--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสนาะ VS ชำนิ ใครห่วย?


เพื่อไทย” รวมกับ “ประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาลแห่งชาติแนวความคิดที่นำเสนอออกมาแบบตรงๆ จากปากของท่านผู้เฒ่าการเมือง “เสนาะ เทียนทอง” ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ “ป๋าเหนาะ”

ออกอาการโหยหา ความปรองดองสมานฉันท์ อย่างเห็นได้ชัด...ที่ต้องการจะ ปฏิวัติสังคมไทยแต่การจะ พลิกขั้ว สูตรรัฐบาลใหม่อย่างขั้วการเมืองท่านนี้กล่าวอ้าง...ในบ้านเมืองยามนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ “เป็นไปไม่ได้”น้ำกับน้ำมัน...เอามารวมกันไม่ได้!!เพราะทั้ง 2 พรรคต่างเป็น “แกนหลัก” ที่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลหากมีการเลือกครั้งใหม่...เชื่อว่า ส.ส.ในมือ..รวมกับประชาชนในมือ ย่อมมีจำนวนใกล้เคียงกัน...เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างกุมฐานเสียงได้ในพื้นที่ตั้งของตนข้อเท็จจริง...หากเป็นพรรคเดียวที่สามารถ “ผูกขาด”ดึงเอาพรรคร่วมมาเข้าร่วมกับฝ่ายตนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเอง...เป็นเรื่องที่ไม่ดีกว่าหรือ??ซ้ำร้ายการตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ จะทวี ความน่ากลัว ของการแบ่งแยกประเทศ...แบ่งแยกประชาชนให้เห็นเป็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นกล่าวได้ว่า...เมื่อถึงที่สุดในยุคที่บ้านเมืองไร้ทางออก...นักการเมืองของทั้ง 2 พรรค ก็ยังพอทำใจได้...หากตกลง ผลประโยชน์ กันได้วิน...วินตามพฤติกรรมนักการเมืองจำนวนไม่น้อย ที่คิดแต่หาผลประโยชน์ใส่ตน โดยละทิ้งผลประโยชน์ของส่วนรวมแต่กับ “ประชาชน” ทั้งประเทศ...ที่พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตเกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่กับ การเมือง...ผู้มีสิทธิ์มีเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่...ได้ตัดสินใจเลือกพรรคและเลือกนักการเมืองจากผู้สมัครของ สองพรรคใหญ่ซึ่งได้ผูกขาดมาหลายยุคหลายสมัยที่ “ประชาธิปัตย์” กับในยุคหลังซึ่งเป็นพรรคของอดีตนายกฯ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”ไล่มาตั้งแต่ ไทยรักไทย...จนมาถึงพรรคนอมินีอย่าง พลังประชาชนและ เพื่อไทย

ประชาชนเขาเลือกเพียง “พรรคเดียว” ต้องการนายกรัฐมนตรี “คนเดียว” ไม่ต้องการเลือกเอาทั้ง 2 พรรค หรือมีนายกฯ 2 คนข้อเสนอของ “เสนาะ เทียนทอง” ในบรรยากาศการประชุมเพื่อหาทางออกในการแก้วิกฤติทางการเมืองเมื่อเร็วๆ นี้มีคู่มวย คู่คี่สูสี คือ อีกหนึ่งกรรมการสมานฉันท์ “ชำนิศักดิเศรษฐ์” ส.ส.สัดส่วน ประชาธิปัตย์แม้ทั้ง 2 คน จะมีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมานฉันท์แต่ก็เป็น สมานฉันท์คนละแนว ขัดแย้งโต้เถียงใส่กันอย่างดุเดือด“ป๋าเหนาะ” ชงให้ ประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล โดยกล่าวว่า“...ผมไม่ต้องการให้ไทยเหมือนเขมร ล้มล้างสถาบันฆ่ากันไม่พอ เอาเวียดนามมาด้วย บัวเหนือน้ำฆ่าทิ้งหมดและเขาแก้ปัญหากันยังมีนายกฯ 2 คนเลย...ทำไมเราทำไม่ได้ ธงพรรคประชาธิปัตย์และธงของพรรคเพื่อไทยหากเอาด้วยจบเลย”พอพูดเสร็จไม่นาน “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” ได้ลุกขึ้นตอบโต้“ป๋าเหนาะ” อย่างดุเดือดว่า“เรื่องที่เสนอเท่ากับ ฮั้วการเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ประชาธิปัตย์ และ เพื่อไทย ความขัดแย้งได้พัฒนาก่อนการรัฐประหาร มันได้พัฒนาต่อเนื่องรุนแรงหนักหน่วงมาตลอด”แต่เมื่อดูจากหลากกระแสหลายประเด็น...นอกจาก “ชำนิ” แล้ว ยังมีคนในประชาธิปัตย์อีกหลายคนที่นัดพบปะกันเป็นกลุ่มย่อยนำเรื่องนี้ไปพูดอย่างสนุกสนานว่า“รัฐบาลแห่งชาติ” เป็นรัฐบาลชาติไหน??

หากตั้งแล้ว...ประเทศชาติบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขจริงๆ อย่างนั้นหรือ เกรงว่า...มันจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงไปถึงประชาชน...คนภาคเหนือ ใต้ อีสาน ออก ตก กลับยิ่งต้องหัวปั่น...ก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ผู้มีอำนาจกำลัง ยัดเยียดให้ด้วยความไม่เต็มใจรัฐบาลแห่งชาติ...ที่ป๋าเหนาะภูมิใจนำเสนอ เป็นความคิดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการ “แบ่งแยกประเทศ”ยิ่งพักนี้มีกระแสความคิด แบ่งแยกประเทศไทย เป็นไทยเหนือ และ ไทยใต้ ดูเหมือนจะพูดกันเป็นเรื่องตลก...เรื่องพูดเล่นหรือประชดประชันแต่ที่น่ากลัว คือ มีการพูดถึงกันมากขึ้น...ยกตัวอย่าง...อุทาหรณ์ สงครามการเมือง ในประเทศ“เคนยา” ที่ลุกลามบานปลายไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพราะคำว่า “การเมือง” คำเดียวแท้ๆบางทีความคิดเห็นของผู้เฒ่า “ยุคอะนาล็อก” ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับโลก “ยุคดิจิตอล” ได้เสมอไป...การนำมาใช้ต้องเป็นการนำมา “ประยุกต์” ไม่ใช่ยึดติดกับความคิด มาตรฐานเดิมของตนคนแก่เก่าเล่าความหลัง...จนบางครั้งก็เกิด “ช่องว่าง” ซึ่งบางคนอาจรับกับ แนวความคิด ของท่านไม่ได้แต่ก็ต้องย้อนถาม “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” กลับไปว่า เมื่อไม่ตั้งรัฐบาลแห่งชาติแล้ว...ประชาธิปัตย์ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศนำทีมโดยนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งเช่นนี้ “ประชาธิปัตย์”จะสามารถนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ว่า “ประชาธิปัตย์” ก็คือส่วนหนึ่งที่สังคมยังมองว่า...เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงของประชาชนเป็นเพียงรัฐบาลที่ขึ้นมาเพราะได้รับการ “โหวตเสียงลงคะแนน” จาก ส.ส.ในสภาฯ ซึ่งมีการ ล็อบบี้ กับ วิ่งเต้นจนเป็นที่มาของ “รัฐบาลไฮแจ็ค”“ชำนิ” ในฐานะลูกหม้อประชาธิปัตย์...ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นพรรคการเมืองของตนนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญแต่อย่าลืมคิดว่า...ถ้ายังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ต่อไปฝ่ายหนึ่งทำอะไรผิดหมด อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรถูกหมด...แม้ไม่อยากแบ่งแยก…แต่ในที่สุดคงแบ่งแยกกันโดยปริยายเพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนยอมให้กดขี่ตลอดไป“ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” รู้อยู่เต็มอกว่า...กว่า “อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ” จะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “ประชาธิปัตย์”ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักแทบตายเพียงใดพอขึ้นมาเป็นรัฐบาลเริ่มปฏิบัติหน้าที่ดำเนินงาน...ซึ่งประชาธิปัตย์เองรู้ดีถึงสถานการณ์ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองไม่สงบแต่เมื่อก่อนนี้ตั้งมาตรฐานไว้ว่า...“ถ้ามีคนมาชุมนุมขับไล่มากๆ เป็นผม ผมลาออก” ทว่า ปัจจุบันจำเป็นต้องตั้งมาตรฐานใหม่ว่า...

