--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

'ทักษิณ'โผล่อัดรัฐเผด็จการ-อ้อนอย่าพนันบอล

"ทักษิณ"ทวิตโผล่อัดรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่าช่วงรัฐประหารไล่ล่าทำลายความเชื่อถือเสื้อแดง ปรองดองไม่จริง หยอดดูบอลโลกทุกคู่ อ้อนอย่าเล่นพนัน

เมื่อเวลา 15.18 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความผ่านระบบทวิตเตอร์ ระบุว่า ช่วงนี้ประเทศไทยเป็นเผด็จการยิ่งกว่าช่วงปฏิวัติ มีการดำเนินคดีผู้ที่ไม่ใช่พวกรัฐบาล โดยไม่ใช้หลักนิติธรรมและกระบวนการพิจารณาคดีตาม ป.วิอาญา

ปากบอกปรองดองแต่พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก ปรองดองในความหมายของรัฐบาลคือปราบคนไทยผู้ไขว่คว้าประชาธิปไตย ปรองดองที่แท้จริงต้องหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลและผู้ที่อาศัยอำนาจมืดในขณะนี้ทำมาหากิน ได้สร้างภาพว่า ทักษิณและเสื้อแดงไม่จงรักภักดีคิดล้มเจ้า มันบ้าไปแล้วไม่เคยคิดเลย สถาบันอยู่คู่สังคมไทยมาหลายร้อยปี แต่ทุกครั้งการต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรง ไม่อยู่ในกติกา ก็จะดึงเอาสถาบันฯเข้ามาอ้างเพื่อล้มล้างฝ่ายตรงข้าม เราคนไทยด้วยกันอยากเห็นประเทศเจริญ ประชาชนมีสุข สถาบันฯรุ่งเรือง ต้องหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกันแบบไทยด้วยกัน เราเสียหายมาเยอะแล้ว คนเลวกำลังได้ดีบนซากปรักหักพังของชาติความทุกข์ยากของประชาชน ความสูญเสียโอกาสของชาติ ความเสื่อมโทรมของระบบทุกระบบ โดยเฉพาะยุติธรรมและความเคารพศรัทธาต่อกัน

ถ้าบ้านเมืองไหนระบบทำงานไม่ได้ คนเลวได้ดีจนข้าราชการต้องยำเกรง เพราะมีอำนาจจัดการสั่งการได้ ย่อมอันตรายอย่างยิ่ง ขอให้ทุกฝ่ายมีสติ หยุดคิดสักนิด หันหน้ามาคุยกันดีกว่า ผมพร้อมให้ความร่วมมือทุกฝ่าย ขอให้ปล่อยวางให้ได้ไม่ต้องห่วงเรื่องส่วนตัวผม เอาชาติ เอาประชาชน เอาสถาบันฯ เป็นตัวตั้งหลัก ที่พูดเช่นนี้เพราะผมเห็นว่าขืนปล่อยไว้นาน จะแก้ยาก ทุกภาคส่วนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งครั้งนี้ ไม่ว่าทางตรงทางอ้อม จะกร่อนลงไปเรื่อยๆ ท่านที่ตั้งแง่ใส่ผมเพราะไม่ชอบหรือถูกมอมเมาข้อมูลผิดๆมาตลอดก็ดี ต้องมีสติอย่ารีบโดดเข้าร่วม ให้นึกถึงชาติที่เราเกิด เพื่อนร่วมชาติ และสถาบันฯ แล้วถามตัวเองว่าที่ผมพูดมามันถึงเวลาแล้วยังที่เราจะได้เห็นประเทศไทยกลับมาเหมือนเดิม ไม่หูเบา พินิจพิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ลดอารมณ์และทิฐิลง ขอให้ประเทศไทยรุ่งเรือง มีคนมาเที่ยวมาลงทุน คนไทยยิ้มให้กันได้ไม่แบ่งแยกมีความสุข มีรัฐบาลที่ไม่ใช้คนเลวปกครองข้าราชการ ความยุติธรรมกลับคืน 2 มาตรฐานไม่มี ข้าราชการเติบโตด้วยความสามารถไม่ต้องซื้อตำแหน่ง สื่อเป็นกลางตามวิชาชีพ ความเคารพศรัทธาต่อกันกลับคืน ระบบทุกระบบทำงานได้ตามปกติ

ทั้งนี้ หลังใช้เวลาทวิตรวมกว่าชั่วโมง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งข้อความทิ้งท้ายถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ว่า ดูบอลโลกกันเป็นยังไงครับ ผมก็ดูเกือบทุกคู่ บรรดาดาราดังทั้งหลายเล่นไม่ค่อยดีเลย พวกหน้าใหม่กลับเล่นดีแทบทุกทีม น้อง ๆ อย่าแทงบอลนะครับเป็นห่วง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รอยเตอร์: ทักษิณและผม

ที่มา – Reuters
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

เช่นเดียวกับนักข่าวต่างชาติอีกหลายคน ผลจากการรายงานข่าวเกี่ยวกับวิกฤติการเมืองในประเทศไทย ผมถูกกล่าวหาเป็นประจำว่า ซื่อ งมโข่ง และขาดความสามารถที่จะทำความเข้าใจถึงสถานการณ์อันซับซ้อนได้

แต่ก็ไม่เป็นอะไร แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของผมยังเรียกผมว่าปัญญานิ่มอยู่บ่อยๆ แล้วปกติก็เป็นจริงอย่างนั้นนะ

แต่สื่อต่างชาติกำลังเผชิญกับการถูกกล่าวหาในเรื่องอื่น: ถูกกล่าวหาว่าเราตกเป็นเหยื่อ และถูกล้างสมองจากแผนปฏิบัติการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อบางอย่างที่สร้างความงมงายอย่างได้ผลของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร หรือหนักไปกว่านั้น กล่าวหาว่าเรารับเงินจากทักษิณเพื่อเร่ขายเรื่องโกหกใส่ร้ายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
เรื่องนี้ถือว่าเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี ใครที่คิดว่าทักษิณจะมีสิทธิติดสินบนต่อการบริหารบริษัทสื่อต่างชาติในประเทศไทยเพื่อทำการบิดเบือนสถานการณ์ เป็นแน่ชัดว่า ผู้นั้นมีความเข้าใจอันจำกัดว่าอุตสาหกรรมสื่อของโลกทำงานกันอย่างไร และใครที่คิดว่านักข่าวที่เสี่ยงชีวิตเพื่อดำรงหลักการแห่งความยุติธรรม และความซื่อสัตย์จะถูกอดีตมหาเศรษฐีที่กำลังลี้ภัยซื้อตัวได้นั้น เป็นที่แน่ชัดว่า ผู้นั้นมีเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์อยู่อย่างจำกัด

แต่แทนที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่อง และข้อผิดพลาดที่มีมากมายเมื่อผู้ตั้งตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นโต้เถียงกัน ผมจึงต้องเล่าเรื่องระหว่าง ทักษิณและตัวผม

ผมมากรุงเทพครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ ในฐานะผู้ช่วยสำนักงานข่าวรอยเตอร์ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังค่อยๆฟื้นตัวจากบาดแผลของวิกฤติฟองสบู่ของเอเชียในปี ๒๕๔๐/๒๕๔๓ และอำนาจทางการเมืองใหม่เพิ่งปรากฏโฉมขึ้นมา – ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยของเขา (ชื่อพรรคการเมืองที่ทักษิณเลือกขึ้นมา โดยเฉพาะในเวลานี้ดูเหมือนเป็นการตั้งเพื่อประชด ในแง่ความแตกแยกที่เต็มไปด้วยความขมขื่น และความเกลียดชัง ซึ่งได้อุบัติขึ้นมาในสังคมไทย)

ผมเป็นผู้ทำข่าวการผงาดในทางการเมืองของทักษิณ คำมั่นในยามหาเสียง และการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งไทยรักไทยเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวในประเทศไทยที่กวาดที่นั่งมากที่สุด

ในวันนี้ ทักษิณถูกวาดภาพในประเทศไทยว่าเป็นปีศาจอัจฉริยะ ผู้บงการร่างเงาด้วยทุนทรัพย์อันมหาศาล เป็นเพียงคนเดียวที่เกือบจะลากประเทศเข้าสู่ความหายนะ และความล่มจม แต่เพียงแค่ไม่กี่เดือนแรกที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯ เขาได้แตกต่างไปจากตัวแทนที่น่าขบขันเหล่านี้ ห่างไกลเกินกว่าที่จะดูเป็นปีศาจอัจฉริยะ ทักษิณสร้างความประทับใจ แทนที่จะเป็นผู้ที่ไม่มีความฉลาดเอาเสียเลย

มารยาท และความเปิ่นได้สร้างรอยด่างพร้อยให้กับภาพพจน์ของทักษิณ และจากที่แย่ กลายเป็นย่ำแย่อย่างหนักเมื่อสมาชิกวุฒิสภาที่น่าจะประสาทอ้างว่าได้พบขุมทอง และพันธบัตรสหรัฐฯที่ถูกทหารญี่ปุ่นที่หลบหนีนำมาทิ้งไว้ปลายสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยซ่อนไว้ในโบกี้รถไฟแวดล้อมไปด้วยกระดูกของทหารญี่ปุ่น ซึ่งทำฮาราคีรี และหนีลึกลงไปในถ้ำใกล้จังหวัดกาญจนบุรี

ส่วนใหญ่ของประเทศมองการอ้างเหล่านี้ว่าเป็นการแต่งเติมรสชาติ แต่ไม่ใช่สำหรับทักษิณ ทักษิณตื่นเต้นขนาดถึงกับรีบรุดไปยังถ้ำด้วยเฮลิคอปเตอร์ และต่อมาประกาศว่าเขาจะใช้ดาวเทียมหาตำแหน่งสถานที่ซ่อนขุมทรัพย์นั้น คุณอ่านรายงานข่าวตำนานเรื่องนี้ได้จาก ที่นี่ และ ที่นี่

อะไรที่เป็นประเด็นสำคัญซึ่งแขวนอยู่ในช่วงเดือนต้นๆของรัฐบาลทักษิณ นั่นคือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ใกล้จะมาถึงว่านายกฯจะถูกห้ามเล่นการเมืองห้าปีหรือไม่ ในข้อหาปิดบังทรัพย์สินบางส่วน นี่เป็นบททดสอบที่ยากลำบากสำหรับประชาธิปไตยของไทย – เป็นเรื่องค่อนข้างแน่ชัดกับใครก็ตามซึ่งว่ากันตามหลักฐานแล้วว่า ทักษิณพยายามปิดบังทรัพย์สินบางส่วนของเขา และทักษิณยังโอนหุ้นจำนวนมหาศาลให้กับคนใช้ และคนขับรถ แต่เขาเพิ่งได้รับชัยชนะจากเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทย ศาลต้องการจะห้ามนายกฯซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมหาศาลจริงๆหรือ แม้ว่าจะพบว่าเขาได้กระทำผิดในข้อหาที่มีอยู่

นั่นหมายถึงว่า นอกจากคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งที่ทักษิณได้รับมาอย่างถล่มทลายแล้ว เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทักษิณที่จะเลี่ยงความผิดพลาดซึ่งจะทำลายคะแนนนิยม เพราะนั่นจะทำให้ศาลกล้าที่จะตัดสินเอาความผิดกับเขาได้

ผมชี้ให้เห็นจุดนี้จากการวิเคราะห์เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๔:

นายกฯทักษิณ ชินวัตรแห่งประเทศไทยเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่อาจจะต้องถูกเด้งจากตำแหน่งในข้อหาซุกหุ้น ในขณะที่เสียงสนับสนุนจากมหาชนซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการต่อสู้กับคดีซุกหุ้นคดีแล้วคดีเล่า

การแก้ต่างในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. นั้นทักษิณจะต้องเจอศึกสองด้าน – ไม่เพียงต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญ แต่ตกเป็นจำเลยต่อความเห็นของคนทั้งประเทศ

ทักษิณถูกโจมตีจากศึกทั้งสองด้านอย่างรวดเร็ว หัวหน้าแผนกวิจัยของบริษัทนายหน้าต่างชาติในกรุงเทพคนหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่แน่ๆก็คือ การดื่มน้ำผึ้งพระจันทน์มันหมดไปแล้ว” “บรรยากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

นักวิเคราะห์ยังได้ถกเถียงถึงความผิดพลาดของทักษิณเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงเรื่องแหกตาขุมทรัพย์ของชาวญี่ปุ่น:

เรื่องที่ทำให้ทักษิณเสียเครดิตล่าสุดนี้ จากเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับตำนานกรุสมบัติในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

สมาชิกวุฒิสภาคนกล้ากล่าวว่า ขุมทรัพย์หลายหมื่นล้านดอลลาร์เป็นทั้งทอง และพันธบัตรสหรัฐฯที่กองทัพญี่ปุ่นทิ้งไว้ถูกขุดพบในถ้ำลึกเข้าไปในป่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอ้างเรื่องเช่นนี้ และหนังสือพิมพ์ต่างประโคมข่าวว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

แต่ทักษิณถือเอารายงานนี้เป็นจริงเป็นจังพอที่จะบินโดยเฮลิคอปเตอร์ไปสำรวจถ้ำเมื่อวันศุกร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนกล่าวว่า การขุดสมบัติขึ้นมาจะมีค่าพอที่จะนำมาชำระหนี้สินของชาติที่มีถึง ๒๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และนำมาช่วยกู้วิกฤติของชาติที่ย่ำแย่เพราะเศรษฐกิจ

