--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชาญชัย! นายแน่มาก

การเกาะเกี่ยว จับมือกัน ด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า คงเป็นได้เพียงความสัมพันธ์ที่เปราะบางเท่านั้น ยิ่งหากเจอความสัมพันธ์ประเภท จ้องหาผลประโยชน์ใส่ตัว จ้องเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น หรือแม้กระจ้องเอาภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายมาเป็นยาฟอกขาวให้สังคมเลิกยี้เลิกส่ายหน้า สุดท้ายเมื่อผลประโยชน์ขัดกันก็ยากจะไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นแน่ วันนี้แม้ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล อีก 5 คนของพรรคฝ่ายค้าน แม้ว่าจะไม่สามารถชนะโหวตได้ เพราะมีเสียงน้อยกว่า แต่ก็สามารถ

สร้างแรงกระเพื่อมได้เต็มๆ 3 ดอก ดอกแรก ก็คือ ความรู้สึกของสังคม ความรู้สึกของประชาชน จากที่ได้รับฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายค้าน หลังจากที่ต้องทนรับรู้แต่ข้อมูลของ ศอฉ. ผ่านทางช่องหอยม่วงเป้นหลักมาระยะหนึ่ง การอภิปรายจึงเป็นเหมือนการเปิดโลกอีกด้าน พลิกเหรียญอีกด้านขึ้นมาให้เห็น...

ซึ่ง ก็ได้พร่ำติงเตือน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯมาตลอดว่า อะไรที่ยิ่งปิดๆบังๆคนยิ่งอยากดูอยากรู้ และในวันที่ได้รู้ความจริง ก็ให้ระวังไว้ว่า ความรู้สึกมันจะพลิกผัน ส่วนดอกที่ 2 ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ก็จะอยู่ในอาการพะอืดพะอม

เนื่องจากตลอดมาจะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ถือเป็นคีย์แมนหลักในการดับเครื่องชนกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ไปจนกระทั่งเกิดการสลายการชุมนุม ซึ่งหากสังเกตุให้ดีให้ลึกๆ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ

ควรจะเห็นอาการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่เล่นบท...เชียร์เสียงดัง หน้าแดง แต่แรงไม่ออก... คอยอยู่แต่ข้างหลัง ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ไปตายเอาดาบหน้าเพียงลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองรุ่นเก๋าอย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้กุมกลไกพรรคชาติไทยพัฒนาตัวจริงนั้น พลิ้ว เต้น ติ๊ดชึ่ง

ไม่ได้ดาหน้าเข้าลุยคนเสื้อแดงเหมือนกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพเลยสักนิด พรรคร่วมรัฐบาลก็เลยไม่โดนข้อหามือเปื้อนเลือดเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพโดนกระหน่ำ นายบรรหาร โดนด่าก็แค่ว่า ปลาไหลอีกแล้ว... ซึ่งก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรือเปลืองตัวอะไร เพราะสังคมนั้นรู้อยู่แล้วว่า นายบรรหารนั้น “ปลาไหลตัวพ่อ”อยู่แล้ว

สำหรับดอกที่ 3 ที่รุนแรงที่สุดก็คือ ผลคะแนนโหวตที่ออกมาแบบไม่รักษาหน้ารัฐบาลเลยสักนิด เพราะถ้านับรวมจำนวนคะแนนของรัฐบาลทั้งหมด ก็คือ 275 เสียง แต่สูงสุดที่ได้คะแนนก็คือนายอภิสิทธิ์ ที่ได้ 246 เสียง น้อยที่สุดก็คือ นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้แค่ 234 เสียง

ยังดีนะว่า ไม่ได้นับกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งสภาที่มีอยู่ 475 เสียง ซึ่งจะต้องหมายถึง 238 เสียง แต่ว่านับกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ที่เข้าประชุม นายโสภณ กับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงรอดเฉียดฉิว เช่นเดียวกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ที่ได้ 239 เสียงก็ผ่านแบบหวุดหวิดเหมือนกัน แต่ผลคะแนนเช่นนี้แหละที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมองหน้ากันไม่ติดทันที เพราะคะแนนสนับสนุนหายยังไม่เท่าไหร่ แต่คะแนนไม่ไว้วางใจยังเพิ่มขึ้นด้วยนี่สิ ทั้งนายโสภณ นายชวรัตน์ และนายกษิต แทบจะเอาหน้าตั้งบนบ่าโดยไม่ต้องหาอะไรมาบิดๆบังๆได้ลำบาก

ก็คะแนนไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ คือ 186 เสียง นายสุเทพ ไม่ไว้วางใจ 187 เสียง แต่นายกษิต โดนไม่ไว้วางใน 190 เสียง ในขณะที่นายชวรัตน์ ถูกไม่ไว้วางใจ 194 เสียง ยิ่งนายโสภณออกทะเลเลย เพราะเสียงไม่ไว้วางใจมีมากถึง 196 เสียง นี่รักษาหน้ากันโดยไม่บวกคะแนนงดออกเสียง และไม่ลงคะแนนเสียงแล้วนะ

ไม่งั้นคงได้หน้าชากันมากกว่านี้อีก คะแนนแบบนี้ไม่แปลกที่ พรรคภูมิใจไทย ที่มีนายชวรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายเนวิน ชิดชอบ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” ทำหน้าที่เป็นซีอีโอตัวจริงที่ตัดสินใจในทุกเรื่อง แม้ว่าจะถูกศาลสั่งให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ก็ตาม... ต่างพากันเต้นเร่าๆด้วยความคั่งแค้น ยิ่งพบว่า

คะแนนที่ฉีกหน้าภูมิใจไทยให้สังคมได้รับรู้ครั้งนี้ มาจากพรรคเพื่อแผ่นดิน เพราะส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ลงคะแนนไม่ไว้วางใจนายโสภณ ถึง 14 เสียง และไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ 10 เสียง คะแนนโหล่เปรตอย่างนายโสภณ ย่อมต้องแค้นจัด ออกมาซัดเต็มๆว่า “ขาดมารยาท” แถมยังขู่ด้วยว่า จากนี้ไปการทำงานร่วมกันในรัฐบาล

แม้ทำได้ แต่คงไม่ราบรื่น... ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ที่สำคัญทั้งนายเนวิน กับนายชวรัตน์ ถึงกับออกมาขีดเส้นตาย 1 สัปดาห์ ให้นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเลือกระหว่าง พรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อแผ่นดิน... ประกาศชัดกันแบบสิ้นเยื่อใย จะไม่สิ้นเยื่อใยได้อย่างไร เพราะนอกจากจะลงคะแนนไม่ไว้วางใจกันแล้ว

พรรคเพื่อแผ่นดินยังมีความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ควรจะดึงเอากระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม ออกมาจากการกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทยด้วย เป็นข้อเสนอทุบหม้อข้าว เผาอู่ข้าวอู่น้ำกันแบบซึ่งๆหน้า จะไม่ให้นายเนวิน และพรรคภูมิใจไทยแค้นจนกระอักเลือดได้อย่างไร ถึงขนาดรู้สึกว่า

ฟ้าอุตส่าห์ส่งให้นายเนวินมากอดเอวนายอภิสิทธิ์กลับมามีบารมีทางการเมืองได้ หลังถีบหัวส่งพรรคไทยรักไทยแบบไม่มีเยื่อใยไปแล้ว อะไรๆก็น่าจะฉลุย แต่ทำไมฟ้าจึงส่งให้ ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน มาทำให้สะดุดจนคะมำเช่นนี้ด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว นายเนวิน กับ ว่าที่ รต.ไพโรจน์

ก็เคยมีวีรกรรม(ที่น่าจะเรียกว่าวีรเวร)“กลุ่ม 16” ที่โด่งดังในอดีตมาด้วยกันแท้ๆ... แต่ก็กลายเป็นรู้เชิง หรือไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ จนเมื่อบาดหมางแล้ว ก็เลยไม่มีใครด้อยกว่าใคร แต่ที่แน่ๆงานนี้ นายเนวิน ด้อยกว่าเยอะ เพราะเจอสอนมวยทางการเมืองด้วยคะแนนไว้วางใจบ๊วยและรองบ๊วย แถมไม่ไว้วางใจมากที่สุดแบบนี้...

แต้มต่อในสนามการเมืองหล่นวูบไปเลยในสายตาของสังคม เลือกตั้งเที่ยวหน้าถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนซีอีโอ เปลี่ยนหัวหน้าพรรค ไม่รู้ว่าจะได้สักกี่เก้าอี้ เพราะแผลลึกจากการสลายการชุมนุมในจิตใจของคนในพื้นที่ภาคเหนือภาคอีสาน ก็มีการเอาปูนหมายหัวภูมิใจไทยไว้ด้วยแล้วเช่นกัน

นายเนวิน ซึ่งเก๋าเกมการเมืองอย่างยิ่ง ย่อมรู้ซึ้งถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี ถึงได้ขีดเส้นให้นายอภิสิทธิ์ ต้องเป็นฝ่ายวิ่งวุ่นบ้าง ว่าจะเลือกรักใครกอดใคร?? ซึ่งลำพังด้วยประสบการร์การเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ ที่ยังไม่เก๋าเกมพอ ก็ต้องโยนต่อไปให้นายสุเทพ ช่วยเล่นบท เทพประทานให้อีกหน ช่วยเป็นกาวใจระหว่างพรรคภูมิใจไทย

กับพรรคเพื่อแผ่นดินให้หน่อย ลดแรงกดดันได้มากเท่าไหร่ ก็เท่ากับยืดลมหายใจให้กับรัฐบาลได้นานเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ จึงได้กำชับนายสุเทพ เร่งประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ส่วนจะหมายถึงการตัดสินใจครั้งนี้ ต้องมีพรรคการเมืองหนึ่งพรรค ออกจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่ อันนี้น่าคิด

เพราะนายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะพูดชัดเจน แต่ออกตัวว่าให้นายสุเทพ ไปคุยให้เรียบร้อยก่อน ว่าจะเอาอย่างไร เนื่องจากลึกๆล้วนรู้ดีว่า ปมคาใจของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดินเท่านั้น ที่ไม่แฮปปี้กับพรรคภูมิใจไทย ก็เพราะนายเวินนั้นคะนองในเพาเวอร์มากไป จนกดปุ่มทั้งกระทรวงคมนาคม

ได้โปรเจคท์ได้งบประมาณมาอื้อซ่า ในขณะที่พรรคอื่นๆได้น้อยกว่าเยอะ แถมยังกดปุ่มกระทรวงมหาดไทย ข้ามหัวนายชวรัตน์ในเรื่องโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการจนป่วนไปหมด ถึงขั้นข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยเสียดสีว่า “ยุคนี้หากใครไม่จบสยาม แล้วไม่ผ่านเนฯ โยกย้ายไม่มีวันได้ดี”

นี่คือบาดแผลลึกในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่แน่ใจว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะสามารถเยียวยาบาดแผลได้เพียงใด แต่ที่น่าจับตามองก็คือ ในขณะที่ในพรรคภูมิใจไทยแค้นจนเต้นเร่าๆ ในขณะที่นายสุเทพต้องวิ่งพล่านในฐานะผู้จัดการรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ต้องรับเผือกร้อนไปเต็มๆกับการที่ต้องซื้อเวลาให้รัฐบาลไม่ล่ม

หรือไม่ต้องยุบสภาก่อนสิ้นปีนี้ ปรากฏว่า สังคมกลับปรบมือให้ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แบบดังสนั่น กับผลการลงคะแนนไม่ไว้วางใจรอบนี้ จนกลายเป็นขวัญใจของคนรักประชาธิปไตยที่แท้จริงไปเลย เพราะก่อนหน้านั้น นายชาญชัย ได้มีการออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า ให้เอกสิทธิ์

ส.ส.ในการโหวต หากรัฐมนตรีคนใด ชี้แจงไม่เคลียร์ก็ไม่ต้องโหวตให้ ไม่เพียงเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ยังเป็นการให้ดุลพินิจในการโหวตตามเนื้อผ้าอีกด้วย ต้องบอกว่างานนี้นายชาญชัย... นายแน่มาก เพราะได้คะแนนไปเต็มๆในสายตาประชาชน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................

