อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าสู่การเมืองโดยเป็นอาสาสมัครช่วย พิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หาเสียง
พิชัย คนที่เพิ่งออกมาพูดถึงอภิสิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้
เตือนไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับม็อบ
แนะนำ และรับอาสาอีกหลายเรื่อง
แต่เจ้าตัวบอกเองว่าไม่ได้รับตอบรับจากนายกฯรุ่นหลานแต่อย่างใด?
จากนั้นอภิสิทธิ์สร้างความตื่นตะลึง เป็นส.ส.ประชาธิปัตย์คนเดียวในเลือกตั้งสนามกทม. ปี 2535
โดยได้อานิสงส์จากออกทีวีก่อนวันหย่อนบัตร
นักการเมืองหนุ่มน้อยวัยเพียง 27 ใช้ความโดดเด่นด้านหน้าตา พูดจาคมคาย ฉาดฉาน เรียกคะแนนอย่างคาดไม่ถึง
ขณะที่ผู้ใหญ่ และแกนนำพรรคสอบตกเรียบ!
อภิสิทธิ์ไต่เต้าจากโฆษกรัฐบาล ต่อด้วยรมต.ประจำสำนักนายกฯ รัฐบาลชวน หลีกภัย
สมัยนายกฯชวน รัฐบาลต้องเผชิญกับม็อบน้อยใหญ่หลายครั้ง
โดยเฉพาะม็อบสมัชชาคนจน
รัฐบาลชวนที่มีอภิสิทธิ์ร่วมครม. มีเหตุการณ์หมาตำรวจกัดม็อบ
จับผู้หญิง คนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงยัดรถลูกกรง!
และเป็นตราบาปติดตัวมาจนทุกวันนี้ ก็คือ
การสลายม็อบในวันมาฆะบูชา ขณะผู้ชุมนุมเวียนเทียนที่วัดเบญจมบพิตร
ตีม็อบวันพระใหญ่!!
อภิสิทธิ์มีชวน หลีกภัย เป็นแม่แบบทางการเมือง
ชวน คนเดียวกับที่ออกโรงเมื่อไม่นานมานี้
คัดค้านยุบสภา ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
อภิสิทธิ์ซึมซับความเป็นประชาธิปัตย์อย่างเข้มข้น
ภาพดี พูดเก่ง ถือหลักการ ยึดกฎหมาย
กระทั่งเติบใหญ่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ก่อนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของนักการเมือง
นายกรัฐมนตรี คนที่ 27
นายกฯอภิสิทธิ์ต้องเผชิญกับม็อบใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมือง
นั่นคือ กลุ่มนปช. แดงทั้งแผ่นดิน
อภิสิทธิ์และรัฐบาลสามารถปราบม็อบลงได้ในเบื้องต้น
แต่ตราบาปที่ตามติดตัวตลอดไป ก็คือ
คนตาย 80 ศพ บาดเจ็บอีก 2 พัน
โดย 6 ศพถูกยิงตายในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนา รามราชวิหาร
ประวัติศาสตร์จารึกชื่อ 2 นายกฯจากพรรคประชาธิปัตย์
ว่าครองอำนาจในช่วงเหตุการณ์ใหญ่ 2 เรื่อง
ตีม็อบวันพระใหญ่ ฆ่าม็อบในวัด!?
ข่าวสดเช้านี้
คอลัมน์ เหล็กใน
****************************************************
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เดินไปข้างหน้า
ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอย่างไร บ้านเมืองก็ต้องเดินไปข้างหน้า หากอยู่นิ่งหรืออยู่กับที่ บ้านเมืองก็จะเสียหาย ยิ่งถอยหลังบ้านเมืองยิ่งไปไม่รอดหรือหายนะ ในที่สุดประเทศจะถูกแบ่งแยกออกเป็นเสี่ยงๆ หรืออยู่ในภาวะสงครามที่ในที่สุดจะเหลือเพียงซากปรักหักพังสำหรับชัยชนะ
โดยเฉพาะเหตุการณ์เมษาวิปโยคและพฤษภามหาวิปโยค ถือเป็นวิกฤตที่รุนแรงและร้าวลึกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย บางคนเห็นว่ารุนแรงและโหดร้ายกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา, 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าในยุคที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและมีบทเรียนทางการเมืองมากมายยังเกิดแหตุการณ์โหดร้ายเช่นนี้ เช่นเดียวกับรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ภาพของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลกจึงไม่ได้แตกต่างจากอดีตมากนัก ยุคที่ทหารหรือกองทัพมีอำนาจอยู่เหนือการเมือง นักการเมืองจึงยังแยกไม่ออกจากกองทัพ หรือกองทัพไม่ยอมแยกออกจากการเมืองก็ตาม ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน
หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม สิ่งสำคัญที่สุดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนี้คือจะรับผิดชอบกับการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของประชาชนและทหารจำนวนมากอย่างไร จะลาออกหรือยุบสภา หรือดื้อแพ่งอยู่ในอำนาจต่อไปโดยอ้างความชอบธรรม อ้างรัฐธรรมนูญ อ้างนิติรัฐ
ไม่ว่านายอภิสิทธิ์เลือกทางไหน สังคมไทยจะต้องร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ฝังลึกในสังคมไทยให้หมดไปโดยเร็วที่สุด
ต้องร่วมกันกอบกู้ความรักและความปรองดองกลับมา ไม่ใช่พูดถึงแต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ หรือปล่อยให้นักการเมืองน้ำเน่าออกมาปลุกระดมใส่ร้ายป้ายสีให้คนไทยเกิดความเกลียดชังและแตกแยกกันอีกต่อไป
การยุบสภาและการเลือกตั้งแม้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ก็เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกรัฐบาลหรือนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนมาแก้ปัญหาอะไรและอย่างไร
ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญไม่กี่ประเด็น ซึ่งเป็นการเกื้อกูลผลประโยชน์ของนักการเมืองบางคนบางกลุ่มเท่านั้น
วันนี้ทุกฝ่ายในสังคมจึงต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศและปฏิรูปสังคมไทยให้กลับมาเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ใช่อำนาจของนักการเมือง กองทัพ หรือกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
โดยเฉพาะเหตุการณ์เมษาวิปโยคและพฤษภามหาวิปโยค ถือเป็นวิกฤตที่รุนแรงและร้าวลึกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย บางคนเห็นว่ารุนแรงและโหดร้ายกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา, 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าในยุคที่บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและมีบทเรียนทางการเมืองมากมายยังเกิดแหตุการณ์โหดร้ายเช่นนี้ เช่นเดียวกับรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ภาพของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลกจึงไม่ได้แตกต่างจากอดีตมากนัก ยุคที่ทหารหรือกองทัพมีอำนาจอยู่เหนือการเมือง นักการเมืองจึงยังแยกไม่ออกจากกองทัพ หรือกองทัพไม่ยอมแยกออกจากการเมืองก็ตาม ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน
หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม สิ่งสำคัญที่สุดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนี้คือจะรับผิดชอบกับการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของประชาชนและทหารจำนวนมากอย่างไร จะลาออกหรือยุบสภา หรือดื้อแพ่งอยู่ในอำนาจต่อไปโดยอ้างความชอบธรรม อ้างรัฐธรรมนูญ อ้างนิติรัฐ
ไม่ว่านายอภิสิทธิ์เลือกทางไหน สังคมไทยจะต้องร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ฝังลึกในสังคมไทยให้หมดไปโดยเร็วที่สุด
ต้องร่วมกันกอบกู้ความรักและความปรองดองกลับมา ไม่ใช่พูดถึงแต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ หรือปล่อยให้นักการเมืองน้ำเน่าออกมาปลุกระดมใส่ร้ายป้ายสีให้คนไทยเกิดความเกลียดชังและแตกแยกกันอีกต่อไป
การยุบสภาและการเลือกตั้งแม้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ก็เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกรัฐบาลหรือนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนมาแก้ปัญหาอะไรและอย่างไร
ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญไม่กี่ประเด็น ซึ่งเป็นการเกื้อกูลผลประโยชน์ของนักการเมืองบางคนบางกลุ่มเท่านั้น
วันนี้ทุกฝ่ายในสังคมจึงต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศและปฏิรูปสังคมไทยให้กลับมาเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ใช่อำนาจของนักการเมือง กองทัพ หรือกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
‘ผู้ก่อการร้าย’..ยัดให้ จมเขี้ยว
‘ผู้ก่อการร้าย’..ยัดให้ จมเขี้ยว
ผลเสียหายจมแหลก เลอะรุงรัง ที่ตามมาเป็นพรวน ท่านไม่เคยแลเหลียว??การกล่าวอ้าง ซัดกันอย่างเต็มเหนี่ยว “ผู้รักประชาธิปไตย” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” มีผลลัพธ์ “บริษัทประกันภัย” จะไม่จ่ายค่าเสียหายใดๆ?...กับห้างสรรพสินค้าระดับไฮโซ ที่ราบเป็นหน้ากอง ถ้า “จลาจล”...ต้องจ่ายจนหมดน่าตัก เชียวแหละพี่น้องเมื่อเป็นการ “ก่อการร้าย” แล้ว..ตามที่ “รัฐบาลอภิสิทธิชน” ยกระดับความเกรงขาม เพื่อให้ตนได้ความชอบธรรม จึงทำให้ “บริษัทประกันภัย” รอดตามกฎบัตร กฎหมาย ไม่ต้องชดใช้เงินจ่าย?..ความเสียหายทุกบาททุกสตางค์ ต้องควักภาษีประชาชน ออกมาจ่ายหนุบหนับ!!!ต้องบอก “บริษัทประกันภัย”...แฮปปี้ยิ่งกว่าใคร...เพราะไม่ต้องจ่ายเงินไง เล่าครับ???
------------------------------------------------
‘ก่อการร้าย’ ใครจะจ่ายเงินเล่า
เหมือนการวางระเบิด หมายลอบฆ่า หมายปองชีวิต “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งเก่า??ที่รอดตัวมาได้ครั้งกระนั้น...เพราะ “หนุ่มโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร มาช้า ..อันเนื่องมาจากตื่นสาย และแต่งตัวโอ้เอ้ถ้ามาตรงเวลา...ชะตาก็ขาด จบเห่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้แปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยอ้างสาเหตุว่า “แอร์เครื่องบินช็อต”จึงได้ค่าเสียหายจาก “บริษัทประกันภัย”....หากยังฟันธง ว่าเป็น “การก่อการร้าย” ค่าเสียหายที่เกิดกับเครื่องบินจำนวนมหาศาล เขาคงไม่จ่ายเช่นกัน!!!เพราะการใดที่เป็นความเสียหาย...อันเกิดจาก “ก่อการร้าย”.... “บริษัทประกันภัย” ไม่จ่าย หรอกทั่น???
-------------------------------------------------
‘ชัวร์’ หรือ ‘มั่วนิ่ม’ ไม่ทราบ
แต่การ ไปขึ้นบัญชีดำ “วิเชียร ขาวขำ” ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าบุญทุ่ม จ่ายท่อน้ำเลี้ยง ให้กับ “ผู้รักประชาธิปไตยคนเสื้อแดง” เป็นเรื่องตลก มากเลยล่ะครับเพราะใครที่รู้ต้นกำเนิด เทือกเถาเหล่าก่อ... จะทราบดีว่า “ส.ส.วิเชียร ขาวขำ” จนเป็นข้าวเกรียบ เดินต๊อกต๋อย ไม่มีจะกินแค่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง.....ยังต้องเดินหอบ ลิ้นแทบปลิ้นจะมีน้ำยาตรงไหน!... มีเงินเป็นกอบ มีเงินเป็นถัง “จ่ายท่อน้ำเลี้ยง” ดูแล “ผู้รักประชาธิปไตย” ได้เล่า..ที่ผ่านมาเลือกตั้ง ส.ส.ทุกที ก็สอบตกตลอด เพราะไม่มีเงินสู้!!!ขึ้นบัญชี “วิเชียร ขาวขำ”.....เหมือนกับเป็นการตอกย้ำ....สร้างวีรกรรม ซ้ำเติมศัตรู??
--------------------------------------------------
เลิกจองล้าง จองผลาญ!!!
ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ไมตรี จะเกิดได้ด้วย น้ำมือ ของ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาล???ตามกวาดล้างเช็ดถูก “ผู้รักประชาธิปไตยเสื้อแดง”..ยิ่งจะเพิ่มดีกรีความเกลียดชัง ให้แตกแยก เป็นมหาอมตะนิรันดร์กาล ยากที่จะมาบัดกรีกันได้จะมากระแทกกระทั้น...แดกดัน กันทำไมชัยชนะครั้งนี้ ถ้า “รัฐบาล” มีชัยเหนือ “ประชาชน” ย่อมมีแต่ความแตกแยก...ฉะนั้น “รัฐบาล” ควรจะรูดซิปปาก โดยเฉพาะ “หมอท็อป” น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์, “เทพไท เสนพงศ์” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ “สาธิต ปิตุเดชะ” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ควรระวังวาจาทิ่มแทง!!!สถานการณ์วันนี้....ต้องเน้นสามัคคี?....อย่าให้มี คำพูดยั่วยวนแก่คนเสื้อแดง???
----------------------------------------------------
‘เพชร’ ย่อมเป็น ‘เพชร’!!!
สถานการณ์ สร้างให้เป็น “วีรบุรุษ” ไปเรียบร้อยเบ็ดเสร็จ???ยกหัวแม่โป้ง ซูฮกให้ อย่างหมดตัว และหัวใจ ให้กับ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯกทม. ผู้ไม่เลือกข้าง เลือกเส้นกับใครดูแล “เหลือง” ดูแล “แดง”......อย่างโจ่งแจ้ง ไม่เลือกฝ่ายจนทำให้ คนในพรรคประชาธิปัตย์ ผู้มีจิตใจคับแคบเป็น “รูเข็ม” อิจฉามารศรี “คุณชายสุขุมพันธุ์” กันอย่างออกหน้าออกตา....พากันออกมากล่าวหาท่าน ว่าสิ่งที่ทำไป เพื่อโปรประกันดาตัวเอง ให้ดีเด่นดังในการก้าวขึ้นมาเป็น “นายกรัฐมนตรี”!!!“คุณชาย” ท่านทำตามสำนึก....แต่พวกนี้มองเป็นข้าศึก..นึกไม่ถึง จะอิจฉา ถึงปานนี้???
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผลเสียหายจมแหลก เลอะรุงรัง ที่ตามมาเป็นพรวน ท่านไม่เคยแลเหลียว??การกล่าวอ้าง ซัดกันอย่างเต็มเหนี่ยว “ผู้รักประชาธิปไตย” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” มีผลลัพธ์ “บริษัทประกันภัย” จะไม่จ่ายค่าเสียหายใดๆ?...กับห้างสรรพสินค้าระดับไฮโซ ที่ราบเป็นหน้ากอง ถ้า “จลาจล”...ต้องจ่ายจนหมดน่าตัก เชียวแหละพี่น้องเมื่อเป็นการ “ก่อการร้าย” แล้ว..ตามที่ “รัฐบาลอภิสิทธิชน” ยกระดับความเกรงขาม เพื่อให้ตนได้ความชอบธรรม จึงทำให้ “บริษัทประกันภัย” รอดตามกฎบัตร กฎหมาย ไม่ต้องชดใช้เงินจ่าย?..ความเสียหายทุกบาททุกสตางค์ ต้องควักภาษีประชาชน ออกมาจ่ายหนุบหนับ!!!ต้องบอก “บริษัทประกันภัย”...แฮปปี้ยิ่งกว่าใคร...เพราะไม่ต้องจ่ายเงินไง เล่าครับ???
------------------------------------------------
‘ก่อการร้าย’ ใครจะจ่ายเงินเล่า
เหมือนการวางระเบิด หมายลอบฆ่า หมายปองชีวิต “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งเก่า??ที่รอดตัวมาได้ครั้งกระนั้น...เพราะ “หนุ่มโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร มาช้า ..อันเนื่องมาจากตื่นสาย และแต่งตัวโอ้เอ้ถ้ามาตรงเวลา...ชะตาก็ขาด จบเห่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้แปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยอ้างสาเหตุว่า “แอร์เครื่องบินช็อต”จึงได้ค่าเสียหายจาก “บริษัทประกันภัย”....หากยังฟันธง ว่าเป็น “การก่อการร้าย” ค่าเสียหายที่เกิดกับเครื่องบินจำนวนมหาศาล เขาคงไม่จ่ายเช่นกัน!!!เพราะการใดที่เป็นความเสียหาย...อันเกิดจาก “ก่อการร้าย”.... “บริษัทประกันภัย” ไม่จ่าย หรอกทั่น???
-------------------------------------------------
‘ชัวร์’ หรือ ‘มั่วนิ่ม’ ไม่ทราบ
แต่การ ไปขึ้นบัญชีดำ “วิเชียร ขาวขำ” ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าบุญทุ่ม จ่ายท่อน้ำเลี้ยง ให้กับ “ผู้รักประชาธิปไตยคนเสื้อแดง” เป็นเรื่องตลก มากเลยล่ะครับเพราะใครที่รู้ต้นกำเนิด เทือกเถาเหล่าก่อ... จะทราบดีว่า “ส.ส.วิเชียร ขาวขำ” จนเป็นข้าวเกรียบ เดินต๊อกต๋อย ไม่มีจะกินแค่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง.....ยังต้องเดินหอบ ลิ้นแทบปลิ้นจะมีน้ำยาตรงไหน!... มีเงินเป็นกอบ มีเงินเป็นถัง “จ่ายท่อน้ำเลี้ยง” ดูแล “ผู้รักประชาธิปไตย” ได้เล่า..ที่ผ่านมาเลือกตั้ง ส.ส.ทุกที ก็สอบตกตลอด เพราะไม่มีเงินสู้!!!ขึ้นบัญชี “วิเชียร ขาวขำ”.....เหมือนกับเป็นการตอกย้ำ....สร้างวีรกรรม ซ้ำเติมศัตรู??
--------------------------------------------------
เลิกจองล้าง จองผลาญ!!!
ความสามัคคี ปรองดอง สมานฉันท์ ไมตรี จะเกิดได้ด้วย น้ำมือ ของ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาล???ตามกวาดล้างเช็ดถูก “ผู้รักประชาธิปไตยเสื้อแดง”..ยิ่งจะเพิ่มดีกรีความเกลียดชัง ให้แตกแยก เป็นมหาอมตะนิรันดร์กาล ยากที่จะมาบัดกรีกันได้จะมากระแทกกระทั้น...แดกดัน กันทำไมชัยชนะครั้งนี้ ถ้า “รัฐบาล” มีชัยเหนือ “ประชาชน” ย่อมมีแต่ความแตกแยก...ฉะนั้น “รัฐบาล” ควรจะรูดซิปปาก โดยเฉพาะ “หมอท็อป” น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์, “เทพไท เสนพงศ์” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ “สาธิต ปิตุเดชะ” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ควรระวังวาจาทิ่มแทง!!!สถานการณ์วันนี้....ต้องเน้นสามัคคี?....อย่าให้มี คำพูดยั่วยวนแก่คนเสื้อแดง???
----------------------------------------------------
‘เพชร’ ย่อมเป็น ‘เพชร’!!!
สถานการณ์ สร้างให้เป็น “วีรบุรุษ” ไปเรียบร้อยเบ็ดเสร็จ???ยกหัวแม่โป้ง ซูฮกให้ อย่างหมดตัว และหัวใจ ให้กับ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯกทม. ผู้ไม่เลือกข้าง เลือกเส้นกับใครดูแล “เหลือง” ดูแล “แดง”......อย่างโจ่งแจ้ง ไม่เลือกฝ่ายจนทำให้ คนในพรรคประชาธิปัตย์ ผู้มีจิตใจคับแคบเป็น “รูเข็ม” อิจฉามารศรี “คุณชายสุขุมพันธุ์” กันอย่างออกหน้าออกตา....พากันออกมากล่าวหาท่าน ว่าสิ่งที่ทำไป เพื่อโปรประกันดาตัวเอง ให้ดีเด่นดังในการก้าวขึ้นมาเป็น “นายกรัฐมนตรี”!!!“คุณชาย” ท่านทำตามสำนึก....แต่พวกนี้มองเป็นข้าศึก..นึกไม่ถึง จะอิจฉา ถึงปานนี้???
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักษิณ"รับอยู่เมืองคานส์ แนะให้"แดง"ดูหนังอวตารสะท้อนการต่อสู้
“ทักษิณ”รับอยู่เมืองคานส์ แนะให้”แดง”ดูหนังอวตารสะท้อนการต่อสู้ เหน็บรบ.ถ่ายหนัง”ชี้ฮ๊กตาลาล่า”
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ thaksinlive เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ว่า ให้คนเสื้อแดงหากมีเวลาว่างไปดูหนังเรื่องอวตาร เพราะเป็นการสะท้อนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง กับรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้พี่น้องคนเสื้อแดงอย่าหมดกำลังใจ ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะทั่วโลกเห็นใจ และเป็นกำลังใจให้มาก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยอมรับว่า กรณีมีภาพข่าวไปเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้ไปดูหนัง เพราะรัฐบาลกำลังถ่ายทำทำอยู่เรื่องโกหก โดยมีปืนหลวงประกอบ
ข้อความที่ปรากฎในทวิตเตอร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ
“พี่น้องชาวเสื้อแดงว่างๆลองไปดูหนัง เรื่อง Avatarอีกทีมันสะท้อนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารรัฐบาลมากระหว่างการใช้ อาวุธพื้นบ้านกับอาวุธทันสมัย”
“พี่น้องที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่า เพิ่งหมด กำลังใจครับทั่วโลกเขาเห็นใจและเป็นกำลังใจกันมากเขาบอกว่า they ask for ballots but they got bullets”
“มีภาพข่าวผมไปเทศกาลภาพยนตร์นานา ชาติที่ เมืองคานส์จริงครับแต่ไม่ได้ดูหนังเพราะมีหนังที่รัฐบาลกำลังถ่ายทำอยู่ เรื่องขี้ฮ๊กตาลาล่ามีปืนหลวงประกอบ”
Posted in http://thaiuknews.wordpress.com/
ที่มา.มติชนออนไลน์
*******************************************************
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ thaksinlive เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ว่า ให้คนเสื้อแดงหากมีเวลาว่างไปดูหนังเรื่องอวตาร เพราะเป็นการสะท้อนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง กับรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้พี่น้องคนเสื้อแดงอย่าหมดกำลังใจ ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะทั่วโลกเห็นใจ และเป็นกำลังใจให้มาก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวยอมรับว่า กรณีมีภาพข่าวไปเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้ไปดูหนัง เพราะรัฐบาลกำลังถ่ายทำทำอยู่เรื่องโกหก โดยมีปืนหลวงประกอบ
ข้อความที่ปรากฎในทวิตเตอร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ
“พี่น้องชาวเสื้อแดงว่างๆลองไปดูหนัง เรื่อง Avatarอีกทีมันสะท้อนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารรัฐบาลมากระหว่างการใช้ อาวุธพื้นบ้านกับอาวุธทันสมัย”
“พี่น้องที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่า เพิ่งหมด กำลังใจครับทั่วโลกเขาเห็นใจและเป็นกำลังใจกันมากเขาบอกว่า they ask for ballots but they got bullets”
“มีภาพข่าวผมไปเทศกาลภาพยนตร์นานา ชาติที่ เมืองคานส์จริงครับแต่ไม่ได้ดูหนังเพราะมีหนังที่รัฐบาลกำลังถ่ายทำอยู่ เรื่องขี้ฮ๊กตาลาล่ามีปืนหลวงประกอบ”
Posted in http://thaiuknews.wordpress.com/
ที่มา.มติชนออนไลน์
*******************************************************
จักรภพ เพ็ญแข: "ความตายในวัดหลวง"
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์
ใครปรารถนาจะเรียกสถานการณ์ระหว่างวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และต่อเนื่องหลายวันหลังจากนั้นว่า เหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การเข้าล้อมปราบ การยุติภาวะจลาจล การบังคับใช้กฎหมาย หรือการกระชับวงล้อม ซึ่งเป็นคำฮิตล่าสุดของผู้เป็นรัฐนั้น ก็จงใช้ไป แต่เพื่อนพี่น้องทุกคนและตัวผมที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยชีวิตและ จิตวิญญาณ จนหลายคนกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว จะไม่ใช้คำนี้ เพราะเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างเลวร้ายเหมือนเดรัจฉาน
สิ่งที่เกิดนั้น เรียกได้อย่างเดียวว่า การสังหารหมู่ (massacre)
