--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สามประการ พาประเทศ เจ๊ง..!!!!!

ประหลาดแท้ๆ..อุตส่าห์ลงทุน “เต้าข่าว” เสียใหญ่โต ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ตาย!!ตายในห้องไอซียู ด้วยโรค “มะเร็ง” ในขณะที่ทำ “คีโม” ออกอาการกระตุก กระตุก น้ำลายฟูมปากในที่สุดก็ เท่งทึ่ง “ตายคามือหมอ”แต่...พอ “ทักษิณ” ปรากฏตัวให้เห็น ทั้ง ภาพ และ ข่าว..พร้อมยืนยันว่า ยังมีชีวิตอยู่และ กำลังรุดหน้า

เกี่ยวกับธุรกิจที่ถนัดเท่านั้นแหละเป็นเรื่อง..คนออกข่าวทำท่าจะตายแทนซะเอง..เพราะมันไม่ได้ดังใจ!!ไอ้คนที่อยู่แบบ สุขกายสบายใจ ก็ทำท่า “เครียด” พาลจะเป็น “มะเร็ง” เอาดื้อๆ เพราะออกอาการหนักผิดปกตินี่แหละมันเป็นอย่างนี้แหละครับเจ๊เล้ง!!ภาษิตฝรั่งบอกว่า A living dog is better than a dead lionแปลเป็นไทยว่า “สุนัขที่ยังมีชีวิตอยู่ยังดีกว่า ราชสีห์ที่ตายแล้ว”ที่เขียนอย่างนี้ ก็ไม่ได้บอกว่า “ทักษิณ” เป็น “สุนัข” นะครับ.. เดี๋ยวแฟนคลับ “เดอะแม้ว” จะ

มาอัดผมเข้า..กลอนมันพาไปเอาเป็นว่า ที่ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ไล่จิกไล่ตีทักษิณ ไปทั่วทุกมุมโลกนั้น..ขอบอกว่ามัน “ไม่เวิร์ค” นอกจากจะเสียเวลาในการทำงานให้ชาติทางด้านอื่นแล้ว ยังสร้าง “ความสะเหล่อ” น่าอับอายขายหน้าไปทั่วโลก!!เพราะทำตัวกร่างเป็น “นักเลง” มากกว่าที่จะเป็น “รัฐมนตรี”เรื่องนี้ “คนไทย” ทั้งประเทศรู้ดี..แต่ รัฐบาลรัสเซีย ไม่เคยรู้มาก่อน..และไม่เคยรู้ด้วยว่าขั้นตอนการ “สรรหา” คนมา

เป็นรัฐบาลนั้นเขาทำกันอย่างไร??เพราะไม่รู้รัฐบาลรัสเซีย จึงต้องเรียกทูตไทยมาเฉ่งปี๋ดังที่เป็นข่าวแต่..หากว่า “รัสเซีย” รู้ว่าการตั้ง “รัฐบาล” และ แต่งตั้ง “รัฐมนตรี” ในประเทศไทยเขาทำกันอย่างไร จะต้องสะอึกและดื่มน้ำตามไปอีกสามขันเพราะประเทศนี้ใช้หลัก “สามประการ”ในการสรรหารัฐมนตรีคือ.. หนึ่ง เป็นนักเลง.. สองเป็นญาติสนิทพี่น้องลูกเมียนักการเมือง และ สามจับสลากเพื่อเป็นรัฐมนตรี..เอวัง!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************************************

ความเชื่อ

เพราะการแสดงออกเชิง “เด็กเลี้ยงแกะ” หลายครั้งหลายหน...ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เกิดความ “ไม่เชื่อถือ”โดยเฉพาะคำประกาศเลือกตั้งใหม่ 14 พฤศจิกายนภายในปีนี้ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”คงต้องถามนายกรัฐมนตรีกลับไปว่า...มันมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?เพราะที่ผ่านมา...ประชาชนรู้สึก “เข็ดหลาบ” กับคำพูดที่ดูดีน่าฟัง...แต่ไร้แก่นสารและความจริงใจของนายกฯ ท่านนี้ประชาชนรู้ว่า...สิ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พูดออกมามันคือ “ความ

จริง” มิใช่ “ความฝัน” เพราะต่างได้ยินเต็มสองรูหู แต่จะทำอย่างไรในเมื่อ “ผู้มีพระคุณ” ทั้งหลายของท่านยังทำตัว “ตีปลาหน้าใส” พร้อมชักใบให้เรือเสียท่านจะออกมาฉายเดี่ยว...ลุกขึ้น “ผ่าทางตัน” อย่างสง่างาม หลังจากเป็น “หุ่นเชิด” มานาน...โดยไม่สนใจถ้อยคำ “หักหาญ” อันใดอย่างนั้นหรือทั้ง ชวน หลีกภัย สุเทพ เทือกสุบรรณ พรรคร่วมรัฐบาล กองทัพทหาร รวมไปถึงกลุ่มมวลชนพวกท่านทุกฝ่ายมีอำนาจและบทบาทสำคัญในการ “เกื้อหนุน” ให้ประชาธิปัตย์

และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นมาบริหารประเทศในวันนี้ ผมมองว่า...บุคคลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องหันกลับไปบอกและทำความเข้าใจกับพวกเขาให้รู้เรื่องเมื่อต้องการให้ปัญหาจบ...มันต้อง “เคลียร์ปัญหา” แบบหมดจดแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่...แต่ผมไม่ได้ “บีบคั้นรัฐบาล” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้ามคืนเพราะหากยิ่ง “คาราคาซัง” ในอนาคตก็จะกลายเป็นปัญหาที่สะสมเป็น “ดินพอกหางหมู” ซึ่งแก้กันไม่จบไม่สิ้นปัญหาจึงตกมาอยู่ที่ “อภิสิทธิ์

เวชชาชีวะ” ว่าท่านจะทำอย่างไร? กี่ครั้งแล้วที่ท่าน “หลงเชื่อ” คนใกล้ตัว...แต่ไม่เคยทำตัวเองให้ประชาชน “น่าเชื่อถือ” ครั้งนี้มีโอกาสชำระสะสางก็ควรรีบลงมือทำ...ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง...ผมจะไม่คิดมาก...ไม่ลังเล...และไม่ระแวง“ทางออก” มีออกให้เห็นรำไร...แล้วทำไมจะไม่เดินไปหา “แสงสว่าง” นั้นเล่าแม้วันนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะเป็นแค่ “เบี้ย” แต่ก็ฉายแววให้เห็นในวันหน้ายังมีโอกาสเป็น “ขุน”
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
___________________________________________________________________

“ขึงพืด”

๐ วันนี้...5 พฤษภาคม 25553 เริ่มเห็น “รอยยิ้ม” บนสีหน้าคนไทยทั้งแผ่นดิน เพราะเป็น “วันฉัตรมงคล” สัญลักษณ์แห่งความร่มเย็น ของพสกนิกรไทยกว่า 65 ล้านคน.....

๐พระราชพิธีฉัตรมงคลรัชกาลปัจจุบัน ตรงกับ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงกระทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี จึงถือว่าวันที่ ๕ พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันมงคลสมัย พสกนิกรและรัฐจึงได้ร่วมกันจัดพระราชพิธีขึ้นเรียกว่า รัฐพิธีฉัตรมงคล บ้างก็เรียก พระราชพิธีฉัตรมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.....

