ปัญหาสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษในพื้นที่มาบตาพุดมีต้นเหตุของปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก การเร่งส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลในอดีตอย่างไม่คัดสรร ประกอบกับความมักง่ายของโรงงานที่ระบายของเสียออกมาโดยไม่ได้กำจัดให้ถูกต้อง อีกส่วนหนึ่งที่นับเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดที่ไม่มีใครพูดถึง คือการที่บริษัทที่ได้รับอนุญาติให้กำจัดของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้มีการกำจัดของเสียขยะอุตสาหกรรมอย่างถูกวิธี เรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างมาก เพราะเหมือนกับนำปัญหาไปหมักไว้ ในที่สุดก็ส่งผลกับสภาพแวดล้อมอย่างที่เป็นอยู่ เหตุที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงแม้กระทั่งหน่วยงานที่รับผิดชอบที่จะต้องดูแลเรื่องนี้ยังปิดปากเงียบ ทั้งนี้ก็เพราะมีเหตุที่น่าเชื่อว่าบริษัทที่ได้รับสิทธิในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมเหล่านี้มีผู้ถือหุ้นเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในระดับบริหาร โดยที่ในอดีตบริษัทเหล่านี้เคยถูกปิดและคาดโทษมาก่อน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในส่วนของการเมือง ได้มีการเช็คบิลข้าราชการประจำที่ไปทำหน้าที่ปิดบริษัท เนื่องมาจากความบกพร่องของบริษัท ทำให้ข้าราชการเกรงกลัวและไม่กล้าแตะต้องบริษัทเหล่านี้ โดยที่บริษัทเลือกที่จะลดต้นทุนโดยการนำไปกลบฝังอย่างมักง่าย แทนที่จะไปเข้ากระบวนการกรรมวิธีอย่างที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งทำให้ขยะอุตสาหกรรมเหล่านี้ไหลกลับไปสู่ระบบนิเวศน์ และกลับไปสู่แหล่งน้ำและธรรมชาติต่างๆ
ที่แย่กว่านี้นักการเมืองที่มีอิทธิพลยังได้ใช้อำนาจบีบบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ถึงแม้จะมีระบบการกำจัดขยะอุตสาหกรรมของตนอยู่แล้ว ให้ต้องมาอุดหนุนใช้บริการของบริษัทกำจัดขยะเหล่านี้ หากไม่ทำตามนั้นแล้วก็จะถูกกลั่นแกล้งสารพัดวิธี โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าบริษัทกำจัดขยะเหล่านี้ก็ไม่ได้นำไปกำจัดให้ถูกต้อง ตามกรรมวิธีกลับทำให้มลภาวะเพิ่มขึ้นอย่างจงใจเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ผลประโยชน์ทับซ้อนในกระบวนการนี้ แย่กว่าผลประโยชน์ทับซ้อนที่เคยมีการพูดถึงกันในอดีต เพราะผลประโยชน์ทับซ้อนในอดีตก็เป็นเพียงการสร้างกำไรให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคมหรือมีผลกระทบในทางร้ายใดๆ แต่ในเรื่องนี้ผลประโยชน์ทับซ้อนได้ทำให้เกิดผลเสียโดยตรงกับสภาพแวดล้อม อีกทั้งยังทำให้ภาพใหญ่ของประเทศทางด้านการลงทุนต้องได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยเฉพาะจากการที่ศาลปกครองได้ออกมาระงับการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด ดังนั้นจึงอยากให้มีการตรวจสอบเบื้องหลังและประสิทธิภาพของบริษัทกำจัดขยะอุตสาหากรรม และต้องหาผู้ที่กระทำผิดอันเนื่องมาจากการขจัดขยะที่ผิดกรรมวิธีและผิดสัญญา จนเป็นที่เดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่ ตามที่ภาคประชาชนเคยมีการเรียกร้องทั้งในสระบุรีและที่อื่นๆ
เมื่อพูดถึงขยะอุตสาหกรรมที่ต้องกำจัดให้ถูกต้องแล้ว ผู้เขียนก็อยากจะให้มีการกำจัดขยะทางการเมืองที่ยังคงส่งกลิ่นเหม็นเป็นมลพิษมาตลอด จากการที่ได้นำเรื่องผิดปกติและความไม่ถูกต้องในการดำเนินการต่างๆออกมาตีแผ่ให้ทราบ ก็เพื่อหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศนี้ได้ เพราะปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน มีสาเหตุมาจากการลงทุนในซื้อเสียงเป็นจำนวนมาก และพยายามที่จะมาถอนทุนคืน และเตรียมสะสมเสบียง สำหรับอนาคตที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยนี้จะได้มีการพัฒนาการเมืองให้การเลือกตั้งมาจากความเชื่อถือในนโยบายและอุดนการณ์ของพรรค และเชื่อมั่นว่าพรรคการเมืองไหนจะสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ อีกทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจใหญ่ๆมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วย
ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองนี้เชื่อได้ว่า จะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับประชาชนและจะทำให้ประชาชนคิดได้ว่าจะต้องมีวิธีในการเลือกพรรคการเมืองแบบใด ที่ทำให้ตนองและครอบครัวอีกทั้งสังคมทั้งหมดมีความเป็นอยู่ดีขึ้นการเมืองในอนาคตจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินในการซื้อเสียงอีกต่อไป พรรคการเมืองใดที่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเลือกตั้ง ประชาชนจะต้องจดจำและลงโทษพรรคการเมืองเหล่านั้น เพื่อให้ระบบการเมืองและนักการเมืองเก่าๆที่ทำให้ประเทศเราล้าหลัง และล่มจมมา ต้องไม่ได้รับการนิยมและเลือกตั้งเข้ามา เพื่อที่จะมาเกาะกินหรือหากินเหมือนเก่าได้อีก พรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารจะต้องเข้ามาโดยการเลือกของประชาชนเพราะความเชื่อมั่นในนโยบายอย่างแท้จริง และพรรคการเมืองนั้นก็จะต้องสามารถตอบสนองตามความคาดหวังที่ประชาชนฝากมาให้เป็นจริงได้ ไม่ใช่แค่สัญญาเพียงลมปาก แต่ไม่เคยที่จะทำให้เป็นจริงได้เลย พรรคที่มีผลงานในอดีตที่สามารถดำเนินงานทางเศรษฐกิจให้ถูกใจประชาชนจะได้เปรียบอย่างมาก เพราะมีประวัติการทำงานที่เป็นที่เชื่อถือ ถ้าหากประเทศไทยสามารถพัฒนาไปในแนวทางนี้ได้ ก็จะทำให้การทุจริตและคอรัปชั่นลดลงจนกระทั่งหมดไป โดยเงินที่นักการเมืองนำไปใช้และเก็บเข้ากระเป๋านั้นจะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ และกำจัดความยากจนของประชาชนให้หมดไป เมื่อไรที่ประเทศนี้สามารถกำจัดขยะการเมืองเหล่านี้ได้ประเทศไทยก็จะเข้าสู่มิติใหม่ที่ประชาชนทุกคนรอคอยวันนี้ ขอฝันสักวันครับเพราะเชื่อว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
โดย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
คนชนบทเบื่ออยากให้ทุกอย่างจบ
สำนัก(ข่าว)พระพยอม
มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดก็ได้พบได้ผู้คุยกับชาวบ้านในหลากหลายท้องถิ่น ได้ถามทุกข์สุขความเป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร น่าแปลกใจว่าปีนี้ฝนน้อยแล้งน้ำ ที่ทำเกษตรกันก็เดือดร้อนกันระงม แต่ชาวบ้านบอกว่ามันชิน แต่การสูญเสียญาติเพื่อนพ้องจากการปะทะมันไม่ชิน
หลายวันมานี้อาตมาเดินทางไปจำวัดยังโครงการร่มโพธิ์แก้วสาขาต่างๆที่ตั้งอยู่ในหลายจังหวัด ได้สัมผัสกับความคิดและความเป็นอยู่ของคนบ้านนอก คนชนบท ว่าช่วงนี้เขารู้สึกหรือเดือดร้อนอะไรกันบ้าง ซึ่งก็พอรับรู้ว่ามีทั้งคุณและโทษที่เกิดกับพวกเขา ไม่ว่าจะในทางธรรมชาติหรือทางสังคม หลายคนยังมีสิ่งที่ค้างคาในใจจนไม่อยากไว้วางใจใครมากนัก เพราะสาเหตุมาจากความสูญเสียพรรคพวกเพื่อนพ้อง รวมทั้งคนกลุ่มที่ไม่สมหวังกับธรรมชาติที่ปีนี้ค่อนข้างโหดร้ายทารุณกับพวกเขามาก อันเกิดจากปัญหาภัยแล้ง เพราะแม้แต่ผักชีราคายังแพงไปถึงกิโลกรัมละ 300 บาท หลายคนเสียดาย ถ้ามีน้ำให้เพาะปลูกคงจะมีรายได้กลับมาบ้าง
ตามข่าวระบุว่าท่าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ได้หามาตรการแก้ไขวิกฤตน้ำ ได้ยินแล้วรู้สึกว่าคนเรานี้ประหลาด คิดแก้วิกฤตก็ต่อเมื่อวิกฤตมันเกิด และดูเหมือนว่าจะแก้ตอนที่วิกฤตทำลายไปแล้ว ตอนนี้ก็กำลังจะหมดไปเพราะฝนเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว น่าเสียดายว่าทำไมเพิ่งจะคิดได้
คนไทยมักไม่ชอบทำอะไรล่วงหน้า ไม่ชอบมองข้ามช็อต คนที่ทำงานข้ามช็อตมักไม่ค่อยมีให้เห็น มีอย่างเดียวก็คือรอเมื่อเรื่องมาแล้วค่อยทำ จนบางครั้งเหมือนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ความแห้งแล้งไม่มาเยือนก็เหมือนว่าเราไม่มีปัญหา แต่พอมันมาเยือนเราก็เพิ่งขมีขมัน ขยันขันแข็ง พูดจาเอาจริงเอาจัง
รู้สึกว่าทางจังหวัดจันทบุรีจะโชคดีอยู่บ้าง เพราะมีน้ำฝนลงมาทำให้ไม่ค่อยแล้ง ส่วนทางโครงการร่มโพธิ์แก้วทางภาคอีสานที่ก่อนหน้านั้นแล้งแต่ฝนก็เริ่มตกมาบ้างแล้วเหมือนกัน เท่าที่คุยกับชาวบ้านที่ถูกพิษภัยธรรมชาติเล่นงานเขาก็ยังพอทนได้ เพราะชิน โดนมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าครั้งนี้หนักหน่อย ถึงชาวบ้านจะบอกว่าหนักหนาอย่างไรก็ไม่เท่ากับการที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้องผองเพื่อนในช่วงเหตุการณ์ปะทะกันที่กรุงเทพฯ จนญาติพี่น้องหลายๆคนที่มาร่วมชุมนุมเจ็บปวด ยังเป็นความเศร้าที่ยังหลงเหลืออยู่
แต่รู้สึกว่าความเป็นคนไทยดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ เมื่อทุกข์โศกมาก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญเพื่อหวังให้จิตสงบ หวังให้ใจคลายเศร้า และยังเป็นการอุทิศบุญกุศลไปให้ญาติพี่น้องผองเพื่อนที่จากไป บางบ้านถึงกับพะว้าพะวงออกมาทำบุญจนไม่มีเวลาคิดถึงงานถึงการ เพราะกลัวญาติไม่ได้บุญได้กุศลจึงเน้นทำบุญกันเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็ยังมีเวลาวิพากษ์วิจารณ์กล่าวโทษถึงคนนั้นคนนี้ โทษทั้งรัฐบาล ทั้งทหาร โทษไอ้โม่ง ก็ยังสรุปกันไม่ได้ว่าตกลงใครทำ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านยังขุ่นข้องหมองใจกันอยู่