ความจริงอีกด้านของ “คนห่มเหลือง”

โดย.สุรพศ ทวีศักดิ์

ขณะที่คนของรัฐบาลพูดถึงพระที่มาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงเป็นเพียง 'คนห่มเหลือง' อย่างดูแคลน สุรพศ ทวีศักดิ์ ได้ลงพื้นที่ทำวิจัยกับพระสงฆ์ในการชุมนุม ทำให้ทราบว่าพระสงฆ์เหล่านี้มาเพื่อเตือนสติทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและรัฐบาล ย้ำเตือนถึงวิธีการสันติและเมตตาธรรม ขณะเดียวกันก็มีพื้นเพอยู่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน เข้าใจปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ชาวบ้านได้รับ

เห็นภาพพระสงฆ์ถูกจับมัดมือไพล่หลังติดกับเก้าอี้ (ดูจากหน้า 1 มติชน จะเห็นชัดกว่าดูจากช่อง “หอยม่วง”) ที่ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ นำมาใช้ประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม แล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะทำได้เช่นนั้น

ในทางกฎหมายเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำความผิดที่เป็นนายทหารสัญญาบัตรใน “เครื่องแบบ” จะต้องดำเนินการโดยละมุนละม่อม เช่น ไม่ใส่กุญแจมือ ให้มีนายทหารพระธรรมนูญเข้าร่วมฟังการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เป็นต้น แต่ทหารซึ่งได้รับ “สิทธิพิเศษ” ดังกล่าวนี้ กลับปฏิบัติต่อพระสงฆ์อย่างไม่เคารพต่อ “ผ้ากาสาวพัตร์” ซึ่งชาวพุทธถือว่าเป็นเสมือน “ธงชัยของพระอรหันต์”

จริงอยู่ แม้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติอาจคิดเหมือน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้ให้นโยบายในฐานนะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และประธาน ศอฉ.ว่า ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ใช่พระเป็นเพียง “คนห่มเหลือง” เพราะหากเป็นพระต้องอยู่ที่วัด ไม่ใช่มาอยู่ในสถานที่ “อโคจร” หรือในที่ชุมนุมทางการเมืองที่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ แต่การปฏิบัติหากไม่เคารพความเป็นพระ ก็ควรเคารพ “ความเป็นมนุษย์” และ “ผ้ากาสาวพัตร์” มากกว่านี้

โดยที่ผู้เขียนได้ลงพื้นที่ทำวิจัยเกี่ยวกับการชุมนุมของพระสงฆ์กลุ่มดังกล่าว ได้ทราบข้อมูลบางด้านจากปากของพระสงฆ์เอง จึงอยากนำเสนอสู่ผู้อ่านเพื่อให้พิจารณาความจริงอีกด้านของกลุ่มพระสงฆ์ที่นายสุเทพพิพากษาว่าเป็นเพียง “คนห่มเหลือง”

พระที่ปรากฏในภาพประกอบการอภิปรายของ ร.ต.ท.เชาวริน ชื่อ พระศรี อริยวังโส จำพรรษาอยู่ที่ธรรมสถานศรีอริยธรรม ตำบลวังเพิ่ม อำเภอศรีชมพู จังหวัดขอนแก่น ท่านมาร่วมชุมนุมด้วยเหตุผลคล้ายกับพระรูปอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจังหวัดภาคอิสานภาคเหนือ (ภาคกลาง ภาคใต้ก็มีบ้าง และมีพระนิสิตจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ แต่มาเป็นส่วนตัว)

เหตุผลที่คล้ายกันคือ พระในชนบทจะผูกพันกับชาวบ้าน โดยปกติจะมีกิจกรรมหลายอย่างที่กระทำร่วมกัน เช่น งานบุญประเพณี การพัฒนาวัด พัฒนาชุมชน การมีส่วนร่วมปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ ของชุมชน ในช่วงกว่าสี่ปีมานี้ปัญหาการแบ่งฝ่ายทางการเมืองไม่ได้มีการสนทนาถกเถียงกันเฉพาะในหมู่บ้านเท่านั้น แต่มีการไปพูดคุยกันในวัด หรือปรับทุกข์กับพระสงฆ์ และพระสงฆ์เองก็ซึมซับปัญหาต่างๆ ที่ชาวบ้านเขารู้สึกกัน เช่น ความไม่เป็นธรรม สองมาตรฐาน ความเหลื่อมล้ำ การสูญเสียสิทธิทางการเมืองที่เลือกรัฐบาลที่เขาชอบนโยบายแล้วต้องถูกล้มไปด้วยวิธีรัฐประหาร ฯลฯ

ฉะนั้น เมื่อเห็นชาวบ้านเดินทางมาเผชิญความยากลำบาก เสี่ยงชีวิตเพื่อทวงความเป็นธรรม และสิทธิอำนาจของตนเอง พระท่านจึงตัดสินใจเดินทางมากับชาวบ้าน โดยเชื่อว่าการมาของท่านจะช่วยเป็นขวัญกำลังใจให้กับชาวบ้าน แต่เมื่อมาถึงสะพานผ่านฟ้า สนามหลวง ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2553 มีพระมาจากที่ต่างๆ กว่า 2,000 รูป จึงมีการจัดเต้นท์ให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่สนามหลวง มีบางส่วนอยู่เต้นท์ทางด้านประตูผี และมีการประชุมจัดตั้งกลุ่มของพระสงฆ์เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มอาสาพัฒนาสันติวิธี และกลุ่มสังฆสามัคคี

มีพระระดับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยสงฆ์บางรูป และอาจารย์มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เป็นฆราวาสบางคน มาคอยประสาน ดูแลให้การชุมนุมของพระสงฆ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยข้อตกลงของพระสงฆ์ที่มาร่วมชุมนุมที่สำคัญมี 3 ประการ คือ

1. ต้องการให้สติแก่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม

2. เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายมีจิตเมตตาต่อกันในฐานะเป็นคนไทยด้วยกัน

3. เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน

มีการแสดงออกตามข้อตกลงดังกล่าว เช่น การขึ้นแถลงการณ์บนเวที ไปบิณฑบาตไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลใช้ความรุนแรงที่กรมทหารราบที่ 11 ที่แยกราชประสงค์ ที่สี่แยกคอกวัว (ก่อนสลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน) เมื่อเกิดเหตุปะทะคืนวันที่ 10 เมษายนมีการนำศพไปที่ด้านหลังเวทีให้พระสวดขณะที่เสียงปืนยังดังอยู่ และในเหตุการณ์คับขันที่ผู้ชุมนุมแตกตื่นบางครั้งพระสงฆ์ต้องขึ้นไปสวดมนต์บนเวทีเพื่อเรียกสติกลับคืน ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ในการเคลื่อนไหวไปตามจุดต่างๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุม บางครั้งเราได้เห็นภาพของพระสงฆ์บางรูปที่แสดงออกอย่างไม่สำรวม เช่น นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ถือตีนตบ ถือเสาธง ฯลฯ แต่นั่นไม่ใช่การแสดงออกตามมติของกลุ่มพระสงฆ์ส่วนใหญ่ (เปรียบเทียบกับสันติอโศก จะเห็นว่าสมณสันติอโศกจะกำกับดูแลให้อยู่ในระเบียบได้ง่ายกว่า เพราะมาจากสำนักเดียวกัน)

ปัญหาว่า พระสงฆ์มาร่วมชุมนุมขัดต่อพระธรรมวินัย และคำสั่งมหาเถรสมาคมหรือไม่? เป็นเรื่องที่ถกเถียงได้ หรือเป็นเรื่องที่องค์กรที่รับผิดชอบจะพิจารณา แต่สำหรับพระสงฆ์ที่มาชุมนุมท่านมองว่า ที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่เพื่อผลทางการเมืองที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวบุคคลหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ แต่มาชุมนุมเพราะเห็นว่าเป็นปัญหาของบ้านเมือง ชาวบ้านที่เป็นคนชั้นล่างเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเหยียดหยามว่าโง่ เป็นม็อบรับจ้าง ไม่มีอุดมการณ์ ฯลฯ

ท่านจึงเห็นว่าการมาชุมนุมของท่านจะช่วยเป็นขวัญกำลังใจให้คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้เสียเปรียบ ให้รัฐบาลและสังคมเห็นว่า ปัญหาความแตกแยกของบ้านเมืองจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขด้วยสันติวิธี คือการปฏิบัติตาม “ครรลอง” ของระบอบประชาธิปไตย

แต่ในที่สุดความรุนแรงและสงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้น ข้อตกลง 3 ประการ ของพระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมไม่บรรลุผล ทว่าภาพของ “พระสงฆ์ที่ถูกจับมัดมือไพล่หลัง” และคำพิพากษาที่ว่าท่านเหล่านั้นเป็นเพียง “คนห่มเหลือง” ยิ่งสะท้อนทัศนะของฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐที่มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า ปัญหาความแตกแยกทางความคิดไม่เพียงแต่สนทนาถกเถียงกันในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ถูกนำไปสนทนาถกเถียง ปรับทุกข์ในวัดจำนวนมากในภาคเหนือและอิสาน

“ม็อบพระ” ที่เราเห็นผ่านสื่ออาจไม่น่าเลื่อมใสในสายตาของคนชั้นกลางในเมือง แต่สำหรับคนเสื้อแดง พระเหล่านั้นคือพระร่วมสุขร่วมทุกข์ที่พวกเขานับถือ ภาพของพระที่เดินไปมาในที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ต่างอะไรกับพระที่เดินไปมาในงานวัดทางภาคเหนือ ภาคอิสาน กลมกลืนและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวบ้าน พวกเขานับถือพระเหล่านั้น ทำบุญกับพระเหล่านั้น ผูกพัน ดูแลเอาใจใส่เหมือนเมื่ออยู่บ้านที่จากมา