“ถ้าคนมาชุมนุมขับไล่นับแล้วหากมาไม่ครบ 65 ล้านคน...อย่าหวังว่าผมจะลาออกให้เมื่อยตุ้ม!”รอไปก่อนก็แล้วกัน ประเทศนี้ไม่ใช่ของตนคนเดียว พังเป็นพัง...ขออยู่ต่อให้หายอยากก่อนก็แล้วกันเป็นปัญหาที่แม้แต่ “ประชาธิปัตย์” เองก็ยังแก้ไม่ตก...แล้วจะเรียกให้ประชาชนหันหน้ามา “ศรัทธา” ได้อย่างไรเมื่อผู้มีอำนาจในคณะกรรมการสมานฉันท์ยังมี ความเห็นขัดแย้ง และยังเป็นการยกเอาเหตุผลซึ่งดูแล้วจะ “เข้าข้าง”ทางฝักฝ่ายพรรคพวกตัวเองประเทศชาติมันก็ยิ่ง “แตกแยก”หากวันหนึ่ง...มี อัศวินขี่ม้าขาว มาเสนอแนวคิดแบบอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย คือ แต่ละรัฐหรือเขตการปกครองมีรัฐบาลท้องถิ่น แล้วก็มีรัฐบาลกลางร่วมกันโดยมีรัฐบาลกลางดูแลเรื่อง คมนาคม การทหาร และสาธารณสุข เป็นต้น เป็นกิ่ง เป็นใบ เป็นราก แล้วแต่อยากจะเป็นประชาชนต้องการใจจะขาด...แต่ผิดกับผู้มีอำนาจที่ไม่คิดกระทำ เพราะผลประโยชน์ไม่รู้ไปตกอยู่ในมือใครอาการโหยหา “คนดี” กับ “ปฏิวัติสังคมไทย” เป็นสิ่งที่ยังต้อง เรียกร้อง กันต่อไปการเสนอความคิดเห็น...การตอบโต้ของคณะกรรมการสมานฉันท์ ทั้ง “เสนาะ เทียนทอง” และ “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์”เราในฐานะคนไทยจำเป็นต้องคิดตามใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ นักการเมือง หรือ ประชาชนสรุปแล้วโต้วาทีคราวนี้ เสนาะ VS ชำนิ เสียมวยพอๆ กัน!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................

ความถดถอยของอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย?

ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น

นิสิตปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

หลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาผมรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..

หลังจากการชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจบสิ้นลงพร้อมกับเพลิงพิโรธในจุดต่างๆรอบ พื้นที่การชุมนุมและบางพื้นที่ใน

เขตที่มั่นแดงต่างจังหวัด ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้ (11 มิย 2553) ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงยังไม่นิ่ง รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนอาจพิการตลอดชีวิต ..

ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์โดยตรงเพราะพาตัวเองเข้าพื้นที่ปะทะในวันที่เสธแดงถูกยิงวันที่ 13 พค 53 จนถึง 14 พค 53 ต่อเนื่องกัน 2 วัน ในวันสุดท้ายที่ผมอยู่ในพื้นที่ตอนกลางวันผมเห็นทหารเต็มไปหมด ถนนแทบทุกเส้นรอบพื้นที่ชุมนุมปิดตาย การจะเข้าพื้นที่ได้ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะเข้าไปทางชุมชนใกล้ๆบริเวณนั้น ..

คืนวันที่เสธแดงถูกยิงเป็นวันที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต เพราะหลังจากที่เสธแดงถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็มีการปะทะกันทั้งคืน ในห้วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเสธแดงถูกยิง ในพื้นที่บังเกอร์แดงโซนศาลาแดงถูกกลุ่มกระสุนปืนลึกลับยิงสวนเข้ามาในค่าย ทำให้ผมเห็นคนล้มลง 2 คน หนึ่งในนั้นหัวสมองกระจายเรี่ยราดบนพื้นถนน ตัวผมเองก็เกือบถูกลูกปืนพุ่งใส่ขาซ้ายซึ่งกระสุนลูกนั้นวิ่งผ่านขาผมไปดัง "ฟึ่บ!!" ไปกระแทกกับพื้นถนนเป็นรู ลูกปืนมาจากด้านบนแน่นอนเพราะวิธีกระสุนเฉียงจากที่สูง ..

สถานการณ์ ตอนนั้นแย่มากจนผมต้องถอยไปตั้งหลักยังหลังเวทีราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ ยังมีการปั่นไฟใช้สว่างไสว (โซนบังเกอร์ศาลาแดงมืดทั้งแถบ) ตลอดทั้งคืนผมได้ยินเสียงปืนประปราย เป็นคืนอันยาวนานสำหรับผมในพื้นที่สงครามเช่นนี้ ..

วันต่อมาผม พยายามลัดเลาะเข้าพื้นที่ราชประสงค์อีกแต่อยู่ได้เพียงครึ่งวันผมต้องพาตัว เองออกมา การข่าวของผมแจ้งว่าจากวันนี้ไป (14 พค 53) ทหารจะเข้ากวาดล้างในพื้นที่ ..

ระหว่างวันที่ 17-19 พค 53 เป็นวันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของสยาม การเข้ากวาดล้างคนเสื้อแดงของทหารรัฐบาลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมในนาม "การกระชับพื้นที่" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฎิเสธความรุนแรงอันเกิดจากการล้อมปราบของรัฐบาลได้ ..

หลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างประชาชนและทหาร รัฐบาลก็ตามไล่กระทืบซ้ำพี่น้องเสื้อแดงทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน มีการบุกจับแกนนำแดงทั่วประเทศ แกนนำบางส่วนหนีไป บางส่วนถูกยิงตาย บางส่วนเข้ามอบตัว หลายส่วนเตรียม "ยุทธศาสตร์" สำหรับครั้งต่อไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง ..

มวลชนพี่น้องเสื้อแดง หลายพื้นที่เท่าที่ตัวผมได้สัมผัสโดยตรง ภาคตะวันออกมี ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี ตราด อีสานมี อุบล ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ยโสธร อุดร ในขณะนี้อยู่ในสภาพโกรธแค้นชิงชัง สับสน และกำลังใจหดหู่ ส่วนในระดับแกนนำท้องถิ่นนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขากล่าวกับผมว่า "ครั้งต่อไปจะนองเลือดกว่านี้ และประชาธิปไตยจะต้องชนะ" ..

ผมแน่ใจว่าพวกเขาพูดจริง ในระดับมวลชนผมค้นพบว่าหลังจากราชประสงค์แตกย่อยยับทำให้ "ความคิดทางการเมือง" ของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขารู้แล้วว่าการสู้รบครั้งต่อไปเขาจะสู้กับ "ใคร" อย่างชัดเจน ..

การจัดตั้งมวลชนในระดับพื้นที่แถบอีสานและภาคเหนือเพิ่มความเข้มมากยิ่งขึ้นในระดับที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นความน่ากลัวในระดับที่รัฐบาลฝรั่งเศสก่อน 1789 ได้รับจากฝ่ายประชาชน เป็นความน่ากลัวในระดับรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ได้รับก่อน 1917 ..

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนี้กำลังสำแดงพลังของมันในฐานะปัจจัยหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัว ต้นตอของปัญหาไม่เคยถูกแก้มานานแสนนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงตามไล่ล่ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเลือดเย็น ..

วิธีการที่พวกอนุรักษ์นิยมนำมาใช้จัดการกับปัญหา คือ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงทั้งความคิดและกายภาพ พวกเขาเชื่อว่าปากกระบอกปืนสามารถสยบประชาชนลงแทบเท้าของเขาได้ พวกเขาเชื่อว่าการปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้กฎหมายสามารถกวาดล้างสำนึกทาง การเมืองของประชาชนได้ พวกเขาเชื่อว่าประชาชนโง่ดักดานตามพวกเขาไม่ทัน ..

อนิจจา...ความ เชื่อเหล่านี้เกิดจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น พวกเขามองไม่เห็นพัฒนาการใดๆทั้งสิ้นของประชาชน พวกเขายังนึกว่าประชาชนถูกทักษิณซื้อหรือมาเพราะนักการเมืองจัดตั้ง ..

ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน "บนที่สุด" ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจการปกครองออกจากมือ พวกเขาเชื่อว่าประเทศนี้ชนชั้นของตนดีที่สุด พวกเขาไม่เชื่อประชาชน พวกเขาไม่เชื่อความเปลี่ยนแปลง พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น ..

การรักษาอำนาจของเขาทำให้ประชาชนนับร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาฆ่าแม้กระทั่งคนแก่ เด็ก อาสาสมัครจิตอาสา ผู้หญิง คนที่ไม่มีอาวุธในมือ ..

พี่น้องประชาชนผู้สูญเสียเขาไม่สนใจคำอธิบายใดๆของรัฐทั้งสิ้นเพราะรัฐไปฆ่าเขา คำว่าปรองดองเป็นคำที่ตลกร้ายที่สุดสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการ "เอาคืน" ของประชาชนแล้ว ..

