--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

78 ปีล้มเหลว บาดแผลลึก!


ในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เน้นหนักในเรื่อง แผลใจจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมและการสูญเสียในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เน้นการสูญเสียชีวิตที่มีข้อสงสัย ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนผู้ร่วมชุมนุม เน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระ ซึ่งมีการปรากฏภาพที่ทำให้อึ้งกันไปทั้งสังคม แน่นอนว่าพรรคฝ่ายค้านมีหน้าที่ในการตั้งคำถาม ในขณะที่รัฐบาลก็มีหน้าที่

ในการชี้แจง ส่วนประชาชนก็ต้องมีหน้าที่ในการรับฟัง และใช้วิจารณญาณ ว่าจะรับฟังเหตุผลของฝ่ายใด ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทหาร จนประชาชนรับรู้กันอย่างค่อนข้างชัดเจนจนยากที่จะปฏิเสธได้นั้น ค่อนข้างที่จะหนักหนาสาหัสไม่น้อย นั่นคือเวทีการเมืองตาม

ระบอบประชาธิปไตย ที่พรรคฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ แต่เวทีที่น่าห่วงไม่น้อยไปกว่ากันในช่วงนี้ก็คือ เรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังออกอาการเหนื่อยมากขึ้นทุกที เพราะแม้ว่านายอภิสิทธ์ จะยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าแค่เฉพาะในไตรมาสแรกปีนี้ เศรษฐกิจเติบโตถึง 12% อ้างว่าสูงเป็น

อันดับต้นๆ ของภูมิภาค เป็นการขยายตัวที่ถือว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจรองลงมาจากสิงคโปร์ และอีกบางประเทศในภูมิภาคนี้ แต่เป็นการฟื้นตัวที่เข้มแข็งมาก ยืนยันว่าการส่งออกขยายตัวถึงกว่า 30% การท่องเที่ยวก็ขยายตัวถึงเกือบ 30% การบริโภคภายในประเทศเข้มแข็ง แม้แต่การลงทุนของต่างประเทศก็มี

สัญญาณที่ดี นายอภิสิทธิ์บอกว่า ถือได้ว่าการฟื้นตัวใน 3 เดือนแรกของปี เป็นการฟื้นตัวจากศก.โลก ที่ค่อนข้างสมดุลรอบด้าน รายได้จากการเกษตร ท่องเที่ยว และภาคบริการดีขึ้นในทุกๆ ด้าน พร้อมกับยกเหตุผลว่า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ และความวุ่นวายเกิดขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2

โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายนนั้น ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดน่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ดังนั้นแม้การขยายตัวของเศรษฐกิจใน 3 เดือนแรกจะอยู่ที่ 12% ซึ่งประมาณการทั้งปี ก็ยังคาดว่าน่าจะยังโตได้ถึงระดับ 3.5 - 4.5% ปัญหาก็คือ จริงๆแล้ว เศรษฐกิจประเทศไทย

ยังไปได้ดีอย่างที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันหรือไม่??? เพราะดูเหมือนว่าเสียงร้องระงมของประชาชน และภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ได้มีการออกมาให้ข้อมูลว่า หลังเหตุการณ์จลาจล จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก

ทรัพย์สินเสียหายย่อยยับนับแสนล้าน ซึ่งหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีหลายจังหวัดเกิดความรุนแรง ประเมินแล้วพบว่า ระบบเศรษฐกิจจะเป็นลูกโซ่ เพราะตอนนี้ในส่วนของ 19 จังหวัดภาคอีสานไม่สามารถสั่งสินค้าได้

เนื่องจากร้านค้าที่เราสั่งของ มีการปิดกิจการ และไม่มีรถขนส่ง เกิดความเสียหายเป็นลูกโซ่ เพราะสินค้าในเมืองและในเขตชนบท รับต่อไปอีก ขายของไม่ได้ ซึ่งเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน วิกฤติการณ์นี้ ความเสียหายนี้ ที่รัฐบาลประเมินหยาบๆ ประมาณ 9 แสนล้านบาท ในภาคอุตสาหกรรมประเมินไว้ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท

แต่รวมแล้วงานนี้คาดว่าต้องเสียหายนับล้านล้านบาท ส่วนการฟื้นตัว อย่างเซ็นทรัล ใช้เวลา 7 ปีถึงจะสร้างเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ถ้าหากคิดถึงเวลาที่เสียไป เงิน และความรู้สึกของผู้คนเขาประเมินว่า เราจะถอยหลังกลับไปสู่การเริ่มต้นอีกอย่างน้อย 20 ปี เพราะเราต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา และที่

สำคัญเขาไม่มั่นใจว่า รัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ วันนี้เป็นบาดแผลที่ร้าวลึกมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า คนที่ทำให้เกิดปัญหานี้คือภาคการเมือง เพราะ 78 ปีที่คนไทยสร้างระบอบประชาธิปไตยมา ก็ได้มอบอำนาจให้กับนักการเมืองเข้าไปทำ แต่เมื่อทำแล้วก็ทำไม่ได้ คิดว่าคงจะต้องทบทวนเหมือนกันว่า “เมื่อ

นักการเมืองควบคุมสถานการณ์และการบริหารประเทศชาติไม่ได้ เราจะทำอย่างไร ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ภาคธุรกิจเอกชนกำลังหารือกันมาก”เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าว นายทวิสันต์ ให้ข้อมูลด้วยว่าภาคเอกชนได้สรุปกันว่า จะไม่พูดเรื่องตัวเลขความเสียหาย แต่จะบอกว่าจะต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่น

ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศขึ้นมาก่อน ส่วนการเสียหายเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องที่สอง “ไม่ใช่ว่าบ้านเราจะเอาแต่ขายของ แต่ในบ้านฆ่ากันตาย ฉะนั้นเราต้องเคลียร์เรื่องการฆ่ากันตายก่อน แล้วถึงมาพูดเรื่องการขายของ ซึ่งภาคเอกชนก็เข้าใจส่วนนี้ตรงกัน” ขณะที่การสร้างความปรองดองของรัฐบาลอะไรนั้น

นายทวิสันต์ระบุว่า วันนี้คงไม่มีใครเชื่อถือภาคการเมืองแล้ว เพราะมอบมาแล้ว 78 ปี... พอหรือยังสำหรับการให้ทดลองทำงาน 78 ปี แล้วที่ล้มเหลวตลอด ตอนพฤษภาทมิฬเมื่อ 18 ปีก่อน บอกว่าไม่มีฆ่ากันตายแล้ว ตอนนั้น 44 ศพ วันนี้แค่ 3-4 วัน แซงพฤษภาทมิฬไปแล้ว 50 ศพแล้ว ดังนั้นเมื่อไม่มั่นใจว่า

เดือนหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จึงฝากความไว้วางใจไม่ได้แล้ว “อยากจะเรียกร้องให้คนไทยทรยศต่อระบอบสภาฯ เพราะมัน 78 ปีแล้ว และความวุ่นวายก็เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้แสดงความรับผิดชอบที่ชัดเจน เช่น ออกมาพูดอะไรสักอย่าง หรือลาออก หรือแสดงความเสียใจ เราไม่เคยได้ยินเลย มีแต่จะพูดกันเรื่องอะไร

ก็ไม่รู้ ฉะนั้นประชาชน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ วันนี้เราประเมินแล้วว่า เรารู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจในระบบสภาฯ เพราะแก้ปัญหาไม่ค่อยได้ และมองลึกลงไปกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนในปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยจะเห็นว่า มีส.ส.หรือส.ส.สอบตก หรือว่าที่ ส.ส. ขับเคลื่อนกัน เลยกลายเป็นบุคคลที่ควรจะทำหน้าที่สร้างสรรค์

ประเทศ แต่กลับมาทำลายประเทศ” นายทวิสันต์เสนอว่าน่าจะมีรัฐบาลอะไรก็ตามสัก 3-5 ปี เพื่อให้นักการเมืองพักไว้ก่อน ปฏิรูปทุกอย่าง เพื่อแก้ระบบให้ดี และรัฐบาลกลางจะได้มาเรียกความมั่นใจ เพื่อให้โอกาสประเทศเดินต่อไป “วันนี้เราคงไม่ได้พูดว่า นายกฯอภิสิทธิ์จะลาออก หรือสภาจะยุบ เพราะมันเลย