แต่เอาล่ะ เมื่อรัฐบาลบอกว่ามีความจริงใจที่จะปรองดองก็คงทำไม่ยาก เพียงขอให้ทำจริงและจริงใจ เพราะไปถามใครๆตอนนี้ก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเบื่อ เบื่อการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ อยากให้ความขัดแย้งเลิกๆกันไป หรือว่ายังสนุกสนานยังเพลิดเพลินกันอยู่ ยังยินดีปรีดากับเรื่องอย่างนี้กันต่อไปหรือเปล่า ถามอาตมาก็คงตอบว่าน่าจะพอกันเสียทีได้แล้ว
เรื่องการเผาบ้านเผาเมือง โดยเฉพาะเผาศาลาว่าการจังหวัด ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบ เพราะบางจังหวัดที่ไม่ถูกเผาก็บอกว่า เออดีนะที่คนในจังหวัดเรายังมีสติ ยังไม่พุ่งพล่านจนต้องมาเผาบ้านเผาเมือง เผาความรุ่งเรืองในท้องถิ่น ทำให้ข้าราชการต้องขาดที่ทำงาน ถือว่ามีการตื่นตัวกันมากพอสมควร โดยเฉพาะการพูดคุยถึงเรื่องม็อบว่า หากจะจัดม็อบต่อไปในอนาคตน่าจะทำกันในรูปแบบไหน ควรอยู่ในกรอบแค่ไหนถึงจะไม่เกิดความเสียหาย ตรงนี้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีถ้าคนไทยเริ่มคิดว่าทำอย่างนี้มันผิด ต้องทำอย่างนั้นถึงจะถูก หรือไม่ก็บอกว่าหากจัดม็อบควรทำให้อยู่เป็นที่เป็นทาง เป็นขอบเขต ไม่ใช่ใครจะทำก็ทำ แล้วที่สุดก็สร้างความเสียหายก่ายกอง ถือว่าได้ฟังความคิดที่เป็นส่วนดีของชาวบ้านที่มีทัศนคติ มีมุมมอง
หากมีการจัดม็อบขึ้นมาแล้วไม่ไปทำให้ใครต้องเดือดร้อน เรียกร้องกันในกรอบกติกา ตรงนี้ก็น่าจะมอบรางวัลให้ เหมือนกับกีฬา ถ้าเล่นอยู่ในกรอบกติกายังมีรางวัลแฟร์เพลย์มอบให้ ทหารเองหากต้องมาคุมม็อบในอนาคต เจอม็อบในรูปแบบนี้ก็คงจะจับไม่ลง
พูดถึงเรื่องตำรวจ-ทหารแล้วนึกขึ้นได้เลยขอเล่าให้ฟัง เพราะอาตมาเหมือนกับว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะในสมัยยังมีการชุมนุมตอนนั้นรัฐบาลเรียกกำลังตำรวจมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาคุ้มกันความปลอดภัยให้กับม็อบ และตำรวจกลุ่มนี้ที่มาจากมุกดาหาร นครพนม หนองคาย เขาไม่มีที่พักก็เลยประสานขอมาพักที่วัดสวนแก้ว อาตมาก็อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และที่ทางก็มีมากพอ แต่ปรากฏว่าเหมือนผีซ้ำด้ำพลอย เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเอาไปลงข่าวว่าพระพะยอมเลี้ยงตำรวจมะเขือเทศ เป็นตำรวจเสื้อแดงไว้เต็มวัด มาอยู่วันสองวันก็กลับ รอผลัดเปลี่ยนกำลัง ญาติโยมที่ได้เห็นก็ว่ากันไป
พอกันเสียที อย่าระแวงกันมากมาย ควรมองว่านั่นมันความจำเป็นของการต้องมีที่พักอาศัย ช่วยได้ก็ช่วยกันไป อย่าไปเขียนข่าวกันโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม สื่อเสรีภาพในการเสนอก็เอากันเต็มที่ ไม่ว่ากัน แต่สื่อเองก็อย่าขาดศีลธรรม จริยธรรม ในความเป็นสื่อ จะลงอะไรก็ให้ดูข้อเท็จจริงให้รอบด้าน อย่าไปเหมาแล้วนั่งเทียนเขียนเอา ผลเสียจะตกอยู่กับผู้ที่สื่อเขียนถึง ถูกผิดอย่างไรสื่อก็ลอยตัว ไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบ อย่างไรก็ขอให้เบาๆมือหน่อย อย่าเขียนอะไรที่เป็นการเติมเชื้อให้คนเราเกลียดกันมากกว่านี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
เจริญพร
**********************************************************************
มีโอกาสเดินทางไปต่างจังหวัดก็ได้พบได้ผู้คุยกับชาวบ้านในหลากหลายท้องถิ่น ได้ถามทุกข์สุขความเป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร น่าแปลกใจว่าปีนี้ฝนน้อยแล้งน้ำ ที่ทำเกษตรกันก็เดือดร้อนกันระงม แต่ชาวบ้านบอกว่ามันชิน แต่การสูญเสียญาติเพื่อนพ้องจากการปะทะมันไม่ชิน
หลายวันมานี้อาตมาเดินทางไปจำวัดยังโครงการร่มโพธิ์แก้วสาขาต่างๆที่ตั้งอยู่ในหลายจังหวัด ได้สัมผัสกับความคิดและความเป็นอยู่ของคนบ้านนอก คนชนบท ว่าช่วงนี้เขารู้สึกหรือเดือดร้อนอะไรกันบ้าง ซึ่งก็พอรับรู้ว่ามีทั้งคุณและโทษที่เกิดกับพวกเขา ไม่ว่าจะในทางธรรมชาติหรือทางสังคม หลายคนยังมีสิ่งที่ค้างคาในใจจนไม่อยากไว้วางใจใครมากนัก เพราะสาเหตุมาจากความสูญเสียพรรคพวกเพื่อนพ้อง รวมทั้งคนกลุ่มที่ไม่สมหวังกับธรรมชาติที่ปีนี้ค่อนข้างโหดร้ายทารุณกับพวกเขามาก อันเกิดจากปัญหาภัยแล้ง เพราะแม้แต่ผักชีราคายังแพงไปถึงกิโลกรัมละ 300 บาท หลายคนเสียดาย ถ้ามีน้ำให้เพาะปลูกคงจะมีรายได้กลับมาบ้าง
ตามข่าวระบุว่าท่าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ได้หามาตรการแก้ไขวิกฤตน้ำ ได้ยินแล้วรู้สึกว่าคนเรานี้ประหลาด คิดแก้วิกฤตก็ต่อเมื่อวิกฤตมันเกิด และดูเหมือนว่าจะแก้ตอนที่วิกฤตทำลายไปแล้ว ตอนนี้ก็กำลังจะหมดไปเพราะฝนเริ่มตกลงมาบ้างแล้ว น่าเสียดายว่าทำไมเพิ่งจะคิดได้
คนไทยมักไม่ชอบทำอะไรล่วงหน้า ไม่ชอบมองข้ามช็อต คนที่ทำงานข้ามช็อตมักไม่ค่อยมีให้เห็น มีอย่างเดียวก็คือรอเมื่อเรื่องมาแล้วค่อยทำ จนบางครั้งเหมือนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ความแห้งแล้งไม่มาเยือนก็เหมือนว่าเราไม่มีปัญหา แต่พอมันมาเยือนเราก็เพิ่งขมีขมัน ขยันขันแข็ง พูดจาเอาจริงเอาจัง
รู้สึกว่าทางจังหวัดจันทบุรีจะโชคดีอยู่บ้าง เพราะมีน้ำฝนลงมาทำให้ไม่ค่อยแล้ง ส่วนทางโครงการร่มโพธิ์แก้วทางภาคอีสานที่ก่อนหน้านั้นแล้งแต่ฝนก็เริ่มตกมาบ้างแล้วเหมือนกัน เท่าที่คุยกับชาวบ้านที่ถูกพิษภัยธรรมชาติเล่นงานเขาก็ยังพอทนได้ เพราะชิน โดนมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าครั้งนี้หนักหน่อย ถึงชาวบ้านจะบอกว่าหนักหนาอย่างไรก็ไม่เท่ากับการที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้องผองเพื่อนในช่วงเหตุการณ์ปะทะกันที่กรุงเทพฯ จนญาติพี่น้องหลายๆคนที่มาร่วมชุมนุมเจ็บปวด ยังเป็นความเศร้าที่ยังหลงเหลืออยู่
แต่รู้สึกว่าความเป็นคนไทยดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ เมื่อทุกข์โศกมาก็หันหน้าเข้าวัดทำบุญเพื่อหวังให้จิตสงบ หวังให้ใจคลายเศร้า และยังเป็นการอุทิศบุญกุศลไปให้ญาติพี่น้องผองเพื่อนที่จากไป บางบ้านถึงกับพะว้าพะวงออกมาทำบุญจนไม่มีเวลาคิดถึงงานถึงการ เพราะกลัวญาติไม่ได้บุญได้กุศลจึงเน้นทำบุญกันเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็ยังมีเวลาวิพากษ์วิจารณ์กล่าวโทษถึงคนนั้นคนนี้ โทษทั้งรัฐบาล ทั้งทหาร โทษไอ้โม่ง ก็ยังสรุปกันไม่ได้ว่าตกลงใครทำ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านยังขุ่นข้องหมองใจกันอยู่
แต่เอาล่ะ เมื่อรัฐบาลบอกว่ามีความจริงใจที่จะปรองดองก็คงทำไม่ยาก เพียงขอให้ทำจริงและจริงใจ เพราะไปถามใครๆตอนนี้ก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเบื่อ เบื่อการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ อยากให้ความขัดแย้งเลิกๆกันไป หรือว่ายังสนุกสนานยังเพลิดเพลินกันอยู่ ยังยินดีปรีดากับเรื่องอย่างนี้กันต่อไปหรือเปล่า ถามอาตมาก็คงตอบว่าน่าจะพอกันเสียทีได้แล้ว
เรื่องการเผาบ้านเผาเมือง โดยเฉพาะเผาศาลาว่าการจังหวัด ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบ เพราะบางจังหวัดที่ไม่ถูกเผาก็บอกว่า เออดีนะที่คนในจังหวัดเรายังมีสติ ยังไม่พุ่งพล่านจนต้องมาเผาบ้านเผาเมือง เผาความรุ่งเรืองในท้องถิ่น ทำให้ข้าราชการต้องขาดที่ทำงาน ถือว่ามีการตื่นตัวกันมากพอสมควร โดยเฉพาะการพูดคุยถึงเรื่องม็อบว่า หากจะจัดม็อบต่อไปในอนาคตน่าจะทำกันในรูปแบบไหน ควรอยู่ในกรอบแค่ไหนถึงจะไม่เกิดความเสียหาย ตรงนี้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีถ้าคนไทยเริ่มคิดว่าทำอย่างนี้มันผิด ต้องทำอย่างนั้นถึงจะถูก หรือไม่ก็บอกว่าหากจัดม็อบควรทำให้อยู่เป็นที่เป็นทาง เป็นขอบเขต ไม่ใช่ใครจะทำก็ทำ แล้วที่สุดก็สร้างความเสียหายก่ายกอง ถือว่าได้ฟังความคิดที่เป็นส่วนดีของชาวบ้านที่มีทัศนคติ มีมุมมอง
หากมีการจัดม็อบขึ้นมาแล้วไม่ไปทำให้ใครต้องเดือดร้อน เรียกร้องกันในกรอบกติกา ตรงนี้ก็น่าจะมอบรางวัลให้ เหมือนกับกีฬา ถ้าเล่นอยู่ในกรอบกติกายังมีรางวัลแฟร์เพลย์มอบให้ ทหารเองหากต้องมาคุมม็อบในอนาคต เจอม็อบในรูปแบบนี้ก็คงจะจับไม่ลง
พูดถึงเรื่องตำรวจ-ทหารแล้วนึกขึ้นได้เลยขอเล่าให้ฟัง เพราะอาตมาเหมือนกับว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะในสมัยยังมีการชุมนุมตอนนั้นรัฐบาลเรียกกำลังตำรวจมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาคุ้มกันความปลอดภัยให้กับม็อบ และตำรวจกลุ่มนี้ที่มาจากมุกดาหาร นครพนม หนองคาย เขาไม่มีที่พักก็เลยประสานขอมาพักที่วัดสวนแก้ว อาตมาก็อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และที่ทางก็มีมากพอ แต่ปรากฏว่าเหมือนผีซ้ำด้ำพลอย เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเอาไปลงข่าวว่าพระพะยอมเลี้ยงตำรวจมะเขือเทศ เป็นตำรวจเสื้อแดงไว้เต็มวัด มาอยู่วันสองวันก็กลับ รอผลัดเปลี่ยนกำลัง ญาติโยมที่ได้เห็นก็ว่ากันไป
พอกันเสียที อย่าระแวงกันมากมาย ควรมองว่านั่นมันความจำเป็นของการต้องมีที่พักอาศัย ช่วยได้ก็ช่วยกันไป อย่าไปเขียนข่าวกันโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม สื่อเสรีภาพในการเสนอก็เอากันเต็มที่ ไม่ว่ากัน แต่สื่อเองก็อย่าขาดศีลธรรม จริยธรรม ในความเป็นสื่อ จะลงอะไรก็ให้ดูข้อเท็จจริงให้รอบด้าน อย่าไปเหมาแล้วนั่งเทียนเขียนเอา ผลเสียจะตกอยู่กับผู้ที่สื่อเขียนถึง ถูกผิดอย่างไรสื่อก็ลอยตัว ไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบ อย่างไรก็ขอให้เบาๆมือหน่อย อย่าเขียนอะไรที่เป็นการเติมเชื้อให้คนเราเกลียดกันมากกว่านี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
เจริญพร
**********************************************************************
บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา: นักประวัติศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