ความปรองดองบนพื้นฐานความกลัว คือความหายนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง

ประวัติราชประสงค์

"จตุพร"ชี้แดงทยอยตาย3ศพแล้วท้า "สุเทพ"สาบานวัดพระแก้ว ขู่เจอปชช.รอบ3สถานการณ์เลวร้ายมาถึงเร็วแน่

นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงกรณีการตายของนายศักดิ์นรินทร์ กองแก้ว หรือ "อ้วน บัวใหญ่" แกนนำนปช. จ.นครราชสีมา ว่า นอกจากมีนายอ้วนแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมีคนตายอีก 1 คนที่จ.นครพนม และล่าสุดอีก 1 ศพที่เป็นศพที่ 3 ที่พัทยา ซึ่งเป็นการ์ดนปช. แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการไล่ล่าประชาชนทั้งที่ได้ยุติการชุมนุมและเขากลับบ้านก็ยังไปไล่ล่าเขาถึงที่บ้าน ถ้ารัฐบาลไม่ทำแล้ว แมวที่ไหนจะทำ

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขอท้านายสุเทพสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วว่ากล้าหรือไม่ เพราะทราบมาว่าอาวุธที่ยึดได้ที่ราชประสงค์มีแค่ปืนสั้น 2 กระบอกเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้พรรคพวกที่ร่วมประชุมในศอฉ.ได้บอกกับตนว่า เขารู้สึกอับอายรวมทั้งกรณีที่มีการนำอาวุธมาจัดฉากอย่างมากมาย ที่ผ่านมามีคนตายกว่า 80 คน การที่รัฐบาลระบุว่า คนที่ตายเป็นมืออาชีพ ที่สามารถนำอาวุธไปทิ้งได้ ขอถามว่าคนที่ตายไปแล้วจะนำอาวุธไปทิ้งได้อย่างไร ถือเป็นการใส่ร้ายแบบปัญญาอ่อน ทั้งนี้ในวันที่ 13 มิ.ย.เวลา 15.00 น.ตนพร้อมด้วยพ.อ.อภิวันท์วิริยะชัย รองประธานสภา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปรวมงานเผาศพนายอ้วน ที่ จ.นครราชสีมา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่กัน

"สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสั่งฆ่าประชาชนมากมายเท่านี้ หากไม่หยุดไล่ล่าล่าฆ่าประชาชน สถานการณ์ที่เลวร้ายก็จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะประชาชนที่ถูกตามไล่ฆ่า รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องได้รับการเยียวยาสภาพจิตใจ มีความคับแค้น หากมีการโดนจับโดนตามฆ่า ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเช่นนี้จะเจอประชาชนรอบที่สาม การที่ไปยัดเยียดความตายให้กับเขาแม้ว่าเขาจะกลับบ้านไปแล้วกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะกล้าสุดถึงกล้าที่สุด เพราะขนาดหมาจนตรอกก็ยังสู้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุการตายของแกนนำนปช. ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะมีการต่อสู้กันใต้ดินระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดงใช่หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของคนเสื้อแดงยืนยันว่า เราไม่มีแผนที่จะเดินเกมใต้ดินเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล แต่เราจะต่อสู้บนดิน เพราะขณะนี้อำนาจเถื่อนอยู่บนดินชัดเจน รัฐบาลมีพฤติกรรมแบบศาลเตี้ย ฝ่ายตนมีหน้าที่ตาย ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่ฆ่าประชาชน
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

ฆ่าชนส่วนใหญ่ เอาใจกาลีชน บนความคับแค้นหลายสิบล้านชีวิต

บนเวทีแห่งเสียงเพลง เพื่อฉลองความสำเร็จแห่งการฆ่าประชาชนในชาติ ของคนที่เขาเรียกว่าทหาร(ของใคร) ที่ไม่ใช่ทหารของประชาชน

งานนี้จัดเพื่อฉลองความสำเร็จของละคร "ตบตาประชาชน" ที่ใช้ทุนมาจากภาษีประชาชนในชาติ โดยมีสปอนเซอร์ใหญ่ คือพวกพันธมิตรและหญิงโฉดชายชั่ว ที่หลายคนใช้คำว่าไฮโซชั้นสูง(จิตใจต่ำทราม)

ละครเรื่องนี้สร้างขึ้นให้คนไทยชม
ผู้กำกับการแสดง และเบื้องหลัง วอร์รูมคือทีมงานของพันธมิตร
นักแสดงหลักคือทหาร ที่สวมบทเป็นเป็นผู้ร้าย(ชายชุดดำและประชาชนหลากสี)
และสวมบทพระเอกในเรื่องโดยไก่อู

พระรองคือหมอ-าตุลย์ ที่ใช้รพ.จุฬา เป็นฐานทัพหลักในการแสดง มีนักแสดงมืออาชีพคือบุคคลากรในรพ.จุฬา ที่ตีบทแตกโดยการสวมบทบาทร้องเพลงทั้งน้ำตา ขณะเข็นผู้ป่วย

โดยมีประชาชนและทหารผู้น้อยที่ถูกล้างสมองเป็นตัวประกอบฉากของ ศอฉ.
จุดประทุความเข้มข้นของเรื่องด้วย M79 รายวันก่อนสลาย แล้วป้ายสีประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย
(ซึ่งเป็นที่น่าสังสัยว่าหากเสื้อแดงมีอาวุธสงครามจริง หลังเหตุการณ์แทนที่จะมีมากขึ้นเพราะอยู่ในสภาวะเคียดแค้นแต่วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าคนยิงชงเรื่องคือผู้กำกับเรื่องเอง)

ประชาชนหลายแสนหลายล้านที่ออกมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม และประชาธิปไตย ถูกศอฉ.วางตัวให้เป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่รู้ตัว โดยยัดเยียดด้วยอาวุธจริง และกระสุนจริง และทหารแฝงตัวแทนผู้ชุมนุม โดยไม่ต้องใช้ ปืนปลอมและตัวแสดงแทน

หลายสิบ หลายร้อย และหลายพันสังเวยชีวิตด้วยการบาดเจ็บล้มตาย จากใบสั่งฆ่า500ชีวิต ที่นายทุนใหญ่เจ้าของละครเรื่องนี้สั่งมา ให้ประชาชนสังเวยชีวิตในละครฉากนี้ โดยมีค่าหัวคนละ 2แสน(ถ้ากล้าไปเอา)

งานฉลองการตายครั้งประวัติศาสตร์ของประชาชนไทย ถูกจัดขึ้นในค่าย ราบ11 ด้วยบรรยากาศแสนชื่นมื่นกับการแสดงความยินดีในบทบาทของ นายไก่อู ที่ประทับใจสังคมไฮโซอย่างล้นเหลือ

แม้ว่าคนกลุ่มหนึ่งที่ยินดีกับการฆ่านักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ก่อการร้ายในเรื่อง จะบอกว่าเขาชนะแล้ว ละครจบแล้ว

แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านบทบาทนี้จากทั่วโลก เชื่อว่าละครเรื่องนี้ที่ศอฉ.สร้างขึ้น พึ่งเป็นตอนแรก ภาคแรกแค่นั้น
เพราะนักแสดงที่เขายัดเยียดให้เป็นผู้ร้าย นั้น คือชีวิตจริง ตายจริง จากกระสุนจริงของ ผู้สร้างละคร

โดย DemocraticThai
********************************************

เสียงรบ.เฉียดฉิว ส.ส.โหวตงบฯ239เกินกึ่งหนึ่งแค่คนเดียว ลุ้นงูเห่าพผ.ไม่เบี้ยว มะกันชี้ไทยจุดเลวร้าย

เสียงรัฐบาลเฉียดฉิว ส.ส.โหวตงบฯ 239 เกินกึ่งหนึ่งแค่เสียงเดียว หวังพึ่งกลุ่มงูเห่า"พผ."ไม่กลับคำช่วยหนุน "บิ๊กบัง"ไม่ขัด"มาตุภูมิ"จับมือ"เพื่อแผ่นดิน" ยันพร้อมลงเลือกตั้ง 2 ระบบ พท.เชิญ"บิ๊กจิ๋ว"ติวเข้ม ส.ส.พรรคที่พัทยา 18-19 มิ.ย.วางแนวทางสู้ใหม่ รองผู้ช่วย รมต.สหรัฐชี้ยังยากคาดเดาผลลัพธ์เหตุรุนแรงทางการเมืองไทยที่เลวร้ายสุดในครั้งนี้

รัฐบาลยังกังวลต่อเสียงส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 หลังมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นพ.อลงกต มณีกาศ โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) นำรายชื่อ ส.ส.พผ.ที่ถูกปรับออกจากรัฐบาล มาเปิดเผยว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 18 เสียง ประกอบด้วย
กลุ่มวังพญานาค 8 คน
กลุ่มโคราช 4 คน
กลุ่มสุรินทร์-ปราจีนบุรี 5 คน และ
กลุ่มดาวกระจาย 1 คน