ท่านผู้ใดเห็นด้วย กับสิ่งที่ผมจะได้เขียนต่อไปนี้ ได้โปรดพิจารณาใช้คำเดียวกันนี้ตลอดไป เพื่อตีตราบาปไว้บนหน้าผากของมหาอำมาตย์ใหญ่ที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง ไม่ให้หลุดรอดไปจากสายตาของเราและของโลกได้ นี่คือขั้นแรกของการชำระความเลวร้ายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเราจะกระทำโดยพลันและอย่างต่อเนื่อง
แม้หลังความตายของผู้ก่อบาป ซึ่งวันหนึ่งก็จะเกิดขึ้น เราก็จะตีตราบาปต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดมหาอำมาตย์สายพันธุ์เดียวกันนี้ในสังคม ไทยได้อีก
การไล่ฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยใช้อาวุธสงครามและผู้ชำนาญการฆ่านั้น ความจริงเกิดขึ้นโดยทั่วไปในกรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัด ซึ่งเรากำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดก่อนที่จะถูกทำลายเหมือนศพพี่น้องของเราใน วันนั้น
แต่การสังหารหมู่ประชาชนด้วยเจตนาที่ชัดเจนที่สุด จนนำมาบันทึกเอาไว้ได้ว่าแสดงสัญลักษณ์แห่งระบอบปัจจุบันอย่างไม่มีทางพลิก พลิ้วเป็นอื่นได้นั้น คือในวัดปทุมวนารามฯ
วัดที่ในวันนั้นถูกแปลง โฉมเป็นศูนย์พยาบาลฉุกเฉินกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะฝ่ายใดนี่ล่ะครับ
วัด เดียวกับที่ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นเขตอภัยทาน เป็นที่หลบภัยของผู้ที่ได้รับความลำบากเดือดร้อน ไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตใดๆ นี่ล่ะครับ
วัดที่ตั้งอยู่ระหว่างห้างสรรพสินค้าหลายแห่งของชนชั้น สูงทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิร์ลด์ และติดกับวังสระปทุมนี่ล่ะครับ
นี่คือสถานที่ที่ทหารพร้อมอาวุธกรู เข้ามาทั้งจากด้านบน คือรางรถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างที่ร่ำลือกันมาตลอด และจากภาคพื้น ตะโกนจนได้ยินทั่วกันว่า พวกมึงรกโลก กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด
จาก นั้นก็ระดมยิงใส่เหมือนคนบ้า
ด้วยความที่เป็นศูนย์พยาบาล คนที่ตาย บาดเจ็บ และต้องหนีตายอย่างสุดชีวิต ก็คือพระ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข และคนเจ็บที่ถูกทำร้ายมาแล้วรอบหนึ่ง
จำนวนจึง ไม่ใช่หกหรือแปด แต่เป็นจำนวนมากอย่างน่าใจหาย
“เก่ง” อาสาสมัครที่ประกาศตัวเองผ่านคลิปสำคัญว่า ไม่ใช่เสื้อแดง แต่มาช่วยเพราะเป็นหน่วยกู้ชีพ เล่าด้วยเสียงสะเทือนใจว่า แม้แต่น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านฝ่ายทหาร แต่ยืนทำแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บอยู่ภายใน ก็ยังถูกยิงจนขาดใจตายอยู่ในวัดปทุมฯ
ผม เชื่อว่าการสังหารหมู่ในครั้งนี้ โดยเฉพาะที่วัดปทุมฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนสังคมไทยอย่างที่หลายคนยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้
อาจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เคยวิพากษ์ไว้ว่า ผมเขียนหนังสือเชิงอุปลักษณ์ อยากจะให้เขียนชี้ชัดลงไปแบบวิชาการ เพราะจะเป็นประโยชน์โดยตรงมากกว่า ซึ่งผมก็รับความเห็นไว้ด้วยความเคารพ
แต่ “อุปลักษณ์” ในกรณีวัดปทุมวนารามนี่ล่ะครับ ชี้เปรี้ยงลงไปยังปัญหาหัวใจของการเมืองและการกดขี่ข่มเหงประชาชนได้ดีกว่า งานเขียนทางวิชาการที่ต้องใช้ปัญญาทางสมองมากเหลือเกินกว่าที่จะสื่อสารกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไร้อาวุธ และไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ และพระสงฆ์ผู้กำลังครองผ้ากาสาวพัสต์ เขาวิ่งเข้าวัดเพราะเคยรู้มาว่าวัดเป็นที่พึ่งของคนยาก วัดจะไม่ปฏิเสธคนที่กำลังมีทุกข์ ยิ่งเป็นพระอารามหลวง หรือวัดหลวง ซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ก็คงจะไม่คิดทำร้ายเข่นฆ่าใคร เขาก็วิ่งเข้าไปพึ่งพาด้วยความศรัทธาที่เต็มเปี่ยม
ครับ แล้วเขาก็ถูกฆ่าอย่างทารุณที่สุดบนธรณีสงฆ์ของวัดหลวงนั่นเอง
ศพที่ นอนเกลื่อนอยู่นั้น มีทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ พระสงฆ์ และนักข่าวต่างประเทศ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ล่วงลับ ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างศรัทธาในพระศาสนาและสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างสูง คนหนึ่ง เขียนไว้ในนวนิยาย “หลายชีวิต” ว่า คนที่มาตายพร้อมกันเพราะเรือล่มลงหลังออกจากท่าที่บ้านแพนท่ามกลางลมพายุ นั้น เขาทำบาปกรรมอะไรร่วมกันมาหรือ จึงมาตายพร้อมกันอย่างนี้
ผม ซึ่งอ่านหนังสือของนักเขียนผู้นี้ด้วยความรักลุ่มหลงมาเนิ่นนาน นำคำถามนี้มาคิดใคร่ครวญต่อจนกระทั่งบัดนี้ ก็เพิ่งจะได้คำตอบจากการสังหารหมู่ในวัดปทุมวนารามเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
เขา ต้องสูญเสียชีวิตลงพร้อมกันโดยมิใช่เหตุธรรมชาติ และมิได้ประกอบกรรมทำชั่วใดๆ ในขณะนั้นเลย ก็เพราะเขาอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์
นั่น ล่ะครับคือสิ่งที่ เขามี เขาเป็น ร่วมกัน
คำว่า “รกโลก” ที่ทหารตะโกนเอากำลังใจก่อนจะลงมือฆ่า สะท้อนอย่างชัดเจนที่สุดว่าเขาบนนั้นไม่เอาประชาชนคนใดก็ตามที่บังอาจตั้ง คำถามเกี่ยวกับอำนาจอันล้นพ้นของเขา ที่ใช้ผ่านรัฐบาลพันธุ์ทาสอย่างชุดของนายอภิสิทธิ์-นายสุเทพ-นายชวน และเขาก็พร้อมฆ่าเหมือนกับที่ฆ่ามาแล้วตลอดเส้นทางสายอำนาจที่ชโลมมาด้วย เลือด
ไม่ว่าประชาชนจะถามคำถามอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธหรือไม่ก็ตาม ไม่มีความหมายสำหรับเขา
ครับ ความตายในวัดหลวง ก็คือ ความตายในรัฐหลวง นั่นเอง
“เลือด หยดรดถนน คือเลือดข้นคนเสื้อแดง
บทเรียนราคาแพง จี้ระบอบตอบคำถาม
อภิสิทธิ์ คนเดียวหรือ ควรลุกฮือควรติดตาม
เชื้อร้ายโรคลุกลาม ทั่วโคตรพงศ์และวงศา
คนไทยไม่มืดบอด ไม่หลุดรอดจากสายตา
คน ยิงก็เพียงหมา เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง
เกิดซ้ำและเกิดซาก ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง
จากเตียงส่งเสียงยิง ดับญาติตนไม่สนใจ
อย่า ร้องอย่างขี้ข้า ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่
เจ้าของคือผองไทย เลิกครรลองขอร้องมาร
เลือดนี้มีความหมาย เฮือกสุดท้ายเราพ้นผ่าน
“เหมาะ สมล้มกระดาน สร้างรัฐหลวงของปวงชน”
สงครามเพิ่งจะเริ่ม ต้นขึ้นเท่านั้นเองครับ....
****************************************************
ที่มา คอลัมน์ ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์
ใครปรารถนาจะเรียกสถานการณ์ระหว่างวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และต่อเนื่องหลายวันหลังจากนั้นว่า เหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การเข้าล้อมปราบ การยุติภาวะจลาจล การบังคับใช้กฎหมาย หรือการกระชับวงล้อม ซึ่งเป็นคำฮิตล่าสุดของผู้เป็นรัฐนั้น ก็จงใช้ไป แต่เพื่อนพี่น้องทุกคนและตัวผมที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยชีวิตและ จิตวิญญาณ จนหลายคนกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว จะไม่ใช้คำนี้ เพราะเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างเลวร้ายเหมือนเดรัจฉาน
สิ่งที่เกิดนั้น เรียกได้อย่างเดียวว่า การสังหารหมู่ (massacre)
ท่านผู้ใดเห็นด้วย กับสิ่งที่ผมจะได้เขียนต่อไปนี้ ได้โปรดพิจารณาใช้คำเดียวกันนี้ตลอดไป เพื่อตีตราบาปไว้บนหน้าผากของมหาอำมาตย์ใหญ่ที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง ไม่ให้หลุดรอดไปจากสายตาของเราและของโลกได้ นี่คือขั้นแรกของการชำระความเลวร้ายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเราจะกระทำโดยพลันและอย่างต่อเนื่อง
แม้หลังความตายของผู้ก่อบาป ซึ่งวันหนึ่งก็จะเกิดขึ้น เราก็จะตีตราบาปต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดมหาอำมาตย์สายพันธุ์เดียวกันนี้ในสังคม ไทยได้อีก
การไล่ฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยมรุนแรง โดยใช้อาวุธสงครามและผู้ชำนาญการฆ่านั้น ความจริงเกิดขึ้นโดยทั่วไปในกรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัด ซึ่งเรากำลังรวบรวมหลักฐานทั้งหมดก่อนที่จะถูกทำลายเหมือนศพพี่น้องของเราใน วันนั้น
แต่การสังหารหมู่ประชาชนด้วยเจตนาที่ชัดเจนที่สุด จนนำมาบันทึกเอาไว้ได้ว่าแสดงสัญลักษณ์แห่งระบอบปัจจุบันอย่างไม่มีทางพลิก พลิ้วเป็นอื่นได้นั้น คือในวัดปทุมวนารามฯ
วัดที่ในวันนั้นถูกแปลง โฉมเป็นศูนย์พยาบาลฉุกเฉินกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะฝ่ายใดนี่ล่ะครับ
วัด เดียวกับที่ประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นเขตอภัยทาน เป็นที่หลบภัยของผู้ที่ได้รับความลำบากเดือดร้อน ไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตใดๆ นี่ล่ะครับ
วัดที่ตั้งอยู่ระหว่างห้างสรรพสินค้าหลายแห่งของชนชั้น สูงทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิร์ลด์ และติดกับวังสระปทุมนี่ล่ะครับ
นี่คือสถานที่ที่ทหารพร้อมอาวุธกรู เข้ามาทั้งจากด้านบน คือรางรถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างที่ร่ำลือกันมาตลอด และจากภาคพื้น ตะโกนจนได้ยินทั่วกันว่า พวกมึงรกโลก กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด
จาก นั้นก็ระดมยิงใส่เหมือนคนบ้า
ด้วยความที่เป็นศูนย์พยาบาล คนที่ตาย บาดเจ็บ และต้องหนีตายอย่างสุดชีวิต ก็คือพระ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข และคนเจ็บที่ถูกทำร้ายมาแล้วรอบหนึ่ง
จำนวนจึง ไม่ใช่หกหรือแปด แต่เป็นจำนวนมากอย่างน่าใจหาย
“เก่ง” อาสาสมัครที่ประกาศตัวเองผ่านคลิปสำคัญว่า ไม่ใช่เสื้อแดง แต่มาช่วยเพราะเป็นหน่วยกู้ชีพ เล่าด้วยเสียงสะเทือนใจว่า แม้แต่น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประท้วงต่อต้านฝ่ายทหาร แต่ยืนทำแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บอยู่ภายใน ก็ยังถูกยิงจนขาดใจตายอยู่ในวัดปทุมฯ
ผม เชื่อว่าการสังหารหมู่ในครั้งนี้ โดยเฉพาะที่วัดปทุมฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนสังคมไทยอย่างที่หลายคนยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้
อาจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เคยวิพากษ์ไว้ว่า ผมเขียนหนังสือเชิงอุปลักษณ์ อยากจะให้เขียนชี้ชัดลงไปแบบวิชาการ เพราะจะเป็นประโยชน์โดยตรงมากกว่า ซึ่งผมก็รับความเห็นไว้ด้วยความเคารพ