20100609 ChupitchTV72 from prachatai on Vimeo.
ตอน: นักประวัติศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
"ChuPitch TV" คืนจอหลังหายหน้าหายตาไป 2 เดือน
โดยตอนล่าสุด "พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์" สัมภาษณ์ "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" หลังได้รับอิสรภาพจาก ศอฉ.
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เสนาะ VS ชำนิ ใครห่วย?

เพื่อไทย” รวมกับ “ประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาลแห่งชาติแนวความคิดที่นำเสนอออกมาแบบตรงๆ จากปากของท่านผู้เฒ่าการเมือง “เสนาะ เทียนทอง” ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ “ป๋าเหนาะ”
ออกอาการโหยหา ความปรองดองสมานฉันท์ อย่างเห็นได้ชัด...ที่ต้องการจะ ปฏิวัติสังคมไทยแต่การจะ พลิกขั้ว สูตรรัฐบาลใหม่อย่างขั้วการเมืองท่านนี้กล่าวอ้าง...ในบ้านเมืองยามนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ “เป็นไปไม่ได้”น้ำกับน้ำมัน...เอามารวมกันไม่ได้!!เพราะทั้ง 2 พรรคต่างเป็น “แกนหลัก” ที่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหากมีการเลือกครั้งใหม่...เชื่อว่า ส.ส.ในมือ..รวมกับประชาชนในมือ ย่อมมีจำนวนใกล้เคียงกัน...เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างกุมฐานเสียงได้ในพื้นที่ตั้งของตนข้อเท็จจริง...หากเป็นพรรคเดียวที่สามารถ “ผูกขาด”ดึงเอาพรรคร่วมมาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเอง...เป็นเรื่องที่ไม่ดีกว่าหรือ??ซ้ำร้ายการตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ จะทวี ความน่ากลัว ของการแบ่งแยกประเทศ...แบ่งแยกประชาชนให้เห็นเป็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นกล่าวได้ว่า...เมื่อถึงที่สุดในยุคที่บ้านเมืองไร้ทางออก...นักการเมืองของทั้ง 2 พรรค ก็ยังพอทำใจได้...หากตกลง ผลประโยชน์ กันได้วิน...วินตามพฤติกรรมนักการเมืองจำนวนไม่น้อย ที่คิดแต่หาผลประโยชน์ใส่ตน โดยละทิ้งผลประโยชน์ของส่วนรวมแต่กับ “ประชาชน” ทั้งประเทศ...ที่พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตเกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับ การเมือง...ผู้มีสิทธิ์มีเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่...ได้ตัดสินใจเลือกพรรคและเลือกนักการเมืองจากผู้สมัครของ สองพรรคใหญ่ซึ่งได้ผูกขาดมาหลายยุคหลายสมัยที่ “ประชาธิปัตย์” กับในยุคหลังซึ่งเป็นพรรคของอดีตนายกฯ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”ไล่มาตั้งแต่ ไทยรักไทย...จนมาถึงพรรคนอมินีอย่าง พลังประชาชนและ เพื่อไทย
ประชาชนเขาเลือกเพียง “พรรคเดียว” ต้องการนายกรัฐมนตรี “คนเดียว” ไม่ต้องการเลือกเอาทั้ง 2 พรรค หรือมีนายกฯ 2 คนข้อเสนอของ “เสนาะ เทียนทอง” ในบรรยากาศการประชุมเพื่อหาทางออกในการแก้วิกฤติทางการเมืองเมื่อเร็วๆ นี้มีคู่มวย คู่คี่สูสี คือ อีกหนึ่งกรรมการสมานฉันท์ “ชำนิศักดิเศรษฐ์” ส.ส.สัดส่วน ประชาธิปัตย์แม้ทั้ง 2 คน จะมีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมานฉันท์แต่ก็เป็น สมานฉันท์คนละแนว ขัดแย้งโต้เถียงใส่กันอย่างดุเดือด“ป๋าเหนาะ” ชงให้ ประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล โดยกล่าวว่า“...ผมไม่ต้องการให้ไทยเหมือนเขมร ล้มล้างสถาบันฆ่ากันไม่พอ เอาเวียดนามมาด้วย บัวเหนือน้ำฆ่าทิ้งหมดและเขาแก้ปัญหากันยังมีนายกฯ 2 คนเลย...ทำไมเราทำไม่ได้ ธงพรรคประชาธิปัตย์และธงของพรรคเพื่อไทยหากเอาด้วยจบเลย”พอพูดเสร็จไม่นาน “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” ได้ลุกขึ้นตอบโต้“ป๋าเหนาะ” อย่างดุเดือดว่า“เรื่องที่เสนอเท่ากับ ฮั้วการเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ประชาธิปัตย์ และ เพื่อไทย ความขัดแย้งได้พัฒนาก่อนการรัฐประหาร มันได้พัฒนาต่อเนื่องรุนแรงหนักหน่วงมาตลอด”แต่เมื่อดูจากหลากกระแสหลายประเด็น...นอกจาก “ชำนิ” แล้ว ยังมีคนในประชาธิปัตย์อีกหลายคนที่นัดพบปะกันเป็นกลุ่มย่อยนำเรื่องนี้ไปพูดอย่างสนุกสนานว่า“รัฐบาลแห่งชาติ” เป็นรัฐบาลชาติไหน??
หากตั้งแล้ว...ประเทศชาติบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขจริงๆ อย่างนั้นหรือ เกรงว่า...มันจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงไปถึงประชาชน...คนภาคเหนือ ใต้ อีสาน ออก ตก กลับยิ่งต้องหัวปั่น...ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ผู้มีอำนาจกำลัง ยัดเยียดให้ด้วยความไม่เต็มใจรัฐบาลแห่งชาติ...ที่ป๋าเหนาะภูมิใจนำเสนอ เป็นความคิดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการ “แบ่งแยกประเทศ”ยิ่งพักนี้มีกระแสความคิด แบ่งแยกประเทศไทย เป็นไทยเหนือ และ ไทยใต้ ดูเหมือนจะพูดกันเป็นเรื่องตลก...เรื่องพูดเล่นหรือประชดประชันแต่ที่น่ากลัว คือ มีการพูดถึงกันมากขึ้น...ยกตัวอย่าง...อุทาหรณ์ สงครามการเมือง ในประเทศ“เคนยา” ที่ลุกลามบานปลายไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพราะคำว่า “การเมือง” คำเดียวแท้ๆบางทีความคิดเห็นของผู้เฒ่า “ยุคอะนาล็อก” ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับโลก “ยุคดิจิตอล” ได้เสมอไป...การนำมาใช้ต้องเป็นการนำมา “ประยุกต์” ไม่ใช่ยึดติดกับความคิด มาตรฐานเดิมของตนคนแก่เก่าเล่าความหลัง...จนบางครั้งก็เกิด “ช่องว่าง” ซึ่งบางคนอาจรับกับ แนวความคิด ของท่านไม่ได้แต่ก็ต้องย้อนถาม “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” กลับไปว่า เมื่อไม่ตั้งรัฐบาลแห่งชาติแล้ว...ประชาธิปัตย์ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศนำทีมโดยนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งเช่นนี้ “ประชาธิปัตย์”จะสามารถนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่า “ประชาธิปัตย์” ก็คือส่วนหนึ่งที่สังคมยังมองว่า...เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงของประชาชนเป็นเพียงรัฐบาลที่ขึ้นมาเพราะได้รับการ “โหวตเสียงลงคะแนน” จาก ส.ส.ในสภาฯ ซึ่งมีการ ล็อบบี้ กับ วิ่งเต้นจนเป็นที่มาของ “รัฐบาลไฮแจ็ค”“ชำนิ” ในฐานะลูกหม้อประชาธิปัตย์...ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคการเมืองของตนนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญแต่อย่าลืมคิดว่า...ถ้ายังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ต่อไปฝ่ายหนึ่งทำอะไรผิดหมด อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรถูกหมด...แม้ไม่อยากแบ่งแยก…แต่ในที่สุดคงแบ่งแยกกันโดยปริยายเพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนยอมให้กดขี่ตลอดไป“ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” รู้อยู่เต็มอกว่า...กว่า “อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ” จะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “ประชาธิปัตย์”ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักแทบตายเพียงใดพอขึ้นมาเป็นรัฐบาลเริ่มปฏิบัติหน้าที่ดำเนินงาน...ซึ่งประชาธิปัตย์เองรู้ดีถึงสถานการณ์ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองไม่สงบแต่เมื่อก่อนนี้ตั้งมาตรฐานไว้ว่า...“ถ้ามีคนมาชุมนุมขับไล่มากๆ เป็นผม ผมลาออก” ทว่า ปัจจุบันจำเป็นต้องตั้งมาตรฐานใหม่ว่า...
