รายงานพิเศษ
การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ปักหลักขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนมาถึงสี่แยกราชประสงค์ ยาวนานกว่า 50 วัน โดยถูกจับตามองตั้งแต่ต้นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อคนๆ เดียว นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
แนวคิดของแกนนำต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อสิ่งใด และจะนำไปสู่จุดสุดท้ายอย่างไร พวกเขาได้อะไรบ้าง คุ้มหรือไม่คุ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 22 เม.ย.และ 28 เม.ย. และนับจากเสร็จสิ้นการชุมนุมในครั้งนี้ ชีวิตของพวกเขาจะดำเนินการไปอย่างไร มีคำตอบดังนี้
จตุพร พรหมพันธุ์
รองประธาน นปช.
การชุมนุมของนปช.แดงทั้งแผ่นดินครั้งนี้เป็นการรวบรวมบทเรียนจากการชุมนุมครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะสงกรานต์เลือด ปี 2552 ที่เราถูกรัฐบาลใช้กำลังปิดล้อม ปิดช่องทางการสื่อสาร บิดเบือนข้อมูลต่างๆ ทำให้เราต้องยุติการชุมนุม
พอมาครั้งนี้ จากประสบการณ์ที่มี เราจึงจัดตั้งมวลชนกว่า 400 กลุ่ม ผ่านโรงเรียนผู้ปฏิบัติการนปช. ย้ำถึงจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่รัฐบาลชุดนี้ซึ่งไม่ได้มาจากฉันทามติของประชาชน แต่มาจากระบอบอำมาตย์เกื้อหนุน
ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมมาด้วยใจจริงๆ หากจะบอกว่าเป็นม็อบว่าจ้าง หลังเกิดเหตุวันที่ 10 เม.ย.คงหายไปหมดแล้ว แต่ประชาชนไม่กลัว และพร้อมต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับมา
ตอนแรกคิดว่าด้วยจำนวนคนที่มากขนาดนี้ ไม่น่าเกิน 2 สัปดาห์ รัฐบาลต้องไปแน่นอน เพราะเป็นการชุมนุมที่มีคนมาเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ด้วยอำนาจพิเศษที่คอยหนุนหลังทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังอยู่ได้
ข้อเสนอแผน ปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เปรียบเสมือนการหาทาง ออกให้กับตัวเองมากกว่า ไม่ใช่ทางออกของคนเสื้อแดง ผมบอกกับพรรคพวกเสมอว่าเรื่องนี้ต้องระวัง อย่าผลีผลาม เราไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียอีก แต่การเจรจาที่จะเกิดขึ้น ต้องทำด้วยความรอบคอบ ไม่ให้นายอภิสิทธิ์เอาเป็นช่องทางออกให้กับตัวเอง ต้องดูแลคนที่สูญเสียทั้งบาดเจ็บ ทั้งเสียชีวิต และคนที่สั่งการทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และผู้ที่อยู่ร่วมขบวนการสังหารประชาชนจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายให้ได้
ดังนั้น เรื่องการเจรจาร่วมกันต้องค่อยเป็นค่อยไป รีบไม่ได้ เพราะถ้ายังจำช่วงสงกรานต์เลือดได้ นายอภิสิทธิ์ เสนอคณะกรรม การตรวจสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งคณะกรรมการก็มีข้อสรุปให้แก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้คืบหน้าเป็นรูปธรรม พอมาครั้งนี้เรื่องเก่าทั้ง 2 เรื่อง ก็เป็น 2 ใน 5 เรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เสนอมา ดังนั้น ต้องดูว่าเป็นอย่างไรต่อไป
นี่คือเหตุผลที่เราต้องรอดูท่าทีของนายอภิสิทธิ์ให้ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องนิรโทษกรรม เพราะพวกผมไม่เคยกลัว การสูญเสียครั้งนี้มากเสียจนเรื่องคดีความของแกนนำเป็นเรื่องเล็กน้อย อีกทั้งคดีความทุกอย่างไม่ว่าเรื่องล้มสถาบัน เรื่องก่อการร้าย พวกเราพร้อมชี้แจงและต่อสู้คดีอยู่แล้ว
หากหาทางออกได้ด้วยการยุบสภา ประชาชนจะได้ประชาธิปไตยโดยตรงจากการเลือกตั้ง ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่า พอยุบสภา ทุกฝ่ายที่เป็นผู้ขัดแย้งก็มาทำสัตยาบันต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนเลือกแล้ว ไม่มีตีรวนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้
รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องทำสัตยาบันด้วยว่าจะไม่ออกมาใช้พลังนอกระบบอีก หากใครไม่ทำตามข้อตกลง เชื่อผมเถอะว่าประชาชนจะจัดการเอง
ถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะ เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นต่างๆ รวมทั้งเรื่องใช้อำนาจแฝงต่างๆ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบคุมอำนาจ อำนาจหน้าที่ต้องอยู่ในขอบเขต เชื่อว่าทำอย่างนั้นแล้วเรื่องอำมาตยาธิปไตยจะหมดลง
แต่ถ้าเลือกตั้งแพ้ ก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่คนแพ้ การลงสัตยาบันไม่ใช่ว่าจะยุบหรือเลิกนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพียงแต่เรายอมรับผลการเลือกตั้ง ยังมีช่องทางตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญในช่องทางของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเข้าชื่อ 5 หมื่นชื่อ หรือการตรวจสอบทางสภา หากได้รับเลือกต้องทำหน้าที่ตรงนั้น
คดีความที่มีอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป แต่ไม่ใช่แค่พวกผมที่มีคดี นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ หรือแกนนำพันธมิตรฯ พวกนี้มีคดีกันทั้งนั้น ไม่มีปัญหา
หลังการเลือกตั้ง องค์กรนปช.จะยังอยู่ โดยรวบรวมเครือข่ายประชาชนไว้ การจัดระบบเรื่องโรงเรียน ผู้ปฏิบัติการนปช.ยังต้องคงอยู่ ทำหน้าที่ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้หนีหายไปไหน
น.พ.เหวง โตจิราการ
แกนนำ นปช.
การชุมนุมที่เกิดขึ้นครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขสูงมาก ดูได้จากจำนวนผู้มาร่วมชุมนุมไม่ลดลง รวมถึงคนกทม.มาร่วมมากขึ้น ทำให้เรามั่นใจว่าโอกาสที่กลุ่มอำมาตย์จะมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญน้อยลงทุกที และแสดงให้เห็นว่าแนวทางสันติวิธีที่เรายึดมั่น ทำให้เกิดเสียงตอบรับจากประชาชนมากขึ้นทุกที
การที่บอกว่านปช.ว่าจ้างคนมาร่วมชุมนุนนั้นถือว่าโกหก เป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตการชุมนุมของนปช. แต่ไม่มีผลอะไร จะเห็นได้ว่าเขาพยายามโยนข้อกล่าวหาให้เราตลอด ทั้งการว่าจ้างคนมาชุมนุม เราต่อสู้เพื่อคนๆ เดียว เราเป็นลิ่วล้อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เรื่องพวกนี้จุดไม่ติด จึงพยายามเอาเรื่องที่ใหญ่กว่า อย่างก่อการร้าย หรือล้มเจ้ามาเป็นอาวุธทางการเมือง ทั้งที่ทั้งหมดเป็นการใส่ร้ายป้ายสี
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ มันไม่ใช่เรื่องคุ้มหรือไม่คุ้ม เราไม่เคยต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่มีจุดมุ่งหมายต้องการให้อำนาจการเลือกตั้งกลับมาอยู่ในมือของประชาชน ความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีการสอบสวนและดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งล้มอำมาตย์ได้ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จะเป็นช่องทางสำคัญ หากแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ อำนาจการแทรก แซงของอำมาตย์จะหมดลง ผมเชื่อว่าในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จะมีพรรคการ เมืองนำเสนอแนว ทางเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมา ซึ่งเราต้องสนับสนุนรัฐ ธรรมนูญฉบับของประชาชนฉบับนี้ และจะเหมือนการลงประชามติอีกครั้งว่าจะเอารัฐธรรมนูญ ปี 2540 หรือ 2550 ผมมั่นใจว่าจะมีประชาชนไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคนสนับสนุนแนวคิดนี้
แต่หากหลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ชนะ ก็ต้องปล่อยให้เขาบริหารประเทศไป ต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง แต่นปช.ไม่ได้ล้มเลิกไป ยังมีการรวมกลุ่มกันอยู่ มีการตรวจสอบตามช่องทางที่เปิดไว้ให้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่แค่กรณีพรรคประชาธิปัตย์ หากพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลก็ต้องตรวจสอบ
หลังจากนี้ผมไม่ได้เล่นการเมืองในระบอบผู้แทนฯ แต่จะทำหน้าที่ในองค์กรภาคประชาชนอยู่ตลอด ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม ชีวิตส่วนตัวผมยังเหมือนเดิม ถ้าเจอใครไม่ชอบ เอาหินขว้างหรือเอาปืนยิง ถ้าหลบได้ก็หลบ ถ้าหลบไม่ได้ บาดเจ็บก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าตายก็ต้องตาย ไม่ได้กลัวอะไร ไปไหนก็ยังไปคนเดียว
ส่วนแนวทางปรองดองของนายกฯ นั้นเป็นเพราะนายกฯ จนแต้ม จึงต้องเปิดช่องทางลงเพื่อตัวเอง ไม่เช่นนั้นความรุนแรงจะขยายตัวไปทั่วประเทศ เป็นสงครามกลาง เมือง เราไม่ปฏิเสธที่จะจับมือกับรัฐบาลเพื่อหาทาง ออก แต่ขอให้ฝั่งรัฐบาลมีความชัดเจนเสียก่อน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เลขาธิการ นปช.
หลังจากการชุมนุมครั้งนี้ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คือต่อจากนี้ประชาชนจะมาทวงสิทธิ์ของเขากลับคืนมา และแสดงให้เห็นว่าพลังของเขามีอยู่จริง
นอกจากนี้ยังอธิบายให้เห็นว่าการต่อสู้มากว่า 4 ปี ดอกผลออกมามากมาย เราเริ่มจากขบวนการต่อต้านรัฐประหารกลุ่มเล็กๆ เผชิญข้อกล่าวหาเป็นม็อบรับจ้าง เป็นพวกรากหญ้าไร้การศึกษา แต่วันนี้คนทั้งโลกให้ความสนใจกับพลังของคนกลุ่มนี้ สังคมให้การยอมรับ ต้องบอกว่าเราเติบโตมากกว่าพันธมิตรฯ มีฐานรากที่เข้มแข็งกว่าหลายเท่า
สิ่งสำคัญคือหลายเรื่องที่เราพูดมา 3-4 ปี คนยอมรับว่ามีปัญหาจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอำมาตยาธิปไตย ระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน อำนาจนอกระบบ ความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ เราจึงพร้อมเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างรัฐไทยใหม่ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แม้วาทกรรมเรื่องรัฐไทยใหม่จะถูกวิจารณ์มาก ยึดโยงถึงเรื่องล้มสถาบัน แต่ผมมองเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายตรงข้ามจะสร้างภาพว่าเราไม่ใช่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การถูกโจมตีเรื่องเหล่านี้ผมไม่ได้ใส่ใจ
หากจะเปรียบเทียบแล้ว พันธมิตรฯ เสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย อย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายกับระบอบประชาธิปไตย มากกว่ากัน
ต้องยอมรับว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ ถือเป็นความปวดร้าว ไม่คิดว่าการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตัวเองจะต้องบาดเจ็บล้มตายจากฝีมือของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาชน เรื่องนี้จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเต็มที่ รวมถึงส่งเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย
ขณะที่แนวคิดปรองดองของรัฐบาลนั้น ผมมองว่าเป็นการหาทางออกให้ตัวนายอภิสิทธิ์เอง แต่เมื่อข้อเสนอเดินทางตามแนวทางสันติที่เรายึดถือ ก็พร้อมร่วมดำเนินการ นายอภิสิทธิ์อาจจะได้ประโยชน์ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยประเทศก็ได้ด้วย เพราะความสูญเสียเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้อีกแล้ว
ถ้าถามว่าเรื่องยุบสภาถือเป็นชัยชนะของเสื้อแดงหรือไม่ ผมบอกเลยว่าผู้ชนะที่แท้จริงคงเป็นประเทศไทย ยุติความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เป็นชัยชนะของคนไทยทั้งหมดที่ไม่ทำให้ความรุนแรงลุกลามออกไป
นอกจากนี้คนเสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่อประกาศชัยชนะรายวัน เราสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ความเท่าเทียม และความเสมอภาค การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นสูง การเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาถือเป็นศึกย่อยครั้งหนึ่ง ศึกต่อไปของเราคือการเลือกตั้ง การสร้างสังคมให้เกิดความเป็นธรรม การแก้รัฐธรรมนูญก็ถือเป็นศึกครั้งหนึ่ง ทุกอย่างต้องดำเนินการต่อไป
หากเปรียบเทียบอำมาตย์คือมะม่วงสุก เราต้องการเด็ดผลมะม่วง แต่ระหว่างทางเจอกิ่งก้านหรือรังมดแดง ก็ต้องเสียเวลาจัดการกับอุปสรรคเหล่านี้ก่อน โครงสร้างที่อำมาตย์สร้างขึ้นมาไม่ว่าองค์กรอิสระ กองทัพ ทุกอย่างยังเป็นเส้นทางที่เราต้องผ่านไป จนถึงศึกสุดท้ายในการโค่นล้มอำมาตย์ ซึ่งผมมั่นใจว่าเราทำได้
ทั้งนี้ หลังยุบสภา ผมคงสมัครส.ส. ถ้าได้รับเลือกก็ทำหน้าที่ ไม่ได้รับเลือกก็คือไม่ได้ ส่วนคดีความก็สู้กันตามกระบวนการ ชีวิตส่วนตัวผมไม่มีเปลี่ยนแปลง วันหยุดพาภรรยาลูกไปเที่ยว ชีวิตไม่ต้องมีการ์ดมาคอยห้อมล้อม ก่อนนี้เป็นยังไง หลังจากนี้ก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ต้องปกป้องครอบครัวผมอย่างเต็มที่ ซึ่งผมมั่นใจว่าผมทำได้
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************************
วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
นปช.ปรับทีมใหม่ เจรจาลับ ถกปม"ประกันตัว"
วันเข้ามอบตัว มาร์คไล่บี้เลิก ก่อนวันที่ 15พค. แดงโต้อย่าบีบ จี้ต้องดำเนินคดี สั่งปราบ10เมย.
"มาร์ค"ออกทีวีไล่บี้แดงอีก ยอมรับแผนปรองดองต้องยุติม็อบ ระบุสลายตัวในวันที่ 15 พ.ค.ช้าไป ซัดแกนนำอย่ากลัวเสียหน้า ขู่ถ้าไม่เลิกม็อบ ก็อาจไม่ยุบสภา ด้าน"ณัฐวุฒิ"โต้ทันควันอย่าใช้เกมการเมืองบีบ เร่งรัดกับผู้ชุมนุม เพราะไม่ใช่ลูกน้องของรัฐบาล ขณะที่"จตุพร"เรียกร้อง"มาร์ค-เทือก"ต้องยอมรับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกรณีวันที่ 10 เม.ย.ด้วย ยอมรับชี้แจงผู้ชุมนุมลำบากถ้าละเลยที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว
-"มาร์ค"แจงซ้ำแผนปรองดอง
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 พ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงแนวทางการดำเนินการตามแผนปรองดอง 5 ประการว่าในส่วนของแผนที่ 1 เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัติย์นั้น ขณะนี้กรมสอบสอนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายไปดูแล และเริ่มจับกุมบุคคลที่กระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว ขณะเดียวกันเครือข่ายของขบวนการนี้ก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในแผนที่ 2 เรื่องการสร้างสวัสดิการ ความเป็นธรรม ความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม วันที่ 12-13 พ.ค. นี้ คณะกรรมการที่ทำงานด้านการดูแลชุมชนจะประชุมร่วมกันเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน ในวันที่ 13 พ.ค. จะนำข้อเสนอเบื้องต้นยื่นให้ตน และวันที่ 20 พ.ค. จะจัดประชุมสมัชชาเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนให้ภาคส่วนต่างๆ ได้มาระดมความคิดเห็นอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากวันที่ 20 พ.ค. ควรมีข้อยุติเรื่องกลไกพิเศษ ที่จะอยู่และทำงานเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องข้ามรัฐบาล หลังจากเลือกตั้งไปแล้ว กลไกนี้จะดำเนินการโดยบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นกลไกที่มีความหลากหลาย และไม่ถูกชี้นำโดยรัฐบาล อีก 10 วันข้างหน้าน่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นายกฯ กล่าวว่า แผนข้อที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสื่อให้มีบทบาทการทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้นนั้น ในด้านกฎหมาย ขณะนี้มีการยกร่างกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าจะทำอย่างไร จึงจะควบคุมดูแลสื่อต่างๆ ไม่ให้มีบทบาทยั่วยุ ปลุกระดม และสร้างความเกลียดชัง ความรุนแรงในสังคมต่อไป ในเบื้องต้นเห็นว่า กทช. หรือ กสทช.ในอนาคต น่าจะเข้ามามีบทบาท และเป็นกลไกหลักในการผลักดันเรื่องนี้ โดยให้ทำงานใกล้ชิดกับองค์กรวิชาชีพสื่อ และสุดท้ายควรมีองค์กรอิสระที่ประกอบด้วยภาคประชาชน ได้เข้ามามีบทบาทตรวจสอบการทำงานของสื่อมากขึ้น ยืนยันว่าทั้งหมดต้องไม่ใช่การเปิดโอกาสให้รัฐ หรือการเมืองเข้าไปแทรกแซงสื่อ
-ยังเชื่อก่อการร้ายร่วมผสมโรง
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนแผนปรองดองข้อที่ 4 เรื่องการตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุม ขณะนี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย., 22 เม.ย., 28 เม.ย. และคืนวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งทั้งรัฐบาล และกองทัพ ยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบทั้งหมด รัฐบาลและกองทัพมั่นใจว่าสิ่งที่ปฏิบัติไปทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบแบบแผน และกฎหมาย ยืนยันไม่ต้องการให้นิรโทษกรรมกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องการสร้างกติกาทางการเมืองที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะต้องนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ยืนยันว่า การหาข้อยุติเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองจะตกลงกันเอง ต้องมีรูปแบบ วิธีการฟังความคิดเห็นจากผู้ที่ไม่ใช่นักการเมือง ในส่วนของตนเอง รัฐบาล และพรรคที่ตนสังกัดยืนยันว่าจะไม่มีการแก้กติกาใดๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะนี้มีการเอาแผนปรองดองไปผูกกับเรื่องการยุบสภา ตนยืนยันว่าทั้ง 5 ข้อนี้ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะคลี่คลายไปทางใด รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป
นายกฯ กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลต้องปรองดองกับกลุ่มก่อการร้ายนั้นว่าแผนทั้ง 5 ข้อ ไม่มีตรงไหนที่จะไปปรองดองกับผู้ก่อการร้าย หรือผู้กระทำผิดกฎหมาย เพราะในแผนทั้ง 5 ข้อ ไม่มีส่วนใดพูดถึงการนิรโทษกรรมในคดีอาญาต่างๆ ผู้ที่กระทำความผิดยังมีความผิด และจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเหมือนเดิม หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะดีเอสไอยังดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
-ห้ามมีม็อบไปจนถึงวันเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.ว่า เป็นการกระทำบนพื้นฐานหลักความคิดเดิม ไม่ใช่การจำนนต่อการเรียกร้อง "ที่ผมพูดว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. ผมบอกว่าจะมีการเลือกตั้งต่อเมื่อทุกฝ่ายแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในการเข้ามาสู่กระบวนการปรองดอง และรูปธรรมที่เราต้องการเห็นคือ การชุมนุมทางการเมืองซึ่งผิดกฎหมายต้องยุติลง และจากวันนี้จนถึงการยุบสภา หรือการเลือกตั้งนั้น ต้องมีรูปธรรมชัดเจนว่ารัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆ สามารถทำหน้าที่ตามกฎหมายได้โดยไม่มีการขัดขวาง ความหมายคือว่า นักการเมืองทุกฝ่ายต้องมาประสานกันว่า ต้องไปลงพื้นที่ได้ ไม่มีการขัดขวาง ไม่มีความรุนแรง ถ้าทำได้ ผมก็บอกว่ารัฐบาลพร้อมจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็หมายความว่าการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นไม่ได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรมาพบและตั้งข้อสังเกตว่าแผนปรองดองของรัฐบาลเป็นการสมคบของนักการเมืองว่า ตนได้ตอบกับกลุ่มพันธมิตรไปแล้วว่า แผนนี้มีที่มาจากหลักคิด คิดและเขียนด้วยตัวเองผ่านการเจรจาฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่มาจากการเจรจาต่อรอง ได้ชี้แจงพูดคุยกันอย่างละเอียด กลุ่มพันธมิตรฯจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ขณะเดียวกันได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งแสดงความเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว แต่ขอดูการทำงานในช่วง 1-2 เดือนจากนี้ไปก่อนว่านำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริงหรือไม่
-ซัดแม้ว-เสธ.แดงขวางปรองดอง
สำหรับเหตุการณ์ยิงตำรวจบริเวณถนนสีลม เมื่อคืนวันที่ 7 พ.ค.ที่มองว่าเป็นความล้มเหลวของแผนปรองดองนั้น นายกฯกล่าวว่า ผู้ที่ไม่สนับสนุนแผนปรองดองกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มของผู้ก่อการร้าย เพราะถ้าแผนปรองดองสำเร็จ กลุ่มนี้จะถูกแปลกแยกจากสังคม และถูกดำเนินคดี เพราะไม่สามารถเอามวลชนมาเป็นโล่มนุษย์ได้อีกต่อไป
"คนที่แสดงตัวชัดเจนไม่เอาแผนปรองดอง คือเสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทบ.) และมีความพยายามยิ่งยวดที่จะไม่ให้มีการชุมนุมในขณะนี้ยุติลง เสธ.แดงพูดชัดเจนว่าได้ติดต่อประสานงานกับแกนนำในภูมิภาคเพื่อคัดค้านแกนนำในส่วนกลาง เบื้องต้นบอกว่าตอบรับแผนการปรองดอง ที่สำคัญเสธ.แดงบอกด้วยว่า เขาจะฟังจากคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ซึ่งผมกล้าพูดได้เช่นเดียวกันว่าคุณทักษิณไม่พอใจแผนปรองดอง เพราะในแผนปรองดองไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของคุณทักษิณเลย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
-จี้แดงยุติชุมนุมให้ได้ในวันนี้
นายกฯ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าแผนปรองดองต้องเดินหน้า วันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมตอบรับแผนการปรองดองแล้วแต่ยังไม่ยุติการชุมนุม ความเสี่ยงจะมีสูงมาก กลุ่มผู้ก่อการร้ายอาจใช้ความรุนแรงอีก โดยเฉพาะกับตัวผู้ชุมนุม หรือแกนนำ ถ้ายืนยันว่าจะเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง รีบยุติการชุมนุมเสีย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้อง ทุกคนทุกกลุ่ม อย่าคิดว่าเป็นเรื่องต้องเอาชนะ เรื่องจะเสียหน้า หรือเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ถ้ามีความจริงใจต้องประกาศยกเลิกการชุมนุมได้โดยเร็ว ที่ประกาศว่าจะยุติในวันที่ 15 พ.ย.นั้นตนเห็นว่ายังช้าไป
"ถ้าจริงใจ และอยากจะมาร่วมในกระบวนการปรองดอง อย่ารอช้า ถ้าช้าไปมีแต่ความเสียหาย และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าถ้ายิ่งช้าไปรัฐบาลก็ไม่สามารถตอบคำถามกับสังคมได้ว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย.ได้ เพราะฉะนั้น วันที่ 10 พ.ค. ควรมีคำตอบที่ชัดเจน เพื่อที่เราจะได้ทำงานร่วมกันต่อไป เดินหน้าในการบังคับใช้กฎหมาย แยกผู้ก่อการร้ายมาดำเนินคดี และร่วมกันสร้างคำตอบทางการเมือง และสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่นำไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริงต่อไป" นายกฯกล่าว
-อ้างไม่ได้รับประโยชน์จากแผนนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯว่า สิ่งที่คนไม่หวังดีต่อบ้านเมืองในขณะนี้ต้องการเห็นมากที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทันที อยากให้ตนลาออก และเอาคนอื่นเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาจจะตัดสินใจแล้วทำให้เกิดความรุนแรงเป็นสงครามประชาชน หรือคนที่เข้ามาแล้วทำให้เกิดการพลิกขั้วทางการเมือง และเอื้ออำนวยต่อกลุ่มที่กระทำการผิดกฎหมาย ยืนยันว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยจากการปรองดอง ครั้งนี้
"หลายคนบอกว่าผมเอาตัวรอด ผมอยู่สบายแต่ประชาชนเดือดร้อน ผมเรียนว่าไม่จริง ชีวิตผมถูกคุกคามอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ และรู้ว่าคงถูกคุกคามต่อไปในเวลาที่เหลืออยู่ในการทำงานทางการเมือง หรือเกินเลยกว่านั้น แต่ยืนยันว่าเมื่ออาสามาแล้ว ผมทำหน้าที่เต็มที่ ถ้าผมกลัวผมลาออกไปแล้ว ถ้าผมอยากอยู่สบายผมลาออกไปแล้ว แต่ผมอยู่เพื่อจะต้องตัดสินใจแม้จะขัดใจคนทุกกลุ่มในบางเรื่องเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ผมถือว่านั่นไม่ใช่ความอ่อนแอ ไม่ใช่ความขี้ขลาด ไม่ใช่การหนีปัญหา แต่เป็นการเผชิญปัญหาโดยเอาผลประโยชน์ของตัวเอง ของพรรค ของกลุ่มไปวางไว้ข้างนอก และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง" นายอภิสิทธิ์ระบุ
-แดงไว้อาลัยผู้เสียชีวิต 10 เม.ย.