๐การเมืองไทยที่ “ขึงพืด”กันมาสองสามปี ทำท่าจะคลายเกลียว เมื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิด “ดวงตาเห็นธรรม” อย่างไม่มีใครคาดคิด ประกาศผ่านทีวีทุกช่อง 14 พฤศจิกายน 2553 จะจัดให้มีการเลือกตั้ง!!.....

๐ แปลเป็นไทยว่า ไม่เกินเดือนกันยายน 2553 “รัฐบาลผ้าอ้อม” จะประกาศยุบสภา มีเวลา 45 วัน ไม่เกิน 2 เดือนในการจัดการเลือกตั้ง มาร์คอภิสิทธิ์ จะตัดสินใจอย่างนี้เพราะอะไร?? มีใครบีบ??“กุหลาบพิษ” ไม่สนใจ เพราะบัดนี้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ได้ลงมือทำ “สิ่งที่ควรทำ” โดยไม่มีใครคาดคิดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว.....

๐ พูดไปทำไมมี?? ที่จะต้องสดุดีสำหรับ การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดในเดือน พฤศจิกายน คือ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ยืนยันมั่นคงมาตลอด จะไม่ใช่กำลังทหาร “ปราบปรามประชาชน”.......

๐ ท่ามกลางข่าวหวาดเสียวรายวัน “กุหลาบพิษ” เขียนยืนยันตรงนี้มาสองสามเดือน การันตีจะไม่มีการ “สลายม็อบ” เพื่อเข่นฆ่าประชาชนอีก เพราะคำพูดประโยคเดียวของ “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” จะไม่ใช้กองทัพปราบปรามประชาชน และ..การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”.......

๐ ถ้าวันนี้...ประเทศนี้ ไม่มีชายชาติทหารชื่อ “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ป่านนี้ การสลายม็อบ เอารถถังลุยประชาชน ด้วยข้อหา “ม็อบแดง” คือฐานทัพผู้ก่อการร้าย และล้มสถาบัน คงเกิดขึ้น ถึงวันนั้น?? ถนนราชประสงค์จะนองด้วย “เลือด”!!..... ไทยจะฆ่าไทยกันเอง เพียงแค่ “สนองตัณหา” อำมาตย์ใหญ่บางคน??......

๐ เลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน 2553 ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กลับบ้านอยู่กับลูกหลานโดยไม่มีคำว่า “ทรราช” พ่วงท้ายชื่อเหมือนคนบางคน และวันนั้น....

๐ ถ้าไม่มีอะไร “คาดไม่ถึง” ทะลุกลางปล้องขึ้นมาอีก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงเป็นคน “รับไม้” ในการเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก “บิ๊กป๊อก”....

๐ ไปหลับอยู่ที่ไหนมิทราบ?? “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด (พันเอก) ยังออกมาประกาศทำท่าดุดันเหมือน “หนังคนละม้วน”?? เตรียมรถหุ้มเกราะสลายม็อบ ในเวลาเดียวที่นายกรัฐมนตรีมาร์ค ประกาศโรดแมป “การปรองดอง” จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53 เล่นเอาหน้าแหกหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ!!.......๐
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
________________________________________________________________

ท.ทหาร

มีความแตกต่างกันมากมายที่ทำให้ “ทหาร” แปลกไปจากบุคคลธรรมดาเพราะ...ทหาร แปลว่า นักรบ...ดังนั้น นักรบจึงต้องมีคุณสมบัติที่..พิเศษ..และไม่เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั้งๆ ที่ ก็มาจากคนธรรมดาในการต่อสู้กันระหว่างคนธรรมดาและคนธรรมดานั้น...ก็เพราะมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน เพราะมีเรื่องราวที่ขัดแย้งกัน หรือมีการแย่งชิงในสิ่งเดียวกัน จึงไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ใดๆแต่สำหรับทหารแล้ว...การต่อสู้ของเขานั้น เป็นการต่อสู้ที่เป็นหน้าที่ คนที่จะฆ่าเขาหรือจะ

ถูกเขาฆ่า ส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน..ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวที่ขัดแย้งกัน..การต่อสู้ของทหารจึงเป็นการต่อสู้เพื่อสิ่งอื่นคนอื่น..คนที่ยอมตายหรือยอมฆ่าเพื่อสิ่งอื่นและคนอื่น..จึงถือว่าไม่ใช่คนธรรมดา...เป็นคนมีเกียรติเกียรติของทหาร...ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์...ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดทหารจะยอมตายเพื่อสิ่งนี้...และด้วยเกียรติที่ทหารต่างฝ่ายต่างก็มี ถึงแม้จะอยู่คนละฟากคนละฝ่ายในสนามรบ..เกียรติของทหารเป็นสิ่งที่มีเสมอกัน....และถึงแม้ว่าจะเข่นฆ่าสังหารกัน..แต่เขาก็

ต้องให้เกียรติกันผู้ชนะที่ต่ำยศกว่า จะแสดงความเคารพผู้ปราชัยที่มียศสูงกว่า....กองทัพที่เข็มแข็งแกร่งกล้า...เขาจะศึกษากันที่เกียรติและวินัย...เพราะวินัยที่ยอดเยี่ยมคือ เกียรติยศที่ทหารในหมวดหมู่นั้นต้องมีให้แก่กันและกัน....ทหารจะไม่ผลักใสเพื่อนให้ไปรบในสมรภูมิที่เสี่ยงภัยแต่จะแย่งกันเข้าไปทำหน้าที่..กองทัพที่ดีนั้น...ทหารกับทหาร...จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน...เพราะการให้เกียรติใดๆ กับใครก็ตามก็เท่ากับให้เกียรตินั้นแก่ตนเอง..โดยไม่ต้องพวงถึงเขาจะ

ตอบกลับตอบมาเช่นเดียวกันหรือไม่แต่มีกองทัพหนึ่ง...เมื่อไม่กี่วัน..ทั้งๆ ที่รู้ว่า..อดีตผู้บัญชาการระดับสูงสุดของกองทัพ..จะมาปรากฏตนหน้าค่ายและจะต้องเดินเข้ามาในค่าย..ทหารที่เป็นทหาร..จะรู้ถึงเกียรติยศที่จะต้องให้และเกียรติยศที่จะต้องรับ....เครื่องแบบชั้นยศจอมพล..ไม่ว่าจะครอบคลุมอยู่บนเรือนร่างของใคร..ก็คือเครื่องแบบจอมพล..ทหารที่เป็นทหารมีเกียรติและมีวินัย..จะไม่ทำอนาจารกับยูนิฟอร์มและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันพระราชทานมาจากจอมทัพไทย

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ..อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก..อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม..ทำถูกแล้ว..ที่กลับออกมาจากสถานที่แห่งนั้น..ทหารจะไม่ทำเช่นนั้นกับ..อดีตผู้บังคับบัญชาและจะให้เกียรติกับ...เครื่องแบบกับแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติยศนั้น..เขามีไว้เพื่อให้..คนที่ให้จะได้เกียรติเช่นเดียวกันกลับมาหรือมากกว่า..ทหารพม่าไล่ฆ่าคนไทยในกรุงแตก 2 ครั้ง..แต่กรุงแตกครั้งใหม่ ทหารไทยไล่ฆ่าคนไทย..อนิจาเอ๋ย
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
........................................................................