ด้วยพาดหัวข่าวที่มีแต่เสียงเย้ยหยัน ต่อมารัฐบาลได้ออกมายอมรับว่าการค้นพบนั้นเกือบจะเป็นข่าวโคมลอย เนชั่นกล่าวว่า ทักษิณตกเป็น “ตัวตลกอินเตอร์”

รุ่งเช้าของวันต่อมา อย่างเคย ผมจับแท๊กซี่ใกล้ที่พักของผมในซอยสมคิดไปยังสำนักงานรอยเตอร์ที่ตึกอื้อจื่อเหลียง ถนนพระราม ๔ คนขับฟังรายการวิทยุคุยกับคนฟังที่โทรเข้ามา ในขณะที่ภาษาไทยของผมในเวลานั้นแค่งูๆปลาๆ เป็นที่แน่ชัดว่าคนฟังที่โทรเข้ารายการกำลังแสดงความโกรธเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง ฟังน้ำเสียงดูแล้วน่าจะไม่มีความสุข ไม่มีความสุขแน่ๆ

ผมเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น เมื่อผมได้ยินบางคนพูดถึงรอยเตอร์

ผมยิ่งต้องตั้งใจฟังหนักขึ้นไปอีก เมื่อผมได้ยินบางคนพาดพิงถึง แอนดรูว์ มาร์แชล

และในขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่ผมสามารถบอกได้ว่า พวกเขาโทรเข้ารายการวิทยุนี้ต้องไม่พูดอะไรที่ว่าผมเป็นคนที่วิเศษแน่ๆ ผมรู้จักอยู่สองคำคือ “ไม่ดี” – และดูเหมือนคนจะใช้คำนี้กันมาก

ผมถึงสำนักงานรอยเตอร์ แล้วพบว่า พนักงานกำลังหน้าซีดมองพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์มติชน:

ตัวหนังสือกลางหน้าแรก เป็นพาดหัวข่าวว่า “สื่อเทศประโคม “แม้ว” ตลกอินเตอร์”

แม้วเป็นชื่อเล่นของทักษิณ ในกรณีนี้ สื่อเทศหมายถึงผม

และในขณะเดียวกันผมไม่เรียกทักษิณว่าตลกอินเตอร์แน่ๆ ดูเหมือนมติชนจะแปลบทความของผมอย่างค่อนข้างหละหลวม และได้ฉวยเอาคำพูดมาจากเนชั่นว่าทักษิณได้กลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ

ในเนื้อข่าวยังคงกล่าวถึงต่อ ซึ่งข่าวเป็นภาษาไทยอ่านได้จากที่นี่

หากข่าวนี้ลงตีพิมพ์ในปี ๒๕๕๓ สื่อไทยส่วนใหญ่คงยกให้ผมเป็นวีรบุรุษ และคงมีคนที่เล่นเฟสบุ๊คจำนวนนับหมื่นร้องเรียกว่า “เราเกลียด แดน รีเวอส์ แต่เรารัก แอนดรูว์ มาร์แชล”

แต่นี่เป็นปี ๒๕๔๔ คนไทยส่วนใหญ่จะสนับสนุนทักษิณ แม้แต่ผู้ซึ่งไม่สนับสนุนเขายังไม่ขำไปด้วย เมื่อรู้ว่านักข่าวต่างชาติจองหองบางคนที่ถูกกล่าวหานั้นมาเรียกนายกฯของเขาว่า เป็นตัวตลก

หัวหน้าของผมกำลังตื่นตระหนก เสียงโทรศัพท์ในห้องข่าวดังขี้นอย่างไม่ขาดสาย รัฐบาลมีหนังสือประณามข่าวของผม ประชาชนเกือบทั้งหมดในราชอาณาจักรไทย ดูเหมือนว่ากำลังโกรธแค้นในตัวผม

ยิ่งเวลาล่วงเลยไป เรื่องยิ่งเลวร้ายหนักขึ้น ทักษิณถูกตั้งคำถามจากนักข่าวไทยซึ่งต้องการจะรู้ว่า เขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่รอยเตอร์ตั้งฉายานามว่าเป็นตัวตลก เป็นที่รู้กันจนถึงเวลานี้ว่า ทักษิณไม่ใช่เป็นแฟนตัวยงของนักข่าว นอกเสียจากว่านักข่าวจะเห็นด้วยกับเขาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา ทักษิณไม่เชี่ยวชาญในการรับมือกับการวิจารณ์ และเขาเป็นคนขี้หงุดหงิด บุคลิกอุปนิสัยทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายอย่างเพียงพอที่ทักษิณแสดงความเห็นอย่างมีสีสรรของทักษิณกับตัวผม ในเวลานั้นทีวีได้นำออกมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในสำนักงานของรอยเตอร์ในกรุงเทพได้นั่งจับจ้องอย่างตาไม่กระพริบ ผู้ร่วมงานคนไทยของผมช่วยคอยตามเก็บความเห็นของทักษิณ และแปลให้ผม: “ทักษิณเพิ่งพูดว่า แอนดรูว์ มาร์แชลเป็นนักข่าวที่ขาดจรรยาบรรณ…เขาพูดอีกว่า หากเขามีเวลา เขาจะบุกไปรอยเตอร์แล้วอัดผม…เขาพูดต่อว่า สื่อต่างชาติสมรู้ร่วมคิดต่อต้านทักษิณ และคุณ แอนดรูว์ มาร์แชล ร่วมอยู่ในนั้นด้วย….”

วันรุ่งขึ้น เรื่องนี้ยังคงประโคมเป็นข่าวใหญ่ทั้งในทีวี และพาดหัวหน้าแรกหนังสือพิมพ์ นี่เป็นข่าวพาดหัวจากแนวหน้าเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน

หัวข้อข่าวกล่าวว่า “ทักษิณฉุนถูกสะกิดแผล ขู่ทุบสำนักข่าวรอยเตอร์”
ผมอาจเป็นนักข่าวคนแรกที่ได้รับเกียรติอย่างชวนให้น่าแคลงใจ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวไทย หรือนักข่าวต่างชาติต่างถูกทักษิณเลือกมาวิจารณ์เป็นคนๆไปต่อหน้าสาธารณะ และจนถึงเวลานี้เราทราบกันแล้วว่า ผมไม่ใช่เป็นคนสุดท้าย

ทักษิณไม่เคยมาจัดการผม แต่ในหลายปีต่อมา รายงานข่าวของผมยิ่งสร้างความรำคาญให้ทักษิณหลายต่อหลายครั้ง ผมเสนอข่าวทักษิณถูกศาลรัฐธรรมนูญยกฟ้องอย่างเหลือเชื่อ หลังจากผู้พิพากษาสองคนเปลี่ยนคำตัดสินในนาทีสุดท้าย โดยอ้างว่าได้รับความกดดันจากผู้มีอำนาจ ผมเสนอข่าวการคุกคามสื่ออย่างต่อเนื่อง ทั้งสื่อไทย และสื่อสากล เมื่อพวกเขาถูกโจมตีอย่างหนัก ผมรายงานข่าวความเสื่อมอย่างยิ่งในระบบการตรวจสอบ และการถ่วงดุลอำนาจที่ประเทศไทยนำมาใช้เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางผิด หากต่างคนต่างทำ ย่อมจะถูกทำลาย และพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ผมเห็นกบฏมุสลิมภาคใต้ของไทยขยายตัวอย่างมั่นคง จนยากที่จะควบคุมหลังจากนโยบายที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ผมรายงานการที่ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายย่อยถูกกระทำวิสามัญฆาตกรรม ในขณะที่ผู้ค้ารายใหญ่ที่มีอำนาจยังคงสาวไปไม่ถึงตัว ผมนั่งมองการทุจริตที่เฟื่องฟู

ในปลายปี ๒๕๔๕ สงครามในตะวันออกกลางดูจะเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ผมถูกส่งตัวไปทำข่าวที่คูเวตในขณะที่สหรัฐฯกำลังเตรียมพร้อมที่จะบุกอิรัก หลังจากซัดดัม ฮุสเซนถูกกองทัพสหรัฐฯโค่นอำนาจลง ผมได้รับตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ในแบกแดด ผมอยู่ที่นั่นสองปีในขณะที่ประเทศเคลื่อนเข้าสู่ภาวะนองเลือด และการจลาจล ชีวิตนักข่าวตกอยู่ในสภาพที่ต้องเสี่ยงตายมากขึ้น ข่าวของเราโดนทั้งถูกประณาม และถูกโจมตีเสมอ ส่วนใหญ่จากเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯซึ่งยืนยันว่าการฟื้นฟูอิรักกำลังดำเนินไปด้วยดี และเป็นผู้ที่ไม่พอใจกับความจริงที่เราเสนอให้เห็นความรุนแรงอย่างน่าสะเทือนใจในการทำลายล้างประเทศ และในช่วงปีแรกๆของการยึดอิรัก ลักษณะการทำงานอย่างมือไม่ถึงที่น่าใจหาย และมีการทุจริต

บางครั้งจะเกิดความเครียดจากการเป็นหัวหน้าสำนักงานของรอยเตอร์ที่ต้องเข้าไปทำข่าวอยู่ใน “พื้นที่สีแดง” กลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความหฤโหด ต้องเผชิญกับความกดดันขนาดหนัก และยังถูกระแวงจากผู้เชี่ยวชาญในห้องแอร์ห่างออกไปนับพันๆไมล์ซึ่งคอยกล่าวหาเราเป็นประจำว่าบิดเบือน และขาดสำนึก แต่ผมเรียนรู้ว่า การทำข่าวที่ถูกต้องย่อมขัดกับผู้มีอิทธิพลอันทรงอำนาจในทุกที่ และเป็นปกติที่จะสร้างความโกรธ และการถูกวิจารณ์ การตอบโต้เพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ คือการทำงานของคุณให้ดีที่สุด รักษาเกียรติ และหลักการของคุณ และยืนหยัดในเรื่องที่คุณเสนอ

ทุกสองเดือนหรือประมาณนั้นที่ผมได้พักจากแบกแดด และผมจะกลับมาใช้เวลาในประเทศไทยเสมอ เพื่อนสนิทที่สุดของผมบางคนในโลกนี้อยู่ที่นี่ และในเวลานั้น ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่ผมจะพัก และผ่อนคลายความเครียด และความน่ากลัวจากอิรัก ยังคงเป็นความรู้สึกเหมือนสวรรค์บนดินในสมัยนั้น ผมต้องเป็นพยานกับการก่อตัวแห่งพายุของความแตกแยกทางสังคม และทางการเมืองในประเทศไทย และการอุบัติของการเคลื่อนไหวของ “เสื้อเหลือง” และการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อขับไล่ทักษิณ และล้มเหลวที่จะสมานแผลของประเทศ

ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ ผมกลับมาประจำที่เอเชีย ตำแหน่งหัวหน้านักข่าวรอยเตอร์ด้านความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งกำลังสั่นสะเทือนไปทั้งทวีป จากอัฟกานิสถานด้านตะวันตก ไปถึงญี่ปุ่น ยันออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ซึกตะวันออก สำหรับทุกประเทศในเอเชีย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประเทศหนึ่งซึ่งเข้าขั้นเสื่อมจนตกเหวมากที่สุดในหลายปีที่ผ่านมาคือ ประเทศไทย

ครั้งหนึ่งเคยบูมถึงขนาดเป็นหนึ่งในกลุ่ม “เสือแห่งเอเชีย” ของภูมิภาค เศรษฐกิจกำลังไปได้ด้วยดี แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมือง – ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจส่งออกมากที่สุดในเอเชียรองจากฮ่องกง และสิงคโปร์ ถูกกระตุ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภูมิภาคกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก สำหรับในระยะยาวแล้ว ความเสียหายยังคงเต็มไปด้วยความรุนแรง นักท่องเที่ยวจำนวนมากมีความหวาดกลัว และที่หนักมากไปกว่านั้น บริษัทระหว่างประเทศของต่างชาติได้ขีดฆ่าประเทศไทยออกจากประเทศที่จะลงทุนในโครงการใหม่ การเมืองในไทยค่อนข้างวุ่นวายเป็นประจำ แต่จนไม่นานมานี้ นักลงทุนซึ่งต่างเคยคิดว่าเป็นการปลอดภัยหากทำเพิกเฉยกับประเทศซึ่งมีการก่อรัฐประหารเป็นระยะ และมีความวุ่นวาย ซึ่งพวกเขารู้ซึ้งดีว่าไม่สามารถมองข้ามขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยไปได้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว

วิกฤติครั้งนี้ต่างไปกว่าทุกครั้ง การปิดสนามบินจนกลายเป็นอัมพาตของ “เสื้อเหลือง” ในปี ๒๕๕๑ และการที่ผู้ประท้วง “เสื้อแดง” ยึดใจกลางกรุงเทพในปีนี้ ซึ่งจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงแห่งเดือนเมษายน และพฤษภาคม เมื่อคนไทยต่างฆ่าคนไทยด้วยกันเองบนท้องถนนกลางเมืองหลวงอันสวยงามของพวกเขาเอง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๘๘ ศพ รวมถึง ฮิโระ มูราโมโตะ นักข่าวชาวญี่ปุ่นของรอยเตอร์ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของผม ถูกสังหารในขณะที่กำลังบันทึกเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ประท้วง และทหารในวันที่ ๑๐ เมษายน

เกือบจะเป็นที่แน่ใจว่า จะต้องเกิดการสูญเสียชีวิตมากไปกว่านี้ในประเทศไทยอีกแน่ หากวิกฤติครั้งนี้ไม่ได้รับการแก้ไข