เมื่อนำไปหักกับจำนวนเสียงพผ. 32 เสียง จะเหลือส.ส.พผ.ที่ยังอยู่รัฐบาลเพียง 10 เสียง อันได้แก่กลุ่มบ้านริมน้ำ กลุ่มของนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และพวกไม่มีกลุ่ม ส่วนกลุ่มพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จำนวน 4 เสียง ขณะนี้ ยังไม่แน่นอนว่าอยู่ฝั่งใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดังนั้น เมื่อนำเสียงส.ส.รัฐบาลที่มีอยู่เดิม 275 เสียง ไปหักส.ส.พผ. ที่ไม่ชัดเจนว่า อยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ก็จะเหลืออยู่เพียง 253 เสียง แต่ในส่วนของฝ่ายค้านก็ มี ส.ส.ที่พรรคร่วมรัฐบาลฝากไว้ ทั้งในพรรคเพื่อไทย(พท.) จำนวน 4 เสียง ในพรรคประชาราช (ป.ช.ร.) 2 เสียง บวกกับส.ส.พรรคมาตุภูมิ 3 เสียงที่แปรพักตร์มาอยู่กับรัฐบาล ทำให้รัฐบาลจะมีเสียงทั้งหมด 262 เสียง ซึ่งการโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2554 รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.จำนวน 23 คนไม่สามารถลงมติได้ ทำให้รัฐบาลเหลือเสียงที่โหวตได้อยู่เพียง 239 เสียง เกินกึ่งหนึ่งที่ 238 เสียง มาเพียงเสียงเดียวเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าอย่างไรก็ตาม การที่ส.ส.พผ.ที่ถูกขับออกจากรัฐบาล ยืนยันว่าจะโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2554 ทำให้ความกังวลว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯดังกล่าวจะถูกคว่ำลดลงไป เพราะหากร่างพ.ร.บ.งบประมาณถูกคว่ำ ตามมารยาทนายกฯจะต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลจะไม่มีงบฯไปใช้ในการพัฒนาประเทศ

ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เวลา 09.00 น. พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าที่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคว่าเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของมติพรรค เนื่องจากเห็นว่าช่วยทำงานให้กับประเทศชาติได้ ส่วนการดึงสมาชิกพผ.มาร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคมาตุภูมินั้น ทั้งสองพรรคมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และไม่ขัดข้องที่จะทำงานร่วมกัน แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคและความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า พรรคมาตุภูมิไม่ได้เร่งรีบเรื่องการเลือกหัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตามหากมีการเลือกตั้งพรรคก็พร้อม โดยส่วนตนพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระบบสัดส่วนและระบบเขต

ด้านนายคณวัตร วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พท.จะจัดงานสัมมนาส.ส.ของพรรค ขึ้นในวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ ที่ พัทยา จ.ชลบุรี เพื่อประเมินและหารือการดำเนินงานทางการเมืองของพรรคก่อนที่จะมอบหมายให้ส.ส.แต่ละคนลงพื้นที่ในช่วงสมัยปิดประชุมนี้ ทั้งนี้เบื้องต้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย มีกำหนดที่จะบรรยายให้กับส.ส.ของพรรคได้รับฟังในมิติของการเมืองไทยหลังจากนี้ไปว่าทิศทางจะไปอย่างไร นอกจากนี้ พรรคยังอยู่ระหว่างการประสานงานกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้มาบรรยายเรื่องยุทธศาสตร์การทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านด้วย

ส่วนความคืบหน้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)หลังพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและ 4 รัฐมนตรีนั้น นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน แบ่งคณะทำงานเพื่อไต่สวน คดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากข้อกล่าวหา มีเป็นจำนวนมากนับ 10 ประเด็น จึงต้องแบ่งคณะทำงานออกเป็น 2 ทีม

"ทีมแรกรับผิดชอบสำนวนที่เกี่ยวกับประเด็นสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง มีผมและนายวิชัย วิวิตเสวี เป็นผู้รับผิดชอบ ทีมที่สองรับผิดชอบสำนวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต่างๆ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วง การออกใบอนุญาตเปิดร้านขายปืน รวมถึงเรื่องที่ดินเขาแพง ที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า มีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและหาว่านายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพถือที่แทนนายสุเทพด้วย มีนายกล้านรงค์ จันทิก นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และนายภักดี โพธิศิริ เป็นผู้รับผิดชอบ

สำนักข่าวเอพีรายงานวันเดียวกันว่า นายสก็อต มาร์เซียล รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนนี้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาหวังว่าประเทศไทยที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบางจะสามารถฟื้นคืนจากเหตุประท้วงรุนแรงได้ในที่สุดเมื่อการถกเถียงทางการเมืองย้ายที่จากตามท้องถนนมายังรัฐสภาแล้ว

นายมาร์เซียลซึ่งเข้าให้ปากคำต่อที่ประชุมสภาคองเกรส กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ของเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในช่วงอายุคนของเมืองไทยหนนี้ได้ และย้ำด้วยว่าความแตกแยกในระดับรากฐานของสังคมที่นำไปสู่เหตุการณ์ประท้วงหนนี้ยังคงอยู่ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงควรทำหน้าที่อย่างหนักเพื่อความปรองดองและร่วมกันประณามความรุนแรงใดๆ

ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

ศาลปล่อยตัวสมยศ พฤกษาเกษมสุข ให้เหตุผล "ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดไม่ต่างจาก ดร.สุธาชัย"

ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมนายสมยศ พฤกษาเกษมสุขตามคำร้องของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"

ศาลยกคำร้อง ศอฉ.กรณีขอคุมตัว “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ต่อครั้งที่ 3 ชี้ ไม่มีความจำเป็น เหตุความวุ่นวายสิ้นสุดแล้ว

ทั้งนี้ กำหนดควบคุมรอบที่ 2 ตัวของ นายสมยศ จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยวันศุกร์ ที่ 10 เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ต้องไปขอขยายเวลา เจ้าหน้าที่ตาม อย่างไรก็ตาม นายสมยศได้ร้องคัดค้าน และศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมตัวของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"

นายสมยศ ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. พร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่ค่ายอดิศร จ.ลพบุรี ซึ่งดร. สุธาชัยได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อนตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถไปรับตัวออกมาจากค่ายอดิศร แล้วนำตัวมาส่งที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อสอบปากคำและทำเอกสาร จากนั้นจึงมีญาติมารับและเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว ทราบเพียงว่ามีตำรวจจากกองปราบวิทยุมาที่ค่ายทหารให้ปล่อยตัวก่อนเวลาที่จะถูกนำตัวออกมาไม่นานนัก

ก่อนหน้านี้มีกอาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักวิชาการได้ร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสุธาชัย ขณะที่เครือข่ายแรงงานทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศก็ออกแถลงการณ์และร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศเช่นกัน
ที่มา.ประชาไท
*********************************************

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พูดเป็นต่อยหอย!!