เมื่อเวลา 09.15 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากสี่แยกราชประสงค์ว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แดงทั้งแผ่นดิน จัดพิธีไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งจะครบรอบ 1 เดือนในวันที่ 10 พ.ค. โดยเชิญญาติผู้เสียชีวิตขึ้นบนเวทีเพื่อร่วมทำพิธี ทั้งนี้มีแกนนำเข้าร่วมประกอบด้วย น.พ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายขวัญชัย ไพรพนา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายจรัล ดิฐาอภิชัย ซึ่งทั้งหมดได้กล่าวสดุดีว่าการเสียชีวิตนี้เป็นวีรกรรมที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และนปช.จะดูแลญาติของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ โดยจะนำผู้ร่วมชุมนุมลุกขึ้นยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที จากนั้นญาติผู้เสียชีวิตได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณและระบุว่าจะร่วมต่อสู้จนถึงที่สุด พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ผู้ร่วมชุมนุมบางคนถึงกับร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมา
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. ปราศรัยว่า จากนี้จะเสนอให้สร้างอนุสาวรีย์ให้วีรชนที่พลีชีพในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และจะต้องชำระประวัติศาสตร์ เพื่อให้ข้อเท็จจริงปราฏว่าวีรชนทั้งหมดเสียชีวิตเพราะอะไร และจะต้องใส่ไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ด้วย
-นปช.เพิ่มเชื่อณัฐวุฒิร่วมเจรจา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงเช้า ไม่มีแกนนำหลักในกลุ่ม 3 เกลอประจำอยู่หลังเวทีเลย มีเพียงแกนนำรองลงไป อาทิ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายขวัญชัย และนายจรัล เท่านั้น ซึ่งปกตินปช.จะแถลงข่าวรอบเช้าเวลา 10.00 น. แต่ปรากฏว่าไม่มีแกนนำคนใดมาแถลงข่าวประจำวันท่ามกลางกระแสข่าวแกนนำเดินทางไปเจรจาร่วมแผนการปรองดองกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงเช้าบริเวณหน้าเวทีค่อนข้างบางตา เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าว มีเพียงบางส่วนที่อยู่ในเต็นท์ของแต่ละจังหวัด และหลบไอร้อนตามซอกตึก และใต้รางรถไฟฟ้าบีทีเอส
รายงานข่าวจากแกนนำนปช. แจ้งว่า สาเหตุที่ความคืบหน้าในการเจรจาในแผนปรองดองกับรัฐบาลยังไม่คืบหน้า เนื่องจากรัฐบาลยื่นเงื่อนไขผ่านผู้เจรจามาว่า จะไม่อนุญาตให้แกนนำบางคนที่มีพฤติกรรมรุนแรงได้ประกันตัว ทำให้แกนนำนปช.ไม่สามารถรับได้ เพราะเกรงจะถูกคุกคามและกลั่นแกล้งทางคดี จึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมแกนนำได้มอบหมายให้นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช.เป็นผู้เจรจาหาข้อสรุป และเพิ่มให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. เข้าร่วมเจรจาด้วย จากเดิมที่มอบหมายให้น.พ.เหวง โตจิราการ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. เป็นผู้ร่วมเจรจากับนายวีระ สาเหตุที่เพิ่มนายณัฐวุฒิ เข้าทีมเจรจา เนื่องจากเห็นว่านายวีระมีลักษณะที่ประนีประนอมต่อข้อเสนอของรัฐบาลมากเกินไป ขณะที่นายจตุพร ก็มีลักษณะแข็งกร้าวเกินไป ทำให้การเจรจาร่วมกันมีปัญหาได้
-แฉรัฐไม่ยอมให้ประกันแกนนำ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากนปช.มีมติเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง นายวีระและนายณัฐวุฒิ ได้เจรจากับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่เป็นคนใกล้ชิดของนายอภิสิทธิ์มาตลอด แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมถอยเรื่องประกันตัวแกนนำ จึงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า โดยนปช.ได้เสนอให้แกนนำที่ถูกออกหมายจับไปมอบตัวก่อนยุติการชุมนุม และเมื่อตำรวจอนุมัติให้ประกันตัวแล้ว แกนนำจึงพร้อมจะประกาศยุติการชุมนุม
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับข้อเสนออื่นๆ ในเรื่องการถอนกำลังทหาร การประกาศยกเลิกการใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเปิดพีเพิลแชนแนล ก็เป็นข้อเสนอที่นปช.ยื่นต่อรัฐบาลแล้วแต่ยังไม่มีการตอบสนอง ซึ่งแกนนำทั้งหมดเห็นว่าหากเปิดเวลาเจรจาอีกระยะหนึ่ง แล้วไม่ได้รับการตอบสนองที่พอใจ จะเสนอโรดแม็ปของนปช.ต่อสาธารณชน ผ่าน สื่อมวลชน เพื่อให้สังคมร่วมพิจารณาและกดดันรัฐบาล และแสดงให้เห็นว่าสาเหตุที่ล่าช้าไม่ใช่เพราะฝั่งนปช. แต่เป็นเพราะความไม่จริงใจของรัฐบาลเอง
-โวยมาร์คอย่าเร่งรัดกับม็อบ
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายณัฐวุฒิ แถลงถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ระบุหาก นปช.ตกลงจะเข้าร่วมมาตรการปรองดอง น่าจะหาข้อยุติโดยเร็วเพื่อนำไปสู่การยุติการชุมนุมถ้าตกลงกันได้ว่า ทันทีที่ประกาศเราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด จริงๆเราใช้เวลาเท่ากับที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เวลาชี้แจงกับคนพวกเดียวกัน คนคิดว่าวันที่ออกทีวีเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งอย่างชัดเจน แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะขณะนั้นทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่เห็นด้วย แต่พอรัฐบาลทำเสร็จจะมาเร่งรัดเอากับเราทุกวัน เรื่องนี้เราแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เรื่องบ้านเรื่องเมืองต้องคุยกันละเอียด
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า คำว่าปรองดอง ไม่ได้หมายความแค่คนเสื้อแดงยุติการชุมนุม หรือรัฐบาลยุบสภาเท่านั้น แต่เราจะนำพาบ้านเมืองออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างไร งานของเสื้อแดงไม่หยุดแค่ยุติการชุมนุม และรัฐบาลไม่ใช่แค่ยุบสภา แต่ต้องคิดว่าหลังจากนี้จะพาประเทศเดินไปอย่างปลอดภัยถึงวันเลือกตั้งอย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ทราบจริงๆหรือว่ามีคนที่ไม่ต้องการให้เลือกตั้ง และไม่ต้องการเดินไปถึงตรงนั้น มาตรการ ปรองดองง่ายสุดคือรัฐบาลยุบสภา คนเสื้อแดงเลิกชุมนุม แต่หลังจากนี้จะยากขึ้นทุกวัน และต้องแน่ใจว่าจนถึงวันเลือกตั้งเราจะไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง จนนำไปสู่การทำลายประชา ธิปไตยอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์คิดเรื่องพวกนี้หรือยัง เราเข้าใจว่าสังคมรอคอย และตนก็แถลงว่าวันสองวันเราจะเสนอแนวทางที่ยืดหยุ่นได้ จึงอยากให้ประชานได้เข้าใจรูปธรรมของสถานการณ์
"นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา นปช.ยุติชุมนุม ไม่ได้หมายความว่าบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยทันที หรือเกิดความยุติธรรมขึ้นมา แต่หมายถึงมาตรการต่อไปต้องช่วยกันทำอะไร จะมาเร่งรัดเราเหมือนกับลูกน้องในรัฐบาลไม่ได้ เพราะคนเสื้อแดงไม่ใช่ลูกน้องนายอภิสิทธิ์" นายณัฐวุฒิกล่าว
-อย่ารุกราน-ค้ากำไรเกินควร
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า วันนี้ต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศ ตนไม่ประสงค์เห็นการให้สัมภาษณ์เชิงรุกรานดินแดน หรือค้ากำไรเกินควรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดองคือพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นี่คือการเล่นเกมการเมืองมาบีบกัน หากเดินต่อไม่ได้ นายอภิสิทธิ์จะชี้ว่าทีแรกนปช.เปิดรับแต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เอาเลยเดินต่อไม่ได้ แต่หากเดินได้ก็จะบอกว่ารัฐบาลเสนอมาตรการที่สวยงามจึงทำได้ สรุปว่ากินทั้งหน้าทั้งหลัง นายอภิสิทธิ์ไม่ควรทำแบบนี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพล.ต.ขัตติยะว่า พล.ต.ขัตติยะเป็นอิสรชน เคลื่อนไหวเอง ถูกผิดอย่างไร ท่านต้องรับผิดชอบ เราคือ นปช. พล.ต.ขัตติยะก็คือพล.ต. ขัตติยะ เช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณคือคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับการเห็นด้วย หรือขัดขวางการปรองดอง
"ไม่ควรมีใครเร่งรัดหรือหาเศษหาเลยกับเรื่องนี้อีก นี่คือการชุมนุม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คนอื่นเห็นอย่างไรไม่เกี่ยว แต่ถ้าจะพูดกันอย่างนี้ ขอตั้งคำถามว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับการ ปรองดอง คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตร หากไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลฟังคำสั่งนายสนธิ หรือคนก่อเหตุคือพล.ต.จำลอง จะมีประโยชน์อะไรที่มาพูดแบบนี้ การตั้งข้อสังเกตกล่าวหากินแดนจะยากอะไร ตนก็ทำได้แล้วจะเอายังไง" นายณัฐวุฒิกล่าว
-พูดเป็นนัยอาจมีอุบัติเหตุ
ผู้สื่อข่าวถามว่าอุบัติเหตุที่กล่าวถึงหมายถึงอะไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า อุบัติเหตุอธิบายเป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่อะไรก็เกิดได้ภายใต้สถานการณ์เปราะบาง เพราะหลายคนไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา หรือเสียสถานะในการเลือกตั้ง หลายคนเชื่อว่าเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ทำให้ต้องสูญเสียไป ดังนั้นหลังจากนี้จะประคับประคองบ้านเมืองอย่างไรจนถึงวันที่เป็นประชาธิปไตย ตนห่วงว่าถึงก่อนถึงวันเลือกตั้งจะมีคนขัดขวาง จนนำมาสู่การยึดอำนาจ ตนไม่รู้ ว่าจะมีอะไร แต่ที่รู้คือรัฐบาลไม่มีศักยภาพป้องกันสถานการณ์ เราจึงต้องช่วยกันคิด หากพวกตนยุติการชุมนุม แต่บ้านเมืองเลือกตั้งไม่ได้ ตนก็ต้องกลับมา ความขัดแย้งมันก็จะขยายจะรุนแรงอีก เมื่อเราไม่ต้องการแบบนี้จึงต้องช่วยกันคิด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตัดสินใจจะเน้นเรื่องส่วนรวมเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของแกนนำใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า "แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าพวกผมกังวลเรื่องความปลอดภัย ก็ขอนิรโทษกรรมกันไปนาน เพราะข้อกล่าวหานี้รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต แต่การนิรโทษกรรมเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลเสนอมา แต่พวกผมปฏิเสธ พวกผมไม่ประสงค์เช่นนั้นจึงขอปฏิเสธและขอให้ดำเนินคดีต่อไป"
-การ์ดแดงจับจสอ.พกปืนมีพิรุธ
น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีมีข่าวจะเดินทางไปมอบตัวเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ว่า เป็นเพียงการพูดถึงกำหนดการเดิมที่นัดกับพนักงานสอบสวนเอาไว้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปตามนั้น แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็อาจจะไม่ไป ซึ่งเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาการเจรจาหรือท่าทีของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม เพราะหมายจับดังกล่าว เป็นหมายจับรวมจะดำเนินการอย่างไร ก็เป็นมติที่ประชุม
วันเดียวกัน นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดนปช. เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 8 พ.ค. การ์ดนปช.ได้จับตัวชายคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะน่าสงสัย มาเดินป้วนเปี้ยนพื้นที่การชุมนุมฝั่งสยามสแควร์ คอยด้อมๆ มองๆ เข้ามาในพื้นที่ชุมนุมตลอดเวลา การ์ดนปช.จึงขอเข้าตรวจค้นตัว พบบัตรประจำตัวสังกัดกองทัพบก ทราบชื่อคือ จ.ส.อ.สมชาย จุลางยน และยังพบอาวุธปืน พร้อมกระสุน 2 แม็ก จึงนำตัวมา สอบสวน และนำตัวจ.ส.อ.สมชาย ไปที่สน. ลุมพินี ก่อนที่สน.ลุมพินี จะนำตัวส่งสน.ปทุมวัน เนื่องจากเหตุเกิดในพื้นที่ของสน.ปทุมวัน ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปรามแจ้งว่าจ.ส.อ.สมชาย มีหมายจับข้อหาฆ่าคนตายที่ จ.นครสวรรค์ ทางตำรวจจึงได้ควบคุมตัวไว้
-"เทือก"ร่วมประชุมศอฉ.
เวลา 09.00 น. ที่ร.11 รอ. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาเป็นประธานการประชุมศอฉ. มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เข้าร่วมประชุม ใช้เวลาประชุม 30 นาที โดยที่ประชุมได้ประเมินและบรรยายสรุปสถานการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และฝ่ายยุทธการ
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายสุเทพไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะต้องรอดูท่าทีของกลุ่มนปช.ว่าจะมีคำตอบอย่างไร หลังจากนายอภิสิทธิ์ ได้ยื่นข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติไปแล้ว ส่วนท่าทีของกองทัพขณะนี้ ก็ยังรอดูท่าทีของกลุ่มนปช.เช่นกัน
-พท.พาญาติ 10 เม.ย.บี้จับมาร์ค
เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 10 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะนำญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย. เข้าร้องทุกข์ต่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และจะยื่นกับประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเวลา 13.00 น. เพื่อให้สอบสวนและดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) และคณะกรรมการ ศอฉ. รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคนในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. เพราะการดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักสากล ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นการกระทำความผิดโดยการคิดไตร่ตรองไว้ก่อน และถือเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 และมาตรา 82, 83, 84
-เสธ.แดงโต้-ชี้มาร์คหมดมุข
วันเดียวกัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทบ. กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ กล่าวหาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงและต้องการล้มแผนปรองดองแห่งชาติว่าตนไม่ได้ขัดขวางแผนการปรองดองแห่งชาติ หรือโรดแม้ป แต่เพราะโรดแม็ปไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หรือตรงตามที่มวลชนคนเสื้อแดงต้องการ พวกเขาจึงไม่ยอมยุติการชุมนุม
"เรามีโรดแม็ป เรดแม็ปทั้งหมด 5 ข้อของเราที่นายกรัฐมนตรีควรจะต้องพิจารณาและดำเนินการก่อน พวกเราจึงจะยุติการชุมนุม เพราะต่อให้แกนนำ นปช.อยากจะปรองดอง แต่ความรู้สึกของมวลชนยังไม่ยอม ต้องได้รับการเยียวยาเสียก่อน" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวต่อว่าที่นายกฯโจมตีใส่ร้ายตนเอง เพราะหมดมุข ไม่มีมุขจะเล่นแล้ว ทำมาทุกอย่าง แต่ก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นพวกแต๋วแตกแล้ว หาใครไม่ได้ ก็เลยหันมาโทษ เสธ.แดง "พี่ทักษิณ ก็สนับสนุนแผนปรองดอง ต้องการให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่อยู่แล้ว แต่พี่น้องเสื้อแดงไม่ยอมเอง เพราะการชุมนุมและเป้าหมาย มันเลยขั้นพี่ทักษิณไปแล้ว"
-เผยมวลชนแดงพร้อมสู้ไม่ถอย
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บงการให้สู้ต่อไปนั้น พล.ต. ขัตติยะ ปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยต้อง การให้ตนใช้ความรุนแรง มีแต่คอยห้ามไม่ให้ไปขัดกับแกนนำนปช. เหมือนตอนที่แกนนำ ยอมรื้อรั้วที่ ร.พ.จุฬาฯ แต่ตนเห็นว่ามัน อันตราย ที่จะทำให้ทหารเข้าตีเราได้ง่าย ก็ไม่ยอม จนพี่ทักษิณต้องโทร.มาขอร้อง ตนถึงยอม เพราะตนมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเท่านั้น พี่ทักษิณไม่เคยสั่งอะไรตน ยิ่งเรื่องปรองดอง พี่ทักษิณหนุนเต็มที่ แต่เมื่อมวลชนไม่ยอม ตนก็ต้องอยู่กับมวลชน
"นายกฯคงไม่รู้ว่าสู้อยู่กับใครบ้าง แต่เห็น เสธ.แดง เดินๆ อยู่ในม็อบเปิดตัวที่สุด ก็เลยมาโจมตีผม เป็นถึงนายกฯ ข้อมูลการข่าวต้องลึกกว่านี้หน่อย จะบอกให้ก็ได้ว่า ตอนนี้นายกฯสู้อยู่กับประชาชน มวลชนคนเสื้อแดงที่ใจสู้ ถ้านายกฯไม่ยุบสภา ก็ถือว่าไม่บรรลุเป้าหมาย พร้อมตายคาราชประสงค์ นายกรัฐมนตรี ควรเป็นฝ่ายที่ต้องยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่มา บอกคนเสื้อแดงให้ยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
เมื่อถามว่าหากเลิกการชุมนุมแล้วกลัวที่จะถูกตามเช็กบิล จับกุมหรือไม่ จึงไม่อยากให้เลิกชุมนุมนั้น พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า คนอย่างตนไม่กลัวหรอก ถ้าประชาชนต้องการเลิก ยุติการชุมนุมก็กลับบ้าน แต่ก็คงต้องหลบๆ เพราะไม่อยากมีเรื่อง ต้องมีคนตามเล่นงานแน่ แต่ตนก็คงไม่อยู่เฉยๆ ให้ใครมาทำร้ายหรือรังแกได้ ตอนนี้ถ้าประเมินจิตใจของผู้ชุมนุมแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายเดือน หรือจนเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ จะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกที ถึงเวลานี้ แกนนำตัดสินใจยากแล้ว แม้ตนเองอยากปรองดอง แต่ผู้ชุมนุมยังไม่ยอมหยุด ยังต้องการเป้าหมายอยู่ ตอนนี้มวลชนเลยคิดแกนนำนปช.ไปซูเอี๋ยกับรัฐบาล ไม่ยอมทำตามสัญญาที่ประกาศไว้
-"เทือก"ขู่แดงอีก-ลั่นให้รอดู
เมื่อเวลา 17.00 น. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศอฉ. มีพล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. สำนักข่าวกรองฯ และหน่วยงานความมั่นคงเข้าร่วมประชุม มีนายอภิสิทธิ์ข้าร่วมรับฟังการประชุมด้วย ใช้เวลาหารือ 20 นาที
ในที่ประชุมทางกอ.รมน. และสำนักข่าว กรองฯได้ประเมินและสรุปสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์ให้ที่ประชุมได้รับทราบ ขณะนี้ทางศอฉ.จะรอดูท่าทีคำตอบของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ตอบรับแนวทางปรองดองหรือไม่จึงจะชี้แจงต่อสื่อมวลชน เพราะศอฉ.ไม่อยากให้กลุ่มคนเสื้อแดงนำคำแถลงของศอฉ.ไปเป็นข้ออ้างว่า ไม่ปรองดอง ขณะนี้ทางศอฉ. พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีเพราะช่วงนี้เป็นการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบรมราชาภิเษกปีที่ 60
นายสุเทพ ตอบคำถามกรณีถึงเส้นตายวันที่ 10 พ.ค.นี้ ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีคำตอบ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดถึงขนาดจะสลายการชุมนุมหรือไม่ ว่า เดี๋ยวคอยดูก็แล้วกัน
-ปณิธานอ้างต่างชาติเข้าใจไทย
ต่อมานายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิ การนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รายงานต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเดินทางไปชี้แจงเอกอัครราชทูตไทยที่ประจำในต่างประเทศ ซึ่งคณะทูตไทยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย โดยเฉพาะกรณีนายกฯ เสนอแผนสร้างความปรองดองในนามรัฐบาล รวมถึงปัญหาของมวลชนเสื้อแดงและแกนนำ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ โดยสรุปนั้นในแง่ต่างประเทศรับรู้รายละเอียดมากขึ้น นายกษิตยังยืนยันกับคณะทูตไทยในเรื่องการก่อการร้ายว่ารัฐบาลยังเดินหน้าดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับปริมาณของมวลชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาร่วมการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ทดแทนมวลชนใน กทม.นั้น ตัวเลขของมวลชนที่เดินทางเข้ามายังไม่มีความชัดเจน ศอฉ.กำชับให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในจุดสำคัญๆ ให้มากขึ้นเพื่อป้องกันและระมัดระวังเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด อีกทั้ง นายกฯ ได้กำชับเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นพิเศษ
-"ตุลย์"เดินสายไปพิษณุโลก
เวลา 08.00 น. น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี และนายชัชชัย สุขาวดี หรือหรั่ง ร็อคเคสตร้า ได้เดินทางมาพบกลุ่มเสื้อหลากสี ที่จังหวัดพิษณุโลก โดยมีแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีพิษณุโลกต้อนรับ ก่อนจะไปสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถนนวังจันทน์ อ.เมือง จากนั้นไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ เพื่อกราบไหว้หลวงพ่อพุทธชินราช ภายในวิหารหลวง และเข้ากราบไหว้พระพุทธชินสีห์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศเหนือ และพระศรีศาสดา ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศใต้ เพื่อเป็นสิริมงคล
น.พ.ตุลย์ เปิดเผยว่า ตนได้อธิษฐานขอให้คนเสื้อแดงตาสว่างเปลี่ยนใจมารักชาติ เลิกรักพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอให้ชาวพิษณุโลกทั้งเสื้อแดงหรือคนเสื้อหลากสี ร่วมมือกันทำให้สังคมสงบสุข อย่าหลงคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ทุจริตทำลายชาติ ขอให้ร่วมมือต่อต้าน และการเลือกตั้งครั้งหน้าขอให้เลือกกลุ่มที่มาทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าเลือกคนที่เห็นแก่ประโยชน์หวังเข้ามากอบโกยเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้มีรปภ.ส่วนตัวคอยดูแลน.พ.ตุลย์ อย่างใกล้ชิด และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดยพ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก มาดูแลสงบความเรียบร้อย เนื่องจากมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาดูลาดเลา อย่างไรก็ตาม เวลา 16.00 น. น.พ.ตุลย์ มีกำหนดพบปะกับกลุ่มเสื้อหลากสี ที่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา กลางเมืองพิษณุโลก
-หลากสีจับ2หนุ่มอ้างม็อบแดง
เมื่อเวลา 17.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สมาชิกกลุ่มเสื้อหลากสีทยอยมาร่วมชุมนุมกว่า 300 คน และขึงธงชาติขนาดใหญ่และโบกธงชาติขนาดเล็กไปมา สร้างความสนใจให้คนที่สัญจรไปมา แกนนำปราศรัยคัดค้านการยุบสภา สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ให้ทำงานต่อ พร้อมเรียกร้องให้มากันมากๆ ในการชุมนุมใหญ่วันที่ 16 พ.ค. ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ โดยครั้งนี้ น.พ.ตุลย์ไม่ได้มาร่วมแต่อย่างใด
หลังการชุมนุมผ่านไปไม่นาน การ์ดกลุ่มคนเสื้อหลากสีจับชายต้องสงสัย 2 คน มัดข้อมือด้วยเชือกฟาง นำไปสอบประวัติหลังเวที ทราบชื่อนายนิรันดร์ ช่องสี ชาวชัยภูมิ และนายอรรค
เดช วิเศษสิงห์ ชาวกาญจนบุรี โดยนายอรรคเดช ใส่เสื้อลายสกอตที่มีลายเซ็นเสธ.แดง การ์ดเสื้อหลากสี ระบุเสธ.แดง เป็นคนส่งมาสอดแนมการชุมนุม แต่นายอรรคเดช ปฏิเสธว่า ไม่ได้มาสอดแนม แต่มาเพื่อหาน้า เพื่อขอค่ารถกลับบ้านที่ จ.กาญจนบุรี
จากนั้น แกนนำนำชายทั้ง 2 ขึ้นบนรถ ปราศรัย ให้เล่าเหตุการณ์ว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์ อึดอัดอย่างไร และสอบถามว่าจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ นายนิรันดร์ นำคู่มือการร่วมชุมนุมนปช. มาโชว์ ขณะที่โฆษกบนเวที กล่าวว่า การชุมนุมของนปช. ต้องตอบคำถามตามคู่มือ จากนั้นมีการร่วมบริจาคเงินให้ 2 คนกลับบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการชุมนุม มีการ์ดเสื้อหลากสีประจำทุกจุดรอบบริเวณ และมีกล้องส่องทางไกลไปตามตึกสูงต่างๆ เพื่อป้องกันการซุ่มยิง
-ม็อบแดงคับคั่งรอฟัง"เรดแม็ป"
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงเย็น ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทยอยมารอฟังการปราศรัยหน้าเวทีอย่างต่อเนื่อง แน่นไปจนถึงสะพานลอยหน้าทางเข้าเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า เพื่อรอฟังการประกาศโรดแม็ป ของกลุ่มนปช. จำนวน 5 ข้อต่อรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมบางส่วนกระจายอยู่ในร่มไม้และเงาตึก เนื่องจากถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นแต่อากาศยังคงร้อนระอุ ผู้ชุมนุมจึงต้องใช้พัด และหนังสือพิมพ์ บรรเทาความร้อน ส่วนแกนนำทยอยกันมาที่หลังเวทีตั้งแต่ช่วงเวลา 17.00 น. ส่วนบนเวทีเป็นการปราศรัยของแกนนำคนต่างๆ ที่โจมตีว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหาของประเทศ
เวลา 19.35 น. แกนนำนปช. ทยอยกันออกจากตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ที่ใช้เป็นสถานที่ในการประชุม หลังจากประชุมกันอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง นายสมหวัง อัสราษี หนึ่งในแกนนำนปช. กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าวันนี้ยังไม่มีอะไร ไม่มีการแถลงข่าว เพราะยังสรุปอะไรไม่ได้ ต้องรอวันที่ 10 พ.ค. คาดว่าจะมีข้อสรุปออกมา รวมไปถึงแกนนำคนอื่นๆ ก็ตอบด้วยคำตอบเดียวกันว่า ไม่มีอะไร
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า การชุมชุมนุมจะยุติก่อนวันที่ 15 พ.ค.หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะรับข้อเสนอของคนเสื้อแดงหรือไม่ เมื่อถามว่าย้ำว่าทำไมแกนนำยังไม่ออกมาแถลงข่าว นายอริสมันต์ กล่าวว่า กำลังมีการต่อสายคุยกับทางรัฐบาลอยู่ ตอนนี้ต้องรอเจรจากันอยู่ ไปเร่งไม่ได้
-ชี้เหยื่อที่ตายต้องได้ยุติธรรม
เวลา 20.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานนปช. ให้สัมภาษณ์หลังเวที ว่า ที่ประชุมวันนี้ยังไม่มีข้อยุติ เนื่องจากมีประเด็นหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดมากที่สุดคือ เรื่องคดีความ ที่แกนนำหลายคนเห็นไม่เห็นด้วย ที่จะดำเนินคดีเฉพาะฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ทำให้แกนนำ นปช.มีความหนักใจที่จะชี้แจงกับมวลชน เพื่อที่จะยุติการชุมนุม จึงจะยังไม่แถลงข่าว