ทุกอย่างที่ตกค้างนี้เป็นประเด็นที่ทุกคนทราบดี แต่ไม่มีใครกล้าพูดในที่สาธารณะได้ กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดชซึ่งเป็นที่เคารพอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทรงชราภาพ และทรงอ่อนแอ และว่าที่องค์รัชทายาทมิได้ทรงเป็นศูนย์รวมใจเทียบเท่ากับพระบิดา และการที่พระบรมวงศานุวงศ์ของกษัตริย์บางพระองค์ และองคมนตรีบางคนแสดงการเข้าข้างอย่างเห็นได้ชัดในวิกฤติการเมืองในเวลานี้ ทำให้อนาคตแห่งระบบกษัตริย์ของประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพอันตราย

เป็นเรื่องสะท้อนใจที่ต้องนั่งมองประเทศไทยถอยหลังลงคลอง แต่เป็นเรื่องเศร้ายิ่งกว่าสำหรับคนไทยผู้ซึ่งภูมิใจประเทศของตัวเองต้องตกอยู่ในภาวะเช่นนี้

แต่ดูเหมือนว่าคนไทยหลายคนมีท่าทีไม่ยอมรับในเรื่องนี้ โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงในกรุงเทพ พวกเขามีทัศนคติที่ว่า ประเทศไทยยังคงเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มที่เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทุกคนรู้ถึงฐานะของตัวเองในสังคม และทุกคนต่างยอมรับด้วยความหน้าชื่นตาบาน และพวกเขาดูเหมือนจะเชื่อว่าเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ไม่มีทางสิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะอิทธิพลอันชั่วร้ายของทักษิณ ผู้พยายามก่อปัญหาให้กับดินแดนแห่งสวรรค์ของพวกเขาเองซึ่งมีแต่ความเห็นแก่ตัว พวกเขาอ้างว่า ทักษิณหลอกลวง และติดสินบนชาวไร่ชาวนาไทยทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เพื่อให้พวกเขาลืมกำพืดของตัวเอง หลงผิดกับความจริงของเป้าหมายในชีวิตของพวกเขาที่ว่ามีหน้าที่รับใช้คนร่ำรวยด้วยความยินดี และด้วยความอดกลั้นเท่านั้น พวกเขาคิดว่าหากหยุดทักษิณได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม แม้ไร้ซึ่งคุณธรรม ประเทศไทยจะกลับไปสู่ประเทศตามอุดมคติ และทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม

นี่เป็นมุมมองที่เพ้อเจ้อ ความพยายามทำการท้าทายเรื่องนี้ในประเทศถูกเซ็นเซอร์อย่างไม่ยั้ง และนักข่าวต่างชาติอย่างผมซึ่งแนะนำว่าสถานการณ์อาจจะซับซ้อนไปมากกว่านั้น กลายเป็นถูกบอกว่า ชาวต่างชาติอย่างเรานั้นไม่สามารถเข้าใจถึงความซับซ้อนของประเทศไทย และเราอาจจะรับเงินจากทักษิณ หรือถูกทักษิณล้างสมอง

ให้ผมแจงรายละเอียดอีกครั้ง ถึงเวลานี้ควรเห็นได้ชัดแล้วว่า ทักษิณ และผมไม่ได้เป็นเพื่อนรักกัน ผมไม่มีความหลงว่าทักษิณเป็นใคร หรือทักษิณยึดมั่นในเรื่องอะไร ผมรู้อยู่เต็มอกว่าทักษิณไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย และมีหลักฐานที่จะให้พิจารณาได้ว่า บทบาทของทักษิณทำให้ในเหตุการณ์ในเดือนเมษายน และพฤษภาคมเลวร้ายลง และเป็นผู้ไม่รับข้อเสนอแผนปรองดองนั้น

แต่การที่จะเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างทักษิณ และประเทศไทยเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม ในทางประชาธิปไตย และสิทธิเท่าเทียมกัน เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างมหันต์ต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คนไทยจำพวกที่มองข้ามการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าชาวไร่ชาวนาโง่เขลาต่ำช้า ซึ่งไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่าประชาธิปไตย และความยุติธรรม พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะโกรธแค้น และพวกเขารับเงินจากทักษิณ หรือถูกหลอกให้สนับสนุนแผนการอันชั่วชาติของทักษิณ ชินวัตร คนไทยพวกนี้ที่แน่ๆกำลังแสดงความจองหอง ความเป็นสองมาตรฐาน และการดูถูกเหยียดหยามคนยากไร้ ซึ่งคนไทยเหล่านี้อ้างว่าไม่มีตัวตนในประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม แต่ต้องถูกทำลายเป็นชิ้นๆเพราะความไม่ยุติธรรมในทางสังคม การทุจริตที่ถูกปกป้อง ความเป็นสองมาตรฐาน การเซ็นเซอร์ ลัทธิใช้กำลังทางทหาร การปฏิเสธของพวกศักดินาไม่ยอมรับผลพวงแห่งความเป็นประชาธิปไตย และคลานกลับเข้าไปสู่ลัทธิเผด็จการเต็มรูปแบบ แน่นอน ความซับซ้อน และความยุ่งยากเหล่านี้ ไม่ได้ลดลงอย่างง่ายๆเพียงแค่สีดำและสีขาว (หรือสีแดงและสีเหลือง) ที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง และเต็มไปด้วยความอึมครึม แต่การปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับปัญหาที่แสนสาหัส และความคับข้องใจของตัวการของวิกฤติในครั้งนี้ ย่อมยากที่จะหาทางออก

หากมีสิ่งใดที่ผมเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของทักษิณและผม สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะทำได้ในฐานะนักข่าวคือ การรายงานอย่างตรงไปตรงมา ให้รับรู้ว่าปัญหาหลักนั้นถูกละเลย เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระราชาไม่ได้ทรงสวมเสื้อผ้า

หากเราเห็นกองขี้ควายที่กำลังส่งกลิ่น เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องบอกให้ชัดว่านั่นกองขี้ควาย แต่คนร่ำรวย และผู้มีอำนาจ ยิ่งพยายามชักชวนให้เราเชื่อว่า นั่นน่ะ คือไหทองคำนะ

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“อำมาตย์-ไพร่” เป็นเพียงศัพท์ที่ไร้ความหมาย?

นักปรัชญาชายขอบ

เมื่อถูกถามว่า เป้าหมายของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย คือการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คิดว่าจะลดช่องว่างระหว่างคำว่า “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่ถูกบัญญัติขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่อย่างไร นายอานันท์ ปันยารชุน กล่าวว่า

“คณะกรรมการผมจะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ถ้ายกคำว่าไพร่ หรืออำมาตย์ขึ้นมา ผมคิดว่าเป็นศัพท์ที่ไม่มีความหมาย คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดนี้จะไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นปัญหาในอดีต แต่แน่นอนความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเงินทอง เรื่องสิทธิ เรื่องโอกาส อันนั้นต้องทำแน่ แต่เราจะไม่ทำในบริบทของสิ่งที่คุณพูด มันคนละเรื่องกัน”

โดยปกติ “คำ” หรือ “ศัพท์” ที่ไม่มีความหมาย คือคำหรือศัพท์ที่ไม่ได้สื่อถึง “ความจริง” (truth) หรือ “ข้อเท็จจริง” (fact) อะไรเลย แต่คำว่า “อำมาตย์” และ “ไพร่” เป็นคำที่สื่อถึงความจริงและข้อเท็จจริงบางอย่างชัดแจ้งเกินกว่าที่ใครจะบอกว่า “ไม่สนใจ” รับรู้ หากมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมไทยจริงๆ

ผมคงไม่อธิบายประวัติความเป็นมาของคำสองคำนี้ (เพราะเห็นอธิบายกันไว้มากแล้ว) ขออธิบาย (ตามความเข้าใจของตนเอง) ว่า คำว่า “อำมาตย์-ไพร่” ที่ นปช.นำมาใช้กันในปัจจุบันนั้นเป็นคำที่สื่อถึงความจริงที่ว่า ในสังคมประชาธิปไตยของไทยนั้นมีสถานะแห่ง “ความเป็นมนุษย์” ที่ไม่เท่าเทียมกัน

เราต้องเข้าใจก่อนว่า “ความเป็นมนุษย์ที่ไม่เท่าเทียม” ไม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” ในธรรมชาติ แต่เป็น “ความจริง” ที่ถูกสร้างขึ้นในจารีตของสังคมไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วก็ตกทอดมาถึงปัจจุบันที่เป็นสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่

กล่าวคือ ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับหลัก “เสรีภาพ” และ “ความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์” นั้น สังคมไทยยังยึดถือความจริง (สมัยเก่า)ที่ว่า “ความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน” โดยชาติกำเนิดและฐานันดร

ซึ่งความแตกต่างทางชาติกำเนิดและฐานันดรนั้นเป็นผลแห่ง “ศีลธรรมที่แตกต่างกัน” ในความหมายที่ว่า คนที่มีชาติกำเนิดสูงและฐานันดรสูงนั้นคือคนที่บำเพ็ญบุญบารมีมามากแต่ชาติปางก่อน ฉะนั้น สมุฏฐานของการจำแนกความแตกต่างทางชนชั้นจึงมาจากการจำแนกความแตกต่างทางศีลธรรม คือการทำความดีมาไม่เท่ากันจึงทำให้สถานะความเป็นมนุษย์ไม่เท่ากัน

การยึดถือความจริงดังกล่าวนี้จึงทำให้เกิด “ข้อเท็จจริง” ในสังคมไทยคือการมีชนชั้น “อภิสิทธิชน” หรือที่ นปช.เรียกรวมๆว่า “อำมาตย์” และชนชั้นสามัญชนที่เรียกรวมๆว่า “ไพร่”

ซึ่งชนนั้นแรกอยู่ในสถานะที่ตั้งคำถาม วิพากษ์ วิจารณ์ ตรวจสอบการกระทำหรือการใช้อำนาจใดๆ อย่างตรงไปตรงมาไม่ได้เลย และเครือข่ายบริวารก็พลอยได้รับสิทธิพิเศษนั้นโดยปริยาย ส่วนชนชั้นหลังที่เป็นสามัญชน (ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางระดับสูง ระดับกลาง ระดับล่าง และชนชั้นล่าง) คือ “ไพร่” ที่ไม่อาจมีอภิสิทธิ์เช่นนั้นไม่ว่าในทางจารีตหรือทางกฎหมายก็ตาม

ฉะนั้น การจะตัดสินว่า “อำมาตย์-ไพร่” เป็นคำที่มีความหมายหรือไม่ วิธีที่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมาคือ

1. ต้องตรวจสอบดูว่าสังคมไทยปัจจุบันยังยึดถือความจริงที่ว่า “ความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน” อยู่จริงหรือไม่?

2. ต้องไปดูข้อเท็จจริงว่า สังคมไทยมีระบบอภิสิทธิชนที่ตรวจสอบไม่ได้อยู่จริงหรือไม่? มีระบบอภิสิทธิชนที่พยายามผูกขาดอำนาจการคิดแทน การตัดสินใจแทนประชาชนในเรื่องการเมืองการปกครอง รวมถึงการตัดสินว่าใครเป็นคนดี คนไม่ดี การกำหนดความถูก-ผิดทางศีลธรรม ฯลฯ อยู่จริงหรือไม่?

ถ้าพบว่า 1 และ 2 มีอยู่จริง ก็ต้องถามต่อไปว่า 1 และ 2 สอดคล้องหรือขัดแย้งกับ “อุดมการณ์รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่” ที่ถือว่าเสรีภาพและความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์คือคุณค่าสูงสุด

หรือถามตรงๆว่า 1 และ 2 เป็นสาเหตุของ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่มีอยู่จริงต่อไปนี้หรือไม่?

1. ความเหลื่อมล้ำในการมีเสรีภาพ ฝ่ายอภิสิทธิชนและเครือข่ายสนับสนุน เช่น รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ ชนชั้นกลางในเมืองที่ประกาศตัวปกป้องระบบอภิสิทธิชนมีเสรีภาพเหนือกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่? (เช่น สื่อของคนส่วนใหญ่ถูกปิด และพวกเขาเหล่านั้นก็ถูกจำกัดเสรีภาพในการพูดความจริง การแสดงออกทางการเมือง ด้วย กฎหมายหมิ่นฯ พรก.ฉุกเฉิน ฯลฯ)

2. เสรีภาพที่สำคัญคือ “เสรีภาพที่จะเป็นมนุษย์” (ความคิดของเปาโล แฟร์) ความหมายง่ายๆ คือมนุษย์ควรมีเสรีภาพจากความโง่ จน เจ็บ เขาจึงจะสามารถพัฒนาความเป็นมนุษย์ เช่น ความสามารถในการใช้เหตุผล การเข้าใจความจริง สัมผัสความดี ความงาม และใช้ศักยภาพสร้างสรรค์สิ่งที่เขารัก หรือที่เขาเห็นว่ามีคุณค่าแก่ชีวิตและโลก สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นอภิสิทธิชน-ไพร่ เอื้อต่อเสรีภาพที่จะเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมหรือไม่?

3. ความเหลื่อมล้ำทางอำนาจต่อรองในทางการเมือง เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสการศึกษา การมีงานทำ การได้รับบริการทางสาธารณสุข การได้รับการปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ฯลฯ เกี่ยวข้องกับการผูกขาดอำนาจทางการเมืองการปกครอง อำนาจทางศีลธรรม ฯลฯ ของระบบอภิสิทธิชนหรือไม่?