บางทีเราไม่อาจตัดสินปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองด้วยทัศนะที่ยึดถูก-ผิด ขาว-ดำได้ การจะสร้างความปรองดองเราจำเป็นต้องมองความจริงหลายแง่มุม พระหนึ่งรูปถูกจับกุมราวผู้ก่อการร้าย ทำให้ชาวบ้านอีกเท่าไรที่เจ็บปวด พระคุณเจ้าระดับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยสงฆ์ท่านหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า กว่าร้อยละ 90 ของพระนิสิตมหาวิทยาลัยสงฆ์ “มีใจ” ให้กับคนเสื้อแดง เนื่องจากท่านเหล่านั้นมีพื้นเพเดิมมาจากครอบครัวคนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าเป็นส่วนใหญ่

ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเรียกท่านเหล่านั้นว่าเป็น “พระสงฆ์” หรือ “คนห่มเหลือง” ก็ตาม แต่ท่านเหล่านั้นคือพลเมืองของ “รัฐประชาธิปไตย” แสดงออกถึง “ความเป็นมนุษย์” ที่รู้สึกผูกพัน เห็นอกเห็นใจชาวบ้านที่มีปัญหา ยอมเสียสละมาลำบากร่วมทุกข์ร่วมสุขและเสี่ยงตายกับชาวบ้าน หากไม่เห็นด้วยกับการออกมาชุมนุมของท่านเหล่านั้น ก็ควรเปิดใจรับฟังความเห็นของท่านบ้าง

ไม่ควรด่วนตัดสินอย่างหมิ่นแคลน เพราะนอกจากจะทำให้การปรองดองเป็นไปไม่ได้แล้ว ความแตกแยกยิ่งจะขยายกว้าง และร้าวลึกถึงจิตวิญญาณ!
ที่มา.ประชาไท
***********************************************

ยกคำร้อง หมายจับ นปช.ข้อหาก่อการร้าย


ที่มา.Voice TV
*********************************************

ทนายผู้เชี่ยวชาญอาชญากรรมสงครามให้สัมภาษณ์สื่อเนเธอแลนด์

"เลาะรั้วเสื้อแดง" ตอนแรก พาไปคลุกวงในแดงแนวหลังที่ยังคุกรุ่นในแววตา บนใบหน้ายิ้มแย้มแต่แห้งแล้งกับคนต่างสี

"เลาะรั้วเสื้อแดง" ตอนแรก พาไปคลุกวงในแดงแนวหลังที่ยังคุกรุ่นในแววตา บนใบหน้ายิ้มแย้มแต่แห้งแล้งกับคนต่างสี

หากการ "มองไปข้างหน้า" และ "ความร่วมมือร่วมใจ" จะเป็น "เทรนด์" ของคนเมืองช่วงนี้ "ความสงสัย" ก็ถือเป็นอีกกระแสที่คนภูธรกำลัง "อิน" ไม่น้อยไปกว่ากัน

"สายลับหรือเปล่า?" คำถามทำนองนี้มักมีมาฝาก "คนแปลกหน้า" ที่โฉบผ่านมายังพื้นที่สีแดงแถบที่ราบสูง...เสมอ

ฟังดู อาจจะเป็นตลกร้าย แต่มันกลับสะท้อนถึงความรู้สึกข้างในที่ทั้งไม่ปลอดภัยและหวาดระแวง แม้พี่น้องเพื่อนฝูงที่ไปต่อสู้เรียกร้องถึงเมืองกรุง จะกลับมาแล้วก็ตาม

"ข่าวลือ" หรือ "เรื่องจริง"

"มาจากกรุงเทพเหรอ?"

ไม่ทันฟังคำตอบ เจ้าของคำถามก็หันกลับไปบรรเลงเครื่องปรุงตามออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว ร้านเล็กๆ ริมข้างทางของ กี (สงวนชื่อจริง) ถึงจะตั้งอยู่เป็นร้านสุดท้ายของหมู่บ้าน แต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนมาสั่งอยู่ไม่ขาด เธอ และเชน (สงวนชื่อจริง) สามีมาทำร้านส้มตำอยู่ที่บ้านโคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น มาเกือบๆ 2 ปีแล้ว

"ถามไปทำไมล่ะ?" รอยยิ้มของกีผุดขึ้นที่มุมปากเมื่อถูกถามถึง "สีเสื้อ" ที่เลือกใส่

หลังสงวนท่าทีฟังคำอธิบายจากคนถาม เธอจึงให้คำตอบแบบภาพรวมว่า แถบอีสานนี้เชื่อขนมกินได้ว่า "แดง" ทั้งบาง

"คนที่นี่ร้อยคนจะมีสักคนที่ไม่ใช่" เชนเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

เขายอมรับว่า ความกินดีอยู่ดีเมื่อครั้งรัฐบาลทักษิณ คือความประทับใจที่ทำให้คนส่วนใหญ่ทางนี้ "เลือกข้าง" เมื่อเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในวันนี้

"เมื่อก่อนราคาวัวขายได้เป็นแสนเลยนะ แต่เดี๋ยวนี้แค่สามหมื่นยังไม่รู้เลยว่าจะมีคนเอาหรือเปล่า" เชนยกบางตัวอย่างขึ้นมาอธิบาย ซึ่งตัวเขายืนยันว่าช่องทางทำกินอื่นๆ ก็ครือกัน

"ตอบพอดีๆ พูดเยอะไปแล้ว" เสียง "แตะเบรก" จากกี และลูกค้าขาประจำของเธอดังขึ้น เตือนให้รู้ว่าคนที่เขาคุยอยู่ด้วยนั้น "แปลกหน้า"

ความคิด มุมมอง กระทั่งทัศนะทางการเมืองดูจะเป็นเรื่อง "ต้องห้าม" สำหรับคนต่างถิ่น ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะมีเสียงเล่าลือถึง "สายลับ" ที่ทั้ง "ฝ่ายราชการ" และ "เสื้อสีตรงข้าม" ส่งมา "ล้วงความลับ" กระทั่งสร้าง "ความปั่นป่วน" ในชุมชนก็เคย

"เขาลือกันเยอะว่ามีสายจากทหารเข้ามาหาข้อมูลจับคนที่เคยไปชุมนุม แล้วก็มีฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาปล่อยข่าว หมู่บ้านอื่นเขาเคยมีคนมาเอาข้อมูลไปออกข่าวช่องนั้นไง แล้วก็อะไรอีกสารพัด" เธออธิบาย

เหมือนที่ ไพรรัตน์ โพธิ์เศษ เจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์ในหมู่ 2 บ้านโคกสี และณี (สงวนชื่อจริง) ภรรยาของเขา เลือกจะส่งรอยยิ้มให้แทนการออกความเห็น หรือไม่ก็ยืนกรานว่า "ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยว ไม่เข้าใจ"

สถานการณ์ที่ยังไม่ถือว่า "นิ่ง" หลังคนเสื้อแดงแยกย้ายกลับบ้าน และยังมีข่าวคราวการเคลื่อนไหวแบบ "ใต้ดิน" แว่วมาให้ได้ยินอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งทำให้ คำบอกเล่า เข้าเค้าความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

"คนแปลกหน้า" จึงเป็น "ผู้ต้องสงสัย" ทำให้การพูดคุยถูก "รักษาระยะ" ยิ่งเมื่อเข้าประเด็น "การเมือง" คำตอบ รวมทั้งความเห็นโดยทั่วไป หรือถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามบ่ายเบี่ยงมากกว่าที่จะตอบ

"จะเป็นนักข่าวจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้หรอก ถ้าข้อมูลเอาไปทำอย่างอื่นพวกเราก็เสียหาย" กีเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มตามภาษาคนค้าขาย หลังจากมองดู "หลักฐาน" ยืนยันตัวตน ของคนที่กำลังโยนคำถามมากมายใส่เธอ และคำพูดเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า "การ์ด" ของแม่ค้าส้มตำรายนี้ "ยังไม่ตก"

จนกระทั่ง...

"เมื่อกี๊ตอนที่เธอไม่อยู่ ลูกค้าคนหนึ่งเขามาแล้วบอกว่าคุ้นหน้าอยุ่ เหมือนเคยเห็นในทีวี เชื่อแล้วล่ะว่าเป็นนักข่าวจริงๆ"

"นักข่าว" คนนั้นได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับ พลางปาดเหงื่อในใจถึง "ส้มหล่น" ที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อความเชื่ออย่างนี้

เปิดใจ "แดงอีสาน"

หากมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลในการ "เลือกข้าง" ของชาวบ้านในต่างจังหวัดภาคอีสาน กระทั่งถูกขนานนามว่าเป็น "ฐานที่มั่นเสื้อแดง" นั้น ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องปากท้องที่พวกเขาวัดความรู้สึกจากตัวเองได้เมื่อมีการเปลี่ยนจากรัฐบาลหนึ่งไปเป็นอีกรัฐบาลหนึ่ง

ราคาผลผลิตที่งดงามเมื่อวันวานถูกตัดทอนลงจนรายได้หักลบแทบไม่พอรายรับที่เชนพูดถึงจะกลายเป็นภาพที่จับต้องได้ในความรู้สึกของคนอีสานโดยรวมก็ตาม แต่ผลข้างเคียงจากมาตรการที่รัฐสั่งปิดเคเบิลทีวี และสถานีวิทยุชุมชนเสื้อแดงนั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐอยุติธรรม

"เราก็ติดตามบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฟันธงอะไรนะ" ไพรรัตน์ เล่าถึงกิจวัตรกับการเปิดรับข้อมูลข่าวสารจาก "สื่อ" ของเขาและครอบครัวก่อนหน้านี้

สิ่งที่กระตุกความคิดของทั้งคู่เริ่มให้เริ่มรู้สึกว่าถูกปิดหูปิดตาจากรัฐบาล ก็คือ การหายไปของเคเบิลทีวี หรือกระทั่งคลื่นวิทยุท้องถิ่น ซึ่งถือว่าเป็นคนพูด "ภาษาเดียวกัน"

"ข่าววันนี้ดูเถอะ ไม่มีความเป็นกลาง ส่วนหนึ่งมันก็อาจจะเป็นอคติส่วนตัวของเราด้วย ตรงนี้เราก็ยอมรับ แต่วันนี้มีการสื่อสารด้านเดียว บางครั้งเราก็ทำใจให้เป็นกลาง ก็พอจะฟังได้นะ ข่าวที่ออกมาข้างเดียว ขณะที่เราอยากรู้ความเห็นจากอีกด้านด้วยก็ไม่มีให้ดู" เขาให้เหตุผล

ธนพงษ์ กองไตร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านโคกสี เปิดเผยถึงพฤติกรรมการรับสื่อของชาวบ้านทั่วไปว่า คนที่ชอบเสื้อแดงที่มีอยู่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่นั้นฟังวิทยุชุมชน และดูเคเบิลทีวีเป็นหลัก