แต่ “อุปลักษณ์” ในกรณีวัดปทุมวนารามนี่ล่ะครับ ชี้เปรี้ยงลงไปยังปัญหาหัวใจของการเมืองและการกดขี่ข่มเหงประชาชนได้ดีกว่า งานเขียนทางวิชาการที่ต้องใช้ปัญญาทางสมองมากเหลือเกินกว่าที่จะสื่อสารกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไร้อาวุธ และไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ และพระสงฆ์ผู้กำลังครองผ้ากาสาวพัสต์ เขาวิ่งเข้าวัดเพราะเคยรู้มาว่าวัดเป็นที่พึ่งของคนยาก วัดจะไม่ปฏิเสธคนที่กำลังมีทุกข์ ยิ่งเป็นพระอารามหลวง หรือวัดหลวง ซึ่งเชื่อมโยงใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ก็คงจะไม่คิดทำร้ายเข่นฆ่าใคร เขาก็วิ่งเข้าไปพึ่งพาด้วยความศรัทธาที่เต็มเปี่ยม
ครับ แล้วเขาก็ถูกฆ่าอย่างทารุณที่สุดบนธรณีสงฆ์ของวัดหลวงนั่นเอง
ศพที่ นอนเกลื่อนอยู่นั้น มีทั้งหญิง ชาย เด็ก คนเฒ่าคนแก่ พระสงฆ์ และนักข่าวต่างประเทศ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ล่วงลับ ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างศรัทธาในพระศาสนาและสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างสูง คนหนึ่ง เขียนไว้ในนวนิยาย “หลายชีวิต” ว่า คนที่มาตายพร้อมกันเพราะเรือล่มลงหลังออกจากท่าที่บ้านแพนท่ามกลางลมพายุ นั้น เขาทำบาปกรรมอะไรร่วมกันมาหรือ จึงมาตายพร้อมกันอย่างนี้
ผม ซึ่งอ่านหนังสือของนักเขียนผู้นี้ด้วยความรักลุ่มหลงมาเนิ่นนาน นำคำถามนี้มาคิดใคร่ครวญต่อจนกระทั่งบัดนี้ ก็เพิ่งจะได้คำตอบจากการสังหารหมู่ในวัดปทุมวนารามเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
เขา ต้องสูญเสียชีวิตลงพร้อมกันโดยมิใช่เหตุธรรมชาติ และมิได้ประกอบกรรมทำชั่วใดๆ ในขณะนั้นเลย ก็เพราะเขาอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์
นั่น ล่ะครับคือสิ่งที่ เขามี เขาเป็น ร่วมกัน
คำว่า “รกโลก” ที่ทหารตะโกนเอากำลังใจก่อนจะลงมือฆ่า สะท้อนอย่างชัดเจนที่สุดว่าเขาบนนั้นไม่เอาประชาชนคนใดก็ตามที่บังอาจตั้ง คำถามเกี่ยวกับอำนาจอันล้นพ้นของเขา ที่ใช้ผ่านรัฐบาลพันธุ์ทาสอย่างชุดของนายอภิสิทธิ์-นายสุเทพ-นายชวน และเขาก็พร้อมฆ่าเหมือนกับที่ฆ่ามาแล้วตลอดเส้นทางสายอำนาจที่ชโลมมาด้วย เลือด
ไม่ว่าประชาชนจะถามคำถามอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธหรือไม่ก็ตาม ไม่มีความหมายสำหรับเขา
ครับ ความตายในวัดหลวง ก็คือ ความตายในรัฐหลวง นั่นเอง
“เลือด หยดรดถนน คือเลือดข้นคนเสื้อแดง
บทเรียนราคาแพง จี้ระบอบตอบคำถาม
อภิสิทธิ์ คนเดียวหรือ ควรลุกฮือควรติดตาม
เชื้อร้ายโรคลุกลาม ทั่วโคตรพงศ์และวงศา
คนไทยไม่มืดบอด ไม่หลุดรอดจากสายตา
คน ยิงก็เพียงหมา เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง
เกิดซ้ำและเกิดซาก ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง
จากเตียงส่งเสียงยิง ดับญาติตนไม่สนใจ
อย่า ร้องอย่างขี้ข้า ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่
เจ้าของคือผองไทย เลิกครรลองขอร้องมาร
เลือดนี้มีความหมาย เฮือกสุดท้ายเราพ้นผ่าน
“เหมาะ สมล้มกระดาน สร้างรัฐหลวงของปวงชน”
สงครามเพิ่งจะเริ่ม ต้นขึ้นเท่านั้นเองครับ....
****************************************************
คุมตัว "สมยศ-สุธาชัย" ไว้ค่ายอดิศร 7 วัน อ้างไม่ผิดถึงปล่อย
สมยศ-สุธาชัย เดินทางเข้ามอบตัว ก่อนถูกควบคุมตัวไปที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี โดยเบื้องต้นจะควบคุมตัวไว้ 7 วัน
วันนี้ (24 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red News และ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับ 8 ของ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รรท.ผบก.ป. ในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับ ในความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11 (1) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
พล.ต.ท.ไถง กล่าวว่า การเดินทางมาของบุคคลทั้งสองไม่ใช่เป็นการควบคุมตัว แต่เป็นการเชิญตัวมาสอบถามความเห็นถึงพฤติกรรมในการชุมนุมที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้จะควบคุมตัวไปที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี โดยเบื้องต้นจะควบคุมตัวไว้ 7 วัน ทั้งนี้หากสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พรก.ฉุกเฉิน ก็อาจจะปล่อยตัวไป
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
วันนี้ (24 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red News และ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับ 8 ของ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รรท.ผบก.ป. ในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับ ในความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11 (1) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
พล.ต.ท.ไถง กล่าวว่า การเดินทางมาของบุคคลทั้งสองไม่ใช่เป็นการควบคุมตัว แต่เป็นการเชิญตัวมาสอบถามความเห็นถึงพฤติกรรมในการชุมนุมที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้จะควบคุมตัวไปที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี โดยเบื้องต้นจะควบคุมตัวไว้ 7 วัน ทั้งนี้หากสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พรก.ฉุกเฉิน ก็อาจจะปล่อยตัวไป
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
เดินหน้า “ปรองดองแบบอภิสิทธิ์” (อย่าให้คนเสื้อแดงชนะเราด้วยการเลือกตั้ง!)
“ผมไม่นึกไม่ฝันว่า เรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนถึงขั้นเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสแล้ว เรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้”
(คำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกร้อง “ความรับผิดชอบจากรัฐบาล นายสมชาย วงสวัสดิ์
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 – มติชน,24 พ.ค.53 หน้า 3)
ร่วม 80 ศพ กับบาดเจ็บอีกกว่า 1,000 คน อภิสิทธิ์รับผิดชอบอะไร? เขาแยกแยะให้เห็นหรือยังว่าใน 80 ศพ และในกว่า 1,000 คน ที่บาดเจ็บ มีผู้ก่อการร้ายกี่คน? ผู้บริสุทธิ์กี่คน? เขาเคยแม้แต่จะกล่าว “ขอโทษ” ญาติมิตรของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตหรือไม่?
เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่นักการเมืองรุ่นใหม่ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เป็นนักการเมืองอาชีพ มีประสบการณ์มานาน จะแสดงออกต่อสาธารณะถึงความมี “อภิมหาสองมาตรฐาน” ใน “ความรัฐผิดชอบ” ของรัฐบาลอย่างไร้ยางอายเช่นนี้!
และยิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อขึ้นไปอีก ที่ประชาชนในประเทศนี้ยังยินยอมให้อภิสิทธิ์เป็น “พระเอก” เดินหน้าต่อไปในการปราบผู้ก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า และเป็นผู้นำในแผนปรองดอง 5 ข้อ หรือ “ปฏิรูปสื่อ” และ “ปฏิรูปประเทศไทย”
ทั้งที่เขา “อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม” กับประชาชนอีกหลายล้านคน ทั้งที่เขาปิดสื่อมากกว่ารัฐบาลเผด็จการทหาร ทั้งที่เขาล้มเหลวในนโยบายสมานฉันท์ การแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองด้วยสันติวิธี และทั้งที่เขาเป็นผู้นำรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กองทัพแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติ “ยกระดับ” เป็นสงครามกลางเมือง (โดยที่คาดการณ์ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วถึงแนวทางปฏิบัติของตนว่าจะนำไปสู่การ “ยกระดับ” ดังกล่าว)
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ เสียงเรียกร้องจาก ปัญญาชน นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย (แม่งไม่อยากพูดถึงเลย!) สื่อมวลชนในไทย (สื่อต่างชาติยังมี “ท่าที” เรียกร้องมากกว่า) และภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม ให้อภิสิทธิ์ลาออกหรือยุบสภากลับค่อยๆ แผ่วลงและเลือนหายไป!
เสมือนว่า “ชนชั้นนำทางปัญญา” ของประเทศนี้ต้องมนต์สะกดของ “เสธ.ไก่อู” ว่า ขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงได้ยกระดับเป็น “ขบวนการก่อการร้าย” และเป็น “ขบวนการล้มเจ้า” อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว! และคนเสื้อแดงที่ตายไปนั้นก็เพราะถูก “กองกำลังก่อการร้ายของคนเสื้อแดงยิงคนเสื้อแดงด้วยกันเอง” (เท่านั้น?)
และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าความน่าอัศจรรย์ทั้งปวง คือ เป็นไปได้อย่างไรครับ ที่ความมั่นคงของรัฐบาลใน พ.ศ.นี้ จะอิงอยู่กับการ “ค้ำยัน” ของสถาบันกษัตริย์และกองทัพล้วนๆ?
ไหนพูดกันมาหลายสิบปีว่า ประเทศนี้ประชาธิปไตยก้าวหน้ามากขึ้นแล้ว การเมืองภาคประชาชน หรือการเมืองแบบตรวจสอบแบบมีส่วนร่วมเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ณ วันนี้พลังการตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ หายไปไหน?
หรือว่า “ชนชั้นนำทางปัญญา” ในประเทศนี้ ก็แค่เอาแต่ “พูดแบบอภิสิทธิ์” (หมายถึง วิธีพูดที่ดูดีมีหลักการแต่ความเป็นจริงกับสิ่งที่พูดตรงข้ามกันราว “หน้ามือกับหลังตีน”) เท่านั้น!
ในสายตาของคนเสื้อแดงมีแต่คนที่ “พูดแบบอภิสิทธิ์” เท่านั้น ที่เต็มใจเข้าร่วม “แผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์” แล้วก็ร่วม “ปฏิรูปสื่อ/ปฏิรูปประเทศแบบอภิสิทธิ์” คนเหล่านี้แสดง “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ต่อคนเสื้อแดงว่า พวกเขามาชุมนุมเพราะมีปัญหาความยากจน และเขายากจนเพราะสังคมมีความเหลื่อมล้ำมานาน แต่ความเหลื่อมล้ำมันเป็นข้อเท็จจริงของทุกสังคม ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง จะแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องใช้เวลาอีกนาน
แต่คนเสื้อแดงไม่ต้องการ “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ซึ่งไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร? คำตอบของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำคืออะไร? เกือบค่อนร้อยปีของพรรคประชาธิปัตย์ เคยมีนโยบายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไหม? นอกจากโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่อง “บังคับใช้กฎหมาย” ด้วยการไล่คนจนออกจากที่ทำกิน (ไม่เคยไล่นายทุนบุกรุกป่าแม้แต่รายเดียว) แจก สปก.4-01 ให้คนรวย และด้วยการรักษา “นิติรัฐ” จนคนตายเป็นเบือ เกิดความแตกแยกร้าวลึกถึง “จิตวิญญาณ” ของคนระดับล่างอย่างไม่ไม่เคยปรากฏมาก่อน!
