“ผมมองทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม หลายวันที่ผ่านมาผมมองทหารอย่างมีสติ มองทหารอย่างเข้าใจ มองคนตายอย่างมีสติ ทุกคืนผมจุดธูปว่าอย่าให้ใครเสียชีวิตกันเลยในแต่ละวันที่มีคนปลุกระดมว่าผมพาคนไปตาย แล้วใครฆ่าตายล่ะ พวกผมพามาแล้วให้พวกท่านฆ่าอย่างนั้นหรือ การออกเฉพาะข่าวรัฐบาลด้านเดียวระวังจะเป็นเหมือนรวันดา วันนี้เช้ามาก็บอกว่าคนเสื้อแดงก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง กลางวันก็ก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง เย็นก็บอกก่อการร้าย ล้มสถาบัน มีอาวุธร้ายแรง ในสมองของทหารถูกยัดเยียด ทั้งที่คนที่มาชุมนุมเรียกร้องเขาเพียงแค่มาชุมนุมเพื่อยุบสภา ขอหีบเลือกตั้ง แต่เขาก็ให้หีบศพ”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากการสั่งให้ทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง ทั้งยังกล่าวหาคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และล้มสถาบันอีก ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแล้ว แต่กลับปรากฏภาพ “ไอ้โม่งชุดดำ” ขึ้นมาจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน (ศอฉ.) ใช้ปลุกระดมว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนฆ่าทหารและประชาชน และถ้า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นพวกคนเสื้อแดง แล้วใครฆ่าประชาชน
“ชายชุดดำจะเป็นใครก็ตาม มีถ่ายภาพให้เห็นประมาณ 4 คน แต่คนบาดเจ็บ 800 กว่าคน ตายอีก 28 ในวันที่ 10 เม.ย. ท่านเชื่อหรือมีคนชุดดำ 4 คนที่สังหารประชาชนและทหาร ชายชุดดำจะเป็นใครก็ตาม นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ ต้องจับกุม รวมถึงคนลั่นกระสุนปืนใส่ประชาชน ความจริงวันนั้นถ้านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหยุดการเข่นฆ่าประชาชน ชายชุดดำมันจะโผล่มาได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่หรือที่ตำหนิรัฐบาลสมชายที่ทำให้มีคนเสียชีวิต และยังยกย่องสารวัตรจ๊าบว่าเป็นประชาชนอันอาจหาญ เหมือนนายสุเทพบอกว่าคนที่เสียชีวิตมีชาวพม่า แล้วไม่บอกมีชาวแคนาดา ญี่ปุ่น อิตาลี เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน”
ปรองดองด้วย “เลือด”?
ขณะที่นายสุเทพยืนยันเสียงแข็งเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ว่าไม่เคยสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” มีความสัมพันธ์กับหัวหน้าใหญ่ที่ออกทุนและปฏิบัติการคู่ขนาน กับประชาชนที่บริสุทธิ์
“เจ้าหน้าที่ของรัฐ นายกฯ และผม ไม่ได้สร้างสถานการณ์เพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง พวกผมไม่ใจบาปหยาบช้าลงทุนเผาบ้านเมืองให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง คนใจดำอำมหิตที่ทำได้คือผู้ก่อการร้ายที่อยู่กับพวกคุณ เป้าหมายมีอย่างเดียวคือนายกฯและผมสั่งทหารฆ่าประชาชน ผมจะทำไปทำไม ทหารที่มาปฏิบัติภารกิจ 30,000-40,000 คนเป็นลูกชาวบ้านเหมือนกับเรา เขามีหัวใจรักพ่อแม่ รักญาติ คิดหรือว่าถ้าพวกผมไปสั่ง ผบ.ทบ. แล้ว จะฟังคำสั่งพวกผม”
เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ที่วันนี้ยังเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบกับ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการใช้กำลังทหารปราบล้อมคนเสื้อแดงโดยยืนยันว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ฆ่าประชาชนและทหาร ทั้งที่รัฐบาลมีความจริงใจที่จะหาแนวทางแก้ปัญหา ให้คลี่คลายอย่างสันติตั้งแต่ต้น
“อุปสรรคคือการชุมนุมเมื่อเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ สร้างความเสียหายให้แก่คนจำนวนไม่น้อย และมีกองกำลังติดอาวุธ วินาศกรรม การดำเนินการจึงยากเป็นพิเศษ แต่รัฐบาลก็พยายามทำให้เกิดความ เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินน้อยที่สุด และเลือกชีวิตสำคัญกว่า เช่น วันที่ 19 พฤษภาคม”
คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงเห็นได้ชัดเจนว่าทำไมจึงไม่แสดงความรับผิดชอบกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่กลับมองว่าคนเสื้อแดงทำผิดกฎหมายและมีกองกำลังติดอาวุธที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งสวนทางกับแผนปรองดองที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่ายังคงเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกันยังคงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่า คนเสื้อแดง และฉวยโอกาสกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
มือถือสาก ปากถือศีล?
รัฐบาลจริงใจที่จะสร้างความปรองดองหรือไม่ก็ดูได้จาก ศอฉ. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งอธิบดีดีเอสไอเป็นกรรมการ ศอฉ. ด้วย และยังคงออกหมายจับบุคคลต่างๆในข้อหาผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบันไปกว่า 100 คนแล้ว ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง นักการเมือง และนักธุรกิจเท่านั้น
แม้แต่นักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนคนเสื้อแดงก็กลายเป็นผู้ต้องหาไปด้วย อย่างนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกลุ่มคณาจารย์มหา วิทยาลัยต่างๆต้องออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลว่าคุก คามเสรีภาพทางวิชาการ
โดยเฉพาะกรณีนายสุธาชัยที่ไปมอบตัวและถูกควบคุมตัวไว้ถึง 7 วัน ทั้งที่ภรรยาของนายสุธาชัยเพิ่งเสียชีวิต ซึ่งนายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เตือนรัฐบาลที่อ้าง พ.ร.ก.ฉุก เฉินด้วยการใช้อำนาจลักษณะครอบจักรวาลนั้นเป็นการกระทำที่สวนทางกับการสร้างบรรยากาศปรองดอง ซึ่งเหมือนการตบหน้านายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่ารัฐบาลไม่มองคนที่มีความเห็นต่างกันเป็นศัตรูทางการเมือง ไม่ได้ไล่ล่าและกวาดล้าง ทั้งที่ในข้อเท็จจริงยังคงให้ ศอฉ. และดีเอสไอใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกล่าวหาและจับกุมบุคคลต่างๆที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล
แม้แต่ผู้เสียชีวิตก็ไม่มีการเปิดเผยการชันสูตรพลิกศพให้ประชาชนทราบ อย่างที่นายจตุพรระบุว่า รัฐบาลและ ศอฉ. ต้องการบิดเบือนคดีคนตายโดยโยนไปให้ดีเอสไอ โดยไม่มีการไต่สวนในศาลชั้นต้น แม้แต่กรณี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. หรือทหารเกณฑ์ที่ถูกยิงตายที่สะพานวันชาติก็ไม่เปิดเผยการชันสูตรพลิกศพว่าเสียชีวิตเพราะอะไร หรือการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นเตอร์วัน และสถานที่ต่างๆก็ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เลย
โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตภาย ในวัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ทั้งที่เป็นเขตอภัยทาน และมีพยานยืนยันว่าทหารเป็นคนยิง ยังเป็นปริศนาว่ากลุ่มคนติดอาวุธบนสถานีรถไฟฟ้าในช่วงเกิดเหตุจลาจลเป็นใคร ซึ่งการชันสูตรพลิกศพระบุชัดเจนว่าทุกคนถูกยิง โดยเฉพาะ น.ส. กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี ถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง
พ.ร.ก.ฉกฉวย?
แม้วันนี้นายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในความรู้สึกของคนไทยหลายสิบล้านคน และหลายประเทศในประชาคมโลกเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ หรือไม่อาจปฏิเสธว่าเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ที่หมดความชอบธรรมแล้ว แม้จะดื้อดึงอยู่ในอำนาจต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลเป็ดง่อย ซึ่งอยู่ได้เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์และพวกพ้องพยายามนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง รวมถึงฉกฉวยโอกาสไล่ล่าและกวาด ล้างฝ่ายตรงข้ามและประชาชนที่มีความเห็นแตกต่าง
หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจจะสร้างความปรองดองจริง ไม่เพียงต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดย เร็วที่สุดเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ ซึ่งก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ก็คัดค้าน พ.ร.ก. ฉบับนี้ว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ
เพราะไม่เช่นนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้นำเผด็จการที่ใช้กฎหมายอ้างความชอบธรรมเพื่อฆ่าและทำลายศัตรูฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สะทกสะท้านกับเสียงประณามและต่อต้าน เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อจนทำให้คนไทยสามารถฆ่าคนไทยด้วยกันได้ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดไว้ว่ารัฐบาลของประชาชนต้องแสดงความรับผิดชอบ แม้คนตาย 1 คนก็ไม่ได้
นิติรัฐยัดข้อหา
นิติรัฐและนิติธรรมยุคนายอภิสิทธิ์จึงเหมือน “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติธรรมอำมหิต” ที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน และยังฉวยโอกาสกวาดล้างและกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้ามหรือทุกคนที่สงสัย ด้วยการกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและเครือข่ายขบวนการล้มสถาบัน
แม้แต่การค้นพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่นำมาแถลงข่าวว่าซุกซ่อนอยู่ในบริเวณการชุมนุม ก็เป็นการนำมาแสดงหลัง จากคนเสื้อแดงยุติการชุมนุมแล้วถึง 2 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาปลอดผู้คนจากการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามใครมายุ่มย่าม นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีนักข่าวหรือผู้รู้เห็นเป็นพยานเลย ทั้งที่นักข่าวของไทยและนักข่าวต่างประเทศอยู่ในพื้นที่ตลอดการชุมนุมกว่า 2 เดือนยังไม่เคยพบเห็น หรือถ้ามีจริงก็ต้องมีพิรุธ ซึ่งยากที่จะหลุดรอดสายตาของนักข่าวที่ไม่ใช่อยู่แค่บริเวณเวทีปราศรัย แต่เดินทางเข้าออกและทำข่าวไปทั่วทุกพื้นที่การชุมนุม
การแถลงข่าวของ ศอฉ. และการนำอาวุธมากมายหรือหลักฐานรูปภาพและคลิปต่างๆมากล่าวหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงจึงกลับส่งผลทางลบต่อ ศอฉ. เอง โดยเฉพาะข่าวที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลกยิ่งสร้างความสงสัยในรัฐบาลและ ศอฉ. เหมือนบรรดาทูตที่เข้าพบนายกฯต่างซักถามเรื่องข้อกล่าวหา “ผู้ก่อการร้าย” ว่ามีหลักฐานอะไร และอาวุธมาจากที่ไหน
อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตั้งคำถามนายสุเทพในการอภิปรายไม่วางใจว่า ศอฉ. มีการตั้งด่านตรวจและสกัดทุกพื้นที่ของการชุมนุมอย่างแน่นหนารายรอบทั้งกรุงเทพฯชั้นนอก ชั้นใน ทั้งชานเมืองและต่างจังหวัด ชนิดแม้แต่แมลง วันยังไม่ยอมให้รอดเข้าไปได้ แต่ทำไมจึงปล่อยให้อาวุธร้ายแรงเข้าไปได้ ทำไมหลังการชุมนุมจึงค้นพบมากมาย และมีการตรวจสอบอาวุธและหลักฐานต่างๆตามหลักนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดหรือไม่
ที่สำคัญการแถลงข่าวของรัฐบาลและ ศอฉ. เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว เหมือนการอภิปรายของฝ่ายค้านที่นำภาพและคลิปวิดีโอทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้ามาแสดง โดยนายสุเทพตอบว่าเป็นคนละสถานที่ ไม่ใช่หน้าวัดปทุมฯ แต่พอเห็นด้านหลังของภาพเป็นฉากวัดปทุมฯ ก็เลี่ยงไปตอบว่าเป็นคนละวัน ไม่ใช่วันที่ 19 พฤษภาคม แต่พอทราบว่าเป็นภาพจากคลิปที่ถ่ายต่อเนื่อง เห็นชัดว่าเป็นวันเดียวกับที่สยามสแควร์ไฟไหม้ คือวันที่ 19 พฤษภาคมอย่างแน่นอน นายสุเทพก็โยนไปให้ “ไอ้โม่ง” เป็นผู้ยิงประชาชนในวัด โดยไม่มีคำตอบว่า ถ้าเช่นนั้น “ไอ้โม่ง” เป็นพวกใครกันแน่
โกหกซ้ำซาก?