เหตุการณ์นั้นไปแล้ว เราเรียกร้องว่าใครก็ตามที่อยู่ในความรับผิดชอบ ต้องออกมาขอโทษประชาชน ออกมารับผิดชอบ ออกมาแสดงตัวว่ามันผิดพลาดอย่างไร แล้วเราช่วยกันแก้ ผมเชื่อว่างานนี้ต้องยอมรับว่า คนที่ผิดพลาดเบอร์ 1 คือ นักการเมือง ระบบการเมืองทั้งหมด โดยเฉพาะนักการเมืองทั้ง 500 ท่าน จะต้องไป

พูดคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเรามอบความไว้วางใจไปทุกจังหวัดแล้วให้ไปทำหน้าที่ แต่กลับไปก่อเรื่องก่อราว กลับไม่ควบคุมสถานการณ์ให้เรา” ทั้งหมดเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ ที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับความเชื่อมั่นของรัฐบาล กับความเชื่อมั่นของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งทีเดียว นอกจากมุมมองของ

นักธุรกิจและหอการค้าแล้ว ธุรกิจท่องเที่ยวก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในภาวะเหนื่อยล้าเช่นกัน ซึ่งล่าสุดได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรการเยียวยา สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวของไทยขึ้นมาแล้ว โดยนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ข้อมูลว่าจะประชุมผู้บริหาร

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตัวแทนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวภาคเอกชน และกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินการฟื้นฟูและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอย่างครบวงจร สำหรับภาคส่วนของการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของไทยไปยังทั่วโลก ขณะนี้ได้

เสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาของบประมาณ 1,600 ล้านบาท ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไว้ใช้ ทำประชาสัมพันธ์แล้ว โดยจะมีการเปิดโรดโชว์ ควบคู่กับการมาตรการทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์ทั้งในตลาดไกล คือ ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ตลาดลูกค้าเก่า อย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่มีความชอบเที่ยวประเทศไทยเป็นทุนเดิม และตลาดใกล้ อย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยหวังว่า นักท่องเที่ยวยังคงมีความต้องการเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย “หลังรัฐบาลประกาศไม่ต่อเคอร์ฟิวแล้ว ก็เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ง่ายขึ้น ก็จะมีการวาง

แผนการตลาดในขั้นต่อไป โดยได้เล็งใช้มาตรการปรับลดราคาทัวร์ในไทยลง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะสั้น ให้กลับมาเยือนไทยโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ธุรกิจท่องเที่ยวในไทยจะล้มเสียก่อน”นายอรรถชัยกล่าว นี่แหละคือสิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐบาลจะต้องตระหนักอย่างเร่งด่วน... ก่อนที่ธุรกิจท่องเที่ยวในไทยจะล้มเสียก่อน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................

ประเทศไทยจะหลีกพ้นวังวนจลาจลครั้งใหม่ได้อย่างไร?

ภัควดี ไม่มีนามสกุล
แปลจาก Andrew Marshall, “How Thailand Can Avoid a New Insurgency, Time: http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1991888,00.html; Thursday, May. 27, 2010

สถิติที่น่าหดหู่ใจที่สุดในสัปดาห์นี้ได้รับความเอื้อเฟื้อมาจากแหล่งข่าวในรัฐบาลไทยที่ไม่ระบุชื่อคนหนึ่ง ซึ่งอ้างไว้ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post แหล่งข่าวผู้นี้เปิดเผยว่า กองทัพยินดีที่จะฆ่า “ประชาชนระหว่าง 200-300 คน” และทำให้บาดเจ็บ “หลายพันคน” ในปฏิบัติการกระชับพื้นที่สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในย่านการค้าของกรุงเทพฯ

หากเปรียบเทียบกับตัวเลขประเมินนี้ ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ 19 พฤษภาคม กล่าวคือ เสียชีวิต 15 ศพ บาดเจ็บหลายร้อยคน ดูเหมือนเกือบจะน่าพอใจ แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากการปะทะและการโจมตีด้วยระเบิดทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นต้นมา เมื่อกองทัพปฏิบัติการอย่างมักง่ายและไร้ประสิทธิภาพในการสลายฐานการชุมนุมอีกแห่งหนึ่งของคนเสื้อแดงในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ควรเป็นเหตุให้ฉลองชัยเลยแม้แต่น้อย เพราะมีผู้เสียชีวิตถึง 85 คน และบาดเจ็บถึง 1,402 ราย (คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการประท้วง http://www.time.com/time/video/player/0,32068,86413453001_1990167,00.html)

คนไทยจำนวนมากเปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับเหตุการณ์ “พฤษภาเลือด” พ.ศ. 2535 ซึ่งครั้งนั้นกองทหารสาดกระสุนใส่ผู้ประท้วงชาวกรุงเทพฯ ในตอนนั้นมีผู้เสียชีวิต 48 คน เป็นไปได้ว่าอาจมีมากกว่านั้น (ตัวเลขยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) แต่อันที่จริง มีตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้อีกตัวอย่างหนึ่งที่กองทัพไทยฆ่าพลเมืองในประเทศของตนเอง และเป็นตัวอย่างที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพึงสังวรไว้เมื่อเขาพยายามจะเยียวยาประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

มันเป็นความรุนแรงที่เริ่มต้นด้วยการประท้วง ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ประชาชนหลายร้อยคนรวมตัวกันหน้าสถานีตำรวจอำเภอตากใบในจังหวัดนราธิวาส เพื่อประท้วงการจับกุมตัวชาวบ้านไปหกคน ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธพูดภาษาไทย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นชาวมุสลิมพูดภาษามลายู ซึ่งมีความคับข้องใจต่อการปกครองจากกรุงเทพฯ อันห่างไกลมาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 การปล้นค่ายทหารใน จ.นราธิวาส จุดชนวนให้เกิดการแข็งข้อต่อรัฐบาลไปทั่วพื้นที่ในภูมิภาคนั้น

เหตุการณ์ที่ตากใบเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประท้วงขว้างก้อนหินและมีรายงานว่าพยายามบุกเข้าไปในสถานีตำรวจ ตำรวจและทหารเปิดฉากยิง สังหารประชาชนไป 7 คน จากนั้นก็จับกุมตัวผู้ประท้วงหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นชายมุสลิมที่ยังหนุ่ม พวกเขาถูกจับมัดมือไพล่หลัง แล้วถูกโยนเข้าไปสุมทับกันถึงห้าหกชั้นในรถบรรทุกทหาร มีผู้เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจหรือถูกทับจนตายถึง 78 คน

ถึงแม้มีกลุ่มกบฏหลายกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลที่กรุงเทพฯ โดยใช้ความรุนแรงมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่ตากใบจุดชนวนให้เกิดนักสู้รุ่นใหม่ที่น่าจะเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าเดิม คลิปแสดงความโหดร้ายของทหารที่ทุบตีและเตะผู้ประท้วง แล้วโยนพวกเขาเข้าไปในรถบรรทุก ถูกทางการสั่งห้ามเผยแพร่ทันที แต่ยังคงแพร่หลายอย่างลับๆ ตามบ้านเรือนของผู้คนในภาคใต้ หกปีหลังจากนั้น ความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4,100 ราย เกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน

เหตุการณ์ตากใบเกิดขึ้นภายใต้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนโยบายโหดร้ายของเขากระตุ้นให้เกิดความไม่สงบในภาคใต้ (ในวันพุธที่ผ่านมา ศาลในกรุงเทพฯ ออกหมายจับทักษิณด้วยข้อหาก่อการร้าย โดยกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการต่อต้านรัฐบาลด้วยความรุนแรงของฝ่ายเสื้อแดง) แต่มันน่าจะเป็นบทเรียนสอนใจผู้นำคนปัจจุบันของประเทศไทยด้วยเช่นกัน การล้อมปราบที่ราชประสงค์จะผลักให้คนเสื้อแดงหันไปใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับที่ตากใบกระตุ้นให้เกิดผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้หรือไม่? ฐานที่มั่นของคนเสื้อแดงในภาคเหนือและภาคอีสานจะกลายเป็นเขตห้ามเข้าสำหรับทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาล เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่แล้วในหลาย ๆ เขตในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่? หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งล่าสุดในกรุงเทพฯคราวนี้ ความเป็นไปได้ทั้งสองประการดูเหมือนไม่ไกลจนเกินเอื้อม การเมืองแตกเป็นขั้ว และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างเต็มใจที่จะใช้กำลัง จนคนไทยจำนวนมากหวาดเกรงว่า พื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศของตนอาจกลายเป็น “เหมือนภาคใต้”