‘ฉุกเฉิน’ต้องเลิก! หยุดคลั่ง

ณ วินาทีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดากลุ่มคนที่หนุนหลัง คงเห็นแล้วว่า การใช้อำนาจกฎหมายที่รุนแรง หวังที่จะเอาชนะประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้เลยเพราะตราบใดที่ประชาชนมองว่า รัฐบาลใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอยู่แล้ว จะออกกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ จะออกกฎหมายการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ออกมาบังคับใช้อย่างไรก็ตาม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ยำเกรง เพราะมองว่าเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานหรือต่อให้เป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างที่มีบางคนอุตริแนะนำ เพราะคิดว่าจะได้คุมสถานการณ์อยู่หมัด แต่เชื่อเถอะ

ว่า ประกาศใช้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย จะยอมถอยแน่เพราะในความรู้สึกของกลุ่ม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น การชุมนุมเรียกร้องและการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลอกเลียนแบบมาจากแกนนำม็อบพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองทั้งสิ้นแต่ไฉนแกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองจึงทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำไม่ได้เลย ประเด็นเหล่านี้แหละที่กลาย

เป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงฮึดสู้ไม่ถอยจนสุดท้ายภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงพังยับเยินในทุกๆ ด้าน แม้แต่ความเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ เคยเป็นจุดขายในอดีตเพราะแม้แต่ต่างประเทศ ซึ่งรับรู้สถานการณ์ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยทุกอย่างมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เนื่องจากโลกของการสื่อสารที่เป็นสากลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถปิดหูปิดตาคนทั่วโลกได้เมื่อได้รู้ได้

เห็นในข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความจริงมาโดยตลอด จึงเห็นได้ว่า ท่าทีของนานาประเทศไม่ได้ให้การยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อย่างสนิทใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้ได้ดีมาจากการเป็นแกนนำม็อบยึดสนามบินสุวรรณภูมิแต่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้สร้างความอึดอัดให้กับประเทศต่างทั่วโลกมาโดยตลอดนับแต่ดำรงตำแหน่งฉะนั้นวันนี้คงเห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ องค์กรต่างๆ ไม่ได้มองกลุ่มคนเสื้อแดง

เป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ก่อการกบฏ อย่างที่มีคนในรัฐบาล คนในกลุ่มหนุนหลังทั้งหลายต้องการจะให้เป็นลึกๆ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการศึกษาระดับที่ดีในโลกตะวันตก ย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตกมองประเด็นประเทศไทยอย่างไร และทำไมการขอความร่วมมือของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และรัฐบาลไทยจึงไม่เคยได้ผลเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้งเดียวยิ่งล่าสุดไม่เพียงแค่ต่างประเทศที่พากันออกแถลงการณ์ที่ไม่เป็นคุณกับ

รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลย แม้แต่บุคคลผู้ที่มีวุฒิภาวะในประเทศไทยด้วยกันเองยังอดรนทนไม่ได้กับท่าที และพฤติกรรม หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หนึ่งในบุคคลที่พูดอย่างเป็นกลาง ในทุกเวที ก็คือ พระราชวิจิตรปฏิภาณ “เจ้าคุณพิพิธ” วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ออกโทรทัศน์ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เตือนสติรัฐบาลอย่างตรงประเด็นว่าการปิดหูปิดตาประชาชนก็ดี การกล่าวหาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันก็ดี หรือ

การคิดที่จะสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหาร-ตำรวจล้วนแล้วแต่จะทำให้เรื่องไม่จบ และจะยิ่งเสียหายมากขึ้นเช่นกันกับในการประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามมาตรา 161 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งบรรดา ส.ว.ที่มีความเป็นกลางโดยส่วนใหญ่ ล้วนต่างพูดตักเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้แสวงหาหนทางยุติปัญหาโดยสันติ โดยการเจรจา เพื่อจะได้เป็นทางออกของประเทศไทยอย่งแท้จริงจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีก็แต่ ส.ว.2-3 คน อย่างเช่นนายสมชาย

แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส ซึ่งเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ได้เข้ามาเพราะการเกื้อหนุนของ คมช. จึงมีการแสดงออกที่กระหายความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้บรรดา ส.ว.ด้วยกันเองก็ยังส่ายหน้าอย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า แรงกดดันทั้งจากภายในประเทศ และทั้งจากต่างประเทศ ได้ทำให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นผิดปกติ จนแม้แต่ในทางการแพทย์ยังต้องจับตามองเป็นกรณีศึกษา และพูดคุยกันว่าคนปกติอะไร จะดื้อได้

ถึงขนาดนี้ และมีโลกในความคิดเฉพาะตัวพิเศษเช่นนี้แต่สุดท้ายเมื่อแรงกดดันมีเข้ามามากๆ จากทุกๆ ด้าน ทำให้นายอภิสิทธิ์เองก็ตกอยู่ในภาวะที่รู้ตัวว่า การขึงพืดไม่เจรจาหาทางออก หรือการคิดแต่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งแม้จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้หรูดูดีว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ก็ตามแต่พฤติกรรมก็คือการใช้กำลังเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม ซึ่งจะต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าหากกระทำก็ย่อมต้องถูกประณามจากสังคมทั่วโลกแน่ๆจึงนำมา

สู่การตัดสินให้นายอภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าขอเสนอ 5 กรอบทุกฝ่ายปรองดอง ร่วมแก้ทั้งระบบ ช่วยกันดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ดึงสู่การเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ สร้างเป็นธรรมทุกเรื่อง มีกลไกอิสระคุมการนำเสนอข่าวสาร ตั้ง กก.อิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ไม่สงบทุกกรณี ประกาศแผนแก้ปัญหาการเมือง และจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53ถือเป็นการเดินเกมการเมืองที่ฉลาดมากๆ ของรัฐบาล โดย

เฉพาะการที่นายอภิสิทธิ์ ใช้สไตล์ถนัด ระบุว่า แน่นอนว่าข้อเสนออาจไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกคน แต่มีคำตอบไม่มากก็น้อย และเป็นจุดที่คิดว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง “กลุ่มเสื้อแดงที่มาแสดงออก สิ่งที่เสนอไม่อาจตอบสนองยุบทันที 15 วัน หรือ 30 วัน ได้กระบวนการปรองดองจะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”ซึ่งตามข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่ให้เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. คาดว่ารัฐบาลต้องประกาศยุบสภาประมาณปลาย

เดือนกันยายนหรือไม่เกิน 1 ตุลาคม 2553 หรืออีกประมาณ 5 เดือนเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 กำหนดว่าถ้ามีการยุบสภาต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แน่นอนว่าโดยหลักการ ดูเหมือนทุกภาคส่วนในสังคมจะเห็นว่านี่เป็นการเปิดประตูการเจรจาอีกรอบ หลังจากที่รัฐบาลมัวแต่ไปมุ่งมั่นกับการใช้การสลายการชุมนุมเป็นหลักอย่างไรก็ตาม สังคมทุกภาคส่วนยังจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์