รัฐบาลและ ศอฉ. ใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักกล่าวหาว่า แกนนำ นปช. ปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจนประชาชนหลงผิด หลงเชื่อมาร่วมชุมนุม แต่รัฐบาลและ ศอฉ. กลับไม่รู้สึกละอายกับการปิดสื่อ ปิดเว็บไซต์ ปิดกั้นการเสนอข้อมูลข่าวสารทุกด้านของคนเสื้อแดงและผู้ที่มีความเห็นขัดแย้ง ไม่ละอายในการใช้สื่อปลุกระดมโฆษณาชวน เชื่อ หรือ ศอฉ. ที่แถลงข่าวกล่าว หาและข่มขู่ซ้ำๆซากๆทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แม้แต่ความเห็นของนักวิชาการก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและขบวนการล้มเจ้า
รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ไม่ได้แค่ครองแชมป์ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” เท่านั้น ยังถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อมากกว่ายุคใดๆ แม้แต่รัฐบาลเผด็จการทหารหรือการรัฐประหารที่ผ่านมายังไม่ปิดกั้นและแทรกแซงสื่อเท่า กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ทุกครั้งที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพกล่าวหาคนเสื้อแดงปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ผู้สื่อข่าวจึงได้แต่พยักหน้าและอมยิ้ม เพราะทั้งผู้แถลง และผู้ฟังต่างรู้ดีว่าฝ่ายใดที่ปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อ ยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวให้กับประชาชนกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจแค่ 2 วันของฝ่ายค้านเมื่อเทียบกับการกรอกหูผ่านทีวีพูลของ ศอฉ. กว่า 2 เดือน แม้ไม่สามารถทำให้ประชาชนรับรู้ความจริงทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ข้อ มูลและความจริงอีกด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ อย่างกรณีไอ้โม่งชุดดำ เรื่องสไนเปอร์ การสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมฯ ฯลฯ
โดยเฉพาะ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่กลายเป็นตัวละครสำคัญของนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ที่นำมาใช้ฟอกตัวจากเหตุการณ์ 10 เมษายน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. นำมาแถลงตอกย้ำทุกครั้ง เพื่อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่แฝงตัวอยู่กับคนเสื้อแดง แต่ไม่เคยจับตัวได้แม้ แต่คนเดียว ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาและใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย เหมือน การกล่าวหากรณี “เครือข่ายขบวนการล้มเจ้า”
“ไอ้โม่งชุดดำ” จึงไม่รู้ว่าเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย แต่ที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆก็คือฝ่ายรัฐบาล เพราะรัฐบาลใช้กล่าวหา เป็นพวกเดียวกับคนเสื้อแดง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารล้อมปราบคนเสื้อแดง
หรือแม้การอ้างว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นมือที่ 3 ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด แต่รัฐบาลก็ยัดเยียดให้เป็นคนเสื้อแดงไปโดยปริยาย แม้บางครั้ง “ไอ้โม่ง” แต่งชุดลายพรางเหมือนทหารก็จะถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่แต่งเลียนแบบทหาร ทั้งที่อาจเป็นคนของรัฐบาลก็ได้ ซึ่งสะ-ท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความไม่ยุติธรรมที่ยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน
วาทกรรมนายกฯ 100 ศพ
เช่นเดียวกับวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ประกาศจะเดินหน้าตามแผนความปรองดองจึงยังถูกมองว่าเป็นแค่ลมปาก เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไปมากกว่า เพราะในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์ก็ยังใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ ศอฉ. ออกมากล่าวหา ไล่ล่า กวาด ล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนน้ำมันกับไฟมากกว่า ตราบใดที่ยังใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อฉวยโอกาสไล่ล่า กวาด ล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ต่างกับเพลง “โรดแม็พความปรองดอง” หรือ เพลง “รักกันไว้เถิด” ที่นำไปเปิดขณะที่รถถังและกำลังทหาร นับหมื่นนายกำลังเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงจนตายและบาดเจ็บมากมาย
นายอภิสิทธิ์ที่วันนี้ได้ฉายา “นายกฯ 100 ศพ” (หรืออาจจะเถียงว่าไม่ถึง 100 แค่ 89 ศพ เท่านั้น) ในความรู้สึกของคนเสื้อแดงและประชาคมโลกจึงหมดความชอบธรรมล้านเปอร์เซ็นต์ เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ในรายการ “ข่าวยามเช้า” ทางวิทยุ FM 101 ถึงเหตุการณ์ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบาย และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเข้าประชุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 443 รายว่าไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังพยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก ซึ่งการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐโดยรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ
“สังคมไทยต้องอยู่กับความถูกต้อง แล้วผมจะเตือนคุณสมชายในฐานะนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าไม่มีการแสดงความรับผิดชอบแบบอารยประเทศแล้ว วัฒนธรรมทาง การเมืองในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงครับ จากนี้ไปจะมีแต่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นไปอีก ถึงท่านอยู่ ท่านก็ปกครองไม่ได้ บริหารไม่ได้แล้ว อยู่ไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นกลับตัวกลับใจเสียเถอะครับ”
กฎหมา(ย) นิติธรรมอำมหิต
คำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่เคยเรียกร้องให้นายสมชายแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองจากการสลายกลุ่มพันธมิตรฯในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย หรือการเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมขับไล่และยึดทำเนียบรัฐบาล (อ่านได้ที่ปกหลังฉบับนี้)
วันนี้ย้อนกลับมาที่ตัวนาย อภิสิทธิ์เช่นกันว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์จึงดื้อดึงและดื้อด้านไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองกับการทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย ทั้งยังกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนและฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมืองอีก
โดยเฉพาะการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศต่อต้านว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับนำมาใช้เหมือนเป็น ดาบอาญาสิทธิ์ที่คิดจะกล่าวหา ไล่ล่า กวาดล้าง หรือสั่งฆ่าใครก็ได้ พลอยให้แม้แต่ศาลยุติธรรม เองที่จะต้องพิพากษาคดีความด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง ก็ยังถูกมองว่าไร้ความยุติธรรม เพราะต้องตัดสินไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่สร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว
สังคมไทยทุกวันนี้จึงวิปริต และหายนะ เพราะการโกหกตอแหลของคนในสังคมนั่นเอง รวมถึงการเชิดชูยกย่องและ ยอมรับว่าใครโกหกตอแหลเก่งคือผู้นำศรีธนญชัยที่เก่งกล้า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ สื่อ หรือองค์กรภาค ประชาชน ก็ยังเต็มไปด้วยความ อคติและเกลียดชัง แม้แต่ผู้นำบ้านเมืองที่ต้องยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรม เพื่อเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคยังถูกประณามว่า 2 มาตรฐาน
กฎหมายประเทศไทยวันนี้จึงเหมือนไม่มี “ย.ยักษ์” “นิติรัฐและนิติธรรม” กลายเป็น “นิติรัฐยัดข้อหา” หรือ “นิติ ธรรมอำมหิต”!
ผู้ก่อการร้ายตัวจริงจึงอาจ ไม่ใช่ “ไอ้โม่งชุดดำ”...แต่มันคือคนใส่สูท แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ให้พรรคร่วมงูเห่าปลาไหลที่กลัวอดอยากปากแห้งยกมือให้ครองเมืองกันต่อไป...
อนิจจาประชาชนไทย!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 262 วันที่ 5-11 มิถุนายน พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
************************************************
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
กฎหมา(ย)นิติรัฐยัดข้อหา?นิติธรรมอำมหิต?
ชาญชัย "แพะบูชายัญ"
เมื่อเกมการเมืองย้อนยุคสู่สังคมโบราณ
การใช้กำลังและจำนวนมือในสภา ผู้แทนราษฎร กลายเป็นเสียงแห่งสวรรค์
เทพเจ้าแห่งชัยชนะจึงยืนอยู่ข้างฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่า และมีเขี้ยวเล็บทางการเมืองคมคายกว่า
นักการเมืองที่ครอบครองจำนวนทุน-จำนวนมือและกำลังน้อยกว่า ต้องเป็นผู้ที่ต้องสังเวยความพ่ายแพ้
เกมแย่งชิงภาษีประชาชนในตารางงบประมาณรายจ่าย และมารยาททางการเมืองถูกนำมาแบ่งสัดส่วน ให้น้ำหนักในการตัดสินวันพิพากษาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ผนวกกับความซับซ้อน-ซ่อนปมของ ร่มเงานักการเมืองใหญ่ อย่าง พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และไพโรจน์ สุวรรณฉวี ยิ่งทำให้กลเกมของ ส.ส.ในสังกัด "เพื่อแผ่นดิน" ยิ่งเพิ่มดีกรีความเสี่ยงในการร่วมรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องลงสนามขับเคี่ยวกับคู่ขัดแย้งอย่าง "เนวิน ชิดชอบ" ร่มไม้ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ทั้งปมพื้นที่เลือกตั้ง-โยกย้ายนักปกครอง-เม็ดเงินในพื้นที่หาเสียง และการถอนทุน ถูกหยิบยกขึ้นมากองต่อรองด้วยการ "แลกโหวต" ระหว่างพรรคเพื่อแผ่นดินกับพรรคภูมิใจไทย
เมื่อช้างสารชนกัน "ลูกน้อง" ก็แหลกลาญ
เมื่อเกมพลิก ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ในนามหัวหน้าพรรค-เพื่อแผ่นดิน ผู้ครอบครองมือของ "พินิจ" ในพรรค 5 มือ จากจำนวนมือตามกฎหมาย 32 มือจึงต้องปฏิบัติการพลีชีพเพื่อสังเวยการต่อรองที่ เพลี่ยงพล้ำ
เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในความครอบครองของ "ชาญชัย" จึงอาจล้มครืน
แม้ว่าความพยายาม-ตั้งใจปฏิบัติตามวัฒนธรรมพรรคของ "ชาญชัย" จะเห็นรูป-เห็นร่าง มีร่องรอย ตลอดการร่วมรัฐบาลนานกว่า 1 ปี
แทบทุกครั้งที่มี "โอกาส-สบช่อง" ทั้งในวงประชุมคณะรัฐมนตรี-วงแกนนำพรรคร่วม-วงถกตารางงบประมาณ "ชาญชัย" ไม่เคยพลาด ออกปาก-เสนอวาระสร้างประโยชน์ให้พรรคและพวก
อย่างน้อยในวาระครบรอบ 59 ปีของ ตัวเอง "ชาญชัย" ก็ตั้งใจเปิดประเด็นเสนอ "วรรคทอง" เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ท่ามกลางวาระที่มีการอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554
"ชาญชัย" ตั้งใจพูดบนเวทีวันคล้าย วันเกิดตัวเอง ด้วยเสียงดังว่า "ทุกกระทรวงได้รับการจัดสรรงบฯเพิ่ม 15% เหมือนกันหมด แต่ไม่ได้คำนึงถึงการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก กระทรวงอุตสาหกรรมของประเทศเวียดนามมีงบฯถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ของสิงคโปร์มีงบฯกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่กระทรวงอุตสาหกรรมของไทยได้งบฯ 6.4 พันล้านบาทในปี 2554 จึงไม่สามารถไปแข่งขันอะไรกับใครได้"
"วันนี้มีอย่างเดียว คือ ไม่พอใจในการจัดงบประมาณ จะทำอะไรไม่เคยชวนพรรคร่วมไปคุยเลยว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารการเงินเพื่อการแข่งขันในตลาดโลกอย่างไร คิดเอง เออเอง" ชาญชัยส่งสัญญาณถึงกระทรวงการคลัง
เมื่อผ่านวาระงบประมาณไปไม่ถึง 7 วัน "ชาญชัย" ลงมือใหม่อีกครั้งในวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ระหว่างที่ฝ่ายค้านอภิปราย นายกรัฐมนตรี 2 รัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ 2 รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ยังไม่ทันจบความ "ชาญชัย" ก็ส่งสัญญาณว่า
"หากรัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ชัดเจน และทำให้ประชาชนเกิดข้อครหา ทาง ส.ส.ของพรรคก็จะไม่โหวตให้ เพราะทางพรรคเพื่อแผ่นดินมีจุดยืนในเรื่องของความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ถูกต้อง"
จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง แกนนำพรรคภูมิใจไทยก็เช็กเสียงได้ว่าจะมีคนของ "เพื่อแผ่นดิน" โหวตไม่ไว้วางใจประมาณ 10 เสียง กลุ่มหนึ่งมาจากสาย "พินิจ" กลุ่มหนึ่งมาจากสาย "ไพโรจน์"
และการคาดการณ์ก็ไม่เหนือความ คาดหมาย เมื่อ "โสภณ ซารัมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถูกโหวตจากพรรคร่วมรัฐบาล "ไม่ไว้วางใจ" 10 เสียง นายชวรัตน์ ได้เสียงไว้วางใจ 236 เสียง ไม่ไว้วางใจ 194 เสียง และนายโสภณ ไว้วางใจ 234 เสียง ไม่ไว้วางใจ 196 เสียง
2 รัฐมนตรี จาก "พรรคภูมิใจไทย" ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด
และมีเสียงอันดังส่งสัญญาณมาจาก "ชาญชัย" ก่อนโหวตไม่ถึงชั่วโมงด้วยว่า "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควรปรับไปเป็นโควตาของพรรคประชาธิปัตย์"
สิ้นเสียงการขานคะแนน จากประธานสภาผู้แทนราษฎร "ชัย ชิดชอบ" คนการเมืองในเครือข่าย "ชิดชอบ" รวมตัวกันทันทีที่อาคารศิริภิญโญ ที่ทำการ "ผู้มีบารมี" ของพรรคภูมิใจไทย จากนั้นปรากฏข้อเสนอใต้ดิน-บนดิน เป็นมติพรรคให้ "ผู้จัดการรัฐบาล" เลือกข้าง ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี-ขับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากการร่วมรัฐบาลกระหึ่มกัมปนาทถึงหู "พินิจ-ปรีชา-ไพโรจน์"
กระดานหกการเมือง พลิกส่ง "ชาญชัย" ร่วงหล่นบนกลเกมและความเลือดเย็นของนักการเมืองร่มเงาใหญ่ในพรรค
"ชายชัย" ในวัย 59 (เกิด 27 พฤษภาคม 2495) ผ่านตำแหน่งทางการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ตำแหน่ง แต่ ไม่เคยได้ครอบครองตำแหน่งรัฐมนตรี
หากไม่มีร่มเงาของ "พินิจ" ชื่อชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อาจไม่ปรากฏเป็น "คณะรัฐมนตรี"
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เป็นสัจวาจา
แต่เพื่อรักษาที่ยืนในพรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องใช้ตำแหน่ง "ชาญชัย" แลกเปลี่ยน