นอกจากนี้ ยังมีภาพเทียบเคียงได้อีกประการหนึ่ง ข้อหนึ่งในแผนการปรองดองของนายอภิสิทธิ์หลังเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ก็คือ การตั้งสิ่งที่รัฐบาลของเขาเรียกว่า “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง” เพื่อสอบสวนความรุนแรงที่เกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะความยุติธรรมคือการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อันเป็นสิ่งที่อภิสิทธิ์เองก็ยอมรับเมื่อหกเดือนที่ผ่านมาในการปราศรัยเกี่ยวกับความไม่สงบในภาคใต้ “การมีกองกำลังรักษาความสงบอยู่ในพื้นที่มากมายไม่ใช่คำตอบเดียวในการแก้ไขความขัดแย้ง” เขากล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว “เราเชื่อในการพัฒนาและระบบยุติธรรมที่ไม่ลำเอียง”

แต่ความยุติธรรมที่ลำเอียง ซึ่งที่แท้แล้วก็คือการไม่มีความยุติธรรมเลย ย่อมไม่ช่วยเยียวยาอะไรได้ มันรังแต่จะเป็นยาพิษ ประเด็นนี้ยิ่งเป็นความจริง เมื่อหน่วยงานหลักในการรักษากฎหมาย ทั้งทหารและตำรวจ ต่างอยู่เหนือกฎหมายเสียเอง ลองพิจารณากรณีตากใบอีกสักครั้ง เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ศาลจังหวัดได้วินิจฉัยว่า ทหารและตำรวจไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ต่อความตายของผู้ประท้วง ทันทีที่มีคำตัดสินของศาลออกมา คาดหมายได้เลยว่าจะต้องมีความรุนแรงตามมาอีกเป็นระลอก ทั้งจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชาวมุสลิมและกลุ่มชาวพุทธที่ติดอาวุธ ไม่ถึงสองสัปดาห์ถัดมา ความรุนแรงก็มาปะทุด้วยการสังหารหมู่ชาวมุสลิมที่กำลังละหมาดถึง 11 คนในมัสยิดอัลฟุรกอนในจังหวัดนราธิวาส (หมู่บ้านไอปาแย อ.เจาะไอร้อง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 แต่ตามข่าวของไทยบอกว่ามีผู้เสียชีวิต 10 คน อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มในภายหลัง—ผู้แปล) ซึ่งถือเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในภาคใต้ การสอบสวนของตำรวจชี้ให้เห็นว่า กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลอาจมีส่วนพัวพันกับการโจมตีครั้งนี้

ด้วยการให้คำมั่นสัญญาถึง “ความยุติธรรมที่ไม่ลำเอียง” แต่นั่งเป็นประธานเหนือความรุนแรงครั้งต่อมาเสียเอง อภิสิทธิ์จึงสูญเสียพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไป หากปล่อยให้การปะทะที่ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งล่าสุดในกรุงเทพฯ ผ่านไปโดยปราศจากการสอบสวนอย่างเต็มที่และเที่ยงตรงไม่ลำเอียงแล้วไซร้ เกรงว่าอภิสิทธิ์อาจสูญเสียพื้นที่ที่เหลือในประเทศนี้ไปด้วย นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศไทยและสากล รวมทั้งองค์กร Human Rights Watch ในนิวยอร์ก ต่างออกมาเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่ยังเป็นข้อโต้แย้งกันอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงการใช้อาวุธร้ายแรงทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายเสื้อแดงที่ติดอาวุธด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเป็นการส่วนตัวแล้ว นักสิทธิมนุษยชนต่างยอมรับว่า การสอบสวนแบบนี้คงไม่คืบหน้าไปไหน ตอนนี้อภิสิทธิ์ตกอยู่ในสมรภูมิสองด้าน ด้านหนึ่งคือผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกด้านหนึ่งคือฝ่ายเสื้อแดงในภาคเหนือและภาคอีสาน ในทั้งสองสมรภูมินี้ อภิสิทธิ์พึ่งพิงแต่กำลังทหารกองทัพไทยอันทรงอำนาจเพียงอย่างเดียว นั่นคือเหตุผลที่เขาอาจไม่กล้าขัดใจนายทหารระดับสูงด้วยการสอบสวนปฏิบัติการของทหาร นี่คือความผิดพลาด “การสอบสวนอย่างน่าเชื่อถือจะช่วยให้ประเทศไทยกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้” คือคำพูดของสุนัย ผาสุก นักวิจัยขององค์กร Human Rights Watch ในนิวยอร์ก “ไม่มีความยุติธรรมและการรับผิด ก็ไม่มีทางเกิดการปรองดอง” (ดูรูปหลังสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง http://www.time.com/time/photogallery/0,29307,1990882_2141116,00.html)

นี่คือตัวเลขนับศพอีกตัวเลขหนึ่ง: 19 ศพ นี่คือจำนวนชีวิตที่สังเวยในความขัดแย้งภาคใต้ที่จังหวัดนราธิวาส ยะลาและปัตตานี นับจากวันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตในกรุงเทพฯ มีมากกว่านั้น 4 เท่า แต่ก็เป็นจำนวนที่เกิดขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์อันคุกรุ่น ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยล้มตายไปหลายพันคนตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในเมื่อรัฐบาลในกรุงเทพฯ อันแสนห่างไกลต้องมัวพะวงอยู่กับความอยู่รอดทางการเมืองของตัวเอง ประชาชนคงต้องตายกันอีกมากในหลายปีข้างหน้านี้

หมายเหตุผู้แปล: หลังจากที่เรามีวัน “วีรชน 14 ตุลา” “พฤษภาเลือด” และคงมี “พฤษภาอำมหิต” เราน่าจะมีคำเรียกเหตุการณ์ที่ตากใบ เพื่อระลึกถึงผู้คนจำนวนมากที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น ซึ่งก็เป็นราษฎรที่อาศัยอยู่ “ใต้ฟ้าเดียวกัน” กับพวกเราทุกคน
ที่มา.ประชาไท
........................................................

คลิป CNN

วิเคราะห์สงครามใต้ดิน จากแนวรบชายแดนใต้ถึงใจกลางกรุงเทพฯ

พื้นที่ในเขตเรดโซนหลายแห่ง ยังมีความเคลื่อนไหวการเมืองอย่างลับ ๆ เงียบ ๆ ทั้งใต้ดิน-บนดิน

เพราะชนวนแห่งข้อหา "ก่อการร้าย" และการไล่ล่าผู้อยู่ในขบวนการ "เสื้อแดง" อย่างไม่ลดละ อาจถูกจุด- ขยายวงระดับ "สงครามใต้ดิน"

เหมือนกับที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วง 6 ปีที่ผ่านมา

ภาพจำลองปรากฏการณ์ "ใต้ดิน" ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สะท้อนผ่านกระจก นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในและนอกพื้นที่ ร่วมวงถกแถลง ประเมินความเป็นไปได้ จากสงคราม "บนดิน" สู่ "ใต้ดิน" จากแนวรบชายแดนใต้ ถึงกรุงเทพฯ

"ปัญญศักดิ์ โสภณวสุ" นักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประเมินสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า แม้การต่อสู้จะยุติลง แต่สงครามยังไม่เลิก และ จะยืดเยื้อต่อไป

"ความเจ็บแค้นของคนเสื้อแดงจะถูกอธิบายเป็นวาทกรรมและนำไปใช้อธิบายในทางการเมืองอย่างไม่รู้จบ เพราะการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ยังคงอยู่ และมวลชนของแต่ละฝ่ายก็มีอยู่ชัดเจน วาทกรรมที่ใช้อธิบายกับมวลชนของแต่ละฝ่ายเป็นคนละชุดความคิดกัน ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองไม่มีโอกาสยุติลงในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน"

"ปัญญศักดิ์" วิเคราะห์ว่า การต่อสู้นับจากนี้ไปอาจเป็นไป็ต้องหันไปต่อสู้แบบใต้ดิน เพราะเห็นรูปแบบการต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

"การต่อสู้ใต้ดินเป็นกฎธรรมชาติของการต่อสู้อยู่แล้ว ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าประเทศไหน หรือศาสนาไหนก็ตาม หากต่อสู้แบบเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยไม่ได้ ก็ต้องหันไปใช้รูปแบบการต่อสู้ใต้ดิน ส่วนจะทำได้แค่ไหนหรือมีประสิทธิภาพมากเพียงใด มันต้องอาศัยเวลา"