“ถ้าคนมาชุมนุมขับไล่นับแล้วหากมาไม่ครบ 65 ล้านคน...อย่าหวังว่าผมจะลาออกให้เมื่อยตุ้ม!”รอไปก่อนก็แล้วกัน ประเทศนี้ไม่ใช่ของตนคนเดียว พังเป็นพัง...ขออยู่ต่อให้หายอยากก่อนก็แล้วกันเป็นปัญหาที่แม้แต่ “ประชาธิปัตย์” เองก็ยังแก้ไม่ตก...แล้วจะเรียกให้ประชาชนหันหน้ามา “ศรัทธา” ได้อย่างไรเมื่อผู้มีอำนาจในคณะกรรมการสมานฉันท์ยังมี ความเห็นขัดแย้ง และยังเป็นการยกเอาเหตุผลซึ่งดูแล้วจะ “เข้าข้าง”ทางฝักฝ่ายพรรคพวกตัวเองประเทศชาติมันก็ยิ่ง “แตกแยก”หากวันหนึ่ง...มี อัศวินขี่ม้าขาว มาเสนอแนวคิดแบบอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย คือ แต่ละรัฐหรือเขตการปกครองมีรัฐบาลท้องถิ่น แล้วก็มีรัฐบาลกลางร่วมกันโดยมีรัฐบาลกลางดูแลเรื่อง คมนาคม การทหาร และสาธารณสุข เป็นต้น เป็นกิ่ง เป็นใบ เป็นราก แล้วแต่อยากจะเป็นประชาชนต้องการใจจะขาด...แต่ผิดกับผู้มีอำนาจที่ไม่คิดกระทำ เพราะผลประโยชน์ไม่รู้ไปตกอยู่ในมือใครอาการโหยหา “คนดี” กับ “ปฏิวัติสังคมไทย” เป็นสิ่งที่ยังต้อง เรียกร้อง กันต่อไปการเสนอความคิดเห็น...การตอบโต้ของคณะกรรมการสมานฉันท์ ทั้ง “เสนาะ เทียนทอง” และ “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์”เราในฐานะคนไทยจำเป็นต้องคิดตามใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ นักการเมือง หรือ ประชาชนสรุปแล้วโต้วาทีคราวนี้ เสนาะ VS ชำนิ เสียมวยพอๆ กัน!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................
ความถดถอยของอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย?
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
นิสิตปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาผมรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..
หลังจากการชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจบสิ้นลงพร้อมกับเพลิงพิโรธในจุดต่างๆรอบ พื้นที่การชุมนุมและบางพื้นที่ใน
เขตที่มั่นแดงต่างจังหวัด ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้ (11 มิย 2553) ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงยังไม่นิ่ง รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนอาจพิการตลอดชีวิต ..
ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์โดยตรงเพราะพาตัวเองเข้าพื้นที่ปะทะในวันที่เสธแดงถูกยิงวันที่ 13 พค 53 จนถึง 14 พค 53 ต่อเนื่องกัน 2 วัน ในวันสุดท้ายที่ผมอยู่ในพื้นที่ตอนกลางวันผมเห็นทหารเต็มไปหมด ถนนแทบทุกเส้นรอบพื้นที่ชุมนุมปิดตาย การจะเข้าพื้นที่ได้ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะเข้าไปทางชุมชนใกล้ๆบริเวณนั้น ..
คืนวันที่เสธแดงถูกยิงเป็นวันที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต เพราะหลังจากที่เสธแดงถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็มีการปะทะกันทั้งคืน ในห้วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเสธแดงถูกยิง ในพื้นที่บังเกอร์แดงโซนศาลาแดงถูกกลุ่มกระสุนปืนลึกลับยิงสวนเข้ามาในค่าย ทำให้ผมเห็นคนล้มลง 2 คน หนึ่งในนั้นหัวสมองกระจายเรี่ยราดบนพื้นถนน ตัวผมเองก็เกือบถูกลูกปืนพุ่งใส่ขาซ้ายซึ่งกระสุนลูกนั้นวิ่งผ่านขาผมไปดัง "ฟึ่บ!!" ไปกระแทกกับพื้นถนนเป็นรู ลูกปืนมาจากด้านบนแน่นอนเพราะวิธีกระสุนเฉียงจากที่สูง ..
สถานการณ์ ตอนนั้นแย่มากจนผมต้องถอยไปตั้งหลักยังหลังเวทีราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ ยังมีการปั่นไฟใช้สว่างไสว (โซนบังเกอร์ศาลาแดงมืดทั้งแถบ) ตลอดทั้งคืนผมได้ยินเสียงปืนประปราย เป็นคืนอันยาวนานสำหรับผมในพื้นที่สงครามเช่นนี้ ..
วันต่อมาผม พยายามลัดเลาะเข้าพื้นที่ราชประสงค์อีกแต่อยู่ได้เพียงครึ่งวันผมต้องพาตัว เองออกมา การข่าวของผมแจ้งว่าจากวันนี้ไป (14 พค 53) ทหารจะเข้ากวาดล้างในพื้นที่ ..
ระหว่างวันที่ 17-19 พค 53 เป็นวันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของสยาม การเข้ากวาดล้างคนเสื้อแดงของทหารรัฐบาลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมในนาม "การกระชับพื้นที่" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฎิเสธความรุนแรงอันเกิดจากการล้อมปราบของรัฐบาลได้ ..
หลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างประชาชนและทหาร รัฐบาลก็ตามไล่กระทืบซ้ำพี่น้องเสื้อแดงทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน มีการบุกจับแกนนำแดงทั่วประเทศ แกนนำบางส่วนหนีไป บางส่วนถูกยิงตาย บางส่วนเข้ามอบตัว หลายส่วนเตรียม "ยุทธศาสตร์" สำหรับครั้งต่อไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง ..
มวลชนพี่น้องเสื้อแดง หลายพื้นที่เท่าที่ตัวผมได้สัมผัสโดยตรง ภาคตะวันออกมี ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี ตราด อีสานมี อุบล ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ยโสธร อุดร ในขณะนี้อยู่ในสภาพโกรธแค้นชิงชัง สับสน และกำลังใจหดหู่ ส่วนในระดับแกนนำท้องถิ่นนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขากล่าวกับผมว่า "ครั้งต่อไปจะนองเลือดกว่านี้ และประชาธิปไตยจะต้องชนะ" ..
ผมแน่ใจว่าพวกเขาพูดจริง ในระดับมวลชนผมค้นพบว่าหลังจากราชประสงค์แตกย่อยยับทำให้ "ความคิดทางการเมือง" ของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขารู้แล้วว่าการสู้รบครั้งต่อไปเขาจะสู้กับ "ใคร" อย่างชัดเจน ..
การจัดตั้งมวลชนในระดับพื้นที่แถบอีสานและภาคเหนือเพิ่มความเข้มมากยิ่งขึ้นในระดับที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นความน่ากลัวในระดับที่รัฐบาลฝรั่งเศสก่อน 1789 ได้รับจากฝ่ายประชาชน เป็นความน่ากลัวในระดับรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ได้รับก่อน 1917 ..
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนี้กำลังสำแดงพลังของมันในฐานะปัจจัยหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัว ต้นตอของปัญหาไม่เคยถูกแก้มานานแสนนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงตามไล่ล่ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเลือดเย็น ..
วิธีการที่พวกอนุรักษ์นิยมนำมาใช้จัดการกับปัญหา คือ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงทั้งความคิดและกายภาพ พวกเขาเชื่อว่าปากกระบอกปืนสามารถสยบประชาชนลงแทบเท้าของเขาได้ พวกเขาเชื่อว่าการปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้กฎหมายสามารถกวาดล้างสำนึกทาง การเมืองของประชาชนได้ พวกเขาเชื่อว่าประชาชนโง่ดักดานตามพวกเขาไม่ทัน ..
อนิจจา...ความ เชื่อเหล่านี้เกิดจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น พวกเขามองไม่เห็นพัฒนาการใดๆทั้งสิ้นของประชาชน พวกเขายังนึกว่าประชาชนถูกทักษิณซื้อหรือมาเพราะนักการเมืองจัดตั้ง ..
ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน "บนที่สุด" ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจการปกครองออกจากมือ พวกเขาเชื่อว่าประเทศนี้ชนชั้นของตนดีที่สุด พวกเขาไม่เชื่อประชาชน พวกเขาไม่เชื่อความเปลี่ยนแปลง พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น ..
การรักษาอำนาจของเขาทำให้ประชาชนนับร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาฆ่าแม้กระทั่งคนแก่ เด็ก อาสาสมัครจิตอาสา ผู้หญิง คนที่ไม่มีอาวุธในมือ ..
พี่น้องประชาชนผู้สูญเสียเขาไม่สนใจคำอธิบายใดๆของรัฐทั้งสิ้นเพราะรัฐไปฆ่าเขา คำว่าปรองดองเป็นคำที่ตลกร้ายที่สุดสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการ "เอาคืน" ของประชาชนแล้ว ..
ความปรองดองบนพื้นฐานความกลัว คือความหายนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง
นิสิตปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาผมรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..
หลังจากการชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจบสิ้นลงพร้อมกับเพลิงพิโรธในจุดต่างๆรอบ พื้นที่การชุมนุมและบางพื้นที่ใน
เขตที่มั่นแดงต่างจังหวัด ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้ (11 มิย 2553) ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงยังไม่นิ่ง รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนอาจพิการตลอดชีวิต ..
ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์โดยตรงเพราะพาตัวเองเข้าพื้นที่ปะทะในวันที่เสธแดงถูกยิงวันที่ 13 พค 53 จนถึง 14 พค 53 ต่อเนื่องกัน 2 วัน ในวันสุดท้ายที่ผมอยู่ในพื้นที่ตอนกลางวันผมเห็นทหารเต็มไปหมด ถนนแทบทุกเส้นรอบพื้นที่ชุมนุมปิดตาย การจะเข้าพื้นที่ได้ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะเข้าไปทางชุมชนใกล้ๆบริเวณนั้น ..
คืนวันที่เสธแดงถูกยิงเป็นวันที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต เพราะหลังจากที่เสธแดงถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็มีการปะทะกันทั้งคืน ในห้วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเสธแดงถูกยิง ในพื้นที่บังเกอร์แดงโซนศาลาแดงถูกกลุ่มกระสุนปืนลึกลับยิงสวนเข้ามาในค่าย ทำให้ผมเห็นคนล้มลง 2 คน หนึ่งในนั้นหัวสมองกระจายเรี่ยราดบนพื้นถนน ตัวผมเองก็เกือบถูกลูกปืนพุ่งใส่ขาซ้ายซึ่งกระสุนลูกนั้นวิ่งผ่านขาผมไปดัง "ฟึ่บ!!" ไปกระแทกกับพื้นถนนเป็นรู ลูกปืนมาจากด้านบนแน่นอนเพราะวิธีกระสุนเฉียงจากที่สูง ..