หากสามารถอธิบายได้อย่าง “แจ่มกระจ่างหมดจด” ว่า สังคมไทยปัจจุบันไม่ได้ยึดถือความจริงที่ว่า “ความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน” และไม่มีข้อเท็จจริงที่ว่า สังคมไทยปัจจุบันมีระบบอภิสิทธิชนที่เป็นสาเหตุของ “ความเหลื่อมล้ำ” ต่างๆจริง จึงจะสรุปได้ว่า “อำมาตย์-ไพร่” เป็นเพียงศัพท์ที่ไร้ความหมาย!

แต่หากยังมีความจริงและข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ แล้วไม่สนใจ ไม่พูดถึง การปฏิรูปประเทศที่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยที่ประชาชนมีเสรีภาพอย่างเท่าเทียม และมีความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นฐานของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาอื่นๆก็เป็นเพียง “ละครฉากสุดท้าย” ของระบบอภิสิทธิชนเท่านั้นเอง!

ปรองดองแฝงปองร้าย

กวีประชาไท
เพ็ญ ภัคตะ
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓

ปรองดองต้องปรีดี ใช่กดขี่ชี้นิ้วชัง
เกรี้ยวกราดประกาศดัง ออกคำสั่งให้คืนดี
ปรองดองต้องปรีดา มือยื่นมาหมดไมตรี
หัตถาฆ่าหัตถี มือคุณนี้มีค่าไฉน

ปรองดองต้องปรองธรรม ก่อเวรกรรมคร่ำแค้นใด
กรงขังยังบ่ไข ปรองดองไปเพื่อใครกัน
ปรองดองต้องปรองใจ บาดแผลใหญ่ไยลงทัณฑ์
ห่วงภาพไทยสร้างสรรค์ ชาติคงมั่น คนสั่นคลอน

ปรองดองต้องเท่าเทียม หยุดเล่ห์เหลี่ยมเลิกเสี้ยมสอน
ใส่ร้ายป้ายข่าวร้อน เสรีรอนถูกล่วงล้ำ
ปรองดองลองตรองดู ใครคือผู้ถูกกระทำ
คิดคิดแล้วก็ขำ ทั้งเช้าค่ำพร่ำ “ปรองดอง”

การปะทะระหว่างแดงกับเหลืองที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ

Max Constance*
แปลโดย เบญจวรรณ บุญวัฒน์

เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1986 มีเสวนาแลกเปลี่ยนที่ยังจำได้ไม่รู้ลืมที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ในอาคารสูงล้อมด้วยกระจกของโรงแรมดุสิตธานี มิกาเอล วิกเกอรี (Michaël Vickery) ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชาโบราณซึ่งใช้ภาษาเขมรได้นำเสนอหนังสือของเขาที่ชื่อว่า กัมพูชา 1975-1982 ต่อผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติ เป็นครั้งแรกที่มีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ที่สามารถเข้าถึงราชอาณาจักรกัมพูชา แสดงปาฐกต่อหน้าสื่อนานาชาติ ซึ่งไม่พอใจรัฐบาลในพนมเปญ ผู้สื่อข่าวเหล่านี้อยากเยือนกัมพูชาหลังการสิ้นสุดเขมรแดง ณ ตอนนั้น มิกาเอล แอดเลอร์ (Michaël Adler) ชาวอเมริกันที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส จากสำนักผู้สื่อข่าวฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ พอล เวเดล (Paul Wedel) หัวหน้าสำนักงาน United Press International- UPI ยังมี ฌาคส์ เบกาแอรต์ (Jacques Bekaert) นักข่าวเผ็ดดุ จากหนังสือพิมพ์ Le Monde ผู้สื่อข่าวจาก บางกอกโพสต์ และแน่นอน มีผู้สนับสนุนของสีหนุ และ รณฤทธิ์ และกลุ่มสมาชิกพรรค ฟุนซินเปค (FUNCINPEC) [1] ห้องโถงแน่นขนัด มีการสนทนาโต้ตอบอย่างไม่หยุดหย่อน และน่าติดตามยิ่ง มีผู้พูดท่านหนึ่งจากครอบครัวค่อนข้างรุ่มรวยด้วยการศึกษาและวัฒนธรรม มีความคิดคมคาย แต่กลับสนับสนุนกัมพูชาที่ถูกลงทัณฑ์อย่างอยุติธรรมจากประชาคมนานาชาติ

เย็นอีกวันหนึ่ง น่าจดจำยิ่งเช่นกัน กระทั่งน่าจะบันทึกเป็นโศลกด้วยซ้ำ เป็นประวัติการณ์สำคัญของ FCCT คือเมื่อวันพุธที่ 2 มิถุนายน หัวข้อที่ถกกันคือวิธีการที่สื่อต่างชาติทำงานในพื้นที่การชุมนุมที่กรุงเทพฯ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีโดมินิค โฟลเดอร์ (Dominic Faulder) นำการเสวนา ผู้ร่วมเสวนามี 4 คน คือ นายสมเถา สุจริตกุล นักประพันธ์เพลง นายสุเมธ ชุมสาย สถาปนิก พนา จันทรวิโรจน์ ผู้อำนวยการข่าวประจำของ The Nation และไกรศักดิ์ ชุณหะวัน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (จากนครราชสีมา) (มือกีตาร์แนวบลูส์ที่น่าฉงน)

ช่วงแรก มีการฉายรายงานข่าวโทรทัศน์เกี่ยวกับ “เหตุการณ์” โดยสำนักข่าว France 24 [2], BBC, CNN, Al Jazeera “ตูม! ตูม! ตูม!” “ปัง! ปัง! ปัง!” “หนึ่ง สอง สาม! ไป ไป ไป!” ด้วยความยาว 12 นาที หนังสั้นแนวสงคราม อัดแน่นด้วยภาพแอคชั่นที่ทำให้มึนหัว (ด้วยกล้องถ่ายวิดีโอที่หมุนไปมาทุกทิศทาง) ช่วงเดียวที่หายใจโล่งปอดคือเมื่อทหารพักหายใจในซอย โอ้! น่าเสียใจ เนลสัน แรนด์ (Nelson Rand) ไปคนหนึ่งแล้ว เราเข้าใจความซับซ้อนของการเมืองไทยดีขึ้นหรือยังหนอ จากภาพที่เห็น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราทำข่าวที่กลายเป็นการมุ่งยกระดับให้เท่าเทียมกับภาพยนตร์อย่าง Saving Private Ryan หรือเหนือชั้นกว่าเสียอีก หรืออาจเป็นการทำภาพยนตร์รอบใหม่เรื่อง Brothers in arms พากย์ภาษาไทย ซึ่งฉุยไปด้วยการปฏิวัติมากกว่าภาพยนตร์เหล่านั้นหลายเท่า การรายงานข่าวของ CNN ที่เป็นผลงานของแดน ริเวอร์ (Dan Rivers) ผู้มีชื่อ นำให้ขบคิดวิเคราะห์มากที่สุด เขาฝ่าวิกฤตแบบเหงื่อตกเพราะเสื้อกันกระสุนและหมวกกันน็อกคุณภาพสูงอย่าง Kevlar ตามด้วยงานของ CNN อันนำมาซึ่งเสียงถากถางเยาะเย้ยทั้งจากคนไทย และคนเอเชียมากมาย อีกทั้งอารมณ์โมโหของคนในห้องนั้นอีกหลายคน อย่าง สุเมธ ชุมสาย วัยเกือบ 70 ปี ผู้มีสกุล อดีตนักศึกษาจาก เลอ กอร์บูซิเยร์(Le Corbusier) ที่ปารีสในสมัยทศวรรษที่ 60 เขาระเบิดออกมาว่า “ขยะ !”

น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยม ตลอดเย็นนั้น มีแต่บรรยากาศเขย่าอารมณ์ท่วมไปด้วยความก้าวร้าวที่อัดเต็มห้อง การพูดโต้ตอบที่เป็นเรื่องเป็นราวเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว สองฝั่งฝ่ายเผชิญหน้ากันและกัน ต่างฝ่ายก็ชัดเจนที่ความเห็นตนเอง ฝั่งหนึ่ง นักข่าวตะวันตกหลายคนผู้รักษาหน้าที่ตน แต่ขณะเดียวกันกลับทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ข้างเสื้อแดง นักข่าวแปลงสภาพตนเองเป็น “ไพร่” หรืออย่างน้อยก็กลายเป็นเสียงให้กับไพร่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทยจากชนชั้นผู้มีการศึกษาที่รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวจากที่กรุงเทพฯถูกทำลาย เสียภาพพจน์ในสายตาชาวต่างชาติ “อำมาตย์” เหล่านี้ไม่ยอมแพ้และปกป้องตัวเองด้วยกรงเล็บและด้วยปาก ราวพวก Coblentz และขุนนางมีสกุลชาวฝรั่งเศสที่มาลี้ภัยในเมืองเขา

“เราทุกคนมีการศึกษาจากอังกฤษอย่างคุณอภิสิทธิ์ เชื่อในเกมส์ที่ยุติธรรม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของระบบการศึกษาของรัฐบาลอังกฤษ” สุเมธกล่าว เขายังเท้าความด้วยว่าเขาคือผู้ที่ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป (ผู้ช่วยเหลือให้การศึกษาเด็กในสลัมคลองเตย) จากนั้นก็เสริมว่า “เราเผชิญหน้ากับพวกไร้วัฒนธรรม” ซึ่งเขาหมายถึงพวกคนเสื้อแดง เมื่อพูดประโยคนี้ ทั้งคนไทยและต่างชาติบางคนปรบมือให้เขาอย่างท่วมท้น

ไกรศักดิ์ ชุณหะวัน เสียงแหบ ๆ แบบคุยตอนนอนละเมอ ก็เกือบจะน้ำตาปริ่ม ๆ เมื่อพูดถึงประเทศของตนที่ถูกทำให้ “แตกสลาย” โดยคนเสื้อแดง “คนในยุโรปเขาคิดว่า ความขัดแย้งนี้เป็นการปฏิวัติทางสังคม โดยสงบ และโรแมนติก… ผมจะไม่ลงเลือกตั้งในนามคนอีสาน เพราะคนเสื้อแดงจะเอาชีวิตผม และหมอหญิง พังค์ถูกกฎหมาย (คุณพรทิพย์) จะมาตรวจสืบศพของผม และคุณทุกคน คุณจะถ่ายรูปศพผม” เขาบีบคอตัวเอง เสียงร้องสนั่นไปยังท้ายห้อง และมีเสียงหัวเราะ นักข่าวชาวตะวันตกสิบกว่าคนที่อยู่หลังไมค์ก็ดูจะระแวดระวัง “มีใครมาจากสื่อไทยบ้าง ?” คน ๆ หนึ่งถาม มีทูตทางสถานทูตสวีเดนที่กล่าวขึ้นมาอย่างฟังดูมีเหตุผลทีเดียว โดยกล่าวถึงความยากเย็นของประเทศของตนในการนำกฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อมวลชนมาปฏิบัติในช่วงปี ค.ศ. 1766 “เราค่อย ๆ เข้าใจทีละน้อยว่า บทบาทของสื่อไม่ใช่เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์ของรัฐบาล” – “แน่นอน ในสวีเดนคุณมีเสรีภาพทางเพศนี่” สุเมธ ชุมสาย โต้ ต่างฝ่ายต่างแก่งแย่งชิงกันพูด เราแทบจะรอเห็นแก้วลอยหรือการต่อสู้ตัวต่อตัวตามธรรมเนียมที่ดีที่สุดของสภาไต้หวัน

ท่ามกลางความปั่นป่วน บางคนก็แสดงออกถึงความมีเหตุมีผล คนแรกโดมินิค โฟลเดอร์ (Dominic Faulder) ซึ่งแสดงบทบาทที่ยากเย็นในการเป็นคนกลางนำเสวนา แต่ดูเหมือนเขาจะสามารถรักษาระเบียบและความเหมาะสมของถกเถียง เมื่อคนไทยบางคนพูดถึง “ นักข่าวชาวตะวันตกไม่มีความรับผิดชอบ” เขาตอบอย่างฟันธงว่า “ผมคิดว่านักข่าวทุกคนที่ทำผิดในการรายงานข่าวก็ต้องชดใช้ ถูกตัดสินจากผู้ทำหน้าที่ด้านสื่อ” พนา จันทร์วิโรจน์ รักษาท่าทีสงบได้ และให้ข้อมูลที่ฟังน่าสนใจโดยอธิบายว่า “กลุ่มการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างก็มีคนรายงานข่าวของตน กลุ่มผู้มีผลประโยชน์แทรกอยู่ในรัฐบาล และในสื่อที่แพร่หลาย พวกเขาได้ข้อมูลมาและทำตนเป็นเหมือนนักสืบ”

กล่าวถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม ไม่ค่อยมีการกล่าวถึง คือ ทำไมท่ามกลางกลุ่มคนไทยผู้มีการศึกษา จึงทึกทักเอาว่า แม้ว่า “ฝรั่ง” ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่แท้จริงของไทย วงการต่าง ๆ ในสังคม และพฤติกรรมแบบไทย สมเถายิงคำตอบ “ผมเองก็เคยเป็นเหยื่อของการเชื่อลอย ๆ ของคน เมื่อผมกลับมาจากอเมริกา คนหาว่าผมมีวิธีมองอย่างคนตะวันตก คนไทยมีประสบการณ์ร้าย ๆ มาในอดีต แต่สิ่งนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนไป” ประสบการณ์ร้าย ๆ....เขาพูดถึงอะไร คอนสแตน ฟอลคอน (Constance Phaulkon) หรือ หมาป่าฝรั่งเศสกับแกะสยามอย่างนั้นหรือ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อครั้งที่ชาวฝรั่งเศสกับอังกฤษต้องการให้เมืองไทยชดใช้ที่สมคบกับญี่ปุ่นอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่สมเถาไม่พูดต่อ