"นโยบายเรื่องการฆ่าประชาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน ก็รอความชัดเจนในส่วนนี้อยู่ พวกผมจะฟังความเห็นว่ามีประชาชนล้มตาย และบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรับผิดชอบต่อชีวิตเหล่านั้น ไม่มีผู้ต้องหาสักคน" นายจุตพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พวกตนเข้าใจว่าสังคมต้องการให้เกิดความปรองดอง แต่คนเสื้อแดงมีคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ หากละทิ้งตรงนี้แล้วไปสู้คดีก่อการร้าย ล้มสถาบัน โดยไม่ได้ขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ทางประชาชนคนเสื้อแดงก็คงไม่ยอม ขอโอกาสสังคมด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามต้องคิดเรื่องของประชาชนที่ตาย จะบอกว่าเราได้วันเลือกตั้งแล้วลืมความตาย ความบาดเจ็บของประชาชนมันไม่ใช่ ดังนั้นรัฐบาลต้องให้คำตอบเรื่องนี้เราจะออกจากสนามนี้โดยละทิ้งประชาชนไม่ได้ ตนต้องขอวิงวอนสังคมด้วย ไม่ใช่ว่าเราดื้อรั้น สังคมควรให้โอกาสพวกตน เราจะออกจากสนามแห่งนี้โดยละทิ้งคนตายและบาดเจ็บโดยไม่รับผิดชอบใดๆ นั้นไม่ได้ ยืนยันว่าพวกตนจะไปต่อสู้คดีล้มสถาบันและก่อการร้ายโดยไม่ขอนิรโทษกรรม
-ถ้าเทือก-มาร์คยอมรับคดีก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกฯ ขีดเส้นบอกถ้าจริงใจต้องชัดเจนใน 1-2 วันนี้ วันที่ 15 พ.ค. ช้าไป นายจตุพร กล่าวว่า ต้องถามกลับกัน ถ้านายกฯจริงใจต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคดีฆ่าคนตาย เหมือนพวกตนที่ไม่ขอนิรโทษกรรม คดีของพวกตนก็เดินหน้า คดีนายกฯก็ต้องเดินหน้าเช่นกัน ประชาชนก็จะกลับอย่างมีความสุข ส่วนคณะกรรมการสอบสวนก็ว่ากันไป
"ผมเชื่อว่านายกฯ ก็ต้องการจะจบ ดังนั้นนายกฯ ก็ต้องทำตามกฎหมาย ปฏิบัติต่อพวกผมอย่างไรก็ควรปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างนั้น" นายจตุพร กล่าวและว่า ส่วนที่มวลชนอยากกลับบ้านพวกตนไม่เคยไปบังคับประชาชนไม่ให้ออกจากที่นี่ตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการยึดบัตรประชาชนบ้าง ไปจ้างคนบ้าง ก็ขอให้สบายใจได้ว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้เอง เชื่อว่าหากมีการดำเนินคดีนายกฯ นายสุเทพ อย่างเท่าเทียมกันประชาชนคงรับได้ วันนี้จะจบได้ใน 1-2 วันนี้ หากนายอภิสิทธิ์ ประกาศอย่างชัดเจนว่าพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกฯ ระบุว่าเป็นห่วงความปลอดภัยประชาชนและแกนนำ นปช.ว่าจะไม่ปลอดภัยหลังเกิดเหตุยิงและระเบิด 2 จุดล่าสุด นายจตุพร กล่าวว่า ตนขอ บอกว่านายกฯและพวกตนต่างร่วมมือที่จะยุติเรื่องนี้ได้ คือ ปฏิบัติตามกฎหมายกับพวกตนอย่างไร ก็ปฏิบัติกับพวกท่านอย่างนั้น ไม่ควรจะมี 2 มาตรฐาน ดังนั้นวันนี้นายอภิสิทธิ์ สามารถยุติปัญหานี้ได้ นายอภิสิทธิ์ต้องการเวลา 1 วัน ดังนั้นสามารถตอบตนในคืนนี้ ทุกอย่างก็จบ เอานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นหลัก แต่กรณีนายกฯเป็น ส.ส.ต้องขออนุมัติจากสภา แต่นายสุเทพ ไม่ได้เป็นส.ส. รัฐธรรมนูญไม่ได้คุ้มครองตำแหน่งรองนายกฯดังนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนพวกตน ไม่เช่นนั้นพวกตนจะตอบพี่น้องประชาชนไม่ได้
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************************
"มาร์ค"ออกทีวีไล่บี้แดงอีก ยอมรับแผนปรองดองต้องยุติม็อบ ระบุสลายตัวในวันที่ 15 พ.ค.ช้าไป ซัดแกนนำอย่ากลัวเสียหน้า ขู่ถ้าไม่เลิกม็อบ ก็อาจไม่ยุบสภา ด้าน"ณัฐวุฒิ"โต้ทันควันอย่าใช้เกมการเมืองบีบ เร่งรัดกับผู้ชุมนุม เพราะไม่ใช่ลูกน้องของรัฐบาล ขณะที่"จตุพร"เรียกร้อง"มาร์ค-เทือก"ต้องยอมรับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกรณีวันที่ 10 เม.ย.ด้วย ยอมรับชี้แจงผู้ชุมนุมลำบากถ้าละเลยที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว
-"มาร์ค"แจงซ้ำแผนปรองดอง
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 พ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงแนวทางการดำเนินการตามแผนปรองดอง 5 ประการว่าในส่วนของแผนที่ 1 เรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัติย์นั้น ขณะนี้กรมสอบสอนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายไปดูแล และเริ่มจับกุมบุคคลที่กระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว ขณะเดียวกันเครือข่ายของขบวนการนี้ก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในแผนที่ 2 เรื่องการสร้างสวัสดิการ ความเป็นธรรม ความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม วันที่ 12-13 พ.ค. นี้ คณะกรรมการที่ทำงานด้านการดูแลชุมชนจะประชุมร่วมกันเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน ในวันที่ 13 พ.ค. จะนำข้อเสนอเบื้องต้นยื่นให้ตน และวันที่ 20 พ.ค. จะจัดประชุมสมัชชาเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนให้ภาคส่วนต่างๆ ได้มาระดมความคิดเห็นอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากวันที่ 20 พ.ค. ควรมีข้อยุติเรื่องกลไกพิเศษ ที่จะอยู่และทำงานเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องข้ามรัฐบาล หลังจากเลือกตั้งไปแล้ว กลไกนี้จะดำเนินการโดยบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นกลไกที่มีความหลากหลาย และไม่ถูกชี้นำโดยรัฐบาล อีก 10 วันข้างหน้าน่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นายกฯ กล่าวว่า แผนข้อที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสื่อให้มีบทบาทการทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้นนั้น ในด้านกฎหมาย ขณะนี้มีการยกร่างกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าจะทำอย่างไร จึงจะควบคุมดูแลสื่อต่างๆ ไม่ให้มีบทบาทยั่วยุ ปลุกระดม และสร้างความเกลียดชัง ความรุนแรงในสังคมต่อไป ในเบื้องต้นเห็นว่า กทช. หรือ กสทช.ในอนาคต น่าจะเข้ามามีบทบาท และเป็นกลไกหลักในการผลักดันเรื่องนี้ โดยให้ทำงานใกล้ชิดกับองค์กรวิชาชีพสื่อ และสุดท้ายควรมีองค์กรอิสระที่ประกอบด้วยภาคประชาชน ได้เข้ามามีบทบาทตรวจสอบการทำงานของสื่อมากขึ้น ยืนยันว่าทั้งหมดต้องไม่ใช่การเปิดโอกาสให้รัฐ หรือการเมืองเข้าไปแทรกแซงสื่อ
-ยังเชื่อก่อการร้ายร่วมผสมโรง
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนแผนปรองดองข้อที่ 4 เรื่องการตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุม ขณะนี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย., 22 เม.ย., 28 เม.ย. และคืนวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งทั้งรัฐบาล และกองทัพ ยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบทั้งหมด รัฐบาลและกองทัพมั่นใจว่าสิ่งที่ปฏิบัติไปทั้งหมดเป็นไปตามระเบียบแบบแผน และกฎหมาย ยืนยันไม่ต้องการให้นิรโทษกรรมกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องการสร้างกติกาทางการเมืองที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะต้องนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ยืนยันว่า การหาข้อยุติเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองจะตกลงกันเอง ต้องมีรูปแบบ วิธีการฟังความคิดเห็นจากผู้ที่ไม่ใช่นักการเมือง ในส่วนของตนเอง รัฐบาล และพรรคที่ตนสังกัดยืนยันว่าจะไม่มีการแก้กติกาใดๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะนี้มีการเอาแผนปรองดองไปผูกกับเรื่องการยุบสภา ตนยืนยันว่าทั้ง 5 ข้อนี้ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะคลี่คลายไปทางใด รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป
นายกฯ กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลต้องปรองดองกับกลุ่มก่อการร้ายนั้นว่าแผนทั้ง 5 ข้อ ไม่มีตรงไหนที่จะไปปรองดองกับผู้ก่อการร้าย หรือผู้กระทำผิดกฎหมาย เพราะในแผนทั้ง 5 ข้อ ไม่มีส่วนใดพูดถึงการนิรโทษกรรมในคดีอาญาต่างๆ ผู้ที่กระทำความผิดยังมีความผิด และจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเหมือนเดิม หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะดีเอสไอยังดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
-ห้ามมีม็อบไปจนถึงวันเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.ว่า เป็นการกระทำบนพื้นฐานหลักความคิดเดิม ไม่ใช่การจำนนต่อการเรียกร้อง "ที่ผมพูดว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. ผมบอกว่าจะมีการเลือกตั้งต่อเมื่อทุกฝ่ายแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในการเข้ามาสู่กระบวนการปรองดอง และรูปธรรมที่เราต้องการเห็นคือ การชุมนุมทางการเมืองซึ่งผิดกฎหมายต้องยุติลง และจากวันนี้จนถึงการยุบสภา หรือการเลือกตั้งนั้น ต้องมีรูปธรรมชัดเจนว่ารัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆ สามารถทำหน้าที่ตามกฎหมายได้โดยไม่มีการขัดขวาง ความหมายคือว่า นักการเมืองทุกฝ่ายต้องมาประสานกันว่า ต้องไปลงพื้นที่ได้ ไม่มีการขัดขวาง ไม่มีความรุนแรง ถ้าทำได้ ผมก็บอกว่ารัฐบาลพร้อมจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็หมายความว่าการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นไม่ได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรมาพบและตั้งข้อสังเกตว่าแผนปรองดองของรัฐบาลเป็นการสมคบของนักการเมืองว่า ตนได้ตอบกับกลุ่มพันธมิตรไปแล้วว่า แผนนี้มีที่มาจากหลักคิด คิดและเขียนด้วยตัวเองผ่านการเจรจาฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่มาจากการเจรจาต่อรอง ได้ชี้แจงพูดคุยกันอย่างละเอียด กลุ่มพันธมิตรฯจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ขณะเดียวกันได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งแสดงความเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว แต่ขอดูการทำงานในช่วง 1-2 เดือนจากนี้ไปก่อนว่านำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริงหรือไม่
-ซัดแม้ว-เสธ.แดงขวางปรองดอง
สำหรับเหตุการณ์ยิงตำรวจบริเวณถนนสีลม เมื่อคืนวันที่ 7 พ.ค.ที่มองว่าเป็นความล้มเหลวของแผนปรองดองนั้น นายกฯกล่าวว่า ผู้ที่ไม่สนับสนุนแผนปรองดองกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มของผู้ก่อการร้าย เพราะถ้าแผนปรองดองสำเร็จ กลุ่มนี้จะถูกแปลกแยกจากสังคม และถูกดำเนินคดี เพราะไม่สามารถเอามวลชนมาเป็นโล่มนุษย์ได้อีกต่อไป
"คนที่แสดงตัวชัดเจนไม่เอาแผนปรองดอง คือเสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทบ.) และมีความพยายามยิ่งยวดที่จะไม่ให้มีการชุมนุมในขณะนี้ยุติลง เสธ.แดงพูดชัดเจนว่าได้ติดต่อประสานงานกับแกนนำในภูมิภาคเพื่อคัดค้านแกนนำในส่วนกลาง เบื้องต้นบอกว่าตอบรับแผนการปรองดอง ที่สำคัญเสธ.แดงบอกด้วยว่า เขาจะฟังจากคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ซึ่งผมกล้าพูดได้เช่นเดียวกันว่าคุณทักษิณไม่พอใจแผนปรองดอง เพราะในแผนปรองดองไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของคุณทักษิณเลย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
-จี้แดงยุติชุมนุมให้ได้ในวันนี้
นายกฯ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าแผนปรองดองต้องเดินหน้า วันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมตอบรับแผนการปรองดองแล้วแต่ยังไม่ยุติการชุมนุม ความเสี่ยงจะมีสูงมาก กลุ่มผู้ก่อการร้ายอาจใช้ความรุนแรงอีก โดยเฉพาะกับตัวผู้ชุมนุม หรือแกนนำ ถ้ายืนยันว่าจะเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง รีบยุติการชุมนุมเสีย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้อง ทุกคนทุกกลุ่ม อย่าคิดว่าเป็นเรื่องต้องเอาชนะ เรื่องจะเสียหน้า หรือเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ถ้ามีความจริงใจต้องประกาศยกเลิกการชุมนุมได้โดยเร็ว ที่ประกาศว่าจะยุติในวันที่ 15 พ.ย.นั้นตนเห็นว่ายังช้าไป
"ถ้าจริงใจ และอยากจะมาร่วมในกระบวนการปรองดอง อย่ารอช้า ถ้าช้าไปมีแต่ความเสียหาย และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าถ้ายิ่งช้าไปรัฐบาลก็ไม่สามารถตอบคำถามกับสังคมได้ว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย.ได้ เพราะฉะนั้น วันที่ 10 พ.ค. ควรมีคำตอบที่ชัดเจน เพื่อที่เราจะได้ทำงานร่วมกันต่อไป เดินหน้าในการบังคับใช้กฎหมาย แยกผู้ก่อการร้ายมาดำเนินคดี และร่วมกันสร้างคำตอบทางการเมือง และสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่นำไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริงต่อไป" นายกฯกล่าว
-อ้างไม่ได้รับประโยชน์จากแผนนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯว่า สิ่งที่คนไม่หวังดีต่อบ้านเมืองในขณะนี้ต้องการเห็นมากที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทันที อยากให้ตนลาออก และเอาคนอื่นเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาจจะตัดสินใจแล้วทำให้เกิดความรุนแรงเป็นสงครามประชาชน หรือคนที่เข้ามาแล้วทำให้เกิดการพลิกขั้วทางการเมือง และเอื้ออำนวยต่อกลุ่มที่กระทำการผิดกฎหมาย ยืนยันว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยจากการปรองดอง ครั้งนี้
"หลายคนบอกว่าผมเอาตัวรอด ผมอยู่สบายแต่ประชาชนเดือดร้อน ผมเรียนว่าไม่จริง ชีวิตผมถูกคุกคามอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ และรู้ว่าคงถูกคุกคามต่อไปในเวลาที่เหลืออยู่ในการทำงานทางการเมือง หรือเกินเลยกว่านั้น แต่ยืนยันว่าเมื่ออาสามาแล้ว ผมทำหน้าที่เต็มที่ ถ้าผมกลัวผมลาออกไปแล้ว ถ้าผมอยากอยู่สบายผมลาออกไปแล้ว แต่ผมอยู่เพื่อจะต้องตัดสินใจแม้จะขัดใจคนทุกกลุ่มในบางเรื่องเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ผมถือว่านั่นไม่ใช่ความอ่อนแอ ไม่ใช่ความขี้ขลาด ไม่ใช่การหนีปัญหา แต่เป็นการเผชิญปัญหาโดยเอาผลประโยชน์ของตัวเอง ของพรรค ของกลุ่มไปวางไว้ข้างนอก และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง" นายอภิสิทธิ์ระบุ
-แดงไว้อาลัยผู้เสียชีวิต 10 เม.ย.
เมื่อเวลา 09.15 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากสี่แยกราชประสงค์ว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แดงทั้งแผ่นดิน จัดพิธีไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งจะครบรอบ 1 เดือนในวันที่ 10 พ.ค. โดยเชิญญาติผู้เสียชีวิตขึ้นบนเวทีเพื่อร่วมทำพิธี ทั้งนี้มีแกนนำเข้าร่วมประกอบด้วย น.พ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายขวัญชัย ไพรพนา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายจรัล ดิฐาอภิชัย ซึ่งทั้งหมดได้กล่าวสดุดีว่าการเสียชีวิตนี้เป็นวีรกรรมที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และนปช.จะดูแลญาติของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ โดยจะนำผู้ร่วมชุมนุมลุกขึ้นยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที จากนั้นญาติผู้เสียชีวิตได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณและระบุว่าจะร่วมต่อสู้จนถึงที่สุด พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ผู้ร่วมชุมนุมบางคนถึงกับร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมา
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. ปราศรัยว่า จากนี้จะเสนอให้สร้างอนุสาวรีย์ให้วีรชนที่พลีชีพในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และจะต้องชำระประวัติศาสตร์ เพื่อให้ข้อเท็จจริงปราฏว่าวีรชนทั้งหมดเสียชีวิตเพราะอะไร และจะต้องใส่ไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ด้วย
-นปช.เพิ่มเชื่อณัฐวุฒิร่วมเจรจา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงเช้า ไม่มีแกนนำหลักในกลุ่ม 3 เกลอประจำอยู่หลังเวทีเลย มีเพียงแกนนำรองลงไป อาทิ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายขวัญชัย และนายจรัล เท่านั้น ซึ่งปกตินปช.จะแถลงข่าวรอบเช้าเวลา 10.00 น. แต่ปรากฏว่าไม่มีแกนนำคนใดมาแถลงข่าวประจำวันท่ามกลางกระแสข่าวแกนนำเดินทางไปเจรจาร่วมแผนการปรองดองกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงเช้าบริเวณหน้าเวทีค่อนข้างบางตา เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าว มีเพียงบางส่วนที่อยู่ในเต็นท์ของแต่ละจังหวัด และหลบไอร้อนตามซอกตึก และใต้รางรถไฟฟ้าบีทีเอส
รายงานข่าวจากแกนนำนปช. แจ้งว่า สาเหตุที่ความคืบหน้าในการเจรจาในแผนปรองดองกับรัฐบาลยังไม่คืบหน้า เนื่องจากรัฐบาลยื่นเงื่อนไขผ่านผู้เจรจามาว่า จะไม่อนุญาตให้แกนนำบางคนที่มีพฤติกรรมรุนแรงได้ประกันตัว ทำให้แกนนำนปช.ไม่สามารถรับได้ เพราะเกรงจะถูกคุกคามและกลั่นแกล้งทางคดี จึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมแกนนำได้มอบหมายให้นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช.เป็นผู้เจรจาหาข้อสรุป และเพิ่มให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. เข้าร่วมเจรจาด้วย จากเดิมที่มอบหมายให้น.พ.เหวง โตจิราการ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. เป็นผู้ร่วมเจรจากับนายวีระ สาเหตุที่เพิ่มนายณัฐวุฒิ เข้าทีมเจรจา เนื่องจากเห็นว่านายวีระมีลักษณะที่ประนีประนอมต่อข้อเสนอของรัฐบาลมากเกินไป ขณะที่นายจตุพร ก็มีลักษณะแข็งกร้าวเกินไป ทำให้การเจรจาร่วมกันมีปัญหาได้
-แฉรัฐไม่ยอมให้ประกันแกนนำ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากนปช.มีมติเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง นายวีระและนายณัฐวุฒิ ได้เจรจากับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่เป็นคนใกล้ชิดของนายอภิสิทธิ์มาตลอด แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมถอยเรื่องประกันตัวแกนนำ จึงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า โดยนปช.ได้เสนอให้แกนนำที่ถูกออกหมายจับไปมอบตัวก่อนยุติการชุมนุม และเมื่อตำรวจอนุมัติให้ประกันตัวแล้ว แกนนำจึงพร้อมจะประกาศยุติการชุมนุม
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับข้อเสนออื่นๆ ในเรื่องการถอนกำลังทหาร การประกาศยกเลิกการใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเปิดพีเพิลแชนแนล ก็เป็นข้อเสนอที่นปช.ยื่นต่อรัฐบาลแล้วแต่ยังไม่มีการตอบสนอง ซึ่งแกนนำทั้งหมดเห็นว่าหากเปิดเวลาเจรจาอีกระยะหนึ่ง แล้วไม่ได้รับการตอบสนองที่พอใจ จะเสนอโรดแม็ปของนปช.ต่อสาธารณชน ผ่าน สื่อมวลชน เพื่อให้สังคมร่วมพิจารณาและกดดันรัฐบาล และแสดงให้เห็นว่าสาเหตุที่ล่าช้าไม่ใช่เพราะฝั่งนปช. แต่เป็นเพราะความไม่จริงใจของรัฐบาลเอง
-โวยมาร์คอย่าเร่งรัดกับม็อบ
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายณัฐวุฒิ แถลงถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ระบุหาก นปช.ตกลงจะเข้าร่วมมาตรการปรองดอง น่าจะหาข้อยุติโดยเร็วเพื่อนำไปสู่การยุติการชุมนุมถ้าตกลงกันได้ว่า ทันทีที่ประกาศเราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด จริงๆเราใช้เวลาเท่ากับที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เวลาชี้แจงกับคนพวกเดียวกัน คนคิดว่าวันที่ออกทีวีเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งอย่างชัดเจน แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะขณะนั้นทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่เห็นด้วย แต่พอรัฐบาลทำเสร็จจะมาเร่งรัดเอากับเราทุกวัน เรื่องนี้เราแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เรื่องบ้านเรื่องเมืองต้องคุยกันละเอียด
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า คำว่าปรองดอง ไม่ได้หมายความแค่คนเสื้อแดงยุติการชุมนุม หรือรัฐบาลยุบสภาเท่านั้น แต่เราจะนำพาบ้านเมืองออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างไร งานของเสื้อแดงไม่หยุดแค่ยุติการชุมนุม และรัฐบาลไม่ใช่แค่ยุบสภา แต่ต้องคิดว่าหลังจากนี้จะพาประเทศเดินไปอย่างปลอดภัยถึงวันเลือกตั้งอย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ทราบจริงๆหรือว่ามีคนที่ไม่ต้องการให้เลือกตั้ง และไม่ต้องการเดินไปถึงตรงนั้น มาตรการ ปรองดองง่ายสุดคือรัฐบาลยุบสภา คนเสื้อแดงเลิกชุมนุม แต่หลังจากนี้จะยากขึ้นทุกวัน และต้องแน่ใจว่าจนถึงวันเลือกตั้งเราจะไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง จนนำไปสู่การทำลายประชา ธิปไตยอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์คิดเรื่องพวกนี้หรือยัง เราเข้าใจว่าสังคมรอคอย และตนก็แถลงว่าวันสองวันเราจะเสนอแนวทางที่ยืดหยุ่นได้ จึงอยากให้ประชานได้เข้าใจรูปธรรมของสถานการณ์
"นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา นปช.ยุติชุมนุม ไม่ได้หมายความว่าบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยทันที หรือเกิดความยุติธรรมขึ้นมา แต่หมายถึงมาตรการต่อไปต้องช่วยกันทำอะไร จะมาเร่งรัดเราเหมือนกับลูกน้องในรัฐบาลไม่ได้ เพราะคนเสื้อแดงไม่ใช่ลูกน้องนายอภิสิทธิ์" นายณัฐวุฒิกล่าว
-อย่ารุกราน-ค้ากำไรเกินควร
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า วันนี้ต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศ ตนไม่ประสงค์เห็นการให้สัมภาษณ์เชิงรุกรานดินแดน หรือค้ากำไรเกินควรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดองคือพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นี่คือการเล่นเกมการเมืองมาบีบกัน หากเดินต่อไม่ได้ นายอภิสิทธิ์จะชี้ว่าทีแรกนปช.เปิดรับแต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เอาเลยเดินต่อไม่ได้ แต่หากเดินได้ก็จะบอกว่ารัฐบาลเสนอมาตรการที่สวยงามจึงทำได้ สรุปว่ากินทั้งหน้าทั้งหลัง นายอภิสิทธิ์ไม่ควรทำแบบนี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพล.ต.ขัตติยะว่า พล.ต.ขัตติยะเป็นอิสรชน เคลื่อนไหวเอง ถูกผิดอย่างไร ท่านต้องรับผิดชอบ เราคือ นปช. พล.ต.ขัตติยะก็คือพล.ต. ขัตติยะ เช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณคือคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับการเห็นด้วย หรือขัดขวางการปรองดอง
"ไม่ควรมีใครเร่งรัดหรือหาเศษหาเลยกับเรื่องนี้อีก นี่คือการชุมนุม นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คนอื่นเห็นอย่างไรไม่เกี่ยว แต่ถ้าจะพูดกันอย่างนี้ ขอตั้งคำถามว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับการ ปรองดอง คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตร หากไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลฟังคำสั่งนายสนธิ หรือคนก่อเหตุคือพล.ต.จำลอง จะมีประโยชน์อะไรที่มาพูดแบบนี้ การตั้งข้อสังเกตกล่าวหากินแดนจะยากอะไร ตนก็ทำได้แล้วจะเอายังไง" นายณัฐวุฒิกล่าว
-พูดเป็นนัยอาจมีอุบัติเหตุ
ผู้สื่อข่าวถามว่าอุบัติเหตุที่กล่าวถึงหมายถึงอะไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า อุบัติเหตุอธิบายเป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่อะไรก็เกิดได้ภายใต้สถานการณ์เปราะบาง เพราะหลายคนไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา หรือเสียสถานะในการเลือกตั้ง หลายคนเชื่อว่าเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ทำให้ต้องสูญเสียไป ดังนั้นหลังจากนี้จะประคับประคองบ้านเมืองอย่างไรจนถึงวันที่เป็นประชาธิปไตย ตนห่วงว่าถึงก่อนถึงวันเลือกตั้งจะมีคนขัดขวาง จนนำมาสู่การยึดอำนาจ ตนไม่รู้ ว่าจะมีอะไร แต่ที่รู้คือรัฐบาลไม่มีศักยภาพป้องกันสถานการณ์ เราจึงต้องช่วยกันคิด หากพวกตนยุติการชุมนุม แต่บ้านเมืองเลือกตั้งไม่ได้ ตนก็ต้องกลับมา ความขัดแย้งมันก็จะขยายจะรุนแรงอีก เมื่อเราไม่ต้องการแบบนี้จึงต้องช่วยกันคิด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตัดสินใจจะเน้นเรื่องส่วนรวมเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของแกนนำใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า "แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าพวกผมกังวลเรื่องความปลอดภัย ก็ขอนิรโทษกรรมกันไปนาน เพราะข้อกล่าวหานี้รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต แต่การนิรโทษกรรมเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลเสนอมา แต่พวกผมปฏิเสธ พวกผมไม่ประสงค์เช่นนั้นจึงขอปฏิเสธและขอให้ดำเนินคดีต่อไป"
-การ์ดแดงจับจสอ.พกปืนมีพิรุธ
น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีมีข่าวจะเดินทางไปมอบตัวเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ว่า เป็นเพียงการพูดถึงกำหนดการเดิมที่นัดกับพนักงานสอบสวนเอาไว้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปตามนั้น แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็อาจจะไม่ไป ซึ่งเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาการเจรจาหรือท่าทีของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม เพราะหมายจับดังกล่าว เป็นหมายจับรวมจะดำเนินการอย่างไร ก็เป็นมติที่ประชุม
วันเดียวกัน นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดนปช. เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 8 พ.ค. การ์ดนปช.ได้จับตัวชายคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะน่าสงสัย มาเดินป้วนเปี้ยนพื้นที่การชุมนุมฝั่งสยามสแควร์ คอยด้อมๆ มองๆ เข้ามาในพื้นที่ชุมนุมตลอดเวลา การ์ดนปช.จึงขอเข้าตรวจค้นตัว พบบัตรประจำตัวสังกัดกองทัพบก ทราบชื่อคือ จ.ส.อ.สมชาย จุลางยน และยังพบอาวุธปืน พร้อมกระสุน 2 แม็ก จึงนำตัวมา สอบสวน และนำตัวจ.ส.อ.สมชาย ไปที่สน. ลุมพินี ก่อนที่สน.ลุมพินี จะนำตัวส่งสน.ปทุมวัน เนื่องจากเหตุเกิดในพื้นที่ของสน.ปทุมวัน ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปรามแจ้งว่าจ.ส.อ.สมชาย มีหมายจับข้อหาฆ่าคนตายที่ จ.นครสวรรค์ ทางตำรวจจึงได้ควบคุมตัวไว้
-"เทือก"ร่วมประชุมศอฉ.