"ปัญญศักดิ์" เห็นว่า ศักยภาพของกองกำลังที่สนับสนุนคนเสื้อแดง เป็นกลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อาจจะเป็นคนในกองทัพหรืออดีตคนในกองทัพก็ได้ เพราะสามารถใช้อาวุธทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ มีการบัญชาการชัดเจน และทุกวันนี้ยังไม่รู้ชัดว่ากองกำลังติดอาวุธมีอยู่มากน้อยแค่ไหน

"หากจะเปรียบเทียบรูปแบบการต่อสู้ คงจะเปรียบได้กับสมัยสงครามคอมมิวนิสต์ คือต่อสู้แบบเปิดเผยไม่ได้ ต้องหันไปต่อสู้แบบใต้ดิน ตั้งกองกำลังติดอาวุธมาต่อสู้กัน ถือเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เหมือนกัน แต่ในเรื่องอุดมการณ์อาจจะแตกต่างกัน"

"พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ" ผู้อำนวยการโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผู้ติดตามปัญหาชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนาน เห็นว่า สิ่งที่รัฐต้องดำเนินการเป็นลำดับแรกคือให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มคนที่ถูกจับกุมและดำเนินคดี อย่าใช้ช่องทางตามกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งเพื่อผลทางการเมือง ที่สำคัญคือกระบวนการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้

"อย่าให้เกิดปัญหาเหมือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐจะต้องดำเนินการโดยให้พวกเขาได้มีโอกาสพิสูจน์หลักฐาน พยาน ให้เขามีตัวแทนของเขาในการต่อสู้ในชั้นศาลด้วย"

พรเพ็ญแสดงความเป็นห่วงว่า การใช้ถ้อยคำเรียกขานผู้ต้องหาหรือข้อกล่าวหาที่เตรียมแจ้งดำเนินคดี เช่น ผู้ก่อการร้าย หรือคดีก่อการร้าย จะยิ่งสร้างความรู้สึก ขัดแย้ง เกลียดชัง เพราะเหมือนยิ่งไปทับถมบุคคลเหล่านั้น

"รัฐควรเคารพสิทธิของบุคคล หากทำได้จะเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาความรู้สึกทั้งผู้ที่ถูกจับกุมและผู้ชุมนุมโดยทั่วไปได้มากทีเดียว" พรเพ็ญระบุ

"สิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์" เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวว่า การฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำความจริงให้ปรากฏเป็นสิ่งสำคัญ หากกระบวนการยุติธรรมไม่โปร่งใสและไม่เป็นกลางเพียงพอ ปัญหาจะตามมาอีกมากมาย แต่ถ้าดำเนินการอย่างโปร่งใส ทุกฝ่ายจะยอมรับได้ และน่าจะยุติปัญหาได้ในที่สุด

ทนายสิทธิพงษ์ แสดงความเป็นห่วงว่า การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ที่ประกาศในกรุงเทพฯและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูจะมีมาตรฐานแตกต่างกัน

"เรื่องนี้คนในพื้นที่สามจังหวัดพูดกันมาก ระวังจะกลายเป็นปัญหาทางความรู้สึกกันต่อไป เพราะคนสามจังหวัดมองว่าทำไมรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีที่กรุงเทพฯอย่างระมัดระวังและมีหลักการมาก แต่กับที่สามจังหวัดดูจะมีมาตรฐานอีกอย่าง ฉะนั้นรัฐควรทำให้เหมือนกัน และถือโอกาสนี้พิจารณากฎระเบียบต่าง ๆ ในรายละเอียดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมด้วย"

นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เหตุการณ์ร้อนแรงในกรุงเทพฯ ต้องใช้ความอดทน และรัฐต้องคลี่คลายปัญหาอย่างระมัดระวัง

"ในอดีตคนสามจังหวัดก็ถูกมองว่าเป็นโจร เป็นผู้ก่อการร้าย และถูกกล่าวหาเป็นอะไรต่อมิอะไรมากมายแบบเหมารวม ลองคิดดูว่าคนที่ไม่มีความผิดอะไรเขาจะรู้สึกว่าอย่างไรที่ถูกมองว่าเป็นโจร ถ้าอย่างนั้นเป็นโจรไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ด้วยเหตุนี้เราอย่าไปเหมารวม กรณีที่กรุงเทพฯก็เช่นเดียวกัน ผมว่าประวัติศาสตร์สอนเรามาเยอะแล้ว เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีคนเข้าป่าเพราะอะไร เพราะเราไปกล่าวหาเขา ไปอคติกับเขามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกันน่าจะคุยกันได้"

อิหม่ามยะโก๊ป บอกว่า ที่ผ่านมาได้ติดตามบทบาทการจัดการปัญหาของรัฐมาตลอด พบว่าพื้นที่สื่อของรัฐไม่เปิดโอกาสให้กับฝ่ายตรงข้ามเลย โทรทัศน์ 4-5 ช่องมีแถลงการณ์ของรัฐตลอด ในความรู้สึกของชาวบ้านเหมือนยิ่งถูกปิดหูปิดตา ยิ่งรัฐปิดหูปิดตามากเท่าไหร่ ผลสะท้อนกลับมันจะแรงมากเท่านั้น เหมือนบูมเมอแรง แล้วมันจะย้อนกลับมาหาเรา

อิหม่ามยะโก๊ป ชี้ว่า การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมีเมตตาต่อกัน มันหายไปแล้วจากสังคมไทย ฉะนั้นรัฐบาลน่าจะถือโอกาสนี้ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ อย่าไปใช้ความร้อนหรือความรุนแรง เพราะมันไม่ได้แก้อะไร ไฟที่เผาไหม้สรรพสิ่งอาจดับไป แต่อย่าลืมว่าไฟที่อยู่ในอกมันยังอยู่ เหมือนป่าพรุที่ถูกไฟเผา ดูเหมือนดับแล้ว แต่ความร้อนใต้ดินยังมี

"ญาติของผู้สูญเสียเขาคงมีความรู้สึกแบบนั้น และหลักการทางศาสนาเท่านั้นที่จะยุติปัญหาได้ นั่นคือการให้อภัยซึ่งกันและกัน เลิกแล้วต่อกัน รัฐบาลก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป เดินหน้าไปพร้อม ๆ กับการให้อภัย แล้วสังคมจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างสันติ"

"แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างตั้งแง่กันมันก็ไม่จบ คนไทยต้องไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป หลักการบริหารง่าย ๆ เมื่อเขาตึง เราหย่อน เมื่อเขาหย่อน เราตึง พยายามเดินทางสายกลางให้ได้ หันหน้ามาใช้หลักศาสนาเถิด อย่าไปใช้ความรุนแรงเลย เพราะเมืองไทยเป็นสยามเมืองยิ้มอยู่แล้ว อย่าให้การยิ้มของคนไทยมีอคติแฝงอยู่ข้างใน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดเฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่จะระบาดไปทั่วประเทศ"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“สแปร์” ตัวสำรอง ไว้เหมือนกัน!!

