษดิ์ไปอีกหลายปีนั้น ชื่อของปรีดี พนมยงค์ ก็กลับมาเป็น“พ่อ” ในกลอน เช่นว่า “พ่อของข้าฯนามระบือชื่อปรีดี แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ” แต่ว่า สิ่งที่แตกต่างในการตีความ 24 มิถุนายน 2475 จนปัจจุบัน ก็คือ การชูปรีดีแบบประเวศ วะสี และต่อมา ประเวศ ก็คิดเห็นแตกต่างจากปรีดีในเรื่องประเทศเพื่อนบ้าน(4) แล้วประเทศตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็เชื่อมโยงชาติไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม ทหารหายไปจากการระลึกถึงความทรงจำเชื่อมโยงชุมชนจินตกรรมแห่งชาติ ในความเป็นพ่อ หรือ ลุง(5) เฉกเช่นพระยาพหลพลพยุหเสนา ฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" หลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งในแง่นี้ การเกิดของลูกย่อมเป็น “เหตุการณ์สำคัญ” ของพวกเรา เชื่อมโยงไม่ให้คณะราษฎร หรือทหารของราษฎรถูกลืมเลือนจางหายไป

อ้างอิง
1.ดูเพิ่มเติม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ๒๔ มิถุนา: การตีความ ๔ แบบ
http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/causes-mutation-in-existing-structural.html
2. ดูเพิ่มเติม วิกิพีเดีย th.wikipedia.org/.../พระยาพหลพลพยุหเสนา_(พจน์_พหลโยธิน)
3,ผู้เขียนเคยอ้างอิงในศิลปะกับการเมือง: มุมมองว่าด้วย รสนิยม ชนชั้น ประวัติศาสตร์ และการตีความ(19 กรกฎาคม 2551) และ
4. อรรคพล สาตุ้ม ปรีดี-ประเวศ กับทัศนะต่อประเทศเพื่อนบ้านต่างกัน (ดูในประชาไท หรือไทยอีนิวส์)
http://thaienews.blogspot.com/2009/12/blog-post_8771.html
5.อรรคพล สาตุ้ม ระลึกถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ในฐานะญาติร่วมชาติไทยในเดือนตุลาคม(ดูในประชาไท หรือไทยอีนิวส์)
http://thaienews.blogspot.com/2009/10/blog-post_1945.html

ทำไมต้องเนวิน

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม

เพราะความไม่น่าเชื่อถือของรัฐบาลและศอฉ.ในวิกฤตบ้านเมืองต่อเนื่องมาตั้งแต่เหตุการณ์เม.ย.และพ.ค.เลือด เมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณใกล้ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ไปจนถึงมีระเบิดที่อุดรธานี และตรวจพบอีกลูกโยนทิ้งแถวรามอินทรา

แกนนำรัฐบาลและศอฉ. ต้องดาหน้ากันออกมาปฏิเสธข่าวพัลวันว่าไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์

มิใช่การสร้างเรื่องเพื่อคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ ลากยาวต่อไป!

กล่าวได้ว่า ในเหตุนองเลือดที่ผ่านมา ดูจะเชื่อใครไม่ได้เลย

ภายใต้ความรุนแรง มือลึกลับเผานั่นเผานี่ นักรบชุดดำเอ็ม 79 เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน

เป็นฝีมือใคร ฝ่ายไหนก็ได้ทั้งนั้น!?!

แต่กระนั้นก็ตาม กรณีระเบิดที่ข้างพรรคภูมิใจไทยนั้น

ไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นเช่นไร ต้องไม่สนับสนุนวิธีการก่อเหตุเช่นนี้ เพราะมีแต่จะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ไม่ว่าจะต่อคนภายในที่ทำการพรรค คนสำคัญของพรรค และชาวบ้านที่พักอาศัยบริเวณรอบๆ

ต้องขอแสดงความเห็นใจ!