ถ้าเย็นวันนั้นเป็นวันที่น่าจดจำ ด้วยเพราะการถกเถียงที่เข้มข้น บรรยากาศคุกรุ่นกำลังแรง แต่ก็น่าจะยอมรับว่าเป็นการเสวนาที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาไม่ได้เกิดจากนักข่าวชาวตะวันตกที่ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนต่อการนำเสนอข่าวความเป็นไปในเมืองไทย “ทำอย่างกับว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ได้ในทุกประเทศขนาดกลาง ๆ แบบนี้อย่างนั้นแหละ” นี้เป็นทัศนะจากจูเลียน สปินด์เลอร์ (Julian Spindler) ปัญหามาจากประเทศไทยต่างหากที่พลิกผันเพราะถูกกระแทกราวถูกแผ่นดินไหว และอาจต้องใช้เวลาในการทำให้สภาวะมั่นคงกลับมาอีกครั้ง ปัญหาเกิดจากคนไทยที่ปิดหูปิดตาตัวเองมานานเกินไป เกิดจากกลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงนี้ หัวกะทิเหล่านี้ที่ไม่จัดให้เกิดการศึกษาและตามทันยุคสมัยให้กับคนต่างจังหวัด ไม่ให้คนต่างจังหวัดได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในช่วง 50 กว่าปีที่ผ่านมา พนา จันทร์วิโรจน์ กล่าวว่า “คนไทยที่มีการศึกษาส่วนใหญ่ไม่โง่เขลา ในแง่ว่าเขามองเห็นปัญหาความไม่เท่าเทียม (ในสังคมไทย) อย่างชัดเจน” แต่หากพวกเขาเห็นแล้ว ทำไมรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่า และพวกหัวกะทิในสังคม ชนชั้นกลาง ไม่ทำอะไรเลยเพื่อให้คนในประเทศมีระดับเดียวกันทุกคน แทนที่จะหน่วงตัวเองไว้กับความสบายในห้องรวมศิลปินและนักเขียนของชาวกรุงเทพฯ แค่นั้น และทำไมสื่อส่วนหนึ่งของไทย (ยกเว้นสื่อและนักข่าวบางคนอย่างหนังสือพิมพ์มติชน ประวิทย์ โรจนพฤกษ์จาก The Nation ผู้วิเคราะห์ข่าวอย่าง “ช้างน้อย” และ ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์) โดยเฉพาะสื่อวิทยุโทรทัศน์จึงไม่ทำหน้าที่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของระบบประชาธิปไตย ลึก ๆ แล้วเป็นปัญหาด้านวัฒนธรรมที่โยงกับความจริง (หรือสิ่งที่เป็นจริง) ในประเทศไทย ความจริงไม่สามารถนำมาพูดได้ทุกอย่างไป ดีที่จะพูดหากความจริงนั้นเป็นบวก

ย้อนความจำ : ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา นักข่าวสองคนถูกฆ่าด้วยกระสุนทั้งที่เขากำลังทำหน้าที่ในขณะที่เกิดวิกฤตการเมืองในประเทศไทย คือฮิโรชิ มุราโมโตะ (จาก JRI และ จากสำนักข่าว REUTER) และฟาบิโอ โปเลนจิ( Fabio Polenghi-ช่างภาพอิสระ) นักข่าวอีกอย่างน้อยเป็นสิบคนที่ได้รับบาดเจ็บ ในบรรดาสิบกว่าคนนั้น มี Nelson Rand (France 24), Chandler Vandergrift (สื่อมวลชนอิสระ), ชัยวัฒน์ พุ่มพวง (ช่างภาพจากเดอะเนชั่น), ไมเคิล มาอาส (Michel Maas -ผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์ชาวเนเธอร์แลนด์), แอนดรูว์ บันคอมบ์ (Andrew Buncombe - ผู้สื่อข่าวจาก The Independent) และช่างภาพประจำหนังสือพิมพ์มติชน

....................................
หมายเหตุผู้แปล

* ผู้เขียนเป็นผู้สื่อข่าวให้กับ France 24

[1] พรรคฟุนซินเปค เป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่ตั้งขึ้นโดนฝ่ายนิยมสมเด็จนโรดมสีหนุ เมื่อ พ.ศ. 2536 มีแนวทางนิยมในสถาบันกษัตริย์

[2] FRANCE 24 คือสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศสที่เสนอข่าวนานาชาติแห่งแรกที่ออกอากาศ 24 ชั่วโมง และ ตลอดสัปดาห์ จัดตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2006 โดยนำเสนอมุมมองและความรู้สึกของคนฝรั่งเศสต่อความเป็นไปในโลก เป็นสถานีที่มีความเฉพาะตัว คือ เขียนและเสนอข่าวด้วยความเคารพในความหลากหลาย ให้ความสำคัญกับความแตกต่างของระบอบการเมืองและวิถีวัฒนธรรม ทั้งยังถอดรหัสหรือเข้าถึงเบื้องลึกของข่าวเพื่อให้ส่วนที่ซ่อนอยู่หรือถูกปิดกั้นได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน สุดท้าย ให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้านวัฒนธรรมและศิลปะการใช้ชีวิต

FRANCE 24 นำเสนอข้อเขียนเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสนับแต่ปี 2006 และมีภาษาอาหรับตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2007 เตรียมจะนำเสนอเป็นภาษาเสปนต่อไป เป็นสถานีหาดูได้ทั่วโลก ผ่านดาวเทียม เคเบิ้ล และ อินเตอร์เน็ท

FRANCE 24 เข้าสู่สายตาผู้นำทางความคิดในยุโรปนับแต่เริ่มเปิดตัว รวมถึงตะวันออกกลาง อัฟริกา และเมืองใหญ่ ๆ อย่างนิวยอร์ค วอชิงตัน ดีซี คณะทำงาน FRANCE 24 มีอิสรภาพในการเขียนข่าว และเหตุนี้จึงสามารถฉายภาพหรือทำรายงานข่าวที่ไม่มีการตัดต่อใด ๆ

ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่ Issy-les-Moulineaux ใกล้กับปารีส มีสถานี TF1, France 2, France 3 เป็นผู้ร่วมกิจการ ได้รับข่าวส่งทอดบางชิ้นจาก Agence Presse-France, Arte, TV5MONDE, Euronews, France Internationale และ La Chaîne Parlementaire มีงบประมาณทุน 80 ล้านยูโร ต่อปี

เมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2008 Nicolas Sarkozy ประธานาธิบดีฝรั่งเศสประกาศต้องการยุบให้เหลือภาษาฝรั่งเศสเพียงภาษาเดียว

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก France 24 แล้วก็ไม่ค่อยมีโอกาสมากนักที่จะได้เห็นการรายงานข่าวภาษายุโรปที่มีผู้ประกาศข่าวที่เป็นคนผิวสี"

ที่มา.ประชาไท

มหัศจรรย์ศัพท์แสงตัวอาร์(ถรรพ์): รหัสลับจาก Red สู่ Reconciliation

วิกฤตชาดครั้งนี้ เป็นวิกฤตชาติที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สังคมไทยเคยประสบมา และไฟแห่งความแค้นความรุนแรงยังระอุอยู่ในหลายๆ พื้นที่ จนทำให้รัฐบาล .. คงไว้ซึ่งมาตรการควบคุม (Repression) และจำกัด (Restriction)

ไม่มีใครจะคาดคิดมาก่อนว่า การชุมนุมทางการเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดง (Red shirts) ในช่วงระหว่างกลางเดือนมีนาคมและพฤษภาคม จะเลวร้ายกลายเป็นวิกฤติชาด (Red crisis) ที่สั่นสะเทือนสังคมไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน

การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 68 วัน ที่พัฒนากลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติการเมืองไทยยุคใหม่ มีลักษณะพิเศษสำคัญๆ ที่ทำให้แตกต่างจากการชุมนุมทางการเมืองอื่นๆ เท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยหลายๆ ประการ

ประการแรก ในช่วงแรกเริ่มของการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ (Ritual) ด้วยการเทเลือดในสถานที่ต่างๆ ของฝ่ายปฏิปักษ์ (Rivals) ทางการเมือง โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งที่บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง (Ruler) เชียงใหม่คนแรก

ประการที่สอง การปรากฏตัวของนักรบโรนิน (Ronin) และกลุ่มคนเสื้อดำติดอาวุธที่ผ่านการฝึกฝนทักษะรบพิเศษ (Rangers) กลายเป็น "อาวุธ" อันทรงพลังที่ทำให้ทฤษฎี "แก้วสามประการ" ของกลุ่มคนเสื้อแดงน่าสะพรึงกลัวอย่างคาดไม่ถึง รวมแม้กระทั่งข่าวร้ายว่าโจรใต้กลุ่มแนวร่วมอาร์เคเค (RKK) อาจจะร่วมผสมโรงเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่กรุงเทพฯเป็นทวีคูณ

วิกฤติชาดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต (อย่างเป็นทางการ) มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ถึง 88 คน โดยเฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (Romklao Thuwatham) และพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของทั้งฟากกองทัพและกลุ่มคนเสื้อแดง (ตามลำดับ) ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้

การใช้อาวุธร้ายแรงนานาชนิด มีส่วนสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงขยายดีกรีจนเกือบจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง (หลวง) ที่มีการเปรียบเทียบว่าไม่ต่างจากกรณีของประเทศรวันดา (Rwanda) ถึงแม้ว่า ระเบิดเอ็ม 79 จะเป็นหนึ่งในอาวุธที่สร้างความหวาดกลัวรายวันให้กับประชาชนมากที่สุดในช่วงการชุมนุม แต่จรวดอาร์พีจี (RPG) เกือบกลายเป็นอาวุธที่สร้างความสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศ เพราะไม่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงจะอยู่ที่กระทรวงกลาโหมหรือวัดพระแก้ว แต่หากยิงถูกเป้าเชื่อว่าจะสร้างความเสียหายทั้งในทางจิตวิทยาและทางสัญลักษณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ

ในขณะเดียวกัน คมกระสุนของปืนไรเฟิลแรงสูง (Rifle) ด้วยฝีมือของของสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงระยะไกลที่ปลิดชีวิตเสธ.แดง ก็กระทบกระเทือนต่อจิตใจของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น้อย

ประการที่สาม ในอดีตที่ผ่านมา ถนนราชดำเนิน (Ratchadamnoen) เป็นถนนที่มีความสำคัญทางสัญลักษณ์ทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ "14 ตุลา 16" เหตุการณ์ "6 ตุลา 19" และเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 35" แต่ในปีปัจจุบัน การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง (Red rally) ที่เดิมปักหลักอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ก่อนที่จะย้ายฐานไปตั้งเวทีชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ (Ratchaprasong) มากกว่าสองเดือน สร้างนวัตกรรมทางการเมืองทำให้ชื่อ "ราชประสงค์" โดดเด่นขึ้นมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเทียบเท่าชื่อ "ราชดำเนิน"

ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 36 วันที่มีการปักหลักชุมนุมอย่างหามรุ่งหามค่ำจนทำให้แยกราชประสงค์กลายเป็นจัตุรัสแดง (Red square) ไปโดยพฤตินัย กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้ขยายขอบเขตพื้นที่เรดโซน (Red zone) ให้ครอบคลุมไปยังบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะถนนราชดำริ (Ratchadamri) ถนนราชปรารภ (Ratchapralop) ถนนราชวิถี (Ratchawithi) ซอยรางน้ำ (Rangnam) ถนนพระราม 1 (Rama I) และถนนพระราม 4 (Rama IV) ในขณะที่ชื่อ "ราบ11" กลายเป็นกรมทหารรักษาพระองค์ (Regiment Royal Guard) ที่มีบทบาทโดดเด่นมากที่สุดในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองปี 2553 นี้ เพราะนอกจากจะเป็นศูนย์บัญชาการหลักของรัฐบาลและกองทัพ ภายใต้ชื่อศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แล้ว ยังเชื่อว่าเป็นเซฟเฮาส์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งเป็นสถานที่ที่สาธารณชนได้มีโอกาสเห็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในชุดเครื่องแบบทหารเป็นครั้งแรกๆ ในรอบ 20 ปี

ประการที่สี่ ทันทีที่แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงพลังต่อต้าน (Resistance) รัฐบาลอย่างเต็มที่ ด้วยการก่อการจลาจล (Riot) อย่างบ้าคลั่ง (Rampage) พร้อมทั้งเผา (Raid) อาคารทางธุรกิจสำคัญๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตเรดโซนจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมิกลางกรุง นับเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่ความรุนแรงเหล่านี้กระจุกตัวในเขตตัวอาร์เป็นหลักไล่ตั้งแต่ เซ็นทรัลเวิลด์ (ราชประสงค์) โรงภาพยนตร์สยามและวัดปทุมวนาราม (พระราม 1) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (ราชดำริ) ซอยรางน้ำ (ราชปรารภ) สวนลุมพินี โรงแรมดุสิตธานี บ่อนไก่และอาคารช่อง 3 (พระราม 4) เซ็นเตอร์วัน (ราชวิถี) รวมทั้ง "วิกฤติชาด 10 เมษา" บริเวณสี่แยกคอกวัว (ราชดำเนิน)