เวลา 09.00 น. ที่ร.11 รอ. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาเป็นประธานการประชุมศอฉ. มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เข้าร่วมประชุม ใช้เวลาประชุม 30 นาที โดยที่ประชุมได้ประเมินและบรรยายสรุปสถานการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และฝ่ายยุทธการ
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายสุเทพไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะต้องรอดูท่าทีของกลุ่มนปช.ว่าจะมีคำตอบอย่างไร หลังจากนายอภิสิทธิ์ ได้ยื่นข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติไปแล้ว ส่วนท่าทีของกองทัพขณะนี้ ก็ยังรอดูท่าทีของกลุ่มนปช.เช่นกัน
-พท.พาญาติ 10 เม.ย.บี้จับมาร์ค
เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 10 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะนำญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เม.ย. เข้าร้องทุกข์ต่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และจะยื่นกับประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเวลา 13.00 น. เพื่อให้สอบสวนและดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) และคณะกรรมการ ศอฉ. รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคนในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. เพราะการดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักสากล ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นการกระทำความผิดโดยการคิดไตร่ตรองไว้ก่อน และถือเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 และมาตรา 82, 83, 84
-เสธ.แดงโต้-ชี้มาร์คหมดมุข
วันเดียวกัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทบ. กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ กล่าวหาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงและต้องการล้มแผนปรองดองแห่งชาติว่าตนไม่ได้ขัดขวางแผนการปรองดองแห่งชาติ หรือโรดแม้ป แต่เพราะโรดแม็ปไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หรือตรงตามที่มวลชนคนเสื้อแดงต้องการ พวกเขาจึงไม่ยอมยุติการชุมนุม
"เรามีโรดแม็ป เรดแม็ปทั้งหมด 5 ข้อของเราที่นายกรัฐมนตรีควรจะต้องพิจารณาและดำเนินการก่อน พวกเราจึงจะยุติการชุมนุม เพราะต่อให้แกนนำ นปช.อยากจะปรองดอง แต่ความรู้สึกของมวลชนยังไม่ยอม ต้องได้รับการเยียวยาเสียก่อน" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวต่อว่าที่นายกฯโจมตีใส่ร้ายตนเอง เพราะหมดมุข ไม่มีมุขจะเล่นแล้ว ทำมาทุกอย่าง แต่ก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นพวกแต๋วแตกแล้ว หาใครไม่ได้ ก็เลยหันมาโทษ เสธ.แดง "พี่ทักษิณ ก็สนับสนุนแผนปรองดอง ต้องการให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่อยู่แล้ว แต่พี่น้องเสื้อแดงไม่ยอมเอง เพราะการชุมนุมและเป้าหมาย มันเลยขั้นพี่ทักษิณไปแล้ว"
-เผยมวลชนแดงพร้อมสู้ไม่ถอย
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บงการให้สู้ต่อไปนั้น พล.ต. ขัตติยะ ปฏิเสธว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยต้อง การให้ตนใช้ความรุนแรง มีแต่คอยห้ามไม่ให้ไปขัดกับแกนนำนปช. เหมือนตอนที่แกนนำ ยอมรื้อรั้วที่ ร.พ.จุฬาฯ แต่ตนเห็นว่ามัน อันตราย ที่จะทำให้ทหารเข้าตีเราได้ง่าย ก็ไม่ยอม จนพี่ทักษิณต้องโทร.มาขอร้อง ตนถึงยอม เพราะตนมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเท่านั้น พี่ทักษิณไม่เคยสั่งอะไรตน ยิ่งเรื่องปรองดอง พี่ทักษิณหนุนเต็มที่ แต่เมื่อมวลชนไม่ยอม ตนก็ต้องอยู่กับมวลชน
"นายกฯคงไม่รู้ว่าสู้อยู่กับใครบ้าง แต่เห็น เสธ.แดง เดินๆ อยู่ในม็อบเปิดตัวที่สุด ก็เลยมาโจมตีผม เป็นถึงนายกฯ ข้อมูลการข่าวต้องลึกกว่านี้หน่อย จะบอกให้ก็ได้ว่า ตอนนี้นายกฯสู้อยู่กับประชาชน มวลชนคนเสื้อแดงที่ใจสู้ ถ้านายกฯไม่ยุบสภา ก็ถือว่าไม่บรรลุเป้าหมาย พร้อมตายคาราชประสงค์ นายกรัฐมนตรี ควรเป็นฝ่ายที่ต้องยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่มา บอกคนเสื้อแดงให้ยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข" พล.ต.ขัตติยะกล่าว
เมื่อถามว่าหากเลิกการชุมนุมแล้วกลัวที่จะถูกตามเช็กบิล จับกุมหรือไม่ จึงไม่อยากให้เลิกชุมนุมนั้น พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า คนอย่างตนไม่กลัวหรอก ถ้าประชาชนต้องการเลิก ยุติการชุมนุมก็กลับบ้าน แต่ก็คงต้องหลบๆ เพราะไม่อยากมีเรื่อง ต้องมีคนตามเล่นงานแน่ แต่ตนก็คงไม่อยู่เฉยๆ ให้ใครมาทำร้ายหรือรังแกได้ ตอนนี้ถ้าประเมินจิตใจของผู้ชุมนุมแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายเดือน หรือจนเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ จะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกที ถึงเวลานี้ แกนนำตัดสินใจยากแล้ว แม้ตนเองอยากปรองดอง แต่ผู้ชุมนุมยังไม่ยอมหยุด ยังต้องการเป้าหมายอยู่ ตอนนี้มวลชนเลยคิดแกนนำนปช.ไปซูเอี๋ยกับรัฐบาล ไม่ยอมทำตามสัญญาที่ประกาศไว้
-"เทือก"ขู่แดงอีก-ลั่นให้รอดู
เมื่อเวลา 17.00 น. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศอฉ. มีพล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. สำนักข่าวกรองฯ และหน่วยงานความมั่นคงเข้าร่วมประชุม มีนายอภิสิทธิ์ข้าร่วมรับฟังการประชุมด้วย ใช้เวลาหารือ 20 นาที
ในที่ประชุมทางกอ.รมน. และสำนักข่าว กรองฯได้ประเมินและสรุปสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์ให้ที่ประชุมได้รับทราบ ขณะนี้ทางศอฉ.จะรอดูท่าทีคำตอบของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ตอบรับแนวทางปรองดองหรือไม่จึงจะชี้แจงต่อสื่อมวลชน เพราะศอฉ.ไม่อยากให้กลุ่มคนเสื้อแดงนำคำแถลงของศอฉ.ไปเป็นข้ออ้างว่า ไม่ปรองดอง ขณะนี้ทางศอฉ. พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีเพราะช่วงนี้เป็นการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบรมราชาภิเษกปีที่ 60
นายสุเทพ ตอบคำถามกรณีถึงเส้นตายวันที่ 10 พ.ค.นี้ ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีคำตอบ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดถึงขนาดจะสลายการชุมนุมหรือไม่ ว่า เดี๋ยวคอยดูก็แล้วกัน
-ปณิธานอ้างต่างชาติเข้าใจไทย
ต่อมานายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิ การนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รายงานต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเดินทางไปชี้แจงเอกอัครราชทูตไทยที่ประจำในต่างประเทศ ซึ่งคณะทูตไทยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย โดยเฉพาะกรณีนายกฯ เสนอแผนสร้างความปรองดองในนามรัฐบาล รวมถึงปัญหาของมวลชนเสื้อแดงและแกนนำ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ โดยสรุปนั้นในแง่ต่างประเทศรับรู้รายละเอียดมากขึ้น นายกษิตยังยืนยันกับคณะทูตไทยในเรื่องการก่อการร้ายว่ารัฐบาลยังเดินหน้าดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับปริมาณของมวลชนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาร่วมการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ทดแทนมวลชนใน กทม.นั้น ตัวเลขของมวลชนที่เดินทางเข้ามายังไม่มีความชัดเจน ศอฉ.กำชับให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในจุดสำคัญๆ ให้มากขึ้นเพื่อป้องกันและระมัดระวังเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด อีกทั้ง นายกฯ ได้กำชับเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นพิเศษ
-"ตุลย์"เดินสายไปพิษณุโลก
เวลา 08.00 น. น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี และนายชัชชัย สุขาวดี หรือหรั่ง ร็อคเคสตร้า ได้เดินทางมาพบกลุ่มเสื้อหลากสี ที่จังหวัดพิษณุโลก โดยมีแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีพิษณุโลกต้อนรับ ก่อนจะไปสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถนนวังจันทน์ อ.เมือง จากนั้นไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ เพื่อกราบไหว้หลวงพ่อพุทธชินราช ภายในวิหารหลวง และเข้ากราบไหว้พระพุทธชินสีห์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศเหนือ และพระศรีศาสดา ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศใต้ เพื่อเป็นสิริมงคล
น.พ.ตุลย์ เปิดเผยว่า ตนได้อธิษฐานขอให้คนเสื้อแดงตาสว่างเปลี่ยนใจมารักชาติ เลิกรักพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอให้ชาวพิษณุโลกทั้งเสื้อแดงหรือคนเสื้อหลากสี ร่วมมือกันทำให้สังคมสงบสุข อย่าหลงคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ทุจริตทำลายชาติ ขอให้ร่วมมือต่อต้าน และการเลือกตั้งครั้งหน้าขอให้เลือกกลุ่มที่มาทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าเลือกคนที่เห็นแก่ประโยชน์หวังเข้ามากอบโกยเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้มีรปภ.ส่วนตัวคอยดูแลน.พ.ตุลย์ อย่างใกล้ชิด และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดยพ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก มาดูแลสงบความเรียบร้อย เนื่องจากมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาดูลาดเลา อย่างไรก็ตาม เวลา 16.00 น. น.พ.ตุลย์ มีกำหนดพบปะกับกลุ่มเสื้อหลากสี ที่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา กลางเมืองพิษณุโลก
-หลากสีจับ2หนุ่มอ้างม็อบแดง
เมื่อเวลา 17.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สมาชิกกลุ่มเสื้อหลากสีทยอยมาร่วมชุมนุมกว่า 300 คน และขึงธงชาติขนาดใหญ่และโบกธงชาติขนาดเล็กไปมา สร้างความสนใจให้คนที่สัญจรไปมา แกนนำปราศรัยคัดค้านการยุบสภา สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ให้ทำงานต่อ พร้อมเรียกร้องให้มากันมากๆ ในการชุมนุมใหญ่วันที่ 16 พ.ค. ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ โดยครั้งนี้ น.พ.ตุลย์ไม่ได้มาร่วมแต่อย่างใด
หลังการชุมนุมผ่านไปไม่นาน การ์ดกลุ่มคนเสื้อหลากสีจับชายต้องสงสัย 2 คน มัดข้อมือด้วยเชือกฟาง นำไปสอบประวัติหลังเวที ทราบชื่อนายนิรันดร์ ช่องสี ชาวชัยภูมิ และนายอรรค
เดช วิเศษสิงห์ ชาวกาญจนบุรี โดยนายอรรคเดช ใส่เสื้อลายสกอตที่มีลายเซ็นเสธ.แดง การ์ดเสื้อหลากสี ระบุเสธ.แดง เป็นคนส่งมาสอดแนมการชุมนุม แต่นายอรรคเดช ปฏิเสธว่า ไม่ได้มาสอดแนม แต่มาเพื่อหาน้า เพื่อขอค่ารถกลับบ้านที่ จ.กาญจนบุรี
จากนั้น แกนนำนำชายทั้ง 2 ขึ้นบนรถ ปราศรัย ให้เล่าเหตุการณ์ว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์ อึดอัดอย่างไร และสอบถามว่าจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่ นายนิรันดร์ นำคู่มือการร่วมชุมนุมนปช. มาโชว์ ขณะที่โฆษกบนเวที กล่าวว่า การชุมนุมของนปช. ต้องตอบคำถามตามคู่มือ จากนั้นมีการร่วมบริจาคเงินให้ 2 คนกลับบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการชุมนุม มีการ์ดเสื้อหลากสีประจำทุกจุดรอบบริเวณ และมีกล้องส่องทางไกลไปตามตึกสูงต่างๆ เพื่อป้องกันการซุ่มยิง
-ม็อบแดงคับคั่งรอฟัง"เรดแม็ป"
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงเย็น ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทยอยมารอฟังการปราศรัยหน้าเวทีอย่างต่อเนื่อง แน่นไปจนถึงสะพานลอยหน้าทางเข้าเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า เพื่อรอฟังการประกาศโรดแม็ป ของกลุ่มนปช. จำนวน 5 ข้อต่อรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมบางส่วนกระจายอยู่ในร่มไม้และเงาตึก เนื่องจากถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นแต่อากาศยังคงร้อนระอุ ผู้ชุมนุมจึงต้องใช้พัด และหนังสือพิมพ์ บรรเทาความร้อน ส่วนแกนนำทยอยกันมาที่หลังเวทีตั้งแต่ช่วงเวลา 17.00 น. ส่วนบนเวทีเป็นการปราศรัยของแกนนำคนต่างๆ ที่โจมตีว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหาของประเทศ
เวลา 19.35 น. แกนนำนปช. ทยอยกันออกจากตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ที่ใช้เป็นสถานที่ในการประชุม หลังจากประชุมกันอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง นายสมหวัง อัสราษี หนึ่งในแกนนำนปช. กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าวันนี้ยังไม่มีอะไร ไม่มีการแถลงข่าว เพราะยังสรุปอะไรไม่ได้ ต้องรอวันที่ 10 พ.ค. คาดว่าจะมีข้อสรุปออกมา รวมไปถึงแกนนำคนอื่นๆ ก็ตอบด้วยคำตอบเดียวกันว่า ไม่มีอะไร
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า การชุมชุมนุมจะยุติก่อนวันที่ 15 พ.ค.หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะรับข้อเสนอของคนเสื้อแดงหรือไม่ เมื่อถามว่าย้ำว่าทำไมแกนนำยังไม่ออกมาแถลงข่าว นายอริสมันต์ กล่าวว่า กำลังมีการต่อสายคุยกับทางรัฐบาลอยู่ ตอนนี้ต้องรอเจรจากันอยู่ ไปเร่งไม่ได้
-ชี้เหยื่อที่ตายต้องได้ยุติธรรม
เวลา 20.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานนปช. ให้สัมภาษณ์หลังเวที ว่า ที่ประชุมวันนี้ยังไม่มีข้อยุติ เนื่องจากมีประเด็นหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดมากที่สุดคือ เรื่องคดีความ ที่แกนนำหลายคนเห็นไม่เห็นด้วย ที่จะดำเนินคดีเฉพาะฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ทำให้แกนนำ นปช.มีความหนักใจที่จะชี้แจงกับมวลชน เพื่อที่จะยุติการชุมนุม จึงจะยังไม่แถลงข่าว
"นโยบายเรื่องการฆ่าประชาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน ก็รอความชัดเจนในส่วนนี้อยู่ พวกผมจะฟังความเห็นว่ามีประชาชนล้มตาย และบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรับผิดชอบต่อชีวิตเหล่านั้น ไม่มีผู้ต้องหาสักคน" นายจุตพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พวกตนเข้าใจว่าสังคมต้องการให้เกิดความปรองดอง แต่คนเสื้อแดงมีคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ หากละทิ้งตรงนี้แล้วไปสู้คดีก่อการร้าย ล้มสถาบัน โดยไม่ได้ขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ทางประชาชนคนเสื้อแดงก็คงไม่ยอม ขอโอกาสสังคมด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามต้องคิดเรื่องของประชาชนที่ตาย จะบอกว่าเราได้วันเลือกตั้งแล้วลืมความตาย ความบาดเจ็บของประชาชนมันไม่ใช่ ดังนั้นรัฐบาลต้องให้คำตอบเรื่องนี้เราจะออกจากสนามนี้โดยละทิ้งประชาชนไม่ได้ ตนต้องขอวิงวอนสังคมด้วย ไม่ใช่ว่าเราดื้อรั้น สังคมควรให้โอกาสพวกตน เราจะออกจากสนามแห่งนี้โดยละทิ้งคนตายและบาดเจ็บโดยไม่รับผิดชอบใดๆ นั้นไม่ได้ ยืนยันว่าพวกตนจะไปต่อสู้คดีล้มสถาบันและก่อการร้ายโดยไม่ขอนิรโทษกรรม
-ถ้าเทือก-มาร์คยอมรับคดีก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกฯ ขีดเส้นบอกถ้าจริงใจต้องชัดเจนใน 1-2 วันนี้ วันที่ 15 พ.ค. ช้าไป นายจตุพร กล่าวว่า ต้องถามกลับกัน ถ้านายกฯจริงใจต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคดีฆ่าคนตาย เหมือนพวกตนที่ไม่ขอนิรโทษกรรม คดีของพวกตนก็เดินหน้า คดีนายกฯก็ต้องเดินหน้าเช่นกัน ประชาชนก็จะกลับอย่างมีความสุข ส่วนคณะกรรมการสอบสวนก็ว่ากันไป
"ผมเชื่อว่านายกฯ ก็ต้องการจะจบ ดังนั้นนายกฯ ก็ต้องทำตามกฎหมาย ปฏิบัติต่อพวกผมอย่างไรก็ควรปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างนั้น" นายจตุพร กล่าวและว่า ส่วนที่มวลชนอยากกลับบ้านพวกตนไม่เคยไปบังคับประชาชนไม่ให้ออกจากที่นี่ตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการยึดบัตรประชาชนบ้าง ไปจ้างคนบ้าง ก็ขอให้สบายใจได้ว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้เอง เชื่อว่าหากมีการดำเนินคดีนายกฯ นายสุเทพ อย่างเท่าเทียมกันประชาชนคงรับได้ วันนี้จะจบได้ใน 1-2 วันนี้ หากนายอภิสิทธิ์ ประกาศอย่างชัดเจนว่าพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกฯ ระบุว่าเป็นห่วงความปลอดภัยประชาชนและแกนนำ นปช.ว่าจะไม่ปลอดภัยหลังเกิดเหตุยิงและระเบิด 2 จุดล่าสุด นายจตุพร กล่าวว่า ตนขอ บอกว่านายกฯและพวกตนต่างร่วมมือที่จะยุติเรื่องนี้ได้ คือ ปฏิบัติตามกฎหมายกับพวกตนอย่างไร ก็ปฏิบัติกับพวกท่านอย่างนั้น ไม่ควรจะมี 2 มาตรฐาน ดังนั้นวันนี้นายอภิสิทธิ์ สามารถยุติปัญหานี้ได้ นายอภิสิทธิ์ต้องการเวลา 1 วัน ดังนั้นสามารถตอบตนในคืนนี้ ทุกอย่างก็จบ เอานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นหลัก แต่กรณีนายกฯเป็น ส.ส.ต้องขออนุมัติจากสภา แต่นายสุเทพ ไม่ได้เป็นส.ส. รัฐธรรมนูญไม่ได้คุ้มครองตำแหน่งรองนายกฯดังนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนพวกตน ไม่เช่นนั้นพวกตนจะตอบพี่น้องประชาชนไม่ได้
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************************
ลงได้แล้ว
เหตุการณ์ยิงถล่มเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 7 ต่อเนื่องวันที่ 8 พ.ค.
คือสัญญาณกระตุ้นให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงต้องเร่งตัดสินใจที่จะร่วมกันเดินหน้ากระบวนการสร้างความปรองดองให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ถ้ายิ่งช้าเพราะมัวแต่ตั้งแง่ใส่กันก็ไม่รู้จะเกิดการสูญเสียซ้ำซากขึ้นอีกหรือไม่
ยิ่งตอนนี้มีคนมากหน้าหลายตาออกมาแสดงความเห็นกันมากต่อแผน "โรดแม็ป" ของนายกฯอภิสิทธิ์
เหมือนทุกเรื่องในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
กรณีโรดแม็ปนี้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้ก่นประณามด่าทอนายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง
บางกลุ่มบางพวกถึงขนาดไล่ตะเพิดให้ลาออกไปก็มี
ลำพังการใช้คำพูดด่าทอกันอาจรุนแรงไปบ้างก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือใช้อาวุธปืนหรือระเบิดตอบ โต้กันแทนคำพูด ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายก็คงไม่ไหว
ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก
คู่ขัดแย้งหลักคือรัฐบาลและกลุ่มเสื้อแดงจำเป็นต้องตกลงกันให้ได้ด่วนจี๋
เกี่ยวกับเรื่องวันยุบสภา นายกฯ อาจต้องถอยอีกนิด
พูดให้ชัดไปเลยว่าจะยุบสภาวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทำได้หากจะต้องเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.
แล้วอาจต่อท้ายอีกหน่อยว่าถ้ากระบวนการสร้างความปรองดอง 5 ข้อเป็นไปอย่างราบรื่น
รัฐบาลจัดทำแผนงบประมาณปี"54 รวมถึงโยกย้ายข้าราชการได้เรียบร้อยก่อนกำหนด
ก็อาจจะยุบสภาได้เร็วกว่า 30 ก.ย.ก็เป็นไปได้
พูดเท่านี้น่าจะจบ
กลุ่มเสื้อแดงก็เหมือนกัน การตั้งแง่ตั้งง่ามก็ควรแค่หอมปากหอมคอ
เรื่องที่กลัวว่านายกฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลจะไม่รักษาสัญญานั้น
พอเข้าใจได้อยู่
แต่การจะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อออกไปอีกก็ไม่แน่ว่าสังคมที่เคยเข้าใจ อาจเปลี่ยนมาเป็นไม่เข้าใจก็ได้
ส่วนเรื่องว่าถ้าประชาธิปัตย์ถูก "ยุบพรรค" แล้วจะมีผลให้โรดแม็ปที่จะนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ต้องเป็นโมฆะ
เป็นเรื่องอนาคตต้องไปว่ากันอีกที
มาคิดกันตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้ามันจะไม่จบ
อย่าว่าแต่เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เสื้อแดงต้องกังวล
แต่เป็นเรื่องที่พรรคเก่าแก่กว่า 60 ปีอย่างประชาธิปัตย์เองต้องกังวลมากกว่า
เสื้อแดงตอนนี้จึงควรลงจากเวทีไปก่อน
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
คือสัญญาณกระตุ้นให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงต้องเร่งตัดสินใจที่จะร่วมกันเดินหน้ากระบวนการสร้างความปรองดองให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ถ้ายิ่งช้าเพราะมัวแต่ตั้งแง่ใส่กันก็ไม่รู้จะเกิดการสูญเสียซ้ำซากขึ้นอีกหรือไม่
ยิ่งตอนนี้มีคนมากหน้าหลายตาออกมาแสดงความเห็นกันมากต่อแผน "โรดแม็ป" ของนายกฯอภิสิทธิ์
เหมือนทุกเรื่องในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
กรณีโรดแม็ปนี้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้ก่นประณามด่าทอนายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง
บางกลุ่มบางพวกถึงขนาดไล่ตะเพิดให้ลาออกไปก็มี
ลำพังการใช้คำพูดด่าทอกันอาจรุนแรงไปบ้างก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือใช้อาวุธปืนหรือระเบิดตอบ โต้กันแทนคำพูด ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายก็คงไม่ไหว
ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก
คู่ขัดแย้งหลักคือรัฐบาลและกลุ่มเสื้อแดงจำเป็นต้องตกลงกันให้ได้ด่วนจี๋
เกี่ยวกับเรื่องวันยุบสภา นายกฯ อาจต้องถอยอีกนิด
พูดให้ชัดไปเลยว่าจะยุบสภาวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทำได้หากจะต้องเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.
แล้วอาจต่อท้ายอีกหน่อยว่าถ้ากระบวนการสร้างความปรองดอง 5 ข้อเป็นไปอย่างราบรื่น
รัฐบาลจัดทำแผนงบประมาณปี"54 รวมถึงโยกย้ายข้าราชการได้เรียบร้อยก่อนกำหนด
ก็อาจจะยุบสภาได้เร็วกว่า 30 ก.ย.ก็เป็นไปได้
พูดเท่านี้น่าจะจบ
กลุ่มเสื้อแดงก็เหมือนกัน การตั้งแง่ตั้งง่ามก็ควรแค่หอมปากหอมคอ
เรื่องที่กลัวว่านายกฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลจะไม่รักษาสัญญานั้น
พอเข้าใจได้อยู่
แต่การจะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อออกไปอีกก็ไม่แน่ว่าสังคมที่เคยเข้าใจ อาจเปลี่ยนมาเป็นไม่เข้าใจก็ได้
ส่วนเรื่องว่าถ้าประชาธิปัตย์ถูก "ยุบพรรค" แล้วจะมีผลให้โรดแม็ปที่จะนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ต้องเป็นโมฆะ
เป็นเรื่องอนาคตต้องไปว่ากันอีกที
มาคิดกันตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้ามันจะไม่จบ
อย่าว่าแต่เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เสื้อแดงต้องกังวล
แต่เป็นเรื่องที่พรรคเก่าแก่กว่า 60 ปีอย่างประชาธิปัตย์เองต้องกังวลมากกว่า
เสื้อแดงตอนนี้จึงควรลงจากเวทีไปก่อน
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
จตุพร จี้ อภิสิทธิ์-สุเทพ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์ว่า ทีประชุมวันนี้ยังไม่มีข้อยุติ เนื่องจากมีประเด็นหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดมากที่สุดคือ เรื่องคดีความ ที่แกนนำหลายคนเห็นไม่เห็นด้วยที่จะมีการดำเนินคดีเฉพาะฝ่ายผู้ชุมนุมฝ่ายเดียว โดยไม่มีการดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งทำให้แกนนำ นปช.มีความหนักใจที่จะชี้แจงกับมวลชน เพื่อที่จะยุติการชุมนุม ดังนั้นจะยังไม่แถลงข่าว “นโยบายเรื่องการฆ่าประชาชนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน ก็รอความชัดเจนในส่วนนี้อยู่ พวกผมจะฟังความเห็นว่า มีประชาชนล้มตาย และบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรับผิดชอบต่อชีวิตเหล่านั้น ไม่มีผู้ต้องหาสักคน”นายจุตพร กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่โรงเรียนจะเปิดนั้น ก็ได้มีการเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มิ.ย. แล้วดังนั้นยังมีเวลาอีก 20 วัน
นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พวกตนเข้าใจว่าสังคมต้องการให้เกิดความปรองดอง แต่พวกตนก็มีคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บหากละทิ้งตรงนี้แล้วไปสู้คดีก่อการร้าย ล้มสถาบัน โดยไม่ได้ขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ทางประชาชนก็คงไม่ยอม ดังนั้นขอโอกาสสังคมด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามต้องคิดเรื่องของประชาชนที่ตาย จะบอกว่าเราได้วันเลือกตั้งแล้วลืมความตาย ความบาดเจ็บของประชาชนมั่นไม่ใช่ ดังนั้นรัฐบาลต้องให้คำตอบเรื่องนี้เราจะออกจากสนามนี้โดยละทิ้งประชาชนไม่ได้
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนต้องขอวิงวอนสังคมด้วย ไม่ใช่ว่าเราดื้อรั้น สังคมควรจะให้โอกาสพวกตน เราจะออกจากสนามแห่งนี้โดยละทิ้งคนตายและบาดเจ็บโดยไม่รับผิดชอบใด ๆนั้น ไม่ได้ ยืนยันว่าพวกตนจะไปต่อสู้คดีล้มสถาบันและก่อการร้ายโดยไม่ขอนิรโทษกรรม ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯขีดเส้นบอกถ้าจริงใจต้องชัดเจนใน 1-2 วันนี้ วันที่ 15 พ.ค. ช้าไป นายจตุพร กล่าวว่า ต้องถามกลับกัน ถ้านายกฯจริงใจต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคดีฆ่าคนตาย เหมือนพวกตนที่ไม่ขอนิรโทษกรรม คดีของพวกตนก็เดินหน้าคดีนายกฯก็ต้องเดินหน้าเช่นกัน ประชาชนก็จะกลับอย่างมีความสุข ส่วนคณะกรรมการสอบสวนก็ว่ากันไป
“ผมเชื่อว่านายกฯก็ต้องการจะจบ ดังนั้นนายกฯก็ต้องทำตามกฎหมาย ปฏิบัติต่อพวกผมอย่างไรก็ควรปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างนั้น”นายจตุพร กล่าวและว่า ส่วนที่มวลชนอยากกลับบ้านนั้นขอเรียนว่าพวกตนไม่เคยไปบังคับประชาชนไม่ให้ออกจากที่นี่ตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการยึดบัตรประชาชนบ้าง ไปจ้างคนบ้าง ก็ขอให้สบายใจได้ว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้เอง เชื่อว่าหากมีการดำเนินคดีนายกฯนายสุเทพ อย่างเท่าเทียมกันประชาชนคงรับได้ วันนี้จะจบได้ใน 1-2 วันนี้หากนายอภิสิทธิ์ประกาศอย่างชัดเจนว่า พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”นายจตุพร กล่าว
ที่มา.เนชั่น
******************************************************
นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พวกตนเข้าใจว่าสังคมต้องการให้เกิดความปรองดอง แต่พวกตนก็มีคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บหากละทิ้งตรงนี้แล้วไปสู้คดีก่อการร้าย ล้มสถาบัน โดยไม่ได้ขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ทางประชาชนก็คงไม่ยอม ดังนั้นขอโอกาสสังคมด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามต้องคิดเรื่องของประชาชนที่ตาย จะบอกว่าเราได้วันเลือกตั้งแล้วลืมความตาย ความบาดเจ็บของประชาชนมั่นไม่ใช่ ดังนั้นรัฐบาลต้องให้คำตอบเรื่องนี้เราจะออกจากสนามนี้โดยละทิ้งประชาชนไม่ได้
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนต้องขอวิงวอนสังคมด้วย ไม่ใช่ว่าเราดื้อรั้น สังคมควรจะให้โอกาสพวกตน เราจะออกจากสนามแห่งนี้โดยละทิ้งคนตายและบาดเจ็บโดยไม่รับผิดชอบใด ๆนั้น ไม่ได้ ยืนยันว่าพวกตนจะไปต่อสู้คดีล้มสถาบันและก่อการร้ายโดยไม่ขอนิรโทษกรรม ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯขีดเส้นบอกถ้าจริงใจต้องชัดเจนใน 1-2 วันนี้ วันที่ 15 พ.ค. ช้าไป นายจตุพร กล่าวว่า ต้องถามกลับกัน ถ้านายกฯจริงใจต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคดีฆ่าคนตาย เหมือนพวกตนที่ไม่ขอนิรโทษกรรม คดีของพวกตนก็เดินหน้าคดีนายกฯก็ต้องเดินหน้าเช่นกัน ประชาชนก็จะกลับอย่างมีความสุข ส่วนคณะกรรมการสอบสวนก็ว่ากันไป
“ผมเชื่อว่านายกฯก็ต้องการจะจบ ดังนั้นนายกฯก็ต้องทำตามกฎหมาย ปฏิบัติต่อพวกผมอย่างไรก็ควรปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างนั้น”นายจตุพร กล่าวและว่า ส่วนที่มวลชนอยากกลับบ้านนั้นขอเรียนว่าพวกตนไม่เคยไปบังคับประชาชนไม่ให้ออกจากที่นี่ตามที่รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการยึดบัตรประชาชนบ้าง ไปจ้างคนบ้าง ก็ขอให้สบายใจได้ว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้เอง เชื่อว่าหากมีการดำเนินคดีนายกฯนายสุเทพ อย่างเท่าเทียมกันประชาชนคงรับได้ วันนี้จะจบได้ใน 1-2 วันนี้หากนายอภิสิทธิ์ประกาศอย่างชัดเจนว่า พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”นายจตุพร กล่าว
ที่มา.เนชั่น
******************************************************
ชัยชนะก้าวแรกของคนเสื้อแดง
หากพิจารณาจากการระดมสรรพกำลังมหาศาล ทั้งด้านกำลังคนและงบประมาณ รวมถึงยุทธปัจจัยอื่นๆ เช่น รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ สามล้อ ไม้รวก พริก เขือ เกลือ ปลาร้า และ ฯลฯ ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ใช้เวลาเกือบจะครบ 3 เดือน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุปนเปื้อนมลพิษในเมืองหลวง และการเสี่ยงชีวิตจากทั้งกองกำลังทหาร ตำรวจ (และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย)
ทั้งนับรวมกับ 27 ชีวิตที่สูญเสียไป เกือบ 1,000 คนที่บาดเจ็บ และอาจมีบางคนที่พิการ รวมทั้งการผลิตสร้างภาพลักษณ์ของมวลชนเสื้อแดงที่ดูป่าเถื่อน นิยมความรุนแรง น่าเกลียดน่ากลัวราวกับ “เชื้อโรคแดง” (สำนวนของ ธงชัย วินิจจะกูล) ที่คุกคามความสงบสุขและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ แทบจะเรียกได้ว่าผลอันเป็นรูปธรรมแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่พ่ายแพ้เพราะว่า สังคมไม่เอาด้วยกับวาระ “ไพร่ล้มอำมาตย์” หรือข้อเสนอ “ยุบสภาเลือกตั้งใหม่” หรือ การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรม หรือการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทุกด้านในสังคม แต่พ่ายแพ้เพราะไม่อาจอธิบายให้สังคมเข้าใจได้อย่างสมเหตุสมผลว่า ทำไมการต่อสู้ครั้งนี้จึงนำไปสู่ “สงครามที่ไม่จำเป็น” และ “การสูญเสียที่ไม่จำเป็น”
แม้สงครามที่ไม่จำเป็นและการสูญเสียที่ไม่จำเป็นจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลก็อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมจึงปล่อย หรือเสมือนจงใจให้เกิดขึ้น แต่ในฐานะผู้เริ่ม “เปิดเกม” คุณทักษิณและแกนนำเสื้อแดงย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อยุทธวิธีที่ผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้
แต่จะอย่างไรก็ตาม ในความพ่ายแพ้เชิงยุทธวิธีนั้น ไม่ได้หมายความว่า “ยุทธศาสตร์”ของคนเสื้อแดงต้องพ่ายแพ้ไปด้วย จะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้น ไม่มีฝ่ายใดปฏิเสธ
แม้แต่แผนปรองดอง 5 ข้อ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีวาระการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ด้วย เขาจะจริงใจหรือไม่ รายละเอียดจะตรงกับความคิดของคนเสื้อแดงทั้งหมดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องถือว่านี่เป็น “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ของคนเสื้อแดง
การที่คนเสื้อแดงสามารถทำให้รัฐบาล คนทุกสี ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนของสังคม มองเห็นตรงกันว่า การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็น “วาระ” ที่จำเป็นในการแก้ปัญหาของประเทศ ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสื้อแดง แม้จะเป็นชัยชนะที่เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นนามธรรมที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการทำให้คนทั้งสังคมยอมรับความคิดดังกล่าว ส่วนรายละเอียดเชิงความคิดและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันต่อไป
ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจาก “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ดังกล่าว สิ่งที่แกนนำเสื้อแดงควรตัดสินใจเดินต่อไป คือการทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องยุทธศาสตร์ความต้องการประชาธิปไตยและการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป ด้วยการ...