พูดเป็นต่อยหอย!!
“บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แห่ง พรรคภูมิใจไทย พูด “ปล่อยไก่” ช่างบ่อย ดูแล้วช่วงนี้ พูดเอง! เออเอง! ชงเอง! กินเอง! จนเป็นนิสัย?...อยู่ ๆ “รัฐมนตรีบุญจง” หยอด เป็นตุเป็นตะ สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน “กลุ่มพญานาค” ของ “พินิจ จารุสมบัติ” มุดมุ้งดอดเข้าไปผสมพันธุ์ อยู่กับ “ภูมิใจไทย” “อดีตรัฐมนตรีพินิจ”..อยากดีดปาก เพราะเป็นเรื่อง เหลวไหล ยืนยัน จาก พญาบอสกลุ่มพญานาค “คุณพี่พินิจ” ซึ่งเดินทางกลับจากจีนเมื่อวันวาน....ยังต่อปลั๊ก รักกันแน่นปึ๊ก กับ “กลุ่มโคราช” ของ “ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” เป็นอย่างดี และยังจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ..ไม่มีการแตกคอ ย้ายขั้วสลับข้างไปซบ “พรรคภูมิใจไทย” ให้เสียศักดิ์ศรี!!! “รัฐมนตรีบุญจง”เลิกตีขุม......พูดแบบเดาสุ่ม? ..ไม่คุ้ม กับเกียรติแห่งรัฐมนตรี??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ความจริง” ย่อมเป็น “ความจริง”
“คุณพี่ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้เป็นเทวดาตกสวรรค์มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ ...เป็นผู้มีผลงาน สร้างสรรค์อลังการ ที่โดดเด่น เป็นอย่างยิ่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” ใต้คอนโทรล สั่งการ กำกับการ ดูแล ของ “อดีตรัฐมนตรีชาญชัย” แสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง.. มีคนขอมาลงทุน เดือนละ หมื่นล้าน แสนล้าน จนเศรษฐกิจไทยกระฉูด พุ่งไม่หยุด เสร็จสรรพ “ผลงานเลิศ”...แต่ถูกไล่ตะเพิด เป็นได้ไงกันขอรับ นี่เป็น ความสามารถโดยเฉพาะตัว ของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่บริหาร “กระทรวงอุตสาหกรรม” ด้วยความสามารถล้วน ๆ ..ไม่เกี่ยวกับ “สรยุทธ เพ็ชรตระกูล” ผู้ช่วย รมต.อุตสาหกรรม ..พอ “รัฐมนตรีชาญชัย” พ้นตำแหน่ง “ผู้ช่วย รมต. สรยุทธ” ก็บึ่งไปรับใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ซุเปอร์ห้อย” ไม่รอรี!!! พอ “เพื่อแผ่นดิน” ไม่มีอำนาจ...ก็ทิ้งหนีตัดขาด...อุ้ยไม่มีมาทยาทเลยนะนี่????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่รู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
อดใจ ไม่ผลีผลาม ด่วนเร็วใจง่าย ล่ะก้อ.. “ไชยยศ จิรเมธากร” สส.พรรคเพื่อแผ่นดินที่แตกฝูง คงไม่ต้องตำแหน่งต๊อกต๋อย เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” เพราะเป้าหมายตำแหน่งใหญ่นั้น.. “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” คนปั้น กะให้ “รัฐมนตรีไชยยศ” ก้าวเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง แต่นี่ชิงสุกก่อนหาม....จึงได้ตำแหน่งต่ำ อย่างคาดไม่ถึงเป็นเพียง “รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ” วัน ๆ จับเจ่า ๆ นั่งตบยุงแก้เซ็ง!! อนาคตน่าเรืองรอง...กับต้องหมอง..เป็นแค่ “รัฐมนตรีมือสอง” เท่านั้นเอง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่เคลื่อนไหวอันดับ
ทำตัวเงียบเฉียบ เหมือนอยู่ในป่าช้า .. สำหรับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไงเล่าครับ??? เฉพาะพื้นที่เขตเลือกตั้ง จังหวัดนครราชสีมา ..ซึ่งเป็นฐานเดียว เขตเดียว ที่ “พรรครวมชาติพัฒนา” จะได้สส. ๑๗ เก้าอึ้ผู้แทนจังหวัดนี้.....”คุณพี่สุวัจน์” จะแพ้เรียบ ไม่เหลือหรอ หากยังปล่อยให้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ขยายพื้นที่ กระชับพื้นที่ กินแดน ลุกลามเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ที่ “สุวัจน์ ” ดูแลอยู่ “ภูมิใจไทย”เร่งสปีด....ตั้งเป้าเพื่อพิชิต...ดับ “สุวัจน์”ให้สนิท อย่างไม่มีทางสู้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กฎหมายศรีธนญชัย
แล้ว นักธุรกิจ ผู้บริหารชั้นนำ ของ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานการผลิตรถไปอยู่ที่อินโดนิเซีย พ้นออกจากพื้นที่ แผ่นดินไทย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้อาณัติ “กฎหมายไทย” ที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้เลน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......ไทยจะเสียหาย ล้มละลายเหมือนตายทั้งเป็น คนงานไทย ที่ทำอยู่ใน “บริษัทโตโยต้า” กว่า ๒ ล้าน เหยียบ ๓ ล้านคน ต้องต้องงาน....อันมาจาก “ต่างชาติ” ไม่เชื่อในน้ำยา ของ “กฎหมาย” ที่ชี้ถูกชี้ผิด ตามใจของผู้มีอำนาจบริหารประเทศ...หาก “บริษัทญี่ปุ่น” เกิดคดีความกับ “รัฐบาลไทย” แล้วใช้กฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน เขามีแต่เสียเปรียบ...อย่างเช่นกฎหมายยุบพรรคนั้น ถ้าเป็นพรรคอื่น ก็ล้มอย่างระเนระนาด แต่เป็น “พรรคประชาธิปัตย์” กับอยู่ได้สบายแฮ!!! “ต่างชาติ”พากันหนีหาย....เพราะเซ็งกฎหมายไทย...ที่ไร้ประสิทธิภาพ ยอดจะแย่????

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************

ล่ามโซ่ผู้บาดเจ็บ: ข้อหาละเมิด พรก.ฉุกเฉิน


โดย Niwat Puttaprasart
ล่ามซ้ำ – นายณัฐพล ทองคุณ และนายจรัญ ลอยพูล
ถูกยิงด้วยเอ็ม 16 ต้องนอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจ
พร้อมกับถูกล่ามโซ่ด้วยข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร้องขอความเป็นธรรมผ่านผู้สื่อข่าว
ว่าถูกกระทำซ้ำทั้งที่บาดเจ็บและไม่ใช่แกนนำม็อบ

หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลส่งกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุม
ของกลุ่มนปช.ที่ราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 90 ราย และบาดเจ็บอีกนับพันคนนั้น มีรายงานของ
ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ระบุว่าล่าสุดยังมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์
ดังกล่าว รักษาตัวตามโรงพยาบาล 12 แห่ง จำนวน 26 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่โรงพยาบาลตำรวจ พบผู้บาดเจ็บ 2 คน คือ นายจรัญ ลอยพูล อายุ 39 ปี
และนายณัฐพล ทองคุณ อายุ 20 ปี ทั้งสองคนเป็นคนกรุงเทพฯ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในช่วงทหารกระชับวงล้อม
แยกราชประสงค์ โดยนายณัฐพลถูกยิงที่หน้าสน.ลุม พินี วันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ถูกยิงตามร่างกาย 3 นัด
นัดแรกเป็นกระสุนปืนลูกซองที่หัวไหล่ซ้าย นัดที่ 2 โดนกระสุนปืนเอ็ม 16 ทะลุมือซ้าย และนัดที่ 3
โดนกระสุนปืนลูกซองที่ต้นขาซ้าย ส่วนนายจรัล ถูกยิงบาดเจ็บที่แยกประตูน้ำ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.
ถูกยิงตามร่างกาย 2 นัด นัดแรกกระสุนปืนลูกซองเจาะฝังในขาซ้าย และนัดที่สองกระสุนปืนเอ็ม 16 เจาะข้อมือจนทะลุ

นายณัฐพลเล่าว่า ในวันเกิดเหตุเป็นช่วงเที่ยงวันที่ 14 พ.ค. ตนกับเพื่อนขับรถจักรยานยนต์จากถนนเพชรบุรี
จะไปหาเพื่อนอีกคนที่ย่านสา ทร เมื่อมาถึงหน้าสน.ลุมพินี มีกลุ่มผู้ชุมนุมเผารถบัสของตำรวจบนถนนวิทยุ
จึงหยุดดู ตอนนั้นมีทั้งผู้ชุมนุมและชาวบ้านประมาณเกือบ 100 คน ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมจุดตะไลไฟเข้าหากลุ่มทหาร
ทหารจึงยิงปืนชุดแรกเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ตนไม่เป็นอะไร แต่ถัดมาไม่กี่นาที ทหารได้ยิงปืนชุดที่สองเข้ามาอีก
ทำให้ตนโดนกระสุนปืนลูกซองนัดแรกเข้าที่หัวไหล่ และนัดที่สองเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 เข้าที่มือซ้าย
ทำให้กระดูกนิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วชี้ขาด ตนพยายามจะลุกให้คนช่วย แต่ก็ถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่ต้นขาซ้ายอีกนัด
และในที่สุด ผู้ชุมนุมก็สามารถนำตัวมาส่งโรงพยาบาลตำรวจได้

นายณัฐพลกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นหนึ่งวัน ตนฟื้นตัวจากการผ่าตัด มีตำรวจมาสอบสวน
และแจ้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงถูกย้ายจากเตียงผู้ป่วยธรรมดา มาไว้ในห้องผู้ป่วยที่เป็นผู้ต้องหา
กับผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บอีกคน และถูกล่ามโซ่ติดกับเตียง มีตำรวจเฝ้าด้านหน้าอย่างแน่นหนา

“ผมนอนโรงพยาบาล ลงจากเตียงก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ลึกๆ เสียใจ เพราะขับรถมากับเพื่อนดีๆ
โดนยิง โดนจับ โดนข้อหา ต้องขึ้นศาล ญาติมาเยี่ยมได้เป็นเวลา” นายณัฐพลกล่าวและว่า
ก่อนหน้านี้เคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.ประมาณ 2-3 ครั้ง