สถานการณ์ ตอนนั้นแย่มากจนผมต้องถอยไปตั้งหลักยังหลังเวทีราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ ยังมีการปั่นไฟใช้สว่างไสว (โซนบังเกอร์ศาลาแดงมืดทั้งแถบ) ตลอดทั้งคืนผมได้ยินเสียงปืนประปราย เป็นคืนอันยาวนานสำหรับผมในพื้นที่สงครามเช่นนี้ ..
วันต่อมาผม พยายามลัดเลาะเข้าพื้นที่ราชประสงค์อีกแต่อยู่ได้เพียงครึ่งวันผมต้องพาตัว เองออกมา การข่าวของผมแจ้งว่าจากวันนี้ไป (14 พค 53) ทหารจะเข้ากวาดล้างในพื้นที่ ..
ระหว่างวันที่ 17-19 พค 53 เป็นวันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของสยาม การเข้ากวาดล้างคนเสื้อแดงของทหารรัฐบาลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมในนาม "การกระชับพื้นที่" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฎิเสธความรุนแรงอันเกิดจากการล้อมปราบของรัฐบาลได้ ..
หลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างประชาชนและทหาร รัฐบาลก็ตามไล่กระทืบซ้ำพี่น้องเสื้อแดงทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน มีการบุกจับแกนนำแดงทั่วประเทศ แกนนำบางส่วนหนีไป บางส่วนถูกยิงตาย บางส่วนเข้ามอบตัว หลายส่วนเตรียม "ยุทธศาสตร์" สำหรับครั้งต่อไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง ..
มวลชนพี่น้องเสื้อแดง หลายพื้นที่เท่าที่ตัวผมได้สัมผัสโดยตรง ภาคตะวันออกมี ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี ตราด อีสานมี อุบล ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ยโสธร อุดร ในขณะนี้อยู่ในสภาพโกรธแค้นชิงชัง สับสน และกำลังใจหดหู่ ส่วนในระดับแกนนำท้องถิ่นนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขากล่าวกับผมว่า "ครั้งต่อไปจะนองเลือดกว่านี้ และประชาธิปไตยจะต้องชนะ" ..
ผมแน่ใจว่าพวกเขาพูดจริง ในระดับมวลชนผมค้นพบว่าหลังจากราชประสงค์แตกย่อยยับทำให้ "ความคิดทางการเมือง" ของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขารู้แล้วว่าการสู้รบครั้งต่อไปเขาจะสู้กับ "ใคร" อย่างชัดเจน ..
การจัดตั้งมวลชนในระดับพื้นที่แถบอีสานและภาคเหนือเพิ่มความเข้มมากยิ่งขึ้นในระดับที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นความน่ากลัวในระดับที่รัฐบาลฝรั่งเศสก่อน 1789 ได้รับจากฝ่ายประชาชน เป็นความน่ากลัวในระดับรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ได้รับก่อน 1917 ..
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนี้กำลังสำแดงพลังของมันในฐานะปัจจัยหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัว ต้นตอของปัญหาไม่เคยถูกแก้มานานแสนนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงตามไล่ล่ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเลือดเย็น ..
วิธีการที่พวกอนุรักษ์นิยมนำมาใช้จัดการกับปัญหา คือ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงทั้งความคิดและกายภาพ พวกเขาเชื่อว่าปากกระบอกปืนสามารถสยบประชาชนลงแทบเท้าของเขาได้ พวกเขาเชื่อว่าการปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้กฎหมายสามารถกวาดล้างสำนึกทาง การเมืองของประชาชนได้ พวกเขาเชื่อว่าประชาชนโง่ดักดานตามพวกเขาไม่ทัน ..
อนิจจา...ความ เชื่อเหล่านี้เกิดจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น พวกเขามองไม่เห็นพัฒนาการใดๆทั้งสิ้นของประชาชน พวกเขายังนึกว่าประชาชนถูกทักษิณซื้อหรือมาเพราะนักการเมืองจัดตั้ง ..
ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน "บนที่สุด" ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจการปกครองออกจากมือ พวกเขาเชื่อว่าประเทศนี้ชนชั้นของตนดีที่สุด พวกเขาไม่เชื่อประชาชน พวกเขาไม่เชื่อความเปลี่ยนแปลง พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น ..
การรักษาอำนาจของเขาทำให้ประชาชนนับร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาฆ่าแม้กระทั่งคนแก่ เด็ก อาสาสมัครจิตอาสา ผู้หญิง คนที่ไม่มีอาวุธในมือ ..
พี่น้องประชาชนผู้สูญเสียเขาไม่สนใจคำอธิบายใดๆของรัฐทั้งสิ้นเพราะรัฐไปฆ่าเขา คำว่าปรองดองเป็นคำที่ตลกร้ายที่สุดสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการ "เอาคืน" ของประชาชนแล้ว ..
ความปรองดองบนพื้นฐานความกลัว คือความหายนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง
"จตุพร"ชี้แดงทยอยตาย3ศพแล้วท้า "สุเทพ"สาบานวัดพระแก้ว ขู่เจอปชช.รอบ3สถานการณ์เลวร้ายมาถึงเร็วแน่
นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงกรณีการตายของนายศักดิ์นรินทร์ กองแก้ว หรือ "อ้วน บัวใหญ่" แกนนำนปช. จ.นครราชสีมา ว่า นอกจากมีนายอ้วนแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีคนตายอีก 1 คนที่จ.นครพนม และล่าสุดอีก 1 ศพที่เป็นศพที่ 3 ที่พัทยา ซึ่งเป็นการ์ดนปช. แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการไล่ล่าประชาชนทั้งที่ได้ยุติการชุมนุมและเขากลับบ้านก็ยังไปไล่ล่าเขาถึงที่บ้าน ถ้ารัฐบาลไม่ทำแล้ว แมวที่ไหนจะทำ
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขอท้านายสุเทพสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วว่ากล้าหรือไม่ เพราะทราบมาว่าอาวุธที่ยึดได้ที่ราชประสงค์มีแค่ปืนสั้น 2 กระบอกเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคพวกที่ร่วมประชุมในศอฉ.ได้บอกกับตนว่า เขารู้สึกอับอายรวมทั้งกรณีที่มีการนำอาวุธมาจัดฉากอย่างมากมาย ที่ผ่านมามีคนตายกว่า 80 คน การที่รัฐบาลระบุว่า คนที่ตายเป็นมืออาชีพ ที่สามารถนำอาวุธไปทิ้งได้ ขอถามว่าคนที่ตายไปแล้วจะนำอาวุธไปทิ้งได้อย่างไร ถือเป็นการใส่ร้ายแบบปัญญาอ่อน ทั้งนี้ในวันที่ 13 มิ.ย.เวลา 15.00 น.ตนพร้อมด้วยพ.อ.อภิวันท์วิริยะชัย รองประธานสภา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปรวมงานเผาศพนายอ้วน ที่ จ.นครราชสีมา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กัน
"สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชนมากมายเท่านี้ หากไม่หยุดไล่ล่าล่าฆ่าประชาชน สถานการณ์ที่เลวร้ายก็จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะประชาชนที่ถูกตามไล่ฆ่า รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจ มีความคับแค้น หากมีการโดนจับโดนตามฆ่า ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเช่นนี้จะเจอประชาชนรอบที่สาม การที่ไปยัดเยียดความตายให้กับเขาแม้ว่าเขาจะกลับบ้านไปแล้วกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะกล้าสุดถึงกล้าที่สุด เพราะขนาดหมาจนตรอกก็ยังสู้"
ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุการตายของแกนนำนปช. ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะมีการต่อสู้กันใต้ดินระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงใช่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของคนเสื้อแดงยืนยันว่า เราไม่มีแผนที่จะเดินเกมใต้ดินเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล แต่เราจะต่อสู้บนดิน เพราะขณะนี้อำนาจเถื่อนอยู่บนดินชัดเจน รัฐบาลมีพฤติกรรมแบบศาลเตี้ย ฝ่ายตนมีหน้าที่ตาย ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่ฆ่าประชาชน
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขอท้านายสุเทพสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วว่ากล้าหรือไม่ เพราะทราบมาว่าอาวุธที่ยึดได้ที่ราชประสงค์มีแค่ปืนสั้น 2 กระบอกเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคพวกที่ร่วมประชุมในศอฉ.ได้บอกกับตนว่า เขารู้สึกอับอายรวมทั้งกรณีที่มีการนำอาวุธมาจัดฉากอย่างมากมาย ที่ผ่านมามีคนตายกว่า 80 คน การที่รัฐบาลระบุว่า คนที่ตายเป็นมืออาชีพ ที่สามารถนำอาวุธไปทิ้งได้ ขอถามว่าคนที่ตายไปแล้วจะนำอาวุธไปทิ้งได้อย่างไร ถือเป็นการใส่ร้ายแบบปัญญาอ่อน ทั้งนี้ในวันที่ 13 มิ.ย.เวลา 15.00 น.ตนพร้อมด้วยพ.อ.อภิวันท์วิริยะชัย รองประธานสภา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปรวมงานเผาศพนายอ้วน ที่ จ.นครราชสีมา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กัน
"สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชนมากมายเท่านี้ หากไม่หยุดไล่ล่าล่าฆ่าประชาชน สถานการณ์ที่เลวร้ายก็จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะประชาชนที่ถูกตามไล่ฆ่า รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจ มีความคับแค้น หากมีการโดนจับโดนตามฆ่า ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเช่นนี้จะเจอประชาชนรอบที่สาม การที่ไปยัดเยียดความตายให้กับเขาแม้ว่าเขาจะกลับบ้านไปแล้วกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะกล้าสุดถึงกล้าที่สุด เพราะขนาดหมาจนตรอกก็ยังสู้"
ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุการตายของแกนนำนปช. ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะมีการต่อสู้กันใต้ดินระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงใช่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของคนเสื้อแดงยืนยันว่า เราไม่มีแผนที่จะเดินเกมใต้ดินเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล แต่เราจะต่อสู้บนดิน เพราะขณะนี้อำนาจเถื่อนอยู่บนดินชัดเจน รัฐบาลมีพฤติกรรมแบบศาลเตี้ย ฝ่ายตนมีหน้าที่ตาย ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่ฆ่าประชาชน
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
ฆ่าชนส่วนใหญ่ เอาใจกาลีชน บนความคับแค้นหลายสิบล้านชีวิต
บนเวทีแห่งเสียงเพลง เพื่อฉลองความสำเร็จแห่งการฆ่าประชาชนในชาติ ของคนที่เขาเรียกว่าทหาร(ของใคร) ที่ไม่ใช่ทหารของประชาชน
งานนี้จัดเพื่อฉลองความสำเร็จของละคร "ตบตาประชาชน" ที่ใช้ทุนมาจากภาษีประชาชนในชาติ โดยมีสปอนเซอร์ใหญ่ คือพวกพันธมิตรและหญิงโฉดชายชั่ว ที่หลายคนใช้คำว่าไฮโซชั้นสูง(จิตใจต่ำทราม)
ละครเรื่องนี้สร้างขึ้นให้คนไทยชม
ผู้กำกับการแสดง และเบื้องหลัง วอร์รูมคือทีมงานของพันธมิตร
นักแสดงหลักคือทหาร ที่สวมบทเป็นเป็นผู้ร้าย(ชายชุดดำและประชาชนหลากสี)
และสวมบทพระเอกในเรื่องโดยไก่อู
พระรองคือหมอ-าตุลย์ ที่ใช้รพ.จุฬา เป็นฐานทัพหลักในการแสดง มีนักแสดงมืออาชีพคือบุคคลากรในรพ.จุฬา ที่ตีบทแตกโดยการสวมบทบาทร้องเพลงทั้งน้ำตา ขณะเข็นผู้ป่วย
โดยมีประชาชนและทหารผู้น้อยที่ถูกล้างสมองเป็นตัวประกอบฉากของ ศอฉ.