คนเสื้อแดงไม่ได้มาร้องขอ “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” เขามาทวงคืนอำนาจที่เท่าเทียม สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียม เขาต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด นั่นคือ “กระบวนการเลือกตั้ง” ที่เขาจะสามารถเลือกพรรคการเมืองที่เห็นว่าเสนอนโยบายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดีที่สุด เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และติดตามประเมินผลได้จากผลงานของรัฐบาลที่เขาเลือก
“เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ที่แสดงออกด้วย “วิธีพูดแบบอภิสิทธิ์” เช่น “ขอคืนพื้นที่/กระชับพื้นที่/ปรองดอง สมานฉันท์” ด้วยการใช้ “กระสุนจริง” จนญาติพี่น้องมิตรสหายของเขาต้องตายเป็นเบือนั้น คนเสื้อแดงไม่ต้องการ!
เพราะจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไรว่า เหล่าบรรดา “ผู้นำทางปัญญา” ของประเทศนี้ที่ล้วนแต่นิยมจริต “วิธีพูดแบบอภิสิทธิ์” ที่เข้าร่วมขบวนเมตตาธรรมและแผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์นั้น ในที่สุดแล้วจะไม่ทำกันได้แค่ “ผสมพันทางความคิดแบบอภิสิทธิ์” แล้วก็คลอด “แผนแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแบบอภิสิทธิ์” ที่ดูดีมีหลักการแต่ไร้ค่าในทางความเป็นจริง และทางการปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม!
ผมไม่นึกไม่ฝันว่า ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ โดยเฉพาะเหล่าบรรดา “ผู้นำทางปัญญา” ของประเทศนี้ จะยังหลับหูหลับตารับรองความชอบธรรมของ “รัฐบาลแบบอภิสิทธิ์” (รัฐบาลที่เป็นศัตรูกับประชาชนที่ต้องการฟื้นศรัทธาต่อ “ระบบการเลือกตั้ง”) ส่งเสียงเชียร์ และร่วมเดินหน้าไปกับ “แผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์” อย่างว่านอนสอนง่าย!
ในขณะที่คนเหล่านั้นต่างชายตามองความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดงอย่างรู้สึกโล่งอก แกมสมเพช หรืออาจสะใจ แต่ยังอุตส่าห์แสดง “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ออกมาว่า พวกเราควรเห็นใจคนจน ต้องปฏิรูประเทศ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ! (แต่อย่ารีบให้อำนาจคนเสื้อแดงเป็นอันขาด อย่าให้พวกเขาได้เลือกตั้งง่ายๆนะ “อย่าให้พวกเขาชนะเราด้วยการเลือกตั้ง!”)
โดย.นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา.ประชาไท
---------------------------------------------------
(คำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกร้อง “ความรับผิดชอบจากรัฐบาล นายสมชาย วงสวัสดิ์
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 – มติชน,24 พ.ค.53 หน้า 3)
ร่วม 80 ศพ กับบาดเจ็บอีกกว่า 1,000 คน อภิสิทธิ์รับผิดชอบอะไร? เขาแยกแยะให้เห็นหรือยังว่าใน 80 ศพ และในกว่า 1,000 คน ที่บาดเจ็บ มีผู้ก่อการร้ายกี่คน? ผู้บริสุทธิ์กี่คน? เขาเคยแม้แต่จะกล่าว “ขอโทษ” ญาติมิตรของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตหรือไม่?
เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่นักการเมืองรุ่นใหม่ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เป็นนักการเมืองอาชีพ มีประสบการณ์มานาน จะแสดงออกต่อสาธารณะถึงความมี “อภิมหาสองมาตรฐาน” ใน “ความรัฐผิดชอบ” ของรัฐบาลอย่างไร้ยางอายเช่นนี้!
และยิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อขึ้นไปอีก ที่ประชาชนในประเทศนี้ยังยินยอมให้อภิสิทธิ์เป็น “พระเอก” เดินหน้าต่อไปในการปราบผู้ก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า และเป็นผู้นำในแผนปรองดอง 5 ข้อ หรือ “ปฏิรูปสื่อ” และ “ปฏิรูปประเทศไทย”
ทั้งที่เขา “อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม” กับประชาชนอีกหลายล้านคน ทั้งที่เขาปิดสื่อมากกว่ารัฐบาลเผด็จการทหาร ทั้งที่เขาล้มเหลวในนโยบายสมานฉันท์ การแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมืองด้วยสันติวิธี และทั้งที่เขาเป็นผู้นำรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กองทัพแก้ปัญหาการเมือง จนทำให้ความขัดแย้งทางความคิดของคนในชาติ “ยกระดับ” เป็นสงครามกลางเมือง (โดยที่คาดการณ์ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วถึงแนวทางปฏิบัติของตนว่าจะนำไปสู่การ “ยกระดับ” ดังกล่าว)
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ เสียงเรียกร้องจาก ปัญญาชน นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย (แม่งไม่อยากพูดถึงเลย!) สื่อมวลชนในไทย (สื่อต่างชาติยังมี “ท่าที” เรียกร้องมากกว่า) และภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม ให้อภิสิทธิ์ลาออกหรือยุบสภากลับค่อยๆ แผ่วลงและเลือนหายไป!
เสมือนว่า “ชนชั้นนำทางปัญญา” ของประเทศนี้ต้องมนต์สะกดของ “เสธ.ไก่อู” ว่า ขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงได้ยกระดับเป็น “ขบวนการก่อการร้าย” และเป็น “ขบวนการล้มเจ้า” อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว! และคนเสื้อแดงที่ตายไปนั้นก็เพราะถูก “กองกำลังก่อการร้ายของคนเสื้อแดงยิงคนเสื้อแดงด้วยกันเอง” (เท่านั้น?)
และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าความน่าอัศจรรย์ทั้งปวง คือ เป็นไปได้อย่างไรครับ ที่ความมั่นคงของรัฐบาลใน พ.ศ.นี้ จะอิงอยู่กับการ “ค้ำยัน” ของสถาบันกษัตริย์และกองทัพล้วนๆ?
ไหนพูดกันมาหลายสิบปีว่า ประเทศนี้ประชาธิปไตยก้าวหน้ามากขึ้นแล้ว การเมืองภาคประชาชน หรือการเมืองแบบตรวจสอบแบบมีส่วนร่วมเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ณ วันนี้พลังการตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ หายไปไหน?
หรือว่า “ชนชั้นนำทางปัญญา” ในประเทศนี้ ก็แค่เอาแต่ “พูดแบบอภิสิทธิ์” (หมายถึง วิธีพูดที่ดูดีมีหลักการแต่ความเป็นจริงกับสิ่งที่พูดตรงข้ามกันราว “หน้ามือกับหลังตีน”) เท่านั้น!
ในสายตาของคนเสื้อแดงมีแต่คนที่ “พูดแบบอภิสิทธิ์” เท่านั้น ที่เต็มใจเข้าร่วม “แผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์” แล้วก็ร่วม “ปฏิรูปสื่อ/ปฏิรูปประเทศแบบอภิสิทธิ์” คนเหล่านี้แสดง “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ต่อคนเสื้อแดงว่า พวกเขามาชุมนุมเพราะมีปัญหาความยากจน และเขายากจนเพราะสังคมมีความเหลื่อมล้ำมานาน แต่ความเหลื่อมล้ำมันเป็นข้อเท็จจริงของทุกสังคม ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง จะแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องใช้เวลาอีกนาน
แต่คนเสื้อแดงไม่ต้องการ “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ซึ่งไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร? คำตอบของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำคืออะไร? เกือบค่อนร้อยปีของพรรคประชาธิปัตย์ เคยมีนโยบายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำไหม? นอกจากโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่อง “บังคับใช้กฎหมาย” ด้วยการไล่คนจนออกจากที่ทำกิน (ไม่เคยไล่นายทุนบุกรุกป่าแม้แต่รายเดียว) แจก สปก.4-01 ให้คนรวย และด้วยการรักษา “นิติรัฐ” จนคนตายเป็นเบือ เกิดความแตกแยกร้าวลึกถึง “จิตวิญญาณ” ของคนระดับล่างอย่างไม่ไม่เคยปรากฏมาก่อน!
คนเสื้อแดงไม่ได้มาร้องขอ “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” เขามาทวงคืนอำนาจที่เท่าเทียม สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นคนที่เท่าเทียม เขาต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด นั่นคือ “กระบวนการเลือกตั้ง” ที่เขาจะสามารถเลือกพรรคการเมืองที่เห็นว่าเสนอนโยบายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดีที่สุด เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และติดตามประเมินผลได้จากผลงานของรัฐบาลที่เขาเลือก
“เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ที่แสดงออกด้วย “วิธีพูดแบบอภิสิทธิ์” เช่น “ขอคืนพื้นที่/กระชับพื้นที่/ปรองดอง สมานฉันท์” ด้วยการใช้ “กระสุนจริง” จนญาติพี่น้องมิตรสหายของเขาต้องตายเป็นเบือนั้น คนเสื้อแดงไม่ต้องการ!
เพราะจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไรว่า เหล่าบรรดา “ผู้นำทางปัญญา” ของประเทศนี้ที่ล้วนแต่นิยมจริต “วิธีพูดแบบอภิสิทธิ์” ที่เข้าร่วมขบวนเมตตาธรรมและแผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์นั้น ในที่สุดแล้วจะไม่ทำกันได้แค่ “ผสมพันทางความคิดแบบอภิสิทธิ์” แล้วก็คลอด “แผนแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำแบบอภิสิทธิ์” ที่ดูดีมีหลักการแต่ไร้ค่าในทางความเป็นจริง และทางการปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม!
ผมไม่นึกไม่ฝันว่า ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ โดยเฉพาะเหล่าบรรดา “ผู้นำทางปัญญา” ของประเทศนี้ จะยังหลับหูหลับตารับรองความชอบธรรมของ “รัฐบาลแบบอภิสิทธิ์” (รัฐบาลที่เป็นศัตรูกับประชาชนที่ต้องการฟื้นศรัทธาต่อ “ระบบการเลือกตั้ง”) ส่งเสียงเชียร์ และร่วมเดินหน้าไปกับ “แผนปรองดองแบบอภิสิทธิ์” อย่างว่านอนสอนง่าย!
ในขณะที่คนเหล่านั้นต่างชายตามองความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดงอย่างรู้สึกโล่งอก แกมสมเพช หรืออาจสะใจ แต่ยังอุตส่าห์แสดง “เมตตาธรรมแบบอภิสิทธิ์” ออกมาว่า พวกเราควรเห็นใจคนจน ต้องปฏิรูประเทศ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ! (แต่อย่ารีบให้อำนาจคนเสื้อแดงเป็นอันขาด อย่าให้พวกเขาได้เลือกตั้งง่ายๆนะ “อย่าให้พวกเขาชนะเราด้วยการเลือกตั้ง!”)