การเมือง และประเมินข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ให้ละเอียดก่อนว่าจะมีรูปธรรมอย่างไรซึ่งท่าทีของ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงเอง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เสนอการสร้างกระบวนการปรองดอง 5 ข้อ และจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น หลังเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า นปช.จะยังไม่แสดงท่าทีปฏิเสธหรือตอบรับอะไรในช่วงนี้ แต่มองว่า เป็นข้อเสนอที่ดีกว่าการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชน ซึ่งแกนนำ นปช.จะ

นำเรื่องนี้หารืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งผลให้นายอภิสิทธิ์รับทราบนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เหตุผลที่นายกฯ เสนอโรดแมปดังกล่าว เป็นเพราะไม่สามารถที่จะบังคับใช้กลไกของรัฐ โดยเฉพาะการสั่งการทหารได้ จึงต้องตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันหาทางออก ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความรุนแรงหรือมีคนตายอีกแล้ว นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสือแดงในระดับหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสามารถร่น

ระยะเวลาการยุบสภากว่าเดิม ส่วนเบื้องหลังการที่นายกฯ ออกมาแถลงครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำ นปช.กับรัฐบาลมีการหารือกันตลอดเวลา ซึ่งนปช.ก็รู้อยู่แล้วว่า ผลต้องออกมาแบบนี้ ทำให้ที่ผ่านมานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะไม่กังวลว่ารัฐบาลจะสลายการชุมนุมอย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า แม้คนเสื้อแดงพร้อมที่จะพิจารณาข้อเสนอต่างๆ ของรัฐบาลตลอดเวลา แต่การที่รัฐบาลจะเสนออะไรนั้นควรเสนอในบรรยากาศของความสงบและสันติกว่านี้ ไม่ใช่ว่าในทาง

หนึ่งเสนอเงื่อนไขให้พิจารณา แต่อีกด้านหนึ่งกำลังขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็คงต้องรอดูความจริงใจและความชัดเจนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เพราะแน่นอนว่าการแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์นั้น รัฐบาลดีดลูกคิดมาก่อนแล้วว่า มีแต่ได้กับได้เนื่องจากว่า ระยะเวลาแม้จะสั้นลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณ และเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชาการในเดือนกันยายนได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังได้ภาพจาก

สังคมส่วนใหญ่ว่า รัฐบาลอ่อนข้อแล้วหากคนเสื้อแดงไม่ยอมก็จะเป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบทันทีทั้งๆ ที่ข้อเสนอนี้ จริงๆ แล้วต้องถือว่าเป็นเพียงข้อเสนอในกรอบใหญ่ แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังต้องดูให้ลึกว่า จะยังคงมีการใช้ข้ออ้างอำนาจกฎหมายกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ต่อไปหรือไม่แค่รัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการเจรจา ด้วยการยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ยกเลิกการใช้สื่อของรัฐบาล โดยเฉพาะช่อง NBT ที่ เสนอข่าวข้างเดียว และยุติการยั่วยุด้วยต่างๆ นาๆ ทั้ง

รายการสัมภาษณ์สดคนที่เข้าข้างรัฐบาล และการหยุดตัววิ่งที่สร้างความแตกแยกในสังคมหากรัฐบาลยอมยุติพฤติกรรมเหล่านี้ ก็เชื่อว่าการเจรจาน่าที่จะราบรื่นได้ไม่ยากนอกจากการเจรจาจะเป็นหนทางยุติปัญหาวิกฤติ ซึ่งบางกอก ทูเดย์ ยืนยันมาโดยตลอดแล้ว ความจริงใจในการเจรจา และไม่จ้องที่จะหาทางเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันอย่างแท้จริง สักครั้งได้หรือไม่??
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.........................................................

หยุด! ทหารจับอาวุธยึดพื้นที่

เรื่องมันเกี่ยวกัน เลยต้องสอยมาเล่าสู่กันฟัง..แม้มันจะเก่าไปสักนิด ชุมนุมเสื้อแดงเดี้ยง ไปหลายคน ทหาร-ตำรวจ ร่วง!ไปหลายนายก็เพราะไอ้แรงบึ้ม จากไหนก็ไม่รู้นี่ล่ะ 4 เมษายน 2549 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติออกประกาศกำหนดให้วันที่ 4 เมษายนของทุกปี เป็นวันสากลว่าด้วยการต่อต้านการใช้กับระเบิดทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงอันตรายต่อการใช้กับระเบิดในการสู้รบ ที่ทำให้คนบาดเจ็บล้มตาย และพิการมากมายทั้งนี้เพื่อให้สนธิสัญญาห้ามการใช้กับระเบิดบุคคล ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2542 ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันหาทางทำลายกับระเบิด

บุคคลที่ยังหลงเหลือให้หมดไปโดยเร็วที่สุด อาจใช้เวลาหลายปี แต่ไม่ควรจะเป็นทศวรรษ ในโลกนี้มีพื้นที่สู้รบอยู่หลายแห่ง ทั้งที่สงบเรียบร้อยไปแล้ว เช่น เขมร ลาว แต่ก็ยังมีที่สู้รบกันอยู่ เช่น อัฟกานิสถาน อังโกลา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เลบานอน ซูดาน เป็นต้น สถิติของสหประชาชาติระบุว่า ปัจจุบันนี้ มี 82 ประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กับระเบิดระหว่างการสู้รบ ยังมีการใช้กับระเบิดในหลายแห่งทั่วโลก แม้ว่าได้มีสนธิสัญญาห้ามไว้แล้วก็ตาม

ประเทศที่ยังใช้กับระเบิดในปี 2546 มี 3 ประเทศ ประเทศที่ผลิตหรือมีขีดความสามารถในการผลิตกับระเบิดมี 13 ประเทศ ประเทศที่ลงนามร่วมในสนธิสัญญาห้ามใช้กับระเบิดมี 149 ประเทศ ยังมีการเก็บสะสมกับระเบิดทั่วโลกถึง 167 ล้านหน่วย เหยื่อที่ตกเป็นกับระเบิดในแต่ละปีประมาณ 15,000–20,000 คน ในสงครามเวียดนามซึ่งปัจจุบันยุติไปแล้ว สถิติของสหประชาชาติ ระบุว่า มีกับระเบิดประมาณ 3.5 – 8 แสนตันยังฝังอยู่ใต้ดินในเวียดนาม ซึ่งครอบคลุมร้อยละ

20 ของพื้นที่ประเทศเวียดนาม มีคนเสียชีวิตจากกับระเบิดไปแล้ว 38,849 คน และมีผู้บาดเจ็บจากกับระเบิดอีก 65,852 คน เมื่อสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี 2518 ประเทศเวียดนาม ลาว เขมร ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบหลักในสงครามเวียดนาม ได้รับผลกระทบและมีประสบการณ์อันขมขื่นอันเป็นผลมาจากกับระเบิดบุคคล เพราะในช่วงเวลานั้น ทั้งทหารเวียดนามเหนือและใต้ ลาวแดง และเขมรแดง และคู่สู้รบต่างฝ่ายต่างฝังกับระเบิดบุคคลหลายล้านหน่วยจนคนฝังจำไม่ได้ว่าฝัง