ส่วนนายจรัล กล่าวว่า วันเกิดเหตุ 19 พ.ค. ช่วงบ่าย ตนเดินไปเดินมาบริเวณแยกประตูน้ำ
เห็นทหารเดินมากลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 นาย ห่างจากตนประมาณ 20 เมตร ด้วยความกลัวตนจึงวิ่งหนี
แต่ก็ถูกทหารกลุ่มดังกล่าวใช้ปืนลูกซองและปืนเอ็ม 16 ยิงเข้าใส่เป็นชุด ชุดละ 5-6 นัด

“ตอนนั้นรู้สึกขาซ้ายขัดๆ วิ่งไม่ได้ สะดุดล้มลง จึงรู้ว่าถูกยิงที่ขา แต่เป็นกระสุนปืนลูกซอง พอลุกขึ้นวิ่งใหม่
ก็ถูกทหารยิงอีก เป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 โดนเข้าที่มือขวา ทำให้เนื้อแขนขวาหายไป และโดนเส้นประสาทด้วย
ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้หายเป็นปกติ” นายจรัลกล่าว

นายจรัลกล่าวด้วยว่า ตอนนี้กังวลใจมากที่สุด เพราะถูกตำรวจตั้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ต้องถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงของโรงพยาบาล และมีตำรวจควบคุมตัวอย่างแน่นหนา โดยก่อนหน้านี้
ตนประกอบอาชีพขายเสื้อผ้าอยู่ที่ประตูน้ำ เมื่อว่างเว้นจากงานจะมาฟังการปราศรัยของนปช.ที่แยกราชประสงค์
แต่ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดนี้

เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม 12 ตึก 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ติดตามประชาธิปไตย
คณะรัฐศาสตร์ จัดเสวนา “นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประ สงค์” โดยมีนายทวีชัย เจาวัฒนา
ช่างภาพอาวุโสเครือเนชั่น นายสุรศักดิ์ กล้าหาญ นักข่าวภาคสนามบางกอกโพสต์ นายตวงศักดิ์ ชื่นสินธุวล
นักข่าวหนังสือพิมพ์มติชน นายสถาพร คงพิพัฒวัฒนา ผู้รายงานข่าวภาคสนาม ทีวีไทย น.ส. ฐปนีย์ เอียดศรีชัย
ไทยทีวีสีช่อง 3 และนายเสถียร วิริยะพรรณพงศา นักข่าวภาคสนาม เดอะเนชั่น ร่วมเสวนา

น.ส.ฐปนีย์ กล่าวว่า ช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา บางครั้งนักข่าวไม่สามารถถ่ายทอด
สิ่งที่เห็นได้ทั้งหมด ต้องยอมรับความจริงว่า สื่อโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ทำงานได้ยากมากในสถานการณ์เช่นนี้
สื่อมีข้อจำกัดเพราะต้องทำงานภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการขอความร่วมมือจากศอฉ.มายังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง
แต่นักข่าวก็ใช้วิจารณญาณของตนเองเป็นหลักในการนำเสนอข่าวต่างๆ อย่างกรณีของตน บางข่าวที่คิดว่าคงนำเสนอทางโทรทัศน์ไม่ได้ ก็นำไปลงไปในทวิตเตอร์ ต่อมาก็เกิดปัญหาคือมีคนนำข้อความไปบิดเบือน ทำให้เกิดการเข้าใจผิด
จนตนต้องหยุดรายงานข่าวไประยะหนึ่ง

น.ส.ฐปนีย์ กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ตนประจำการอยู่ที่บริเวณบ่อนไก่
เป็นจุดหนึ่งที่มีการปะทะกันรุนแรง วันที่ 14 พ.ค. กลุ่มเสื้อแดงก็ทำระเบิดเพลิงและโยนเข้าใส่ทหาร
หทารก็ยิงสวน ถามกันว่าคนเสื้อแดงหรือหน่วยกู้ชีพที่ถูกยิงตาย ใครเป็นคนยิง ตนไม่เห็นว่าทหารยิง
หรือชุดดำยิง จึงต้องรายงานว่าเป็นฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ตลอดระยะเวลาที่รายงานข่าว
คือตั้งแต่วันที่ 14-19 ยืนยันว่าไม่เห็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือประชาชนที่อยู่บ่อนไก่ยิง
และไม่เห็นในจุดนาทีที่บอกกันว่าทหารยิงประชาชนตาย

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า วันที่ 20 ตอนเช้า ตนเข้าไปที่วัดปทุมฯ พอไปถึงก็พบว่าทุกอย่างสงบแล้ว
และมีคนตาย 6 ศพ เราคุยกับผู้ชุมนุม สิ่งที่เราเห็นจากเขาคือเขาจะเงียบ และไม่มีปฏิกิริยาของความรุนแรง
แต่พอได้คุยเรารู้เลยว่าเขาโกรธมาก แต่เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ต่อต้านอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่แย่ที่สุดที่ทำให้
การรายงานข่าวคือเคอร์ฟิว ทำให้สื่อทุกคนต้องกลับบ้านหมด มีแค่สื่อต่างชาติ 3 คน ที่อยู่ในวัดปทุมฯ
เราคงต้องมาตั้งคำถามว่า เคอร์ฟิวที่ประกาศโดยรัฐบาลเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ เพราะมันปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน
ทำให้ไม่มีใครเห็นเลยว่า มีทหารอยู่บนรางรถไฟกี่โมง ทุกคนฟังจากคำบอกเล่าหมด

นายทวีชัย กล่าวว่า เพื่อนของตนที่เป็นช่างภาพคือนายชัยวัฒน์ พุ่มพวง โดนยิงเมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ค.
บอกว่าเป็นกระสุนจากปืนทาโวร์ และทหารเป็นคนยิงแน่นอน เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายองอาจ คร้ามไพบูลย์
เพิ่งจะมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะช่วยเหลืออย่างไร เพื่อนโดนยิงที่โคนขาขวา กระดูกแตก 2 นิ้ว
ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาทำงานได้อีกหรือไม่ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ถึง พฤษภาเลือด สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น
แต่กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องยังเป็นกลุ่มคนเก่าๆ ใช้ยุทธวิธีเก่าๆ เหมือนกันหมด คือใช้คนรากหญ้าเป็นเครื่องมือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของการเสวนา กลุ่มเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำโดยนายวสันต์ สายรัศมี
และนางกาญจนิษฐา เอกแสงศรี ยังได้นำภาพถ่ายและคลิปวิดิโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันปทุมฯ
คืนวันที่ 19 พ.ค. มาเปิดด้วย เป็นภาพของน.ส.กมนเกดถูกยิงเสียชีวิตอยู่ภายในเต็นท์พยาบาล
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยภาพขณะที่พ.ญ. คุณหญิงพรทิพย์ชันสูตรศพของน.ส.กมนเกดในเบื้องต้น
ซึ่งภาพและเสียงระบุว่า มีกระสุนฝังอยู่ในร่างของน.ส.กมนเกดจริง
เรียกความสนใจจากผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

Filed under Unrest in Bangkok, การเมือง, สังคม
*************************************************

เปิดใจ.ลูกสาว เสธ.แดง...

คณิต!! อย่าซ้ำรอย คตส.

ใครมาเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในยามนี้ไม่เหนื่อยใจ ก็ต้องถือว่าผิดแปลกมนุษย์มนาแล้ว เพราะสารพัดเรื่องที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วงต่อเนื่องไม่หยุด ในขณะที่เรื่องเก่าก็คาราคาซังยืดเยื้อ...จบไม่ลง อุตส่าห์ทำบุญประเทศไทย อุตส่าห์ตั้ง นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ให้เป็นประธานกรรมการอิสระ

เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 หรือแม้แต่กระทั่งอุตส่าห์ออกมาแถลงความคืบหน้าเรื่องแผนปรองดองแห่งชาติ แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกเรื่องถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นไปหมด มีเจตนาแอบแฝงไปหมด แม้แต่วันทำบุญที่ทำเนียบรัฐบาลอุตส่าห์

พานางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภริยามาให้เห็นว่า ที่มีกระแสข่าวว่าในช่วงที่ปฏิบัติการ ศอฉ. นั้นทั้งคู่มีปากเสียงระหองระแหงกันอย่างหนัก เพราะนางพิมพ์เพ็ญ ลึกๆแล้วต้องการให้นายอภิสิทธิ์วางมือทางการเมืองเสียที ดังนั้นก็เลยควงมาโชว์ แต่กลับกลายเป็นถูกเมาธ์สนั่นว่า หน้าตาของนางพิมพ์เพ็ญดูไม่มีความสุข