โดย.นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา.ประชาไท
---------------------------------------------------
โลกที่เปลี่ยน กับ อำนาจที่แสวงหา
ฉั๊วะ...ฉั๊วะ...ฉั๊วะ นี่คือเสียงการ “ฟาดฟันอาวุธ” อย่างต่อเนื่อง...ภายหลังรัฐบาลมีคำสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาเกือบทุกชั่วโมงรัฐบาลต้องให้ ศอฉ.ออกมานั่งเรียงหน้าแถลงการณ์...และเกือบทุกๆ 5 นาทีจะต้องมี “ตัวอักษรวิ่ง” ขึ้นอยู่บนหน้าจอทีวีสิ่งเหล่านี้คือการ “เก็บกวาด” และ “ทำความสะอาด” เพื่อให้ “ความผิด” ถูกสาวไปถึงตัวผู้บงการให้น้อยที่สุดสื่อ
ทุกสื่อ...ออกข่าวความเสียหายของตึกรามบ้านช่อง...รวมถึงสถานที่ต่างๆ แต่กับอีกหลายๆ ชีวิต “ไม่เคยกล่าวถึง” หรือเป็นเพราะการถูกพูดกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผู้เสียชีวิต คือ “ผู้ก่อการร้าย” ทำให้คนที่รับสื่อเพียง “ด้านเดียว” เกิดอาการ เออ...ออ...ห่อหมก ไปกับรัฐบาลทั้งที่ความเคลือบแคลงและน่า
สงสัยต่างๆ นานา...พวกเขาก็อยาก “นำเสนอข้อเท็จจริง” เช่นเดียวกัน...เพียงแต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะ “ถูกปิดกั้น”กี่เว็บไซต์ที่ถูกปิด...กี่สถานีโทรทัศน์และวิทยุที่ถูกระงับซึ่งมีหลายคนพูดกันว่า...ในเมื่อเรื่องราวมันไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมไม่นำข้อมูลตรงนั้นมาเปิดเผย...ซึ่งผู้ฟังคำถามคงตอบกลับไปได้
เพียงว่า “อยากสิ” แต่ทำไม่ได้คลิปวิดีโอของ ศอฉ. 10 คลิป...เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลและภาพถ่ายของผู้ร่วมชุมนุมที่อยู่ใน “สถานการณ์จริง”มันมีไม่ถึงแม้ “เศษเสี้ยว” ของความเป็นจริงทั้งหมดเสียด้วยซ้ำนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการใช้ยุทธวิธี “จิตวิทยา” ให้ข้อมูลกับประชาชนซ้ำไปซ้ำมา...เพื่อ “สลาย
ความคิด” ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับทางรัฐบาลวันนี้จึงไม่วายที่ “นักรบไซเบอร์” ต้องทำงานกันอย่างหนักและ “ขะมักเขม้น” เพราะโลกอินเตอร์เน็ตถือได้ว่า “กว้างใหญ่” เป็นอนันต์โดยเฉพาะการ “บล็อกเว็บไซต์” ยังถือเป็นเรื่องยากของผู้มีอำนาจที่จะเข้าไปควบคุม...เพราะมันสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ “ทุก
วินาที”ว่ากันว่าเว็บไซต์ทั่วโลก...หากให้คนหนึ่งคนนั่งเปิดดูผ่านๆ จนครบทุกเว็บไซต์โดยไม่ลุกไปไหน...จะต้องใช้เวลายาวนานถึง “6 ชั่วอายุคน”หากผู้มีอำนาจ “มีใจนักเลง” เล่นกันแฟร์ๆ ให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน...ทำไมจะต้อง “ประหวั่นพรั่นพรึง” กับข้อมูลอีกด้านที่มีผู้ต้องการนำมา
เสนอ เพื่อให้เกิดการ “วิเคราะห์วิจารณ์” ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จวันนี้การที่เกิด “ม็อบเสื้อแดง” ก็เพราะโลกทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไป...ซึ่งผิดกับผู้มีอำนาจในประเทศนี้บางคนที่ยังคงเชื่อ และจะเชื่อต่อไปว่าพวกเขาสามารถ “ควบคุม” คนของเขาด้วยระบบและวิธีการเดิมๆกี่ครั้งแล้วที่ประชาชนออกมา
เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” และได้เรียนรู้จากความผิดพลาด กระทั่งนำมาพัฒนาเป็นความรู้ในการต่อสู้ครั้งใหม่ดังนั้น การต่อสู้ทางการเมืองของ “ประชาชน” มันจะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปจนกระทั่งพวกเขามั่นใจว่าบ้านเมืองนี้เป็นของพวกเขา...ไม่ใช่ของใครบางคน หรือของคนบางกลุ่มถึงวันนี้
จึงมีโจทย์ให้ผู้มีอำนาจต้องคิดหนัก...เพราะการ “แสวงหาอำนาจ” ไม่ว่าจะยุคสมัยใดย่อมใช้วิธีการเดิมๆ แต่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อำนาจเหล่านี้ “ไม่คงทน”มีเงิน...มีอาวุธ...มีลูกน้อง หากบุคคลใดมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน...ย่อมแสวงหาอำนาจได้ไม่ยาก...แต่สำหรับคนไทยคง “เข็ดหลาบหยาบจำ” กับ
คนพวกนี้จนอยาก “ยี้” ไปไกลๆเพราะแม้แต่คำพูดของผู้มีอำนาจยังเป็นสิ่งเชื่อถือไม่ได้...เพราะเป็นการพูดเพื่อ “ผลประโยชน์” ชิงไหวชิงพริบทางการเมือง“ดาวรุ่ง รัตนพยากรณ์” จากหนังสือแลใต้ ได้เขียนถึง “ความลับ” เกี่ยวกับอำนาจไว้ว่า... ...ไม่มีเจ้าพ่อคนใดที่จะไม่ถูกท้าทายอำนาจ ไม่ว่าจะควบคุมบ้าน
เมืองได้เบ็ดเสร็จเพียงใดก็ตาม เจ้าพ่อส่วนใหญ่ จึงไม่ตายดีสักคน คนที่ตายดีส่วนใหญ่จะเข้าใจธรรมชาติของอำนาจที่ต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป จัดระยะห่าง กับศูนย์กลางอำนาจอื่นๆ ได้เหมาะสม ยามใดที่มีความไม่เหมาะสมเกิดขึ้น...เจ้าพ่อจะฆ่ากันเพราะล้ำเส้นกัน...การใช้อำนาจทางการ
เมืองการปกครองมายาวนานด้วยวิธีการ “รวมศูนย์อำนาจ” รัฐบาลจะเห็นบ้างหรือไม่ว่า ถ้ารวมศูนย์ต่อไปจะอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชน เจ้าของอำนาจไม่ยินยอม... ...อำนาจจะยิ่งใหญ่ขนาดใดก็ตาม จะเบ็ดเสร็จขนาดใดก็ตาม คนใช้อำนาจยังใช้มันได้อยู่ ตราบเท่าที่คนที่ถูกใช้อำนาจยอมรับ วันใดที่คนถูกใช้
อำนาจไม่ยอมรับ...คนที่ใช้อำนาจจะไม่มีอำนาจอีกต่อไป ไม่ว่าประเพณี วัฒนธรรมหรือกฎหมาย ให้อำนาจไว้ ขนาดใดก็ตาม...เห็นชัดเจนใช่ผลพวงของการ “ใช้อำนาจ” ด้วยแผนกระชับพื้นที่ และการขอพื้นที่คืน...ทำให้ “ผู้มีอำนาจ”ทั้งหลายต้องอยู่แต่ในพื้นที่ที่ถูกกระชับเวรกรรมตามทัน “ติดจรวด” จริงๆ
โดย.เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************
ทุกสื่อ...ออกข่าวความเสียหายของตึกรามบ้านช่อง...รวมถึงสถานที่ต่างๆ แต่กับอีกหลายๆ ชีวิต “ไม่เคยกล่าวถึง” หรือเป็นเพราะการถูกพูดกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผู้เสียชีวิต คือ “ผู้ก่อการร้าย” ทำให้คนที่รับสื่อเพียง “ด้านเดียว” เกิดอาการ เออ...ออ...ห่อหมก ไปกับรัฐบาลทั้งที่ความเคลือบแคลงและน่า
สงสัยต่างๆ นานา...พวกเขาก็อยาก “นำเสนอข้อเท็จจริง” เช่นเดียวกัน...เพียงแต่ไม่สามารถกระทำได้เพราะ “ถูกปิดกั้น”กี่เว็บไซต์ที่ถูกปิด...กี่สถานีโทรทัศน์และวิทยุที่ถูกระงับซึ่งมีหลายคนพูดกันว่า...ในเมื่อเรื่องราวมันไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมไม่นำข้อมูลตรงนั้นมาเปิดเผย...ซึ่งผู้ฟังคำถามคงตอบกลับไปได้
เพียงว่า “อยากสิ” แต่ทำไม่ได้คลิปวิดีโอของ ศอฉ. 10 คลิป...เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลและภาพถ่ายของผู้ร่วมชุมนุมที่อยู่ใน “สถานการณ์จริง”มันมีไม่ถึงแม้ “เศษเสี้ยว” ของความเป็นจริงทั้งหมดเสียด้วยซ้ำนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการใช้ยุทธวิธี “จิตวิทยา” ให้ข้อมูลกับประชาชนซ้ำไปซ้ำมา...เพื่อ “สลาย
ความคิด” ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับทางรัฐบาลวันนี้จึงไม่วายที่ “นักรบไซเบอร์” ต้องทำงานกันอย่างหนักและ “ขะมักเขม้น” เพราะโลกอินเตอร์เน็ตถือได้ว่า “กว้างใหญ่” เป็นอนันต์โดยเฉพาะการ “บล็อกเว็บไซต์” ยังถือเป็นเรื่องยากของผู้มีอำนาจที่จะเข้าไปควบคุม...เพราะมันสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ “ทุก
วินาที”ว่ากันว่าเว็บไซต์ทั่วโลก...หากให้คนหนึ่งคนนั่งเปิดดูผ่านๆ จนครบทุกเว็บไซต์โดยไม่ลุกไปไหน...จะต้องใช้เวลายาวนานถึง “6 ชั่วอายุคน”หากผู้มีอำนาจ “มีใจนักเลง” เล่นกันแฟร์ๆ ให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน...ทำไมจะต้อง “ประหวั่นพรั่นพรึง” กับข้อมูลอีกด้านที่มีผู้ต้องการนำมา
เสนอ เพื่อให้เกิดการ “วิเคราะห์วิจารณ์” ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จวันนี้การที่เกิด “ม็อบเสื้อแดง” ก็เพราะโลกทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไป...ซึ่งผิดกับผู้มีอำนาจในประเทศนี้บางคนที่ยังคงเชื่อ และจะเชื่อต่อไปว่าพวกเขาสามารถ “ควบคุม” คนของเขาด้วยระบบและวิธีการเดิมๆกี่ครั้งแล้วที่ประชาชนออกมา
เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” และได้เรียนรู้จากความผิดพลาด กระทั่งนำมาพัฒนาเป็นความรู้ในการต่อสู้ครั้งใหม่ดังนั้น การต่อสู้ทางการเมืองของ “ประชาชน” มันจะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปจนกระทั่งพวกเขามั่นใจว่าบ้านเมืองนี้เป็นของพวกเขา...ไม่ใช่ของใครบางคน หรือของคนบางกลุ่มถึงวันนี้
จึงมีโจทย์ให้ผู้มีอำนาจต้องคิดหนัก...เพราะการ “แสวงหาอำนาจ” ไม่ว่าจะยุคสมัยใดย่อมใช้วิธีการเดิมๆ แต่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อำนาจเหล่านี้ “ไม่คงทน”มีเงิน...มีอาวุธ...มีลูกน้อง หากบุคคลใดมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน...ย่อมแสวงหาอำนาจได้ไม่ยาก...แต่สำหรับคนไทยคง “เข็ดหลาบหยาบจำ” กับ
คนพวกนี้จนอยาก “ยี้” ไปไกลๆเพราะแม้แต่คำพูดของผู้มีอำนาจยังเป็นสิ่งเชื่อถือไม่ได้...เพราะเป็นการพูดเพื่อ “ผลประโยชน์” ชิงไหวชิงพริบทางการเมือง“ดาวรุ่ง รัตนพยากรณ์” จากหนังสือแลใต้ ได้เขียนถึง “ความลับ” เกี่ยวกับอำนาจไว้ว่า... ...ไม่มีเจ้าพ่อคนใดที่จะไม่ถูกท้าทายอำนาจ ไม่ว่าจะควบคุมบ้าน
เมืองได้เบ็ดเสร็จเพียงใดก็ตาม เจ้าพ่อส่วนใหญ่ จึงไม่ตายดีสักคน คนที่ตายดีส่วนใหญ่จะเข้าใจธรรมชาติของอำนาจที่ต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป จัดระยะห่าง กับศูนย์กลางอำนาจอื่นๆ ได้เหมาะสม ยามใดที่มีความไม่เหมาะสมเกิดขึ้น...เจ้าพ่อจะฆ่ากันเพราะล้ำเส้นกัน...การใช้อำนาจทางการ
เมืองการปกครองมายาวนานด้วยวิธีการ “รวมศูนย์อำนาจ” รัฐบาลจะเห็นบ้างหรือไม่ว่า ถ้ารวมศูนย์ต่อไปจะอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชน เจ้าของอำนาจไม่ยินยอม... ...อำนาจจะยิ่งใหญ่ขนาดใดก็ตาม จะเบ็ดเสร็จขนาดใดก็ตาม คนใช้อำนาจยังใช้มันได้อยู่ ตราบเท่าที่คนที่ถูกใช้อำนาจยอมรับ วันใดที่คนถูกใช้
อำนาจไม่ยอมรับ...คนที่ใช้อำนาจจะไม่มีอำนาจอีกต่อไป ไม่ว่าประเพณี วัฒนธรรมหรือกฎหมาย ให้อำนาจไว้ ขนาดใดก็ตาม...เห็นชัดเจนใช่ผลพวงของการ “ใช้อำนาจ” ด้วยแผนกระชับพื้นที่ และการขอพื้นที่คืน...ทำให้ “ผู้มีอำนาจ”ทั้งหลายต้องอยู่แต่ในพื้นที่ที่ถูกกระชับเวรกรรมตามทัน “ติดจรวด” จริงๆ
โดย.เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ปรองดอง ต้องหยุดเหยียบซ้ำ!