ที่ไหนบ้าง หรือคนฝังเสียชีวิตไปแล้ว พอถึงเวลาจะขุดขึ้นมาเพื่อทำลายก็มีปัญหา ต้องใช้หน่วยค้นหากับระเบิดใช้เครื่องค้นหาแทน หรือใช้วิธีการแบบชาวบ้าน คือ การต้อนวัวควายไปฝูงไปในพื้นที่ เพื่อให้สัตว์เหยียบกับระเบิดก่อน เป็นการรักษาชีวิตคนไว้ นอกจากนั้น อังกฤษและไทยได้จัดส่งหน่วยทำลายวัตถุระเบิดมาช่วยสอนทหารเขมรในการค้นหาทำลายกับระเบิดบุคคลเหล่านี้ แต่จนถึงขณะนี้ เชื่อว่าในหลายพื้นที่ยังมีกับระเบิดบุคคลอีกมากที่ฝังไว้และยังไม่ถูก

ทำลาย ในเขมร เราจะพบคนเขมรมากมายที่แขนขาขาด หรือพิการเพราะสูญเสียอวัยวะบางส่วนไปอันเป็นผลมาจากการเหยียบกับระเบิด ก่อนหน้านี้มีขอทานที่เหยียบกับระเบิดและทำมาหากินอย่างอื่นไม่ได้นอกจากขอทาน ทหารไทยจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตและพิการจากกับระเบิดระหว่างการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ไทย กับระเบิดบุคคลเป็นอันตรายต่อชีวิตของทหารและพลเรือนผู้บริสุทธิ์ วันนี้มีการชุมนุมที่รัฐบาลต้องการปราบปราม... แม้รัฐบาลจะไม่ใช้การฝังกับระเบิด

สลายการชุมนุม แต่การพกอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมความรุนแรงก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะมันเท่ากับเปิดประตูให้ “ไอ้โม่ง” เข้ามา “สร้างสถานการณ์” ซึ่งยิ่งเป็นการ “ยุแหย่” ให้เกิดความแตกแยก จนนำมาสู่ “ความหายนะ” ของคนในชาติที่มี “ความคิดเห็น” ต่างกันที่สำคัญมันนำมาสู่ความ “สูญเสียเลือดเนื้อ” ของชีวิตผู้บริสุทธิ์หยุด! ใช้อาวุธ พร้อมกับหยุดการใช้ระเบิด ตามสนธิสัญญาแห่งสหประชาชาติเลยดีไหม?
ที่มาบางกอกทูเดย์
***************************************************************

หาทางลง!

การต่อสู้ทางการเมือง...ที่นำความสูญเสียทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน รวมไปถึงระบบเศรษฐกิจ อาจจะมี “ทางออก” เพราะ นายกฯ อภิสิทธิ์ เสนอแนวทางการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553การเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้รัฐบาลยุบสภา...มีมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 แต่รัฐบาลมาประกาศอย่างชัดเจนเมื่อคืนวันที่ 3 พฤษภาคม...จะให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน ศกนี้หมายความว่า...การยุบสภาจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 15 กันยายน ถ้าใช้เวลาเตรียมการเลือกตั้ง 60 วัน ...หรือยุบสภาในวันที่ 1 ตุลาคม ถ้าใช้เวลาเตรียมการเลือกตั้ง เพียง 45 วันนายกฯ อภิสิทธิ์ กำหนดวันเลือกตั้ง...โดยมีเหตุผลที่ต้องการให้กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ได้ผ่านสภาเสียก่อน เพื่อประเทศจะได้มีเงินในการบริหารประเทศต่อไปงบ

ประมาณปี 2554 ตั้งไว้ 2.07 ล้านล้านบาท ...สูงกว่าปี 2553 ที่ตั้งไว้เพียง 1.70 ล้านล้านบาท อยู่พอสมควร อันจะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อไป...ในยามที่การค้าของประเทศไทยกำลังเติบโตนอกจากนั้น...ยังเป็นช่วงที่จะทำการโยกย้ายข้าราชการตามปีงบประมาณได้ตามระยะเวลาด้วย กำหนดระยะเวลาที่จะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปจนถึงกันยายนปีนี้ ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลในการพิจารณาที่จะ “ยุบสภา”การเสนอเงื่อนไขดังกล่าว...ทางแกนนำของคนเสื้อแดง

ก็คงจะรับไปพิจารณา ซึ่งถ้ายอมรับกันได้ การชุมนุมเรียกร้องก็คงจะได้ยุติ แต่ถ้ายังไม่ยอมรับ...ฝ่ายผู้ชุมนุมก็จะต้องหาเหตุผลมาอธิบายต่อสังคมให้ได้รัฐบาลเสนอเงื่อนไขอย่างนี้...ฝ่ายคนเสื้อแดงอาจมองได้ว่า รัฐบาลซื้อเวลา เพื่อรอจัดสรรงบประมาณและจัดโผแต่งตั้งให้เรียบร้อยก่อน แต่ก็อาจจะมีน้ำหนักน้อย...เพราะหลายฝ่ายเองก็อยากให้ปัญหาการชุมนุมสิ้นสุดลงนอกจากนั้น รัฐบาลเองก็สามารถอธิบายได้ว่า...จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเอาไว้ และคนที่จะมา

เป็นรัฐบาลใหม่ก็เป็นคนบริหาร รวมทั้งรัฐบาลใหม่ก็สามารถโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการได้ในภายหลัง...หากเห็นว่าเหมาะสมรัฐบาลเริ่มหาทางลงแล้ว...เหลือแต่ฝ่ายผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่จะรับไปพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งคงต้องมองถึงความบรรลุผลของการเรียกร้องว่า...ได้ไปพอควรหรือไม่ และจะเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียได้อย่างไรอีกทั้งจะหาทางลงให้กับแกนนำผู้ชุมนุมเองเกี่ยวกับคดีความต่าง ๆ ที่รัฐบาลตั้งข้อหาไว้ให้ได้อย่างไร

เพราะถ้าหาทางลงไม่ได้...การจะยอมรับเงื่อนไขที่รัฐบาลเสนอนั้น ก็คงต้องพิจารณากันต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแสดงความจริงใจของรัฐบาล ด้วยการยกเลิกการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการยกเลิกข้อกล่าวหาแบบเหมารวมที่ดูจะเกินเลย เช่น การก่อการร้าย การล้มล้างสถาบัน เป็นต้นแต่การปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับคนที่เข้าข่ายกระทำความผิดก็ควรที่จะต้องดำเนินการไปตามระบบความยุติธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งฝ่ายของรัฐบาลเอง

และฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมทุกค่ายทุกสีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ...ความเป็นผู้บริหารของประเทศ รัฐบาลจะต้องกล้าออกมาแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองทางใดทางหนึ่ง เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์การชุมนุมจนมีการบาดเจ็บล้มตาย หลายฝ่ายถูกกดดัน ข่มขู่ คุกคาม นอกจากนั้น ฝ่ายผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ต่อจนครบวาระ จะต้องเลิกการชุมนุมด้วย มิเช่นนั้นแล้ว...ความปรองดองที่รัฐบาลอยากให้เกิดขึ้น ก็คงเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ยากอย่างไรก็ตาม...รัฐบาล