1. อย่าเดินตามพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธแผนปรองดองของอภิสิทธิ์ เพราะจะเท่ากับเป็นการสกัดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ให้เข้าไปสู่กระบวนการถกเถียง และการหาทางออกร่วมกันของคนทั้งสังคม พันธมิตรฯ ต้องการทำลายเครดิตในยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ของคนเสื้อแดง เขาจึงประณามแผนปรองดอง และยกเรื่องล้มเจ้า การก่อการร้ายขึ้นมาเป็นจุดเน้นเพื่อทำลายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดง
วิธีคิดของพันธมิตรฯ คือ เขาต้องการ “ผูกขาด” การกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ เพราะถือว่าเสียสละตัวเองต่อสู้กับทักษิณมามากเหลือเกิน เขาจึงควรได้เป็น “พระเอก” ในการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงสังคม ดังจะเห็นได้จากท่าทีของพวกเขาต่อภาคส่วนต่างๆ ของสังคมที่ออกมาเสนอทางออกต่างๆ ว่า พวกเหล่านั้นมักเป็น “พวกตีกิน”
คนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องเดินตามวิธีคิดแบบ “ผูกขาด” ของพันธมิตรฯ ในเมื่อยุทธศาสตร์คือต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่มีความเป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การที่เราทำให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้กลายเป็น “วาระ” ที่ทุกภาคส่วนของสังคมเห็นความสำคัญ และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้เป็นจริง ย่อมถือว่าเป็นชัยชนะก้าวแรก ที่ก้าวต่อไปคนเสื้อแดงต้องผลักดัน “แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม” ให้สังคมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ
2. คนเสื้อแดงต้องปรับยุทธวิธีเน้นชัยชนะทางความคิดด้วยการใช้เหตุผลมากขึ้น วิธีประณามฝ่ายตรงข้าม เพื่อกระตุ้นความสะใจ ความเกลียดชัง น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้องให้มวลชนได้หยุดพัก แต่ยังมั่นคงด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม มีสติเก็บรับความผิดพลาดที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ต้องให้แกนนำระดับชุมชนหมู่บ้านดำรงเป้าหมายในการต่อสู้และเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง
3. พรรคการเมืองของคนเสื้อแดงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งในเรื่องนโยบายและตัวบุคคล โดยเฉพาะนโยบายต้องแสดงให้เห็นรูปธรรมของการออกแบบกติกาประชาธิปไตย และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่เป็นธรรม ต้องให้สัญญาประชาคมว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะทำเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมก่อน (เมื่อทำ 2 เรื่องนี้สำเร็จและสังคมยอมรับ การแก้ปัญหาคุณทักษิณอาจง่ายขึ้น)
กล่าวโดยสรุป แม้ยุทธวิธีจะพ่ายแพ้ แต่ยุทธศาตร์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ชนะใจคนทุกภาคส่วนของสังคม คนเสื้อแดงจึงมีสิทธิ์จะประกาศชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์ และยุติการชุมนุมอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อสู้ต่อให้ยุทธศาสตร์ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมกลายเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศต่อไป!
นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************
ทั้งนับรวมกับ 27 ชีวิตที่สูญเสียไป เกือบ 1,000 คนที่บาดเจ็บ และอาจมีบางคนที่พิการ รวมทั้งการผลิตสร้างภาพลักษณ์ของมวลชนเสื้อแดงที่ดูป่าเถื่อน นิยมความรุนแรง น่าเกลียดน่ากลัวราวกับ “เชื้อโรคแดง” (สำนวนของ ธงชัย วินิจจะกูล) ที่คุกคามความสงบสุขและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ แทบจะเรียกได้ว่าผลอันเป็นรูปธรรมแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่พ่ายแพ้เพราะว่า สังคมไม่เอาด้วยกับวาระ “ไพร่ล้มอำมาตย์” หรือข้อเสนอ “ยุบสภาเลือกตั้งใหม่” หรือ การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรม หรือการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทุกด้านในสังคม แต่พ่ายแพ้เพราะไม่อาจอธิบายให้สังคมเข้าใจได้อย่างสมเหตุสมผลว่า ทำไมการต่อสู้ครั้งนี้จึงนำไปสู่ “สงครามที่ไม่จำเป็น” และ “การสูญเสียที่ไม่จำเป็น”
แม้สงครามที่ไม่จำเป็นและการสูญเสียที่ไม่จำเป็นจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลก็อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมจึงปล่อย หรือเสมือนจงใจให้เกิดขึ้น แต่ในฐานะผู้เริ่ม “เปิดเกม” คุณทักษิณและแกนนำเสื้อแดงย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อยุทธวิธีที่ผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้
แต่จะอย่างไรก็ตาม ในความพ่ายแพ้เชิงยุทธวิธีนั้น ไม่ได้หมายความว่า “ยุทธศาสตร์”ของคนเสื้อแดงต้องพ่ายแพ้ไปด้วย จะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้น ไม่มีฝ่ายใดปฏิเสธ
แม้แต่แผนปรองดอง 5 ข้อ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีวาระการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ด้วย เขาจะจริงใจหรือไม่ รายละเอียดจะตรงกับความคิดของคนเสื้อแดงทั้งหมดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องถือว่านี่เป็น “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ของคนเสื้อแดง
การที่คนเสื้อแดงสามารถทำให้รัฐบาล คนทุกสี ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนของสังคม มองเห็นตรงกันว่า การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็น “วาระ” ที่จำเป็นในการแก้ปัญหาของประเทศ ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสื้อแดง แม้จะเป็นชัยชนะที่เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นนามธรรมที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการทำให้คนทั้งสังคมยอมรับความคิดดังกล่าว ส่วนรายละเอียดเชิงความคิดและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันต่อไป
ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจาก “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ดังกล่าว สิ่งที่แกนนำเสื้อแดงควรตัดสินใจเดินต่อไป คือการทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องยุทธศาสตร์ความต้องการประชาธิปไตยและการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป ด้วยการ...
1. อย่าเดินตามพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธแผนปรองดองของอภิสิทธิ์ เพราะจะเท่ากับเป็นการสกัดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ให้เข้าไปสู่กระบวนการถกเถียง และการหาทางออกร่วมกันของคนทั้งสังคม พันธมิตรฯ ต้องการทำลายเครดิตในยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ของคนเสื้อแดง เขาจึงประณามแผนปรองดอง และยกเรื่องล้มเจ้า การก่อการร้ายขึ้นมาเป็นจุดเน้นเพื่อทำลายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดง
วิธีคิดของพันธมิตรฯ คือ เขาต้องการ “ผูกขาด” การกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ เพราะถือว่าเสียสละตัวเองต่อสู้กับทักษิณมามากเหลือเกิน เขาจึงควรได้เป็น “พระเอก” ในการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงสังคม ดังจะเห็นได้จากท่าทีของพวกเขาต่อภาคส่วนต่างๆ ของสังคมที่ออกมาเสนอทางออกต่างๆ ว่า พวกเหล่านั้นมักเป็น “พวกตีกิน”
คนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องเดินตามวิธีคิดแบบ “ผูกขาด” ของพันธมิตรฯ ในเมื่อยุทธศาสตร์คือต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่มีความเป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การที่เราทำให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้กลายเป็น “วาระ” ที่ทุกภาคส่วนของสังคมเห็นความสำคัญ และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้เป็นจริง ย่อมถือว่าเป็นชัยชนะก้าวแรก ที่ก้าวต่อไปคนเสื้อแดงต้องผลักดัน “แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม” ให้สังคมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ
2. คนเสื้อแดงต้องปรับยุทธวิธีเน้นชัยชนะทางความคิดด้วยการใช้เหตุผลมากขึ้น วิธีประณามฝ่ายตรงข้าม เพื่อกระตุ้นความสะใจ ความเกลียดชัง น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้องให้มวลชนได้หยุดพัก แต่ยังมั่นคงด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม มีสติเก็บรับความผิดพลาดที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ต้องให้แกนนำระดับชุมชนหมู่บ้านดำรงเป้าหมายในการต่อสู้และเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง
3. พรรคการเมืองของคนเสื้อแดงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งในเรื่องนโยบายและตัวบุคคล โดยเฉพาะนโยบายต้องแสดงให้เห็นรูปธรรมของการออกแบบกติกาประชาธิปไตย และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่เป็นธรรม ต้องให้สัญญาประชาคมว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะทำเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมก่อน (เมื่อทำ 2 เรื่องนี้สำเร็จและสังคมยอมรับ การแก้ปัญหาคุณทักษิณอาจง่ายขึ้น)
กล่าวโดยสรุป แม้ยุทธวิธีจะพ่ายแพ้ แต่ยุทธศาตร์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ชนะใจคนทุกภาคส่วนของสังคม คนเสื้อแดงจึงมีสิทธิ์จะประกาศชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์ และยุติการชุมนุมอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อสู้ต่อให้ยุทธศาสตร์ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมกลายเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศต่อไป!
นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************
ข้ามชอต "ปรองดอง""นิรโทษ" พลิกเกมเลือกตั้ง ทุกพรรค-ทุกสีจัดแถวจับขั้ว แล้วใครหว่า อยากล้มโต๊ะ ?
จนถึงนาทีนี้ กล่าวได้ว่า แผนปรองดองและกระบวนการแก้วิกฤตการเมือง 5 ข้อ ยังอยู่ในวาระ "เพื่อพิจารณา" ของทุกขั้วทุกฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายที่ได้ประโยชน์ทางตรง คือนักการเมือง ใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า 700 คน ทำให้ข่าวใต้ดิน-ข้อมูลใหม่ ที่มีเป้าหมายให้เกิดการนิรโทษกรรม-คดีการเมือง จึงเร้าใจทุกขั้ว-ทุกสี
อย่างน้อยก็มีนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 8 พรรค 475 คน
นักการเมืองที่ถูกศาลตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี 1 พรรค คือ ไทยรักไทยจำนวน 111 คน
และนักการเมืองอีก 3 พรรค ที่ถูกตัดสิทธิ์รอบ 2 ทั้งชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตยและพลังประชาชนอีก 220 คน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่พิจารณาข้อเสนอ "นิรโทษกรรม" อย่างรอบด้าน
เช่นเดียวกับ ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในระหว่างจัดแถวใหม่ แยกแยะ ข้อดี-ข้อเสีย ของการนิรโทษกรรม และการได้กลับมาของคนสีเทา ทั้งอดีตไทยรักไทยและพลังประชาชน ไม่น้อยกว่า 111+39 คน
ข้อเสนอการจัดทำแผนปฏิบัติเพื่อการปรองดอง 6 เดือนก่อนลงสนามเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 ของนายกรัฐมนตรี จึงยังอยู่ในวาระเพื่อพิจารณา แบ่งรับ-แบ่งสู้จากฝ่าย "เสื้อแดง"
เพราะหาก "รับข้อเสนอ" หมายความว่า แกนนำ นปช.ทั้ง 13 คน ที่มีคดีอาญา-แพ่งติดตัว คนละไม่ต่ำกว่า 5 คดี ต้องเดินหน้าขึ้นศาล พร้อม ๆ กับการเดินทางหาเสียง และต้องยอมรับว่าโอกาสการได้เป็นรัฐมนตรี น้อยยิ่งกว่าน้อย
เพราะหากรับข้อเสนอ หมายความถึง ตำแหน่ง-แห่งที่ ที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย 13 คน อาจต้องถูกจัดอยู่ "ท้ายแถว" เพราะทีมเอและทีมบี คืนสู่สนามเลือกตั้ง
ที่สำคัญ "จุดอ่อน" ของฝ่ายเสื้อแดง ที่ต้องพิจารณาเป็นวาระแรก คือ การไม่ได้กลับมาของ "ทักษิณ" เพราะค้าง-คา คดีอาญาอยู่ไม่น้อย
ที่สำคัญ นักการเมืองที่มีความผิดติดตัว ทั้งคดีอาญา-คดีแพ่ง-คดีผู้ก่อการร้าย จะไม่ถูกนับจับมารวมกับข้อเสนอ "นิรโทษกรรม" นั้นส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายเพื่อไทย
และการไม่ได้กลับมาของ "ทักษิณ" หมายถึง การไม่ไหลของกระแส-กระสุน ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้ง
จุดอ่อนข้อนี้ เมื่อเทียบกับจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นับว่าอยู่ในดีกรีที่ใกล้เคียงกัน
เพราะการนิรโทษ-คดีการเมือง ทำให้ประชาธิปัตย์มีคู่แข่งเป็นนักการเมืองระดับพยัคฆ์เสียบปีก เต็มพื้นที่ทั่วทุกในสนามเลือกตั้ง
แน่นอนว่าคะแนนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมหายไป ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แน่นอนว่าคะแนนเสียงในระบบ ส.ส.เขต ย่อมต้องต่อสู้สูสี ทุกที่ทุกเขต แบบเจียนแพ้ เจียนชนะ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้อเสนอนิรโทษกรรม อาจทำให้ความขัดแย้ง เคืองใจ ของนักการเมืองที่ค้างคามานานกว่า 5 ปี ย่อมลดดีกรีลง และอาจได้ "ผล" คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปในทางบวก
ข้อเสนออย่างเป็นทางการของพรรคประชาธิปัตย์คือ "ยุบสภา" อย่างมีเงื่อนไข 5 ข้อกับ 2 เงื่อนไข ใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน และเสื้อแดง "ยุติ" การชุมนุม พร้อมเข้าสู่กระบวนการปรองดอง จึงเป็นจุดเริ่มต้น ที่ฝ่ายการเมืองที่ทั้งได้-ทั้งเสีย ต่างเห็นชอบ
อย่างน้อยการตั้งคณะกรรมการเพื่อการปรองดองในการเลือกตั้ง ที่มีตัวแทนจากทุกพรรค ที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง จะทำให้ทุกพรรค ทุกสี ลงพื้นที่ได้โดยปลอดจาก "ม็อบ" ต่อต้าน
อย่างน้อยทำให้คดีการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ถูกล้างทั้งหมด
ดังนั้น ทันทีที่ความเคลื่อนไหว "ใต้ดิน" เพื่อสร้างกระบวนการ-กรรมการปรองดองเกิดขึ้น จึงมีนักการเมือง "ขาใหญ่-บิ๊กเนม" เดินสายหารือ พยักหน้า ยอมรับทันที
ทั้งบรรหาร ศิลปอาชา แห่งพรรคชาติไทย-ชาติไทยพัฒนา
เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน-อนุทิน ชาญวีรกูล แห่งภูมิใจไทย
สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตกรรมการไทยรักไทย ปัจจุบันมีบารมีเหนือพรรค "รวมชาติพัฒนา" ก็เคยเห็นด้วย ไม่ขัดข้อง
เช่นเดียวกับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกุนซือไทยรักไทย ที่ร่วมรับรู้ผลการเจรจาผ่านทางเจ้าของทุนใหญ่ยักษ์จากมุมถนน "สีลม"
ตุ๊กตาการเมือง 5 ข้อ 2 เงื่อนไขของนายกรัฐมนตรี มีที่มาหลายวาระ หลายโอกาส
วาระแรก เป็นข้อเสนอจากผู้มีบารมีในพรรคร่วมรัฐบาล ที่เห็นว่า หากดึงนักการเมืองขาใหญ่มาไว้ในฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ได้มากเท่าไร ย่อมหมายถึงการได้เป็นเจ้ามือจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
ที่มีในมือขณะนี้ ก็มีทั้งสุวัจน์-บรรหาร-สมศักดิ์-เนวิน และ ฯลฯ
ที่สำคัญที่สุด ฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม "ทักษิณ" และอยู่ "ตรงกลาง" เป็นตัวเชื่อมทำให้เกิด "ร่าง" แผนปรองดอง รอบแรก เข้ามาเป็น "ตัวแปร" อีกเงื่อนไข มีอดีตผู้มีบารมีแห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ "เข้าถึง" ราชนิกูล ร่วมร่าง-รอบแรก
วาระต่อมา เกิดการเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาเครือข่ายราชนิกูล ที่อยู่ในวงการเมือง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ที่เริ่มขยับจับโทรศัพท์สนทนา หาทางแก้ปัญหา "เดดล็อก" การเมือง
วาระนี้ถูกเชื่อมเข้ากับ "เจ้าของทุนใหญ่" ย่านสีลม ที่มีเครือข่ายทั้งรัฐมนตรีในทำเนียบ-นายพลใหญ่ในกองทัพ และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารไทยรักไทย
จึงทำให้ชื่อ "เขยซีพี" อย่างน้อย 2 คนถูกพูดถึง ระหว่างบรรทัด-ระหว่างการขับเคลื่อนวาระ "นิรโทษ-ปรองดอง" เป็นกรณีพิเศษ
คนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีในทำเนียบคนสนิทของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" คนหนึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลอีกขั้วหนึ่ง เชื่อมต่อเจรจากับนักกฎหมายขั้นเทพ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ในร่มเงาพรรคเพื่อแผ่นดิน
ทุกวาระ ทุกเครือข่าย เจรจา สนทนา ทั้งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ แล้วนำเสนอสูตรปรองดอง ส่งตรงข้ามฟ้าไปถึง "ทักษิณ" เพื่อพิจารณา และ "เห็นชอบ" จึงเป็นที่มาของ 5 ข้อ 2 เงื่อนไข ตามที่นายกรัฐมนตรีนำเสนอในสภาผู้แทนราษฎร คือ
1.เรื่องปกป้องสถาบัน บนความเป็นจริงและความพอดี ให้ทุกคนมาช่วยกันว่ารักษาระบบสถาบัน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งในและนอกประเทศ
2.เรื่องการประสานทุกภาคส่วนต่าง ๆ ให้มาร่วมแก้ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม ทุกองค์กรก็ดำเนินการอยู่ จะได้ข้อสรุปถึงการตั้งสมัชชาประชาชนว่าด้วยการปฏิรูปภาคสังคม
3.เรื่องสื่อ เป็นเรื่องความคิดต่างทางการเมือง จะเชิญทุกสื่อ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) มากำหนดกติการ่วมกันใช้ทุกฝ่าย
4.เรื่องการสะสางเหตุการณ์วันที่ 10, 22 และ 28 เมษายน หากการชุมนุมยุติ จะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระ ส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาแล้ว ถ้าทุกคนรับได้ จะให้ใช้กลไกนั้น
5.เรื่องกฎกติกานักการเมือง มาเจรจากันทุกฝ่ายเพื่อหาความเห็นพ้อง ซึ่งถ้าทำได้ทั้งหมดจะให้เลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน
"แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนอง ผมก็จะพยายามทำ 5 เรื่องนี้ แต่ไม่สามารถบอกว่าจะเลือกตั้งได้เมื่อไหร่ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ที่เสนอโรดแมปไป ภาพรวมก็ได้รับการตอบรับ ซึ่งแนว นปช.ก็ตอบรับในหลักการ ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีจะเชิญมาคุย รวมถึงคงต้องไปทำความเข้าใจกับพันธมิตรด้วย" นายกรัฐมนตรีประกาศ
แม้ข้อเสนอนี้ "วีระ มุสิกพงษ์-ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ-จตุพร พรหมพันธุ์" จะยังมีท่าที "แบ่งรับ-แบ่งสู้" เพราะเหตุแห่งคดี "การก่อการร้าย" ที่ทั้ง "3 เกลอ" อาจติดร่างแห
แม้การปล่อยผี-นิรโทษกรรม นักการเมือง 220 คน จะทำให้เกิด "คู่แข่ง" ทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นมหาศาล
แต่นักการเมืองส่วนใหญ่พิเคราะห์แล้วว่า ต่างฝ่ายต่าง "win win solution"
ทว่า การยิง M 79 และ สาดกระสุนเอ็ม 16 ปลิดชีวิต ตำรวจ ไปอีก 2 ราย เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เสมือนเป็นต้องการล้มโต๊ะ คว่ำแผนปรองดองแห่งชาติ
รุ่งขึ้น นายกฯอภิสิทธิ์ ก็มาเฉลย ผ่านรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย ว่า อดีตนายกฯทักษิณและเสธ.แดง
ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดอง!!!
ข้อมูลใหม่ที่ออกมา สร้างความแตกแยกให้กลุ่มคนเสื้อแดง คือ การออกมาแฉของเสธ.แดงว่า 3 เกลอ ซูเอี๋ย "มาร์ค"
แน่ชัดแล้วว่า เสื้อแดงสายหนึ่ง ต้องการยุติการชุมนุม เพราะเห็นว่า รถไฟถึงสถานีแล้ว ถึงเวลากลับบ้าน
แต่ เสื้อแดงอีกสาย ยังไม่อยากกลับบ้าน เพราะเห็นว่า ชัยชนะอยู่สถานีข้างหน้า
นี่อาจเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ทักษิณ ใช้ เสื้อแดง เป็นเครื่องมือ
หรือ เสื้อแดง ใช้ ทักษิณ เป็นเครื่องมือ กันแน่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
********************************************************
อย่างน้อยก็มีนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 8 พรรค 475 คน
นักการเมืองที่ถูกศาลตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี 1 พรรค คือ ไทยรักไทยจำนวน 111 คน
และนักการเมืองอีก 3 พรรค ที่ถูกตัดสิทธิ์รอบ 2 ทั้งชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตยและพลังประชาชนอีก 220 คน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่พิจารณาข้อเสนอ "นิรโทษกรรม" อย่างรอบด้าน
เช่นเดียวกับ ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในระหว่างจัดแถวใหม่ แยกแยะ ข้อดี-ข้อเสีย ของการนิรโทษกรรม และการได้กลับมาของคนสีเทา ทั้งอดีตไทยรักไทยและพลังประชาชน ไม่น้อยกว่า 111+39 คน
ข้อเสนอการจัดทำแผนปฏิบัติเพื่อการปรองดอง 6 เดือนก่อนลงสนามเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 ของนายกรัฐมนตรี จึงยังอยู่ในวาระเพื่อพิจารณา แบ่งรับ-แบ่งสู้จากฝ่าย "เสื้อแดง"
เพราะหาก "รับข้อเสนอ" หมายความว่า แกนนำ นปช.ทั้ง 13 คน ที่มีคดีอาญา-แพ่งติดตัว คนละไม่ต่ำกว่า 5 คดี ต้องเดินหน้าขึ้นศาล พร้อม ๆ กับการเดินทางหาเสียง และต้องยอมรับว่าโอกาสการได้เป็นรัฐมนตรี น้อยยิ่งกว่าน้อย
เพราะหากรับข้อเสนอ หมายความถึง ตำแหน่ง-แห่งที่ ที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย 13 คน อาจต้องถูกจัดอยู่ "ท้ายแถว" เพราะทีมเอและทีมบี คืนสู่สนามเลือกตั้ง
ที่สำคัญ "จุดอ่อน" ของฝ่ายเสื้อแดง ที่ต้องพิจารณาเป็นวาระแรก คือ การไม่ได้กลับมาของ "ทักษิณ" เพราะค้าง-คา คดีอาญาอยู่ไม่น้อย
ที่สำคัญ นักการเมืองที่มีความผิดติดตัว ทั้งคดีอาญา-คดีแพ่ง-คดีผู้ก่อการร้าย จะไม่ถูกนับจับมารวมกับข้อเสนอ "นิรโทษกรรม" นั้นส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายเพื่อไทย
และการไม่ได้กลับมาของ "ทักษิณ" หมายถึง การไม่ไหลของกระแส-กระสุน ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้ง
จุดอ่อนข้อนี้ เมื่อเทียบกับจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นับว่าอยู่ในดีกรีที่ใกล้เคียงกัน
เพราะการนิรโทษ-คดีการเมือง ทำให้ประชาธิปัตย์มีคู่แข่งเป็นนักการเมืองระดับพยัคฆ์เสียบปีก เต็มพื้นที่ทั่วทุกในสนามเลือกตั้ง
แน่นอนว่าคะแนนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมหายไป ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แน่นอนว่าคะแนนเสียงในระบบ ส.ส.เขต ย่อมต้องต่อสู้สูสี ทุกที่ทุกเขต แบบเจียนแพ้ เจียนชนะ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้อเสนอนิรโทษกรรม อาจทำให้ความขัดแย้ง เคืองใจ ของนักการเมืองที่ค้างคามานานกว่า 5 ปี ย่อมลดดีกรีลง และอาจได้ "ผล" คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปในทางบวก
ข้อเสนออย่างเป็นทางการของพรรคประชาธิปัตย์คือ "ยุบสภา" อย่างมีเงื่อนไข 5 ข้อกับ 2 เงื่อนไข ใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน และเสื้อแดง "ยุติ" การชุมนุม พร้อมเข้าสู่กระบวนการปรองดอง จึงเป็นจุดเริ่มต้น ที่ฝ่ายการเมืองที่ทั้งได้-ทั้งเสีย ต่างเห็นชอบ
อย่างน้อยการตั้งคณะกรรมการเพื่อการปรองดองในการเลือกตั้ง ที่มีตัวแทนจากทุกพรรค ที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง จะทำให้ทุกพรรค ทุกสี ลงพื้นที่ได้โดยปลอดจาก "ม็อบ" ต่อต้าน
อย่างน้อยทำให้คดีการเมืองทั้งหมดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ถูกล้างทั้งหมด
ดังนั้น ทันทีที่ความเคลื่อนไหว "ใต้ดิน" เพื่อสร้างกระบวนการ-กรรมการปรองดองเกิดขึ้น จึงมีนักการเมือง "ขาใหญ่-บิ๊กเนม" เดินสายหารือ พยักหน้า ยอมรับทันที
ทั้งบรรหาร ศิลปอาชา แห่งพรรคชาติไทย-ชาติไทยพัฒนา
เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน-อนุทิน ชาญวีรกูล แห่งภูมิใจไทย
สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตกรรมการไทยรักไทย ปัจจุบันมีบารมีเหนือพรรค "รวมชาติพัฒนา" ก็เคยเห็นด้วย ไม่ขัดข้อง
เช่นเดียวกับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกุนซือไทยรักไทย ที่ร่วมรับรู้ผลการเจรจาผ่านทางเจ้าของทุนใหญ่ยักษ์จากมุมถนน "สีลม"
ตุ๊กตาการเมือง 5 ข้อ 2 เงื่อนไขของนายกรัฐมนตรี มีที่มาหลายวาระ หลายโอกาส
วาระแรก เป็นข้อเสนอจากผู้มีบารมีในพรรคร่วมรัฐบาล ที่เห็นว่า หากดึงนักการเมืองขาใหญ่มาไว้ในฝ่ายตรงข้าม "ทักษิณ" ได้มากเท่าไร ย่อมหมายถึงการได้เป็นเจ้ามือจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
ที่มีในมือขณะนี้ ก็มีทั้งสุวัจน์-บรรหาร-สมศักดิ์-เนวิน และ ฯลฯ
ที่สำคัญที่สุด ฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม "ทักษิณ" และอยู่ "ตรงกลาง" เป็นตัวเชื่อมทำให้เกิด "ร่าง" แผนปรองดอง รอบแรก เข้ามาเป็น "ตัวแปร" อีกเงื่อนไข มีอดีตผู้มีบารมีแห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ "เข้าถึง" ราชนิกูล ร่วมร่าง-รอบแรก
วาระต่อมา เกิดการเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาเครือข่ายราชนิกูล ที่อยู่ในวงการเมือง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ที่เริ่มขยับจับโทรศัพท์สนทนา หาทางแก้ปัญหา "เดดล็อก" การเมือง
วาระนี้ถูกเชื่อมเข้ากับ "เจ้าของทุนใหญ่" ย่านสีลม ที่มีเครือข่ายทั้งรัฐมนตรีในทำเนียบ-นายพลใหญ่ในกองทัพ และนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารไทยรักไทย
จึงทำให้ชื่อ "เขยซีพี" อย่างน้อย 2 คนถูกพูดถึง ระหว่างบรรทัด-ระหว่างการขับเคลื่อนวาระ "นิรโทษ-ปรองดอง" เป็นกรณีพิเศษ
คนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีในทำเนียบคนสนิทของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" คนหนึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลอีกขั้วหนึ่ง เชื่อมต่อเจรจากับนักกฎหมายขั้นเทพ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ในร่มเงาพรรคเพื่อแผ่นดิน
ทุกวาระ ทุกเครือข่าย เจรจา สนทนา ทั้งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ แล้วนำเสนอสูตรปรองดอง ส่งตรงข้ามฟ้าไปถึง "ทักษิณ" เพื่อพิจารณา และ "เห็นชอบ" จึงเป็นที่มาของ 5 ข้อ 2 เงื่อนไข ตามที่นายกรัฐมนตรีนำเสนอในสภาผู้แทนราษฎร คือ
1.เรื่องปกป้องสถาบัน บนความเป็นจริงและความพอดี ให้ทุกคนมาช่วยกันว่ารักษาระบบสถาบัน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งในและนอกประเทศ
2.เรื่องการประสานทุกภาคส่วนต่าง ๆ ให้มาร่วมแก้ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม ทุกองค์กรก็ดำเนินการอยู่ จะได้ข้อสรุปถึงการตั้งสมัชชาประชาชนว่าด้วยการปฏิรูปภาคสังคม
3.เรื่องสื่อ เป็นเรื่องความคิดต่างทางการเมือง จะเชิญทุกสื่อ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) มากำหนดกติการ่วมกันใช้ทุกฝ่าย
4.เรื่องการสะสางเหตุการณ์วันที่ 10, 22 และ 28 เมษายน หากการชุมนุมยุติ จะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระ ส่วนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาแล้ว ถ้าทุกคนรับได้ จะให้ใช้กลไกนั้น
5.เรื่องกฎกติกานักการเมือง มาเจรจากันทุกฝ่ายเพื่อหาความเห็นพ้อง ซึ่งถ้าทำได้ทั้งหมดจะให้เลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน
"แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนอง ผมก็จะพยายามทำ 5 เรื่องนี้ แต่ไม่สามารถบอกว่าจะเลือกตั้งได้เมื่อไหร่ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ที่เสนอโรดแมปไป ภาพรวมก็ได้รับการตอบรับ ซึ่งแนว นปช.ก็ตอบรับในหลักการ ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีจะเชิญมาคุย รวมถึงคงต้องไปทำความเข้าใจกับพันธมิตรด้วย" นายกรัฐมนตรีประกาศ
แม้ข้อเสนอนี้ "วีระ มุสิกพงษ์-ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ-จตุพร พรหมพันธุ์" จะยังมีท่าที "แบ่งรับ-แบ่งสู้" เพราะเหตุแห่งคดี "การก่อการร้าย" ที่ทั้ง "3 เกลอ" อาจติดร่างแห
แม้การปล่อยผี-นิรโทษกรรม นักการเมือง 220 คน จะทำให้เกิด "คู่แข่ง" ทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นมหาศาล
แต่นักการเมืองส่วนใหญ่พิเคราะห์แล้วว่า ต่างฝ่ายต่าง "win win solution"
ทว่า การยิง M 79 และ สาดกระสุนเอ็ม 16 ปลิดชีวิต ตำรวจ ไปอีก 2 ราย เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เสมือนเป็นต้องการล้มโต๊ะ คว่ำแผนปรองดองแห่งชาติ
รุ่งขึ้น นายกฯอภิสิทธิ์ ก็มาเฉลย ผ่านรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย ว่า อดีตนายกฯทักษิณและเสธ.แดง
ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดอง!!!