บุรุษที่ชอบร้องเพลง ที่มีนัยทางการเมือง จำใจร้องเพลง "ลา" เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
แพะที่ใช้บูชายัญการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วาระวิสามัญ 2553 กลายเป็น "ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง"
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง isuans@yahoo.com
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การใช้กำลังและจำนวนมือในสภา ผู้แทนราษฎร กลายเป็นเสียงแห่งสวรรค์
เทพเจ้าแห่งชัยชนะจึงยืนอยู่ข้างฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่า และมีเขี้ยวเล็บทางการเมืองคมคายกว่า
นักการเมืองที่ครอบครองจำนวนทุน-จำนวนมือและกำลังน้อยกว่า ต้องเป็นผู้ที่ต้องสังเวยความพ่ายแพ้
เกมแย่งชิงภาษีประชาชนในตารางงบประมาณรายจ่าย และมารยาททางการเมืองถูกนำมาแบ่งสัดส่วน ให้น้ำหนักในการตัดสินวันพิพากษาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ผนวกกับความซับซ้อน-ซ่อนปมของ ร่มเงานักการเมืองใหญ่ อย่าง พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และไพโรจน์ สุวรรณฉวี ยิ่งทำให้กลเกมของ ส.ส.ในสังกัด "เพื่อแผ่นดิน" ยิ่งเพิ่มดีกรีความเสี่ยงในการร่วมรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องลงสนามขับเคี่ยวกับคู่ขัดแย้งอย่าง "เนวิน ชิดชอบ" ร่มไม้ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย
ทั้งปมพื้นที่เลือกตั้ง-โยกย้ายนักปกครอง-เม็ดเงินในพื้นที่หาเสียง และการถอนทุน ถูกหยิบยกขึ้นมากองต่อรองด้วยการ "แลกโหวต" ระหว่างพรรคเพื่อแผ่นดินกับพรรคภูมิใจไทย
เมื่อช้างสารชนกัน "ลูกน้อง" ก็แหลกลาญ
เมื่อเกมพลิก ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ในนามหัวหน้าพรรค-เพื่อแผ่นดิน ผู้ครอบครองมือของ "พินิจ" ในพรรค 5 มือ จากจำนวนมือตามกฎหมาย 32 มือจึงต้องปฏิบัติการพลีชีพเพื่อสังเวยการต่อรองที่ เพลี่ยงพล้ำ
เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในความครอบครองของ "ชาญชัย" จึงอาจล้มครืน
แม้ว่าความพยายาม-ตั้งใจปฏิบัติตามวัฒนธรรมพรรคของ "ชาญชัย" จะเห็นรูป-เห็นร่าง มีร่องรอย ตลอดการร่วมรัฐบาลนานกว่า 1 ปี
แทบทุกครั้งที่มี "โอกาส-สบช่อง" ทั้งในวงประชุมคณะรัฐมนตรี-วงแกนนำพรรคร่วม-วงถกตารางงบประมาณ "ชาญชัย" ไม่เคยพลาด ออกปาก-เสนอวาระสร้างประโยชน์ให้พรรคและพวก
อย่างน้อยในวาระครบรอบ 59 ปีของ ตัวเอง "ชาญชัย" ก็ตั้งใจเปิดประเด็นเสนอ "วรรคทอง" เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ท่ามกลางวาระที่มีการอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554
"ชาญชัย" ตั้งใจพูดบนเวทีวันคล้าย วันเกิดตัวเอง ด้วยเสียงดังว่า "ทุกกระทรวงได้รับการจัดสรรงบฯเพิ่ม 15% เหมือนกันหมด แต่ไม่ได้คำนึงถึงการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก กระทรวงอุตสาหกรรมของประเทศเวียดนามมีงบฯถึง 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ของสิงคโปร์มีงบฯกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่กระทรวงอุตสาหกรรมของไทยได้งบฯ 6.4 พันล้านบาทในปี 2554 จึงไม่สามารถไปแข่งขันอะไรกับใครได้"
"วันนี้มีอย่างเดียว คือ ไม่พอใจในการจัดงบประมาณ จะทำอะไรไม่เคยชวนพรรคร่วมไปคุยเลยว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารการเงินเพื่อการแข่งขันในตลาดโลกอย่างไร คิดเอง เออเอง" ชาญชัยส่งสัญญาณถึงกระทรวงการคลัง
เมื่อผ่านวาระงบประมาณไปไม่ถึง 7 วัน "ชาญชัย" ลงมือใหม่อีกครั้งในวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ระหว่างที่ฝ่ายค้านอภิปราย นายกรัฐมนตรี 2 รัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ 2 รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ยังไม่ทันจบความ "ชาญชัย" ก็ส่งสัญญาณว่า
"หากรัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ชัดเจน และทำให้ประชาชนเกิดข้อครหา ทาง ส.ส.ของพรรคก็จะไม่โหวตให้ เพราะทางพรรคเพื่อแผ่นดินมีจุดยืนในเรื่องของความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ถูกต้อง"
จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง แกนนำพรรคภูมิใจไทยก็เช็กเสียงได้ว่าจะมีคนของ "เพื่อแผ่นดิน" โหวตไม่ไว้วางใจประมาณ 10 เสียง กลุ่มหนึ่งมาจากสาย "พินิจ" กลุ่มหนึ่งมาจากสาย "ไพโรจน์"
และการคาดการณ์ก็ไม่เหนือความ คาดหมาย เมื่อ "โสภณ ซารัมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถูกโหวตจากพรรคร่วมรัฐบาล "ไม่ไว้วางใจ" 10 เสียง นายชวรัตน์ ได้เสียงไว้วางใจ 236 เสียง ไม่ไว้วางใจ 194 เสียง และนายโสภณ ไว้วางใจ 234 เสียง ไม่ไว้วางใจ 196 เสียง
2 รัฐมนตรี จาก "พรรคภูมิใจไทย" ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด
และมีเสียงอันดังส่งสัญญาณมาจาก "ชาญชัย" ก่อนโหวตไม่ถึงชั่วโมงด้วยว่า "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควรปรับไปเป็นโควตาของพรรคประชาธิปัตย์"
สิ้นเสียงการขานคะแนน จากประธานสภาผู้แทนราษฎร "ชัย ชิดชอบ" คนการเมืองในเครือข่าย "ชิดชอบ" รวมตัวกันทันทีที่อาคารศิริภิญโญ ที่ทำการ "ผู้มีบารมี" ของพรรคภูมิใจไทย จากนั้นปรากฏข้อเสนอใต้ดิน-บนดิน เป็นมติพรรคให้ "ผู้จัดการรัฐบาล" เลือกข้าง ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน
ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี-ขับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากการร่วมรัฐบาลกระหึ่มกัมปนาทถึงหู "พินิจ-ปรีชา-ไพโรจน์"
กระดานหกการเมือง พลิกส่ง "ชาญชัย" ร่วงหล่นบนกลเกมและความเลือดเย็นของนักการเมืองร่มเงาใหญ่ในพรรค
"ชายชัย" ในวัย 59 (เกิด 27 พฤษภาคม 2495) ผ่านตำแหน่งทางการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ตำแหน่ง แต่ ไม่เคยได้ครอบครองตำแหน่งรัฐมนตรี
หากไม่มีร่มเงาของ "พินิจ" ชื่อชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อาจไม่ปรากฏเป็น "คณะรัฐมนตรี"
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เป็นสัจวาจา
แต่เพื่อรักษาที่ยืนในพรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องใช้ตำแหน่ง "ชาญชัย" แลกเปลี่ยน
บุรุษที่ชอบร้องเพลง ที่มีนัยทางการเมือง จำใจร้องเพลง "ลา" เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
แพะที่ใช้บูชายัญการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วาระวิสามัญ 2553 กลายเป็น "ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง"
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง isuans@yahoo.com
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวน”ไก่อู”แก้ตัวเรื่องทหารแต่งชุดพลเรือนถือเอ็ม16แค่ไปส่งข้าว ระบุไม่มีใครนั่งกินในแนวหน้า

คุณเชื่อหรือไม่ว่านี่คือเด็กส่งอาหาร????
เพื่อไทยเปิดคลิปจับเท็จ จี้ ศอฉ.อ้างทหารแต่งกายพรางตัวเป็นพลเรือนถือเอ็ม 16 วิ่งกลับมาจากการส่งข้าวโดยมีการยิงคุ้มกันชี้คงไม่มีใครไปกินข้าวในแนวหน้า จี้ยอมรับความจริงชายนอกเครื่องแบบอาจจะเป็นบุคคลนิรนาม
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สส. กทม. ในฐานะเลขาธิการศูนย์ติดตามช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชน (ศชปป.) แถลงพร้อมเปิดคลิปชี้แจงตอบโต้ ศอฉ.ว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ดำเนินการตรวจสอบชายแต่งชุดพลเรือนถือปืน M 16 วิ่งเข้ามาในกลุ่มทหารในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณปากซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 โดยไม่มีการจับกุมนั้น ตกลงแล้วเป็นกลุ่มคนนิรนาม หรือไอ้โม่ง หรือทหาร และทาง ศอฉ.ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า บุคคลดังกล่าวเป็นทหารจริง แต่เป็นทหารชุดส่งข้าวกล่องในพื้นทีส่วนปืน M 16 เป็นของทหารที่ถูกยิงและเก็บมาได้ ส่วนคลิปที่ทหารระดมยิงนั้น เป็นการยิงคุ้มครองการถอนกำลังและกล่าวย้ำว่า ทหารมีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน เพราะต้องนำอาหารไปส่งยังจุดต่าง ๆ หน้าแนวทหารที่วางกำลังถือว่าอันตรายจึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป”
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ในวันนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้แสดงคลิปวีดีโออีก 1 คลิป ที่แสดงว่าพลเรือนคนนี้ คือทหารส่งข้าวกล่องจริงหรือไม่ โดยเป็นคลิปที่มีการนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า คำกล่าวอ้างของ ศอฉ.ไม่เป็นเรื่องจริง และปืนที่ทหารนอกเครื่องแบบถือนั้นก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นปืนของตัวเองหรือของทหารที่ถูกยิง เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีสาระในการหาความจริงแต่อย่างใด และก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้น
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า การที่ ศอฉ.บอกว่าจำเป็นที่จะต้องแต่งกายนอกเครื่องแบบนั้น ตนคิดว่าการแต่งกายพลเรือนไปส่งข้าวนั้น น่าจะอันตรายมากกว่า เพราะอาจจะทำให้ทหารในแนวเขตด้านในเข้าใจผิดได้ และเป็นการพูดแก้ตัวเท่านั้นเพราะยุทธวิธีทางการทหารนั้น คงไม่มีทหารคนไหนไปนั่งกินข้าวในแนวหน้าในเวลาปฏิบัติการตามที่ ศอฉ.กล่าวอ้าง พรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้ ศอฉ.ยอมรับความจริงในการปฏิบัติการวันที่ 19 พฤษภาคม ที่มีการใช้ชุดนอกเครื่องแบบในการขอคืนพื้นที่ซึ่งอาจเป็นบุคคลนิรนาม ตามที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้าง
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกจับกุมตัว เพื่อให้ญาติสามารถติดตามได้ เพราะประเทศไทยมีระบอบการปกครองด้วยประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการ อย่างที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ และขอให้หยุดปลุกระดมให้ประชาชนแตกแยกกัน โดยใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์
จากมติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดรายชื่อผู้ต้องหาถูกคุมตัว 29 ราย 50 คนถูกขึ้นบัญชีตามไล่ล่า 37รายเจอข้อหาหนักคดี"ก่อการร้าย"
รายชื่อผู้ต้องหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งถูกจับกุมและมอบตัวแล้ว 29 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุม 50 ราย รวมถึงรายชื่อผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย และกรมสอบสวนพิเศษออกหมายจับ 37 คน (หลายคนโดน 2 ข้อหา)
คุมตัวที่ บก.ตชด.ภาค 1 คลองห้า จ.ปทุมธานี
1.นางศิริวรรณ นิมิตศิลป์
2.นางวิกานดา ปักกาลัง(ปล่อยตัว)
3.น.ส.รัศมี มาลาม
4.นายธาดา บุญสุขศรี
5.นายชากิรีน บุญมาเลิศ
6.นายวายุภักดิ์ โนรี (ปล่อยตัว)
7.นายภาสกร หรือสมนึก ศิริรักษ์ (ปล่อยตัว)
8.พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ (ปล่อยตัว)
9.น.ส.ดวงมณี บุณรัตน์ (ปล่อยตัว)
10.นายไพโรจน์ แสงศรี
11.นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
คุมตัวที่ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
1.นายเมธี อมรวุฒิกุล
2.นายเขน แขนสันเทียะ
3.นายชยุต ใหลเจริญ
4.นายเรืองอำนาจ พุทธิวงศ์
5.นายมีชัย สินนาค (ปล่อยตัว)
6.นายอำนาจ อินทโชติ
7.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
8.นพ.เหวง โตจิราการ
9.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
10.นายนิสิต สินธุไพร
11.นายวีระ มุสิกพงศ์
12.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
13.นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา
14.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
คุมตัวที่ค่ายอดิศร ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี
1.นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล
2.นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
3.นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (ปล่อยตัว)
4.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสียชีวิต)
ติดตามจับกุมตัว
1.นายพายัพ ปั้นเกตุ
2.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
3.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
4.นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือนายวันชนะ เกิดดี
5.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์
6.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย
7.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
8.นายชินวัฒน์ หาบุญพาด
9.นายอดิศร เพียงเกษ
10.นายวรพล พรหมิกบุตร
11.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
12.นายสำเริง ประจำเรือ
13.นายวิสา คัญทัพ
14.นางไพจิตร อักษรณรงค์
15.นายอารี ไกรนรา
16.นายอร่าม แสงอรุณ
17.นายมงคล สารพัน
18.นายธนเดช เอกอภิวัชร์
19.นายราตรี หรือชาตรี ชื่นชม
20.นายพันธุ์ศักดิ์ ชาบุ
21.นายธนกฤต นาคบรรจง
22.นายนิพนธ์ แสงสีนิล
23.น.อ.พิรัตน์ วัฒนพานิช
24.นายชุติพนธ์ ทองคำ
25.นางกัญญาภัค มณีจักร
26.นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล
27.นายภูมิใจ ไชยยา
28.นายนิยม เหลืองเจริญ
29.นายอภิชาต อินสอน
30.น.ส.มาระตี วงศ์ไทย
31.นายวินัย แสงสีนิล
32.น.ส.กัลยารัตน์ กาวีระ
33.นายประทีป ใจหาญ
34.นายสมเกียรติ สาระเนียม
35.นายธนานันท์ ศรีสุดดี
36.นายกิตติ์ดนัย พริ้งกุลเศรษฐ์
37.นายพีระ พริ้งกลาง
38.นายสมชาย ไพบูลย์
39.นายนาวิน บุญเสรฐ
40.นางประทีป อึ้งทรงธรรม
41.ชายไทยไม่ทราบชื่อ
42.ชายไทยไม่ทราบชื่อ
43.นายอัครพล ขันธกาญจน์
44.ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา
45.นายอรรณพ แซ่ตัน
46.นายจักรชลัช คงสุวรรณ์
47.นายสมบัติ มากทอง
48.นายศักดา แก้วผูกนาค
49.นายยงยุทธ ท้วมมี
50.นายเยี่ยมยอด ศรีมันตะ
ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย
1.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
2.นายพายัพ ปั้นเกตุ
3.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
4.นายศิริวรรณ นิมิตศิลป์
5.นายยศวริศ ชูกล่อม
6.นายวีระ มุสิกพงศ์
7.นพ.เหวง โตจิราการ
8.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
9.นายขวัญชัย สาราคำ
10.นายจตุพร พรหมพันธุ์
11.นายนิสิต สินธุไพร
12.นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