เพียงแต่หยิบยกมาพูด เพื่อตั้งข้อสังเกตว่า พอเกิดเหตุปุ๊บ ทำไมรัฐบาลต้องปฏิเสธข่าวสร้างสถานการณ์ปั๊บ นั่นสะท้อนถึงความรู้สึกของสังคมที่มีต่อรัฐ ว่าไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนในทางคดี หลังจากพบผู้ร่วมก่อเหตุบาดเจ็บในที่เกิดเหตุ จึงสามารถสอบสวนหาต้นตอที่มาได้ ขณะนี้โยงถึงคนเสื้อแดงทางภาคตะวันออก

ฝ่ายนายเนวิน ชิดชอบ ถึงกับระบุว่า เป็นแผนลอบสังหาร

ไม่ว่าใครก็ตามที่ตกเป็นเป้าสังหาร ต้องเห็นใจ

เพียงแต่น่าคิดต่อไปว่า ถ้าเป็นฝีมือของเสื้อแดงพุ่งเป้าใส่นายเนวินจริงๆ แล้ว สาเหตุมาจากอะไร!??

อันดับแรกต้องมาจากความแค้นเคืองกรณีสลายม็อบ

ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ต้องคอยป้องกันความแค้นจากเสื้อแดงต่อเป้าหมายหลักคือ นายกฯ และรองนายกฯ เทพเทือก

แต่เหตุใดเสื้อแดงจึงลงมือมุ่งเป้านายเนวิน

ยังนึกอะไรไม่ออก นึกได้แต่กระแสข่าวที่สะพัดในช่วงจลาจล

ที่สงสัยกันว่านักรบชุดดำมาจากไหนกันแน่ มาจากชายแดนหรือไม่

ไปจนถึงข้อถกเถียงที่ว่า ศอฉ.ชี้เปรี้ยงว่าเสื้อแดงเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เผาโรงหนังสยาม

แต่ทำไมจับคนเผาไม่ได้ และทำไมจับชุดดำไม่ได้!

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไร้น้ำยา

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

กรณีนายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำผู้ว่าราชการจังหวัดที่อ้างว่ามีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวจำนวน 23 คน ไปหารือข้าราชการด้านการท่องเที่ยวและศึกษาดูงานที่ประเทศสเปน ตามโครงการพัฒนาวิสัยทัศน์และสมรรถนะผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการบริหารราชการจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ 2553 ระหว่างวันที่ 14-21 มิถุนายนที่ผ่านมา

ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำชับรัฐมนตรีและข้าราชการทุกหน่วย รวมทั้ง ส.ส. และ ส.ว. งดเดินทางไปทัศนศึกษาต่างประเทศชั่วคราว ถ้าโครงการใดที่ไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงมหาดไทยขอให้ระงับโครงการเดินทางไปดูงานต่างประเทศไว้ก่อน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่เอื้ออำนวย แต่นายชวรัตน์กลับนำข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปตามโครงการดังกล่าว

ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มีปัญหากับคณะกรรมาธิการต่างๆที่เดินทางไปต่างประเทศถึง 12 คณะ โดยอ้างว่าศึกษาดูงาน ทั้งที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ขอร้องว่าให้ช่วยประหยัดงบประมาณ ซึ่งแต่ละคณะมีค่าใช้จ่ายในการดูงานประมาณ 2.3 ล้านบาท และบางคณะใช้จนเหลือไม่ถึง 10 บาท ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอร้อง เพราะเป็นอำนาจของคณะกรรมาธิการ

เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงจิตสำนึก ความเสียสละ และความรับผิดชอบของรัฐมนตรีและนักการเมืองไทยว่าเป็นอย่างไร

ที่สำคัญทุกฝ่ายรู้ดีว่าการอ้างเดินทางไปดูงานหรือศึกษางานในต่างประเทศแต่ละปี ที่กลายเป็นประเพณีที่เกือบทุกกระทรวง ทบวง กรม จะต้องกำหนดไว้ในแผนงบประมาณนั้น เป็นการไปศึกษาดูงาน หรือไปเที่ยว ผลาญงบประมาณที่เป็นเงินภาษีของประชาชน