จุดประทุความเข้มข้นของเรื่องด้วย M79 รายวันก่อนสลาย แล้วป้ายสีประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย
(ซึ่งเป็นที่น่าสังสัยว่าหากเสื้อแดงมีอาวุธสงครามจริง หลังเหตุการณ์แทนที่จะมีมากขึ้นเพราะอยู่ในสภาวะเคียดแค้นแต่วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าคนยิงชงเรื่องคือผู้กำกับเรื่องเอง)
ประชาชนหลายแสนหลายล้านที่ออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม และประชาธิปไตย ถูกศอฉ.วางตัวให้เป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่รู้ตัว โดยยัดเยียดด้วยอาวุธจริง และกระสุนจริง และทหารแฝงตัวแทนผู้ชุมนุม โดยไม่ต้องใช้ ปืนปลอมและตัวแสดงแทน
หลายสิบ หลายร้อย และหลายพันสังเวยชีวิตด้วยการบาดเจ็บล้มตาย จากใบสั่งฆ่า500ชีวิต ที่นายทุนใหญ่เจ้าของละครเรื่องนี้สั่งมา ให้ประชาชนสังเวยชีวิตในละครฉากนี้ โดยมีค่าหัวคนละ 2แสน(ถ้ากล้าไปเอา)
งานฉลองการตายครั้งประวัติศาสตร์ของประชาชนไทย ถูกจัดขึ้นในค่าย ราบ11 ด้วยบรรยากาศแสนชื่นมื่นกับการแสดงความยินดีในบทบาทของ นายไก่อู ที่ประทับใจสังคมไฮโซอย่างล้นเหลือ
แม้ว่าคนกลุ่มหนึ่งที่ยินดีกับการฆ่านักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ก่อการร้ายในเรื่อง จะบอกว่าเขาชนะแล้ว ละครจบแล้ว
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านบทบาทนี้จากทั่วโลก เชื่อว่าละครเรื่องนี้ที่ศอฉ.สร้างขึ้น พึ่งเป็นตอนแรก ภาคแรกแค่นั้น
เพราะนักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ร้าย นั้น คือชีวิตจริง ตายจริง จากกระสุนจริงของ ผู้สร้างละคร
โดย DemocraticThai
********************************************
งานนี้จัดเพื่อฉลองความสำเร็จของละคร "ตบตาประชาชน" ที่ใช้ทุนมาจากภาษีประชาชนในชาติ โดยมีสปอนเซอร์ใหญ่ คือพวกพันธมิตรและหญิงโฉดชายชั่ว ที่หลายคนใช้คำว่าไฮโซชั้นสูง(จิตใจต่ำทราม)
ละครเรื่องนี้สร้างขึ้นให้คนไทยชม
ผู้กำกับการแสดง และเบื้องหลัง วอร์รูมคือทีมงานของพันธมิตร
นักแสดงหลักคือทหาร ที่สวมบทเป็นเป็นผู้ร้าย(ชายชุดดำและประชาชนหลากสี)
และสวมบทพระเอกในเรื่องโดยไก่อู
พระรองคือหมอ-าตุลย์ ที่ใช้รพ.จุฬา เป็นฐานทัพหลักในการแสดง มีนักแสดงมืออาชีพคือบุคคลากรในรพ.จุฬา ที่ตีบทแตกโดยการสวมบทบาทร้องเพลงทั้งน้ำตา ขณะเข็นผู้ป่วย
โดยมีประชาชนและทหารผู้น้อยที่ถูกล้างสมองเป็นตัวประกอบฉากของ ศอฉ.
จุดประทุความเข้มข้นของเรื่องด้วย M79 รายวันก่อนสลาย แล้วป้ายสีประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย
(ซึ่งเป็นที่น่าสังสัยว่าหากเสื้อแดงมีอาวุธสงครามจริง หลังเหตุการณ์แทนที่จะมีมากขึ้นเพราะอยู่ในสภาวะเคียดแค้นแต่วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าคนยิงชงเรื่องคือผู้กำกับเรื่องเอง)
ประชาชนหลายแสนหลายล้านที่ออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม และประชาธิปไตย ถูกศอฉ.วางตัวให้เป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่รู้ตัว โดยยัดเยียดด้วยอาวุธจริง และกระสุนจริง และทหารแฝงตัวแทนผู้ชุมนุม โดยไม่ต้องใช้ ปืนปลอมและตัวแสดงแทน
หลายสิบ หลายร้อย และหลายพันสังเวยชีวิตด้วยการบาดเจ็บล้มตาย จากใบสั่งฆ่า500ชีวิต ที่นายทุนใหญ่เจ้าของละครเรื่องนี้สั่งมา ให้ประชาชนสังเวยชีวิตในละครฉากนี้ โดยมีค่าหัวคนละ 2แสน(ถ้ากล้าไปเอา)
งานฉลองการตายครั้งประวัติศาสตร์ของประชาชนไทย ถูกจัดขึ้นในค่าย ราบ11 ด้วยบรรยากาศแสนชื่นมื่นกับการแสดงความยินดีในบทบาทของ นายไก่อู ที่ประทับใจสังคมไฮโซอย่างล้นเหลือ
แม้ว่าคนกลุ่มหนึ่งที่ยินดีกับการฆ่านักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ก่อการร้ายในเรื่อง จะบอกว่าเขาชนะแล้ว ละครจบแล้ว
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านบทบาทนี้จากทั่วโลก เชื่อว่าละครเรื่องนี้ที่ศอฉ.สร้างขึ้น พึ่งเป็นตอนแรก ภาคแรกแค่นั้น
เพราะนักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ร้าย นั้น คือชีวิตจริง ตายจริง จากกระสุนจริงของ ผู้สร้างละคร
โดย DemocraticThai
********************************************
เสียงรบ.เฉียดฉิว ส.ส.โหวตงบฯ239เกินกึ่งหนึ่งแค่คนเดียว ลุ้นงูเห่าพผ.ไม่เบี้ยว มะกันชี้ไทยจุดเลวร้าย
เสียงรัฐบาลเฉียดฉิว ส.ส.โหวตงบฯ 239 เกินกึ่งหนึ่งแค่เสียงเดียว หวังพึ่งกลุ่มงูเห่า"พผ."ไม่กลับคำช่วยหนุน "บิ๊กบัง"ไม่ขัด"มาตุภูมิ"จับมือ"เพื่อแผ่นดิน" ยันพร้อมลงเลือกตั้ง 2 ระบบ พท.เชิญ"บิ๊กจิ๋ว"ติวเข้ม ส.ส.พรรคที่พัทยา 18-19 มิ.ย.วางแนวทางสู้ใหม่ รองผู้ช่วย รมต.สหรัฐชี้ยังยากคาดเดาผลลัพธ์เหตุรุนแรงทางการเมืองไทยที่เลวร้ายสุดในครั้งนี้
รัฐบาลยังกังวลต่อเสียงส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 หลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นพ.อลงกต มณีกาศ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) นำรายชื่อ ส.ส.พผ.ที่ถูกปรับออกจากรัฐบาล มาเปิดเผยว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 18 เสียง ประกอบด้วย
กลุ่มวังพญานาค 8 คน
กลุ่มโคราช 4 คน
กลุ่มสุรินทร์-ปราจีนบุรี 5 คน และ
กลุ่มดาวกระจาย 1 คน
เมื่อนำไปหักกับจำนวนเสียงพผ. 32 เสียง จะเหลือส.ส.พผ.ที่ยังอยู่รัฐบาลเพียง 10 เสียง อันได้แก่กลุ่มบ้านริมน้ำ กลุ่มของนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และพวกไม่มีกลุ่ม ส่วนกลุ่มพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จำนวน 4 เสียง ขณะนี้ ยังไม่แน่นอนว่าอยู่ฝั่งใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดังนั้น เมื่อนำเสียงส.ส.รัฐบาลที่มีอยู่เดิม 275 เสียง ไปหักส.ส.พผ. ที่ไม่ชัดเจนว่า อยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ก็จะเหลืออยู่เพียง 253 เสียง แต่ในส่วนของฝ่ายค้านก็ มี ส.ส.ที่พรรคร่วมรัฐบาลฝากไว้ ทั้งในพรรคเพื่อไทย(พท.) จำนวน 4 เสียง ในพรรคประชาราช (ป.ช.ร.) 2 เสียง บวกกับส.ส.พรรคมาตุภูมิ 3 เสียงที่แปรพักตร์มาอยู่กับรัฐบาล ทำให้รัฐบาลจะมีเสียงทั้งหมด 262 เสียง ซึ่งการโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2554 รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.จำนวน 23 คนไม่สามารถลงมติได้ ทำให้รัฐบาลเหลือเสียงที่โหวตได้อยู่เพียง 239 เสียง เกินกึ่งหนึ่งที่ 238 เสียง มาเพียงเสียงเดียวเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอย่างไรก็ตาม การที่ส.ส.พผ.ที่ถูกขับออกจากรัฐบาล ยืนยันว่าจะโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2554 ทำให้ความกังวลว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯดังกล่าวจะถูกคว่ำลดลงไป เพราะหากร่างพ.ร.บ.งบประมาณถูกคว่ำ ตามมารยาทนายกฯจะต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลจะไม่มีงบฯไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เวลา 09.00 น. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าที่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคว่าเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของมติพรรค เนื่องจากเห็นว่าช่วยทำงานให้กับประเทศชาติได้ ส่วนการดึงสมาชิกพผ.มาร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคมาตุภูมินั้น ทั้งสองพรรคมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และไม่ขัดข้องที่จะทำงานร่วมกัน แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคและความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า พรรคมาตุภูมิไม่ได้เร่งรีบเรื่องการเลือกหัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตามหากมีการเลือกตั้งพรรคก็พร้อม โดยส่วนตนพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระบบสัดส่วนและระบบเขต
ด้านนายคณวัตร วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พท.จะจัดงานสัมมนาส.ส.ของพรรค ขึ้นในวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ ที่ พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อประเมินและหารือการดำเนินงานทางการเมืองของพรรคก่อนที่จะมอบหมายให้ส.ส.แต่ละคนลงพื้นที่ในช่วงสมัยปิดประชุมนี้ ทั้งนี้เบื้องต้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย มีกำหนดที่จะบรรยายให้กับส.ส.ของพรรคได้รับฟังในมิติของการเมืองไทยหลังจากนี้ไปว่าทิศทางจะไปอย่างไร นอกจากนี้ พรรคยังอยู่ระหว่างการประสานงานกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้มาบรรยายเรื่องยุทธศาสตร์การทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านด้วย
ส่วนความคืบหน้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)หลังพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและ 4 รัฐมนตรีนั้น นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน แบ่งคณะทำงานเพื่อไต่สวน คดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากข้อกล่าวหา มีเป็นจำนวนมากนับ 10 ประเด็น จึงต้องแบ่งคณะทำงานออกเป็น 2 ทีม
"ทีมแรกรับผิดชอบสำนวนที่เกี่ยวกับประเด็นสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง มีผมและนายวิชัย วิวิตเสวี เป็นผู้รับผิดชอบ ทีมที่สองรับผิดชอบสำนวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต่างๆ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วง การออกใบอนุญาตเปิดร้านขายปืน รวมถึงเรื่องที่ดินเขาแพง ที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า มีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและหาว่านายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพถือที่แทนนายสุเทพด้วย มีนายกล้านรงค์ จันทิก นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และนายภักดี โพธิศิริ เป็นผู้รับผิดชอบ
สำนักข่าวเอพีรายงานวันเดียวกันว่า นายสก็อต มาร์เซียล รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนนี้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาหวังว่าประเทศไทยที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางจะสามารถฟื้นคืนจากเหตุประท้วงรุนแรงได้ในที่สุดเมื่อการถกเถียงทางการเมืองย้ายที่จากตามท้องถนนมายังรัฐสภาแล้ว