13.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
14.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
15.นายอดิศร เพียงเกษ
16.นายชินวัตน์ หาบุญพาด
17.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
18.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
19.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
20.นายสุรชัย เทวรัตน์
21.นายรชต วงค์ยอด
22.นายสุขเสก พลตือ
23.นายวิเชียร ขาวขำ
24.นายอารี ไกรนรา
25.นายชยุต ใหลเจริญ
26.นายการุณ โหสกุล
27.นายอำนาจ อินทโชติ
28.นายจรัญ ลอยพูล
29.นายมงคล สาระพัน
30.นายยงยุทธ ท้วมมี
31.นายสมบัติ มากทอง
32.นายอร่าม แสงอรุณ
33.ร.ต.สุรภัศ จันทิมา
34.นายจักชลัช คงสุวรรณ
35.นายอัครพล ขันทกาญจน์
36.นายศักดา แก้วผูกนาค
37.นายอรรณพ แซ่ตัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุมตัวที่ บก.ตชด.ภาค 1 คลองห้า จ.ปทุมธานี
1.นางศิริวรรณ นิมิตศิลป์
2.นางวิกานดา ปักกาลัง(ปล่อยตัว)
3.น.ส.รัศมี มาลาม
4.นายธาดา บุญสุขศรี
5.นายชากิรีน บุญมาเลิศ
6.นายวายุภักดิ์ โนรี (ปล่อยตัว)
7.นายภาสกร หรือสมนึก ศิริรักษ์ (ปล่อยตัว)
8.พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ (ปล่อยตัว)
9.น.ส.ดวงมณี บุณรัตน์ (ปล่อยตัว)
10.นายไพโรจน์ แสงศรี
11.นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
คุมตัวที่ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
1.นายเมธี อมรวุฒิกุล
2.นายเขน แขนสันเทียะ
3.นายชยุต ใหลเจริญ
4.นายเรืองอำนาจ พุทธิวงศ์
5.นายมีชัย สินนาค (ปล่อยตัว)
6.นายอำนาจ อินทโชติ
7.นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
8.นพ.เหวง โตจิราการ
9.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
10.นายนิสิต สินธุไพร
11.นายวีระ มุสิกพงศ์
12.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
13.นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา
14.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
คุมตัวที่ค่ายอดิศร ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี
1.นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล
2.นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
3.นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (ปล่อยตัว)
4.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสียชีวิต)
ติดตามจับกุมตัว
1.นายพายัพ ปั้นเกตุ
2.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
3.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
4.นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือนายวันชนะ เกิดดี
5.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์
6.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย
7.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
8.นายชินวัฒน์ หาบุญพาด
9.นายอดิศร เพียงเกษ
10.นายวรพล พรหมิกบุตร
11.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
12.นายสำเริง ประจำเรือ
13.นายวิสา คัญทัพ
14.นางไพจิตร อักษรณรงค์
15.นายอารี ไกรนรา
16.นายอร่าม แสงอรุณ
17.นายมงคล สารพัน
18.นายธนเดช เอกอภิวัชร์
19.นายราตรี หรือชาตรี ชื่นชม
20.นายพันธุ์ศักดิ์ ชาบุ
21.นายธนกฤต นาคบรรจง
22.นายนิพนธ์ แสงสีนิล
23.น.อ.พิรัตน์ วัฒนพานิช
24.นายชุติพนธ์ ทองคำ
25.นางกัญญาภัค มณีจักร
26.นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล
27.นายภูมิใจ ไชยยา
28.นายนิยม เหลืองเจริญ
29.นายอภิชาต อินสอน
30.น.ส.มาระตี วงศ์ไทย
31.นายวินัย แสงสีนิล
32.น.ส.กัลยารัตน์ กาวีระ
33.นายประทีป ใจหาญ
34.นายสมเกียรติ สาระเนียม
35.นายธนานันท์ ศรีสุดดี
36.นายกิตติ์ดนัย พริ้งกุลเศรษฐ์
37.นายพีระ พริ้งกลาง
38.นายสมชาย ไพบูลย์
39.นายนาวิน บุญเสรฐ
40.นางประทีป อึ้งทรงธรรม
41.ชายไทยไม่ทราบชื่อ
42.ชายไทยไม่ทราบชื่อ
43.นายอัครพล ขันธกาญจน์
44.ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา
45.นายอรรณพ แซ่ตัน
46.นายจักรชลัช คงสุวรรณ์
47.นายสมบัติ มากทอง
48.นายศักดา แก้วผูกนาค
49.นายยงยุทธ ท้วมมี
50.นายเยี่ยมยอด ศรีมันตะ
ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย
1.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
2.นายพายัพ ปั้นเกตุ
3.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
4.นายศิริวรรณ นิมิตศิลป์
5.นายยศวริศ ชูกล่อม
6.นายวีระ มุสิกพงศ์
7.นพ.เหวง โตจิราการ
8.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
9.นายขวัญชัย สาราคำ
10.นายจตุพร พรหมพันธุ์
11.นายนิสิต สินธุไพร
12.นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
13.พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
14.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
15.นายอดิศร เพียงเกษ
16.นายชินวัตน์ หาบุญพาด
17.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
18.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
19.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
20.นายสุรชัย เทวรัตน์
21.นายรชต วงค์ยอด
22.นายสุขเสก พลตือ
23.นายวิเชียร ขาวขำ
24.นายอารี ไกรนรา
25.นายชยุต ใหลเจริญ
26.นายการุณ โหสกุล
27.นายอำนาจ อินทโชติ
28.นายจรัญ ลอยพูล
29.นายมงคล สาระพัน
30.นายยงยุทธ ท้วมมี
31.นายสมบัติ มากทอง
32.นายอร่าม แสงอรุณ
33.ร.ต.สุรภัศ จันทิมา
34.นายจักชลัช คงสุวรรณ
35.นายอัครพล ขันทกาญจน์
36.นายศักดา แก้วผูกนาค
37.นายอรรณพ แซ่ตัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ยันกองทัพแก้วิกฤติตามหน้าที่ เตรียมรุกส่งชุดทหาร "กอ.รมน."ลงชุมชนแจงข้อมูลกับชาวบ้าน
"อนุพงษ์" เรียกประชุมกองทัพ แจกเหตุต้องเข้าไปแก้วิกฤติร่วม ศอฉ.ตามหน้าที่ ส่วนการสูญเสียเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ประเมินผิด ไม่คิดถูกโจมตีด้วยอาวุธหนัก ผบ.พล.1 รอ.ยันต่อ ผบ.กองพัน ทั่วประเทศ “ 6 ศพวัดปทุมฯ” ทหารไม่ได้ทำ เผยเตรียมส่งชุดทหาร กอ.รมน.ลงพื้นที่แจงข้อมูล
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการประชุมและ พูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กองทัพบกได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นจากชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดยในช่วงเช้า ได้มีการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก จากนั้นในช่วงบ่ายได้มีการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ฝ่ายอำนวยการ จำนวนกว่า 600 นาย ที่หอประชุมกิตติขจร โดยมี 5 เสือทบ.เข้าร่วม ประกอบด้วยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. โดยใช้เวลากว่า 2 ชม. นอกจากนั้น ในช่วงเย็น ได้มีการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานด้วย
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไป ที่มีขึ้นในช่วงบ่าย ผบ.ทบ.ได้ลำดับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอธิบายการจัดกำลังทหารในการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แต่ละจุด รวมถึงการปฏิบัติการต่างๆ พร้อมทั้งได้เล่าข้อเท็จจริงที่มีบางฝ่ายนำไปบิดเบือน ให้เข้าใจว่าการทำงานของทหารในความเป็นจริงมีความจำเป็นเช่นใด โดยข้อมูลเหล่านี้ในส่วนของกองทัพบกจะประมวลให้กับเจ้าหน้าที่หรือวิทยากร ที่จะลงไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านได้รับทราบ ซึ่งวิทยากรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ กอ.รมน.ที่เคยลงไปในพบปะประชาชน โนโครงการกู้วิกฤตเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กำลังพลในพื้นที่ ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้จะมาจากส่วนกลางจากเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจสภาพปัญหา และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อไปพบกับชาวบ้านก็ต้องตอบคำถาม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกลับไปว่าความจำเป็นที่เราเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศคืออะไร
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีความพยายามบิดเบือนว่าทหารต้องการทำร้ายประชาชน นอกจากนั้น ยังได้อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพหลังจากที่มีการนำประเด็นดังกล่าวไปอภิปรายในสภาฯ เช่น โครงการจัดหาอุปกรณ์ตรวจการณ์ทางอากาศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เรือเหาะ) โครงการจีที 200 และโครงการจัดหารถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครน ซึ่งโครงการเหล่านี้ท่านได้เล่าถึงความจำเป็นในการจัดหา และการดำเนินการต่างๆ ที่กองทัพบกได้ทำมา ซึ่งข้อกล่าวหาเรื่องงบประมาณต่างๆ เรามีหน่วยงานที่ตรวจสอบในการจัดหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพยังมีความโปร่งใส
มีรายงานว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้เล่าให้ฟังถึงการวางแผนยุทธการ ในการเข้าไปจัดวางกำลัง และการปฏิบัติการทางทหาร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งในครั้งนั้นถือว่า มีกำลังพลที่สูญเสีย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก วันนั้นเราไม่ได้เตรียมชุดระวังป้องกัน เพราะไม่ได้ประเมินว่าฝ่ายนั้นจะใช้อาวุธหนัก คำสั่งคือเราไม่ให้ใช้อาวุธ ทำให้เราถูกกระทำฝ่ายเดียว นอกจากนั้น ในการปฏิบัติการทางทหารในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นหน้าที่ และการดำเนินการต่างๆ ได้ยึดหลักตามกฎหมายทุกประการ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่วัดปทุมวนาราม ได้มีการสอบถามหน่วยที่ปฏิบัติแล้วทั้ง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งทั้งสองหน่วยยืนยันว่าไม่ได้มีการยิงเข้าไป โดยเวลาที่มีผู้เสียชีวิตนั้น ไม่มีกำลังพลของเราอยู่บริเวณนั้น ซึ่งขอให้ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ.ได้ยืนยันด้วย ทำให้ พล.อ.กัมปนาท ได้ยืนยันกับที่ประชุมว่า “ทหารไมได้เป็นคนทำ”
ที่มา.ประชาไท
...................................................
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการประชุมและ พูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กองทัพบกได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นจากชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดยในช่วงเช้า ได้มีการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก จากนั้นในช่วงบ่ายได้มีการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ฝ่ายอำนวยการ จำนวนกว่า 600 นาย ที่หอประชุมกิตติขจร โดยมี 5 เสือทบ.เข้าร่วม ประกอบด้วยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. โดยใช้เวลากว่า 2 ชม. นอกจากนั้น ในช่วงเย็น ได้มีการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานด้วย
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไป ที่มีขึ้นในช่วงบ่าย ผบ.ทบ.ได้ลำดับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอธิบายการจัดกำลังทหารในการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แต่ละจุด รวมถึงการปฏิบัติการต่างๆ พร้อมทั้งได้เล่าข้อเท็จจริงที่มีบางฝ่ายนำไปบิดเบือน ให้เข้าใจว่าการทำงานของทหารในความเป็นจริงมีความจำเป็นเช่นใด โดยข้อมูลเหล่านี้ในส่วนของกองทัพบกจะประมวลให้กับเจ้าหน้าที่หรือวิทยากร ที่จะลงไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านได้รับทราบ ซึ่งวิทยากรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ กอ.รมน.ที่เคยลงไปในพบปะประชาชน โนโครงการกู้วิกฤตเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กำลังพลในพื้นที่ ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้จะมาจากส่วนกลางจากเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจสภาพปัญหา และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อไปพบกับชาวบ้านก็ต้องตอบคำถาม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกลับไปว่าความจำเป็นที่เราเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศคืออะไร
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีความพยายามบิดเบือนว่าทหารต้องการทำร้ายประชาชน นอกจากนั้น ยังได้อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพหลังจากที่มีการนำประเด็นดังกล่าวไปอภิปรายในสภาฯ เช่น โครงการจัดหาอุปกรณ์ตรวจการณ์ทางอากาศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เรือเหาะ) โครงการจีที 200 และโครงการจัดหารถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครน ซึ่งโครงการเหล่านี้ท่านได้เล่าถึงความจำเป็นในการจัดหา และการดำเนินการต่างๆ ที่กองทัพบกได้ทำมา ซึ่งข้อกล่าวหาเรื่องงบประมาณต่างๆ เรามีหน่วยงานที่ตรวจสอบในการจัดหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพยังมีความโปร่งใส
มีรายงานว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้เล่าให้ฟังถึงการวางแผนยุทธการ ในการเข้าไปจัดวางกำลัง และการปฏิบัติการทางทหาร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งในครั้งนั้นถือว่า มีกำลังพลที่สูญเสีย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก วันนั้นเราไม่ได้เตรียมชุดระวังป้องกัน เพราะไม่ได้ประเมินว่าฝ่ายนั้นจะใช้อาวุธหนัก คำสั่งคือเราไม่ให้ใช้อาวุธ ทำให้เราถูกกระทำฝ่ายเดียว นอกจากนั้น ในการปฏิบัติการทางทหารในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นหน้าที่ และการดำเนินการต่างๆ ได้ยึดหลักตามกฎหมายทุกประการ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่วัดปทุมวนาราม ได้มีการสอบถามหน่วยที่ปฏิบัติแล้วทั้ง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งทั้งสองหน่วยยืนยันว่าไม่ได้มีการยิงเข้าไป โดยเวลาที่มีผู้เสียชีวิตนั้น ไม่มีกำลังพลของเราอยู่บริเวณนั้น ซึ่งขอให้ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ.ได้ยืนยันด้วย ทำให้ พล.อ.กัมปนาท ได้ยืนยันกับที่ประชุมว่า “ทหารไมได้เป็นคนทำ”
ที่มา.ประชาไท
...................................................