ไม่ว่าจะมีเสียงประณามและวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร นักการเมืองหรือข้าราชการก็ไม่สนใจ และยังไม่สำนึกต่อกระแสสังคมเลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะกรณีกระทรวงมหาดไทยที่นอกจากไม่เกรงกลัวคำสั่งของนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้แค่ไร้น้ำยาเท่านั้น แต่ยังไร้ศักดิ์ศรีที่จะเป็นผู้นำรัฐบาลอีกด้วย

อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์จึงไม่กล้าแตะต้องรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่มีข่าวพาดพิงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันมากมาย

นายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้เป็นแค่ผู้นำรัฐบาลที่ไร้น้ำยาและไร้ศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังถูกประณามว่าเป็น “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ที่ไร้ความชอบธรรมที่จะเป็นผู้นำประเทศต่อไปอีกด้วย

ศอฉ.ไล่บี้เสื้อแดงส่งกองร้อยรักษาความสงบลงคุมพื้นที่

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

ศอฉ. เดินหน้ากดดันคนเสื้อแดงต่อเนื่อง ตั้งกองร้อยรักษาความสงบลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อ้างพบความเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบ สั่งตรวจเข้มพื้นที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง แย้มต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ครบทั้ง 24 จังหวัด ตำรวจตั้ง 7 ชุดไล่ล่า “อริสมันต์-สุภรณ์-อดิศร” แต่ยังไม่พบตัว โอนสำนวนเป็นคดีพิเศษแล้ว 162 คดี ถังแก๊สผูกระเบิดโผล่กองขยะแถวรามอินทรา เชื่อคนร้ายเตรียมก่อเหตุแต่กลัวความผิดจึงเอามาทิ้ง “จตุพร” ปูด ศอฉ. เรียกระดมมือสไนเปอร์ ตั้งคำถามกำลังคิดจะทำอะไร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพบระเบิดที่จังหวัดอุดรธานีว่า เป็นเรื่องที่เคยบอกไปแล้วว่ายังมีความพยายามทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องป้องกันไม่ให้เกิด อยากบอกกับประชาชนที่เห็นแตกต่างว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงเพราะรัฐบาลกำลังแก้ปัญหาต่างๆอยู่

“การปรับเปลี่ยนความคิดเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองต้องปราศจากความรุนแรงเป็นเรื่องที่สำคัญ” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า การต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคิดว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) น่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาก่อนครบกำหนดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งยังไม่รู้ว่า ศอฉ. สรุปเรื่องนี้อย่างไร แต่เข้าใจว่าคงต่ออายุไม่ครบทุกพื้นที่

พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า ยังไม่พบตัวนายกำพล คำคง ผู้ต้องหาที่จ้างวานให้ก่อเหตุระเบิดพรรคภูมิใจไทย เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามอยู่ ส่วนหมายจับจะขออนุมัติจากศาลเร็วๆนี้

ถังแก๊สผูกระเบิดโผล่รามอินทรา

“ได้รับรายงานว่ามีการพบถังแก๊สผูกระเบิดแบบเดียวกับที่พรรคภูมิใจไทยถูกนำมาวางทิ้งกองขยะภายในซอยรามอินทรา 81 พื้นที่สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว จากการเก็บกู้พบว่าเป็นการต่อวงจรระเบิดเข้ากับถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม มีแบตเตอรี่และพบเชื้อปะทุในถังแก๊สพร้อมใช้งาน คาดว่าน่าจะเตรียมระเบิดไว้ก่อเหตุสถานที่ใดที่หนึ่ง แต่เกรงว่าตำรวจจะสาวมาถึงตัวคนทำจึงนำไปทิ้งไว้” พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวและว่า จากพฤติกรรมที่พบเชื่อว่าน่าจะทำงานกันเป็นทีม โดยมีกลุ่มคอยจัดทำระเบิดให้