“สแปร์” ตัวสำรอง ไว้เหมือนกัน!!
หาก “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เด็กเส้น เส้นใหญ่ แข็งโป๊ก แน่นปั๋ง ใหญ่ยิ่งกว่า ป้อมปืนนาวาโรน ต้องโล๊ะเมี๊ยะ คดีเงิน ๒๙ ล้านบาท เพราะใช้ผิดประเภท จนต้องถูกยุบพรรคไปนั้น??? “ประชาธิปัตย์” สอดสาดสายตากันแล้ว...จะให้ยีราฟคอยาว สูงโย่งโก๊ะลิบฟ้า อย่าง “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แหกพรรษา ก้าวขึ้นมาเป็น ดีกรีความพร้อมเต็มที่...บดบังรัศมี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เท่าที่เห็น เจาะอดีตหาเวลา ดูกันแล้ว “ซุเปอร์เค” เกษม จาติกวณิช ผู้นำกลุ่มดุสิต ๙๙ เคยเป็น “ตัวสแปร์” สำรองที่ “ป๋า”?... เคยลุ้นอัดฉีดเต็มพิกัด เพื่อให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” แต่ก็ไปสู่ดวงดาวไม่สำเร็จ.. คราวนี้ “หลานรักกรณ์ จาติกวณิช” ผู้เป็นหน่อเนื้อในไส้ จะก้าวเป็น “นายกรัฐมนตรี” เพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูล!!! ทั้ง “ชวน-บัญญัติ”ที่ลุ้นอยู่...เห็นทีต้องหมอบไปทั้งคู่?....เพราะผู้ใหญ่หนุน “กรณ์” สุดกู่ เสียด้วยหละคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“ความจริงด้านเดียว”!!!
แผนโปรประกันดา ให้สื่อทีวี วิทยุ และ หนังสือพิมพ์ พะยี่ห้อให้ “ผู้รักประชาธิปไตย” มวลมิตรมหาชนคนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการร้าย” นั้น...ทุ่มทุนอลังการงานสร้าง ด้วยเงินมหาศาล มากมายกองก่าย ที่อัดกันมาเต็มเหนี่ยว??? เม็ดเงิน เป็น ทรัพย์หลวงคลังประเทศ...โยนโครมออกมาจับจ่ายด้วยความสุรุ่ยสุร่าย จนน่าเป็นห่วง....เงินพันล้าน ร้อยล้าน....กันไปนั้น ล้วนเป็น “เงินหลวง” ในฐานะที่ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้คุมสื่อของรัฐ ต้องแกะรอย ตามดมกลิ่น การปู้ยี่ปู้ย่ำ “เงินก้อนนี้” กันให้ถึงแก่น...เพราะเท่าที่รู้มา มีคนยักย้อน ซ่อนเงินไปเข้ากระเป๋าฟรี ๆ ตั้ง “๕๐๐ล้านบาท” ทีเดียวเท่าที่รู้!!!! “เงินหลวง” ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้....ใครที่อมต้องเร่งคาย?...งาบเอาไปมันไม่น่าดู??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

แต่งตัวทรงเครื่องชะวัป!!
ถึงคิวที่ “ไชยยศ จิรเมธากร” เลชาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน....จะแทรกและเบียดตัว ก้าวขึ้นเป็น “รัฐมนตรี” เพื่อแทน “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักทีสิครับ?? เกียรติยศวงศ์ตระกูล ความดี ความเด่น ความดัง ของ “ไชยยศ” ถือว่าครบเครื่อง เรื่องคนมีเส้น เหมือนกัน.... เป็น “บัดดี้เพื่อนเลิฟ”...เติบโตมากับ “นายฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เส้นใหญ่มะลั๊กกั๊ก มั้ยละท่าน แต่มีคนท้วงติง เป็นกษัยยาแก้เครียด ว่ายามนี้ “เทพบุตรมาร์ค แอนโทนี..เอ๊ย..เวชชาชีวะ” ขึ้นเพดานบินเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไปแล้ว...ฉะนั้นอยู่ต่อหน้าธารกำนัน “เลขาฯไชยยศ จิรเมธากร” ควรให้เครดิต ยกก้นให้ลอย น่าจะสวยกว่า....จะมาเอะอะ มึงมาพาโวย เหมือนเป็นรุ่นกระเตาะกระทงเดียวกัน สมัยเด็ก ๆสมัย หนุ่ม ๆ นั้น จะไม่เป็นการ รู้กาละและเทศะ!!!! เตือนด้วยความหวังดี..ไม่เป็น “รัฐมนตรี”ครั้งนี้... “หนุ่มไชยยศ” ไม่มี โอกาสแล้วนะ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

นั่งเป็นพระอันดับ!!!
ประชุมมือเศรษฐกิจ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เหลียวตามอง “สามสีภูเขาทอง” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ มั่งเลยล่ะครับ?? เรียกใช้แต่ หนุ่มสมองไบร์ท ไฟแรง “กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี,และ “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นทีมเวิร์ค ที่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี “รองนายกฯไตรรงค์”....เป็น “กระทงหลงทาง” ที่มองข้ามหัวไม่แยแส เลยล่ะพี่ การไม่ดึง หรือ เรียกบริการ ใช้ความคิด ของ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” เพราะเป็นมือ “เศรษฐศาสตร์”ที่ตกเทรน! ตกแนว! ตกยุค! ไปแล้วนั่นเอง....ทางทีดี “ท่านสามสี ภูเขาทอง” ต้องปรับสภาพการทำงาน เข้ากับคนหนุ่มยุคจรวด เขาให้ทัน!!!! ทำงานมะงุ้มมะหราก๋า......ดูแล้วเหมือนคนหมดน้ำยา.....ปรับท่าที น่าจะดีเหมือนกัน??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

พูดเอง..เออเอง..แบบ “ยกตน”!!
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะ “ผอ.ศอออฉอ” พูดตอกย้ำหัวตะปูร้อยที่แปด ว่าการกระชับพื้นที่ สลายม๊อบเสื้อแดง เป็นไป “ตามหลักสากล”??? แต่ที่สื่อต่างชาติเขาเห็น...ประชาชน คนมือเปล่า ๆ ถูกฆ่าตายไป ๘๘ชีวิต และบาดเจ็บนอนเยียวยากว่า ๒,๐๐๐ ชีวิต นี่ไม่ใช่ “จากเบาไปหาหนัก”....แต่เป็น “วิธีแตกหัก” ไม่ได้มาตรฐาน สักนิด และยิ่งน่าคิดเข้าไปใหญ่ ..เมื่อ “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” รองเสธ.ทบ. คู่หูผู้รู้ใจ ของ ว่าที่ ผบ.ทบ. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. แย้มพรายเปิดไต๋ หลังสลายม๊อบสำเร็จ ว่าการสลายครั้งนี้ “เหมือนกับสงคราม”!!!! “บิ๊กดาว์พงษ์”เอาความจริง ออกมาติว...หน้า “สุเทพ” ก็เหลือแค่สองนิ้ว?..แหกเป็นริ้วไม่น่าถาม????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

หนังใหญ่ลงโรง

แน่นอนอยู่แล้ว..มี “คนตาย” เป็นเบือ...ใครมั่งที่จะไม่อยากรู้อยากเห็นในการที่ทำให้ “ผู้ชุมนุม” ต้องเสียชีวิตมากขนาดนั้น การอภิปรายในสภาครั้งนี้..จึงเป็นที่สนใจเป็นอย่างยิ่ง!! โดยเฉพาะ ผลจากการสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” เผยว่า ร้อยละ 74.56 เปอร์เซ็นเห็นด้วยที่จะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้นำในการ

อภิปราย ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก.. เป็นหนัง “ฟอร์มใหญ่” โปรแกรมยักษ์ที่ “ผู้ชม” จะได้ติดตามกันอย่างล้นหลาม แม้..ท้ายสุดจะไม่มีรางวัล “ตุ๊กตาทอง” ติดไม้ติดมือกลับบ้านให้กับพรรคฝ่ายค้าน.. แต่เชื่อแน่ว่าความ “อึมครึมหัวใจ” ของประชาชนที่เป็นกลางจะลดหายไปมากโข ที่สำคัญคือ ดารานักแสดง ตัวจริง-

เสียงจริง หยั่ง จตุพร พรหมพันธ์ ที่ “รอดดงตีน” หลุดมาได้ จะให้ “เสียงพากย์” บรรยายบรรยากาศจริงๆ กันสดๆ ไม่ต้องพึ่ง “รอง เค้ามูลคดี” มาให้เสียงพากย์แทน เหมือนหนังไทยในอดีต ถ้าหาก “จตุพร” ไม่โดน “ล็อกตัว” ออกไปซะก่อน..คนไทยที่เบื่อหน่ายกับ “ฟรีทีวี.” แล้วมารับชมครั้งนี้..คงได้ครางกันฮือ! ยัง

ไงก็ตามเกี่ยวกับ “ความสนุกตื่นเต้น” ในการรับชมก็คงจะหายไปเยอะ..เพราะมีปัญหาเรื่องการ “เซ็นเซ่อร์” เกี่ยวกับ “คลิป” ที่จะนำมาโชว์ หนังทุกเรื่อง.. ถ้ามีการ “เซ็นเซ่อร์” หรือถูก “กรรไกรหั่น” จนเกลี้ยง เนื้อหาสาระคงจะต้องขาดรสชาติหมดสนุกไปโดยปริยาย นี่ถ้า“คลิป” จากเหตุการณ์ “นองเลือด”

เปลี่ยนมาเป็นการคอนเสิร์ตของ “คลิฟ ริชาร์ด” แทน ก็คงจะแฮปปี้กันทั้งสภา..เฮฮามาถึงในบ้านด้วย ว่าไปแล้วทุกคนก็มี “เหตุผล” ของตนเอง..จะโทษ “ใครผิด-ใครถูก” คงไม่ได้ แต่..เหตุการณ์ที่ทำให้ “คนตาย” มากมายเช่นนี้ ก็ต้องหาเหตุผลมา “ลบล้าง” กันว่ามันเกิดมาจากอะไร?? โดน “ปืนตาย” หรือว่า

ถูก “ลมพัดตาย”..ต้องไล่จาก “เหตุ” จึงจะเกิด “ผล” ฝรั่งเขาบอกว่า No smoke without fire. แปลว่า “ไม่มีควันโดยปราศจากไฟ” ก็เห็นไฟลุกท่วมกรุงเทพฯ อยู่โทนโท่.. “มือเผา” อยู่ไหน??..และใครสั่งยิงประชาชนตาย ตรงนี้มันต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน!!


คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************************

‘ลับ ลวง พราง’

คือคำที่ถูกพูดถึง และนำมาใช้หลังเกิดการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เป็นคำที่มีความหมายในตัวของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว ภาษาไทยมีคำแปลความหมายว่า ไม่มีอะไรชัดเจน กระจ่างแจ้ง ของสถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดจากการคิด หรือการกระทำของใครก็ตาม ก็ไม่มีผลดีต่อส่วนรวมของประเทศเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า...ยังมีบางฝ่ายที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของสังคมไทย แต่มีอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของเกมการ

เมือง สรุปง่ายๆ ตรงไปตรงมา บอกได้ว่า... “ลับ ลวง พราง” ยังเป็นสถานการณ์ของเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยังมีอะไรแอบแฝง ลึกลับซับซ้อน พร้อมที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ร้อนแรงขึ้น เป็นอันว่า... ถ้าหากยังมีเรื่องราวของ “ลับ ลวง พราง” ก็หมายความว่า ประเทศไทยยังไม่มีการคลี่คลาย สถานการณ์ทางการเมือง

เรื่องของการต่อสู้กันทางการเมืองลงได้ ประเทศจะวุ่นวายต่อไป ประชาชนก็จะต้องเดือดร้อน และได้รับความวุ่นวายอยู่ต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น นี่คือ “พิษ” ของ “ลับ ลวง พราง” ที่วันนี้ไม่ใช่เรื่องราวเล่าขานจากตำนานปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 อย่างเดียว จาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ผู้ทำปฏิวัติ สถานการณ์

นั้นน่าจะหมดไปจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นการคืนประชาธิปไตยกลับมาให้จากภาวการณ์ปฏิวัติ แต่สถานการณ์ “ลับ ลวง พราง” หาได้หมดไปกับประชาธิปไตยที่ได้รับกลับคืนมาใหม่ อย่างที่คนคิดคนหวังไว้ สถานการณ์ “ลับ ลวง พราง” ยังมีต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เหมือนเป็นโรคติดต่อมาถึงรัฐบาลที่

อ้างตัวว่ามาจากประชาธิปไตย คือ รัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นโรคติดต่อที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ยอมแก้ หรือแก้ไม่ได้จริงก็ไม่ทราบ แต่ที่คนไทยอยากรู้ก็คือ...ประเทศไทยจะยัง “ลับ ลวง พราง” อีกนานแค่ไหนกันครับ หรือจะต้องรอให้มันวอดวายทั้งหมดก่อน?
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ไม่ไว้วางใจ”

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2553 วันที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติ “ไม่ไว้วางใจ” นายกฯ และ รัฐมนตรี 5 คน เป็นวันที่สอง...ซึ่งจะจบโดยประชาชนไม่ได้อะไร!! เพราะเวทีสภาฯ เป็นเวทีของ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นเวทีสร้างนักการเมืองพรรคนี้มานาน...2 วันนี้นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว “ฝ่ายค้าน” อาจจะโดน เชือดเลือดสาด โดยมี “ปังตอ” ของท่านผู้นำ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยซ้ำ!!

อย่าว่าแต่คนไทยเลยที่รู้ว่านักการเมืองไทยคนไหน “โกหกเก่ง” คนต่างชาติเขารู้กันแล้วว่าใคร “โกหกเก่ง” ไม่เชื่อลองถาม “แดน ริเวอร์ส” นักข่าว ซีเอ็นเอ็น และนักข่าวอีกหลายประเทศก็ได้เริ่มเมื่อวาน “ฝ่ายค้าน” ก็แพ้รูดเรื่อง “ตั้งกรรมการตรวจคลิป” แล้ว...ก็ในเมื่อตั้ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ “ศิริ

โชค โสภา” วอลเปเปอร์ประจำตัวท่านผู้นำเป็นกรรมการตรวจด้วย...ประชาชนจะรู้ความจริงไม่ได้เลย เพราะกรรมการจะไม่ให้ผ่าน “ออกมาแฉ” แน่นอน!! ภาพทหารอยู่บนยอด “ตึกชาญอิสระ” ระดมยิงประชาชนด้วย “ปืนสไนเปอร์” จะไม่มีทางได้เห็นแน่...นอกจากสื่อบางฉบับกับ “สื่อต่างประเทศ” เท่านั้น!!

การอภิปรายคราวนี้ สภาฯ จึง “ไม่ใช่ที่พึ่ง” ของประชาชนอีกต่อไป!! ไม่น่าเชื่อรัฐบาล “เซ็นเซอร์” ได้แม้กระทั่ง หลักฐานของสภาฯ อย่าว่าแต่เซ็นเซอร์สื่อที่รัฐบาลนี้ทำมาตลอดเลย...วังเวง ประเทศไทย!! เริ่มอภิปรายเมื่อวานด้วยการหารือเรื่ององค์ประชุมของ “นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล” ส.ส.เชียงใหม่พรรค

เพื่อไทย กลับถูก “นายธนา ชีรวินิจ” ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งเป็น “มือใหม่หัดขับ” สอนมวยจนไปไม่ถูก...แถมให้คนอ่านหนังสือไม่แตก อ่านผิดๆ ถูกๆ คำควบกล้ำ ร เรือ ล ลิง ไม่มี อย่าง “นายวิทยา บุรณศิริ” ประธานวิปฝ่ายค้าน มาอ่านร่างญัตติข้อกล่าวหา...อย่างนี้ไม่ต้องถึงมือระดับ

ท่านผู้นำหรอก...แค่ “วิทยา แก้วภารดัย” ก็เอาอยู่แล้ว!! เสียดายมือดี ของ “เพื่อไทย” ถูกดองหมด เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง ไม่งั้นมวยจะสนุกกว่านี้เยอะ ผมเขียนด้วย “ความเห็นใจ” ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย เป็นอย่างยิ่ง และเชื่อด้วย “ความสัตย์จริง” ว่า...สิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำมาอภิปรายคราวนี้ “เป็นเรื่อง

จริง” ทั้งสิ้น!! แต่เชื่อผมเถอะ สภาฯ เป็นเวทีของ ประชาธิปัตย์ เขา...ที่เขาเอาตัวรอดได้เสมอ และ “สังคมตอแหล” อย่างสังคมไทยจะเชื่อด้วย...เหมือนที่คนไทยไม่น้อยเชื่อ “การพูดข้างเดียว” ของรัฐบาลนี้ในเหตุการณ์เลือดที่ผ่านมา...เชื่อทั้ง “เรื่องปืน” ที่เอามาจัดฉากแถลง... ....เชื่อทั้ง “เรื่องคาร์บอมบ์” ที่นัดนัก

ข่าวมาแถลง...เชื่อทั้งเรื่องใครก็ไม่รู้ “ใส่ชุดดำ” มายิงประชาชน...เชื่อทั้งเรื่อง “ไม่มีทหารแม้แต่คนเดียว” ยิงประชาชนมือเปล่า คนตาย 88 คนตายเอง นักข่าวญี่ปุ่น อิตาลี เดินชนกระสุนตายเอง ฮ่วย!! บ้ากันไปใหญ่คือแฟนคลับ “ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่กลายเป็น “ฮีโร่” ขวัญใจชาวเน็ตฯ กลุ่ม

หนึ่ง...นี่ไงที่ผมเรียกสังคมไทยเป็น “สังคมตอแหล” เหมือนนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่สร้างตัวจากการตอแหลทั้งชีวิตจน “ได้ดิบได้ดี” ก็อยู่กันแบบตอแหลไปอย่างนี้แหละประเทศไทย...อย่าคิดอะไรมากเลย!!สุดท้าย สุดสงสาร “สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” อาจารย์จุฬาฯ ผู้แสดงออกทางการเมืองตรงไปตรงมา ไม่ตอ