“ปรองดอง” คำสั้นๆ แต่สาระสำคัญ และนัยยะแห่งภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำนั้น ลึกซึ้ง และหนักหน่วงยิ่งนักใครๆ ก็สามารถพูดพล่อยพูดโพล่งได้ ว่าจะปรองดอง แต่หากปราศจากความจริงใจ และความรู้สึกที่แท้จริงออกมาจากจิตใจแล้ว คำว่าปรองดองที่ออกจากปาก ย่อมไม่ได้ต่างไปจากเสียงลมที่ผายออกมา
เพียงเพื่อจะระบายความอึดอัดในท้องเท่านั้นหลังการตัดสินใจใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะของ ม.พัน 2 เข้าสลายการชุมนุม วันนี้ภาระหน้าที่ที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด ของทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และบรรดาคณะบุคคลแกนนำในศูนย์อำนวยการ
แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งหลายก็คือ การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้อย่างแท้จริง สร้างความสมานฉันท์ให้กลับคืนมาสู่ประเทศไทยให้ได้ด้วยสันติวิธีไม่ใช่การใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ สร้างความปรองดองแบบยัดเยียดหรือปิดประตูตีแมว อย่างที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วง... อย่างที่สำนักข่าว
ต่างประเทศวิเคราะห์กันออกไปทั่วโลกในขณะนี้เพราะแม้แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป ก็ยังแสดงความเป็นห่วงความขัดแย้งในไทยโดยได้มีการประชุมกันที่เมืองสตราสบูร์ก ทางตะวันออกของฝรั่งเศส ก่อนผ่านมติของที่ประชุม แสดงความเป็นห่วงความขัดแย้งในไทยและเน้นย้ำว่าการปะทะอย่างรุนแรง
ระหว่าง กลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ ถือเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยของไทย ขณะเดียวกันก็เรียกร้องรัฐบาลใช้กำลังเพียงแต่น้อยตามกฎระเบียบของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ ให้ปรับใช้วิธีการจากเบาไปหาหนัก และจักต้องใช้ความอดทนอดกลั้น ผ่อนหนักผ่อนเบาไปตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐสภา
แห่งอียู ยังได้มีการขอแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวไทยและเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักระหว่างเกิดเหตุรุนแรง พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลไทยให้รับประกันว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินจะไม่นำไปสู่ความ เข้มงวดในสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพส่วนบุคคล และขอให้ยุติการตรวจสอบและความเข้ม
งวดต่อสิทธิในการแสดงออก พร้อมกันนี้รัฐสภาแห่งอียูยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเริ่มเปิดเจรจากันเพื่อหาแนวทางแก้วิกฤติในปัจจุบัน โดยสันติและเป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ รัฐบาลไทย และคณะบุคคลใน ศอฉ. ควรจะต้องตระหนักและรับฟัง ไม่ใช่เพียงเพราะว่า กลุ่มประเทศอียูเป็น
กลุ่มประเทศคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย และไทยจำเป็นจะต้องพึ่งพาตลาดอียูในการส่งออกสินค้า เพื่อสร้างเม็ดเงินรายได้เข้าประเทศ หากถูกบอยคอตทางเศรษฐกิจขึ้นมาก็จะยุ่งแต่ที่สำคัญเป็นเพราะข้อเรียกร้องของรัฐสภาแห่งอียู เป็นหลักแห่งประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับ ดังนั้นการกระทำของ ศอฉ.
ที่แทบจะเรียกได้ว่า สวนคำขอของรัฐสภาแห่งอียู ที่ว่าให้ยุติการตรวจสอบและความเข้มงวดต่อสิทธิการแสดงออกของประชาชน กลับมีการออกประกาศ ศอฉ. ประกาศเพิ่มอีก 21 รายชื่อ ขึ้นบัญชีดำห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน ออกมาอีกระลอก จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากว่า
เป็นการเล่นไม่เลิก เพราะรายชื่อที่โดนกันอีก 21 คนนั้น เป็นชื่อที่ดูเหมือนว่า มีกระบวนการหรือใครบางคนที่เกี่ยวข้องโยงใยกับ ศอฉ. เจตนาจับยัดใส่เข้าไป เพื่อที่จะฉวยโอกาสทางการเมืองเป็นหลัก 21 รายชื่อที่โดนรอบนี้ประกอบด้วย นายศักดา อ้อพงษ์ นายพงศกร อรรณนพพร นางดาวแข อรรณนพ
พร นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร นายภูมิ สาระผล นายจตุพร เจริญเชื้อ นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร นายนรินทร์ จิตมหาวงศ์ นางสุพิชฌาย์ พัฒนะพันธุ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายวิบูลย์ แช่มชื่น นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ นางพรประภา สาคำ นายปลอดประสพ สุรัสสวดี พ.ต.
ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ นายวายุภักษ์ โนรี นายภาสกร หรือ สมนึก ศิริภักษ์นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเมธี อมรวุฒิกุล วิเคราะห์อย่างไรก็หนีไม่พ้นมุมในเรื่องของการเมือง ที่มองข้ามชอตไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้นั่นเอง ศอฉ. หรือใครก็ตามที่ฉวยโอกาสในการทำเรื่อง
นี้ หากหวังจะเตะตัดขาในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งขันของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ต้องถือว่าเป็นวิธีคิดที่ห่วยแตกมากๆ เพราะจะกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เองนั่นแหละที่จะเสียกับเสียในสายตาประชาชนและแผนปรองดอง ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งเดียวที่นายอภิสิทธิ์ สามารถใช้เป็นข้อ
แก้ต่าง ลดทอนความรู้สึกของสังคมในการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม จนกระทั่งมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ร่วมชุมนุมโดยสันติต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากแต่เมื่อมามีการฉวยโอกาสกระทืบซ้ำทางการเมืองเช่นนี้ ก็ได้แต่เป็นห่วงว่า คนที่ทำเรื่องนี้หวังดีกับนายอภิสิทธิ์ จริงๆหรือ???คอลัมน์
คาบลูกคาบดอก เขียนโดย หมัดเหล็ก ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 21พฤษภาคม 53 ที่ผ่านมา ได้ใช้ข้อคิดเตือนสติ ที่นายอภิสิทธิ์ไม่ควรจะมองข้าม นั่นก็คือ“แม้รัฐบาลจะสามารถสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ ได้ในที่สุด แม้แกนนำสามเกลอจะยอมมอบตัว แต่ก็ไม่สามารถที่จะ
รักษาความสงบเรียบร้อยทั้งประเทศเอาไว้ได้อยู่ดีสงครามไฟใต้ลุกลามอย่างไร แก้ไขยากอย่างไร แต่สงครามไฟกลางเมืองครั้งนี้ จะดับยากกว่านับสิบเท่า การชุมนุมต่อต้านของคนเสื้อแดงจะกระจายออกไปทั่วบริเวณ จะเป็นสงครามกองโจรจะมุดลงใต้ดิน!!สำนักข่าวต่างประเทศวิเคราะห์ไว้หลายสำนักว่า
รัฐบาลไม่มีทางชนะสงครามกลางเมืองครั้งนี้ หากรัฐบาลไทยตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ไม่เฉพาะอนาคตทางการเมืองของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้นที่จะต้องดับวูบแต่ความเลวร้ายจะตามมาอีกมากมายคำถามก็คือว่าถ้าคุณอภิสิทธิ์มั่นใจว่ายังเป็นที่นิยมของประชาชนส่วนใหญ่ ได้
รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ เหตุใดไม่ตัดสินใจลาออกหรือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งให้ประชาชนเจ้าของประเทศเป็นผู้ตัดสิน ทำไมจึงตัดสินใจรักษาอำนาจเอาไว้ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชน ทำไมจึงไม่ปฏิบัติตามวิถีของประชาธิปไตย แต่ยังใช้กำลังทหารเข้าปกป้องอำนาจเอาไว้
เช่นเดียวกับประเทศที่ปกครองโดยรัฐทหาร ซากปรักหักพังที่รัฐบาลเหยียบย่ำอยู่ยังพอรื้อฟื้นขึ้นมาได้ แต่ชีวิตประชาชนฟื้นไม่ได้”ซึ่งความน่ากลัวที่ หมัดเหล็กสะกิดเตือนเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้หยุดไม่เกิดขึ้นมาได้ หาก ศอฉ.เลือกที่จะใช้แนวทางปรองดองตามที่ทั่วโลก และทุกฝ่ายเรียกร้องนายดิเรก ถึง
ฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเมินสถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯว่า เชื่อว่าถึงแม้แกนนำ นปช.จะเข้ามอบตัวทั้งหมด แต่เหตุการณ์ต่างๆจะไม่จบด้วย ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถแสดงออกให้เห็นถึงหลักการ
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริงให้ประชาชนเห็น ซึ่งต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย“เคยเตือนรัฐบาลมาตลอดว่า การใช้กำลังจะสามารถระงับเหตุการณ์ได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในระยะยาวจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นทั่วทุกภูมิภาค” นายดิเรก ระบุว่า รัฐบาลต้องวิเคราะห์ปัญหาเพื่อนำไปสู่การ
แก้ปัญหาระยะยาว ไม่ใช่แค่วิเคราะห์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ซึ่งได้เคยบอกแล้วว่าหากสลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธจนมีคนเสียชีวิตมันจะนำไปสู่ความโกรธแค้น รัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศย่อมต้องมีความคิดที่กว้างและยาว คิดสั้นๆไม่ได้ เพราะแกนนำ นปช.ระบุแล้วว่า ที่มอบตัวเพราะต้องการปก
ป้องกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่อยากให้มีคนตายเพิ่ม แต่ยังยืนยันจะเดินหน้าต่อสู้ทางการเมืองต่อไป ทางเดียวที่รัฐบาลจะเยียวยาได้จริงๆ คือ ต้องแก้เรื่องความเป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียว และต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของทหารหรือตกอยู่ในอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเช่นกันกับนายจาตุรนต์
ฉายแสง ที่ได้ออกมาสื่อสารผ่านทวิตเตอร์ของตัวเองถึงเรื่องเหตุรุนแรงที่รัฐบาลปฏิบัติต่อกลุ่มนปช. จนเกิดเหตุลุกลามใหญ่โต โดยเตือนว่า มาถึงเวลานี้สิ่งที่ควรทำคือเอาความจริงมาพูดกัน ให้สังคมเข้าใจเสียก่อนว่าเรากำลังอยู่ในสภาพอย่างไร อาจจะบานปลายไปแค่ไหนเพื่อให้ทุกฝ่ายตั้งหลัก ตั้งสติ
และช่วยกันหาทางแก้ และต้องถือว่าปัญหาขณะนี้คือปัญหาของประเทศ ต้องหยุดเสนอข่าวในทางที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้แพ้ เลวทราม หรือบิดเบือนอย่างที่ทำอยู่ ดังนั้นในการจัดการจึงต้องระวังที่จะไม่ไปซ้ำเติมความรู้สึกนั้น มิฉะนั้นจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมกำลังเสนอความเห็นเพื่อลดความเสียหาย
บางกอก ทูเดย์ ขอย้ำว่า หากนายอภิสิทธิ์ เปิดใจให้กว้าง จะเห็นว่าจริงๆ แล้วสารพัดข้อเสนอแนะที่ออกมาในขณะนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากความเป็นห่วงใยต่อประเทศชาติบ้านเมืองทั้งสิ้นทุกคนอยากให้ปรองดองจริงๆ ไม่ยืดเยื้อ และไม่เกิดสงครามใต้ดินฉะนั้นวันนี้นายอภิสิทธิ์ที่มีอำนาจอยู่ในมือคงต้อง
ตัดสินใจให้ดี ว่าจะเลือกอะไรฉวยโอกาสกระทืบซ้ำ หรือ ปรองดอง!!! โปรยรัฐสภาแห่งอียู ยังได้มีการขอแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวไทยและเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักระหว่างเกิดเหตุรุนแรง พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลไทยให้รับประกันว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินจะไม่นำไปสู่ความ เข้มงวด
ในสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพส่วนบุคคล และขอให้ยุติการตรวจสอบและความเข้มงวดต่อสิทธิในการแสดงออก พร้อมกันนี้รัฐสภาแห่งอียูยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเริ่มเปิดเจรจากันเพื่อหาแนวทางแก้วิกฤติในปัจจุบัน โดยสันติและเป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพียงเพื่อจะระบายความอึดอัดในท้องเท่านั้นหลังการตัดสินใจใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะของ ม.พัน 2 เข้าสลายการชุมนุม วันนี้ภาระหน้าที่ที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด ของทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และบรรดาคณะบุคคลแกนนำในศูนย์อำนวยการ
แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งหลายก็คือ การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้อย่างแท้จริง สร้างความสมานฉันท์ให้กลับคืนมาสู่ประเทศไทยให้ได้ด้วยสันติวิธีไม่ใช่การใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ สร้างความปรองดองแบบยัดเยียดหรือปิดประตูตีแมว อย่างที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วง... อย่างที่สำนักข่าว
ต่างประเทศวิเคราะห์กันออกไปทั่วโลกในขณะนี้เพราะแม้แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป ก็ยังแสดงความเป็นห่วงความขัดแย้งในไทยโดยได้มีการประชุมกันที่เมืองสตราสบูร์ก ทางตะวันออกของฝรั่งเศส ก่อนผ่านมติของที่ประชุม แสดงความเป็นห่วงความขัดแย้งในไทยและเน้นย้ำว่าการปะทะอย่างรุนแรง
ระหว่าง กลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ ถือเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยของไทย ขณะเดียวกันก็เรียกร้องรัฐบาลใช้กำลังเพียงแต่น้อยตามกฎระเบียบของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ ให้ปรับใช้วิธีการจากเบาไปหาหนัก และจักต้องใช้ความอดทนอดกลั้น ผ่อนหนักผ่อนเบาไปตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐสภา
แห่งอียู ยังได้มีการขอแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวไทยและเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักระหว่างเกิดเหตุรุนแรง พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลไทยให้รับประกันว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินจะไม่นำไปสู่ความ เข้มงวดในสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพส่วนบุคคล และขอให้ยุติการตรวจสอบและความเข้ม
งวดต่อสิทธิในการแสดงออก พร้อมกันนี้รัฐสภาแห่งอียูยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเริ่มเปิดเจรจากันเพื่อหาแนวทางแก้วิกฤติในปัจจุบัน โดยสันติและเป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ รัฐบาลไทย และคณะบุคคลใน ศอฉ. ควรจะต้องตระหนักและรับฟัง ไม่ใช่เพียงเพราะว่า กลุ่มประเทศอียูเป็น
กลุ่มประเทศคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย และไทยจำเป็นจะต้องพึ่งพาตลาดอียูในการส่งออกสินค้า เพื่อสร้างเม็ดเงินรายได้เข้าประเทศ หากถูกบอยคอตทางเศรษฐกิจขึ้นมาก็จะยุ่งแต่ที่สำคัญเป็นเพราะข้อเรียกร้องของรัฐสภาแห่งอียู เป็นหลักแห่งประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับ ดังนั้นการกระทำของ ศอฉ.