ข้อมูลใหม่ที่ออกมา สร้างความแตกแยกให้กลุ่มคนเสื้อแดง คือ การออกมาแฉของเสธ.แดงว่า 3 เกลอ ซูเอี๋ย "มาร์ค"
แน่ชัดแล้วว่า เสื้อแดงสายหนึ่ง ต้องการยุติการชุมนุม เพราะเห็นว่า รถไฟถึงสถานีแล้ว ถึงเวลากลับบ้าน
แต่ เสื้อแดงอีกสาย ยังไม่อยากกลับบ้าน เพราะเห็นว่า ชัยชนะอยู่สถานีข้างหน้า
นี่อาจเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ทักษิณ ใช้ เสื้อแดง เป็นเครื่องมือ
หรือ เสื้อแดง ใช้ ทักษิณ เป็นเครื่องมือ กันแน่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
********************************************************
หมายเหตุ10เมษาฯ

วีรชนร่ำไห้ในหลุมศพ
วีระรบกลบเกลื่อนและเลือนหาย
วีรภาพ10เมษาฯพร่าพราย
วีรเวรทรชนร้ายกลายรุ่งเรือง
ระบอบเถื่อนเบือนบิดผิดเป็นถูก
ระบอบล้มบนฟูกกลับฟูเฟื่อง
ระบอบพันธมารผลาญชาติผงาดเมือง
ระบอบเหลืองมลังเมลืองเลื่องลือ
บ้านนี้เมืองนี้ไม่มีธรรม
บ้านนี้เมืองนี้ตกต่ำ..จดจำชื่อ
บ้านนี้เมืองนี้ต้องลุกฮือ
บ้านนี้เมืองนี้ต้องรื้อต้องเปลี่ยนแปลง
ประชาชนต้องปฏิวัติต้องขัดขืน
ประชาชนต้องหยัดยืนต้องกำแหง
ประชาชนต้องโค่นล้มต้องสำแดง
ประชาชนต้องเฉิดแสงแห่งพลัง
เร่งปราบดาสถาปนาระบอบใหม่
เร่งประชาชาติไทยให้จัดตั้ง
เร่งขับไสไล่ส่งระบอบชัง
เร่งความหวังสู่ศรัทธามหาชน
ร่วมพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินถิ่นกาขาว
ร่วมเรื่องราวรณรงค์ให้ส่งผล
ร่วมกันสู้เพื่อชาติ-ประชาชน
ร่วมรวมพลประชาไทยขับไล่มาร
โดย-ปีกซ้าย
คดียุบปชป.สะเทือนโรดแม็ป
หลัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ประกาศแผนโรดแม็ปก็เจออุปสรรคทันที
เริ่มจากคนในพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะบรรดาทีมกุนซือใหญ่ ทั้ง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา
แม้เห็นด้วยกับแผนปรองดองกู้วิกฤตชาติ แต่ไม่แฮปปี้กับเรื่องยุบสภา
เช่นเดียวกับสมาชิกพรรค กลุ่มผู้สนับสนุน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ คนเสื้อหลากสี ก็ดาหน้าคัดค้าน หาว่าเป็นการเกี้ยเซี้ยกับนายใหญ่ พาดบันไดทางลงให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมโดยไม่เสียฟอร์ม
จึงไม่ใช่ "โรด แม็ป" แต่เป็น "เรดแม็ป"
หรือแม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ยึกยัก ตั้งแง่ไม่ยอมคืนพื้นที่ราชประสงค์ง่ายๆ เดินหน้าไล่บี้นายกฯ ให้ประกาศวันยุบสภาให้ชัด แม้เป็นสิ่งที่สามารถคำนวณได้เองก็ตาม
แต่ด่านสำคัญซึ่งถือเป็นด่านหิน คือ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่โดนดักสกัดไว้ถึง 2 ชั้น
ชั้นแรกคือ คดีอำพรางเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)
อีกชั้นคือ คดีนำเงินกองทุนสนับสนุนพรรค การเมือง 29 ล้านบาท ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
โดยขั้นตอนคดีแรก อยู่ระหว่างกกต.นำหลักฐานแจ้งต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้มีคำสั่งยุบพรรค คาดว่าเร็วๆ นี้เรื่องคงถึงมืออัยการ
ขณะที่คดีหลังคืบหน้าไปมาก ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องแล้วตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. อยู่ระหว่างการให้พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้ถูกร้อง ใช้สิทธิ์ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
แต่หากดำเนินการไม่ทัน มีสิทธิ์ยืดเวลาการยื่นคำชี้แจงได้อีก 30 วัน
ทั้งนี้ โทษสูงสุดของคดี คือ ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ถือเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในข่าย เพราะขณะเกิดเรื่องดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
หากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นจุดพลิกผันทางการเมือง นอกจากเก้าอี้นายกฯ จะว่างลง แผนโรดแม็ปยังมีอันต้องเป็นโมฆะทันที
ดังนั้น กรณีนายกฯ วางคิวเลือกตั้งล่วงหน้าไว้วันที่ 14 พ.ย. แท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าในช่วง 6-7 เดือนนับจากนี้ จะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง
ขนาดคนใกล้ชิดอย่างวอลเปเปอร์ ศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ยังยอมรับพร้อมส่งสัญญาณหนักใจ
"วันยุบสภาจะอยู่ระหว่างวันที่ 15-30 พ.ย. แต่จะให้กำหนดตายตัวเป็นเรื่องยาก"
"ไม่ใช่นายกฯ จะเซ็นยุบสภาได้ทันที อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่สามารถยุบสภาในวันที่ตั้งใจจะยุบได้"
คดีนี้จึงไม่กระทบแค่พรรคประชาธิปัตย์อย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อทางออกของวิกฤตการเมืองปัจจุบันด้วย ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศก้าวไม่พ้นทางตัน
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ แม้บรรดาส.ส. ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่หนักใจ แต่ท่าทีและความเคลื่อนไหวของแกนนำกลับตรงกันข้าม
เห็นได้จากการคัดเลือกคนมาร่วมทีมสู้คดี ล้วนแต่เป็นนักกฎหมายมือฉมังและมากประสบการณ์ เช่น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ฯลฯ
แม้แต่รุ่นเก๋าระดับนายชวน หลีกภัย ยังลงมาลุยคดีเองในฐานะหัวหน้าทีม
ทนายของพรรคอย่าง นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ก็มาเป็นทนายความคดีนี้
ไม่ให้เสียชื่อพรรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 64 ปี
ยิ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตเรื่องพฤติกรรมการกระทำผิดคล้ายกับพรรคพลังเกษตรกร ที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้แนวทางการเตรียมตัวสู้คดีของแกนนำเป็นไปด้วยความรอบคอบ
โดยเฉพาะนายชวนกล่าวย้ำหลายครั้งว่า คดีนี้จะประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก อดีตรองเลขาธิการพรรคสมัยที่เกิดเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานสู้คดีนี้ ยอมรับว่าหนักใจ เพราะความผิดชัดเจน
ระบุว่าพรรคทำป้ายหาเสียงผิดสเป๊กจากที่กกต. กำหนดไว้จริง โดยกกต.กำหนดไว้ว่าต้องสูง 2.40 เมตร กว้าง 1.30 เมตร แต่ป้ายที่พรรคทำคือ สูง 2.40 เมตร กว้าง 1.20 เมตร
เล็กกว่าที่รายงานกกต.ไป 10 ซ.ม.
"เห็นด้วยกับที่ กกต.เสนอให้ยุบพรรค เพราะตามข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่ามีการทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา แต่เป็นการทำผิดที่ไม่เจตนา เนื่องจากป้ายขนาด 1.30 เมตร และ 1.20 เมตร มีราคาเท่ากัน"
"จึงถือว่าเป็นปลาตายน้ำตื้น ที่พรรคเก่าแก่ผ่านการเลือกตั้งมา หลายสิบปี ต้องมาถูกยุบแค่ทำป้ายผิดขนาดไป 10 ซ.ม."
นายชาญชัย ยังนำไปเทียบกับกรณีของอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ว่าแม้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตัวฉกาจ แต่ต้องมาตกเก้าอี้นายกฯ เพราะแค่ผัดข้าวโชว์ทางทีวี
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ มองสถานการณ์ด้วยความห่วง ถึงกับประเมินผลที่ตามมาในแง่ร้ายสุดเพื่อให้เห็นภาพ
ว่าถ้าศาลมีคำสั่งภายใน 4-5 เดือนนี้จะกระทบรัฐบาลแน่นอน
เพราะจะมีส.ส.ของพรรคหายไป 30 กว่าเสียง เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารชุดที่เกิดเรื่อง ซึ่งมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค
จะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยทันที ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลมีโอกาสพลิกขั้วสูง
"เมื่อถึงจุดนั้น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว"
"แก้รัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ เสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ก็ต้องถูกคว่ำกลางสภา เพราะเสียงไม่พอ รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ"
นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวนายกฯ เพื่อลดสุญญากาศทางการเมือง โดยให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคมาดำรงตำแหน่งแทน เช่น นายชวน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ตามที่แกนนำนปช.บางคนเคยเสนอ
วิธีนี้ยังช่วยต่ออายุรัฐบาลให้อยู่ครบวาระ ในเวลาที่เหลืออีก 1 ปี
ยิ่งตอนนี้มีข่าวกระหึ่มว่าการตัดสินคดียุบพรรคจะเร็วขึ้น และคนในพรรคประชาธิปัตย์คาดการณ์เองว่าน่าจะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
อยู่ที่นายอภิสิทธิ์จะเลือกฝ่าวิกฤตด้วยวิธีใด?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************************
เริ่มจากคนในพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะบรรดาทีมกุนซือใหญ่ ทั้ง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา
แม้เห็นด้วยกับแผนปรองดองกู้วิกฤตชาติ แต่ไม่แฮปปี้กับเรื่องยุบสภา
เช่นเดียวกับสมาชิกพรรค กลุ่มผู้สนับสนุน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ คนเสื้อหลากสี ก็ดาหน้าคัดค้าน หาว่าเป็นการเกี้ยเซี้ยกับนายใหญ่ พาดบันไดทางลงให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมโดยไม่เสียฟอร์ม
จึงไม่ใช่ "โรด แม็ป" แต่เป็น "เรดแม็ป"
หรือแม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ยึกยัก ตั้งแง่ไม่ยอมคืนพื้นที่ราชประสงค์ง่ายๆ เดินหน้าไล่บี้นายกฯ ให้ประกาศวันยุบสภาให้ชัด แม้เป็นสิ่งที่สามารถคำนวณได้เองก็ตาม
แต่ด่านสำคัญซึ่งถือเป็นด่านหิน คือ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่โดนดักสกัดไว้ถึง 2 ชั้น
ชั้นแรกคือ คดีอำพรางเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)
อีกชั้นคือ คดีนำเงินกองทุนสนับสนุนพรรค การเมือง 29 ล้านบาท ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
โดยขั้นตอนคดีแรก อยู่ระหว่างกกต.นำหลักฐานแจ้งต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้มีคำสั่งยุบพรรค คาดว่าเร็วๆ นี้เรื่องคงถึงมืออัยการ
ขณะที่คดีหลังคืบหน้าไปมาก ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องแล้วตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. อยู่ระหว่างการให้พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้ถูกร้อง ใช้สิทธิ์ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
แต่หากดำเนินการไม่ทัน มีสิทธิ์ยืดเวลาการยื่นคำชี้แจงได้อีก 30 วัน
ทั้งนี้ โทษสูงสุดของคดี คือ ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ถือเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในข่าย เพราะขณะเกิดเรื่องดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
หากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นจุดพลิกผันทางการเมือง นอกจากเก้าอี้นายกฯ จะว่างลง แผนโรดแม็ปยังมีอันต้องเป็นโมฆะทันที
ดังนั้น กรณีนายกฯ วางคิวเลือกตั้งล่วงหน้าไว้วันที่ 14 พ.ย. แท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าในช่วง 6-7 เดือนนับจากนี้ จะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง
ขนาดคนใกล้ชิดอย่างวอลเปเปอร์ ศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ยังยอมรับพร้อมส่งสัญญาณหนักใจ
"วันยุบสภาจะอยู่ระหว่างวันที่ 15-30 พ.ย. แต่จะให้กำหนดตายตัวเป็นเรื่องยาก"
"ไม่ใช่นายกฯ จะเซ็นยุบสภาได้ทันที อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่สามารถยุบสภาในวันที่ตั้งใจจะยุบได้"
คดีนี้จึงไม่กระทบแค่พรรคประชาธิปัตย์อย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อทางออกของวิกฤตการเมืองปัจจุบันด้วย ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ประเทศก้าวไม่พ้นทางตัน
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ แม้บรรดาส.ส. ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่หนักใจ แต่ท่าทีและความเคลื่อนไหวของแกนนำกลับตรงกันข้าม
เห็นได้จากการคัดเลือกคนมาร่วมทีมสู้คดี ล้วนแต่เป็นนักกฎหมายมือฉมังและมากประสบการณ์ เช่น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ฯลฯ
แม้แต่รุ่นเก๋าระดับนายชวน หลีกภัย ยังลงมาลุยคดีเองในฐานะหัวหน้าทีม
ทนายของพรรคอย่าง นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ก็มาเป็นทนายความคดีนี้
ไม่ให้เสียชื่อพรรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 64 ปี
ยิ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตเรื่องพฤติกรรมการกระทำผิดคล้ายกับพรรคพลังเกษตรกร ที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้แนวทางการเตรียมตัวสู้คดีของแกนนำเป็นไปด้วยความรอบคอบ
โดยเฉพาะนายชวนกล่าวย้ำหลายครั้งว่า คดีนี้จะประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก อดีตรองเลขาธิการพรรคสมัยที่เกิดเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานสู้คดีนี้ ยอมรับว่าหนักใจ เพราะความผิดชัดเจน
ระบุว่าพรรคทำป้ายหาเสียงผิดสเป๊กจากที่กกต. กำหนดไว้จริง โดยกกต.กำหนดไว้ว่าต้องสูง 2.40 เมตร กว้าง 1.30 เมตร แต่ป้ายที่พรรคทำคือ สูง 2.40 เมตร กว้าง 1.20 เมตร
เล็กกว่าที่รายงานกกต.ไป 10 ซ.ม.
"เห็นด้วยกับที่ กกต.เสนอให้ยุบพรรค เพราะตามข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่ามีการทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา แต่เป็นการทำผิดที่ไม่เจตนา เนื่องจากป้ายขนาด 1.30 เมตร และ 1.20 เมตร มีราคาเท่ากัน"
"จึงถือว่าเป็นปลาตายน้ำตื้น ที่พรรคเก่าแก่ผ่านการเลือกตั้งมา หลายสิบปี ต้องมาถูกยุบแค่ทำป้ายผิดขนาดไป 10 ซ.ม."
นายชาญชัย ยังนำไปเทียบกับกรณีของอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ว่าแม้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตัวฉกาจ แต่ต้องมาตกเก้าอี้นายกฯ เพราะแค่ผัดข้าวโชว์ทางทีวี
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ มองสถานการณ์ด้วยความห่วง ถึงกับประเมินผลที่ตามมาในแง่ร้ายสุดเพื่อให้เห็นภาพ
ว่าถ้าศาลมีคำสั่งภายใน 4-5 เดือนนี้จะกระทบรัฐบาลแน่นอน
เพราะจะมีส.ส.ของพรรคหายไป 30 กว่าเสียง เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารชุดที่เกิดเรื่อง ซึ่งมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค
จะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยทันที ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลมีโอกาสพลิกขั้วสูง
"เมื่อถึงจุดนั้น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว"
"แก้รัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ เสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ก็ต้องถูกคว่ำกลางสภา เพราะเสียงไม่พอ รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ"
นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวนายกฯ เพื่อลดสุญญากาศทางการเมือง โดยให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคมาดำรงตำแหน่งแทน เช่น นายชวน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ตามที่แกนนำนปช.บางคนเคยเสนอ
วิธีนี้ยังช่วยต่ออายุรัฐบาลให้อยู่ครบวาระ ในเวลาที่เหลืออีก 1 ปี
ยิ่งตอนนี้มีข่าวกระหึ่มว่าการตัดสินคดียุบพรรคจะเร็วขึ้น และคนในพรรคประชาธิปัตย์คาดการณ์เองว่าน่าจะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
อยู่ที่นายอภิสิทธิ์จะเลือกฝ่าวิกฤตด้วยวิธีใด?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************************
ทฤษฎีกำเนิดขบวนการประชาชนคนเดินตรอก
ในฉบับก่อนเล่าถึงทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรุนแรง จากเค้าโครงตำราเรียนของ ดร.เครน บรินตัน ถึงอาการป่วยเบื้องต้นทางการเมืองของสังคมที่จะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองต่อไป
อาการเบื้องต้นของการป่วยของสังคมที่ว่า ได้แก่ 1.การเกิดความรู้สึกทางชนชั้นของสังคมเป็นคนชั้นสูงและคนชั้นล่าง แล้วก็เกิดความรู้สึกต่อต้านซึ่งกันและกัน หรือ Class Antagonism 2.รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความสามารถของรัฐบาลเอง หรือกลไกของรัฐบาลไม่ทำงาน หรือ Government Inefficiency 3.มีผู้นำที่ซื่อบื้อ ซุ่มซ่าม งี่เง่า เต่าล้านปี ไม่ทันสถานการณ์ หรือที่ ดร.บรินตันใช้คำว่า Inept Ruler 4.ปัญญาชนซึ่งเคยเป็นคนชั้นสูงย้ายข้างจากที่เคยอยู่ฝ่ายชนชั้นสูงเข้ามาสนับสนุนและเห็นใจคนชั้นล่าง Intellectual Transfer of Loyalty และ 5.ประการสุดท้ายของอาการไข้เบื้องต้นคือความล้มเหลวในการใช้วาจาขู่ว่าจะใช้กำลังบังคับ หรือมีการใช้กำลังแล้วคนไม่กลัว การต่อต้านยังคงมีต่อไป หรือ Failure of Force
เมื่ออาการไข้ดังกล่าว ปรอทได้สูงขึ้นกว่า 100 องศาฟาห์เรนไฮต์ สังคมที่มีไข้ขึ้นสูงดังกล่าว สังคมนั้นก็จะเคลื่อนจากอาการตัวร้อนเป็นไข้ไปเข้าสู่การป่วยที่แท้จริง
ช่วงที่อาการจากการเป็นไข้กลายเป็นอาการป่วยอย่างที่แท้จริง ′ขบวนการประชาชน′ หรือ People Movement ก็จะก่อตัวขึ้น พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งจนกลายเป็นขบวนการที่ถาวร
ขบวนการดังกล่าว ถ้ามีองค์ประกอบครบ 7 ประการ ก็จะเป็นขบวนการประชาชนที่ถาวรยั่งยืน องค์ประกอบ 7 ประการดังกล่าว ประกอบด้วย 1.อุดมการณ์ร่วมกัน หรือ Common Idealogy อุดมการณ์อาจจะเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง เช่น อุดมการณ์ประชาธิปไตยพรรคเดียวหรือหลายพรรค อุดมการณ์ความเสมอภาค อุดมการณ์เรื่องความเป็นธรรม การปฏิบัติอย่างเท่าเทียม อุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมกัน หรืออุดมการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมนิยม อุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยม อุดมการณ์ชาตินิยมทางการเมือง หรืออุดมการณ์ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางศาสนาจะเคร่งหรือไม่เคร่ง รัฐศาสนา รัฐที่ไม่ใช่รัฐศาสนา เป็นต้น อุดมการณ์เหล่านี้ ถ้ามีการหยิบยกขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง และสามารถทำให้มีผู้คนมาร่วมอุดมการณ์ได้มากขึ้นทุกปี ก็สามารถก่อกำเนิดเป็นขบวนการประชาชนได้
2.หัวหน้า หรือ Leaders ขบวนการทุกขบวนการย่อมมีหัวหน้าที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม เพราะอุดมการณ์ร่วมกันที่ใช้นำมาเป็นเครื่องมือปลุกระดมนั้นเป็น นามธรรม ส่วนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เห็นได้ทั้งภาพและเสียงที่ได้ยินได้
หัวหน้าอาจจะมีหลายระดับ อาจจะมีหัวหน้าใหญ่ รองลงมาเป็นผู้นำ หรือสมัยนี้ชอบเรียกกันว่าเป็น ′แกนนำ′ จำนวนไม่มาก แล้วก็อาจจะมีกลุ่มแกนนำรุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ 3 ต่อไป ซึ่งอาจจะมีบางส่วนเปิดตัวหรือบางส่วนไม่เปิดตัว ในสมัยสงครามเย็น การมีหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เช่น รัสเซีย จีน คิวบา เวียดนาม ส่วนพรรคที่ไม่สามารถเปิดเผยหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมได้ จึงไม่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในที่สุด
การที่ขบวนการสามารถเปิดเผยชื่อ ′หัวหน้า′ หรือกลุ่มหัวหน้าได้อย่างเปิดเผยได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีส่วนสำคัญของระดับการพัฒนาของขบวนการ
ถ้ายังไม่สามารถเปิดเผยชื่อหัวหน้าหรือคณะบุคคลที่เป็นหัวหน้าได้ ก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปจนกว่าจะหาหัวหน้าได้ เพราะมันสมองย่อมต้องมาจากกลุ่มผู้นำเหล่านี้
3.มีการจัดตั้ง หรือ Organization มีองค์กรที่เป็นศูนย์กลาง และมีสาขาเครือข่ายขยายตัวจากส่วนกลางกระจายไปยังส่วนภูมิภาค มีสายการบังคับบัญชาสั่งการเป็นเครือข่าย มีศูนย์กลางอยู่ในเมืองหลวงและในภูมิภาค มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม โรงเรียนฝ่ายโฆษณาการ โรงเรียนฝ่ายปฏิบัติการ ถ้าพัฒนาไปถึงกองกำลังติดอาวุธ ก็จะมีสายการบังคับบัญชาการที่ชัดเจนแน่นอน อาจจะเปิดเผยหรือปิดลับ
4.ทรัพยากร หรือ Resources ที่จะใช้ในการปฏิบัติการทั้งในด้านการโฆษณา การหาแนวร่วม การปฏิบัติการในกิจกรรมทางการเมือง ทรัพยากรที่สำคัญคือทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งอาจจะได้จากการบริจาคหรือการหารายได้จากแหล่งต่าง ๆ อาจจะเป็นทรัพยากรอื่น ๆ ที่องค์กรกลางหรือสาขาจะระดมมาได้จากแหล่งอื่น ๆ ทรัพยากรต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะระดมมาได้หลายทาง และก็เป็นของจำเป็น
5.ผู้ปฏิบัติงานในภาคสนาม หรือ Cadre เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและโรงเรียนปฏิบัติการ ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมผ่านการปฏิบัติงานก็จะได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น ′แกนนำ′ แกนนำก็จะทำหน้าที่ให้การอบรมสำหรับอาสาสมัครที่รับหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานของรุ่นต่อ ๆ ไป
6.สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้รับการสนับสนุนจากประชาชน หรือ Popular Support ขบวนการที่จะเติบใหญ่ได้ ต้องมีแรงสนับสนุนจากประชาชน การจะได้รับการสนับสนุนได้ ก็คงต้องทำให้ประชาชนเห็นด้วยกับอุดมการณ์ ได้รับการสนับสนุน เลื่อมใสศรัทธาในตัวผู้นำของขบวนการ
เมื่อองค์กรนำของขบวนการเข้มแข็ง มีประชาชนผู้มีอารมณ์ร่วมในความคิดเห็นที่เป็นอุดมการณ์ ขบวนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น จำนวนคนเข้าร่วมขบวนการก็จะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสที่ได้ปลุกระดมขึ้นให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
7.สิ่งสุดท้ายของขบวนการประชาชนก็คือการมีเป้าหมาย หรือ Goal and Target ที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ
เมื่อเกิดขบวนการประชาชนและกระแสอารมณ์ทางการเมืองถูกระดมให้รุนแรงมากขึ้น ดร.บรินตันได้กล่าวต่อไปถึงสถานการณ์ขั้นต่อไปของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่
สถานการณ์ขั้นแรกของการปฏิวัติ ก็คือ
1.การประท้วงต่อต้านรัฐบาล มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หรือ Government Protests Increase เมื่อขบวนการจุดไฟติด มีผู้เข้าร่วมขบวนการมากขึ้นทุกที มีองค์กรจัดตั้ง มีทรัพยากรทางการเงิน มีผู้ปฏิบัติงาน ก็จะมีการจัดให้มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาล แต่ละครั้งในการประท้วงต่อต้านก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในแง่จำนวนคนที่เข้าร่วมประท้วงและต่อต้าน และจำนวนความถี่ในการต่อต้าน การชุมนุมต่อต้านก็จะบ่อยมากขึ้น
ถ้ารัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม มีคนล้มตาย ก็จะเป็นรูปธรรมของความรุนแรงที่จะใช้ในการปลุกระดมต่อต้านมากยิ่งขึ้น ความโกรธแค้นชิงชังอีกฝ่ายหนึ่งก็จะถูกใช้ เพื่อเป็นการสร้างกระแสคัดค้านต่อต้านฝ่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
ครั้นรัฐบาลไม่ใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปราม ขบวนการดังกล่าวก็จะขยายตัวยิ่งขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการของรัฐบาลเสื่อมลง ความมั่นใจในความคงอยู่ของรัฐบาลก็จะเสื่อมลง ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อการประท้วงต่อต้านรัฐบาลพัฒนามาถึงขึ้นที่มีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วมการประท้วงต่อต้าน มีขบวนการประชาชนเข้ามาร่วมสนับสนุน ทั้งที่มีการแสดงออกและไม่ได้แสดงออก โดยที่ฝ่ายอำนาจรัฐมักจะเชื่อว่าฝ่ายที่ไม่แสดงออก หรือที่รัฐบาลทุกแห่งมักจะเรียกว่า ′silent majority′ นั้นจะมีจำนวนผู้คนที่มากกว่า และจริง ๆ แล้วผู้คนที่อยู่เงียบ ๆ นั้นก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
การประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ขยายจำนวนและแผ่กระจายไปในวงกว้างในท้องที่นอกเมืองหลวง รวมทั้งความบ่อยของการจัดการประท้วงต่อต้านจะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
เมื่อมีการปราบปรามผู้ที่แสดงออกผู้ประท้วงต่อต้านจนถึงขั้นรุนแรง หรือถ้าไม่มีการปราบปราม ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำและต่อรัฐบาลเองก็เสื่อมลงอย่างมาก จนทำให้เกิดความล้มเหลวในการใช้กำลัง หรือ Failure of Forces กลายเป็นความล้มเหลวในการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ สถานการณ์ก็กลายเป็นสถานการณ์ของรัฐที่กำลังล้มเหลว หรือ Failing State
ประการต่อไปก็คือการมีเหตุการณ์รุนแรง หรือเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือตำราเขาเรียกว่า dramatic events เช่น มีการก่อวินาศกรรมที่นั่นที่นี่ มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่คาดไม่ถึงทั้งในวงการรัฐบาล วงการฝ่ายค้าน หรือรัฐสภา เกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เช่น มีการฆาตกรรมผู้นำฝ่ายนั้นหรือฆาตกรรมฝ่ายนี้ รัฐสภาเกิดอลเวงมีการย้ายข้างของสมาชิกรัฐสภา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดสถานการณ์ ′อนาธิปไตย′ ขึ้นโดยทั่วไป
เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้ก็กระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจ การค้าขาย การลงทุน การบริโภค สิ่งที่ตามมาก็คือภาวะเศรษฐกิจและการเงินล้มเหลว หรือ ′Economic and Financial Breakdown′ ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวเองลง ต้องลอยแพคนงาน การว่างงานเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงทางการเมืองทำให้ไม่มีการลงทุน
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกก็จะเกิดภาวะเงินตราต่างประเทศไหลออกไปนอกประเทศ ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรง การที่ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รายได้ของรัฐบาลลดลง รายจ่ายมีมากขึ้น ทำให้ฐานะทางการคลังเลวลง หลายประเทศที่ ดร.เครน บรินตัน ทำการศึกษา ก่อนจะเกิด ′สงครามกลางเมือง′ หรือ ′civil war′ ฐานะทางการเงินของรัฐบาลอยู่ในฐานะล้มละลาย รัฐบาลต้องชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการกู้เงินจากธนาคารกลางจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
หลังจากเกิดภาวะ ′อนาธิปไตย′ เศรษฐกิจและการเงินของประเทศล้มเหลว ก็จะมีการเรียกร้องให้มีคนกลางมาเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือที่บรินตันเรียกว่า ′Moderates Attain Power′ รัฐบาลคนกลางส่วนมากมักจะเป็น ′รัฐบาลมะเขือเผา′ อย่างที่มีเสียงเรียกร้องให้ตั้ง ′รัฐบาลแห่งชาติ′ เมื่อตั้งมาแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาหลักไม่ได้รับการแก้ไข เหตุการณ์ก็เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ
กระนั้นก็ตาม คนก็พอใจระยะหนึ่ง กลายเป็น ′Honeymoon Period′ ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร และผู้นำหัวรุนแรงก็จะเข้าสู่อำนาจ เช่นเดียวกับเยอรมนีและอิตาลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเป็นช่วง ′Redicals Take Control′ แล้วก็เกิดสงครามกลางเมือง กลายเป็นรัฐบาลล้มเหลว หรือ Fail State
อ่านตำราฝรั่งแล้ว หวังว่าจะไม่เห็นในบ้านเรา
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
*************************************************************
อาการเบื้องต้นของการป่วยของสังคมที่ว่า ได้แก่ 1.การเกิดความรู้สึกทางชนชั้นของสังคมเป็นคนชั้นสูงและคนชั้นล่าง แล้วก็เกิดความรู้สึกต่อต้านซึ่งกันและกัน หรือ Class Antagonism 2.รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความสามารถของรัฐบาลเอง หรือกลไกของรัฐบาลไม่ทำงาน หรือ Government Inefficiency 3.มีผู้นำที่ซื่อบื้อ ซุ่มซ่าม งี่เง่า เต่าล้านปี ไม่ทันสถานการณ์ หรือที่ ดร.บรินตันใช้คำว่า Inept Ruler 4.ปัญญาชนซึ่งเคยเป็นคนชั้นสูงย้ายข้างจากที่เคยอยู่ฝ่ายชนชั้นสูงเข้ามาสนับสนุนและเห็นใจคนชั้นล่าง Intellectual Transfer of Loyalty และ 5.ประการสุดท้ายของอาการไข้เบื้องต้นคือความล้มเหลวในการใช้วาจาขู่ว่าจะใช้กำลังบังคับ หรือมีการใช้กำลังแล้วคนไม่กลัว การต่อต้านยังคงมีต่อไป หรือ Failure of Force
เมื่ออาการไข้ดังกล่าว ปรอทได้สูงขึ้นกว่า 100 องศาฟาห์เรนไฮต์ สังคมที่มีไข้ขึ้นสูงดังกล่าว สังคมนั้นก็จะเคลื่อนจากอาการตัวร้อนเป็นไข้ไปเข้าสู่การป่วยที่แท้จริง
ช่วงที่อาการจากการเป็นไข้กลายเป็นอาการป่วยอย่างที่แท้จริง ′ขบวนการประชาชน′ หรือ People Movement ก็จะก่อตัวขึ้น พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งจนกลายเป็นขบวนการที่ถาวร