หลดตอแหล ต้องสังเวย “เผด็จการซ่อนรูป” ถูกกักขังในค่ายทหาร หนังสือหนังหาที่เป็นชีวิตจิตใจของอาจารย์ไม่ได้อ่าน อดข้าวประท้วงเป็นวันที่ 5 แล้ว “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังเฉย!! ไม่รู้ร้อนหนาว อนิจจาท่านผู้นำ ไฮ ฮิตเลอร์!!
โดย.บางกอกกอสซิบเพชรฉกรรจ์
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อีกด้านของเหรียญ

ทุกๆเรื่องราว จะมีหลากหลายมุมมอง ในแต่ละมุมมองเรื่องราวหลายเรื่องก็จะมีเกิดและมีดับเป็นธรรมดา อย่างเรื่อง..ข้อหาก่อการร้ายของ พันตำรวจโท ด็อกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร แทนที่จะเป็นการไล่ล่าเพื่อเอาเขากลับมาลงโทษในประเทศตามปราถนาของรัฐบาล ข้อหาก่อการร้ายจะกลายเป็นใบเบิกทางเพื่อที่จะทำ

ให้เขา พันตำรวจโท ด็อกเตอร์ ทักษิณ..ชินวัตร..มีที่ยืนในโลกมากขึ้นและกว้างขวางมากขึ้น บรรดาประเทศทั้งหลาย..ที่เป็นประเทศใหญ่และพัฒนา..รัฐบาลของเขาจะได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประเทศเหล่านี้ในอดีตปฏิเสธการเข้าประเทศของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร...เพราะมีคำ

พิพากษากล่าวหาว่าเขามีความผิดในเรื่องผลประโยชน์..ที่เบียดบังไปจากประเทศ การให้ที่พักพิงแก่เขาจึงเป็นเรื่องต้องห้าม..ของกฏหมายระหว่างประเทศที่มีพันธะสัญญาต่อกัน..และกฏหมายนั้นสร้างกันขึ้นมา ก็เพื่อจะบังคับกำหราบปรามปราม..ผู้ที่กระทำผิดต่อประชาชนในประเทศหนึ่งแล้วไปหลบอยู่ในอีกประเทศ

หนึ่ง ถ้าไม่มีการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 และมีการกล่าวโทษต่อศาลสถิตยุติธรรม..อันเป็นปรกติ..และถูกพิพากษาจนครบ 3 ศาล..ว่ามีความผิด.. พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร..จะไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะให้ประเทศเหล่านั้น..เปิดทางให้เขาเข้าอยู่อาศัยไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร แต่เพราะมีการปฏิวัติ..และมีการ

เปลี่ยนวิธีการกล่าวหา..หรือแม้แต่ที่มาของคำพิพากษา..รวมทั้งยังเห็นต่างกันในเรื่องมีโทษและไม่มีโทษ..ประเทศบางประเทศจึงใช้เป็นเหตุผลในการให้ที่พำนักพักพิง แต่ข้อหาใหม่..ข้อหาก่อการร้ายนั้น..ยังไม่ใช่คำพิพากษาเป็นเพียงคำกล่าวหา.. และมีแค่หมายจับ..ทนายระดับโลกที่สามารถ อาจจะลำดับเรื่องราว

ความเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้..และชี้ให้เห็นว่า..เรื่องราวทั้งหลายเป็นเรื่อง..การช่วงชิงอำนาจทางการเมือง.. และ ทักษิณ ชินวัตร..คือผู้ถูกช่วงชิง..โดยอำนาจอาวุธแห่งกองทัพ ไม่ใช่การสูญเสียอำนาจจากรัฐสภา..ที่ว่าไล่ล่าจะลากเอาตัวเขามาลงโทษนั้น..มันจะกลายเป็นตรงกันข้าม..

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

TPBS_ยิง 6 ศพที่วัดปทุมฯ

เหตุแห่งความกล้าหาญ


อะไรหรือที่ทำให้พี่น้องประชาชนมือเปล่าๆ วิ่งเข้าไปหาปืนด้วยความกล้าหาญมุ่งมั่น และด้วยสติอย่างสมบูรณ์?

นี่คือสิ่งที่ผมครุ่นคิดมาตลอดตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการปะทะรุนแรงในเดือนพฤษภาคม คิดไปก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อช่วยชีวิตและจิตใจของพี่น้องหลายล้าน ในฐานะที่คนพลัดบ้านพลัดเมืองคนหนึ่งจะกระทำได้

แล้วผมก็พบความงามบางอย่างวาบแสงขึ้นในความมืดมิดของระบอบโบราณที่ยังครอบงำไทย

ยังจำได้ไหมว่า พันเอกอัคร ทิพย์โรจน์ เป็นตัวแทนของฝ่ายเผด็จการรับจ้างของระบอบไทยสมัย คมช. ออกมากล่าวาจาสามหาวใส่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่เข้าชนรถถังจนตัวบาดเจ็บสาหัสว่า แก่ บ้า และลงท้ายด้วยการหมิ่นน้ำใจว่าไม่มีคนไทยที่ไหนจะยอมตายเพื่อประชาธิปไตยหรอก

จนสุดท้ายก็ได้ชีวิตทั้งชีวิตของลุงนวมทองมาพลีพิสูจน์ว่าใครคือมนุษย์และใครมีศักดิ์เพียงสัตว์เดรัจฉาน

หากเทพมีจริง วันนี้เทพนวมทองท่านคงกำลังมองลงมายังพื้นดินด้วยความปลื้มใจว่าคนไทยอีกนับจำนวนไม่ถ้วนก็พร้อมพลีชีพเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ถึงจะรู้สึกห่วงใยทุกๆ ชีวิตและไม่ต้องการให้พลีชีพโดยไม่จำเป็นแม้แต่หนึ่งเดียวก็ตาม

ผมมั่นใจว่า ความกล้าหาญที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคราวนี้ คือผลการยกระดับความคิด และทัศนะของผู้เป็นพลเมืองที่ถูกเหยียดหยามให้เป็นไพร่ใต้ตีนมานานหลายศตวรรษ

ใครคิดว่ามวลชนเหล่านี้ยอมเสี่ยงชีวิตเพียงแค่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเพื่อกำจัดคนไร้ค่าอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องคิดใหม่

เป้าหมายแค่นั้นเอาอเวไนยสัตว์มาตายแทนยังไม่คุ้ม

พวกเราวิ่งเข้าหาปืนใส่กระสุนจริง ท้าความตายอยู่กลางถนน เพราะรู้ว่าถ้าเขาวิ่งไปได้ถึงฐานที่มั่นของเจ้าของระบอบอันเลวร้ายเมื่อไหร่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกดทับทำลายมานานปี ก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระและได้เติบโตตามธรรมชาติ ส่งผลให้ชีวิตของเขาและคนรุ่นต่อไปดีขึ้น

โดยเฉพาะศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์นั้นดีขึ้นแน่ ยืนยันได้จากตัวอย่างที่ชัดเจนในยุครัฐบาลประชาธิปไตยแท้ๆ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ในเวลาเพียงหกปีเห็นหน้าเห็นหลัง ประชาชนผู้ไร้เส้นสายรู้สึกมีชีวิตชีวา มีความหวัง และรู้สึกว่าบ้านเมืองสูงขึ้นเยอะ

เขาก็จำได้หมายรู้มาตั้งแต่บัดนั้นว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเล่นหรูหราของนักวิชาการหรือเจ้าทฤษฎีที่ไหน แต่เป็นของมีค่าที่เขาจับต้องได้จริง

เขาไม่เคยต่อสู้ขนาดนี้มาในอดีต ก็เพราะอดีตไม่ควรค่าแก่การต่อสู้ของเขา

แม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จัดตั้งมวลชนในกว้างขวางและลึกซึ้งที่สุดรองลงไปจากระบอบศักดินา ก็ยังไม่สามารถสร้างเป้าหมายที่ประชาชนคนสามัญเห็นคุณค่าและพร้อมพลีชีพได้ถึงขนาดนี้