เองที่หาทางลงไว้ด้วยการกำหนดวันเลือกตั้งไว้เป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 นั้น ก็อาจจะมีความเสี่ยงอยู่ด้วย เพราะแกนนำของรัฐบาล คือ “พรรคประชาธิปัตย์” กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องการ “ยุบพรรค”ภายในเดือนพฤษภาคม...คงมีความชัดเจนในแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคที่คณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติว่า...พรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินบริจาคพรรคการเมืองไปอย่างผิดวัตถุประสงค์ จึงมีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคต่อไปความเสี่ยงที่

อาจโดนยุบพรรคนั้น...อาจจะทำให้รัฐบาลมีอายุอยู่ไม่ถึงเดือนกันยายน อย่างที่ต้องการก็ได้ เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาเรื่องอีกเพียงสองถึงสามเดือนแล้วสามารถพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคได้พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบประมาณกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเร็วกว่าที่รัฐบาลตั้งเป็นเอาไว้ในเดือนกันยายน และจะมีผลกระทบตามมาพอสมควรเนื่องจากการพิจารณากฎหมายงบประมาณปี 2554 ถ้าเสร็จไม่ทัน...ปัญหาก็จะตามมา เนื่อง

จากจำนวนคะแนนเสียงของรัฐบาลอาจจะไม่เพียงพอ เพราะอาจมี ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนที่จะโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปถ้าเป็น ส.ส. สัดส่วน และไม่มีบัญชีปาร์ตี้ลิสต์เหลืออยู่...จำนวน ส.ส. โดยรวมในสภาก็จะลดลง แต่ถ้าเป็น ส.ส. เขต ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่...ซึ่งไม่แน่ว่าพรรคใดจะชนะได้ ส.ส. เพิ่มเติมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการจะโดนยุบพรรคหรือไม่จึงมิอาจมองข้ามไปได้...แต่หากว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่โดนยุบตามข้อกล่าวหา แนวทาง

ที่รัฐบาลตั้งไว้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ที่เหลือหลังจากการยุบสภาก็คือ การลงแข่งขัน “เลือกตั้งกันใหม่” ซึ่งพรรคใดได้คะแนนเสียงข้างมาก ก็จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อไป ส่วนพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับนโยบายที่นำไปหาเสียงถ้าพรรคเพื่อไทยใช้นโยบายเกี่ยวกับการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยจะนำฉบับ 2540 มาใช้ ก็จะต้องรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภา จึงจะสามารถดำเนินการได้ตามนโยบายการหาเสียงถ้า

พรรครัฐบาลเดิมเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ดีอยู่แล้ว และอาจจะมีการแก้ไขบางมาตรา ก็จะรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาเช่นเดียวกัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า...ประชาชนส่วนใหญ่จะเลือกแบบไหน?!เมื่อถึงเวลานั้น...ต่างฝ่ายควรต้องยอมรับกติกาและผลการเลือกตั้ง และต้องไม่นำมวลชนออกมากดดันกันอีก อย่างเช่นที่เคยเป็นตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา และทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่กำหนดโดยเสียงข้างมากต่อไปการบริหารประเทศไทยใน

อนาคตก็คงจะเป็นไปด้วยความสมัครสมานสามัคคีกัน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันก็จะลดความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นให้ลดน้อยลงไปถ้าทุกฝ่ายหันหน้ามาปรองดองกันได้ มีความรักความสามัคคี ประเทศไทยก็จะกลับมามีรอยยิ้มกันอีกครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติและสถาบันหลัก ความสวัสดีมีชัยจะเกิดขึ้นแก่คนไทยทั่วหน้ากัน!

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.............................................................................

เว็บล็อกวิชาการต่างชาติเผยประสบการณ์นศ.ถูกศอฉ.สอบ ชี้หน่วยสืบราชการลับล้มเหลวสิ้นเชิง

เว็บล็อกนิว แมนดาลา (นวมณฑล) ได้เผยแพร่คำบอกเล่าของ 1 ใน 3 นักศึกษา ที่ถูกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เรียกตัวไปสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม โดยนักศึกษารายนี้ได้เปิดเผยถึงลำดับขั้นตอนในการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ว่า

ทหารได้เริ่มต้นอธิบายให้ผู้ถูกเรียกตัวเข้าไปสอบสวนทั้งหมดได้รับทราบว่า การสอบสวนครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว พวกเขาเพียงแค่ต้องการขอความร่วมมือ และพวกเราก็ควรจะบอกเล่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถช่วยเหลือประเทศให้กลับไปสงบสุขดังเดิม ให้เขาได้รับทราบ เจ้าหน้าที่ทหารยังกล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าไปข้องเกี่ยวหรือสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ว่าในทางใดล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขบวนการเสื้อแดงควรจะถูกหยุดยั้งลงได้แล้วในเร็ววันนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปนอกเหนือการควบคุม

การสอบสวนดำเนินไปใน 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก จะมีการสอบถามประวัติส่วนตัวทั่วไปของผู้ที่ถูกเรียกตัวเข้าไปสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ การสอบถามจะดำเนินไปแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นผู้ถูกสอบสวนจะถูกสอบถามเพิ่มเติม หากเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเสื้อแดงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คำถามที่เราต้องเจอจะมีอาทิเช่น คุณคิดว่าใครคือกลุ่มนักฆ่าชุดดำในคืนวันที่ 10 เมษายน หรือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมประท้วง เป็นต้น

ในขั้นตอนที่สอง จะเป็นการทดสอบด้วยปฏิบัติการจิตวิทยาพลเรือน (Civil Psychological Operation) โดยเจ้าหน้าที่จะสอบถามว่าเรารู้สึกอย่างไรกับการทดสอบ เรารู้สึกตกใจหรือหวาดกลัวหรือไม่ นักศึกษารายนี้ระบุว่า ขณะทำการทดสอบ เขารู้สึกเหมือนได้เจอกับคุณป้าใจดีที่มาสั่งสอนบทเรียน มากกว่าจะรู้สึกเหมือนกับถูกป้อนยาขมเข้าปาก

ขั้นตอนสุดท้าย นักศึกษาทั้ง 3 คน ได้กลับเข้ามาในห้องเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง และต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ 2 ราย เจ้าหน้าที่จะตั้งคำถามบางอย่างเกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น แกนนำเสื้อแดงคนใดซึ่งนักศึกษาคิดว่ามีแนวโน้มที่จะโค่นล้มอำนาจสูงสุดของประเทศ หรือ ถ้านักศึกษามีความคุ้นเคยกับ "นายสุรชัย แซ่ด่าน" แล้วคุณมีหน้าที่อะไรในสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ ตรงท้ายรายชื่อของนักศึกษาแต่ละคนในบัญชีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ ยังมีการระบุข้อมูลสั้น ๆ ของพวกเขา ในกรณีของนักศึกษาผู้เปิดเผยข้อมูลรายนี้ ข้อมูลสั้น ๆ ในมือเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขาทำงานให้กับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของกลุ่มแดงสยาม ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองดังกล่าวเลย

นักศึกษารายนี้สรุปปิดท้ายว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายและเสียเวลามากกว่าจะรู้สึกว่าตนเองถูกข่มข่มในกรมทหารราบที่ 11 นอกจากนั้น เขายังเห็นว่าเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของทางราชการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ที่มา.มติชนออนไลน์
........................................................