"การปิดสื่อส่งผลมาก เพราะคล้ายๆ รัฐพยายามปิดข่าว คนจะไม่ค่อยทราบเรื่อง ก็ยิ่งเชื่อ ยิ่งเชียร์เสื้อแดงมากขึ้น"
ความนิยมชมชอบอย่างไม่มีข้อสงสัยเหล่านี้ ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนมีเรื่องเล่าทำนองว่า หากเข้ามาออกอาการ "ต่างสี" ในพื้นที่จะต้อง "โดนดี" ทุกรายไป กีเล่าเรื่องแม่ค้าร้านส้มตำรายหนึ่งใน อ.เขาสวนกวางไปแสดงอาการไม่ "สบอารมณ์" เรื่องการชุมนุมของเสื้อแดงที่กรุงเทพฯ อย่างออกนอกหน้า เธอจึงถูกบรรดาลูกค้า (เสื้อแดง) "ล้มโต๊ะ" ด้วยความไม่พอใจ

"คนสีอื่นเขามาที่นี่ได้นะ ไม่มีปัญหา แต่นั่งฟังนิ่งๆ อย่างเดียว" เชนสรุป

ความเหนียวแน่นของมวลชนในพื้นที่สำหรับคนทำงานสื่ออย่าง ชาติชาย ชาธรรมา นายกสมาคมสื่อมวลชน จ.ขอนแก่น วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะกลุ่มคนเสื้อแดงกับสื่อค่อนข้างเปิดรับสารจำกัด และสอดรับกับความเชื่อส่วนบุคคลเป็นหลักอยู่แล้ว

"ความชื่นชอบส่วนตัว ทำให้เสื้อแดงรับสื่อเฉพาะทาง คือเคเบิลทีวี และวิทยุของเขาเอง ยิ่งเป็นทีวีสาธารณะที่นำเสนอข้อมูลคนละทาง เขาจะไม่เชื่อ"

ความรักและศรัทธาในตัว "ผู้แทน" ที่ตัวเองลงคะแนนสนับสนุนนั้นจึงกลายการต่อต้านการ "รัฐประหาร" เมื่อ 4 ปีก่อนอย่างชัดเจน และจากคติความเชื่อดังกล่าวจึงทำให้วิธีการตอบโต้ของเหล่า "แดงแนวหลัง" กับสื่อของรัฐจะคล้ายๆ กันทั่วภูมิภาคก็คือ "ถ้าไม่ได้ดู ก็ไม่เชื่อ"

"เขาปิดเรา เราก็ปิดเขา" ณีอธิบายสั้นๆ ถึงการ "เอาคืน" สื่อรัฐที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม และไม่เป็นกลาง ซึ่งไม่ต่างกันกับกีและเชนที่มองว่าวิทยุชุมชนให้ความจริงกับพวกเขามากกว่า

"ตั้งแต่มีวิทยุชุมชนยิ่งทำให้ความสนใจของชาวบ้านในเรื่องข่าวสารบ้านเมืองขยายวงกว้างอย่างมาก พอเขามาปิดทีวี ปิดวิทยุ มันก็เท่ากับปิดหูปิดตาประชาชน เรื่องนี้เรายอมไม่ได้ การที่คนออกไปแสดงออกนั่นเขาก็ไม่ได้ทำเพื่อเขาเองหรอก เขาทำเพื่อลูกหลานเขา ทำเพื่ออนาคต ไม่ได้หวังจะได้เงินได้ทองกลับมาหรอก วันนี้เขาทำอย่างนี้กับเราได้ แล้วอนาคตล่ะ ลูกหลานชาวบ้านจะไม่ถูกกดขี่เหรอ" เชนสะท้อนมุมมอง

เสื้อแดง (ไม่มีทาง)แสลงใจ

เสียงฟ้า และเม็ดฝนที่พรั่งพรูลงมาเป็นระยะนั้นได้เปลี่ยนภาพของอีสานที่แห้งแล้งให้ดูชุ่มชื่นขึ้นทันตา และยังช่วยคลายความร้อนของอากาศไปได้บ้าง แต่อุณหภูมิในจิตใจของเหล่า "เสื้อแดง" ไม่ว่าจะ "ทัพหน้า" หรือ "แนวหลัง" ที่กรุ่นอยู่ ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเย็นลงได้อย่างไร

"พูดไปก็เท่านั้น เหนื่อย พูดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา" ไพรรัตน์ตัดพ้อถึงรัฐบาลในวันนี้

เหมือนกับเสื้อแดงอีกหลายๆ คนที่มองเห็นถึงความไม่ยุติธรรมในการเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ทั้งไพรรัตน์ และเชนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วน "เกินกว่าเหตุ" และ "สองมาตรฐาน"

"เรื่องอาวุธ มันเป็นการใส่ร้ายเพื่อสร้างสถานการณ์ปราบผู้ชุมนุม มันต้องมีเครือข่าย มีองค์กรชัดเจน ไม่ใช่แบบนี้ คนในนั้นก็มีแต่มือเปล่า ถ้าผู้ชุมนุมใช้อาวุธจริงๆ ทหารยิงเข้ามา เขาก็ยิงสวนแล้ว" ช่างซ่อมมอเตอร์ไซด์เปิดประเด็น

"เรามองการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง มองทางเหลืองมากกว่า ถ้าเหลืองทำได้ แล้วทำไมแดงจะทำไม่ได้" เชนเสริม

ย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่ม พวกเขาไม่มีใครคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบนี้ แม้การเคลื่อนไหวจะเป็นการเรียกร้องเพื่อให้ทักษิณกลับมา แต่จนถึงวันนี้ประเด็นของการเรียกร้อง แนวหลังต่างก็มองว่ามันไปไกลเกินกว่านั้นมาก ถ้าเปรียบเทียบเศรษฐกิจประเทศระหว่างก่อนรัฐประหารและหลังรัฐประหาร ก็ยิ่งเหมือนฉายหนังคนละม้วน ดังนั้นการเคลื่อนไหวในระยะหลังจึงเกิดขึ้นเพื่อประชาธิปไตยของประชาชนเป็นหลัก

ทั้งคนตาย ความวุ่นวายของผู้คน และซากเมืองที่ถูกเพลิงไหม้หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม ทุกคนต่างยอมรับว่าเสียใจ และไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง เพราะไม่เกิดผลดีกับใครทั้งนั้น

"เราก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ฝ่ายหนึ่งถืออาวุธ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีมือเปล่า แต่การเผาสถานที่ราชการ เผาเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีในการตอบโต้ มันก็เป็นแค่ความสะใจชั่วครู่ แต่เราก็ต้องเสียงงบประมาณมาซ่อมแซมดูแลอีกไม่รู้เท่าไหร่" ไพรรัตน์บอก

..............................................

"มันก็เป็นการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้นน่ะ ถ้ารัฐบาลทำงานมีประสิทธิภาพ ทำอะไรเด็ดขาด แล้วเห็นผลจริงๆ เศรษฐกิจดีขึ้น ชุมชนก็ดี ปัญหาทุกอย่างมันก็จบ" เชนมองเผื่อถึงทางออก แต่เขาก็เห็นด้วยว่าหากมีการรวมชุมนุมกันอีก คนอีสานส่วนใหญ่ก็พร้อมจะออกไปร่วมอีก

เมื่อชั่งน้ำหนัก และดูปัจจัยแวดล้อม ชาติชายยอมรับว่า แรงกระเพื่อมระลอกสองย่อมจะมีตามมาแน่นอน เพียงแต่รอเวลา และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็พร้อมจะกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังมีแนวโน้มแรงกว่าครั้งแรกด้วย

ไพรรัตน์ให้ความเห็นว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ มวลชนคงไม่มีทางลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรแบบนี้เป็นอันขาด

"การที่ผลักประชาชนออกไปตรงนั้นได้มันก็ต้องเป็นอะไรที่สุดๆ แล้วนะ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ออกไปหรอก"

"สาร" จากฝั่งชาวบ้าน "แดงจริง" จึงเป็นอีกข้อสังเกตหนึ่งที่ควรรับฟัง ถ้าสังคมไทยต้องการ "ความปรองดอง" ที่ "ชัดเจน" และ "ยั่งยืน" อย่างแท้จริง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
.................................................

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพื่อไทยเปิดคลิปนอกสภา



พรรคเพื่อไทย แถลงเปิดคลิปเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค.ต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศ รวมทั้งต่อหน้าญาติผู้เสียชีวิต
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อแผ่นดินบางคน แสดงสิทธิลงคะแนนไม่ไว้วางใจ และงดออกเสียงให้รัฐมนตรีฝั่งรัฐบาลที่ถูอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนี้ของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ทางพรรคเพื่อไทยจึงขอให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย , นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ มีความสำนึกทางการเมืองว่า ในวันนี้ขาดความชอบธรรมแล้ว และควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองให้กับคนรุ่นหลังต่อไป

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ตนทราบข่าวมาว่าขณะนี้มีการประชุมลับระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัต ย์ เพราะมีผู้มีอิทธิพลนอกสภาของพรรคภูมิใจไทย กำลังบีบให้พรรคประชาธิปัตย์เลือกระหว่างพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อแผ่น ดิน ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเห็นแก่ผลประโยชน์ทางการเมืองและ พวกพ้องของตน มากกว่าประเทศชาติหรือไม่

ด้านกลุ่มญาติของผู้เสีย ชีวิตทั้ง 36 คนได้เข้ายื่นหนังสือต่อพรรคเพื่อไทย กรณีรู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะวันนี้ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว แต่รัฐบาลยังคงสามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ จึงทำให้บรรดาญาติผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล ทั้งเรื่องคดีความตามสืบหาข้อเท็จจริง เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีความรับผิด ชอบทางการเมืองใดๆ รวมทั้งที่ผ่านมามีผู้ชุมนุมบางคนถูกจับกุม กักขัง และญาติพี่น้องก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานความมั่นคง จึงเดินทางมาขอความเป็นธรรมให้ทางพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทน ช่วยติดตามตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจากการกระทำของรัฐบาล และกองทัพ

หลังจากนั้นนายพร้อมพงศ์ และทีมโฆษก พรรคเพื่อไทย ก็ได้ทำการเปิดคลิปเหตุการณ์การสลายชุมนุมในวันที่ 19 พ.ค. 53 พร้อมทั้งนำพยานในที่เกิดเหตุคือนายวศันต์ สายรัศมี และน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา อาสาสมัครหน่วยพยาบาลมาร่วมอธิบายคลิปวีดิโอและภาพนิ่งแต่ละภาพโดยละเอียด ซึ่งในระหว่างที่กำลังอธิบายนั้น ได้มีสื่อบางสำนักที่มีข้อมูล ทำการโต้แย้งเรื่องข้อเท็จจริงของรูปภาพ และในที่สุดจึงได้ข้อสรุปเป็นที่แน่ชัดว่า ภาพที่เห็นชายผูกผ้าพันคอสีเขียวถูกยิง นอนกางแขนอยู่บนฟุตบาท และอีกภาพมีกลุ่มผู้ชมุนุมผู้ชายประมาณ 4-5 คน เข้าไปช่วย และอีกภาพคือ ผู้ที่เข้าไปช่วย ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน โดยทางการ์ดนปช.ผู้ที่เข้าช่วยเหลือพยายามนำศพออกมาด้วยความทุลักทุเล แต่นำออกมาได้เพียง 2 ศพ จากทั้งหมด 4 ศพ แต่เมื่อกลับไปดูที่เกิดเหตุ พบว่าศพที่เหลืออีก 2 ศพได้หายไปแล้ว โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างยืนยันว่า ทหารเป็นคนนำศพออกไป และคาดว่าจะมีอีกหลายศพที่หายไปอย่างเช่นกรณีนี้