โศกนาฏกรรมดังกล่าว ทำให้คนไทยและชาวโลกได้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยสายตาเป็นครั้งแรกว่า ในที่สุด เมืองหลวงของประเทศไทยได้ถูกเผาจริงในปี 2553 โดยกลุ่มคนไทยผู้บ้าคลั่งราวกับว่าต้องการจะข่มขืนปู้ยี่ปู้ยำ (Rape) กรุงเทพฯให้ถึงที่สุด

และเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในเดือนเมษายนปี 2310 ซึ่งเรารับรู้เพียงเฉพาะข้อเท็จจริงว่า กรุงศรีอยุธยาถูกทหารพม่าเผาจนวอดวาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นภาพของความหดหู่อัปยศนั้นได้นอกจากจินตนาการ และการเสียกรุงครั้งที่สองนี้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญ (ที่สุด) ที่นำไปสู่การกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯและการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่

แต่นับเป็นความโชคดีของบ้านเมือง ที่การเผากรุงเทพฯในปี พ.ศ.นี้ ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ อย่างถอนรากถอนโคน เพราะที่ผ่านๆ มา กลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความคิดหัวรุนแรง (Radical) ถูกกล่าวหาว่า ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเป้าหมาย (แอบแฝง) สูงสุดคือการสถาปนารัฐใหม่ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงระบอบ (Regime) การเมืองการปกครองใหม่ให้เป็นสาธารณรัฐ (Republic) ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ โดยเรียกขานอย่างสวยหรูว่า คือการปฏิวัติประชาชน (Revolution)

ประการที่ห้า บทบาทของสื่อมวลชนในช่วงวิกฤตชาดนี้โดดเด่นมากเป็นพิเศษ ผู้สื่อข่าว (Reporter) ทั้งไทยและเทศกลายเป็นเหยื่อเป็นเป้าหมายของความรุนแรง รวมทั้งเนลสัน แรนด์ (Nelson Rand) แห่งสำนักข่าวช่อง France24 ที่รอดตายอย่างหวุดหวิดที่สุด และสื่อเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือการทำหน้าที่ "เอียง" ของนายแดน ริเวอร์ส (Dan Rivers) แห่งสำนักข่าวซีซีเอ็น

ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่กรมตำรวจกำลังประสบปัญหาศรัทธาความน่าเชื่อถือมากที่สุดนั้น ชื่อของ พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ (Ruechakorn Jorajewut) ก็ได้รับการยกย่องจากสื่อบางฉบับให้เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ปิดทองหลังพระ ในบทบาทและภารกิจที่กล้าหาญเสี่ยงตายช่วยเหลือชีวิตพนักงานมากกว่าสี่ร้อยคนจากเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์

กล่าวกันในบรรดานักการทูตทั้งหลาย ดูเหมือนว่า นายแองโธนิโอ วีนัส โรดิเกวซ (Antonio Venus Rodriguez) เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอมากที่สุด (คนหนึ่ง) และในฐานะคณบดีผู้อาวุโสสูงสุดในบรรดาทูตานุทูตต่างประเทศทั้งหมด นายโรดิเกวซมีบทบาทไม่น้อยในการประสานทำความเข้าใจระหว่างทูตต่างประเทศและรัฐบาลไทยถึงความสำคัญของ "กิจการภายในประเทศ"

ประการที่หก ในช่วงระหว่างการชุมนุม ได้มีความพยายามจากหลายๆ ฝ่ายที่จะให้มีการเจรจาเพื่อหาทางยุติวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ว่ากันว่าสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยก (Rift) ในสังคมไทยที่ชัดเจนและร้าวลึกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จะขอเข้าเฝ้าฯ (Royal audience) พระเจ้าแผ่นดิน "พ่อหลวง" ของคนไทย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นพระวรกาย (Recuperate) ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทรงพระมหากรุณาธิคุณแก้ไข (Resolve) ปัญหาบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงความไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดึงสถาบัน (Royal institution) ที่คนไทยรักและเคารพเทิดทูน (Revere) มากที่สุด ลงมาเกี่ยวข้องกับทางการเมือง (Royal intervention)

ในขณะเดียวกัน ก็มีความพยายามและเรียกร้องให้ต่างประเทศเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางเจรจา โดยเฉพาะสหประชาชาติ องค์การอาเซียน หรือองค์การกาชาดสากล (Red Cross) แต่บทบาทของกัมพูชาในช่วงวิกฤตชาดนี้กลับชวนให้น่าสงสัยมิน้อย เพราะในด้านหนึ่ง มีการปรับเปลี่ยนท่าทีและนโยบายของนายกรัฐมนตรีฮุน เซนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นับตั้งแต่การประชุมพบปะที่หัวหินในช่วงต้นเดือนเมษายนอย่างคาดไม่ถึง และตลอดระยะเวลาสองเดือนของการชุมนุมคนเสื้อแดง กัมพูชาแทบจะไม่แสดงบทบาทใดๆ ที่เปิดเผยหรือสร้างความรำคาญใจให้แก่รัฐบาลไทยเหมือนก่อนหน้านี้ ที่ดูเหมือนว่าผู้นำกัมพูชาจะ "ถือหาง" คุณทักษิณอย่างชัดเจน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชากลับพยายามแสดงบทบาทอย่างกระตือรือร้นและล็อบบี้ให้อาเซียนยกระดับวิกฤตชาดในประเทศไทยให้เป็นปัญหาของภูมิภาค (Regional concern) เปิดทางให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ปรากฏว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย นอกจากนี้ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทหารกัมพูชามีบทบาทร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ก่อการร้ายชุดดำด้วย แต่รัสเซีย (Russia) กลับกลายเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ "19 พฤษภา" เพราะหมายกำหนดการเดินทางไปเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีในช่วงวันที่ 7-9 มิถุนายนต้องถูกเลื่อนออกไป

ประการที่เจ็ด แน่นอนที่สุดว่า "วิกฤตชาด 2553" ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เกิดจากต้นรากมูลเหตุ (Roots) หลายๆ ประการ

มูลเหตุอันดับแรกสุดก็คือ "ปัจจัยทักษิณ" เพราะนับตั้งแต่ถูกรัฐประหารโค่นล้มอำนาจทางการเมืองในเดือนกันยายน 2549 แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องหลบลี้หนีภัยอาศัยอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ (Ratchadaphisek) และยึดทรัพย์กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท กลายเป็นแหล่งเพาะความแค้น (Revenge) ที่รอการสนอง โดยมีเป้าหมายหลักสามประการคือ การกลับเมืองไทย (Return) การขอคืนทรัพย์สินที่ถูกยึด (Reclaim) และการได้รับอภัยโทษ (Royal pardon)

นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวย (Rich) และคนยากจนระดับรากหญ้าในชนบท (Rural) รวมทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคม ในเรื่องสิทธิ (Rights) ต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ "ลาวาแดง" ไหลทะลักพลุ่งพล่านปกคลุมสังคมการเมืองไทย ที่ถึงที่สุดแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อหักล้างทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย เพื่อพิสูจน์ว่า นอกจากจะเป็นผู้ตั้งรัฐบาลแล้ว คนต่างจังหวัดยังสามารถล้มรัฐบาลได้เช่นกัน

ประการที่แปด วิกฤตชาดครั้งนี้รุนแรงและร้ายแรงเกินกว่าที่จะปล่อยให้ผ่านไปเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งได้ คำกล่าวขอโทษและเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรจะต้องแสดงออกซึ่งความเสียใจสำนึกผิด (Remorse) ต่อสิ่งที่ได้กระทำและร่วมรับผิดชอบ (Responsibility) ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบทางแพ่ง ทางอาญาและทางการเมือง

ในด้านหนึ่ง มีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มคนเสื้อแดงตลอดเวลาให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง (Resign) เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อ 88 ชีวิตที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้ง

แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้แสดงออกซึ่งท่าทีที่ชัดเจนว่า ภายใต้แผนการโรดแมป (Roadmap) เพื่อการสมานฉันท์ (Reconciliation) แห่งชาตินั้น ผู้ร่วมชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่ จะได้รับการปฏิบัติตามแนวทางยุติฉันท์ (Restorative justice) เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ได้กระทำผิดกฎหมายใดๆ

ในขณะที่แกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็น "กบฏแดง" (Red rebel) คือผู้ก่อการร้ายที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ และจะต้องถูกลงโทษตามแนวทางทัณฑ์ฉันท์ (Retributive justice) นั่นคือคนผิดต้องรับโทษ โดยมีอดีตหัวหน้าพรรคผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเป็นเป้าหมายสำคัญแรกสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงระหว่างวิกฤติชาด มีข่าวลือ (Rumour) แพร่สะพัดว่า อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 กำลังเผชิญกับโรคร้ายแรงมะเร็งใกล้จะเสียชีวิต แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ณ เวลานี้ คุณทักษิณกลายเป็นคนสองสัญชาติเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกรตามกฎหมาย ภายหลังจากที่เข้าไปลงทุนร่วมทำธุรกิจกับกลุ่มเรสติส กรุ๊ป (Restis Group)

เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามการส่งพลเมืองมอนเตเนโกรไปดำเนินคดีในประเทศอื่น การร้องขอ (Request) ของทางการไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกัน การร้องขอให้องค์การตำรวจสากลออกหมายแดง (Red notice) เพื่อจับกุมคุณทักษิณในข้อหาก่อการร้าย อาจจะเป็นหนทางเดียวที่รัฐบาลไทยวาดหวังได้ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่าโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (Robert Amsterdam) ที่ปรึกษาทางกฎหมายชาวแคนาดาจะสามารถช่วยเหลือและสร้างข้อได้เปรียบให้คุณทักษิณได้มากน้อยแค่ไหน

จริงอยู่ คุณทักษิณอาจจะยอมรับคำขอจากนายมิลาน โรเซน (Milan Rocen) รัฐมนตรีต่างประเทศของมอนเตเนโกร ที่ให้หลีกเลี่ยงการใช้มอนเตเนโกรเป็นฐานเพื่อก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยอีก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทำให้เกิดภาวะ "แผ่นดินไหว" ที่สั่นสะเทือนการเมืองไทยมากที่สุดยอมสละ (Revoke) สัญชาติไทยตามคำท้าทายของนายกรัฐมนตรี

การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่ทำให้เกิดวิกฤตชาดที่รุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ทำให้โอกาสที่คุณทักษิณจะได้กลับเมืองไทยอย่างยิ่งใหญ่ ได้รับการต้อนรับบน "พรมแดง" (Red carpet) อย่างสมเกียรติจากกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่วาดฝันไว้นั้น เหลือน้อยมาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤตชาดครั้งนี้เป็นวิกฤตชาติที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สังคมไทยเคยประสบมา และไฟแห่งความแค้นความรุนแรงยังระอุอยู่ในหลายๆ พื้นที่ จนทำให้รัฐบาลอ้างเป็นเหตุผลของการคงไว้ซึ่งมาตรการควบคุม (Repression) และจำกัด (Restriction) สิทธิและเสรีภาพบางประการตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ ตลอดจนการใช้รถยนต์กันกระสุน Range Rover ของผู้นำในรัฐบาลและกองทัพ ที่สะท้อนถึงความไม่ปกติในบ้านเมือง แต่ในทางกลับกัน การร่วมมือร่วมแรงกันช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (Retailers) ที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตชาดก็เป็นสัญญาณที่ดีของพลังสังคม "สายรุ้ง" (Rainbow) หลากสีสัน

เพราะฉะนั้นแล้ว การปรองดองสมานฉันท์จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกสุดและเป็นเป้าหมายสูงสุดของประเทศ ณ เวลานี้ เพื่อที่จะสามารถสมานเยียวยา (Remedy) แผลแห่งความเกลียดชังและคับแค้นใจ (Resentment) ที่ร้าวลึกนี้ได้ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลและคนไทยโดยรวมต้องร่วมมือกัน (Reunite) ในการฟื้นฟู (Rehabilitate) และบูรณะ (Rebuild) ประเทศให้พลิกฟื้นขึ้นมา (Recover) เพื่อกอบกู้ (Restore) ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างหลักประกันว่าบ้านเมืองจะดำรงความเป็นนิติรัฐ (Rule of law) อย่างแท้จริงให้ได้ และที่จะขาดเสียมิได้ ก็คือการปฏิรูป (Reform) ทางการเมืองและสังคม เพื่อลดเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงในอนาคต

มิฉะนั้นแล้ว สังคมไทยจะมีสภาพที่ทรงกับทรุด (Relapse) ไม่ต่างจาก "คนป่วยแห่งเอเชีย"

โดย ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ
มติชนออนไลน์

นิรโทษกรรมสากล

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13

ภาย หลังรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และสั่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดง เมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

สื่อมวลชนต่างประเทศ กลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ วิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการตามมาตรฐานสากล

นายคลอดิโอ คอร์ดอน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ขอให้ยกเลิกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศสมาชิก

องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International หรือ AI) เป็นองค์กรอาสาสมัครระหว่างประเทศที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ขึ้นกับรัฐบาล การเมือง หรือความเชื่อทางศาสนาใดๆ

มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน แสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกละเมิด มีสำนักงานเลขานุการอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2504 โดยนายปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษ เขียนบทความเรื่อง “นักโทษที่ถูกลืม” ลงหนังสือพิมพ์ ดิ ออบเซอร์เวอร์

หลังเกิดเหตุการณ์นักศึกษาชาวโปรตุเกส 2 คน ทำความผิดด้วยการยกแก้วไวน์ฉลองอิสรภาพในร้านอาหารแห่งหนึ่งในโปรตุเกส ซึ่งขณะนั้นปกครองแบบเผด็จการ แล้วถูกจับกุม