สรุปแถลงการณ์ "นปช.แดงทั้งแผ่นดิน"

คุณวีระ
1. ยินดีเข้าร่วมาตรการปองดองลดการสูญเสีย
2. นปช.ต้องการความจริงใจซึ่งรัฐบาลสามารถแสดงออกด้วยการลดการคุกคามทุกรูปแบบ
3. นปช.ไม่ขอนิรโทษกรรมให้แก่ นปช.เองในข้อหาโค่นล้มสถาบันและการก่อการร้ายเด็จขาดพร้อมสู้คดี
4. ต้องยุติการนำสถาบันกษัตริย์ลงสู่ความขัดแย้งในทุกมิติ

คุณณัฐวุฒิ
1. การนิรโทษกรรม เราไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไข จะขอต่อสู้จนถึงที่สุด ในขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้เกิดมาตรฐานยุติธรรมเดียวกัน "คดีการสั่งสังหารประชาชนในวันที่ 10 ,22,28 เมษายน"จะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมใดๆเช่นเดียวกันขอให้ DSI รับเอาสามเหตุการณ์เป็นดคีพิเศษพร้อมดำเนินการทันที
2. ประการต่อไปเรื่องอธิบายขยายความเพิ่มเติมในการต่อสู้ในรูปลักษณ์การเผชิญ หน้าของคนสองกลุ่มค่ือ2.1 นปช.
2.2 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ผลกระทบของรากแก้วของปัญหากระบวนการการต่อสู้เกิดกระทบในวงกว้างของปชช.ทั้งประ เทศดังนั้นปฏิบัติการ ใดๆที่เกิดจากกลไกรัฐยอมเกิด ขึ้นต่อปชช.จึงขอให้รัฐบาบ"ยุติคุกคาม"สิทธิ เสรีภาพของประชาชนโดยทันที
3. ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการบริโภคข่าวสาร ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทางมาชุมนุม เป็นการพิสูจน์ประเด็นของความจริงใจของรัฐบาล
4. "หยุดคุกคามประชาชน หยุดริดรอนสิทธิ์ในการบริโภคข่าวสาร
5. ดังนั้นความเท่าเทียมก็เป็นมาตรการณ์การหลีกเลี่ยงการรุนแรง

คุณจตุพร
1. การใช้กำลัง อำนาจ การปองดองไม่ได้ จะไม่ถือเป็นการปองดองทันที ในคืนนี้จะมีการนำภาพมาฉายให้เห็นถึงกองกำลังทหารตำรวจ "นี่หรือการปองดอง
2. ขอประกาศให้ทราบว่าจะไม่มีการแลกคดีการก่อการร้าย การล้มสถาบัน เป็นอันขาดในการปองดอง จะขอดำเนินดคีกับนายก รองนายก DSI ข้อหาปฏิบัติงานโดยมิชอบ
3. ดคีที่บุกยึดทำเนียบ สนามบิน ตำรวจตั้งข้อหาก่อการร้าย ขอให้DSI นำเป็นดคีพิเศษเช่นกัน และคดีหมิ่นนั้น ของสนธิ ขอให้เป็นคดีพิเศษ่เช่นเดียวกัน
4. ประเด็นสุดท้าย การสั่งฆ่าประชาชน DSI พยายามสร้างหลักฐานเท็จ กระสุน 480 นัด เป็นพยานชัดเจนว่าเป็นพยานเท็จ คนที่จับไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงแต่คดีที่สั่งฆ่าประชาชน 21 คน DSI จะดำเนินการอย่างไร
5. พวกผมจะไม่ยอมให้คดีก่อการร้ายและล้มสถาบัน ไปแลกกับคดี "สั่งฆ่าประชาชน" เป็นอันขาด


นายแพทย์เหวง
1. นปช.เสนอแนวทางปองดองตั้งแต่เอกฑูตมาเยี่ยม 24 เมษายนตั้งแต่แรกแล้ว อภิสิทธิ์ได้ตอบปฏิเสธและนำมาสู่การปราบปรามวันที่ 28 จึงเป็นการเสนอตามหลัง นปช. ไม่สมควรได้รับเกียรติยศ การปองดอง
2. "มาช้าดีกว่าไม่มา" นปช.ยินดีเข้าสู่โต๊ะปองดอง และขอถามว่า "จริงใจในการปองดองหรือไม่" เพราะยังมีการซุ่มโจมตี นปช. ขอให้หยุดการโจมตี นปช. ตั้งแต่นี้
3. นปช.มีควรจำเป็นต้องอธิบายความจำเป็นในการปองดอง ดังนั้จึงได้มีการพิมพ์หนังสือเล่มเล็๋กสีแดง อธิบาย"รัฐไทยใหม่" "การต่อสู้แบบสันวิธี" หนังสือนี้จะอธิบายอย่างกระจ่าง เพื่อให้ไปศึกษาว่า นปช.เป็นดังที่กล่าวในหนังสือเล่มนี้จะได้ยุติการใส่ร้าย


คุณก่อแก้ว
1.ในการหาทางออกด้วยวิธีปองดองนั้นแต่การยืนเงื่อนไขนั้นยังไม่ชัดเจน ขอแสดงความห่วงใยของพี่น้องไปยังนายอภิสิทธิ์ คือ
2.1.เสื้อแดงแคงใจคำพูดอภิสิทธิ์เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? ขอให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนด้วย
2.2.เสื้อแดงห่วงว่ารัฐบาลใช้วิชามารทุกแบบทำให้ไม่มั่นใจว่าข้อเสนอของนายกจะมีความ โปร่งใสหรือไม่? ข้อสงสัย จะมั่นใจได้อย่างไรแกนนำและเสื้อแดงจะไม่ ถูกอำนาจรัฐลอบทำร้าย
2. ขอให้นายอภิสิทธิ์ออกมารับปากกับประชาชนถ้าหากเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับแกนนำและประชา ชนเสื้อแดง จะถือว่าไม่มีความรับผิดชอบและต้องรับผิดชอบกับทุกเหตุการณ์
3. อภิสิทธ์เท่ากับว่าได้ยอมรับแล้วว่าไม่ได้มาตามกระบวนการที่ถูกต้องตามอำนาจประชา ธิปไตย คำพูดของนายอภิสิืทธื์ เป็นเรื่องของการปองดองและเลือกตั้งให้ถือว่าเป็นการพูดกับประชาชนคนทั้งประเทศ สิ่งที่ต้องพูดต้่อไปคือนายกจะต้องแสดงท่าทีชัดเจนจริงใจ ต้องไม่ปล่อยให้ ศอฉ. คุกคามประชาชน