พร้อมกันนี้ นายวศันต์ กล่าวยืนยันว่า เวลาประมาณ 18.00 น.เศษ ซึ่งขณะนั้นยังสามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่หนีเข้าวัดปทุมฯ ก่อนที่ไฟจะไหม้โรงหนังสยาม และอาคารต่างๆ และมีคลิปของช่างภาพอิสระที่ถ่ายภาพอยู่บนยอดตึกของโรงพยาบาลตำรวจยืน ยัน ว่ามีทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าBTSจริง และนำปืนที่เป็นอาวุธสงครามเล็งเข้าไปในวัดปทุมฯ โดยปืนนี้เป็นปืนความเร็วสูงเสียงปืนในคลิปจึงยังไม่ดังมาก แต่คนในวัดปทุมยืนยันได้แน่นอน เพราะเสียงปืนที่ยิงเข้าวัดตลอดเวลานั้น ดังจนทำให้แก้วหูคนแตกได้

ส่วนการที่ทางรัฐบาลยืนยันว่าภาพทหารบน รางBTSนั้น เป็นของวันที่ 20 พ.ค. 53 นายวศันต์ ยืนยันว่าวันที่ 20 พ.ค. 53 มีเจ้าหน้าที่ทหารเดินตรวจบนรางBTSจริง แต่ไม่ได้เล็งปืนและยิงเข้าไปในวัดปทุมเหมือนวันที่ 19 พ.ค. 53 และคลิปที่เปิดในวันนี้สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่า ในคลิปมีควันไฟจากการที่ไฟไหม้ตึกในละแวกนั้นจริง ตรงกับที่ทางนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.เพื่อไทย จ.แพร่ พยายามนำมาเปิดในระหว่างการอภิปรายฯ

ด้าน นายวรวัจน์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ถ้าในขณะเกิดเหตุมีกองกำลังทหารพยายามนำผู้บาดเจ็บที่แต่งตัวคล้ายทหารขึ้น รถหุ้มเกราะ เพื่อไปส่งที่โรงพยาบาลจริงอย่างในบางคลิป เหตุใดจริงปล่อยให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในวัดปทุมฯนอน รอความตาย โดยที่ไม่ทำการช่วยเหลือ และทหารที่เข้าสลายการชุมนุมครั้งนี้มีหน้าที่เก็บศพผู้เสียชีวิตด้วยหรือ เพราะขณะนี้มีข้อมูลการรับแจ้งคนหายจากทางมูลนิธิกระจกเงาแล้วกว่า 45 คน รวมทั้งที่พรรคเพื่อไทยอีก 13 คน วันนี้ทางรัฐบาลจึงควรเลิกใช้สื่อและหน่วยงานของรัฐเป็นเครื่องมือในการโกหก ประชาชน
ที่มา.Voice TV

อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ??

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ??
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า”อัปรีย์ หรืออปฺริย” เอาไว้ว่า ระยำ, จัญไร, เลวทรามต่ำช้า, ชั่วช้า,ไม่เป็นมงคล ส่วนคำว่า”มงคล” นั้นให้ความหมายเอาไว้ว่า เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ อปฺริย หรืออัปรีย์ ก็หมายความเอาได้ว่าไม่เป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ก็อาจหมายความเอาได้ว่า คนที่ไม่เป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญนั่นเอง การปฏิวัติรัฐประหารนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? การเข่นฆ่าประชาชนทหารและตำรวจให้ล้มตายไปเป็นร้อย บาดเจ็บไปเป็นพันนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกหน้าด้านไม่จริงใจต่อประเทศชาติและประชาชน ปากอย่างใจอย่างนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกโกงบ้านกินเมืองนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกปฏิบัติสองมาตรฐานต่อประชาชนนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? ถ้าการกระทำต่างๆเหล่านี้เป็นเหตุที่นำมาซึ่งความไม่เจริญแล้ว ถ้าจะเรียกผู้กระทำหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเหล่านี้ว่า ” อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน” เราๆท่านๆจะคิดเห็นกันอย่างไร ???
............................................................

เงินที่จ่ายๆกันนั้นก็ของฉันด้วยเหมือนกันนะ ??
คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง( คชส.) ที่มี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวานนี้ก็จ่ายเช็คไปเรียบร้อยแล้วรายละห้าหมื่นบาท 769 ราย แถมได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมาเป็นองค์ปาฐกให้ฟังเพลินอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย งานนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงมามอบเช็คให้กับมือด้วยตัวเองเป็นแน่แท้ รายที่เสียหายเกินกว่าห้าหมื่นบาทให้ได้รับห้าหมื่นบาทนั้นไม่เป็นไร แต่ที่เสียหายไม่ถึงห้าหมื่นบาท ดันให้ได้รับห้าหมื่นบาทนี่สิไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ?? จะจับจ่ายใช้สอยเงินหลวงก็เพราๆมือกันหน่อย เงินเหล่านั้น มันก็ของฉันด้วยเหมือนกันนะ ??
.............................................................

สุดยอดนักประท้วง ??
อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็ผ่านพ้นไปแล้วและเป็นไปตามคาด ที่อภิปรายก็อภิปรายกันไป ที่ประท้วงก็ประท้วงกันไป ดาวประท้วงที่ฉายแสงเจิดจ้าก็เจ้าเก่า บุญยอด สุขถิ่นไทย อรรถพร พลบุตร และ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ระหว่าง บุญยอด สุขถิ่นไทย กับ อรรถพร พลบุตร ตัดสินใจยากเหมือนกันว่าใครควรจะเป็นสุดยอดผู้ประท้วง การประท้วงก็ถือเป็นผลงานที่สำคัญยิ่งยวดอีกอย่างหนึ่ง รักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน !! ภายภาคหน้าผลงานจากการประท้วงอาจหนุนส่งให้เป็นรัฐมนตรีก็ได้นะ ??
........................................................

การปรองดองแห่งชาติ..ชาติหน้า ??
วันนี้ปลายอุโมงค์แห่งความปรองดองยังคงมืดมิด เรา-เขา ยังเป็นตัวตั้ง ข้าฯถูก เอ็งผิด ยังเป็นสรณะที่ยึดรั้งไว้ไม่เปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับทุกสิ่งก็ดับลงไปด้วย พุทธพจน์ก็มีบอก ความวุ่นวาย ความเสื่อมของบ้านเมืองก็ล้วนเริ่มจากขบวนการล่าล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงวันนี้ขบวนการล่า ล้างยังไม่มีการลดราวาศอก หมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาก่อการร้ายถูกส่งไปตามล่าตามจับใน 187 ประเทศทั่วโลก ถ้าอยากเห็นความปรองดองในชาติต้องเดินได้ถอยเป็น ถ้าขืนถอยไม่เป็น คงได้เห็นความปรองดองในชาติ...แต่เป็นชาติหน้านะ ??
........................................................

เหลิมดาวเทียม !!
ดาวสภา ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง หรือ เหลิมดาวเทียม ประมุขแห่งบ้านริมคลองประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ลีลาวาทียังเด็ดสะระตี่เป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อยกแม่ยกเหมือนเดิม เรื่องการบ้าน สารวัตรเฉลิมฯก็ทำมาดีข้อมูลหลักฐานพร้อม?? อภิปรายไม่ไว้วางใจงวดนี้ ซัดปลายคาง กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยหมัดจะปฏิรูปสถาบันเข้าเต็มๆ สำหรับ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและ โสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดนเรื่องทุจริตก็ยืนแทบไม่ติดแล้ว แถมประชาชนยังเห็นด้วยช่วยเชียร์อีกต่างหาก อะไรไม่ว่าคะแนนเสียงไว้วางใจ โสภณ ซารัมภ์ กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล แม้ยังสอบไม่ตกก็ได้ตำแหน่งบ๊วยและรองบ๊วยไปครองอกกลัดหนองตามระเบียบ?? นี่ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นที่เขาพัฒนาประชาธิปไตยได้ที่ อภิปรายงวดนี้อาจได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้นะ ??
.........................................................
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ประชาธิปัตย์

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
กว่าจะรวมตัวเป็น “รัฐบาล”ได้ ต้องใช้ จำนวน ส.ส. รวมพลังกันมากมายถึง “หกพรรค” จึงจะมาตั้งเป็น “รัฐบาล” มาบริหารประเทศได้.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องเดินสาย ไป “คารวะ”หัวหน้าพรรคต่างๆด้วยตนเอง ถึงขนาดต้องกอดกับ “เนวิน ชิดชอบ” ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงที่ซบกอดอยู่นั้นจะต้องกลั้น “ลมหายใจ”ขนาดไหน!! รู้แต่ว่าบรรดา“พรรคร่วม”เหล่านั้น..ในขณะนั้นต้องการตำแหน่งอะไร..ประชาธิปัตย์จะ“ขัดใจ”ไม่ได้เด็ดขาด!! ดังนั้นกว่าที่ “อภิสิทธิ์” จะได้ นั่ง เก้าอี้ นายกรัฐมนตรี เหนื่อยสายตัวแทบขาด

เมื่อมา บริหารราชการแผ่นดิน ก็ต้องรักษา “ภาพพจน์”ของตัวเอง..ที่จะให้ รัฐมนตรี ต่างๆมา “เขมือบขมิบ”อะไรที่เป็นสมบัติของชาติไปไม่ได้ เพราะถ้า นายกรัฐมนตรี ไม่หลิ่วตาซะคนเดียว..อะไรก็ไม่ผ่าน แม้ว่าบางครั้งต้อง หวานอมขมกลืน ก็จำทน ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับ“ม็อบ” ที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา..เพื่อมาเลือกตั้งกันใหม่

ประชาธิปัตย์ กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ มีอาการไม่ต่างกับ “ปล้ำกับปลาวาฬ” ในทะเล ในขณะที่ “พรรคร่วม” เยิ้ว เยิ้ว เชียร์ อยู่ข้างหลัง..เชียร์อย่างสุดใจขาดดิ้น ขอให้ รัฐบาลยืนหยัดสู้..สู้อย่างสุดใจ!! ยัดเยียดให้ “ประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์” ลุยทัพออกหน้า ในขณะที่ “พรรคร่วม”

มิได้ระคายผิวหนังแต่ประการใด ดังนั้น เมื่อ “เสร็จศึก” ชั่วคราว..กาลข้างหน้าใครก็บอกไม่ได้..ว่า “คนเสื้อแดง”จะสาบสูญ หรือ เกิดขึ้นเพิ่มพูนมากกว่าเก่า แต่..นายกฯ “อภิสิทธิ์” โดนตราหน้าไปแล้วว่า ทำให้คนตายร่วม “ร้อยศพ” และยังไม่รู้ว่า อนาคตกับการใช้ชีวิตอย่างปรกติจะเป็นยังไง ส่วน“พรรคร่วม” น่ะ

สบายแน่ แช่กลองอยู่กับ กระทรวง เกรดเอ.แทบทั้งสิ้น!! ตัวอย่าง ภูมิใจไทย มีทั้ง มหาดไทย /คมนาคม /พานิชย์ โคตรมหึมา ได้เวลา “เกลี่ยศพ” เอ๊ย เกลี่ยโควตากันใหม่แล้ว..หากใครอยู่ไม่ได้ก็ขอเชิญออกไป “ประชาธิปัตย์”จะขอเป็น รัฐบาล พรรคเดียว!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................