โฆษกภท.ปัดไม่ใช่ศูนย์รวม"งูเห่า"โวได้ส.ส.เพิ่ม"ไชยยศ"หอบพผ. 4คนเข้าร่วม "ชวรัตน์"ปลื้มพรรคอบอุ่นขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้เดินทางมาที่พรรคภูมิใจไทย เข้าพบนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทั้งนี้นายชวรัตน์กล่าวว่า ได้ชวนนายไชยยศมาร่วมงานนานแล้ว และการมาครั้งนี้เป็นเรื่องดี เพราะทำให้พรรคภูมิใจไทยอบอุ่น และเข้มแข็งขึ้นเหมือนเวลาจะขึ้นชก เวลาชั่งน้ำหนักมันก็มากขึ้นแน่นอน
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงว่า วันนี้ได้มีส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินคือนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ ส.ส.อุดรธานี นายมานพ ปัทนวงศ์ ส.ส.สัดส่วนภาคใต้ มาร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังมีอีก 2 คนจะมาร่วมงานกับพรรคด้วย แต่วันนี้ติดงานเลยไม่เดินทางมา คือ นายนิมุคตาร์ วาบา ส.ส.ปัตตานี และนายนรพล ปฏิมนตรี ส.ส.เชียงใหม่ จะมาร่วมกิจกรรมกับพรรคด้วยโดยขณะนี้ที่ยืนยันได้มี 4 คน แต่อาจจะมีมามากกว่านี้ ยังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจนว่าจะมาอีกเท่าใด เพราะส.ส.ในพรรคเพื่อแผ่นดินมีหลายกลุ่ม และการที่ส.ส.กลุ่มนี้มาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทย เป็นการร่วมกิจกรรมในสภา ถือเป็นสัญยาใจ ที่ไม่ต้องมีการเซ็นสัญญา และที่มากกว่านั้นคือการประกาศให้ประชาชนรับทราบในการร่วมงานกัน ต่อจากนี้หากใครเสนอตัวมาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทยก็ยินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากรับส.ส.เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จะเกิดการทับซ้อนพื้นที่กับผู้สมัครของพรรคที่วางตัวไว้แล้วหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า กรรมการบริหารพรรค มีการพิจารณา คำนึงถึงคุณสมบัติของตับุคคล และขณะนี้ยังไม่มีพื้นที่ใดทับซ้อน และไม่ใช่ใครมารับหมด ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหารพรรคก่อน โดยขณะนี้ตัวเลขส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย มีมากกว่า 50 คนแล้ว เมื่อถามว่าสาเหตุใดส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่มนี้จึงย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัยตอบว่า พรรคเพื่อแผ่นดินมีหลายกลุ่ม โดยกลุ่มส.ส.เหล่านี้เห็นว่าอนาคตอาจอยู่ร่วมกันไม่ได้ จึงต้องหาว่าจะมีพรรคใดที่มีอุดมการณ์ร่วมกันต่อไปได้ เมื่อถามว่าขณะนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นศูนย์รวมงูเห่าหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า พรรคนี้ไม่มีงูเห่า ไม่ใช่ที่อยู่ของงูเห่า และทั้ง 2 คนที่มาร่วมกิจกรรมกับพรรคก็ไม่ใช่งูเห่า
เมื่อถามว่า การที่ส.ส.พรรคภูมิใจไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราต่อรองกับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ โฆษกพรรคภูมิใจไทยตอบว่า ไม่ใช่อัตราต่อรอง พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วม และสนับสนุนรัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เป็นผู้สนับสนุน ไม่ได้หวังผลในการต่อรอง แต่เป็นการหวังผลในการเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้ามากกว่า เมื่อถามว่า ถือว่ารมช.ศึกษาฯถือว่าเป็นโควต้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า คงไม่ใช่ แต่เป็นการร่วมงานกัน เพื่อทำให้การประสานงานมากขึ้น เมื่อถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้อาจพูดได้ว่าพรรคภูมิใจไทยมีรมช.ศึกษาฯ2 คนใช่หรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เมื่อถามอีกว่า เพราะพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนให้เป็นรัฐมนตรี ทำให้นายไชยยศต้องเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า ผู้ที่ตัดสินใจว่าใครได้ดำรงตำแหน่ง เป็นอำนาจนายกฯ แต่ยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้หารือกันเรื่องนี้ และที่ผ่านมานายไชยยศสามารถทำงานด้วยดีมาตลอด
นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า วันนี้มีการประชุมว่าที่ผู้สมัครของพรรค เพื่อให้เตรียมลงพื้นที่หาเสียง เป็นการดำเนินการโดยปกติ อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคได้มีการวิเคราะห์สถานการณ็ทางการเมือง และการชุมนุม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการปรับครม.ที่ผ่านมา เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัคร นำไปใช้หาเสียงในพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นการติดปัญญาความรู้ให้กับผู้สมัครของพรรค เพื่อชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ โดยขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมีการวางตัวผู้สมัครภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 200 คนแล้ว ยังไม่รวมภาคกลาง แต่มีการวิเคราะห์ว่า อนาคตการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรแน่นอน และยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระหรือไม่ เพราะต้องดูที่สถานการณืวันข้างหน้า และจากนี้ถึงเดือนเม.ย.2554 ยังไม่รู้ว่ากลุ่มเสื้อแดงจะมาชุมนุมอีกหรือไม่ จึงจะต้องรักษาเสถียรภาพให้มีความเป็นเอกภาพ เพื่อรัฐบาลจะได้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงว่า วันนี้ได้มีส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินคือนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ ส.ส.อุดรธานี นายมานพ ปัทนวงศ์ ส.ส.สัดส่วนภาคใต้ มาร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังมีอีก 2 คนจะมาร่วมงานกับพรรคด้วย แต่วันนี้ติดงานเลยไม่เดินทางมา คือ นายนิมุคตาร์ วาบา ส.ส.ปัตตานี และนายนรพล ปฏิมนตรี ส.ส.เชียงใหม่ จะมาร่วมกิจกรรมกับพรรคด้วยโดยขณะนี้ที่ยืนยันได้มี 4 คน แต่อาจจะมีมามากกว่านี้ ยังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจนว่าจะมาอีกเท่าใด เพราะส.ส.ในพรรคเพื่อแผ่นดินมีหลายกลุ่ม และการที่ส.ส.กลุ่มนี้มาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทย เป็นการร่วมกิจกรรมในสภา ถือเป็นสัญยาใจ ที่ไม่ต้องมีการเซ็นสัญญา และที่มากกว่านั้นคือการประกาศให้ประชาชนรับทราบในการร่วมงานกัน ต่อจากนี้หากใครเสนอตัวมาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทยก็ยินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากรับส.ส.เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จะเกิดการทับซ้อนพื้นที่กับผู้สมัครของพรรคที่วางตัวไว้แล้วหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า กรรมการบริหารพรรค มีการพิจารณา คำนึงถึงคุณสมบัติของตับุคคล และขณะนี้ยังไม่มีพื้นที่ใดทับซ้อน และไม่ใช่ใครมารับหมด ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหารพรรคก่อน โดยขณะนี้ตัวเลขส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย มีมากกว่า 50 คนแล้ว เมื่อถามว่าสาเหตุใดส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่มนี้จึงย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัยตอบว่า พรรคเพื่อแผ่นดินมีหลายกลุ่ม โดยกลุ่มส.ส.เหล่านี้เห็นว่าอนาคตอาจอยู่ร่วมกันไม่ได้ จึงต้องหาว่าจะมีพรรคใดที่มีอุดมการณ์ร่วมกันต่อไปได้ เมื่อถามว่าขณะนี้พรรคภูมิใจไทยจะเป็นศูนย์รวมงูเห่าหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า พรรคนี้ไม่มีงูเห่า ไม่ใช่ที่อยู่ของงูเห่า และทั้ง 2 คนที่มาร่วมกิจกรรมกับพรรคก็ไม่ใช่งูเห่า
เมื่อถามว่า การที่ส.ส.พรรคภูมิใจไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราต่อรองกับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ โฆษกพรรคภูมิใจไทยตอบว่า ไม่ใช่อัตราต่อรอง พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วม และสนับสนุนรัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เป็นผู้สนับสนุน ไม่ได้หวังผลในการต่อรอง แต่เป็นการหวังผลในการเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้ามากกว่า เมื่อถามว่า ถือว่ารมช.ศึกษาฯถือว่าเป็นโควต้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า คงไม่ใช่ แต่เป็นการร่วมงานกัน เพื่อทำให้การประสานงานมากขึ้น เมื่อถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้อาจพูดได้ว่าพรรคภูมิใจไทยมีรมช.ศึกษาฯ2 คนใช่หรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เมื่อถามอีกว่า เพราะพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนให้เป็นรัฐมนตรี ทำให้นายไชยยศต้องเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายศุภชัยตอบว่า ผู้ที่ตัดสินใจว่าใครได้ดำรงตำแหน่ง เป็นอำนาจนายกฯ แต่ยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้หารือกันเรื่องนี้ และที่ผ่านมานายไชยยศสามารถทำงานด้วยดีมาตลอด
นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า วันนี้มีการประชุมว่าที่ผู้สมัครของพรรค เพื่อให้เตรียมลงพื้นที่หาเสียง เป็นการดำเนินการโดยปกติ อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคได้มีการวิเคราะห์สถานการณ็ทางการเมือง และการชุมนุม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการปรับครม.ที่ผ่านมา เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัคร นำไปใช้หาเสียงในพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นการติดปัญญาความรู้ให้กับผู้สมัครของพรรค เพื่อชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ โดยขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมีการวางตัวผู้สมัครภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 200 คนแล้ว ยังไม่รวมภาคกลาง แต่มีการวิเคราะห์ว่า อนาคตการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรแน่นอน และยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระหรือไม่ เพราะต้องดูที่สถานการณืวันข้างหน้า และจากนี้ถึงเดือนเม.ย.2554 ยังไม่รู้ว่ากลุ่มเสื้อแดงจะมาชุมนุมอีกหรือไม่ จึงจะต้องรักษาเสถียรภาพให้มีความเป็นเอกภาพ เพื่อรัฐบาลจะได้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"สุรชัย"เตือนรบ.เตรียมตัวให้ดีมี"กองกำลัง"เกิดขึ้นแน่หลังปราบม็อบแดง
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำแดงสยาม กล่าวเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ถึง กรณีที่รัฐบาลยังคงยืนยันมีความจำเป็นที่ต้องคงการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ติดตามการเคลื่อนไหวการชุมนุมทางการเมืองโดยตลอดว่า ก็ประกาศตลอดไปเสียเลย เท่ากับเป็นการบังคับให้คนเข้าป่าไปเรื่อยๆ คนไม่รู้จะไปไหน ก็ไปรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมที่กลัวนักกลัวหนาว่าเป็นกองกำลัง ผมว่ามันต้องเกิดอย่างแน่นอน แต่จะเมื่อไรนั้นตอบไม่ได้ การรวมตัวนี้เขาจะไม่รวมตัวในบ้านเราแน่นอน จะที่ไหนก็แล้วแต่จะมีใครสนับสนุนบ้างก็ไม่รู้ เพื่อนบ้านที่ไม่ชอบเราก็มี รอแต่จังหวะ ใครจะกล้าประกาศตัวว่าสนับสนุนกองกำลังนี้ล่ะ
นายสุรชัยกล่าว ได้มีการพูดคุยกันว่าหากมีการประกาศ พรก.ฉุกเฉินยาว พวกเราก็จะทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต แล้วก็จะมีการปราศรัยทางการเมืองบ้างนิดหน่อย เพื่อเรียกขวัญกลับคืนมา เพื่อให้พวกเขาอยู่กับที่ ไม่ต้องการให้พวกเขาต้องแตกกระจายหาหลักไม่ได้ คนเราเมื่อหาที่พึ่งไม่ได้ก็เคว้งคว้าง ผมตั้งใจว่าในเร็วๆนี้จะทำบุญใหญ่กันที่นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ราชบุรี หรืออีกหลายๆ ใช้พื้นที่ที่ไม่ต้องมี พรก.ก็เท่านั้น ทำบุญ กินข้าวด้วยกัน เรียกขวัญกลับมา แต่ไม่ใช่รวมตัวเพื่อก่อการร้ายใต้ดินอย่างที่คิด
“ วันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่พยายามไล่จับคน ปราบปรามคนเสื้อแดง ทำให้กระจัดกระจายตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ตอนนี้ก็เกิดมาแล้ว รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ แนวทางคือ แดงสยามจะต้องเป็นตัวชี้ให้เห็นแนวทางการเปลี่ยนถ่ายอย่างสันติ ไม่ให้สถานการณ์ร้ายจนเกินไป รัฐบาลชุดนี้ปราบปรามแล้วจะเป็นรัฐบาลปรองดองไม่มีในโลก ปราบเอง จับเอง ปรองดองเองไปเอาทฤษฎีมาจากไหน ฟันธงรัฐบาลชุดอภิสิทธิ์อยู่ไม่ทันข้ามปี”