ขบวนการดังกล่าว ถ้ามีองค์ประกอบครบ 7 ประการ ก็จะเป็นขบวนการประชาชนที่ถาวรยั่งยืน องค์ประกอบ 7 ประการดังกล่าว ประกอบด้วย 1.อุดมการณ์ร่วมกัน หรือ Common Idealogy อุดมการณ์อาจจะเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง เช่น อุดมการณ์ประชาธิปไตยพรรคเดียวหรือหลายพรรค อุดมการณ์ความเสมอภาค อุดมการณ์เรื่องความเป็นธรรม การปฏิบัติอย่างเท่าเทียม อุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมกัน หรืออุดมการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมนิยม อุดมการณ์เศรษฐกิจเสรีนิยม อุดมการณ์ชาตินิยมทางการเมือง หรืออุดมการณ์ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ อุดมการณ์ทางศาสนาจะเคร่งหรือไม่เคร่ง รัฐศาสนา รัฐที่ไม่ใช่รัฐศาสนา เป็นต้น อุดมการณ์เหล่านี้ ถ้ามีการหยิบยกขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง และสามารถทำให้มีผู้คนมาร่วมอุดมการณ์ได้มากขึ้นทุกปี ก็สามารถก่อกำเนิดเป็นขบวนการประชาชนได้
2.หัวหน้า หรือ Leaders ขบวนการทุกขบวนการย่อมมีหัวหน้าที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม เพราะอุดมการณ์ร่วมกันที่ใช้นำมาเป็นเครื่องมือปลุกระดมนั้นเป็น นามธรรม ส่วนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เห็นได้ทั้งภาพและเสียงที่ได้ยินได้
หัวหน้าอาจจะมีหลายระดับ อาจจะมีหัวหน้าใหญ่ รองลงมาเป็นผู้นำ หรือสมัยนี้ชอบเรียกกันว่าเป็น ′แกนนำ′ จำนวนไม่มาก แล้วก็อาจจะมีกลุ่มแกนนำรุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ 3 ต่อไป ซึ่งอาจจะมีบางส่วนเปิดตัวหรือบางส่วนไม่เปิดตัว ในสมัยสงครามเย็น การมีหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เช่น รัสเซีย จีน คิวบา เวียดนาม ส่วนพรรคที่ไม่สามารถเปิดเผยหัวหน้าที่เป็นรูปธรรมได้ จึงไม่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในที่สุด
การที่ขบวนการสามารถเปิดเผยชื่อ ′หัวหน้า′ หรือกลุ่มหัวหน้าได้อย่างเปิดเผยได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีส่วนสำคัญของระดับการพัฒนาของขบวนการ
ถ้ายังไม่สามารถเปิดเผยชื่อหัวหน้าหรือคณะบุคคลที่เป็นหัวหน้าได้ ก็ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปจนกว่าจะหาหัวหน้าได้ เพราะมันสมองย่อมต้องมาจากกลุ่มผู้นำเหล่านี้
3.มีการจัดตั้ง หรือ Organization มีองค์กรที่เป็นศูนย์กลาง และมีสาขาเครือข่ายขยายตัวจากส่วนกลางกระจายไปยังส่วนภูมิภาค มีสายการบังคับบัญชาสั่งการเป็นเครือข่าย มีศูนย์กลางอยู่ในเมืองหลวงและในภูมิภาค มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม โรงเรียนฝ่ายโฆษณาการ โรงเรียนฝ่ายปฏิบัติการ ถ้าพัฒนาไปถึงกองกำลังติดอาวุธ ก็จะมีสายการบังคับบัญชาการที่ชัดเจนแน่นอน อาจจะเปิดเผยหรือปิดลับ
4.ทรัพยากร หรือ Resources ที่จะใช้ในการปฏิบัติการทั้งในด้านการโฆษณา การหาแนวร่วม การปฏิบัติการในกิจกรรมทางการเมือง ทรัพยากรที่สำคัญคือทรัพยากรทางการเงิน ซึ่งอาจจะได้จากการบริจาคหรือการหารายได้จากแหล่งต่าง ๆ อาจจะเป็นทรัพยากรอื่น ๆ ที่องค์กรกลางหรือสาขาจะระดมมาได้จากแหล่งอื่น ๆ ทรัพยากรต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะระดมมาได้หลายทาง และก็เป็นของจำเป็น
5.ผู้ปฏิบัติงานในภาคสนาม หรือ Cadre เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและโรงเรียนปฏิบัติการ ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมผ่านการปฏิบัติงานก็จะได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น ′แกนนำ′ แกนนำก็จะทำหน้าที่ให้การอบรมสำหรับอาสาสมัครที่รับหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานของรุ่นต่อ ๆ ไป
6.สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้รับการสนับสนุนจากประชาชน หรือ Popular Support ขบวนการที่จะเติบใหญ่ได้ ต้องมีแรงสนับสนุนจากประชาชน การจะได้รับการสนับสนุนได้ ก็คงต้องทำให้ประชาชนเห็นด้วยกับอุดมการณ์ ได้รับการสนับสนุน เลื่อมใสศรัทธาในตัวผู้นำของขบวนการ
เมื่อองค์กรนำของขบวนการเข้มแข็ง มีประชาชนผู้มีอารมณ์ร่วมในความคิดเห็นที่เป็นอุดมการณ์ ขบวนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น จำนวนคนเข้าร่วมขบวนการก็จะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสที่ได้ปลุกระดมขึ้นให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
7.สิ่งสุดท้ายของขบวนการประชาชนก็คือการมีเป้าหมาย หรือ Goal and Target ที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ
เมื่อเกิดขบวนการประชาชนและกระแสอารมณ์ทางการเมืองถูกระดมให้รุนแรงมากขึ้น ดร.บรินตันได้กล่าวต่อไปถึงสถานการณ์ขั้นต่อไปของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่
สถานการณ์ขั้นแรกของการปฏิวัติ ก็คือ
1.การประท้วงต่อต้านรัฐบาล มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น หรือ Government Protests Increase เมื่อขบวนการจุดไฟติด มีผู้เข้าร่วมขบวนการมากขึ้นทุกที มีองค์กรจัดตั้ง มีทรัพยากรทางการเงิน มีผู้ปฏิบัติงาน ก็จะมีการจัดให้มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาล แต่ละครั้งในการประท้วงต่อต้านก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในแง่จำนวนคนที่เข้าร่วมประท้วงและต่อต้าน และจำนวนความถี่ในการต่อต้าน การชุมนุมต่อต้านก็จะบ่อยมากขึ้น
ถ้ารัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม มีคนล้มตาย ก็จะเป็นรูปธรรมของความรุนแรงที่จะใช้ในการปลุกระดมต่อต้านมากยิ่งขึ้น ความโกรธแค้นชิงชังอีกฝ่ายหนึ่งก็จะถูกใช้ เพื่อเป็นการสร้างกระแสคัดค้านต่อต้านฝ่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
ครั้นรัฐบาลไม่ใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปราม ขบวนการดังกล่าวก็จะขยายตัวยิ่งขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการของรัฐบาลเสื่อมลง ความมั่นใจในความคงอยู่ของรัฐบาลก็จะเสื่อมลง ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อการประท้วงต่อต้านรัฐบาลพัฒนามาถึงขึ้นที่มีมวลชนจำนวนมากเข้าร่วมการประท้วงต่อต้าน มีขบวนการประชาชนเข้ามาร่วมสนับสนุน ทั้งที่มีการแสดงออกและไม่ได้แสดงออก โดยที่ฝ่ายอำนาจรัฐมักจะเชื่อว่าฝ่ายที่ไม่แสดงออก หรือที่รัฐบาลทุกแห่งมักจะเรียกว่า ′silent majority′ นั้นจะมีจำนวนผู้คนที่มากกว่า และจริง ๆ แล้วผู้คนที่อยู่เงียบ ๆ นั้นก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
การประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ขยายจำนวนและแผ่กระจายไปในวงกว้างในท้องที่นอกเมืองหลวง รวมทั้งความบ่อยของการจัดการประท้วงต่อต้านจะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
เมื่อมีการปราบปรามผู้ที่แสดงออกผู้ประท้วงต่อต้านจนถึงขั้นรุนแรง หรือถ้าไม่มีการปราบปราม ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำและต่อรัฐบาลเองก็เสื่อมลงอย่างมาก จนทำให้เกิดความล้มเหลวในการใช้กำลัง หรือ Failure of Forces กลายเป็นความล้มเหลวในการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ สถานการณ์ก็กลายเป็นสถานการณ์ของรัฐที่กำลังล้มเหลว หรือ Failing State
ประการต่อไปก็คือการมีเหตุการณ์รุนแรง หรือเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือตำราเขาเรียกว่า dramatic events เช่น มีการก่อวินาศกรรมที่นั่นที่นี่ มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่คาดไม่ถึงทั้งในวงการรัฐบาล วงการฝ่ายค้าน หรือรัฐสภา เกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เช่น มีการฆาตกรรมผู้นำฝ่ายนั้นหรือฆาตกรรมฝ่ายนี้ รัฐสภาเกิดอลเวงมีการย้ายข้างของสมาชิกรัฐสภา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดสถานการณ์ ′อนาธิปไตย′ ขึ้นโดยทั่วไป
เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้ก็กระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจ การค้าขาย การลงทุน การบริโภค สิ่งที่ตามมาก็คือภาวะเศรษฐกิจและการเงินล้มเหลว หรือ ′Economic and Financial Breakdown′ ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวเองลง ต้องลอยแพคนงาน การว่างงานเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงทางการเมืองทำให้ไม่มีการลงทุน
ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกก็จะเกิดภาวะเงินตราต่างประเทศไหลออกไปนอกประเทศ ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรง การที่ค่าเงินตกลงอย่างรุนแรงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รายได้ของรัฐบาลลดลง รายจ่ายมีมากขึ้น ทำให้ฐานะทางการคลังเลวลง หลายประเทศที่ ดร.เครน บรินตัน ทำการศึกษา ก่อนจะเกิด ′สงครามกลางเมือง′ หรือ ′civil war′ ฐานะทางการเงินของรัฐบาลอยู่ในฐานะล้มละลาย รัฐบาลต้องชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการกู้เงินจากธนาคารกลางจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
หลังจากเกิดภาวะ ′อนาธิปไตย′ เศรษฐกิจและการเงินของประเทศล้มเหลว ก็จะมีการเรียกร้องให้มีคนกลางมาเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือที่บรินตันเรียกว่า ′Moderates Attain Power′ รัฐบาลคนกลางส่วนมากมักจะเป็น ′รัฐบาลมะเขือเผา′ อย่างที่มีเสียงเรียกร้องให้ตั้ง ′รัฐบาลแห่งชาติ′ เมื่อตั้งมาแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาหลักไม่ได้รับการแก้ไข เหตุการณ์ก็เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ
กระนั้นก็ตาม คนก็พอใจระยะหนึ่ง กลายเป็น ′Honeymoon Period′ ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร และผู้นำหัวรุนแรงก็จะเข้าสู่อำนาจ เช่นเดียวกับเยอรมนีและอิตาลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเป็นช่วง ′Redicals Take Control′ แล้วก็เกิดสงครามกลางเมือง กลายเป็นรัฐบาลล้มเหลว หรือ Fail State
อ่านตำราฝรั่งแล้ว หวังว่าจะไม่เห็นในบ้านเรา
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
*************************************************************
เสื้อแดง/ต่างชาติประนามมือบึ้ม ปรองดองยืดชุมนุมยื้อ...
แกน นปช.แถลงขอเวลา 2 วันกำหนดแผน"ปรองดอง"/ประนามมือมืด
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมแกนนำ นปช. มีมติจะออกแถลงการณ์ภายใน 1-2 วันนี้เพื่อนำเสนอแผนปรองดองของนปช.ร่วมกับรัฐบาล เพราะเชื่อว่าจะเป็นการหาทางออกจากวิกฤต
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แถลงการณ์ของ นปช. อาจมีทั้งประเด็นที่สอดคล้อง แตกต่าง หรือมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากแผนปรองดอง 5 ข้อของรัฐบาล ซึ่งจะมีลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้เห็นด้วยที่คนเสื้อแดงควรยุติการชุมนุมภายในวันที่ 15 พ.ค. เพราะหากปล่อยให้ยืดเยื้อจะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. กล่าวว่า แผนปรองดองจะต้องรวมถึงการดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในคดีสั่งฆ่าประชาชน หากไม่ได้รับความยุติธรรมเรื่องนี้ คนเสื้อแดงจะไม่ยุติการชุมนุม
สำหรับเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมชาวสีลมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณธนาคารกรุงไทย ถนนสีลม และใช้ระเบิดถล่มด่านตรวจสวนลุมพินีช่วงกลางดึกวันที่ 7 พ.ค. ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย คือจ.ส.ต.วิทยา พรหมสาลี ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สภ.หางน้ำสาครจ.ชัยนาท และ ส.ต.ท.กานต์ณุพัฒน์เลิศจันทร์เพ็ญ ผู้บังคับหมู่งานจราจร สน.ทุ่งมหาเมฆ
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่าคนที่ลงมือก่อเหตุใช้อาวุธสงครามถล่มเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตาย 2 นาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดกระบวนการปรองดอง น่าสงสัยว่า
อาจเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อหลากสีที่ออกมาคัดค้านการปรองดอง ดังนั้น ศอฉ.ควรตรวจสอบและขอให้รัฐบาลถอนกำลังทหารและยุบด่านทั้งหมดเพราะอาจทำให้คนที่จ้องล้มกระบวนการปรองดองใช้ช่องทางนี้สร้างสถานการณ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ขอประณามผู้ที่กระทำการดังกล่าว เชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแผนปรองดองของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ขออย่าโยนความผิดให้คนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงไม่มีการพกพาอาวุธมาชุมนุม
สำหรับกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ขอปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น หากรัฐบาลมีหลักฐานชัดเจนก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แม้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเดินหน้าตามกระบวนการปรองดองต่อไป
โฆษกรัฐบาลระบุมีผู้ไม่อยากให้ปรองดอง/เลขาฯมาร์คถ้าไม่ยุติชุมนุมก็เลิกปรองดอง
นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีกลุ่มบุคคลไม่อยากให้การปรองดองเกิดความสำเร็จ และไม่ต้องการให้เหตุการณ์จบลง จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะ นปช. ยุติปัญหาโดยเร็ว มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อน
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการชุมนุมควรต้องยุติภายใน 1-2 วันนี้ ตามที่นายกรัฐมนตรีบอกเพราะถ้ารอถึงวันที่ 15 พ.ค. ถือว่านานเกินไป ถ้าผู้ชุมนุมไม่ยอมยุติการชุมนุมก็ต้องเลิกเจรจาสู่แผนปรองดอง
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีนี้เป็นการสร้างเงื่อนไขสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่เพื่อไม่ให้การปรองดอง เกิดขึ้น สอดรับกับก่อนหน้านี้ที่มีขบวนการไม่ต้องการให้ผู้ชุมนุมปรองดองกับรัฐบาล
"คนกลุ่มนี้เคยทำนายว่าจะเกิดเหตุระเบิดที่นั่นที่นี่ และเข้าไปในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุระเบิดทุกครั้ง เช่นกลุ่ม เสธ.แดง" นพ.บุรณัชย์ กล่าว
ยุโรปประนามมือบึ้ม/จับทหารพร้อมอาวุธในที่ชุมนุม
เมื่อวันที่ 8 พ.ค.เวลา 20.10 น.ได้มีแถลงการณ์จากหัวหน้าคณะฑูต จากกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ระบุว่า หัวหน้าคณะฑูตจากกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยมีความ ยินดีที่รัฐบาลไทยและทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองได้ใช้ความ พยายามในการหาทางออก ให้กับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ผ่านทางการเจรจา
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปขอประณามการใช้ความรุนแรงที่เพิ่งได้เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจ ต่อครอบครัวของเหยื่อที่ประสบกับความรุนแรงในครั้งนี้ สหภาพยุโรปของเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง และหวังว่าการหาทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสันติตั้งแต่เนิ่นๆ จะนำพาให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะของการมีความสมานฉันท์ ความมั่งคั่ง และความมั่นคง และมีการเคารพการบังคับใช้กฎหมายดังเดิม
แดงอีสานโวยถูกโรยเรือใบสกัดเข้ากรุง
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จากภาคอีสาน ที่ออกเดินทางจาก จ.ขอนแก่น และพื้นที่ใกล้เคียงได้ทยอยเดินทางเข้า กทม. โดยใช้ถนนพหลโยธิน และผ่านด่านตรวจความมั่นคง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ มีกำลังทหารจากศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี และตำรวจภูธร จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งจุดตรวจอย่างเข้มงวด โดยจดบันทึกทะเบียนรถยนต์ ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน และเอกสารรถยนต์ เมื่อเอกสารครบเจ้าหน้าที่ก็จำใจต้องปล่อยให้เคลื่อนขบวนผ่านเข้า กทม. โดยไม่ได้มีการปิดกั้นแต่อย่างใด
ขณะที่ตำรวจสันติบาลพระนครศรีอยุธยา รายงานข้อมูลว่า มีกลุ่มนปช.เดินทางผ่านโดยใช้รถยนต์กระบะ รถเก๋ง และรถส่วนบุคคล จำนวน ประมาณ 5,000 คน
แกนนำ นปช.นำตะปูเรือใบมาแสดงในที่ชุมนุมพร้อมกับชี้แจงว่าขณะที่เคลื่อนขบวนจาก อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มาจนถึงเขต อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีชายลึกลับขับรถเก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนตระเวนโปรยตะปูเรือใบ ความยาว 4 นิ้ว ทำให้รถยนต์นับ 100 คันยางรั่วต้องจอดแวะปะยางข้างทาง
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมบริเวณราชประสงค์ตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันที่ 8 พ.ค. มีขบวนรถกลุ่ม นปช.จากต่างจังหวัดเคลื่อนเข้ามาสมทบเป็นระยะ แต่ละคนสวมเสื้อสีแดงและติดธงสัญลักษณ์โดยไม่เกรงคำเตือนของศูนย์อำนวยการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ส่วน บรรยากาศการชุมนุม ช่วงค่ำ มวลชนเสื้อแดงนับหมื่นเข้าร่วมชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น โดยศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย นปช.สั่งการไปยังการ์ดประจำด่านทุกด่านรอบบริเวณพื้นที่ชุมนุมว่า ห้ามรถทุกชนิดผ่านเข้าออกโดยเด็ดขาด เว้นรถของแกนนำ รถเสบียง รถน้ำมัน ทั้งให้เพิ่มมาตรการตรวจค้นผู้ผ่านเข้าออกพื้นที่ชุมนุมให้เข้มข้น หากการ์ดนปช.ควบคุมบุคคลต้องสงสัยได้ ให้ส่งมาให้ศูนย์ฯทำการสอบปากคำห้ามตรวจค้นเอง
จับทหารพร้อมอาวุธในที่ชุมนุม
ด้านนายอารี ไกรนรา แกนนำ นปช.หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธยิงตำรวจเสียชีวิตที่สีลมและสวนลุม ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ด่านศาลาแดงให้มากขึ้น ขณะนี้ มวลชนต่างจังหวัดที่เข้ามาร่วมชุมนุมได้สมัครเข้าเป็นการ์ดอาสา ทำให้มีเจ้าหน้าที่การ์ด นปช.เพิ่มขึ้นอีกหลายพันคน อย่างไรก็ตาม บริเวณด่านศาลาแดง ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมนั้น เตรียมจะถอยร่นแนวบังเกอร์ บริเวณสวมลุมฝั่งลานอนุสาวรีย์ ร.6 เข้ามาให้เสมอกับแนวบังเกอร์ ด้านหลัง เพราะถือเป็นพื้นที่ที่ยื่นออกไปยากต่อการรักษาความปลอดภัย
ต่อมาเวลา 21.20 น. การ์ด นปช.นำตัว จ.ส.อ.สมชาย จุลางยน อายุ 49 ปี ทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 1 มาแถลงต่อสื่อมวลชน โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กล่าวว่า จากข่าวที่ นปช.ทราบมาตลอดว่า ศอฉ.จะส่งทหารเข้ามาปะปนในที่ชุมนุม รวมทั้งจะจัดการกับแกนนำที่เวทีปราศรัยนั้น ล่าสุดการ์ด นปช.สามารถจับทหารนายนี้ ได้ที่หน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน พร้อมอาวุธปืนขนาด 11 มม. ที่เลขทะเบียนปืนถูกลบออก และกระสุนอีก 2 แม็ก จากการสอบสวนทราบมาด้วยกัน 2 คน อีกคนหนีไปได้ เจ้าตัวอ้างว่าเข้ามาที่ชุมนุมเพราะต้องการซื้อของ แต่แกนนำ นปช.มั่นใจว่าทหารรายนี้เข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะอาวุธปืนที่พกมา นอกจากเป็นปืนเถื่อนแล้ว ยังถือเป็นอาวุธสงครามด้วย อาจจะมีเจตนามาประทุษร้ายแกนนำ ทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ที่ระหว่างการเจรจาปรองดองเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ หาทางลง แต่กลับมีการคุกคามผู้ชุมนุมและแกนนำ นายอภิสิทธิ์และแม่ทัพภาคที่ 1 ควรออกมารับผิดชอบ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยจับการ์ดพันธมิตรได้ อย่างไรก็ตามจะส่งตัวทหารรายนี้ให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 สอบสวนต่อไป.
ที่มาประชาไท
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมแกนนำ นปช. มีมติจะออกแถลงการณ์ภายใน 1-2 วันนี้เพื่อนำเสนอแผนปรองดองของนปช.ร่วมกับรัฐบาล เพราะเชื่อว่าจะเป็นการหาทางออกจากวิกฤต
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แถลงการณ์ของ นปช. อาจมีทั้งประเด็นที่สอดคล้อง แตกต่าง หรือมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากแผนปรองดอง 5 ข้อของรัฐบาล ซึ่งจะมีลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ ทั้งนี้เห็นด้วยที่คนเสื้อแดงควรยุติการชุมนุมภายในวันที่ 15 พ.ค. เพราะหากปล่อยให้ยืดเยื้อจะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. กล่าวว่า แผนปรองดองจะต้องรวมถึงการดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในคดีสั่งฆ่าประชาชน หากไม่ได้รับความยุติธรรมเรื่องนี้ คนเสื้อแดงจะไม่ยุติการชุมนุม
สำหรับเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมชาวสีลมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณธนาคารกรุงไทย ถนนสีลม และใช้ระเบิดถล่มด่านตรวจสวนลุมพินีช่วงกลางดึกวันที่ 7 พ.ค. ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย คือจ.ส.ต.วิทยา พรหมสาลี ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สภ.หางน้ำสาครจ.ชัยนาท และ ส.ต.ท.กานต์ณุพัฒน์เลิศจันทร์เพ็ญ ผู้บังคับหมู่งานจราจร สน.ทุ่งมหาเมฆ
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่าคนที่ลงมือก่อเหตุใช้อาวุธสงครามถล่มเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตาย 2 นาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดกระบวนการปรองดอง น่าสงสัยว่า
อาจเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อหลากสีที่ออกมาคัดค้านการปรองดอง ดังนั้น ศอฉ.ควรตรวจสอบและขอให้รัฐบาลถอนกำลังทหารและยุบด่านทั้งหมดเพราะอาจทำให้คนที่จ้องล้มกระบวนการปรองดองใช้ช่องทางนี้สร้างสถานการณ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ขอประณามผู้ที่กระทำการดังกล่าว เชื่อว่าเป็นฝีมือของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแผนปรองดองของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ขออย่าโยนความผิดให้คนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงไม่มีการพกพาอาวุธมาชุมนุม
สำหรับกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ขอปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น หากรัฐบาลมีหลักฐานชัดเจนก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แม้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเดินหน้าตามกระบวนการปรองดองต่อไป
โฆษกรัฐบาลระบุมีผู้ไม่อยากให้ปรองดอง/เลขาฯมาร์คถ้าไม่ยุติชุมนุมก็เลิกปรองดอง
นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีกลุ่มบุคคลไม่อยากให้การปรองดองเกิดความสำเร็จ และไม่ต้องการให้เหตุการณ์จบลง จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะ นปช. ยุติปัญหาโดยเร็ว มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อน
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการชุมนุมควรต้องยุติภายใน 1-2 วันนี้ ตามที่นายกรัฐมนตรีบอกเพราะถ้ารอถึงวันที่ 15 พ.ค. ถือว่านานเกินไป ถ้าผู้ชุมนุมไม่ยอมยุติการชุมนุมก็ต้องเลิกเจรจาสู่แผนปรองดอง
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีนี้เป็นการสร้างเงื่อนไขสู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่เพื่อไม่ให้การปรองดอง เกิดขึ้น สอดรับกับก่อนหน้านี้ที่มีขบวนการไม่ต้องการให้ผู้ชุมนุมปรองดองกับรัฐบาล
"คนกลุ่มนี้เคยทำนายว่าจะเกิดเหตุระเบิดที่นั่นที่นี่ และเข้าไปในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุระเบิดทุกครั้ง เช่นกลุ่ม เสธ.แดง" นพ.บุรณัชย์ กล่าว
ยุโรปประนามมือบึ้ม/จับทหารพร้อมอาวุธในที่ชุมนุม
เมื่อวันที่ 8 พ.ค.เวลา 20.10 น.ได้มีแถลงการณ์จากหัวหน้าคณะฑูต จากกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ระบุว่า หัวหน้าคณะฑูตจากกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยมีความ ยินดีที่รัฐบาลไทยและทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองได้ใช้ความ พยายามในการหาทางออก ให้กับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ผ่านทางการเจรจา
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปขอประณามการใช้ความรุนแรงที่เพิ่งได้เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจ ต่อครอบครัวของเหยื่อที่ประสบกับความรุนแรงในครั้งนี้ สหภาพยุโรปของเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง และหวังว่าการหาทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสันติตั้งแต่เนิ่นๆ จะนำพาให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะของการมีความสมานฉันท์ ความมั่งคั่ง และความมั่นคง และมีการเคารพการบังคับใช้กฎหมายดังเดิม
แดงอีสานโวยถูกโรยเรือใบสกัดเข้ากรุง
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จากภาคอีสาน ที่ออกเดินทางจาก จ.ขอนแก่น และพื้นที่ใกล้เคียงได้ทยอยเดินทางเข้า กทม. โดยใช้ถนนพหลโยธิน และผ่านด่านตรวจความมั่นคง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ มีกำลังทหารจากศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี และตำรวจภูธร จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งจุดตรวจอย่างเข้มงวด โดยจดบันทึกทะเบียนรถยนต์ ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน และเอกสารรถยนต์ เมื่อเอกสารครบเจ้าหน้าที่ก็จำใจต้องปล่อยให้เคลื่อนขบวนผ่านเข้า กทม. โดยไม่ได้มีการปิดกั้นแต่อย่างใด
ขณะที่ตำรวจสันติบาลพระนครศรีอยุธยา รายงานข้อมูลว่า มีกลุ่มนปช.เดินทางผ่านโดยใช้รถยนต์กระบะ รถเก๋ง และรถส่วนบุคคล จำนวน ประมาณ 5,000 คน
แกนนำ นปช.นำตะปูเรือใบมาแสดงในที่ชุมนุมพร้อมกับชี้แจงว่าขณะที่เคลื่อนขบวนจาก อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มาจนถึงเขต อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีชายลึกลับขับรถเก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนตระเวนโปรยตะปูเรือใบ ความยาว 4 นิ้ว ทำให้รถยนต์นับ 100 คันยางรั่วต้องจอดแวะปะยางข้างทาง
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมบริเวณราชประสงค์ตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันที่ 8 พ.ค. มีขบวนรถกลุ่ม นปช.จากต่างจังหวัดเคลื่อนเข้ามาสมทบเป็นระยะ แต่ละคนสวมเสื้อสีแดงและติดธงสัญลักษณ์โดยไม่เกรงคำเตือนของศูนย์อำนวยการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ส่วน บรรยากาศการชุมนุม ช่วงค่ำ มวลชนเสื้อแดงนับหมื่นเข้าร่วมชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น โดยศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย นปช.สั่งการไปยังการ์ดประจำด่านทุกด่านรอบบริเวณพื้นที่ชุมนุมว่า ห้ามรถทุกชนิดผ่านเข้าออกโดยเด็ดขาด เว้นรถของแกนนำ รถเสบียง รถน้ำมัน ทั้งให้เพิ่มมาตรการตรวจค้นผู้ผ่านเข้าออกพื้นที่ชุมนุมให้เข้มข้น หากการ์ดนปช.ควบคุมบุคคลต้องสงสัยได้ ให้ส่งมาให้ศูนย์ฯทำการสอบปากคำห้ามตรวจค้นเอง
จับทหารพร้อมอาวุธในที่ชุมนุม
ด้านนายอารี ไกรนรา แกนนำ นปช.หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธยิงตำรวจเสียชีวิตที่สีลมและสวนลุม ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ด่านศาลาแดงให้มากขึ้น ขณะนี้ มวลชนต่างจังหวัดที่เข้ามาร่วมชุมนุมได้สมัครเข้าเป็นการ์ดอาสา ทำให้มีเจ้าหน้าที่การ์ด นปช.เพิ่มขึ้นอีกหลายพันคน อย่างไรก็ตาม บริเวณด่านศาลาแดง ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมนั้น เตรียมจะถอยร่นแนวบังเกอร์ บริเวณสวมลุมฝั่งลานอนุสาวรีย์ ร.6 เข้ามาให้เสมอกับแนวบังเกอร์ ด้านหลัง เพราะถือเป็นพื้นที่ที่ยื่นออกไปยากต่อการรักษาความปลอดภัย
ต่อมาเวลา 21.20 น. การ์ด นปช.นำตัว จ.ส.อ.สมชาย จุลางยน อายุ 49 ปี ทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 1 มาแถลงต่อสื่อมวลชน โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กล่าวว่า จากข่าวที่ นปช.ทราบมาตลอดว่า ศอฉ.จะส่งทหารเข้ามาปะปนในที่ชุมนุม รวมทั้งจะจัดการกับแกนนำที่เวทีปราศรัยนั้น ล่าสุดการ์ด นปช.สามารถจับทหารนายนี้ ได้ที่หน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน พร้อมอาวุธปืนขนาด 11 มม. ที่เลขทะเบียนปืนถูกลบออก และกระสุนอีก 2 แม็ก จากการสอบสวนทราบมาด้วยกัน 2 คน อีกคนหนีไปได้ เจ้าตัวอ้างว่าเข้ามาที่ชุมนุมเพราะต้องการซื้อของ แต่แกนนำ นปช.มั่นใจว่าทหารรายนี้เข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะอาวุธปืนที่พกมา นอกจากเป็นปืนเถื่อนแล้ว ยังถือเป็นอาวุธสงครามด้วย อาจจะมีเจตนามาประทุษร้ายแกนนำ ทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ที่ระหว่างการเจรจาปรองดองเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ หาทางลง แต่กลับมีการคุกคามผู้ชุมนุมและแกนนำ นายอภิสิทธิ์และแม่ทัพภาคที่ 1 ควรออกมารับผิดชอบ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยจับการ์ดพันธมิตรได้ อย่างไรก็ตามจะส่งตัวทหารรายนี้ให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 สอบสวนต่อไป.