สกู๊ป CNN "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" พร้อมเผยภาพชายร่างท้วมสะพายเอ็ม 16



สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา และที่น่าสนใจคือมีการเผยภาพของชายสามคนบนสถานีรถไฟฟ้า BTS โดยชายร่างท้วมคนหนึ่งในภาพสะพานปืนเอ็ม 16 โดย CNN บรรยายว่า "ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

CNN เผยภาพใหม่ ชายร่างท้วมสะพานปืนเอ็ม 16 บนสถานีบีทีเอส
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2553 สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" (What really happened in Bangkok?) เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีภาพทหารของกองทัพซึ่งปฏิบัติการอยู่บนรางรถไฟฟ้า กับภาพของผู้ชุมนุมหนีตายเข้ามายังวัดปทุมฯ และมีผู้เสียชีวิต

ที่น่าสนใจคือ CNN เผยภาพของชายหลายคนอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า BTS แห่งหนึ่ง โดยหนึ่งในสามเป็นชายร่างท้วม สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวแบบทหาร สวมกางเกงลายพราง ห้อยพระเต็มคอ สะพายปืนเอ็ม 16 ส่วนชายอีกคนสวมเสื้อเกราะสีดำ กางเกงสแล๊ก ไม่พบว่าถืออาวุธหรือไม่ นอกจากนี้มีชายแต่งชุดพลเรือนจำนวนหนึ่ง ไม่ติดอาวุธ โดย CNN บรรยายว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายรับจ้างโดยทักษิณ อย่างไรก็ตาม ในข่าวไม่ได้ระบุว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อเวลาใด โดยการบรรยายประกอบวิดีโอของ CNN บรรยายโดยแดน ริเวอรส์ มีรายละเอียดดังนี้

“ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปรากฏขึ้นในกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ ซึ่งทางนักการเมืองของทั้งสองขั้วขัดแย้ง ก็ต่างนำเรื่องนี้มาอภิปรายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

"มีคนราว 80 คนเสียชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม มีบางส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยพยาบาล มีราว 1,500 คนได้รับบาดเจ็บ ทั้งผู้สื่อข่าว ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่"

"ทางรัฐบาลกล่าวหาว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมฮาร์ดคอร์ในหมู่เสื้อแดง ที่พวกเขาเรียกว่า 'ผู้ก่อการร้าย' เป็นคนเริ่มต้นยิงก่อน"

"รัฐบาลในตอนนี้กำลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีการกล่าวถึงกรณีที่ทางทหารใช้กำลังเกินควร"

"ทางฝ่ายค้านก็ใช้วิดิโอคลิปในการอภิปรายแสดงหลักฐานว่าทหารใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างไม่แยกแยะทำให้ผู้ชุมนุมต้องพากันหนี"

"ฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าฝ่ายผู้ชุมนุมมีผู้ใช้อาวุธรวมอยู่ด้วย แล้วพวกเขาอ้างว่าทหารเล็งเป้าแต่ผู้ที่มีอาวุธ แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะมีการสืบสวนเรื่องการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ"

"ภาพวิดิโอที่ CNN ถ่ายได้ภาพนี้เป็นหลักฐานเท่าที่จะมีในขณะนี้ เป็นภาพของผู้ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย (mysterious militia) คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีปืนอยู่ข้างตัวของชายคนนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพหน้าของชายคนนี้ชัดเจน ซึ่งสวมชุดทหาร และชายอีกคนหนึ่งในชุดดำ"

"ชายคนดังกล่าวยืนยันให้ช่างภาพออกจากพื้นที่ โดยที่ไม่ทราบว่าถูกถ่ายวิดิโอเอาไว้ ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

"ซึ่งทางนายกรัฐมนตรี บอกว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายนี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงทั่วไป"

จากนั้นเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่าผู้ที่ต้องการก่อความรุนแรงเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ผมไม่เชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมกับเสื้อแดงต้องการส นับสนุนการเคลื่อนไหวพวกนี้"

จากนั้นแดน ริเวอร์ส จึงกลับมารายงานต่อว่า "รัฐบาลบอกว่าเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่ชุมนุมโดยสงบ แต่ก็มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่รัฐบาลต้องตอบ คือเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมหลายร้อยรายวิ่งหนีหลบทหารไปอยู่ในวัดปทุมวนารามหลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม เสื้อแดงที่นี่บอกว่าพวกเขาถูกยิง มาจากทางรถไฟฟ้า"

ทาง CNN นำเสนอภาพถ่ายทหารบนรางรถไฟฟ้า บอกว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท ในภาพจะเห็นทหารยืนประจำการอยู่ แต่รัฐบาลก็ยังปฏิเสธว่าไม่มีทหารอยู่ในวันที่มีการยิงกัน และเว็บไซต์ที่นำเสนอภาพนี้ก็ถูกบล็อกไปแล้วในประเทศไทย

วิดิโอของ CNN นำเสนออีกว่า มีประชาชนเสียชีวิต 6 รายในวัดปทุมฯ รวมถึงหญิงคนหนึ่งที่กำลังดูแลผู้บาดเจ็บ รวมถึงนักข่าวภาคสนามที่เข้ามาหลบภัย

ในช่วงท้ายของวิดิโอ นำเสนอภาพของชายที่ถูกอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลกล่าวหาว่าชายผู้นี้ได้รับการจ้างวานจากทักษิณ

สื่อไทยเล่นต่อ เอเอสทีวีอ้างตามสุเทพทหารบน BTS ถ่ายวันอื่น ประชาไทยันเหตุเกิด 19 พ.ค.

โดยวิดีโอดังกล่าว มีสื่อไทยนำไปเผยแพร่ต่อหลายสำนัก โดยวันนี้ (2 มิ.ย.) หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจคัดลอกภาพชายร่างท้วมจากวิดีโอ ตีพิมพ์เป็นภาพข่าวหน้า 1 มีข่าวในหน้า 16 พาดหัวข่าวว่า "สื่อนอกโชว์คลิปกลุ่มติดอาวุธ" ส่วนมติชน หน้า 14 ขึ้นพาดหัว "ซีเอ็นเอ็นแพร่ภาพ 3 ชายชุดดำ"

ส่วน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อ 20.30 น. วานนี้ (1 มิ.ย.) โดยพาดหัว "CNN เผยภาพชัดๆ “อ้วนดำ” แฝงแดงก่อการร้าย" นอกจากนี้ได้อ้างถึงภาพที่ CNN นำมาจากเว็บไซต์ประชาไท ว่า "ภาพดังกล่าวที่ CNN นำมาแสดง วานนี้ได้ถูกชี้แจงในสภา โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ ส.ส.รัฐบาลบางส่วนแล้ว ว่า ภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นภาพในวันที่ 19 พ.ค.2553 วันเกิดเหตุ เนื่องจากภาพนิ่งและภาพวิดีโอดังกล่าวปราศจากควันไฟที่กำลังเผาไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นบริเวณใกล้เคียง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นภาพที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. แน่นอน โดยภาพชุดเดียวกันนี้เผยให้เห็นว่ารอบๆ บริเวณวัดปทุมวนารามเต็มไปด้วยควันไฟจากการเผาสิ่งของและอาคารซึ่งเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค.
ที่มา.ประชาไท

ยิงถึง10นัด ผลชันสูตรน้องเกด: 6 ศพวัดปทุมฯถูกเอ็ม16-ทาโวร์


เผยผลชันสูตร 6 ศพเหยื่อฆาต กรรมหมู่เขตอภัยทานวัดปทุมวนา ราม ล้วนถูกปืนที่ใช้ในสงครามทั้งทาโวร์-เอ็ม 16 สลดศพ “น้องเกด”พยาบาลอาสาถูกรัวยิงอย่างเหี้ยมโหด 10 นัดทั้งลำตัว-หัวสมองเละ ขณะเจ้าตัวหมอบหลบกระสุน ส่วนอีก 5 ศพ ก็ล้วนตายด้วยอาวุธสงครามทั้งสิ้น มูลนิธิกระจกเงาเปิดรายชื่อ 43 เสื้อแดงที่ยังสูญหาย ระบุยอดแจ้งคนหายทะลุเกิน 100 ราย ยังตามหาอีก 3 หญิงสาวที่หายไปในวันสลายม็อบ

-พี่พ.อ.อ.เศร้า-สูญเสียน้องชาย

จากกรณี “ข่าวสด” นำเสนอความเป็นมาและเบื้องหลังของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. จากการสัมภาษณ์ญาติพี่น้องผู้สูญเสียพบว่าส่วนใหญ่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นคนขับแท็กซี่ อาสาสมัครกู้ภัย และพยาบาลอาสา นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้เสียชีวิตหลายรายไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่เป็นผู้เข้าและผ่านสถานที่ชุมนุม ตามที่เสนอไปโดยลำดับนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 171/782 ถ.พหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์ ทหารอากาศ สังกัดกรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ถูกยิงเสียชีวิตย่านสีลม เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ค.