สั่งตำรวจเพิ่มระวังเหตุร้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานได้ทำหนังสือแจ้งกับทุกหน่วยงานในสังกัดให้เพิ่มความระมัดระวังเหตุร้ายให้มากขึ้น และเพิ่มการตรวจสอบยานพาหนะที่นำมาจอดทิ้งไว้ตามพื้นที่สัญลักษณ์ต่างๆ เพราะเชื่อว่ากำลังมีความพยายามก่อความวุ่นวายเพื่อเป้าหมายทางการเมือง

ตั้ง 7 ชุดไล่ล่า “อริสมันต์-สุภรณ์-อดิศร”

พ.ต.อ.ทรงพล วัฒนะชัย รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการปฏิบัติภารกิจของ ศอฉ. ในการติดตามตัวแกนนำคนเสื้อแดงที่หลบหนีว่า กรณีของนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ตำรวจได้ติดตามในทุกพื้นที่ ทั้งบ้านพักภรรยา บุตร บ้านพักบิดามารดา แม้กระทั่งเพื่อนสนิทหรือสถานที่ต่างๆที่จะไปพักพิงได้ โดยดำเนินการในทุกมิติ ทุกช่องทางแต่ยังไม่พบตัว ส่วนกรณีของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และนายอดิศร เพียงเกษ แกนนำ นปช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองบังคับการตำรวจปราบปรามแบ่งการทำงานออกเป็น 7 ชุดในการติดตามตัว

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายอริสมันต์หลบอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านนั้น พ.ต.อ.ทรงพลกล่าวว่า การตรวจสอบเส้นทางเข้าออกตามปรกติไม่พบนายอริสมันต์ หากไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านอาจเป็นการเดินเท้าออกไปในช่องทางที่ไม่ปรกติ

ศอฉ. ส่งทหารลงพื้นที่เสื้อแดง

พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ระบุว่า ยังมีข้อมูลความเคลื่อนไหวของผู้ไม่หวังดีในพื้นที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือ และอีสาน จึงจำเป็นจะต้องส่งทหารเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูล โดยเน้นการทำงานของสายตรวจร่วมกับตำรวจ ทหาร ควบคู่กับการตั้งจุดตรวจในพื้นที่สำคัญๆ รวมไปถึงบ้านบุคคลสำคัญ ศาล สัญลักษณ์ทางการเมือง และมีกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยลงพื้นที่ทำงานทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ส่วนการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะมีที่ใดบ้าง สัปดาห์หน้าถึงจะเสนอรัฐบาลพิจารณาได้ ชัดเจนว่าจะต้องต่ออายุการใช้งานออกไปอีกแต่คงไม่ครบทั้ง 24 จังหวัด ส่วนเหตุระเบิดที่ข้างพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาลหรือ ศอฉ. เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะถึงไม่มีเหตุระเบิดก็ต่ออายุได้อยู่แล้ว เนื่องจากยังพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบทั่วประเทศอยู่

ดีเอสไอเผยคดีพิเศษพุ่ง 162 คดี

พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับโอนคดีต่างๆจากตำรวจมาเป็นคดีพิเศษรวม 162 คดี และกำลังรอการโอนคดีวางเพลิงเผาทรัพย์เป็นคดีพิเศษ ส่วนการเรียกสอบถามการทำธุรกรรมต้องสงสัยนั้น ถ้าไม่พบข้อสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมถือว่าการสอบถามสิ้นสุด ยกเว้นกรณีไม่สามารถชี้แจงข้อสงสัยได้ก็จะพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาต่อไป แต่จะไม่มีการควบคุมตัว

ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าบ้านเมืองอยู่ในความไม่ปรกติสุข จะต่อการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ต่อไปไม่ต้องสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมา และอย่าโยนมาให้คนเสื้อแดง ส่วนกรณีที่โฆษกพรรคภูมิใจระบุว่าเหตุระเบิดข้างที่ทำการพรรคเป็นการพยายามลอบสังหารนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคนั้น คิดว่าเป็นการพูดที่เกินเลย เป็นการอาศัยสถานการณ์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง

“จตุพร” ปูดระดมมือยิงสไนเปอร์

“ผมได้ข่าวมาว่ามีการเตรียมพลซุ่มยิงที่ใช้สไนเปอร์อยู่ใน ศอฉ. และล่าสุดเห็นว่าไปรวมกันอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ 20 กว่านาย ผมอยากถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร” นายจตุพรกล่าว

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคแถลงเรียกร้องให้รัฐบาลขึ้นบัญชีดำนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้เข้าประเทศ เนื่องจากพบข้อเท็จจริงว่ากำลังมีการเดินสายล็อบบี้ประเทศต่างๆเพื่อกดดันประเทศไทยด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

“นายโรเบิร์ตเริ่มเดินสายที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก มีการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยหลายเรื่องและยังก้าวล่วงสถาบันเบื้องสูงด้วย ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมประชุมกับแกนนำคนเสื้อแดง ถือว่ามีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์จึงควรห้ามเข้าประเทศ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

‘ฉุกเฉิน’คนใช้ลืมตัว ทำชาติวุ่นวาย!

ไม่รู้ว่า...เสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการให้มีการประกาศ “ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” จะเข้าไปถึงโสดประสาทของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่? ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยออกประกาศ ฉบับที่ 1 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งกฎหมายนี้ได้กำหนดเงื่อนไข

และเงื่อนเวลาในการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ใน ตัวบทในมาตรา 5 วรรคสอง มาตรา 5 (วรรคสอง) การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีกำหนด แต่ต้องไม่เกินสามเดือนนับแต่วันประกาศ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาให้นายกรัฐมนตรี

โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศขยายเวลาการบังคับใช้ออกไปอีกเป็นคราวๆ ละไม่เกินสามเดือน (วรรคสาม)เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดลงแล้ว หรือเมื่อคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบหรือเมื่อสิ้นสุดกำหนดเวลาตามวรรคสอง ให้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น

ประเด็นเพิ่มเติม คือ หากหลังจากสิ้นสุดการกำหนดระยะเวลาการประกาศในวันที่ 7 ก.ค.53 หรือครบสามเดือนแล้วรัฐบาลมีความจำเป็นอะไรที่ต้องขอขยายระยะเวลา เพราะเงื่อนไขในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ผ่านพ้นไปแล้ว และผู้ชุมนุมก็ถูกคุมขังสลายตัวไปหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. 53 อย่างไรก็ตาม

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อให้สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ได้เข็มข้นขึ้นกว่าอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ในมาตรา 5 ทำให้มีอำนาจในการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่า...เป็นผู้ร่วมกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

และสามารถใช้กำลังทหารเข้าระงับเหตุร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ โดยการใช้อำนาจตามมาตรานี้เป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ที่มีลักษณะเข้มข้น...ทำให้รัฐบาลสามารถ “ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพ” ของประชาชนได้มากกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินแบบธรรมดา ซึ่งในมาตรา 11 วรรคท้ายได้กำหนดเงื่อนเวลา

การใช้อำนาจตามมาตรา 11 นี้โดยให้ประกาศยกเลิกประกาศตามมาตรานี้โดยเร็วเมื่อสถานการณ์ร้ายแรงตามวรรคหนึ่งยุติลงแล้ว มาตรา 11 (วรรคท้าย) เมื่อเหตุการณ์ร้ายแรง ตามวรรคหนึ่งยุติลงแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศตามมาตรานี้โดยเร็ว หากวิเคราะห์กันตามเจตนารมภ์ของตัวบทยอมเห็นว่า...