ไม่มีความสดชื่น และแทบไม่มีรอยยิ้มเลย... สังเกตุกันถึงขนาดนั้น แบบนี้จะไม่ให้นายอภิสิทธิ์เหนื่อยใจก็แปลกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับในน้ำอดน้ำทนของนายอภิสิทธิ์ว่า นอกจากดื้อได้ใจแล้ว ยังเหี้ยมเกรียมพอที่จะนิ่งรับแรงกดดันทั้งหมดได้อย่างไม่ยี่หระ แม้แต่กระทั่งคำพูดประเภท“มือเปื้อนเลือด”

หรือ “ทรราช” ซึ่งยังคงระงมอยู่ไม่เลิก ก็ได้แต่หวังว่า หากนายคณิต มีความอดทนเท่านายอภิสิทธิ์ สักครึ่งหนึ่ง คงสามารถที่จะปฏิบัติภารกิจหน้าที่ได้ตามวัตถุประงค์ที่ถูกแต่งตั้งมา และช่วยให้เสียงครหาต่างๆจากเหตุการณ์เลือดพฤษภาหฤโหด 53 ... โดยเฉพาะกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม สามารถคลี่คลายหายไป

เป็นคลื่นกระทบฝั่งได้ในที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่ง่าย เพราะทันที่ที่โผล่ชื่อนายคณิตขึ้นมา ก็เจอเสียงสะท้อนทำนองว่า “เอาอีกแล้ว” หรือ “อีหรอบเดียวกับ คตส.อีกแล้ว” เพราะนายคณิตถูกให้ถามใจตัวเองทันที่ว่าเป็นธรรมหรือไม่นั่ง กับการที่มานั่งเป็นประธานสอบเหตุการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง

การที่นายคณิตถูกตั้งคำถามก็เป็นเพราะมีการเชื่อมโยงเกี่ยวข้องในการพิจารณาคดีเรื่อง สปก. 4-01 ในปี 2537 ซึ่งขณะนั้นนายคณิตเป็นอัยการสูงสุด ปรากฏว่านายคณิตไม่สั่งฟ้องนายชวน หลีกภัย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีตำแหน่งในขณะนั้น ซึ่งในช่วงนั้นนายอภิสิทธ์เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

และที่สุดศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพราะอัยการสูงสุด เลยทำให้ไม่มีการดำเนินคดีกับนายสุเทพ นายชวน และรัฐบาลชุดนั้น ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อีกทั้งนายคณิตยังเคยได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้มาตรวจสอบนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

ที่อ้างว่ามีการทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ที่แย่ก็คือ ทั้งๆที่พูดกันกระหึ่มทั้งสังคมว่า ช่องหอยม่วงนั้นถูกสั่งการให้ตอกลิ่มสร้างความแตกแยก และเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก แต่นายคณิตกลับมีการไปให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ทางช่องหอยม่วง หรือช่อง 11 เป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีการห่วงไปถึง

ความสัมพันธ์หรือความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวระหว่างนายคณิต กับ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะนายถาวรเคยเป็นอัยการก่อนมาเล่นการเมือง ดังนั้น เมื่อ คตส. เคยทำให้เห็นว่ามีการตั้งคนที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เข้ามาเป็นประธาน เข้ามาเป็นกรรมการ แล้วก็เดินหน้าลุยเช็คบิลแบบ “ตั้งธง” จนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมบางคนทุกครั้งที่ออกทีวี จะแสดงท่าทีสะใจบ้าง ยิ้มเยาะเย้ยหยันบ้าง หรือบางคนแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเล่นงานเอาผิด เพื่อที่สังคมจะได้ยอมรับได้ กลับใช้การตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมาเพื่อหว่านล้อมสังคม

ว่าเป็นพฤติกรรมความผิด เล่นเอานักกฎหมาย นักวิชาการที่แท้จริง ต่างมึนไปตามๆกัน เพราะหากผิดจริงก็ใช้กฎหมายเล่นงานได้ตรงๆอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตั้งทฤษฎีเองเลย ที่สำคัญสุดท้ายใช้เวลาเป็นปี ที่เคยอ้างว่าเอาผิดได้แน่ หลักฐานเพียบ คดีนั้นคดีโน้น สุดท้ายก็เหลวแทบทั้งสิ้น ก็แบบนี้แหละที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของ คตส.

กลับเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบเสียเอง จนวันนี้แทบไม่มีใครเชื่อถือ คตส. อีก ดังนั้นประโยคคำถามที่ดังมากในเวลานี้ที่ว่า “รัฐบาลช่วยหาคนที่เป็นกลางหน่อยได้หรือไม่?”นั้น จึงระงมไปทั่ว นายคณิตคงต้องดูบทเรียนของ คตส. เอาไว้เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญ อย่าได้ถลำลึกเดินพลาดแบบ คตส. อีกเป็นอันขาด

เฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศบ้านเมืองที่ความแตกต่างทางความคิดยังคงมีอยู่สูงมาก เนื่องจากบาดแผลความรู้สึกเกี่ยวกับระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐานนั้น ยังกลัดหนองลึกอยู่ในสังคมนั่นเอง จึงไม่เพียงเป็นการบ้านที่กดดันและท้าทายของนายคณิต แต่ยังเป็นแรงกดดันที่ต่อเนื่องมาถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยอย่างหลีกไม่พ้น

ความหวาดระแวงที่ว่า ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดง และนปช.เองก็กำลังเร่งดำเนินคดีอาญา โดยมีการทยอยแจ้งความดำเนินคดี ต่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกในคดีบงการใช้จ้างวานฆ่าประชาชนประมาณ 80 กว่าคดี ตามจำนวนประชาชน-วีรชนที่เสียชีวิต การตั้งนายคณิต จะมีผลต่อรูปคดีเหล่านี้หรือไม่???

จะเหมือนกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงช่วงสงกรานต์เลือดปี52 หรือไม่??? เพราะการสอบสวนกรณีสงกรานต์เลือดปี 52 แม้จะมีการตตรวจสอบจากหลายฝ่าย ทั้งส.ว. ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล บุคคลภายนอก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้นำผลการสอบสวนเหล่านั้นมารายงานให้สังคมได้รับรู้เลย

จะโทษสังคมระแวงและไม่เชื่อถือก็คงไม่ได้ เพราะบังเอิญก็มีร่องรอยให้ตั้งข้อสังเกตุได้จริงๆเสียด้วย ยิ่งกรณีที่ นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ เหตุผลการลาออกคือ

1. นายกฯ เลือกปกป้องรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในข้อหาการทุจริต ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้รัฐบาล
2. จนถึงขณะนี้นายกฯยังไม่มีการประสานงานพูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดินว่าจะ ให้ร่วมรัฐบาลต่อ หรือถอนตัว แต่กลับเอาคนของพรรคไปเป็นเสียงสนับสนุนรัฐบาล เป็นการทำลายระบบพรรค สร้างกลุ่มงูเห่าในการเมือง
3. นายกฯ และรัฐบาลควรขอโทษประชาชน หรือแสดงความรับผิดชอบกรณีล้มเหลวในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ และบกพร่องต่อการทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

ยิ่งเป็น 3 ข้อ ที่เป็นการตอกย้ำถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน ฉะนั้นวันนี้การบ้านในเรื่องของการสร้างความจริงให้ปรากฏ คืนความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังมากที่สุด เพราะลึกๆจิตใจของคนไทยทุกคนก็เบื่อหน่ายความแตกแยกแตกต่าง เบื่อหน่ายการเมืองที่ฉวยโอกาสซ้ำเติม

ทำลายล้างคู่แข่งขันทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจของคนไทยทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ผูกพันจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดมาโดยตลอดและอย่างต่อเนื่อง จึงไม่อยากเห็นกลไกใดมาใช้สถาบันเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างกันทางการเมืองอีกต่อไป งานนี้ไม่หมูแน่ๆ เพราะจนถึงขณะนี้ แม้นายอภิสิทธิ์จะมีการเรียก

ฝ่ายความมั่นคงมาหารือ และประเมินภาพรวมของสถานการณ์ด้านความมั่นคงทั้งหมด เพื่อดูแนวโน้มและความเป็นไปได้ในการยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนักว่า เป็นการพยายามคงอำนาจไว้

เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง ทั้งๆที่สร้างผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะต่างประเทศ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ก็ได้ออกมาเตือนย้ำถึงเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่หยุด ซึ่งประเด็นเหล่านี้นายอภิสิทธิ์เองก็รู้ดี เลยทำให้ต้องมีการหารือว่าสมควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้หรือยัง แต่สุดท้าย

อาจจะออกมาแค่ อาจยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเฉพาะพื้นที่จังหวัดภาคกลางก่อนเท่านั้น ก็คงได้แต่สะกิดเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ที่ผ่านมาสังคมมองว่านายอภิสิทธิ์ พังเพราะนายสุเทพ พังเพราะนายกษิต ภิรมย์ ยังไงก็อย่าให้ต้องมาพังเพราะไม่ยอมเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินตามแรงยุของบางคนอีกเลย ถ้าทำแค่ 3 สิ่ง คือ

คืนความยุติธรรม ล้มระบบ 2 มาตรฐาน และเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลก็อาจจะอยู่ครบเทอมได้ โดยไม่ต้องให้นายสุเทพมาขายฝันว่าจะอยู่ต่ออีก 1 ปี ให้เสียคะแนนเสียเปล่า เพราะอยู่นาน แล้วไม่แก้ปัญหา สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีต่เสียกับเสีย เชื่อเถอะ!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
********************************************

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย อะไรหรือที่ไม่เหมือนเดิม?