ที่มาประชาไท
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
อภิสิทธิ์ถอย ฝืน"ปรองดอง"
หลังจากลองผิดลองถูก แก้ไขปัญหาอย่างสะเปะสะปะ จนเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตผู้คน ทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ และผลกระทบต่างๆ
ในที่สุด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมใช้แนวทางการเมือง เข้าแก้ปัญหาการชุมนุมของเสื้อแดง
การชุมนุมของเสื้อแดงยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ข้ามเดือนเมษายนมาจนถึงเดือนพฤษภาคม
มีการปะทะ 3 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บอีกร่วมพันคน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชูคำขวัญ "นิติรัฐ" ใช้กฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุม ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าจัดการครั้งแล้วครั้งเล่า
ระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ จนเกิดการปะทะกับเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ฮือกันออกมาตั้งด่านสกัดตำรวจทหารไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ
ขยายสภาพวิกฤตไปทั่วประเทศ
ร้อนถึงฝ่ายทหาร คนถือปืนแท้ๆ ต้องเข้ามารับบทนักการทูต ท้าวมาลีวราช จัดการพบปะทางลับให้กับทั้งสองฝ่าย
ก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะเกริ่นกับสื่อญี่ปุ่นที่เข้าสัมภาษณ์พิเศษว่า จะยอมลดเวลาในการยุบสภา ที่เคยยืนยันไว้ที่ 9 เดือนลง
และต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม นายกฯ อภิสิทธิ์ได้แถลงแผนการ ปรองดอง 5 ข้อ หรือ "โรดแม็ป" เพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบสุข
โรดแม็ป 5 ข้อของนายอภิสิทธิ์ก็คือ
1.ทุกฝ่ายจะต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
2.ให้มีการปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมและในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางการเมือง
3.ต้องมีการปฏิรูปสื่อ ไม่ให้ละเมิดสิทธิ ไม่เสนอข่าวสารที่มุ่งสร้างความขัดแย้ง และนำไปสู่การใช้ความรุนแรง
4.ให้มีคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ความจริงแก่สังคม
5.ระดมความเห็นเพื่อพิจารณาการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์แถลงประโยคสำคัญว่า หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย นำความปรองดองมาสู่สังคมได้ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน
คำแถลงในแนวทางปรองดองนี้ ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนระอุลงทันที
ภายหลังคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เสียงตอบรับจากเวทีเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
ที่จริงบรรยากาศที่สี่แยกราชประสงค์เริ่มผ่อนคลายมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นแล้ว
ไฮไลต์ของโรดแม็ปที่ม็อบเสื้อแดงให้ความสนใจเป็นพิเศษ อยู่ที่การระบุถึงการยุบสภาและการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมกล่าวถึงวันยุบสภา
แต่กลับระบุเฉพาะวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน
ทำให้แกนนำเสื้อแดงขึ้นเวที ประกาศขอความชัดเจน ให้นายอภิสิทธิ์ระบุวันยุบสภาให้ชัดเจน
ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยอมระบุวันทางเสื้อแดงก็จะสลายตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม ให้จัดรถส่งคนเสื้อแดงกลับภูมิลำเนาเดิม
อย่างไรก็ตาม ความพยายามง้างปากนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ระบุวันยุบสภา ไม่ประสบความสำเร็จ
โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่งคนออกมาชี้แจงแทนนายอภิสิทธิ์ ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำหนดวัน แต่จะกำหนดได้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งนายกฯ ได้ระบุชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาในช่วงวันที่ 15 ถึง 30 กันยายน
ตามมาด้วยเกมเล่นแง่ของพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคการเมืองใหม่ ตบเท้าออกมาประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา
ถึงขนาดตั้งข้อหาว่า ทรยศ ยอมประนีประนอมกับกลุ่มที่จะสถาปนารัฐไทยใหม่
และเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลกันอย่างคึกคัก
ขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า มีแฟนคลับโทรศัพท์และส่งเอสเอ็มเอสมาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก
รายหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสมาด่าว่า ไอ้เฮงซวย เสียดายที่เคยรัก
และนายกฯ ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลาโทร.กลับไปชี้แจง เอสเอ็มเอสชี้แจงไป
ก็ต้องถือว่าเป็นเกมทิ้งทวนของพรรค ขยายภาพของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกคะแนนนิยม ในยามเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง
หรือถ้ากลุ่มนี้ขยายตัวออกไปอีก ก็อาจจะใช้เป็นไพ่อีกใบ ในการต่อรองกับเสื้อแดงก็ได้
เบื้องหลังโรดแม็ปปรองดองในครั้งนี้ เกิดจาก "ความสุกงอม" ของหลายปัจจัย
ฐานของรัฐบาลได้แก่ ฝ่ายทหารตำรวจ กำลังหลักตามกฎหมายความมั่นคงและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมดความอดทน และไม่ต้องการนำกองทัพมาเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองมากไปกว่านี้
พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินไป ควรจะต้องประนีประนอม โดยแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
รวมถึงกระแสสังคมที่เห็นว่า รัฐบาลจัดการกับม็อบผิดพลาด จนเกิดการสูญเสียล้มตายจำนวนมาก
ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเผชิญกับหลายปัญหา ทั้งปัญหาการนำของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เกาะกลุ่มอยู่กับคนสนิท จนนำพรรคเข้าสู่วิกฤต
แต่เรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน ก็คือความวิตกว่าจะเจอแจ๊กพอตจากคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
จนต้องปรับแผน หันมาทุ่มกำลังในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
เพราะเกรงว่าคดีนี้อาจจะมีคำตัดสินออกมาอย่างรวดเร็ว และหากพรรคประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคก่อนยุบสภา อาจส่งผลให้ดุลการเมืองเปลี่ยน
พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่อยู่ในฐานะพรรคที่มีส.ส.มากที่สุดในสภาอีกต่อไป หรืออาจหลุดจากการเป็นพรรครัฐบาล
ขณะที่คนเสื้อแดงสามารถรักษาจำนวนผู้ชุมนุมในระดับที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการสลายการชุมนุมได้ และบีบให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้แนวทางการเมืองด้วยการปรองดองในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการปรองดองคงไม่ราบรื่น เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งจะต้องเป็นผู้สูญเสียอำนาจ ย่อมไม่อาจทำใจกับการสูญเสียได้โดยง่าย และต้องหาโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ตัวเอง
แต่ความล้มเหลวจากการแก้ปัญหาม็อบตลอดเวลาร่วมสองเดือนที่ผ่านมา และสถานะของพรรคที่อาจถูกยุบ จะทำให้อำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์เหลือน้อยมาก
คาดหมายได้ว่า การเมืองหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีกลุ่มอำนาจบางกลุ่มพยายามแทรกแซงและฝืนความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ตาม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ในที่สุด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมใช้แนวทางการเมือง เข้าแก้ปัญหาการชุมนุมของเสื้อแดง
การชุมนุมของเสื้อแดงยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ข้ามเดือนเมษายนมาจนถึงเดือนพฤษภาคม
มีการปะทะ 3 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บอีกร่วมพันคน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชูคำขวัญ "นิติรัฐ" ใช้กฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุม ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าจัดการครั้งแล้วครั้งเล่า
ระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ จนเกิดการปะทะกับเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ฮือกันออกมาตั้งด่านสกัดตำรวจทหารไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ
ขยายสภาพวิกฤตไปทั่วประเทศ
ร้อนถึงฝ่ายทหาร คนถือปืนแท้ๆ ต้องเข้ามารับบทนักการทูต ท้าวมาลีวราช จัดการพบปะทางลับให้กับทั้งสองฝ่าย
ก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะเกริ่นกับสื่อญี่ปุ่นที่เข้าสัมภาษณ์พิเศษว่า จะยอมลดเวลาในการยุบสภา ที่เคยยืนยันไว้ที่ 9 เดือนลง
และต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม นายกฯ อภิสิทธิ์ได้แถลงแผนการ ปรองดอง 5 ข้อ หรือ "โรดแม็ป" เพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบสุข
โรดแม็ป 5 ข้อของนายอภิสิทธิ์ก็คือ
1.ทุกฝ่ายจะต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
2.ให้มีการปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมและในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางการเมือง
3.ต้องมีการปฏิรูปสื่อ ไม่ให้ละเมิดสิทธิ ไม่เสนอข่าวสารที่มุ่งสร้างความขัดแย้ง และนำไปสู่การใช้ความรุนแรง
4.ให้มีคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ความจริงแก่สังคม
5.ระดมความเห็นเพื่อพิจารณาการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์แถลงประโยคสำคัญว่า หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย นำความปรองดองมาสู่สังคมได้ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน
คำแถลงในแนวทางปรองดองนี้ ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนระอุลงทันที
ภายหลังคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เสียงตอบรับจากเวทีเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
ที่จริงบรรยากาศที่สี่แยกราชประสงค์เริ่มผ่อนคลายมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นแล้ว
ไฮไลต์ของโรดแม็ปที่ม็อบเสื้อแดงให้ความสนใจเป็นพิเศษ อยู่ที่การระบุถึงการยุบสภาและการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมกล่าวถึงวันยุบสภา
แต่กลับระบุเฉพาะวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน
ทำให้แกนนำเสื้อแดงขึ้นเวที ประกาศขอความชัดเจน ให้นายอภิสิทธิ์ระบุวันยุบสภาให้ชัดเจน
ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยอมระบุวันทางเสื้อแดงก็จะสลายตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม ให้จัดรถส่งคนเสื้อแดงกลับภูมิลำเนาเดิม
อย่างไรก็ตาม ความพยายามง้างปากนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ระบุวันยุบสภา ไม่ประสบความสำเร็จ
โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่งคนออกมาชี้แจงแทนนายอภิสิทธิ์ ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำหนดวัน แต่จะกำหนดได้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งนายกฯ ได้ระบุชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาในช่วงวันที่ 15 ถึง 30 กันยายน
ตามมาด้วยเกมเล่นแง่ของพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคการเมืองใหม่ ตบเท้าออกมาประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา
ถึงขนาดตั้งข้อหาว่า ทรยศ ยอมประนีประนอมกับกลุ่มที่จะสถาปนารัฐไทยใหม่
และเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลกันอย่างคึกคัก
ขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า มีแฟนคลับโทรศัพท์และส่งเอสเอ็มเอสมาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก
รายหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสมาด่าว่า ไอ้เฮงซวย เสียดายที่เคยรัก
และนายกฯ ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลาโทร.กลับไปชี้แจง เอสเอ็มเอสชี้แจงไป
ก็ต้องถือว่าเป็นเกมทิ้งทวนของพรรค ขยายภาพของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกคะแนนนิยม ในยามเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง
หรือถ้ากลุ่มนี้ขยายตัวออกไปอีก ก็อาจจะใช้เป็นไพ่อีกใบ ในการต่อรองกับเสื้อแดงก็ได้
เบื้องหลังโรดแม็ปปรองดองในครั้งนี้ เกิดจาก "ความสุกงอม" ของหลายปัจจัย
ฐานของรัฐบาลได้แก่ ฝ่ายทหารตำรวจ กำลังหลักตามกฎหมายความมั่นคงและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมดความอดทน และไม่ต้องการนำกองทัพมาเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองมากไปกว่านี้
พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินไป ควรจะต้องประนีประนอม โดยแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
รวมถึงกระแสสังคมที่เห็นว่า รัฐบาลจัดการกับม็อบผิดพลาด จนเกิดการสูญเสียล้มตายจำนวนมาก
ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเผชิญกับหลายปัญหา ทั้งปัญหาการนำของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เกาะกลุ่มอยู่กับคนสนิท จนนำพรรคเข้าสู่วิกฤต
แต่เรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน ก็คือความวิตกว่าจะเจอแจ๊กพอตจากคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
จนต้องปรับแผน หันมาทุ่มกำลังในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
เพราะเกรงว่าคดีนี้อาจจะมีคำตัดสินออกมาอย่างรวดเร็ว และหากพรรคประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคก่อนยุบสภา อาจส่งผลให้ดุลการเมืองเปลี่ยน
พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่อยู่ในฐานะพรรคที่มีส.ส.มากที่สุดในสภาอีกต่อไป หรืออาจหลุดจากการเป็นพรรครัฐบาล
ขณะที่คนเสื้อแดงสามารถรักษาจำนวนผู้ชุมนุมในระดับที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการสลายการชุมนุมได้ และบีบให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้แนวทางการเมืองด้วยการปรองดองในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการปรองดองคงไม่ราบรื่น เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งจะต้องเป็นผู้สูญเสียอำนาจ ย่อมไม่อาจทำใจกับการสูญเสียได้โดยง่าย และต้องหาโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ตัวเอง
แต่ความล้มเหลวจากการแก้ปัญหาม็อบตลอดเวลาร่วมสองเดือนที่ผ่านมา และสถานะของพรรคที่อาจถูกยุบ จะทำให้อำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์เหลือน้อยมาก
คาดหมายได้ว่า การเมืองหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีกลุ่มอำนาจบางกลุ่มพยายามแทรกแซงและฝืนความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ตาม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ยุบสภา-ทางเลือกที่ต้องเลือก

นิธิ เอียวศรีวงศ์
กรอ.ประชุมกันแล้ว หาเหตุผลที่จะไม่ควรยุบสภาออกมาได้ว่า เพราะยังไม่มีความขัดแย้งระหว่างสภาและฝ่ายบริหาร จึงไม่มีเหตุจะยุบสภาได้
แต่ใครบอกเล่าว่า เงื่อนไขให้ยุบสภามีได้เพียงอย่างเดียว ยุบเพื่อทำให้ฝ่ายบริหารมีเสียงเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะอยู่ในช่วงที่ฝ่ายบริหารกำลังได้รับความนิยม เขาก็ทำกันเป็นปกติในทุกประเทศที่ปกครองด้วยระบบรัฐสภา ยุบเพราะจะเสนอกฎหมายใหม่ที่ต้องการเสียงสนับสนุนแข็งจริง ทั้งๆ ที่เสียงฝ่ายบริหารยังเกินครึ่งในสภาก็ทำกันอยู่เสมอ ยุบเพราะรัฐบาลถูกโจมตีมาก เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ก็เป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองซึ่งที่ไหนๆ เขาก็ทำกัน
เพราะการยุบสภาเป็นกลไกทางการเมืองที่สำคัญ เอาไว้แก้ปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้า ที่ไหนๆ รวมทั้งเมืองไทยจึงให้อำนาจเด็ดขาดไว้ที่นายกรัฐมนตรี เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอำนาจที่จำกัด กล่าวคือยุบแล้วก็ต้องกลับไปหาประชาชนใหม่ จึงไม่มีใครเขาทำประชามติเพื่อยุบสภา หากชอบที่จะปกครองกันด้วยประชาธิปไตยทางตรงอย่างนั้น ทำประชามติกันด้วยเรื่องแผนพลังงานไม่ดีกว่าหรือ
อีกบางฝ่ายออกมาคัดค้านการยุบสภาว่า ถึงยุบไปก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ไม่ชัดว่าปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าการยุบสภาเป็นกลไกการเมืองสำหรับแก้ปัญหาการเมือง ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั่วไป การที่มีคนจำนวนมากออกมายึดถนน และยังมีผู้สนับสนุนไปทั่วประเทศจนกระทั่งกลไกรัฐทำงานไม่ได้ คือปัญหาการเมืองเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ก่อนอื่น
อย่างไรก็ตาม หากนิยามปัญหาที่ว่าแก้ไม่ได้ว่าคือสิ่งที่การชุมนุมเรียกร้อง ได้แก่ความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน, และความไม่สมานฉันท์ ถ้าอย่างนั้น ยิ่งไม่ยุบสภาก็ยิ่งแก้ไม่ได้ เพราะเวลาปีกว่าภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน และความแตกร้าวมากขึ้นไปอีก แม้ขณะนี้ก็กำลังคิดกันถึงการชดเชยช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผล กระทบจากการชุมนุม โดยไม่ได้แยกระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่และเล็ก มันจะเป็นตลกร้ายสักเพียงใด ที่วันหนึ่งเราจะต้องควักกระเป๋าไปอุดหนุนธนาคารกรุงเทพ, บริษัทซีพี และ ฯลฯ ในขณะที่ชาวนาและกรรมกรต้องแบกรับความเสี่ยงในความผันผวนทางเศรษฐกิจไปตาม ลำพัง
ส่วนปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำนั้น นายกฯพูดเองว่าเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เพราะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชียเริ่มฟื้นตัว ผลกระทบของความตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกที่กระทบถึงไทยนั้น มาจากการที่เศรษฐกิจไทยผูกอยู่กับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นแฟ้น แต่หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำให้ความผูกพันนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะบรรเทาผล กระทบแต่อย่างไร เช่นสร้างฐานการผลิตบางส่วนของไทยให้เข้าถึงตลาดโลกส่วนที่ได้รับผลกระทบ น้อย หรือเพิ่มผลิตภาพเพื่อแข่งขันได้ดีขึ้น เป็นต้น ประเทศไทยเคยอ่อนแอทางเศรษฐกิจอย่างไร ก็ยังอ่อนแออยู่เหมือนเดิม
ยิ่งประหลาดมากขึ้นที่กลุ่มคนซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทน ของ "ภาคประชาชน" ยกปัญหาเรื้อรังขึ้นมาว่า ปัญหาเหล่านี้ควรถูกนำมาถกกันในการตัดสินใจว่าจะยุบสภาหรือไม่
ปัญหาเหล่านี้สรุปรวมแล้วก็คือการจัดสรรแบ่งปัน ทรัพยากรนั้นเอง และนี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยจริง แต่จะแก้ปัญหานี้ได้ไม่ใช่หวังพึ่งรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร) รัฐบาลอภิสิทธิ์เองเพิ่งปล่อยให้ กฟผ.ลงนามในสัญญากับบริษัทจีนและพม่า เพื่อสร้างเขื่อนฮัตจี ทำลายวิถีชีวิตของผู้คนอีกหลายพันในลุ่มน้ำสาละวินตอนกลาง (หากนับรวมถึงประชาชนในพม่าด้วยก็หลายหมื่น) แต่ถึงแม้เป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ก็คงปล่อยให้ กฟผ.ลงนามเหมือนกัน
นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เรามีการเมืองที่ชนชั้นนำครอบงำ ดังนั้นจึงจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรโดยดึงเอามาบำเรอชนชั้นนำ และปล่อยปละละเลยประชาชนระดับล่างที่ได้เคยใช้ทรัพยากรนั้นมาอีกวิถีทาง หนึ่งไปตามยถากรรม
แต่เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรได้ นอกจากเปิดพื้นที่ให้ประชาชนระดับล่างได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นักวิชาการและเอ็นจีโอที่เสนอเรื่องนี้ก็เคยเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวกับประชาชน เช่นให้ข้อมูลที่ทำให้เห็นผลกระทบกว้างไกลกว่าความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของ ประชาชนในท้องถิ่น ช่วยเปิดพื้นที่สื่อให้เสียงคัดค้านการแย่งชิงทรัพยากรเช่นนี้ดังไปถึงคน ชั้นกลางในเมือง และเคยแม้แต่ร่วมเดินขบวนหรือสนับสนุนการประท้วงของชาวบ้านมาแล้ว
ทั้งหมดนี้คือ "กระบวนการประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นเครื่องมืออันเดียวที่จะทำให้การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรในประเทศของ เรามีความเป็นธรรมมากขึ้น และคงจะมีโอกาสพัฒนาต่อไปจนพ้นจากท้องถนนไปสู่พื้นที่อื่นๆ มากขึ้น (รวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย) ท่านเหล่านั้นฝันไปหรืออย่างไร จึงคิดว่าปัญหาเรื้อรังระดับโครงสร้างเช่นนี้ อาจแก้ได้ด้วยการเจรจาทุบโต๊ะเปรี้ยงเดียว แล้วทุกอย่างเข้าที่หมด
นอกจากนี้ มันแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองเฉพาะหน้าได้อย่างไร
ควรเตือนไว้ด้วยว่า วิกฤตทางการเมืองที่เราเผชิญอยู่เวลานี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะรัฐบาลไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกแล้ว นอกจากสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างขนานใหญ่กว่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา (แม้ใน 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ) ซ้ำถึงสลายได้ เรื่องก็ไม่ยุติ เพราะจะเกิดการต่อต้านรัฐในรูปแบบต่างๆ ไปทั่วประเทศ รวมทั้งการก่อวินาศกรรมด้วย
ชนชั้นนำอาจเลือกที่จะไม่เก็บอภิสิทธิ์เอาไว้ โดยยึดอำนาจด้วยกองทัพไปเสียเลย แต่นั่นยิ่งจะนองเลือดมากขึ้น และประเทศไทยจะโงหัวไม่ขึ้นไปอีกหลายปี
ทั้งหมดนี้ แลกกับการยุบสภาทันที อย่างไหนจะเป็นทางออกจากวิกฤตเฉพาะหน้าได้สงบสันติกว่ากัน
แม้กระนั้นก็ยังมีบางคนคัดค้านว่า ถึงยอมยุบสภา หลังการเลือกตั้ง หากได้รัฐบาลที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ ก็อาจออกมาประท้วงปิดถนนอีก จึงไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหาได้จริง
ข้อคัดค้านนี้มีความเป็นไปได้ แต่ต้องเข้าใจการประท้วงให้ดี
หัวใจสำคัญของการประท้วงไม่ได้อยู่ที่ยึดถนนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในสังคมกว้างขวางเพียงไร หากได้รับกว้างขวางหนักแน่น กฎหมายอะไรๆ ก็ไม่อาจเอาไว้อยู่ (เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎไม่ได้อยู่ที่กลไกรัฐเท่ากับความเห็นชอบของ ประชาชน) ไม่ว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง, สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือแม้แต่กฎอัยการศึก ฉะนั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งมีข้อเรียกร้องที่สังคมโดยรวมเห็นด้วย รัฐบาลใหม่ก็ต้องทำตาม เช่น ขอให้ยุบสภา ก็ต้องยุบสภา แต่หากขอให้ขอพระราชทานนายกฯ สังคมโดยรวมอาจไม่เอาด้วย ถึงตอนนั้นรัฐย่อมสามารถใช้กลไกของรัฐรักษากฎหมายได้
ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้จัดตั้งรัฐบาล ต้องคำนึงถึงการยอมรับของสังคมมากขึ้น ไม่ใช่นำเอาคนอันเป็นที่รังเกียจของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มาเป็นนายกฯ หรือคิดว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงยอมเอายี้มาเต็ม ครม. เพราะจากนี้ไป การกระทำเช่นนั้นจะเป็นผลให้รัฐบาลนั้นไม่สามารถบริหารงานได้เลย
ในระบบการเมืองที่การประท้วงไม่มีพื้นที่อื่นซึ่ง ได้ผลมากไปกว่าท้องถนน จะให้สังคมเข้ามากำกับรัฐได้อย่างไร สิ่งที่น่าคิดก็คือเราจะสร้างพื้นที่ให้สังคมมีพลังในการควบคุมรัฐนอกท้อง ถนนได้อย่างไรต่างหาก แต่การที่สังคมสามารถกำกับควบคุมรัฐได้มากขึ้นนั้น เป็นความก้าวหน้าของสังคมไทยไม่ใช่หรือ
บางคนอาจตั้งคำถามเชิงค้านว่า ถ้าอย่างนั้น เรามิต้องปกครองกันด้วย "ม็อบ" หรอกหรือ ใช่เลยที่เราต้องตกอยู่ในภาวะอย่างนั้น จนกว่าเราจะสามารถสร้างพื้นที่นอกถนนให้แก่สังคมได้ดังกล่าวข้างต้น พูดอย่างที่ผมเคยได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า เราต้องปรับระบบการเมืองของเราให้รองรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมให้ได้ นั่นคือมีคนจำนวนมากที่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองระดับชาติ ถ้าเราไม่มีพื้นที่ให้เขาในระบบ เขาก็ต้องใช้พื้นที่นอกระบบ ฉะนั้น หากไม่ปรับระบบการเมืองให้ทัน ก็บอกได้เลยว่า เราจะเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองจนกลายเป็นจลาจลเช่นนี้ต่อไปอีกนาน
ทำไมการยุบสภาซึ่งเป็นการกระทำง่ายๆ และเป็นกลไกปกติทางการเมืองเช่นนี้ จึงทำได้ยากเย็นหนักหนาแก่นายกฯอภิสิทธิ์
โดยสรุปแล้ว อภิสิทธิ์เป็นทางออกเพียงอันเดียวของเครือข่ายอำนาจที่สลับซับซ้อนของสังคม ไทย หากไม่นับการรัฐประหารอย่างออกหน้า อันนับวันก็เป็นเครื่องมือที่ไม่คุ้มทุนมากขึ้น เพราะก่อให้เกิดการสึกหรอของสถาบันแห่งอำนาจมากเกินไป (เช่น กองทัพ, ตุลาการ ฯลฯ) แต่หนึ่งปีกว่าผ่านไป ก็ยังไม่มีทางเลือกอื่นให้ออกมากไปกว่าอภิสิทธิ์ ฉะนั้น การยุบสภาจึงหมายถึงการทิ้งไพ่จนเกือบหมดหน้าตัก เหลือไพ่ที่ใช้การไม่ดีอีกสองใบเท่านั้นคือ
1) สลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาดรุนแรง แต่ก็รู้อยู่แล้วว่า จะทำให้ปัญหายิ่งขยายตัวและจัดการยากขึ้น
2) รัฐประหาร พร้อมทั้งให้อำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบไว้ในมือของฝ่ายชนชั้นนำเต็มที่ ระบบอำนาจนิยมนี้จะสามารถสยบการต่อต้านอย่างรุนแรงได้ ก็โดยวิธีเดียวคือ เป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ซึ่งจะมีผลลิดรอนผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำเอง แม้อาจมีนักอุดมคติในฝ่ายชนชั้นนำที่คิดจะทำเช่นนี้ ก็ยังมีปัญหาว่าจะรักษาเอกภาพของชนชั้นนำไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้นแล้ว นักอุดมคตินั้นก็จะถูกชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่มร่วมมือกันโค่นล้มลงจนได้
ยุบสภาจึงเป็นทางออกเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุด ทั้งแก่ชนชั้นนำเองและแก่สังคมไทยโดยรวม
.........................................................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)