กฎหมายได้วางหลักให้ “นายกรัฐมนตรี” ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงโดยเร็วเมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยไม่มีบทให้สามารถขออนุมัติต่ออายุหรือขอขยายระยะเวลาได้เหมือนกับมาตรา 5 เพื่อไม่ให้รัฐบาลสามารถใช้อำนาจอย่างเข็มข้นในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน

หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในเรื่องนี้ย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติตามกฎหมาย เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างชัดเจน ซ้ำร้ายหากผู้ปฏิบัติงานมุ่งสร้างสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงขึ้นในกรุงเทพมหานครจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมทำลายประเทศอย่างร้ายแรงเหมือนเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้

นายกรัฐมนตรีกล่าวเสมอว่า...บ้านเมืองต้องปกครองโดย “นิติรัฐ” ซึ่งหมายความว่าบ้านเมืองต้องปกครองด้วยหลักกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย รัฐบาลก็ต้องยอมตนอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นกัน การปฏิบัติหน้าที่ทางราชการที่เกินกว่าขอบเขตของกฎหมาย...ย่อมแสดงออกถึงความไม่เป็นนิติรัฐโดยรัฐบาลเอง

เป็นการกระทำที่เรียกว่า “ลุแก่อำนาจ” รัฐบาลพึงตระหนักว่า...การตีความการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ต้องกระทำโดยเคร่งครัด จะตีความอย่างกว้าง โดยไม่สนใจต่อเสรีภาพของประชาชน ย่อมเป็นความไม่ชอบธรรมที่ฝ่ายปกครองไม่พึงกระทำ

สรุปได้ว่า...การที่รัฐบาลจะขอขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามมาตรา 11 ย่อมกระทำไม่ได้เพราะกฎหมายไม่มีบทบัญญัติให้ขยายระยะเวลาในมาตรา 11 ซ้ำยังต้องประกาศยกเลิกโดยเร็วเมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งสถานการณ์ชัดเจนว่าได้ผ่านพ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. 53
ที่มา.บางกอกทูเดย์

กวีประชาไท: เมื่อเรื่องเศร้าของเราต่างกัน

เพียงคำ ประดับความ

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
น้ำตาของฉันให้ผู้ยากไร้
ชาวไร่ชาวนาจากบ้านมาไกล
ขอประชาธิปไตย...ไม่ใช่ลูกปืน

ถูกกดขี่บีฑา...เดินทางมาร้องทุกข์
ขอคืนความสุขใช่บุกมาฝ่าฝืน
กรุงเทพฯ เมืองฟ้ามาขอแบ่งปันที่ยืน
เมื่อความขมขื่น...ถูกเยียวยาก็จะไป

น้ำตาของเธอ...แด่มหานครที่รัก
แด่ซากปรักตึกโค่นหักใจหาย
เมื่อความทรงจำตกอยู่กลางกองไฟ
อกเธอหมองไหม้...ร้องไห้อยู่ทั้งคืน

โจรถ่อยหยาบช้า...การศึกษาก็ต่ำ
ยกขบวนรุกล้ำมาคุกคามข่มขืน
ละเมิดพรมแดนเธอแสนกล้ำกลืน
จึงขอทวงคืน...พื้นที่ศิวิไลซ์

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
และความใฝ่ฝันเราต่างกัน (ด้วย) ใช่ไหม
เธอจึงเย็นชามองไม่เห็นความตาย
ปล่อยซากศพเรียงราย...เดียวดายอยู่กลางเมือง

เลือดเราต่างสี...หรือเราต่างกันที่ใด
เป็นคนเท่ากันไหมใต้ฟ้าสีทองเหลือง
แผ่นดินเหลืองทองที่อวดอ้างว่ารองเรือง
หรือความรักอันเปล่าเปลือง...ทำให้เรื่องบานปลาย

เมื่อเรื่องเศร้า...ของเราต่างกัน
เรื่องเศร้าของฉัน...คือนิทานที่หล่นหาย
เรื่องเศร้าของเธอถูกเยียวยาอย่างสาใจ
ความคับแค้นจึงกลาย...เป็นฟืนไฟเผาเมือง!!!
(ความคับแค้นจักกลาย...เป็นสงครามกลางเมือง!!)