บทความของนายปีเตอร์เผยแพร่ไปทั่วโลก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นขององค์การนิรโทษกรรมสากล ซึ่งใช้สำนักงานของนายปีเตอร์ ตั้งอยู่ศาลไมเตรอะ กรุงลอนดอน ทำเป็นสำนักงานขนาดเล็กและห้องสมุด

การประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกในเดือนก.ค.ปีเดียว กัน ผู้แทน 7 ประเทศจากเบลเยียม สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐ มีมติให้จัดตั้งองค์การสิทธิมนุษยชน เพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

10 ธ.ค.2504 ซึ่งตรงกับวันสิทธิมนุษยชน องค์กรจุดเทียนเล่มแรกที่โบสถ์เซนต์มาร์ติน-อิน-เดอะ-ฟิลด์ ในกรุงลอนดอน

ปี 2505 มีประชุมครั้งแรกที่ประเทศเบลเยียม และมีมติให้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ

ปีเดียวกัน AI มีส่วนร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์พิจารณาคดีเนลสัน แมนเดลา ผู้นำผิวดำของชาวพื้นเมืองแอฟริกาใต้ ที่ถูกรัฐบาลผิวขาวจับกุมคุมขังเป็นเวลา 27 ปี

ขณะนั้นแอฟริกาใต้ปกครองโดยคนขาว มีการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง

AI ทำวิจัยครั้งแรกเกี่ยวกับนักโทษ 210 คน ใน 7 ประเทศ และเริ่มต้นทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงคดีต่างๆ อีกมากมาย

2520 องค์การนิรโทษกรรมสากลได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ สำหรับการรณรงค์ต่อต้านการทรมาน

และปี 2521 ได้รับรางวัลองค์การสหประชาชาติ สาขาสิทธิมนุษยชน และมีสมาชิกกว่า 700,000 คน จากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

มีกลุ่มอาสาสมัครกว่า 6,000 คน ใน 70 ประเทศ

ถึงปี 2535 สมาชิกเพิ่มขึ้นทะลุหลักล้านคน

ปี 2541 ลงนามก่อตั้ง “ศาลาอาญาระหว่างประเทศ ตามธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลาอาญาระหว่างประเทศ”

ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2545

ล่าสุดเรียกร้องให้รัฐบาลซูดาน ปกป้องพลเมืองในดาร์ฟู ซึ่งตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมือง

ปี 2546 จัดตั้งองค์การนิรโทษกรรมสากล ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งขององค์การนิรโทษกรรมสากล

ล่าสุดพ.ค. ปี 2553 ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ไทย ให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

โลกเริ่มเข้าใจ

คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
โดย : กาหลิบ

วันฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ นับตั้งแต่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นมาจนบัดนี้ เป็นเส้นแบ่งสำคัญที่สุดเส้นหนึ่งในประวัติศาสตร์และสังคมไทย กรรมดีหรือกรรมชั่วบันดาลก็ไม่ทราบชัด แต่วิธีคิดและการกระทำของผู้เป็นเจ้าของประเทศไทยในครั้งนี้ได้แบ่งเมืองไทยออกเป็น ๒ ซีก หรือ ๒ ระบอบเสียแล้ว

นั่นคือ ระบอบอำมาตย์ทรราช และ ระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาชน
แบ่งแยกออกจากกันแล้วโยนกระดูกชิ้นใหม่ที่มีชื่อว่า ปรองดอง มาให้แย่งกันกัด เจตนาให้สังคมหมกมุ่นกับเรื่องนี้ จะได้ลืมมือเปื้อนเลือดของตนไปสักพัก

ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจจะวิ่งสู้ฟัดกันอย่างไรในนามนายแพทย์ประเวศ วะสี สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ วสิษฐ์ เดชกุญชร คณิต ณ นคร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหรือไพร่หลวงหน้าไหนก็ตามที คนส่วนใหญ่ของประเทศที่ประกอบด้วยรากหญ้า นายทุนชนิดสร้างตัวด้วยลำแข้ง พระสงฆ์ผู้ทรงศีล และผู้มีปัญญาที่ต้องการเลิกลัทธิโง่งมงายทุกคน เขาล้วนไม่ใส่ใจและไม่ร่วมสังฆกรรมที่ว่าด้วยการแย่งกระดูกชิ้นล่าสุดนี้ด้วย

เพราะเขาตระหนักดีว่ามิใช่สุนัขรับใช้ของใครและไม่ต้องเสนอหน้าพิสูจน์ตัวเองกับใคร

มวลชนของรัฐไทยใหม่ ต่างเข้าใจดีพอที่จะไม่ร่วมเล่นเกมตื้นๆ โง่ๆ ของเจ้าของประเทศอีกต่อไป การรวมตัวกันต่อต้านอำนาจมืดจึงเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ไม่ต้องอาศัยทุนรอนอะไรมากมายและสามารถประคองตัวไปได้นานเท่านาน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลัก

สิ่งที่น่าดีใจคือมวลชนไทยมิได้ตาสว่างอย่างโดดเดี่ยว แต่เสียงสำคัญจากหลายมุมโลกเริ่มสะท้อนว่าเขาเริ่มเข้าใจในความซับซ้อนของสังคมเผด็จการอำพรางแบบไทย เขาจึงจี้จุดที่เป็นหัวใจของเรื่องได้อย่างแม่นยำ อย่างคำอภิปรายในรัฐสภายุโรปที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอาวุธสงครามและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในฐานะผู้ถ่วงดุลและระงับข้อพิพาทอยู่หลายครั้ง

นี่ก็แว่วมาว่ารัฐสภาสหรัฐฯ หรือคองเกรสส์ ในซีกสภาผู้แทนราษฎร อาจจะร่วมกระชากหน้ากากทองคำของไทยออกมาเร็วๆ นี้เหมือนกัน หลังจากที่ได้เห็นภาพและรับข้อมูลเกี่ยวกับความโหดร้ายของวันฆ่าประชาชนอย่างกระจะตา

แหล่งข่าวใกล้ชิดเล่าเสริมว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอเมริกันคนหนึ่งดูคลิปภาพที่รถถังของกองทัพไทยพุ่งชนประชาชนมือเปล่าจนล้มแล้ว แล่นทับศีรษะจนสมองแตกกระจายคาที่ ถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่มันเทียนอันเหมินชัดๆ” ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่นว่าเขาขอเอาด้วยกับความพยายามใดๆ ในการไล่ล่าชายหญิงอำมหิตที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งเลือดครั้งนี้

แต่ความเข้าใจล่าสุดที่เป็นข่าว มีความสำคัญและลึกซึ้งยิ่ง กลับมาจากปากของผู้อำนวยการโครงการพัฒนาของสหประชาชาติ (UNDP) ผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์อยู่หลายสมัย นั่นคือนางเฮเล็น คล๊าค

เธอกล่าวที่กรุงฮานอย เวียดนามว่า พม่า ไทย เวียดนาม กำลังเผชิญกับอุปสรรคท้าทายในการพัฒนาประเทศ ไทยที่ประสบความก้าวหน้าในการขจัดปัญหาความยากจนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองกำลังขัดขวางการก้าวเดินไปข้างหน้า นับแต่เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อปี (ค.ศ.) ๒๐๐๖ ทำให้ไทยไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นเวลายาวนานกว่า ๓ ปีและการเมืองไร้ความมั่นคงนับตั้งแต่นั้น จำเป็นที่ไทยจะต้องมีการเจรจาแห่งชาติเกี่ยวกับวิธีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งจะต้องบริสุทธิ์และยุติธรรม โดยที่ประชาชนสามารถยอมรับผลเลือกตั้งที่ออกมาได้

หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้นำคนหนึ่งขององค์การสหประชาชาติเข้าใจอย่างถูกต้องว่า การยึดอำนาจในเมืองไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาวิกฤติการเมืองในขณะนี้

คดีความเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นเกือบทุกคดี การดูหมิ่นกษัตริย์และพระราชวงศ์ไทย ข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย การลุกขึ้นทวงสิทธิของมวลชน (โดยการประท้วงอย่างสันติ) และการสั่งฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓ มิให้ “เหตุ” ที่นำมาสู่วิกฤติ แต่เป็น “ผล” ของการยึดอำนาจในครั้งนั้นทั้งสิ้น

ใครเข้าใจเช่นนี้ได้ ก็จะไม่เสียเวลากับคดีความและความไร้สาระทั้งปวงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย แต่จะมุ่งถามคำถามว่าใครสั่งให้ยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งก็จะได้คำตอบลึกซึ้งไปถึงความฉ้อฉลในระบอบการปกครองปัจจุบันของไทย และเกิดปัญญามาก

มากกว่ารับข้อมูลจากสื่อมวลชนปัญญาอ่อนของไทย ซึ่งเต็มไปด้วยงานโฆษณาชวนเชื่อที่น่าเบื่อหน่าย เอาคนเก่าๆ มาแสดงอภินิหารบ้าๆ บอๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรสักนิดกับชีวิตชาวบ้าน

เอะอะขึ้นมาจะได้ไม่ซัดใส่ว่าประชาชนเป็นต้นเหตุอย่างที่ชอบทำกัน

ทัศนะของ เฮเล็น คล๊าค จึงเป็นกุญแจระดับโลกที่จะไขปริศนาและภาพลวงตาแบบไทยได้อย่างสำคัญ

นับเป็นก้าวแรกที่มีค่ามาก.

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนเราไม่มีใครล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก

๐ คนเราไม่มีใครล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก... “กุหลาบพิษ” ฝากให้ รัฐบาลมาร์คได้คิด กับสิ่งที่กำลังทำกำลังคิด ประเทศไทยไม่ใช่ของ “รัฐบาล” แต่เป็นของ “ประชาชน” ศอฉ. ฟังทางนี้หน่อย!! คนที่พูดชื่อ บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมายืนยันเต็มปากเต็มคำ ถึงวันนี้ผลกระทบจาก

การชุมนุมทางการเมืองช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีค่อนข้างจำกัด ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวเป็นปกติแล้ว!!.....๐ บัณฑิต นิจถาวร เชื่อมั่นตามหลักวิชาธนาคารชาติ ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ทำให้ภาคธุรกิจกลับมาขยายตัวเป็นปกติ คนไทยก็มีสิทธิ์ข้องใจ แล้วรัฐบาลไทยคณะนี้ จะมั่วนิ่มประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

ไปอีกโดยไม่มีกำหนด เพื่อวัตถุประสงค์อันใด??....๐ ถ้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการสร้างความปรองดองในชาติจริงแล้วไซร้ ก็ต้องหันหาปรึกษา สุเทพ เทือกสุบรรณ ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน กับ ยุบ ศอฉ. หันมาใช้ “อำนาจรัฐ” ในช่องปกติปราบปรามการสร้างความวุ่นวายถ้าจะมีขึ้นอีกได้อยู้แล้ว......๐

ราคาหุ้นของ “ไทยคม” สูงขึ้นมาจากเดิมอย่างชนิดที่เรียกว่า “พรวดพราด” อย่างที่เรียกกันว่า “ปั่นหุ้น” ในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากมี (การปล่อย) ข่าวว่า รัฐบาลไทยจะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจาก เทมาเส็ก เป็นเรื่องที่ “รกหู” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พอประมาณ??....๐ ก็โธ่!! ปัจจุบันอายุสัมปทานเหลือแค่ 11 ปี จะกลับมาเป็นของไทย?

แล้วรัฐบาลไทยจะไปซื้อกลับมาให้มันเสียเงินหลายพันล้านทำไม?? มาร์ค อภิสิทธิ์ คิดได้?? ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกรณีนี้??.....๐ “กุหลาบพิษ” ฟังแล้วก็คิดเหมือนคนมากมายในประเทศนี้คิด? กับคำยืนยันของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมายืนยัน แผนปรองดองของนายกรัฐมนตรี ไม่มีคำว่าปาหี่!!

แปลว่า ศอฉ.ก็จะเอาด้วย แต่ขอเวลาหา “ข้อสรุป” ซัก 3-4 สัปดาห์ เดือนเดียวเอง!......๐ สวยสวยรวยทรัพย์ อย่าง จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทายาทเบียร์สิงห์ เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ถ้าจะลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กรุงเทพฯในสีเสื้อประชาธิปัตย์ แทน ทิวา เงินยวง ผู้วายชนม์.....๐ จิตภัสร์ ชื่อเล่น "ตั๊น" เป็นบุตรสาว

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารระดับสูงค่ายเบียร์สิงห์ กับ ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ไฮโซชื่อดัง ผู้รับบทพระสุริโยทัย ในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ "สุริโยทัย" เมื่อ หลายปีก่อน....๐ ก็ขึ้นอยู่กับ องอาจ คร้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะประธานส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะเลือกใคร? กับอีก

“สองตัวเก็ง” ระหว่าง อภิรักษ์ โกษะโยธิน กับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์??.....๐ แต่ยามนี้ “หล่อเล็ก” อย่าง อภิรักษ์ โกษะโยธิน กำลัง “แรง” มาก ถึงขั้นมีชื่อในโผรัฐมนตรีจากการปรับ ครม. ครั้งหลังสุด แต่....ที่ ปชป.อาจไม่อยากเสี่ยงตอนนี้ เพราะกลัว “แผลเป็น” จะติดมาด้วย ช่วงที่เป็น ผู้ว่า กทม......๐ “กุหลาบพิษ”

อ่านเกมการเมืองยุค “นิว ปชป.” ถ้าไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซง โอกาสติดอันดับตัวเลือก 1 จะเป็นของ จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี สาวสวยที่สวยอย่าง “นางเอกหนัง” เป็นสเป๊คยอดนิยมของ ปชป. พระเอกเก่าที่เคยสอบตกหลายครั้งอย่าง พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ต้องทำใจ.

คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เล่นบทถนัด

ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง...ใครหนอ!..จะคาดคิด “สเปน” ซึ่งเป็นทีม “เต็งหนึ่ง”ใน ฟุตบอลโลก2010 ครั้งนี้..ว่ากันว่า มี นักฟุตบอลฝีเท้าดีมากที่สุดในทีม...มาพ่ายแพ้ทีม สวิตเซอร์แลนด์ ที่ชำนาญเรื่องทำ นาฬิกาส่งมาขายล้นมาบุญครอง..ด้านราคา “ต่อรอง”ไม่ต้องพูดถึงสูงลิบยังหา “คนรอง”มาเล่นยากส์!! ไม่น่าเชื่อ! เจ้าของสมญานามว่า “กระทิงดุ” จะแปรเปลี่ยนมาเป็น “กระจงหลงป่า” ในเวลาช่วงไม่ถึงสองชั่วโมง ทำเอา.“คนสเปน”ทำตาสะปอยละห้อย เดินกลับบ้านแบบ สะเปะสะปะ เพราะโดนเก็บ“สะแปร์”พับเพียบทั้งทีม!!

ในขณะที่ “คนไทย” ถูกประดาเมียโคตรโหดทั้งหลายเอา “ลูกฟุตบอล”มาต้มให้กินแทนข้าวเพราะดันหลงรักสเปน นี่..มันโง่หรือมันซวยวะเนี่ย!! เห็นได้อย่างชัดเจนว่าช่วงนี้คนไทยหายใจเป็น “ฟุตบอลโลก” ขอเอาหน้าซุกแนบกับ ทีวี. ตั้งแต่พระอาทิตย์ ลับขอบฟ้า..เรื่อยมาจนแสงพระอาทิตย์โผล่ในวันรุ่งขึ้น

พร้อมทั้งร้องเพลง “แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่” แล้วก็งัวเงียคว้าหา “โปรมแกรม”การแข่งขันเพื่อที่จะต่อสู้กันในต่อไป... “คนไทย”เป็นนักสู้ที่สู้ได้กับทุกทีมไม่เคยกลัวใครทั้งโลก ยิ่งเก่งเท่าไหร่ขอให้ต่อมาเยอะๆเถอะพ่อคุณ นี่คือช่วงแห่ง“บรมสุข”ของคนไทยและคนทั้งโลก!! ดังนั้น รัฐบาลของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

จะทำอะไรก็เร่งทำให้เสร็จในช่วงนี้ จะ เอาใครกับใครมา “ปรองดอง” ก็เร่งรีบทำซะ จะตั้งใครเข้ามาเป็นผู้ ควานหา “ความจริงกับคนตาย”ในการชุมนุมที่ผ่านมา จะเป็น คณิต ณ.นคร หรือ คณิต เขียวเซ็น นักร้องเก่า โปรดจงเลือกเอาตามถนัด จะใช้โอกาสนี้ ปฎิรูปประเทศไทย หรือ จะ ปฎิสังขร วัดไหน??

ก็เชิญ แต่..การขอ “กระชับพื้นที่ดาวเทียมคืน” นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา.. เพราะในขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ กำลังโกลาหลจากแหล่งข่าวของคนในประชาธิปัตย์ กว่าฝุ่นจะหายคลุ้ง..ต้องมี “เศรษฐี”เกิดใหม่หลายคน นี่คือบทถนัดของประชาธิปัตย์เขาละ..เชื่อหรือยัง“ตอเรส”!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์

‘เพื่อความมั่นคง’!!

‘เพื่อความมั่นคง’!!
แต่หลักฐาน สิ่งแวดล้อม พยาน ชี้เป้าไปแนวทางเดียวกัน เป็นการ “ฟันค่าต๋ง”?? การกระเปิ๊บ กระป๊าบ ขยับตัว ซื้อคืน “หุ้นไทยคม” ของ “รัฐบาลมาร์ค”นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สร้างวาทะกรรมน้ำลาย“ทักษิณขายสมบัติชาติ อภิสิทธิ์ซื้อสมบัดิชาติคืน” เครสนี้ ดีลนี้ แค่เกม “ปั่นหุ้น”... แมงเม่าบินวุ่น เข้าไปช้อนซื้อ จึงตายทั้งยืน เมื่อ “หุ้นไทยคม” ยืนกระปลก กระเปลี้ย ไม่ขยับ ไม่เขยื้อนตัว ...พอข่าว “อินไซด์เดอร์เทรดดิ้ง” หลุดออกมา “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” จะซื้อหุ้น ราคาถีบตัวไป ๕-๗ บาท อย่างเสร็จสรรพ!!! ปั่นหุ้นขึ้นมาหลอก... “แมงเม่า” ตายยกคอก?...ยังบอกเป็นเรื่อง “มั่นคง” อีกหรือครับ??
------------------------------

‘๓ จังหวัดภาคใต้’ ที่ไม่สงบ
ฆ่ารายวัน ระเบิดรายชั่วโมง คาร์บอมกันทุกนาที...คนไทยตายแล้วตายเล่า ไปอีกศพ ปมประเด็น “รัฐบาลมาร์ค” นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รู้เต็มอก และคอนโดมิเนี่ยมหัวใจทั้ง ๔ ห้อง “มาเลเซีย”หนุน ถ้าเพื่อนบ้านไม่ “อุ้มปีก”....เหล่ตาส่งซิก “ภาคใต้” สงบสุขไปนานแล้วล่ะคุณทั้งหมด ต้องสำรวจ เอกซ์เรย์ ดูว่า “ประเทศไทย” เรา มีการเหยียบตาปลาเขาหรือไม่..“มาเลเซีย” กับ “สิงคโปร์” เป็นขมิ้นกับปูนกัน..แต่ “ไทย” กับเอากระดิ่งมาแขวนคอ ให้ “สิงคโปร์” เช่าสนามบินอุดรธานี..ให้เช่าค่ายทหารกาญจนบุรี ฝึกทหารสิงค์โปร์ กันอย่างเต็มที่!! ถ้าเราหนุนสิงคโปร์..ภาคใต้คงลุกลามใหญ่โต..อภิโถ, ให้สิงคโปร์ เลิกเช่าแผ่นดินเราเสียที
------------------------------

สร้างมาตรฐาน เป็น ‘พวกอีแอบ’
เมื่อ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” โดย “อดีตรัฐมนตรีระนองรักษ์ สุวรรณฉวี” แห่งกระทรวงไอซีที ถูกปลดพ้นรัฐบาล “บอร์ด กสท.” บางคน ก็ทำตัวสุดแสบ ยกแม่น้ำทั้งห้า ขึ้นมาอ้าง อย่างเลิศเลอประเสริฐศรี.... เมื่อ “รัฐมนตรี” ที่แต่งตั้งมา ถูกปลด ก็ต้องลาออก เพื่อสร้างมาตรฐาน ให้ประดับไว้ในโลกา แท้ที่จริง บางคนรอส้มหล่น..... “เพื่อตน” จะวกหวน กลับมา ไม่รู้ว่า “กฤษดา กวีญาน” ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. กสท. โทรคมนาคม วัย 37 ฤดูฝน เด็กสร้างเด็กปั้น ของ “นิพนธ์ วิสิษฐ์ยุทธศาสตร์” นักการเมืองขาใหญ่ พรรค ปชป. รู้มั้ยว่าเป็นใคร?..อยากให้ “รัฐมนตรีไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว. ไอซีที ป้ายแดง อย่าเผลอไปตั้งอดีตบอร์ดเจ้าเล่ห์กลับเข้ามาใหม่..เพราะ “เขา” มีตำหนิอื้อซ่า ถูกร้องเรียน มีบัตรสนเท่ห์บานตะไท “รัฐมนตรีจุติ”ขอรับ..อย่าได้ตั้งบอร์ดเจ้าปัญหากลับ?....ท่านจะรับเสียงด่า ไม่ไหว??
----------------------------

ปลีกวิเวกสันโดษ!!
หายเข้ากลีบเมฆ งานสังคมระดับวีไอพี ระดับ ไฮโซ ไฮคราส .ปรากฏว่า “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีต รมว.คมนาคม ท่านงดหมด?? สุขภาพทางกาย คงระส่ำ? ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...อีกทั้ง สภาพคล่องทางการเงิน ก็ถูก “ศอออฉอ” ของ “เทพเทือก สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง อายัดบัญชีเรียบวุธ คนมีเงินเป็นถุงเป็นถัง..เมื่อสะตุ้งสตังค์ถูกยึด ก็ต้อง “เซ็งสุดสุด” อย่างไรก็ดี, อยากให้ “อดีตรัฐมนตรีสุริยะ” ทำใจให้สงบ อย่าคิดมาก เดี๋ยวสังขารสุขภาพ จะทรุดเอา ได้ง่าย ๆ !! อย่าไปหงุดหงิดกับสิ่งไม่ดี...ประเดี๋ยวร่างกายคุณพี่?....จะทรุดโทรมกว่านี้ จะบอกให้??
-----------------------------

เหมือน ‘ลดเพดานบิน’
ให้มาลงสมัคร เป็นผู้แทนมือสอง แทน “ทิวา เงินยวง” ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ถูกมะเร็งคร่าชีวิตไป มองยังไง๊....ยังไง ก็เป็นการดูหมิ่น เพราะ “หล่อเล็ก” อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. เป็นอนาคตเดี่ยวมือหนึ่ง ที่จะเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” และ“นายกรัฐมนตรี” ในวันข้างหน้า ..จะให้มาเป็น “มวยคั่นเวลา” เสียศักดิ์ศรี สนามเลือกตั้งซ่อม..ตะล่อมให้ “ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” ลงชิงธง ดีกว่าพี่ เพื่อเป็นการ วัดไอคิว วัดไอเดีย ความสามารถ ว่าใครมีกึ๊นส์ คมเฉือนคม ยิ่งกว่ากัน ..เพราะ “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” โฆษกพรรคเพื่อไทย แบะท่า สู้เลือกตั้งในสนามกรุงเทพฯ ครั้งนี้เต็มประตู เอา “หล่อเล็ก” ลงมาประกบ....เกิดแพ้ส่งผลกระทบ?...แง่ลบหมดนะสิหนู???
-----------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ราช (ไม่) ดำเนิน

ถูกเหมารวมว่า...โดนคณะกรรมการ ศอฉ. “กระชับพื้นที่” สำหรับเว็บบอร์ดการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “ราชดำเนิน” บอร์ดการเมืองแห่งนี้ได้ “ปิดตัว” เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนกับสภาวะทางการเมืองที่รุนแรงและประชาชนแตกแยกเป็นหลายฝ่าย ทำให้ราชดำเนินได้รับผลกระทบ...เกิดความเดือดร้อนต่อคอการเมือง

ทั้งคนมีสีและไม่มีสี...ซึ่งว่ากันว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดโครงการกระชับพื้นที่ วันนี้ “ราชดำเนิน” ได้กลับมาเปิดให้บริการบนโลกออนไลน์อีกครั้งเพื่อให้ผู้ที่ “คลั่งไคล้” การเมืองได้มารวมตัวแสดงความคิดเห็น แต่ทว่าได้มีการ “บัญญัติข้อห้าม” คือ ห้ามโต้เถียงเพื่อทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไปที่เดิม...ทุกคน

จึงทำได้เพียงแสดงความคิดในรูปแบบการเขียนบทความอภิปราย 1 คนสามารถโพสต์ได้วันละ 1 บทความ! คำถามจึงมีว่า...มันเกิดอะไรขึ้นกับราชดำเนินวันนี้? ทำไมเว็บไซต์ Pantip ต้องมาปฏิบัติ 2 มาตรฐานกับเฉพาะบอร์ดราชดำเนิน และทำไมเว็บไซต์ Pantip ต้องมากระชับพื้นที่ทางความคิด...ซึ่งประชาชนทุกฝ่าย

ต้องการพื้นที่ “สาธารณะ” เพื่อแสดงออกทางการเมือง หลายคนรู้สึกอึดอัดกับการที่ “ราชดำเนิน” ไม่ได้เป็น “ราชดำเนิน” เหมือนเช่นในอดีต...เสมือนพวกเขากำลังก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง และยอมสยบต่อผู้มีอำนาจในความมืด ประชาชนบางคนได้พูดระบายออกมาว่า...แล้วเรายังต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างนี้อีกต่อไปหรือ?

บ้านเมืองนี้เป็นเฉพาะของคนบางกลุ่มใครบางคน ใครจ้องหน้า “ดื้อด้าน” แสดงความต่อต้าน...คนเหล่านั้นจะมีอันเป็นไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...ไม่สามารถยืดอกเชิดชูอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างสงบสุข “ราชดำเนิน” คือสัญลักษณ์แห่งความเป็นประชาธิปไตย...แต่วันนี้ถูกเผด็จการเข้าครอบงำ

จนทำให้ประชาธิปไตยไม่ก้าวเดิน การที่ราชดำเนิน “ถูกเซ็นเซอร์” เป็นเพราะคนถือปืนที่มีอำนาจล้นฟ้ากลัว “คนเป็น” ที่พูดได้ออกมาไล่ล่าหา “ความจริง” ความกลัวทำให้เสื่อม...และถ้าราชดำเนินยังเป็นแบบนี้ สักวันต้องเสื่อมตาม...ไม่มีชื่อว่า “ราชดำเนิน” อีกต่อไป!

คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
ที่มา.บางกอกทูเดย์