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า กลุ่มที่จะทำให้เกิดความสงบได้วันนี้คือแดงสยาม เพราะกลุ่มตนมีประสบการณ์ นุ่มลึกไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อน มีเหตุมีผล เราเคยผ่านบทเรียนความรุนแรง เราต้องการใช้ทฤษฎีเปลี่ยนผ่าน คนที่หนีเข้าป่าสุดขั้วอยู่แล้ว ฝ่ายรัฐวันนี้ไม่มีทางไม่ได้รับความเชื่อถือ การที่ผมจะออกมาตั้งเวทีวันนี้ก็ออกมาปราบพวกคุณไม่เข้าใจ การันตีกองกำลังเกิดขึ้นแน่เตรียมตัวให้ดี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
นายสุรชัยกล่าว ได้มีการพูดคุยกันว่าหากมีการประกาศ พรก.ฉุกเฉินยาว พวกเราก็จะทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต แล้วก็จะมีการปราศรัยทางการเมืองบ้างนิดหน่อย เพื่อเรียกขวัญกลับคืนมา เพื่อให้พวกเขาอยู่กับที่ ไม่ต้องการให้พวกเขาต้องแตกกระจายหาหลักไม่ได้ คนเราเมื่อหาที่พึ่งไม่ได้ก็เคว้งคว้าง ผมตั้งใจว่าในเร็วๆนี้จะทำบุญใหญ่กันที่นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ราชบุรี หรืออีกหลายๆ ใช้พื้นที่ที่ไม่ต้องมี พรก.ก็เท่านั้น ทำบุญ กินข้าวด้วยกัน เรียกขวัญกลับมา แต่ไม่ใช่รวมตัวเพื่อก่อการร้ายใต้ดินอย่างที่คิด
“ วันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่พยายามไล่จับคน ปราบปรามคนเสื้อแดง ทำให้กระจัดกระจายตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ตอนนี้ก็เกิดมาแล้ว รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ แนวทางคือ แดงสยามจะต้องเป็นตัวชี้ให้เห็นแนวทางการเปลี่ยนถ่ายอย่างสันติ ไม่ให้สถานการณ์ร้ายจนเกินไป รัฐบาลชุดนี้ปราบปรามแล้วจะเป็นรัฐบาลปรองดองไม่มีในโลก ปราบเอง จับเอง ปรองดองเองไปเอาทฤษฎีมาจากไหน ฟันธงรัฐบาลชุดอภิสิทธิ์อยู่ไม่ทันข้ามปี”
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า กลุ่มที่จะทำให้เกิดความสงบได้วันนี้คือแดงสยาม เพราะกลุ่มตนมีประสบการณ์ นุ่มลึกไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อน มีเหตุมีผล เราเคยผ่านบทเรียนความรุนแรง เราต้องการใช้ทฤษฎีเปลี่ยนผ่าน คนที่หนีเข้าป่าสุดขั้วอยู่แล้ว ฝ่ายรัฐวันนี้ไม่มีทางไม่ได้รับความเชื่อถือ การที่ผมจะออกมาตั้งเวทีวันนี้ก็ออกมาปราบพวกคุณไม่เข้าใจ การันตีกองกำลังเกิดขึ้นแน่เตรียมตัวให้ดี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
รัฐมนตรีประชาชนต้องพิจารณา
สำนัก(ข่าว)พระพยอม
การเลือกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาลที่ต้องต่อรองกัน แต่ประชาชนก็จะศึกษาดูว่าคนที่ถูกเลือกเข้ามานั้นทำงานได้หรือไม่ หากเข้ามาแล้วไม่สามารถทำงานได้ หน้าที่ของเราก็พิจารณาเอาตอนเลือกตั้ง
และแล้วความตื่นเต้นเมื่อการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาถึง ไม่ว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกก็ดี ถูกปรับเข้าใหม่ก็ดี อาตมาจะไม่ใช้คำว่าเขี่ย แม้ว่าสื่อมวลชนจะชอบใช้คำว่าเขี่ยหรือรื้อก็ตาม เพราะคำว่าเขี่ยเป็นอาการเหมือนอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คน
สำหรับพวกที่ถูกปรับออกบางคนแค้นก็มี เสียอกเสียใจก็มี น้อยใจบ่นว่าทำงานมาก็เยอะแต่กลับบอกไม่มีผลงาน อันนี้ก็มี คงไม่ต้องเอ่ยว่าใคร เหตุผลของการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ก็ทราบดีว่าต้องการให้คนที่ยังไม่ได้เป็นมาเป็นบ้าง ถึงแม้ว่าคนที่เคยเป็นมาแล้วจะทำงานเก่ง ทำงานคล่องแค่ไหน ก็ต้องหลีกทางให้คนอื่นเข้ามาบ้าง เพราะมีอีกหลายคนที่รออยู่นานแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้จัดการรัฐบาลหรือหัวหน้ารัฐบาลจะดำเนินการ
แต่ที่รู้ๆคนในพรรคเพื่อแผ่นดินที่ออกมาพูดเรื่องโหวตว่า ที่ต้องโหวตสวนเพราะรับสภาพการทำงานไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับทุกคนต้องมีวิจารณญาณว่าใครควรออกเพราะอะไร คนถูกอภิปรายอย่างหนักชี้จุดโกง จุดคอร์รัปชัน มีส่วนทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างชัดเจน งบประมาณต้องเสียไปเปล่าๆ ก็เป็นสาเหตุให้ต้องโหวตสวนไม่ไว้วางใจ แต่สำหรับรัฐมนตรีบางคนถึงแม้จะโดนหนักกว่าคนอื่นแต่ก็ยังได้เป็นรัฐมนตรีต่อไป อันนี้อยากให้รู้ไว้ว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นหลักแล้ว แต่กลับเป็นรอง เพราะถึงจะถูกถล่มร่อแร่ขนาดไหนก็ยังอยู่ได้
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้มองไม่เห็นว่าอีกกี่ปีประเทศชาติเราจะสามารถสนองตอบเรื่องผู้บริหารบ้านเมืองได้ว่าควรเป็นคนดี แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรให้ครองบ้านครองเมืองบริหารประเทศต่อไป พวกนักการเมืองค่อนข้างจะชัดเจน ถ้าเสียชัดเจนให้อยู่ได้ บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าให้นักการเมืองตัดสินใจกันเองก็จะเป็นอย่างที่เห็น เพราะแม้ให้ดีอย่างไร ดีแบบเป็นลูกเทวดามาเกิดแล้วมาช่วยบ้านช่วยเมืองก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามีพวกที่อยากจะเขี่ย นี่แหละเป็นการเมืองแบบไทยๆ ไม่ต้องไปไหน พายเรือในอ่างวนกันอยู่อย่างนี้ เราก็คงจะเห็นว่ามีแต่นักการเมืองหน้าเดิมๆเข้ามาวนเวียนเก็บผลประโยชน์ของบ้านเมืองผ่านตำแหน่งต่างๆ ซึ่งบางคนเข้ามาสร้างปัญหาก็มี
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเวลาหมดไปกับเรื่องใครฆ่าประชาชน เรารู้ว่าอภิปรายไปก็คงไม่มีใครในกองทัพหรือรัฐบาลออกมาบอกว่าข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แม้จะพูดกันเรื่องนี้มากที่สุดก็ยังหาตัวการไม่ได้ แต่การเกาะกิน การคอร์รัปชันในบ้านเมืองนี้เสียหายมากมายกลับพูดถึงกันน้อย ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตายไป 88 ศพไม่มีความหมายหรือไม่มีความสำคัญ แต่เรื่องคอร์รัปชันก็สำคัญ ถ้าปล่อยให้ทำกันเยอะ ต่อไปบ้านเมืองจะเกิดจลาจลเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า และจะมีคนตายมากกว่านี้
เชื่อว่าคนที่มีมันสมองคงเห็นว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าภัยของประเทศที่มาจากการคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาเราเห็นกันจะจะว่าเป็นอย่างไร แต่ยังพากันเอาตัวรอดได้ การแก้ตัวแบบตะเงาตะแงะก็เหมือนปลาที่ถูกทุบแต่ยังมีแรงดิ้นหนีลงน้ำ
อย่างไรก็ตาม ขอให้คนที่ฉลาดช่วยกันติดตามดูว่าการรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่ตั้งเพื่ออะไร เพราะเราอยากให้ตั้งเพื่อประชาชน เลือกคนที่ถนัดในการทำงานที่ชัดเจนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ใช่เข้ามาแก้ปัญหาของกลุ่ม ของพรรคของตนเท่านั้น คือแก้ปัญหาแค่ตัวเอง
ฉะนั้นอยากให้คนไทยศึกษาตรงนี้ เรียนรู้เรื่องนี้ และจดจำเรื่องนี้ คราวหน้าเขามาขอให้เราลงคะแนนให้เราควรจะเลือกหรือไม่ เราจะสนับสนุนไหม โดยพิจารณาด้วยว่าการเลือกคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้น เลือกคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือเลือกเพื่อตอบสนองกลุ่มก๊วน หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน
ท่านนายกฯเองยอมรับว่า “ผมสามารถจะเลือกรัฐมนตรีได้ตามใจชอบ” ก็จะเอ่ยชื่อคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เป็นชื่อแรก แต่ท่านบอกว่านายกฯเลือกไม่ได้เพราะก๊วนมันบังคับมุ้ง ผลเลยต้องเป็นแบบนี้
แต่ความพร้อมจะทำงานเพื่อประเทศชาติคงไม่ครบแน่นอน คุณสมบัติ ความสามารถ บางคนยังไม่ถึง หรือคุณสมบัติที่ชาวบ้านต้องการยังไม่ได้ ได้แต่คุณสมบัติตามที่พรรคต้องการมากกว่า
เพราะฉะนั้นเราชาวบ้าน ใครจะแต่งตั้งใครเราไม่เกี่ยวไม่ได้ ต้องตามศึกษา อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ ไม่ตั้งท่ารับให้ดีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
เจริญพร
**********************************************************************
การเลือกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาลที่ต้องต่อรองกัน แต่ประชาชนก็จะศึกษาดูว่าคนที่ถูกเลือกเข้ามานั้นทำงานได้หรือไม่ หากเข้ามาแล้วไม่สามารถทำงานได้ หน้าที่ของเราก็พิจารณาเอาตอนเลือกตั้ง
และแล้วความตื่นเต้นเมื่อการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาถึง ไม่ว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกก็ดี ถูกปรับเข้าใหม่ก็ดี อาตมาจะไม่ใช้คำว่าเขี่ย แม้ว่าสื่อมวลชนจะชอบใช้คำว่าเขี่ยหรือรื้อก็ตาม เพราะคำว่าเขี่ยเป็นอาการเหมือนอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คน
สำหรับพวกที่ถูกปรับออกบางคนแค้นก็มี เสียอกเสียใจก็มี น้อยใจบ่นว่าทำงานมาก็เยอะแต่กลับบอกไม่มีผลงาน อันนี้ก็มี คงไม่ต้องเอ่ยว่าใคร เหตุผลของการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ก็ทราบดีว่าต้องการให้คนที่ยังไม่ได้เป็นมาเป็นบ้าง ถึงแม้ว่าคนที่เคยเป็นมาแล้วจะทำงานเก่ง ทำงานคล่องแค่ไหน ก็ต้องหลีกทางให้คนอื่นเข้ามาบ้าง เพราะมีอีกหลายคนที่รออยู่นานแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้จัดการรัฐบาลหรือหัวหน้ารัฐบาลจะดำเนินการ
แต่ที่รู้ๆคนในพรรคเพื่อแผ่นดินที่ออกมาพูดเรื่องโหวตว่า ที่ต้องโหวตสวนเพราะรับสภาพการทำงานไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับทุกคนต้องมีวิจารณญาณว่าใครควรออกเพราะอะไร คนถูกอภิปรายอย่างหนักชี้จุดโกง จุดคอร์รัปชัน มีส่วนทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างชัดเจน งบประมาณต้องเสียไปเปล่าๆ ก็เป็นสาเหตุให้ต้องโหวตสวนไม่ไว้วางใจ แต่สำหรับรัฐมนตรีบางคนถึงแม้จะโดนหนักกว่าคนอื่นแต่ก็ยังได้เป็นรัฐมนตรีต่อไป อันนี้อยากให้รู้ไว้ว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นหลักแล้ว แต่กลับเป็นรอง เพราะถึงจะถูกถล่มร่อแร่ขนาดไหนก็ยังอยู่ได้
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้มองไม่เห็นว่าอีกกี่ปีประเทศชาติเราจะสามารถสนองตอบเรื่องผู้บริหารบ้านเมืองได้ว่าควรเป็นคนดี แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรให้ครองบ้านครองเมืองบริหารประเทศต่อไป พวกนักการเมืองค่อนข้างจะชัดเจน ถ้าเสียชัดเจนให้อยู่ได้ บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าให้นักการเมืองตัดสินใจกันเองก็จะเป็นอย่างที่เห็น เพราะแม้ให้ดีอย่างไร ดีแบบเป็นลูกเทวดามาเกิดแล้วมาช่วยบ้านช่วยเมืองก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามีพวกที่อยากจะเขี่ย นี่แหละเป็นการเมืองแบบไทยๆ ไม่ต้องไปไหน พายเรือในอ่างวนกันอยู่อย่างนี้ เราก็คงจะเห็นว่ามีแต่นักการเมืองหน้าเดิมๆเข้ามาวนเวียนเก็บผลประโยชน์ของบ้านเมืองผ่านตำแหน่งต่างๆ ซึ่งบางคนเข้ามาสร้างปัญหาก็มี
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเวลาหมดไปกับเรื่องใครฆ่าประชาชน เรารู้ว่าอภิปรายไปก็คงไม่มีใครในกองทัพหรือรัฐบาลออกมาบอกว่าข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แม้จะพูดกันเรื่องนี้มากที่สุดก็ยังหาตัวการไม่ได้ แต่การเกาะกิน การคอร์รัปชันในบ้านเมืองนี้เสียหายมากมายกลับพูดถึงกันน้อย ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตายไป 88 ศพไม่มีความหมายหรือไม่มีความสำคัญ แต่เรื่องคอร์รัปชันก็สำคัญ ถ้าปล่อยให้ทำกันเยอะ ต่อไปบ้านเมืองจะเกิดจลาจลเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า และจะมีคนตายมากกว่านี้
เชื่อว่าคนที่มีมันสมองคงเห็นว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าภัยของประเทศที่มาจากการคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาเราเห็นกันจะจะว่าเป็นอย่างไร แต่ยังพากันเอาตัวรอดได้ การแก้ตัวแบบตะเงาตะแงะก็เหมือนปลาที่ถูกทุบแต่ยังมีแรงดิ้นหนีลงน้ำ
อย่างไรก็ตาม ขอให้คนที่ฉลาดช่วยกันติดตามดูว่าการรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่ตั้งเพื่ออะไร เพราะเราอยากให้ตั้งเพื่อประชาชน เลือกคนที่ถนัดในการทำงานที่ชัดเจนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ใช่เข้ามาแก้ปัญหาของกลุ่ม ของพรรคของตนเท่านั้น คือแก้ปัญหาแค่ตัวเอง
ฉะนั้นอยากให้คนไทยศึกษาตรงนี้ เรียนรู้เรื่องนี้ และจดจำเรื่องนี้ คราวหน้าเขามาขอให้เราลงคะแนนให้เราควรจะเลือกหรือไม่ เราจะสนับสนุนไหม โดยพิจารณาด้วยว่าการเลือกคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้น เลือกคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือเลือกเพื่อตอบสนองกลุ่มก๊วน หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน
ท่านนายกฯเองยอมรับว่า “ผมสามารถจะเลือกรัฐมนตรีได้ตามใจชอบ” ก็จะเอ่ยชื่อคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เป็นชื่อแรก แต่ท่านบอกว่านายกฯเลือกไม่ได้เพราะก๊วนมันบังคับมุ้ง ผลเลยต้องเป็นแบบนี้
แต่ความพร้อมจะทำงานเพื่อประเทศชาติคงไม่ครบแน่นอน คุณสมบัติ ความสามารถ บางคนยังไม่ถึง หรือคุณสมบัติที่ชาวบ้านต้องการยังไม่ได้ ได้แต่คุณสมบัติตามที่พรรคต้องการมากกว่า
เพราะฉะนั้นเราชาวบ้าน ใครจะแต่งตั้งใครเราไม่เกี่ยวไม่ได้ ต้องตามศึกษา อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ ไม่ตั้งท่ารับให้ดีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
เจริญพร
**********************************************************************
"เพื่อไทย" มีมติขับ "จุมพฎ-ปรพล" ออกจากพรรค เหตุตัวเป็นเพื่อไทยใจอยู่พรรคอื่น "สมบูรณ์-นิคม" จ่อถูกเชือด
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ครั้งที่ 2 / 2553 มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเป็นประธานในการประชุม ว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคมติให้ขับ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี และนายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร ออกจากพรรค ในข้อหาทำผิดระเบียบข้อบังคับพรรคการเมืองอย่างร้ายแรง ขาดการประชุมพรรคเป็นเวลานาน ไม่เข้าร่วมในกิจกรรมของพรรค ไปร่วมกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่น รวมไปถึงการไปร่วมทำกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่นอย่างเปิดเผย ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญรวมถึงกฏหมายพรรคการเมือง ที่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองเดียว แต่การกระทำของร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ชื่ออยู่พรรคเพื่อไทยตามหลักนิตินัย แต่พฤติกรรมและการปฎิบัติตัวกับอยู่อีกพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์ในการทำหน้าที่ที่เป็นตัวแทนประชาชนอย่างชัดเจน
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยโดยคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคได้ทำหนังสือขอให้ ร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ชี้แจงใดๆ กับเพิกเฉย คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีมติขับ ส.ส.ทั้งสองออกจากพรรค ในขั้นตอนต่อไปกรณีที่สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและต้องถูกกำหนดโทษให้พ้นจากการเป็นสมาชิกให้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค เพื่อให้ที่ประชุมร่วมพิจารณา หากมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและ ส.ส. โดยการลงมติให้ลงคะแนนลับ ตามข้อบังคับของพรรคข้อ 23
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ยังได้มีมติให้นำเรื่อง นายสมบูรณ์ วันชัยธนวงศ์ ส.ส. สัดส่วน และนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่กระทำขัดต่อข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรค ได้สอบข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อกล่าวหาของ ส.ส. ทั้งสองต่อไป รวมถึงให้นายสมบูรณ์และนายนิคม มาชี้แจงต่อคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคต่อไป
อนึ่ง ข้อบังคับพรรคเพื่อไทยข้อที่ 23 ระบุไว้ว่าสมาชิกผู้ใดกระทำการอันเป็นการผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณของพรรค ต้องได้รับโทษตามความร้ายแรงของการกระทำผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณ ดังนี้
1.ตักเตือน 2. ภาคทัณฑ์ 3.ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกตามข้อบังคับ 4. ให้พ้นจากสมาชิกภาพ ในกรณีสมาชิกที่ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการกระทำนั้นอาจมีผลให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากความเป็นสมาชิก ให้คณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณส่งผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะให้ที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคพิจารณา มติของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคให้สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากความเป็นสมาชิก ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด การลงมติให้ลงคะแนนลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
..........................................................
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยโดยคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคได้ทำหนังสือขอให้ ร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ชี้แจงใดๆ กับเพิกเฉย คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีมติขับ ส.ส.ทั้งสองออกจากพรรค ในขั้นตอนต่อไปกรณีที่สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและต้องถูกกำหนดโทษให้พ้นจากการเป็นสมาชิกให้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค เพื่อให้ที่ประชุมร่วมพิจารณา หากมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและ ส.ส. โดยการลงมติให้ลงคะแนนลับ ตามข้อบังคับของพรรคข้อ 23
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ยังได้มีมติให้นำเรื่อง นายสมบูรณ์ วันชัยธนวงศ์ ส.ส. สัดส่วน และนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่กระทำขัดต่อข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรค ได้สอบข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อกล่าวหาของ ส.ส. ทั้งสองต่อไป รวมถึงให้นายสมบูรณ์และนายนิคม มาชี้แจงต่อคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคต่อไป
อนึ่ง ข้อบังคับพรรคเพื่อไทยข้อที่ 23 ระบุไว้ว่าสมาชิกผู้ใดกระทำการอันเป็นการผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณของพรรค ต้องได้รับโทษตามความร้ายแรงของการกระทำผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณ ดังนี้
1.ตักเตือน 2. ภาคทัณฑ์ 3.ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกตามข้อบังคับ 4. ให้พ้นจากสมาชิกภาพ ในกรณีสมาชิกที่ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการกระทำนั้นอาจมีผลให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากความเป็นสมาชิก ให้คณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณส่งผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะให้ที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคพิจารณา มติของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคให้สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากความเป็นสมาชิก ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด การลงมติให้ลงคะแนนลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
..........................................................
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ฝูงหมาป่า
นาญโญ อญญัง วิโสธเย.. คำพระท่านบอกว่า “ผู้อื่นพึงทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้” และ..ผู้ที่สามารถลบถ้อยคำบาลี ให้เป็นแค่ตัวหนังสือที่สลักอยู่บนใบข่อยเท่านั้นมีอยู่คนเดียวคือ เนวิน ชิดชอบ ซีอีโอ พรรค ภูมิใจไทย เพราะถึง วันนี้ และ ขณะนี้ ใครก็ไม่สามารถแตะ“สองรัฐมนตรี”ของ “เนวิน” ที่บรรจงปั้นมากับมือรุนส่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี.. เอาเป็นว่าทั้ง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่กล้าสบตาก็แล้วกัน..
และอย่าได้แม้เพียงจะคิด ที่ แตะ ตบ ตะเพิด หรือ เล่น ตุกติก ใดๆทั้งสิ้น!! กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล และ โสภณ ซารัมย์ สองเด็กหน้าแก่ที่อยู่ในคาถาของ“เนวิน” ซึ่งปกป้องว่าเป็น “ผู้ที่บริสุทธิ์”อย่างมิมีมลทินใดมาแปดเปื้อน?? ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “รถไฟฟ้าสีม่วง” หรือ เรื่อง ทลุทะลวง “เปิดร้านขายปืน”..
ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โก่งคอแทบแตกในสภา เมื่อ พรรคเพื่อแผ่นดิน เห็นแล้วว่า “สองรัฐมนตรี”นี้ไม่รอด จึงไม่ไว้วางใจ.. สิ่งที่เห็น..ไม่ใช่สิ่งที่เป็น และ สิ่งที่เป็น..ไม่ใช่สิ่งที่เห็น นี่คือ การเมืองในยุคของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ที่สามารถสร้างความงวยงง เหมือน “นักมายากล”ให้กับผู้คนทั้งประเทศได้ตลอดเวลา
สะเก็ดระเบิดจาก “เฉลิม” ที่อภิปรายในสภา ดันเฉี่ยวไปโดน ไพทูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรี ว่าการแรงงาน ฉิบ! ทั้งที่ไม่ได้ถูกอภิปรายกะเขาเลย..เรียกว่า หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็นใดๆทั้งสิ้น!! สุภาษิตจีนว่า ตู่ หู่ ปู้ ตี๋ ฉวิน หลัง. แปลเป็นไทยว่า “พยัคฆ์เดี่ยวไม่อาจต้านฝูงหมาป่า” และจนป่านนี้ “ไพทูรย์” ยังงง-งง..หลับๆตื่นๆ
เหมือนคนที่ฝันร้ายเป็น “ความฝัน” ที่จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต!! มีลูกพึงสอนลูก..มีหลานก็ต้องสอนหลาน ว่า.. เจอ “ฝูงหมาป่า”ที่ไหนอย่าได้เข้าไกล้เป็นอันขาด มีโอกาสยิงต้องยิง อุตส่าห์เป็น ส.ส.มาถึงเก้าสมัย ออกจาก “ความหวังใหม่” มาอยู่กับ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้นแหละ.. “เสียมวย”ตอนแก่ทันที!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................................
และอย่าได้แม้เพียงจะคิด ที่ แตะ ตบ ตะเพิด หรือ เล่น ตุกติก ใดๆทั้งสิ้น!! กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล และ โสภณ ซารัมย์ สองเด็กหน้าแก่ที่อยู่ในคาถาของ“เนวิน” ซึ่งปกป้องว่าเป็น “ผู้ที่บริสุทธิ์”อย่างมิมีมลทินใดมาแปดเปื้อน?? ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “รถไฟฟ้าสีม่วง” หรือ เรื่อง ทลุทะลวง “เปิดร้านขายปืน”..
ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โก่งคอแทบแตกในสภา เมื่อ พรรคเพื่อแผ่นดิน เห็นแล้วว่า “สองรัฐมนตรี”นี้ไม่รอด จึงไม่ไว้วางใจ.. สิ่งที่เห็น..ไม่ใช่สิ่งที่เป็น และ สิ่งที่เป็น..ไม่ใช่สิ่งที่เห็น นี่คือ การเมืองในยุคของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ที่สามารถสร้างความงวยงง เหมือน “นักมายากล”ให้กับผู้คนทั้งประเทศได้ตลอดเวลา
สะเก็ดระเบิดจาก “เฉลิม” ที่อภิปรายในสภา ดันเฉี่ยวไปโดน ไพทูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรี ว่าการแรงงาน ฉิบ! ทั้งที่ไม่ได้ถูกอภิปรายกะเขาเลย..เรียกว่า หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็นใดๆทั้งสิ้น!! สุภาษิตจีนว่า ตู่ หู่ ปู้ ตี๋ ฉวิน หลัง. แปลเป็นไทยว่า “พยัคฆ์เดี่ยวไม่อาจต้านฝูงหมาป่า” และจนป่านนี้ “ไพทูรย์” ยังงง-งง..หลับๆตื่นๆ
เหมือนคนที่ฝันร้ายเป็น “ความฝัน” ที่จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต!! มีลูกพึงสอนลูก..มีหลานก็ต้องสอนหลาน ว่า.. เจอ “ฝูงหมาป่า”ที่ไหนอย่าได้เข้าไกล้เป็นอันขาด มีโอกาสยิงต้องยิง อุตส่าห์เป็น ส.ส.มาถึงเก้าสมัย ออกจาก “ความหวังใหม่” มาอยู่กับ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้นแหละ.. “เสียมวย”ตอนแก่ทันที!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................................
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น!!!
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น!!!
พฤติการณ์ ฆ่าคนไทย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษาฯ๕๓ และ วันที่๑๙ พฤษภาคม “พระสยามเทวาธิราช” ท่านรู้เป็นฝีมือ “อีที พ่อมดเขมร”??? วันนี้...กรรมยังจิกศรีษะ กระชากหัว มาลงทัณฑ์ ไม่ได้ ไม่มีใคร “อยู่เหนือกรรม”....สิ่งที่ “ปู้ยี่ปู้ย่ำ” ต้องตามทวงคืน ที่ “ฆ่าคนไทย” อายุความนานโข ยาวเหยียด มาราธอนสุดกู่ ๒๐ ปี.. วันนี้, “อีที พ่อมดเขมร” ยังคุมอำนาจประเทศไทย? ซิกแซก เล่นแร่แปรธาตุ ให้ตัวหลุดรอดคดีไปได้..แต่ในที่สุด “กรรม” ต้องตามจี้!!! “พระสยามเทวาธิราช”....ไม่ปล่อยคนอุบาทว์?....ให้ผงาดได้นาน ต่อไปจากนี้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“กฎเหล็ก ๙ ข้อ” เป็นสนิม!!