โดย.นักปรัชญาชายขอบ

เราได้ยินประโยคเช่นนี้กันบ่อยขึ้น “นับแต่นี้ต่อไปสังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม” แต่อะไรหรือที่ไม่เหมือนเดิม?

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ (อย่างน้อยในช่วงสองทศวรรษหลังมานี้) ทำให้เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เช่น การมีสวัสดิการในการรับบริการสาธารณสุข โอกาสทางการศึกษา การประกันราคาพืชผล การเข้าถึงแหล่งทุน หรือกระทั่งการรักษา/พัฒนาคุณค่า (และมูลค่า) ของทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาของชุมชน ต้องพึ่งพาหรือมีมิติเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐมากขึ้น

ในยุครัฐธรรมนูญ 2540 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญคือ มีการ “แข่งขันทางนโยบาย” ค่อนข้างเด่นชัด แม้การเลือกตั้งจะมากด้วยการซื้อเสียง (ซื้อเสียงกันทุกพรรค) แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนที่รับเงินซื้อเสียง จะปราศจากการใช้ “เหตุผล” ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะผลของการเลือกตั้งบ่งชี้ข้อเท็จจริง (ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนเลือกอย่างมีเหตุผล) ที่ชัดเจนอย่างน้อย 2 ประการ คือ 1) ประชาชนเลือกเพราะชอบนโยบายพรรค 2) ประชาชนเกิดศรัทธาอย่างเหนียวแน่นต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองที่ใช้นโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ที่พวก เขามองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม

แน่นอนว่า เราอาจวิจารณ์นโยบายประชานิยม และรัฐบาลที่คนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าเลือกได้หลายแง่มุม แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเลือกนโยบายพรรค และการที่ประชาชนศรัทธาต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองเพราะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้นั้นไม่ใช่ความก้าวหน้าของ การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน และความก้าวหน้าดังกล่าวนี้เองที่ทำให้คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยได้ค้นพบว่าพวกเขามี “อำนาจ” อยู่จริงในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับชาติ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเขา

การที่ประชาชนส่วนใหญ่ค้นพบว่า พวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” ดังกล่าว ทำให้เกิดการตระหนักในคุณค่าของการใช้อำนาจนั้นให้เอื้อประโยชน์ ต่อชนชั้นของพวกเขามากขึ้น และมีความรู้สึก “หวง” อำนาจของตนเองมากขึ้น จึงทำให้พวกเขาตระหนักว่า “การเลือกตั้ง” มีความหมายต่อการกำหนดอนาคตของพวกเขาเอง ไม่ใช่ “ประชาธิปไตยเพียง 4 วินาที” ดังที่แกนนำพันธมิตรฯ “เข้าใจ” (และพยายามชี้นำให้สังคมเชื่อตาม)

ฉะนั้น การออกมาทวงคืนอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากรัฐบาลหุ่นเชิด ของอำมาตย์ จึงไม่ใช่การเรียกร้องของคนไม่รู้ประชาธิปไตย หรือไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างที่ถูกดูแคลน (และถูกซ้ำเติมด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือนักการเมืองโกง ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ฯลฯ)

ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้ เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น (คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงสื่อ การศึกษา เทคโนโลยีการสื่อสารหลากหลายขึ้นกว่าเดิม) และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ การแข่งขันทางนโยบาย ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งอย่างมีเหตุผล และตระหนักว่าพวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” มากขึ้น นี่คือ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทย

แต่ “ความไม่เหมือนเดิม” ดังกล่าวนั้น ต้องปะทะกับ “ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำไทย ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นอภิสิทธิชน ชนชั้นปกครอง ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อสายอนุรักษ์นิยม หรือสายก้าวหน้ากึ่งอนุรักษ์นิยม

“ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำเหล่านี้คือ การยึดติดว่าพวกตนเป็นเจ้าของ “อำนาจปกครอง” และ “อำนาจทางศีลธรรม” หรือ อำนาจชี้ถูกชี้ผิดและ/หรือกำหนดทางเลือกทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง

แล้วโศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นเมื่อพวก เขาเผชิญกับ “การท้าทาย” จากความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ากว่า ด้วยการพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองให้เข้มแข็งเฉียบขาดมากขึ้น โดยอาศัย “ลมปาก” ของนักการเมืองรุ่นใหม่ภาพลักษณ์งดงามว่า เพื่อปกป้องนิติรัฐ ปกป้องสถาบัน สร้างความปรองดอง คืนความสงบสุขให้บ้านเมือง ฯลฯ และพยายาม “กระชับ” อำนาจทางศีลธรรม ด้วยข้อเสนอแผนปรองดอง ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปสื่อ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ (หรือกระทั่งเสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ใช้เวลา 3 ปี ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ)

สรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ว่า “ความไม่เหมือนเดิม” มาขอ “การมีส่วนร่วม” ในการกำหนดอนาคตของประเทศผ่าน “การเลือกตั้ง” แต่ “ความเหมือนเดิม” นอกจากจะไม่ยอมให้เกิดการมีส่วนร่วม (ย้ำ การเลือกตั้งเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นรูปธรรมและ กว้างขวางที่สุด) ดังกล่าวแล้ว ยังพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมของชนชั้นของพวกตนให้เข้มแข็งกว่าเดิม!

แต่การไม่ยอมรับ “ความไม่เหมือนเดิม” ด้วยการพยายามกระชับอำนาจของชนชั้นนำดังกล่าวดำ เนินไปท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่เหมือนเดิมอ ย่างสำคัญ คือ หากเปรียบเทียบกับความขัดแย้งทางการเมืองเดิม เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภา 35 ความขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคมไม่ได้ขยายกว้าง ร้าวลึก และยืดเยื้อมากขนาดนี้

การที่รัฐบาลอภิสิทธิชนพยายามปกครอง ประเทศด้วยการสร้างความกลัว (คง พรก.ฉุกเฉิน ปิดสื่อฝ่ายตรงข้าม สื่อที่มีความเห็นต่าง อย่างไม่มีกำหนด) เดินหน้าแผนปรองดองพร้อมกับกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ถูกตั้งคำถามถึง “ความเป็นกลาง” และอ้างว่า เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่บรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์แล้วจึงจะ มีการเลือกตั้ง ก็ยิ่งแสดงถึงวิธีคิดและรูปแบบการเผชิญกับ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทยที่สะท้อนถึงความเห็นแก่ตัว ลุแก่อำนาจ และไม่เคารพต่อ “อธิปไตย” ของประชาชน ของบรรดาชนชั้นนำไทยที่ไม่รู้จักเรียนรู้และปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

คำถามคือ อำนาจปกครอง และอำนาจศีลธรรมของชนชั้นนำไทยที่เสื่อม “ความชอบธรรม” (เพราะเป็นอำนาจบน “ฐานคิด” ที่ดูถูกประชาชน สืบทอดรัฐประหาร ฆ่าประชาชน! ฯลฯ) ไปมากแล้ว จะยังคงอยู่ได้นานแค่ไหน?

ชนชั้นนำเหล่านี้เกิดการเรียนรู้หรือไม่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่หูตาสว่างมองเห็น “ความไม่เหมือนเดิม” ที่ก้าวหน้ากว่า เขาเบื่อหน่ายแค่ไหนกับการที่ได้เห็น “วิธีการแบบเดิมๆ” โดยให้บรรดา “ทหารหาญ” (ที่ควรไปปฏิบัติ “หน้าที่” ใน 3 จังหวัดภาคใต้) ลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) ชิงมวลชนกลับคืน

คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนประเทศไปสู่ “ความไม่เหมือนเดิม” ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ต้องไม่ท้อถอย ต้องมีขันติธรรม ไม่เผาโรงเรียน สถานที่ราชการ ต้องชัดเจนในเป้าหมาย มั่นคงในอุดมการณ์ เรียกร้องรัฐบาลด้วยการใช้เหตุผลที่เหนือกว่า และอดทนที่จะรอคอย “สั่งสอน” ชนชั้นนำที่ยึดติดอำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมอย่าง หน้ามืด ใน “การเลือกตั้ง” ครั้งต่อไป!