คุณอริสมันต์
1. ศาลไม่ได้อนุมัติหมายจับของอริสมันต์ แรมโบ้ และเสธแดง
2. วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและมีมติเอกฉันท์หาข้อยุติด้วยความปองดองสมานฉันท์ทั่ว ประเทศ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลที่ปิดสื่อ วันนี้นายกต้องแสดงความจริงใจ การเผยแพร่ข่าวสารสองด้านครบถ้วนเป็นสิ่งที่ให้ปชช.มีข้อมูลใช้ในแนวทางที่พึ่งประสงค์
3. ขอให้นายกสั่งการทันทีที่จะยุติคุกคามเว๊บไซด์ วิทยุชุมชน สถานีพีเพิล
4. การสั่งให้ทหารตำรวจกลับกรมกองทันที เพื่อความสมานฉันท์ปองดองเกิดขึ้น

คุณฌอน
แถลงการณ์มติการประชุมเป็นภาคภาษาอังกฤษให้กับสื่อมวลชนต่างชาติและชาวต่างชาติได้ รับทราบ
---------------------------------------------------------------------

บันทึกประวัติศาสตร์ไว้

ในการย้อนรอยกลับมาของ ทรราช ด้วยการกวาดล้างที่รุนแรง
ต่อผู้ที่ขวางทางอำนาจ อย่างโหดร้ายทารุณเสมอ
นอกเหนือจากนักการเมืองฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ขบวนการประชาชนประชาธิปไตย
ก็เป็นเป้าหมายหลักที่ต้อง ถูกทำลายให้สิ้น หมดเสี้ยนหนาม และไร้พิษสง

2 ปีหลังความกระหยิ่มในชัยชนะของนิสิตนักศึกษาประชาชน เป็นบทเรียนที่ต้องนำมา
ย้อนทบทวนบาดแผลความผิดพลาดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา

พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบเส แสร้ง เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา
ปกคลุมทั่วทุกระบบ ในทางเดียวกันกลับสวนทาง กับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
ด้วยการประนี ประนอมเพื่อถ่วงเวลา เสวยอำนาจครอบงำอย่างช้าช้า โดยไม่ทันให้สังเกต....
.....เลี้ยงไม่ให้ผอม โซ..แต่ก็จำกัดไว้ไม่ให้โตอ้วน....

พลวัตร ของขบวนการประชาธิปไตยเติบใหญ่เคลื่อนไหวมากเท่าไร

พัฒนาการของ ทรราชอมาตยา ก็แนบเนียน ยิ่งยิ่งขึ้น

ต่างพวกต่างเหล่าก็ปรับปรุงตัว จากข้อผิดพลาดของตน...แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเป้าหมาย...
การช่วงชิงอำนาจไว้ในกำมืออย่างยาวนานที่สุด

โอกาสนี้ รอบ 100 ปี มีแค่ครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวเท่านั้น .....
ถ้าแพ้อีกครั้ง ก็ดิ้นรนหาหนทางรอดตัวใครตัวมันเถิด แล้วอย่าลืมบอกลากันด้วย
เพราะนี่คือ เดิมพันครั้งสุดท้าย ของกลุ่มพลังรากหญ้าที่สะสมความพ่ายแพ้
มาโดยตลอด อย่างยาวนาน

โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก หมายความว่า จะคิดกำจัดศัตรู ปราบพวกคนพาล
ให้หมดสิ้นทีเดียวแล้ว ก็ต้องปราบให้เรียบอย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว
มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้ อีก
ตัด หวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่
จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ใช้ตลอดถึงการทำลายล้างคนพาลสันดานโกงต่างๆ

มันฝังรากลึกในสังคมไทย ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน
ก็คงต้องทนให้หนามมันทิ่มตำต่อไป

........................................................................

ณัฐวุฒิแขวะ ปชป.แก้ปัญหาภายในหลัง"ชวน"ค้านยุบสภา

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวภายหลัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เจรจาขอพื้นที่ ถ.ราชดำริ ตั้งแต่แยกศาลาแดงถึงแยกสารสิน ว่า ยังไม่ได้รับปากว่าจะดำเนินการให้ ต้องดูสถานการณ์ภาพใหญ่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน หากผ่านไปได้ เรื่องพื้นที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ถือเป็นเรืองเล็ก ขอหารือในข้อเสนอของรัฐบาลก่อน ส่วนท่าทีของ นปช.เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลล้วนเห็นด้วยกับนายกฯ แต่คงยังไม่เคยคุยเรื่องกรอบเวลากับพรรคร่วม ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีเสียงที่แปร่งอยู่ ยังมีเวลาเหลืออีก 2-3 ชั่วโมง ยังไม่สายที่พรรคร่วมและพรรคประชาธิปัตย์จะแสดงจุดยืน

ขณะเดียวกันมีผู้สื่อข่าวนำข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือที่ว่า นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ทราบเรื่อง Road Map ของนายกรัฐมนตรี และคัดค้านการยุบสภาภายใต้แรงกดดัน และอย่านิรโทษกรรมคนเสื้อแดง ทำให้นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ธรรมชาติของพรรคประชาธิปัตย์เป็นแบบนี้ เรื่องดังกล่าวต้องเป็นหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ที่จะไปแก้ปัญหาภายในประชาธิปัตย์เอง ต่อมาเวลา 13.45 น. ได้เกิดเหตุการณ์ฝนตกหนัก และฟ้าคะนอง ขึ้นในพื้นที่การชุมนุม อย่างไรก็ตาม บนเวทีก็ยังคงมีการแสดงดนตรีอย่างต่อเนื่อง และจะมีเสียงเฮของผู้ชุมนุมทุกครั้งที่มีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ฝนก็ได้ตกในพื้นที่ชุมนุมมาแล้วหนึ่งครั้งในช่วงเช้าตรู่

ที่มา.เนชั่น
*******************************************************************

นักสันติวิธีจี้ทุกฝ่ายทำข้อตกลงก่อนยุบสภา

นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิจัยอิสระด้านสันติวิธี และอดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.) กล่าวว่าแผนปรองดองเพื่อแก้ปัญหาการเมืองของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นแนวทางที่ดีและจะช่วยลดระดับอุณหภูมิ และความตึงเครียดทางการเมืองลงได้ก่อนจะเดินไปสู่การออกจากปัญหา แต่จะพ้นวิกฤตอย่างยั่งยืนและถาวรหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตามและขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆอีกหลายประการ

นายอัฮหมัด กล่าวต่อว่า สำหรับโรดแมปที่นายกรัฐมนตรีเสนอนั้น ถือเป็นประตูทางออกที่เปิดกว้างเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ก้าวข้ามวิกฤตเฉพาะหน้าในเวลานี้ ซึ่งอย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือวางกรอบเพื่อควบคุมไม่ให้ปัญหาก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากสังคมไทยขณะนี้อยู่ในภาวะบอบช้ำอย่างหนัก ดังนั้นหากมีการยุบสภาแล้วกำหนดการเลือกตั้งจะต้องไม่ให้เกิดปัญหาความวุ่นวายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก ระลอก

“เนื้อหาสาระที่ทุกฝ่ายพูดคุยหารือเพื่อทำความเข้าใจและตกลงร่วมกันคือสิ่งที่ต้องตามดูหลังจากนี้ เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่จะระงับไม่ให้อุณหภูมิของปัญหาต่างๆปะทุขึ้นมาในห้วงเวลาที่จะมีการเดินไปสู่การเลือกตั้ง” นักวิจัยอิสระด้านสันติวิธี กล่าว

ที่มา.เนชั่น
........................................................