นางสุคนธ์ พาสุวรรณ อายุ 44 ปี พี่สาวกล่าวว่าจนถึงขณะนี้ญาติๆ ยังรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันกลับ ปกติจะพักอาศัยอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนน้องชายก็จะไปทำ งานตามปกติ ส่วนใหญ่ก็จะโทรศัพท์พูดคุยติด ต่อกันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมาช่วงที่มีการชุมนุมที่ย่านศาลาแดงและราชประสงค์ ทราบเพียงแค่ว่าน้องชายไปปฏิบัติราชการเท่านั้น โดยไม่ได้บอกว่าไปราชการอะไร รู้แค่ว่าอยู่สีลมแถวอาคารซีพีเท่านั้น

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ค. ญาติๆ ที่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามข่าวการชุมนุมในประเทศไทยตลอด ได้ตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิตทางอินเตอร์เน็ตแล้วพบว่ามีชื่อน้องชายตนด้วย จึงโทรศัพท์มาสอบถาม ตนจึงรีบติดต่อกับทางหน่วยงานต้นสังกัดของน้องชายและยืนยันว่าเสียชีวิตจากการไปปฏิบัติหน้าที่จริง ทำให้รู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าน้องชายเสียชีวิตจากสาเหตุใด รู้แค่เพียงว่าน้องถูกยิงเสียชีวิตแค่นั้น

เมื่อกล่าวมาถึงช่วงนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านางสุคนธ์และน้องสาว ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้นทันที

นางสุคนธ์ กล่าวอีกว่า ที่น่าสงสารมากที่สุดคือ นางชยาภัทร ภรรยาของน้อง ซึ่งขณะนี้ตั้งท้องได้ 4 เดือน ที่ต้องมาสูญเสียคนรักไปและต้องมาเสียพ่อของลูกไปด้วย แต่ก็ต้องขอขอบ คุณทางกองทัพอากาศที่ได้ให้การดูแลครอบครัวทุกอย่าง โดยได้รับภรรยาของน้องบรรจุเข้ารับราชการยศเรืออากาศตรี ในกองทัพอากาศด้วย

- เผยถูกยิงตายที่สีลม-คืน 16 พ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการตายของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิตนั้น เกิดเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จึงรุดไปตรวจสอบก็พบว่า ทหารที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บนั้นเสียชีวิตแล้ว 1 นาย ทราบชื่อต่อมาคือ พ.อ.อ.พงษ์ ชลิต พิทยานนทกาญจน์ สภาพศพสวมชุดเสื้อยืด สีน้ำตาล นุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำตาล มีบาด แผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 1 นัด ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกนาย คือ ร.ต.อภิชาติ ซ้งย้ง อายุ 26 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่ใบหน้าเล็กน้อย ทั้งสองนายสังกัดหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กอง ทัพอากาศ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองนายขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีดำ ผ่านหน้าอาคารซีพีทาวเวอร์ มุ่งหน้าเข้าไปในถนนสีลม จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้นระหว่างผู้ที่อยู่ในรถกับทหารที่คุมพื้นที่อยู่ริมถนน จนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดอยู่บริเวณข้างทาง หลังเสียงปืนสงบลงทหารได้เข้าไปตรวจสอบรถคันดังกล่าว ก็พบผู้บาดเจ็บทั้งสองรายอยู่ในรถ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แต่พ.อ.อ.พงษ์ชลิต ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

- เผย 6 ศพวัดปทุม-เหยื่อทาโวร์

สำหรับผลตรวจ 6 ศพวัดปทุมวนาราม ถูกระดมยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. ที่ใช้กับปืนเอ็ม 16 หรือทาโวร์ เผยน้องเกดโดนเข้าไป 10 นัด รายงานข่าวเปิดเผยว่า สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พ.ต.อ.น.พ.พรชัย สุธีรคุณ รอง.ผบก.นต. ได้ส่งรายงานผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม จำนวน 6 ศพ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ให้พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน

โดยระบุผลการชันสูตรว่า ศพที่ 1 ผู้ตายชื่อ นายวิชัย มั่นแพ อายุ 61 ปี โดยระบุผู้ตายมีบาดแผลบริเวณผิวหนังทะลุบริเวณต้นแขนขวาด้านนอก บาดแผลผิวหนังทะลุต้นแขนขวา และบาดแผลบริเวณทรวงอกด้านขวา สันนิษฐานว่ากระสุนทะลุปอดขวา กะบังลม ตับ ไตขวา ขั้วยึด ลำไส้ พบเศษทองแดง 2 ชิ้น บริเวณขั้นยึดลำไส้ ทิศทางจากขวาไปซ้าย หน้าไปหลัง และบนลงล่าง ความเห็นเพิ่มเติม ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม สาเหตุการตาย กระสุนทำลายปอดตับ

ศพที่ 2 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี มีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณหลังด้านซ้าย บาด แผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้ายส่วนบน กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่ 3 ทะลุปอดซ้าย ทิศทางจากหลังไปหน้าแนวตรง ความเห็นเพิ่มเติม ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม สาเหตุการตาย กระสุนทำลายปอด

ศพที่ 3 นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี พบบาดแผลฉีกขาดตื้นๆ รูวงกลมบริเวณต้นแขนซ้าย 2 แห่ง พบบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้าย กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านหน้าซี่ที่ 2-3 กระดูกกลางอก ทะลุปอดซ้าย หัว ใจ ปอดขวา กะบังลม ตับ พบเศษทองแดงในเสื้อ เศษตะกั่วเล็กๆ ในหัวใจและปอด ทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง และบนลงล่าง สาเหตุการตาย กระสุนทำลายหัวใจ ปอด ตับ

- ถูกยิงที่หัว-หน้าทะลุหัวใจ

ศพที่ 4 นายสุกัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี มีบาด แผลทะลุผิวหนังถึง 9 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนทะลุซี่โครงซี่ที่ 2 ด้านซ้าย ทะลุปอดซ้าย ทะลุเยื่อหุ้มหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด พบโลหะคล้ายหัวกระสุนปืนหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ค้างอยู่ที่เนื้อชายโครงด้านขวา ไม่ทะลุออกทิศ ทางจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง หลังไปหน้าเล็กน้อย สาเหตุการตาย ปอดคั่งเลือดทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด ตับคั่งเลือด เสียโลหิตเป็นจำนวนมาก

ศพที่ 5 นายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี ตรวจพบบาดแผลทะลุผิวหนังจำนวน 7 แห่ง พบรอยช้ำใต้หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย สมองพบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก กระ สุนทะลุกระดูกกรามด้านขวาหัก กระดูกโหนกแก้มขวาแตก พบเศษตะกั่วในช่องปากและฐานกะโหลกศีรษะ และพบเศษตะกั่วบริเวณกระดูกก้นกบ สาเหตุการตายถูกยิง 2 นัด ระยะเกินมือเอื้อม เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก เนื้อสมองช้ำ จากการถูกแรงกระแทก (กระสุนทะลุช่องปาก)

- “น้องเกด”ถูกรุมยิงโหด 10 นัด

ส่วนศพที่ 6 เป็นหญิงชื่อ น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี พบว่ามีบาดแผลถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระ สุนถูกเข้าที่หลังผ่านขึ้นด้านบนผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้าย ทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่ พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ค้างที่กะโหลกด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดิน บาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา ลักษณะถูกระดมยิง สาเหตุการตายกระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมอง ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจยังไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า น.ส.กมนเกดหมอบหน้าแนบพื้น ถูกระดมยิง จากด้านหลัง ซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วย เพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนววิถีกระสุนก็ทำไม่ได้ในกรณีนี้ เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมาทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

ส่วนการตรวจที่เกิดเหตุ กลุ่มงานตรวจอาวุธ และเครื่องกระสุนกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้รับของกลางจากผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพ ภายในวัดปทุมวนาราม พบเศษของลูกกระสุนปืนเล็ก (ทองแดง) ขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 5 ชิ้น เศษรองลูกกระสุนปืน (ทองแดง) ไม่สามารถระบุขนาดได้จำนวน 3 ชิ้น พบเศษตะกั่วทรงกลมไม่สามารถระบุได้จำนวน 3 ชิ้น ความเห็นผู้เชี่ยว ชาญ ของกลางที่พบเป็นเครื่องกระสุนปืนเล็กกล ขนาด 5.56 ม.ม.และเป็นเครื่องกระสุนแบบที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้และเป็นกระสุนปืนที่สามารถยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้

สำหรับผลการชันสูตรทั้ง 6 ศพที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม ลงชื่อ พ.ต.อ.พิภพ ไกรวัฒนพงศ์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานผู้เชี่ยวชาญ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง

- เผยรายชื่อ 43 เสื้อแดงสูญหาย

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลคนหายมูลนิธิกระจก เงา รายงานสถานการณ์คนหายที่อาจเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมว่า ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. จนถึงเวลา 11.00 น. วันเดียวกันนี้ว่ามีรายชื่อผู้สูญหายทั้งสิ้น 47 ราย เป็นชาย 43 ราย หญิง 1 ราย พบตัวแล้ว 3 ราย ถอนการแจ้ง 1 ราย เนื่องจากญาติไม่ติดใจตามหา คือ นายวัชราวุฒน์ หรือ ขู่ สุทธิพันธ์ อายุ 36 ปี เหลือรายชื่อที่ต้องติดตามอีก 43 ราย ขณะนี้กำลังรอเอกสารยืนยันสถานะบุคคลจากครอบครัว ได้แก่ 1.นายสนธิชัย หรือ ต้อย เรืองชัย อายุ 40 ปี 2.นายอนีลักษณ์ หรือ หนุ่ม อินสันเที๊ยะ อายุ 24 ปี 3.นายวันชนะ หรือ ไก่ จันทร์มณี อายุ 53 ปี 4.นายสมโภช หรือ เม่น ปันเนตร ชาว จ.นครพนม 5.นายพันศักดิ์ วงทวาโชติกุล อายุ 30 ปี 6.นายเดชพสิษฐ์ หรือ แดง หรือ ไพรีวัลย์ ธัณศรี 7.นายแมน สันเทียะ อายุ 38 ปี 8.นายสำเภา เทาอ่อน ชาว จ.กาฬสินธุ์ 9.นายสุรชาติ หรือ โต้ ปะหุปะมา อายุ 20 ปี

10.นายธำรงศักดิ์ โสภา อายุ 22 ปี 11.นายปัญญา เบิกบาน อายุ 22 ปี 12.นายรามาพล หรือเอก กิตติกุล อายุ 39 ปี 13.นายวิทยา หรือ ต้น อาจสด อายุ 39 ปี 14.นายบุญเพ็ญ หาสุข อายุ 67 ปี 15.นายแสวง หรือ แหวง คำเสมอ อายุ 55 ปี 16.นายมนต์ชัย หรือเก่ง ภูหมื่น อายุ 38 ปี 17.นายวิษณุ สีขาว ชาวจ.อุดรธานี 18.นาย สิทธิชัย เบนมะหะหมัด อายุ 20 ปี 19.นายสัมฤทธิ์ วินทะไชย อายุ 40 ปี 20.นายทรงยศ มหานธีธรรมะ อายุ 56 ปี 21.นายกฤษณะ ธัญชัยพงศ์ อายุ 35 ปี 22.นายประพต เกตมณี อายุ 35 ปี 23.นายวภัทร ชโยทัยวิสุทธิ์ อายุ 47 ปี

24.นายจำรูญ ประดิษฐ์ อายุ 46 ปี 25.นายสวัสดิ์ โพดมาตย์ อายุ 56 ปี 26.นายพรทรัพย์ อนันทวัน อายุ 29 ปี 27.นายอำนาจ หรือโอ๋ โตฉ่ำ อายุ 35 ปี 28.นายกฤษณะ หรือ อ้น วิชาดี อายุ 24 ปี 29.นายสุรศักดิ์ แววดงบัง อายุ 33 ปี 30.นายสมพร ดวงพร 31.นายวิจิตร ตรีกุล จาก จ.อำนาจเจริญ 32.นายจำรูญ ประดิษฐ์ อายุ 40 ปี 33.นายชัชวาล ต้อนรับ อายุ 39 ปี 34.นายสุทิน ศรีเทพอุบล อายุ 42 ปี 35.นายกิตติพงษ์ วงศ์ปินะ 36.นายวงจันทร์ เพชรดี 37.นายธีรชัย ธงเงิน 38.นายสมจิตร บรบุตร อายุ 48 ปี 39. นายนภา แพทย์เพียร อายุ 34 ปี 40.นายถนอมศักดิ์ พรหมเพชร อายุ 18 ปี 41.นายณัฐพล ถือมั่น อายุ 42 ปี 42.นายสุรศักดิ์ เรืองสุวรรณ อายุ 34 ปี และ 43.น.ส.ศิริวรรณ แก้วไทรจีน อายุ 44 ปี