นายมาร์เซียลซึ่งเข้าให้ปากคำต่อที่ประชุมสภาคองเกรส กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ของเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในช่วงอายุคนของเมืองไทยหนนี้ได้ และย้ำด้วยว่าความแตกแยกในระดับรากฐานของสังคมที่นำไปสู่เหตุการณ์ประท้วงหนนี้ยังคงอยู่ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงควรทำหน้าที่อย่างหนักเพื่อความปรองดองและร่วมกันประณามความรุนแรงใดๆ
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
รัฐบาลยังกังวลต่อเสียงส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 หลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นพ.อลงกต มณีกาศ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) นำรายชื่อ ส.ส.พผ.ที่ถูกปรับออกจากรัฐบาล มาเปิดเผยว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 18 เสียง ประกอบด้วย
กลุ่มวังพญานาค 8 คน
กลุ่มโคราช 4 คน
กลุ่มสุรินทร์-ปราจีนบุรี 5 คน และ
กลุ่มดาวกระจาย 1 คน
เมื่อนำไปหักกับจำนวนเสียงพผ. 32 เสียง จะเหลือส.ส.พผ.ที่ยังอยู่รัฐบาลเพียง 10 เสียง อันได้แก่กลุ่มบ้านริมน้ำ กลุ่มของนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และพวกไม่มีกลุ่ม ส่วนกลุ่มพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จำนวน 4 เสียง ขณะนี้ ยังไม่แน่นอนว่าอยู่ฝั่งใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดังนั้น เมื่อนำเสียงส.ส.รัฐบาลที่มีอยู่เดิม 275 เสียง ไปหักส.ส.พผ. ที่ไม่ชัดเจนว่า อยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ก็จะเหลืออยู่เพียง 253 เสียง แต่ในส่วนของฝ่ายค้านก็ มี ส.ส.ที่พรรคร่วมรัฐบาลฝากไว้ ทั้งในพรรคเพื่อไทย(พท.) จำนวน 4 เสียง ในพรรคประชาราช (ป.ช.ร.) 2 เสียง บวกกับส.ส.พรรคมาตุภูมิ 3 เสียงที่แปรพักตร์มาอยู่กับรัฐบาล ทำให้รัฐบาลจะมีเสียงทั้งหมด 262 เสียง ซึ่งการโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2554 รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.จำนวน 23 คนไม่สามารถลงมติได้ ทำให้รัฐบาลเหลือเสียงที่โหวตได้อยู่เพียง 239 เสียง เกินกึ่งหนึ่งที่ 238 เสียง มาเพียงเสียงเดียวเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอย่างไรก็ตาม การที่ส.ส.พผ.ที่ถูกขับออกจากรัฐบาล ยืนยันว่าจะโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2554 ทำให้ความกังวลว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯดังกล่าวจะถูกคว่ำลดลงไป เพราะหากร่างพ.ร.บ.งบประมาณถูกคว่ำ ตามมารยาทนายกฯจะต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลจะไม่มีงบฯไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เวลา 09.00 น. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าที่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคว่าเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของมติพรรค เนื่องจากเห็นว่าช่วยทำงานให้กับประเทศชาติได้ ส่วนการดึงสมาชิกพผ.มาร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคมาตุภูมินั้น ทั้งสองพรรคมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และไม่ขัดข้องที่จะทำงานร่วมกัน แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคและความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า พรรคมาตุภูมิไม่ได้เร่งรีบเรื่องการเลือกหัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตามหากมีการเลือกตั้งพรรคก็พร้อม โดยส่วนตนพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระบบสัดส่วนและระบบเขต
ด้านนายคณวัตร วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พท.จะจัดงานสัมมนาส.ส.ของพรรค ขึ้นในวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ ที่ พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อประเมินและหารือการดำเนินงานทางการเมืองของพรรคก่อนที่จะมอบหมายให้ส.ส.แต่ละคนลงพื้นที่ในช่วงสมัยปิดประชุมนี้ ทั้งนี้เบื้องต้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย มีกำหนดที่จะบรรยายให้กับส.ส.ของพรรคได้รับฟังในมิติของการเมืองไทยหลังจากนี้ไปว่าทิศทางจะไปอย่างไร นอกจากนี้ พรรคยังอยู่ระหว่างการประสานงานกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้มาบรรยายเรื่องยุทธศาสตร์การทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านด้วย
ส่วนความคืบหน้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)หลังพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและ 4 รัฐมนตรีนั้น นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน แบ่งคณะทำงานเพื่อไต่สวน คดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากข้อกล่าวหา มีเป็นจำนวนมากนับ 10 ประเด็น จึงต้องแบ่งคณะทำงานออกเป็น 2 ทีม
"ทีมแรกรับผิดชอบสำนวนที่เกี่ยวกับประเด็นสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง มีผมและนายวิชัย วิวิตเสวี เป็นผู้รับผิดชอบ ทีมที่สองรับผิดชอบสำนวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต่างๆ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วง การออกใบอนุญาตเปิดร้านขายปืน รวมถึงเรื่องที่ดินเขาแพง ที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า มีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและหาว่านายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพถือที่แทนนายสุเทพด้วย มีนายกล้านรงค์ จันทิก นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และนายภักดี โพธิศิริ เป็นผู้รับผิดชอบ
สำนักข่าวเอพีรายงานวันเดียวกันว่า นายสก็อต มาร์เซียล รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนนี้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาหวังว่าประเทศไทยที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางจะสามารถฟื้นคืนจากเหตุประท้วงรุนแรงได้ในที่สุดเมื่อการถกเถียงทางการเมืองย้ายที่จากตามท้องถนนมายังรัฐสภาแล้ว
นายมาร์เซียลซึ่งเข้าให้ปากคำต่อที่ประชุมสภาคองเกรส กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ของเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในช่วงอายุคนของเมืองไทยหนนี้ได้ และย้ำด้วยว่าความแตกแยกในระดับรากฐานของสังคมที่นำไปสู่เหตุการณ์ประท้วงหนนี้ยังคงอยู่ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงควรทำหน้าที่อย่างหนักเพื่อความปรองดองและร่วมกันประณามความรุนแรงใดๆ
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
ศาลปล่อยตัวสมยศ พฤกษาเกษมสุข ให้เหตุผล "ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดไม่ต่างจาก ดร.สุธาชัย"
ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมนายสมยศ พฤกษาเกษมสุขตามคำร้องของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"
ศาลยกคำร้อง ศอฉ.กรณีขอคุมตัว “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ต่อครั้งที่ 3 ชี้ ไม่มีความจำเป็น เหตุความวุ่นวายสิ้นสุดแล้ว
ทั้งนี้ กำหนดควบคุมรอบที่ 2 ตัวของ นายสมยศ จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยวันศุกร์ ที่ 10 เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ต้องไปขอขยายเวลา เจ้าหน้าที่ตาม อย่างไรก็ตาม นายสมยศได้ร้องคัดค้าน และศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมตัวของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"
นายสมยศ ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. พร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่ค่ายอดิศร จ.ลพบุรี ซึ่งดร. สุธาชัยได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อนตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถไปรับตัวออกมาจากค่ายอดิศร แล้วนำตัวมาส่งที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อสอบปากคำและทำเอกสาร จากนั้นจึงมีญาติมารับและเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว ทราบเพียงว่ามีตำรวจจากกองปราบวิทยุมาที่ค่ายทหารให้ปล่อยตัวก่อนเวลาที่จะถูกนำตัวออกมาไม่นานนัก
ก่อนหน้านี้มีกอาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักวิชาการได้ร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสุธาชัย ขณะที่เครือข่ายแรงงานทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศก็ออกแถลงการณ์และร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศเช่นกัน
ที่มา.ประชาไท
*********************************************
ศาลยกคำร้อง ศอฉ.กรณีขอคุมตัว “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ต่อครั้งที่ 3 ชี้ ไม่มีความจำเป็น เหตุความวุ่นวายสิ้นสุดแล้ว
ทั้งนี้ กำหนดควบคุมรอบที่ 2 ตัวของ นายสมยศ จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยวันศุกร์ ที่ 10 เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ต้องไปขอขยายเวลา เจ้าหน้าที่ตาม อย่างไรก็ตาม นายสมยศได้ร้องคัดค้าน และศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมตัวของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"
นายสมยศ ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. พร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่ค่ายอดิศร จ.ลพบุรี ซึ่งดร. สุธาชัยได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อนตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถไปรับตัวออกมาจากค่ายอดิศร แล้วนำตัวมาส่งที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อสอบปากคำและทำเอกสาร จากนั้นจึงมีญาติมารับและเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว ทราบเพียงว่ามีตำรวจจากกองปราบวิทยุมาที่ค่ายทหารให้ปล่อยตัวก่อนเวลาที่จะถูกนำตัวออกมาไม่นานนัก
ก่อนหน้านี้มีกอาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักวิชาการได้ร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสุธาชัย ขณะที่เครือข่ายแรงงานทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศก็ออกแถลงการณ์และร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศเช่นกัน
ที่มา.ประชาไท
*********************************************
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
พูดเป็นต่อยหอย!!
พูดเป็นต่อยหอย!!
“บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แห่ง พรรคภูมิใจไทย พูด “ปล่อยไก่” ช่างบ่อย ดูแล้วช่วงนี้ พูดเอง! เออเอง! ชงเอง! กินเอง! จนเป็นนิสัย?...อยู่ ๆ “รัฐมนตรีบุญจง” หยอด เป็นตุเป็นตะ สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน “กลุ่มพญานาค” ของ “พินิจ จารุสมบัติ” มุดมุ้งดอดเข้าไปผสมพันธุ์ อยู่กับ “ภูมิใจไทย” “อดีตรัฐมนตรีพินิจ”..อยากดีดปาก เพราะเป็นเรื่อง เหลวไหล ยืนยัน จาก พญาบอสกลุ่มพญานาค “คุณพี่พินิจ” ซึ่งเดินทางกลับจากจีนเมื่อวันวาน....ยังต่อปลั๊ก รักกันแน่นปึ๊ก กับ “กลุ่มโคราช” ของ “ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” เป็นอย่างดี และยังจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ..ไม่มีการแตกคอ ย้ายขั้วสลับข้างไปซบ “พรรคภูมิใจไทย” ให้เสียศักดิ์ศรี!!! “รัฐมนตรีบุญจง”เลิกตีขุม......พูดแบบเดาสุ่ม? ..ไม่คุ้ม กับเกียรติแห่งรัฐมนตรี??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ความจริง” ย่อมเป็น “ความจริง”
“คุณพี่ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้เป็นเทวดาตกสวรรค์มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ ...เป็นผู้มีผลงาน สร้างสรรค์อลังการ ที่โดดเด่น เป็นอย่างยิ่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” ใต้คอนโทรล สั่งการ กำกับการ ดูแล ของ “อดีตรัฐมนตรีชาญชัย” แสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง.. มีคนขอมาลงทุน เดือนละ หมื่นล้าน แสนล้าน จนเศรษฐกิจไทยกระฉูด พุ่งไม่หยุด เสร็จสรรพ “ผลงานเลิศ”...แต่ถูกไล่ตะเพิด เป็นได้ไงกันขอรับ นี่เป็น ความสามารถโดยเฉพาะตัว ของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่บริหาร “กระทรวงอุตสาหกรรม” ด้วยความสามารถล้วน ๆ ..ไม่เกี่ยวกับ “สรยุทธ เพ็ชรตระกูล” ผู้ช่วย รมต.อุตสาหกรรม ..พอ “รัฐมนตรีชาญชัย” พ้นตำแหน่ง “ผู้ช่วย รมต. สรยุทธ” ก็บึ่งไปรับใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ซุเปอร์ห้อย” ไม่รอรี!!! พอ “เพื่อแผ่นดิน” ไม่มีอำนาจ...ก็ทิ้งหนีตัดขาด...อุ้ยไม่มีมาทยาทเลยนะนี่????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
อดใจ ไม่ผลีผลาม ด่วนเร็วใจง่าย ล่ะก้อ.. “ไชยยศ จิรเมธากร” สส.พรรคเพื่อแผ่นดินที่แตกฝูง คงไม่ต้องตำแหน่งต๊อกต๋อย เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” เพราะเป้าหมายตำแหน่งใหญ่นั้น.. “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” คนปั้น กะให้ “รัฐมนตรีไชยยศ” ก้าวเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง แต่นี่ชิงสุกก่อนหาม....จึงได้ตำแหน่งต่ำ อย่างคาดไม่ถึงเป็นเพียง “รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ” วัน ๆ จับเจ่า ๆ นั่งตบยุงแก้เซ็ง!! อนาคตน่าเรืองรอง...กับต้องหมอง..เป็นแค่ “รัฐมนตรีมือสอง” เท่านั้นเอง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่เคลื่อนไหวอันดับ
ทำตัวเงียบเฉียบ เหมือนอยู่ในป่าช้า .. สำหรับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไงเล่าครับ??? เฉพาะพื้นที่เขตเลือกตั้ง จังหวัดนครราชสีมา ..ซึ่งเป็นฐานเดียว เขตเดียว ที่ “พรรครวมชาติพัฒนา” จะได้สส. ๑๗ เก้าอึ้ผู้แทนจังหวัดนี้.....”คุณพี่สุวัจน์” จะแพ้เรียบ ไม่เหลือหรอ หากยังปล่อยให้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ขยายพื้นที่ กระชับพื้นที่ กินแดน ลุกลามเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ที่ “สุวัจน์ ” ดูแลอยู่ “ภูมิใจไทย”เร่งสปีด....ตั้งเป้าเพื่อพิชิต...ดับ “สุวัจน์”ให้สนิท อย่างไม่มีทางสู้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กฎหมายศรีธนญชัย
แล้ว นักธุรกิจ ผู้บริหารชั้นนำ ของ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานการผลิตรถไปอยู่ที่อินโดนิเซีย พ้นออกจากพื้นที่ แผ่นดินไทย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้อาณัติ “กฎหมายไทย” ที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้เลน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......ไทยจะเสียหาย ล้มละลายเหมือนตายทั้งเป็น คนงานไทย ที่ทำอยู่ใน “บริษัทโตโยต้า” กว่า ๒ ล้าน เหยียบ ๓ ล้านคน ต้องต้องงาน....อันมาจาก “ต่างชาติ” ไม่เชื่อในน้ำยา ของ “กฎหมาย” ที่ชี้ถูกชี้ผิด ตามใจของผู้มีอำนาจบริหารประเทศ...หาก “บริษัทญี่ปุ่น” เกิดคดีความกับ “รัฐบาลไทย” แล้วใช้กฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน เขามีแต่เสียเปรียบ...อย่างเช่นกฎหมายยุบพรรคนั้น ถ้าเป็นพรรคอื่น ก็ล้มอย่างระเนระนาด แต่เป็น “พรรคประชาธิปัตย์” กับอยู่ได้สบายแฮ!!! “ต่างชาติ”พากันหนีหาย....เพราะเซ็งกฎหมายไทย...ที่ไร้ประสิทธิภาพ ยอดจะแย่????
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************
“บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แห่ง พรรคภูมิใจไทย พูด “ปล่อยไก่” ช่างบ่อย ดูแล้วช่วงนี้ พูดเอง! เออเอง! ชงเอง! กินเอง! จนเป็นนิสัย?...อยู่ ๆ “รัฐมนตรีบุญจง” หยอด เป็นตุเป็นตะ สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน “กลุ่มพญานาค” ของ “พินิจ จารุสมบัติ” มุดมุ้งดอดเข้าไปผสมพันธุ์ อยู่กับ “ภูมิใจไทย” “อดีตรัฐมนตรีพินิจ”..อยากดีดปาก เพราะเป็นเรื่อง เหลวไหล ยืนยัน จาก พญาบอสกลุ่มพญานาค “คุณพี่พินิจ” ซึ่งเดินทางกลับจากจีนเมื่อวันวาน....ยังต่อปลั๊ก รักกันแน่นปึ๊ก กับ “กลุ่มโคราช” ของ “ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” เป็นอย่างดี และยังจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ..ไม่มีการแตกคอ ย้ายขั้วสลับข้างไปซบ “พรรคภูมิใจไทย” ให้เสียศักดิ์ศรี!!! “รัฐมนตรีบุญจง”เลิกตีขุม......พูดแบบเดาสุ่ม? ..ไม่คุ้ม กับเกียรติแห่งรัฐมนตรี??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ความจริง” ย่อมเป็น “ความจริง”
“คุณพี่ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้เป็นเทวดาตกสวรรค์มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ ...เป็นผู้มีผลงาน สร้างสรรค์อลังการ ที่โดดเด่น เป็นอย่างยิ่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” ใต้คอนโทรล สั่งการ กำกับการ ดูแล ของ “อดีตรัฐมนตรีชาญชัย” แสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง.. มีคนขอมาลงทุน เดือนละ หมื่นล้าน แสนล้าน จนเศรษฐกิจไทยกระฉูด พุ่งไม่หยุด เสร็จสรรพ “ผลงานเลิศ”...แต่ถูกไล่ตะเพิด เป็นได้ไงกันขอรับ นี่เป็น ความสามารถโดยเฉพาะตัว ของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่บริหาร “กระทรวงอุตสาหกรรม” ด้วยความสามารถล้วน ๆ ..ไม่เกี่ยวกับ “สรยุทธ เพ็ชรตระกูล” ผู้ช่วย รมต.อุตสาหกรรม ..พอ “รัฐมนตรีชาญชัย” พ้นตำแหน่ง “ผู้ช่วย รมต. สรยุทธ” ก็บึ่งไปรับใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ซุเปอร์ห้อย” ไม่รอรี!!! พอ “เพื่อแผ่นดิน” ไม่มีอำนาจ...ก็ทิ้งหนีตัดขาด...อุ้ยไม่มีมาทยาทเลยนะนี่????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
อดใจ ไม่ผลีผลาม ด่วนเร็วใจง่าย ล่ะก้อ.. “ไชยยศ จิรเมธากร” สส.พรรคเพื่อแผ่นดินที่แตกฝูง คงไม่ต้องตำแหน่งต๊อกต๋อย เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” เพราะเป้าหมายตำแหน่งใหญ่นั้น.. “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” คนปั้น กะให้ “รัฐมนตรีไชยยศ” ก้าวเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง แต่นี่ชิงสุกก่อนหาม....จึงได้ตำแหน่งต่ำ อย่างคาดไม่ถึงเป็นเพียง “รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ” วัน ๆ จับเจ่า ๆ นั่งตบยุงแก้เซ็ง!! อนาคตน่าเรืองรอง...กับต้องหมอง..เป็นแค่ “รัฐมนตรีมือสอง” เท่านั้นเอง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่เคลื่อนไหวอันดับ
ทำตัวเงียบเฉียบ เหมือนอยู่ในป่าช้า .. สำหรับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไงเล่าครับ??? เฉพาะพื้นที่เขตเลือกตั้ง จังหวัดนครราชสีมา ..ซึ่งเป็นฐานเดียว เขตเดียว ที่ “พรรครวมชาติพัฒนา” จะได้สส. ๑๗ เก้าอึ้ผู้แทนจังหวัดนี้.....”คุณพี่สุวัจน์” จะแพ้เรียบ ไม่เหลือหรอ หากยังปล่อยให้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ขยายพื้นที่ กระชับพื้นที่ กินแดน ลุกลามเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ที่ “สุวัจน์ ” ดูแลอยู่ “ภูมิใจไทย”เร่งสปีด....ตั้งเป้าเพื่อพิชิต...ดับ “สุวัจน์”ให้สนิท อย่างไม่มีทางสู้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กฎหมายศรีธนญชัย
แล้ว นักธุรกิจ ผู้บริหารชั้นนำ ของ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานการผลิตรถไปอยู่ที่อินโดนิเซีย พ้นออกจากพื้นที่ แผ่นดินไทย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้อาณัติ “กฎหมายไทย” ที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้เลน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......ไทยจะเสียหาย ล้มละลายเหมือนตายทั้งเป็น คนงานไทย ที่ทำอยู่ใน “บริษัทโตโยต้า” กว่า ๒ ล้าน เหยียบ ๓ ล้านคน ต้องต้องงาน....อันมาจาก “ต่างชาติ” ไม่เชื่อในน้ำยา ของ “กฎหมาย” ที่ชี้ถูกชี้ผิด ตามใจของผู้มีอำนาจบริหารประเทศ...หาก “บริษัทญี่ปุ่น” เกิดคดีความกับ “รัฐบาลไทย” แล้วใช้กฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน เขามีแต่เสียเปรียบ...อย่างเช่นกฎหมายยุบพรรคนั้น ถ้าเป็นพรรคอื่น ก็ล้มอย่างระเนระนาด แต่เป็น “พรรคประชาธิปัตย์” กับอยู่ได้สบายแฮ!!! “ต่างชาติ”พากันหนีหาย....เพราะเซ็งกฎหมายไทย...ที่ไร้ประสิทธิภาพ ยอดจะแย่????
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)