ใครดูแล้ว “บัญญัติ ๙ ประการ” ที่ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งเป็นมาตรฐานจัดการ “รัฐมนตรี” ดูนับ จะเป็นกฎปัญญานิ่ม??? เพียงแค่มีข่าวสิว ๆ ชิลล์ “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีต รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปข้องแวะ “นมบูด-ปลากระป๋องเน่า” ถูกเขี่ยโล๊ะทิ้ง พ้นรัฐบาล “อดีตรัฐมนตรีวิทยา แก้วภราดัย”...กลิ่นไม่โปร่งใส ก็เฉดหัว ออกไปเหมือนกัน แต่ “รัฐมนตรีที่ฉาวโฉ่”?.. ถูกจับ “งาบคำโต” ยังอยู่คงกะพันชาตรี เป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างฮ้อแร่ด..ทั้งที่หลักฐานมัดแน่น ดิ้นไม่หลุด ยิ่งกว่า “วิฑูรย์-วิทยา” เป็นไหน ๆ!!! ดู“กฎเหล็ก”นี้ช่างมีมลทิน...เข้าทำนอง มือถือสาก ปากถือศิล?... “พวกกังฉิน”ถึงได้ยิ่งใหญ่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” เหมือน “รัฐนาวา”!!
“กัปตันมาร์ค” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ว่ามี “หัวขโมย” อยู่ในลำเรือ..ก็ให้ “คนดี” และ “พรรคน้ำดี” พรรคเพื่อแผ่นดิ ร่วมจับขโมย ให้ได้ อย่างคาหนัง คาตา?? “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ของ “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง”, “ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี”, “พินิจ จารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ” ชี้นิ้วว่าใครเป็นขโมย..แทนที่ “กัปตันมาร์ค” นักแซ็งค์ นักงาบ ลงจากเรือตกทะเลไป ดัน “อุ้มโจร”....ถีบ “คนดี” ตกทะเล นี่มันเรื่องอะไร หรือว่า “หัวขโมยตัวร้าย” กุมไต๋ รู้หัวใจ การบุกสลาย “คนเสื้อแดง” จึงยอมหมอบราบคาบแก้ว ให้กับ “หัวขโมย” แก๊งค์นี้ เสร็จสรรพ!! เลี้ยงคนร้ายไว้ข้างเอว...รับประกันสิ่งเลวเลว?....นำความล้มเหลว มาอีกมาก เลยล่ะครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เส้นใหญ่” แต่ก็รอดยากส์!!
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ใช้ผิดประเภท ผิดประสงค์ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบ สิ้นสภาพไปพร้อมกับ “นายกฯมาร์ค”??? เพราะ “มาตรฐาน” ฟูลออฟชั่น ที่ “บริสุทธิ์” ใครมาใช้ “อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้แล้ว... “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบสิ้นสภาพ ๑๙ พรรคการเมืองไทย...โดนยุบหมดสภาพไป อย่างราบคาบ “พรรคพลังธรรม” จากน้ำมือปลุกปล้ำ “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ใช้เงินเขียม ตามจุดมุ่งหมายของ “กกต.” ยังถูกยุบ...เพื่อรักษามาตรฐาน ไว้คงอยู่คู่ประเทศไทย “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธานกตต. และ “ชัช ชลวร” ประธานตุลการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยึดกฎหมายเหนือพรรคประชาธิปัตย์...ที่หลายคนมองกันว่าซี้!!! “ยุบพรรค ปชป.” เร็วเท่าไหร่.....มาตรฐานเมืองไทย...ที่หายไป จะได้กลับมาเสียที??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใช้แผน “ลับลวงพราง”ทุกช็อต
ถ้า “หัวเสธ-สองไบร์ท” วางแผนทำงานเพื่อประชาชน หยั่งงี้ ต้องบอกว่า “สุดยอด”??? ปล่อยข่าวโคมลอย ให้ฟุ้ง! ให้เฟื่อง!ตลอดระยะ..จะปลด “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ และ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายก ศัตรูตัวฉกรรจ์คนเสื้อแดง เป็นการปล่อยข่าวลวงโลก...เป็นการ “ยกเมฆ” ที่เสแสร้ง ไม่ปรับ ไม่โยก ไม่ย้าย..คงหนีบกะเต้ง เอา “รัฐมนตรีกษิต” และ “รัฐมนตรีสาทิตย์” เอาเหนียวแน่น..โดยเฉพาะใครที่มีผลงานตามราวี “คนเสื้อแดง” ต่างได้อำนาจ และยิ่งมีบทบาท!! ผลงานห่วยไม่ว่า....ขอให้ตามไล่ตามล่า?...ควานหา “เสื้อแดง” ก็ยิ่งใหญ่ ได้โดยอัตโนมัติ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลมน์.ตอดนิดตอดหน่อยกาบรู
ที่มา.บางกอกทูเดย์
พฤติการณ์ ฆ่าคนไทย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษาฯ๕๓ และ วันที่๑๙ พฤษภาคม “พระสยามเทวาธิราช” ท่านรู้เป็นฝีมือ “อีที พ่อมดเขมร”??? วันนี้...กรรมยังจิกศรีษะ กระชากหัว มาลงทัณฑ์ ไม่ได้ ไม่มีใคร “อยู่เหนือกรรม”....สิ่งที่ “ปู้ยี่ปู้ย่ำ” ต้องตามทวงคืน ที่ “ฆ่าคนไทย” อายุความนานโข ยาวเหยียด มาราธอนสุดกู่ ๒๐ ปี.. วันนี้, “อีที พ่อมดเขมร” ยังคุมอำนาจประเทศไทย? ซิกแซก เล่นแร่แปรธาตุ ให้ตัวหลุดรอดคดีไปได้..แต่ในที่สุด “กรรม” ต้องตามจี้!!! “พระสยามเทวาธิราช”....ไม่ปล่อยคนอุบาทว์?....ให้ผงาดได้นาน ต่อไปจากนี้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“กฎเหล็ก ๙ ข้อ” เป็นสนิม!!
ใครดูแล้ว “บัญญัติ ๙ ประการ” ที่ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งเป็นมาตรฐานจัดการ “รัฐมนตรี” ดูนับ จะเป็นกฎปัญญานิ่ม??? เพียงแค่มีข่าวสิว ๆ ชิลล์ “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีต รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปข้องแวะ “นมบูด-ปลากระป๋องเน่า” ถูกเขี่ยโล๊ะทิ้ง พ้นรัฐบาล “อดีตรัฐมนตรีวิทยา แก้วภราดัย”...กลิ่นไม่โปร่งใส ก็เฉดหัว ออกไปเหมือนกัน แต่ “รัฐมนตรีที่ฉาวโฉ่”?.. ถูกจับ “งาบคำโต” ยังอยู่คงกะพันชาตรี เป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างฮ้อแร่ด..ทั้งที่หลักฐานมัดแน่น ดิ้นไม่หลุด ยิ่งกว่า “วิฑูรย์-วิทยา” เป็นไหน ๆ!!! ดู“กฎเหล็ก”นี้ช่างมีมลทิน...เข้าทำนอง มือถือสาก ปากถือศิล?... “พวกกังฉิน”ถึงได้ยิ่งใหญ่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” เหมือน “รัฐนาวา”!!
“กัปตันมาร์ค” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ว่ามี “หัวขโมย” อยู่ในลำเรือ..ก็ให้ “คนดี” และ “พรรคน้ำดี” พรรคเพื่อแผ่นดิ ร่วมจับขโมย ให้ได้ อย่างคาหนัง คาตา?? “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ของ “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง”, “ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี”, “พินิจ จารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ” ชี้นิ้วว่าใครเป็นขโมย..แทนที่ “กัปตันมาร์ค” นักแซ็งค์ นักงาบ ลงจากเรือตกทะเลไป ดัน “อุ้มโจร”....ถีบ “คนดี” ตกทะเล นี่มันเรื่องอะไร หรือว่า “หัวขโมยตัวร้าย” กุมไต๋ รู้หัวใจ การบุกสลาย “คนเสื้อแดง” จึงยอมหมอบราบคาบแก้ว ให้กับ “หัวขโมย” แก๊งค์นี้ เสร็จสรรพ!! เลี้ยงคนร้ายไว้ข้างเอว...รับประกันสิ่งเลวเลว?....นำความล้มเหลว มาอีกมาก เลยล่ะครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เส้นใหญ่” แต่ก็รอดยากส์!!
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ใช้ผิดประเภท ผิดประสงค์ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบ สิ้นสภาพไปพร้อมกับ “นายกฯมาร์ค”??? เพราะ “มาตรฐาน” ฟูลออฟชั่น ที่ “บริสุทธิ์” ใครมาใช้ “อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้แล้ว... “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบสิ้นสภาพ ๑๙ พรรคการเมืองไทย...โดนยุบหมดสภาพไป อย่างราบคาบ “พรรคพลังธรรม” จากน้ำมือปลุกปล้ำ “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ใช้เงินเขียม ตามจุดมุ่งหมายของ “กกต.” ยังถูกยุบ...เพื่อรักษามาตรฐาน ไว้คงอยู่คู่ประเทศไทย “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธานกตต. และ “ชัช ชลวร” ประธานตุลการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยึดกฎหมายเหนือพรรคประชาธิปัตย์...ที่หลายคนมองกันว่าซี้!!! “ยุบพรรค ปชป.” เร็วเท่าไหร่.....มาตรฐานเมืองไทย...ที่หายไป จะได้กลับมาเสียที??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใช้แผน “ลับลวงพราง”ทุกช็อต
ถ้า “หัวเสธ-สองไบร์ท” วางแผนทำงานเพื่อประชาชน หยั่งงี้ ต้องบอกว่า “สุดยอด”??? ปล่อยข่าวโคมลอย ให้ฟุ้ง! ให้เฟื่อง!ตลอดระยะ..จะปลด “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ และ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายก ศัตรูตัวฉกรรจ์คนเสื้อแดง เป็นการปล่อยข่าวลวงโลก...เป็นการ “ยกเมฆ” ที่เสแสร้ง ไม่ปรับ ไม่โยก ไม่ย้าย..คงหนีบกะเต้ง เอา “รัฐมนตรีกษิต” และ “รัฐมนตรีสาทิตย์” เอาเหนียวแน่น..โดยเฉพาะใครที่มีผลงานตามราวี “คนเสื้อแดง” ต่างได้อำนาจ และยิ่งมีบทบาท!! ผลงานห่วยไม่ว่า....ขอให้ตามไล่ตามล่า?...ควานหา “เสื้อแดง” ก็ยิ่งใหญ่ ได้โดยอัตโนมัติ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลมน์.ตอดนิดตอดหน่อยกาบรู
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เจ้าของประเทศ
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อ 5 มิถุนายน 2553 เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางการเมืองหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะถามว่า...มันตอบโจทย์ของประเทศไทยหรือไม่? ผมบอกได้เลยว่า “ไม่” แต่เป็นการตอบโจทย์นักการเมืองมากกว่าตอบโจทย์ของประเทศ เรื่องจริงที่ยิ่งกว่าจริง และจริงแท้แน่นอนก็คือ มันเป็นการตอบโจทย์นักการเมืองอย่างชัดเจนอย่างน้อยสองคน คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ สองนายกรัฐมนตรี กับ เนวิน ชิดชอบ ผู้ทำให้ปรากฏการณ์ทางการเมืองมีการเปลี่ยนขั้วจากเพื่อไทยมาเป็นประชาธิปัตย์ และยังตอบโจทย์
ทางการเมืองต่อไปอีกนั่นคือการชำระบัญชีแค้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถามต่อว่า... ปรับ ครม.หนนี้แก้ปัญหาเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านไหม ตอบได้เลยทันทีว่า “ไม่” ถามต่อว่า แล้วจะทำให้ภาพการทุจริตของคนในรัฐบาลลดลงหรือไม่? ตอบได้เลยว่า “ไม่” ถ้าเช่นนั้นการปรับ คณะรัฐมนตรีหนนี้
ทำเพื่ออะไร? ต้องตอบตามความจริงว่า...เพื่อความมั่นคงของรัฐบาล และความไม่มั่นคงของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นี่คือเกมการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลือกที่จะเล่น และเล่นเป็นทีมกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคช่วยรัฐบาลด้วย ถามว่าจากนี้ไปการเมืองประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? ตอบว่า...
ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า...คนที่เลือกให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป จะมีแผนและเกมอย่างไรในอนาคตข้างหน้านี้ แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไร? ตอบได้แค่ว่า...ประชาชนคนไทยคงได้แต่รอให้สถานการณ์ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรครัฐบาลถามว่า...วันหน้าอนาคต
ประเทศไทยฝากไว้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวหรือ? ผมเองคงตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกครับ แต่เจ้าของประเทศตัวจริงอย่างประชาชนคนไทยคงตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมจากการแสดงออกของพลังประชาชน ถ้าพวกท่านปรารถนาจะเป็นเจ้าของประเทศ และใช้อำนาจของท่านเองอย่างแท้จริง
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................
ทางการเมืองต่อไปอีกนั่นคือการชำระบัญชีแค้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถามต่อว่า... ปรับ ครม.หนนี้แก้ปัญหาเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านไหม ตอบได้เลยทันทีว่า “ไม่” ถามต่อว่า แล้วจะทำให้ภาพการทุจริตของคนในรัฐบาลลดลงหรือไม่? ตอบได้เลยว่า “ไม่” ถ้าเช่นนั้นการปรับ คณะรัฐมนตรีหนนี้
ทำเพื่ออะไร? ต้องตอบตามความจริงว่า...เพื่อความมั่นคงของรัฐบาล และความไม่มั่นคงของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นี่คือเกมการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลือกที่จะเล่น และเล่นเป็นทีมกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคช่วยรัฐบาลด้วย ถามว่าจากนี้ไปการเมืองประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? ตอบว่า...
ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า...คนที่เลือกให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป จะมีแผนและเกมอย่างไรในอนาคตข้างหน้านี้ แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไร? ตอบได้แค่ว่า...ประชาชนคนไทยคงได้แต่รอให้สถานการณ์ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรครัฐบาลถามว่า...วันหน้าอนาคต
ประเทศไทยฝากไว้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวหรือ? ผมเองคงตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกครับ แต่เจ้าของประเทศตัวจริงอย่างประชาชนคนไทยคงตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมจากการแสดงออกของพลังประชาชน ถ้าพวกท่านปรารถนาจะเป็นเจ้าของประเทศ และใช้อำนาจของท่านเองอย่างแท้จริง
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)