- หายถึง 100-ตามหาอีก 3 หญิง

วันเดียวกัน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ประ ธานมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่าแม้น.ส.ผุสดี งามขำ อายุ 54 ปี หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงอยู่บริเวณหน้าเวทีราชประสงค์ ในวันที่ทหารบุกกระชับพื้นที่เมื่อในช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค.ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทางมูลนิธิก็ยังคงต้องตามหาหญิงอีก 2 ราย ที่นั่งสมาธิอยู่หน้าเวทีใกล้กับน.ส.ผุสดีในวันเดียวกัน ที่หายตัวไปด้วย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบว่าปลอดภัยหรือไม่

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า นอกจากหญิง 2 รายนี้แล้ว ยังคงต้องสืบหาหญิงอีก 1 ราย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมเช่นกัน เป็นหญิงที่ปรากฏในอินเตอร์เน็ตไปทั่วว่าถูกควบคุมตัว และถูกปิดตานอนอยู่บนพื้นถนนราชประสงค์ เนื่องจากเกรงว่าหญิงรายนี้จะถูกฆาตกรรม เพราะคนที่ถูกปิดตานั้นในประเทศไทยไม่เคยปรากฏว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาแล้วพันธนาการแบบนี้ จึงขอเรียกร้องให้ศอฉ.เปิดเผยรายชื่อคนที่อยู่ในการควบคุมออกมา เพื่อให้ญาติที่ตามหาได้ตรวจสอบ ขณะเดียวกันยังได้รับทราบจากข้อมูลผู้สูญหายว่า ล่าสุดยังมีการรับแจ้งอยู่อีกกว่า 100 ราย

- รณรงค์สวมเสื้อแดงเลือกตั้งส.ข.

ประธานมูลนิธิกระจกเงา กล่าวอีกว่า ก่อนการสลายการชุมนุมตนเคยคุยกับน.พ.เหวง โตจิ ราการ แกนนำนปช.ว่า หากเกิดอะไรขึ้นก็อยากให้ตนช่วยเดินหน้าต่อ ดังนั้นในวันที่ 6 มิ.ย. นี้ซึ่งจะมีการเลือกตั้งส.ข. ในเขตกทม. ทางกลุ่มจึงจะจัดรณรงค์ให้ใส่เสื้อสีแดงเข้าคูหาเลือกตั้ง ถือเป็นการใส่เสื้อแดงแบบสันติวิธีเป็นครั้งแรก และถือเป็นวิธีที่จะให้คนเสื้อแดงยังมีบทบาท และเนื้อที่ทางการเมืองซึ่งแม้แต่นายกรัฐมนตรีเองยังเคยบอกว่าประชาชนที่เรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้นมีอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง ตนจึงคิดว่าการแสดงออกแบบนี้เป็นสิทธิ์พื้นฐานตามรัฐธรรม นูญด้วยการใส่เสื้อแดงนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นที่บริสุทธิ์ ไม่มีผลกระทบต่อสังคม แต่กลับเป็นเรื่องดีกว่าที่จะไม่มีพื้นที่ให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวแบบสันติวิธี การกลับมาต่อสู้ด้วยแนวทางสันติเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนนั้นจะทำให้สังคมยอมรับในคนเสื้อแดง

นายสมบัติกล่าวว่า ส่วนหมายเรียกของศอฉ. ที่จะให้ตนไปรายงานตัวนั้น ล่าสุดมีการส่งตำ รวจไปค้นบ้านตนด้วย ทั้งที่ผ่านมาไม่ได้ทำผิดอะไร การไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่คลอง เตย และดินแดงนั้น เป็นเพียงแค่ทำให้คนรวมตัวกัน ไม่ให้เดินออกไปตาย เพราะกระสุนของทหาร หลังจากการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยืนยันว่าจะไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันที

- จี้ดีเอสไอส่งรายชื่อผู้ถูกคุมขัง

ด้านนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามคนหายจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่วันที่ 19 พ.ค. ว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือขอรายชื่อผู้ถูกจับกุมคุมขังไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถาน การณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ให้สัม ภาษณ์ผ่านสื่อว่า รายชื่อส่วนนี้ไม่ได้อยู่ที่ศอฉ. แต่อยู่ที่รักษาการผบ.ตร. และอธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามูลนิธิ ทำหนังสือขอรายชื่อจากรักษาการผบ.ตร.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับมา วันนี้จึงยื่นขอจากอธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษอีกทางหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่สองหน่วยงานนี้ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการศอฉ. ทำไมข้อมูลส่วนนี้จึงไม่มีเอกภาพ

นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่าวันเดียวกันนี้ องค์กรกาชาดสากลได้เข้ามาพูดคุย และสอบถามทางมูลนิธิว่าจะสามารถให้การช่วยเหลือได้อย่าง ไร และมีอาสาสมัครเยาวชนกลุ่มต้นกล้าจำนวน 16 คน มาช่วยงานหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิทำงานอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น
โดย. Niwat Puttaprasart
.................................................

3รมต."ชวรัตน์-โสภณ-กษิต"เจอส.ส.พรรคร่วมหักหลัง โหวตสวนไม่ไว้วางใจ "มาร์ค-สุเทพ-กรณ์"ฉลุย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มิ.ย. ได้เริ่มการประชุมการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ถึง วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน ซึ่งนายชัยให้ส.ส.เสียบบัตรแสดงตัว โดยมีส.ส.แสดงตัวจำนวน 456 คน ต่อมามีส.ส.เสียบบัตรแสดงตัว 464 เสียง

-นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 186 เสียง ไว้วางใจ 246 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 464 เสียง

-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 187 เสียง ไว้วางใจ 245 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 464 เสียง

-นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 187 เสียง ไว้วางใจ 244 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 196 เสียง ไว้วางใจ 234 เสียง งดออกเสียง 13 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 194 เสียง ไว้วางใจ 236 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 190 เสียง ไว้วางใจ 239 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 465 เสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงมติครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทย คือนายชวรัตน์ หัวหน้าพรรค และนายโสภณ ได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงถึง 194 และ196 เสียงตามลำดับ ทั้งที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมี 189 คน ซึ่งแสดงว่ามีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมาลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 5-7 คน ซึ่งเป็นผลให้คะแนนเสียงด้านไว้วางใจต่ำที่สุดด้วย คือ 236 เสียง และ 234 เสียงตามลำดับ

ขณะที่นายกษิต จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงถึง 190 เสียง เกินกว่าจำนวนเสียง ส.ส.เพื่อไทย 1 เสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ส.ส.เพื่อไทยตามทะเบียนมีจำนวน 189 คน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีส.ส.เพื่อไทยกลุ่มหนึ่งไปสังกัดอยู่พรรคภูมิใจไทย 3-4 คน และยังมีส.ส.บางคนป่วยอีกด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์

ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อคืนนี้



ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อคืนนี้...ผมไม่หวังเสียง สส. แต่ผมดีใจที่่เดรัจฉานมาร์ค ตอบออกทะเลตลอด

ไม่ยอมตอบว่า ทำไมขบวนรถเกราะ...ถึงเคลื่อนเข้าไปในอนุสาวรีย์ วันที่ 10 ในเวลากลางคืน

ไม่ตอบว่า ทำไมถึงโยนแก๊ซน้ำตาจาก ฮ. ลงไปกลางกลุ่มประชาชน

และที่สำคัญที่สุดทั้งสองเหตุการณ์..ที่กล่าวถึง ยังไม่มีชายชุดดำ

ทำไม...ประชาชนผู้เสียชีวิตเกือบร้อยศพ ถึงไม่มีอาวุธอยู่ในมือ...ซักราย

ทำไม..อาวุธสงครามขนาดมหึมา ถึงหลุดเข้าไปในที่เกิดเหตุ ทั้ง ๆ ที่ตั้งด่าน...เป็นจำนวนสองร้อยกว่าด่าน และที่สำคัญ เป็นด่านที่ตั้งโดยทหาร ...

ประเด็นรับทราบการรับประทานยัดห่า ของโสภณ ซาเล้ง กับการมูมมามหมกเม็ด 6,001 พันล้าน ท่าจะลอยตัวลำบาก...เพราะเป็นการกระทำการอย่างประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรง อันเป็นการเกิดความเสียหายกับทางราชการ....

ทัศนคติที่เป็นอันตราย ที่เดรัจฉานอภิสิทธิ เคยพูด"กล่าวหา" จักรภพ เพ็ญแข...

จะย้อนกลับมาหานายกษิต ภิรมย์...จากการไปพูดที่ จอนห์ ฮอปกิ้นส์ ......

มาตรฐานนี้ มันเข้าข่ายทัศนคติ ที่นายอภิสิทธิเคยพร่ำบอกกับสังคมไทยหรือเปล่า

มีอีกหลายประเด็นแต่ขี้เกียจ สรุป....

แต่บอกตรง ๆ ว่า เหลิม..ออกหมัดมาชุดนี้ เข้าทุกดอก เข้าเต็ม ๆ

โดยเฉพาะบทสรุป ส่งท้าย เฉลิมบอกว่า สมัย ตนเองเป็น มท. 1 เขาได้เดินทางไปกระบี่ เขาโดนขับไล่จากประชาชน ถึงโรงแรม แต่เฉลิมเลือกที่จะหนี (หัวซุกหัวซุน)

เฉลิมไม่เลือกที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทหาร มาปะทะกับผู็ขับไล่ให้บาดเจ็บหรือสูญเสีย

เพราะเขาถือว่ามันเป็นเรื่องความขัดแย้ง "ระหว่างเขากับประชาชน"

เขาจะไม่ทำร้ายคนเหล่านี้เพราะเขามาจากประชาชน......

แต่อภิสิทธิ...ผู้อ้างคำว่า "นิติรัฐ" กลับเอาทหารมาฆ่าประชาชน

ทั้ง ๆ ที่ "ประชาชนไม่ได้มีเรื่องกับทหาร"

"มันเป็นเรื่องระหว่าง ประชาชนกับอภิสิทธิ"

เลวครับ...

ในอดีตผมรู้ว่าภาพลักษณ์ ของอภิสิทธิ กับเฉลิมนั้นสังคมแม่ยก ฉายภาพนักการเมืองสองคนนี้ต่างกันราว "ฟ้ากับเหว"

"ขาวกับดำ" เทียบกันไม่ติด

แต่เมื่อคืนนี้..กับบทสรุปนี้ "ใช่" .."ใช่" ..และ "ใช่ที่สุด"

แม้เฉลิม จะมีภาพลักษณ์ที่เลวร้าย

และแม้เขาจะโดน ขับไล่ ขว้างปา สิ่งของ จากประชาชนคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชื่นชอบเขาอย่างไรก็ตาม

เขา "ไม่เคยคิดจะสั่งฆ่าประชาชน...เพราะเขามาจากประชาชน"

โดย.สายลมรัก
************************************************