ที่แทบจะเรียกได้ว่า สวนคำขอของรัฐสภาแห่งอียู ที่ว่าให้ยุติการตรวจสอบและความเข้มงวดต่อสิทธิการแสดงออกของประชาชน กลับมีการออกประกาศ ศอฉ. ประกาศเพิ่มอีก 21 รายชื่อ ขึ้นบัญชีดำห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน ออกมาอีกระลอก จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากว่า
เป็นการเล่นไม่เลิก เพราะรายชื่อที่โดนกันอีก 21 คนนั้น เป็นชื่อที่ดูเหมือนว่า มีกระบวนการหรือใครบางคนที่เกี่ยวข้องโยงใยกับ ศอฉ. เจตนาจับยัดใส่เข้าไป เพื่อที่จะฉวยโอกาสทางการเมืองเป็นหลัก 21 รายชื่อที่โดนรอบนี้ประกอบด้วย นายศักดา อ้อพงษ์ นายพงศกร อรรณนพพร นางดาวแข อรรณนพ
พร นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร นายภูมิ สาระผล นายจตุพร เจริญเชื้อ นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร นายนรินทร์ จิตมหาวงศ์ นางสุพิชฌาย์ พัฒนะพันธุ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายวิบูลย์ แช่มชื่น นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ นางพรประภา สาคำ นายปลอดประสพ สุรัสสวดี พ.ต.
ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ นายวายุภักษ์ โนรี นายภาสกร หรือ สมนึก ศิริภักษ์นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายประยุทธ มหากิจศิริ และนายเมธี อมรวุฒิกุล วิเคราะห์อย่างไรก็หนีไม่พ้นมุมในเรื่องของการเมือง ที่มองข้ามชอตไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้นั่นเอง ศอฉ. หรือใครก็ตามที่ฉวยโอกาสในการทำเรื่อง
นี้ หากหวังจะเตะตัดขาในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งขันของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ต้องถือว่าเป็นวิธีคิดที่ห่วยแตกมากๆ เพราะจะกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เองนั่นแหละที่จะเสียกับเสียในสายตาประชาชนและแผนปรองดอง ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งเดียวที่นายอภิสิทธิ์ สามารถใช้เป็นข้อ
แก้ต่าง ลดทอนความรู้สึกของสังคมในการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม จนกระทั่งมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ร่วมชุมนุมโดยสันติต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากแต่เมื่อมามีการฉวยโอกาสกระทืบซ้ำทางการเมืองเช่นนี้ ก็ได้แต่เป็นห่วงว่า คนที่ทำเรื่องนี้หวังดีกับนายอภิสิทธิ์ จริงๆหรือ???คอลัมน์
คาบลูกคาบดอก เขียนโดย หมัดเหล็ก ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 21พฤษภาคม 53 ที่ผ่านมา ได้ใช้ข้อคิดเตือนสติ ที่นายอภิสิทธิ์ไม่ควรจะมองข้าม นั่นก็คือ“แม้รัฐบาลจะสามารถสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ ได้ในที่สุด แม้แกนนำสามเกลอจะยอมมอบตัว แต่ก็ไม่สามารถที่จะ
รักษาความสงบเรียบร้อยทั้งประเทศเอาไว้ได้อยู่ดีสงครามไฟใต้ลุกลามอย่างไร แก้ไขยากอย่างไร แต่สงครามไฟกลางเมืองครั้งนี้ จะดับยากกว่านับสิบเท่า การชุมนุมต่อต้านของคนเสื้อแดงจะกระจายออกไปทั่วบริเวณ จะเป็นสงครามกองโจรจะมุดลงใต้ดิน!!สำนักข่าวต่างประเทศวิเคราะห์ไว้หลายสำนักว่า
รัฐบาลไม่มีทางชนะสงครามกลางเมืองครั้งนี้ หากรัฐบาลไทยตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ไม่เฉพาะอนาคตทางการเมืองของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้นที่จะต้องดับวูบแต่ความเลวร้ายจะตามมาอีกมากมายคำถามก็คือว่าถ้าคุณอภิสิทธิ์มั่นใจว่ายังเป็นที่นิยมของประชาชนส่วนใหญ่ ได้
รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ เหตุใดไม่ตัดสินใจลาออกหรือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งให้ประชาชนเจ้าของประเทศเป็นผู้ตัดสิน ทำไมจึงตัดสินใจรักษาอำนาจเอาไว้ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชน ทำไมจึงไม่ปฏิบัติตามวิถีของประชาธิปไตย แต่ยังใช้กำลังทหารเข้าปกป้องอำนาจเอาไว้
เช่นเดียวกับประเทศที่ปกครองโดยรัฐทหาร ซากปรักหักพังที่รัฐบาลเหยียบย่ำอยู่ยังพอรื้อฟื้นขึ้นมาได้ แต่ชีวิตประชาชนฟื้นไม่ได้”ซึ่งความน่ากลัวที่ หมัดเหล็กสะกิดเตือนเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้หยุดไม่เกิดขึ้นมาได้ หาก ศอฉ.เลือกที่จะใช้แนวทางปรองดองตามที่ทั่วโลก และทุกฝ่ายเรียกร้องนายดิเรก ถึง
ฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเมินสถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯว่า เชื่อว่าถึงแม้แกนนำ นปช.จะเข้ามอบตัวทั้งหมด แต่เหตุการณ์ต่างๆจะไม่จบด้วย ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถแสดงออกให้เห็นถึงหลักการ
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริงให้ประชาชนเห็น ซึ่งต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย“เคยเตือนรัฐบาลมาตลอดว่า การใช้กำลังจะสามารถระงับเหตุการณ์ได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในระยะยาวจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นทั่วทุกภูมิภาค” นายดิเรก ระบุว่า รัฐบาลต้องวิเคราะห์ปัญหาเพื่อนำไปสู่การ
แก้ปัญหาระยะยาว ไม่ใช่แค่วิเคราะห์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ซึ่งได้เคยบอกแล้วว่าหากสลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธจนมีคนเสียชีวิตมันจะนำไปสู่ความโกรธแค้น รัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศย่อมต้องมีความคิดที่กว้างและยาว คิดสั้นๆไม่ได้ เพราะแกนนำ นปช.ระบุแล้วว่า ที่มอบตัวเพราะต้องการปก
ป้องกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่อยากให้มีคนตายเพิ่ม แต่ยังยืนยันจะเดินหน้าต่อสู้ทางการเมืองต่อไป ทางเดียวที่รัฐบาลจะเยียวยาได้จริงๆ คือ ต้องแก้เรื่องความเป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียว และต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของทหารหรือตกอยู่ในอำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเช่นกันกับนายจาตุรนต์
ฉายแสง ที่ได้ออกมาสื่อสารผ่านทวิตเตอร์ของตัวเองถึงเรื่องเหตุรุนแรงที่รัฐบาลปฏิบัติต่อกลุ่มนปช. จนเกิดเหตุลุกลามใหญ่โต โดยเตือนว่า มาถึงเวลานี้สิ่งที่ควรทำคือเอาความจริงมาพูดกัน ให้สังคมเข้าใจเสียก่อนว่าเรากำลังอยู่ในสภาพอย่างไร อาจจะบานปลายไปแค่ไหนเพื่อให้ทุกฝ่ายตั้งหลัก ตั้งสติ
และช่วยกันหาทางแก้ และต้องถือว่าปัญหาขณะนี้คือปัญหาของประเทศ ต้องหยุดเสนอข่าวในทางที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้แพ้ เลวทราม หรือบิดเบือนอย่างที่ทำอยู่ ดังนั้นในการจัดการจึงต้องระวังที่จะไม่ไปซ้ำเติมความรู้สึกนั้น มิฉะนั้นจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมกำลังเสนอความเห็นเพื่อลดความเสียหาย
บางกอก ทูเดย์ ขอย้ำว่า หากนายอภิสิทธิ์ เปิดใจให้กว้าง จะเห็นว่าจริงๆ แล้วสารพัดข้อเสนอแนะที่ออกมาในขณะนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากความเป็นห่วงใยต่อประเทศชาติบ้านเมืองทั้งสิ้นทุกคนอยากให้ปรองดองจริงๆ ไม่ยืดเยื้อ และไม่เกิดสงครามใต้ดินฉะนั้นวันนี้นายอภิสิทธิ์ที่มีอำนาจอยู่ในมือคงต้อง
ตัดสินใจให้ดี ว่าจะเลือกอะไรฉวยโอกาสกระทืบซ้ำ หรือ ปรองดอง!!! โปรยรัฐสภาแห่งอียู ยังได้มีการขอแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวไทยและเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักระหว่างเกิดเหตุรุนแรง พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลไทยให้รับประกันว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินจะไม่นำไปสู่ความ เข้มงวด
ในสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพส่วนบุคคล และขอให้ยุติการตรวจสอบและความเข้มงวดต่อสิทธิในการแสดงออก พร้อมกันนี้รัฐสภาแห่งอียูยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเริ่มเปิดเจรจากันเพื่อหาแนวทางแก้วิกฤติในปัจจุบัน โดยสันติและเป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)