พยายามพูดใส่ความกันเหลือเกินว่านี่คือความตั้งใจที่จะสร้างระบอบทักษิณ

คนที่ชิงชังคุณทักษิณด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนบ้าง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นจนไม่ดูข้อเท็จจริงบ้าง หรือหมั่นไส้ริษยาบ้าง ก็เซ็งแซ่กันว่าประชาชนเหล่านี้สงสัยจะเป็นทาสของคุณทักษิณ

พูดจนลืมไปว่าคนพูดที่มีโซ่ล่ามอยู่รอบคอ ร้องเพลงกันเองแล้วก็น้ำตาไหลกันเอง ปรุงแต่งกันอยู่แถวนั้น เป็นทาสของใคร และลืมหูลืมตาขึ้นหรือไม่

คนที่วิ่งเข้าไปหาปืนและความตายเหล่านี้ล้วนไม่รู้จักคุณทักษิณ ไม่เคยเห็นตัวจริงไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากคุณทักษิณเลยแม้แต่น้อย เขาคงไม่ได้คิดถึงคุณทักษิณในขณะพลีชีพ

บางท่านอาจจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านี้วิ่งเข้าไปด้วยความพิเศษบางอย่างในสมองและระบบความคิด เรียกได้อย่างหนึ่งว่า แนวทาง

เหมือนแดงสยามเสนอแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยในขั้นต่อไป โดยไม่ได้เสนอตัวเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นผู้นำการเมืองในเวทีไหนหรือพรรคใดๆ เลย

แนวทางคือกรอบความคิดใหญ่ที่เราใช้เป็นฐานในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกิจกรรมเพื่อให้เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแท้ มีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ส่งผลสำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิธีการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมของฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่ว่าใครจะรับแนวทางจากคำปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ ผ่านฟ้า สนามหลวงหรือที่อื่นๆ ไม่ว่าใครจะได้อ่านเอกสาร หนังสือ แผ่นซีดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือใครมีโอกาสเข้าร่วมเสวนากับกลุ่มใดๆ จนเกิดการปรับทัศนะ เปลี่ยนแปลงจากความล้าหลังและความไม่รู้ร้อนหนาว จนเป็นความห่วงใยบ้านเมืองอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้านั้น ถือว่าใช้ได้หมด

ใครยังเหลือธาตุแห่งความดูแคลนประชาชนอยู่ในใจ ผมท้าให้ไปนั่งคุยกับคุณยายคุณป้าคุณลุงคุณอาที่มาร่วมชุมนมสักสิบนาที แล้วจะตื่นอย่างรวดเร็วว่าคนที่มาร่วมชุมนุมในฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่อาจจะเป็นทาสใครได้เลย เขาต่างมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ก้าวหน้าและชัดเจน จนวันนี้ปรับสภาพจนใกล้จะเป็นการลุกขึ้นสู้อยู่รอมร่อแล้ว

คนจนที่ได้รับการศึกษาตามระบบมาน้อยในวันนี้ ส่วนใหญ่มีจิตวิญญาณการเมืองและสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ ดีกว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ยอมตัวเป็นไพร่ใต้ตีนคนอื่น ผู้อุตส่าห์หาเหตุผลที่ฟังเผินๆ ก็ไพเราะมาอธิบายความล้าหลังและความเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้นของตัวเอง เพียงเพราะในใจเต็มไปด้วยความอ่อนแอจนพึ่งตัวเองไม่เป็น

ของแบบนี้มีตัวอย่างอยู่เสมอ

ศิลปิน ดารา นักร้อง สื่อมวลชนที่ประกาศจุดยืนต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มีความกล้าหาญและบกพร่องในความเป็นมนุษย์อยู่มาก เพราะคนเหล่านี้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่หัวถึงตีน ได้ดีมาก็เพราะเอาตีนคนอื่นคุ้มกบาลตัวเองมาตลอดชีวิตที่ไร้ค่า

ศิลปะของคนเหล่านี้จึงมักแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน ไร้ความบริสุทธิ์ แค่จะเปิดละครกันสักเรื่องก็ต้องอาศัยเดรัจฉานวิชามาคุ้มตัวกลัวเจ๊ง ทั้งที่อาศัยพุทธธรรมอย่างเดียวก็เหลือจะพอ

คนที่ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจคนอื่น มักจะเห็นว่าระบบอุปถัมภ์นั้นดีวิเศษ เห็นอำนาจที่กดหัวของตัวอยู่เป็นบุพการีของตนไปหมดอย่างน่าเวทนา

แต่คุณค่าของผู้หลงผิดเหล่านี้คือช่วยเปรียบเทียบและทำให้วีรกรรมของฝ่ายประชาธิปไตยมลังเมลืองขึ้นมาก

ถ้าไม่มีไพร่ใต้ตีน ก็ไม่รู้ว่าเทพนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

อยากรู้ก็ส่องกระจกดูครับ.


โดย จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------------

มาร์คโมเดล


นอกเหนือจากการตายของประชาชนกว่า 80 ศพ บาดเจ็บนับพัน ที่มีการพูดจาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางแล้ว

อีกปมที่ถกกันอยู่น่าจะเป็นการดำเนินงานของรัฐบาลผ่านทางศอฉ. ที่เข้าสลายม็อบอย่างดุเดือดและรุนแรง โดยใช้คำที่ดูสละสลวยว่า

"ขอคืนพื้นที่" หรือ "กระชับพื้นที่"

แต่ความหมายก็คือการเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมนั่นเอง

รวมไปถึงแผนยุทธการตั้งแต่การรับมือม็อบ การโฆษณาชวนเชื่อ การสั่งปิดสื่อรูปแบบต่างๆ ที่เชื่อว่าเกี่ยวโยงกับนปช. จวบจนถึงวันสุดท้ายที่เข้าสลายจนมีคนตายจำนวนมาก

ท้ายสุดคือท่าทีของผู้ต้องรับผิดชอบโดยตรงอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ

กำลังเปรียบกันว่านี่คือ "มาร์คโมเดล"

หากเหตุการณ์นี้ปิดฉากลงโดยฝ่ายอำนาจรัฐไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เชื่อว่านี่จะเป็น "โมเดล" ที่มีการเลียนแบบในอนาคต

พลิกประวัติศาสตร์กลับไปสมัย 14 ตุลา 16 จนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รัฐบาลถูกขับไล่โดยผู้ชุมนุมทั้งนักศึกษาและประชาชน

รัฐบาลที่ผ่านมาใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจนมีคนตาย-เจ็บ จำนวนมาก และต้องรับผิดชอบ หรือถูกบีบให้รับผิดชอบด้วยการลงจากอำนาจและหลุดหายไปจากสารบบการเมืองไทย

เพิ่งมีครั้งแรกสมัยนายกฯ ที่ชื่ออภิสิทธิ์ ซึ่งใช้กำลังปราบปรามจนมีคนตายลบสถิติการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา

แต่ทำท่าว่าจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ที่น่าทึ่งก็คือพยายามบอกว่าคนที่ตายๆ ไปนั้นหากไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ก็ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่า

ไม่เกี่ยวกับทหาร!?

เพราะทหารได้รับคำสั่งให้ยิงระดับต่ำกว่าหัวเข่า!?

ทั้งที่หากถึงที่สุดแล้วการสลายการชุมนุมครั้งนี้คนของภาครัฐไม่ต้องรับผิดชอบ จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยในอนาคต

เพราะทุกประเทศประชาธิปไตย ประชาชนนอกจากมีอำนาจในการลงคะแนนเสียงแล้ว อีกอำนาจที่สำคัญคือการชุมนุมเพื่อเรียกร้องหรือกดดันรัฐบาล

หลังพฤษภาทมิฬมีม็อบออกมาขับไล่รัฐบาลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เพราะรู้ดีว่าจะพบจุดจบเยี่ยงไร

แต่พลันที่เกิด "มาร์คโมเดล" เมืองไทยก็ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เป็นต้นแบบให้รัฐบาลอื่นๆ เดินตามชนิดก้าวต่อก้าวหากต้องการเล่นงานผู้ชุมนุมในอนาคต

หากวันหน้าพรรคการเมืองอื่นขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วเกิดมีม็อบสีอื่นๆ ออกมาอาละวาด อาจจะยึดทำเนียบฯ บุกยึดสนามบิน ฯลฯ เพื่อขับไล่รัฐบาล

"มาร์คโมเดล" คงถูกนำมาใช้อีกครั้ง เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถฆ่าผู้ชุมนุมได้อย่างสบายมือโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

เราต้องการให้เมืองไทยเป็นแบบนั้นหรือ!?

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************