ชาติ บ้านเมือง และ ประเทศไทย สำคัญกว่าและเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น...ถ้ายังไม่รู้จักคำว่า “เสียสละ” เลือดต้องนองแผ่นดิน...
-บางกอกทูเดย์ หนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์รายวัน “ทันคิด ทันคน ทันข่าว” ฉบับนี้ วันเสาร์ที่ 24-วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2553...
- “แม้ว่าท่านอาจโชคดี ไม่มีใครสามารถเอาผิดท่านได้ตามกฎหมาย ท่านก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นสัจธรรมอันแท้จริงที่จะต้องส่งผลมาถึงตัวท่านและลูกหลานอย่างแน่นอน ทั้งหมด คือ ถ้อยความอันควรสำนึกและรับผิดชอบของผู้มีอำนาจและผู้เคยมีอำนาจที่ควรฟัง จดจำและนำไปคิดของท่านองคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร...
-ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าได้ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาพูดวิจารณ์เรื่องการขอเข้าเฝ้าฯ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ว่า ควร หรือ ไม่ควร...
- “พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และองค์รัฎฐาธิปัตย์และจอมทัพไทยที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นกับพระองค์...ไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะสามารถหยุดยั้งได้ นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์” คือเหตุผลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่กลับมาเป็นการย้อนคำถามคนที่ออกมาล่วงพระราชอำนาจว่า การขอมาตรา 7 กับการขอเข้าเฝ้าฯ นั้นต่างกันตรงไหน หรือว่าต่างกันตรงที่ใครพูด?...
-เพราะประเทศไทย ยังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากอยู่ตรงสูตร 3, 2, 1 จึงยังหาทางออกให้ประชาชนไม่ได้ เพราะคิดว่าสงครามการเมืองต้องแก้ด้วยอำนาจจึงเป็นเรื่องน่าอนาถใจอย่างยิ่ง ความสงบสันติ สามัคคีถึงยังไม่มีวันจะกลับคืนมาได้ เพราะหนึ่ง...ยังไม่มีการเจรจาหาทางออก...สองยังไม่มีคนกล้าสลายม็อบหนใหม่ และสาม...ยังไม่มีใครกล้าออกมาปฏิวัติรัฐประหาร...
-บุคคลที่ต้องกลายมาเป็นคนรับเผือกร้อนมาถือไว้ในมือคนใหม่คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พูดจาออกชัดเจนไม่อ้อมค้อมว่า “อย่าให้ผมบอกว่า สลาย-ไม่สลายเลย...ผมจะทำทุกอย่างตามสถานการณ์และผลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถ้ารักษากฎหมายไว้ได้ ไม่มีคนบาดเจ็บและตายและเป็นที่ยอมรับว่าทำตามกฎหมายและสมควรแก่เหตุ มันเหมาะสมที่จะทำ ตอนไหน อย่างไร ผมก็คงทำ เว้นแต่เขาจะออกไปก่อน ก็ไม่ต้องทำ”...ความอย่างนี้ มด คันไฟ คงไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยนะครับ...
-แต่หากว่าหลังจากนี้ไป พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะถูกย้ายหรือถูกปฏิวัติรัฐประหารก่อนเกษียณ ก็น่าเสียดาย เพราะหมายความว่า เราจะเสียทหารที่ไม่มีอุดมการณ์ของเผด็จการและการใช้อำนาจใช้ความรุนแรงและกำลังไป...
-ได้ยินข่าวเล่ามาว่า “11 วัน” หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 (ที่ถ้าหากวันนั้นไม่รีบถอยออกก่อน ความเสียหายตายบาดเจ็บจะมากมายกว่านี้หลายเท่า) มาถึงคืนวันที่ 21 เมษายน 2553 ที่มีข่าวลือฮือฮาที่ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้ ออกมาว่า...จะมีการเข้าสลายม็อบที่ราชประสงค์ พร้อมทั้งคนทั้งอุปกรณ์ทั้งอาวุธ...สถานการณ์คืนนั้นจึงตึงเครียดที่สุดและเครียดสุดของประเทศไทย...
-แต่ภายหลังพอถึงรุ่งสางวันที่ 22 เมษายน 2553 ข่าวลือไม่กลายเป็นข่าวจริง...ไม่ใช่เพราะข่าวลือนั้นเลื่อนลอยและไม่จริง...แต่ข่าวลือไม่เป็นข่าวจริงเพราะ คนที่ต้องปฏิบัติการหยุดตัวเอง เพราะไม่อยาก-ไม่กล้าเพิ่มคนไทยคนตายขึ้นมาอีก...ไม่ใช่เพราะ “คนสั่ง” สั่งให้หยุด!...
-มด คันไฟ จึงอยากฝากความนี้ไว้ให้คิดกับ ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ว่า อำนาจที่ได้มา ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ต้องบริหารจัดการเป็น ต้องใช้เป็น...เพราะต้องระวังให้ดีที่อนาคตของตัวเองและลูกหลานด้วย
คอลัมน์บางกอกกอสซิบ
โดย.มด คันไฟ
***********************************************
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553
บริหารด้วยปืน
ถ้าเครื่องมือในการบริหารประเทศของรัฐบาลใดคือกองทัพ....ผลงานของประเทศและรัฐบาลนั้น ก็คือ...การจับกุมคุมขัง..การเข่นฆ่าสังหาร ประเทศใดมีรัฐบาลที่ใช้ปากกระบอกปืนเป็นกลไกการปกครอง....ประเทศนั้นก็เป็นเผด็จการไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งไม่มีปากกระบอกปืนของรัฐบาลใด..จะไม่ได้รับการต่อต้านจากประชาชน..เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการจากทุกๆ รัฐบาล..คือการกินดีอยู่ดี...ไม่ใช่การกดขี่บังคับประวัติศาสตร์โลก..บอกกับทุกๆ ชีวิตในโลกว่า...ในที่สุดแล้วอนุสาวรีย์ของผู้กดขี่จะต้องถูกทำลายลงไม่ว่าในวันใดวันหนึ่ง..สตาลิน..เลนิน..แคทเธอลิน เดอะเกรท..เหมาเจ๋อตุง จิ๋นซีฮ่องเต้ ชาร์
แห่งอิหร่าน..ฯลฯ และแม้แต่หลังสุด..วีรบุรุษอย่าง นายพลฟรังโก..แห่งสเปญ..ก็กำลังถูกรัฐสภาสเปญ ออกกฎหมายให้ทำลายสัญลักษณ์ทุกอย่างของท่านผู้นี้...30 กว่าปีมาแล้ว...ประธานาธิบดี เฟอร์ดินัล มาร์คอส..ให้ยศนายพลกับให้เงินจำนวนมหาศาลให้กับนายทหารฟิลิปปินส์ของเขา...โลกในครั้งนั้นเรียกเขาว่า ประธานาธิบดีตลอดกาล..ประชาชนชื่นชอบเขาประดุจเทพเจ้า..และเผื่อแผ่ไปถึง อีเมลด้า ผู้ภริยาว่าเป็น..ผีเสื้อเหล็กแห่งกรุงมนิลา..เพราะกระสุนนัดเดียว
แท้ๆ ที่ลั่นใส่ศรีษะ อาควิโน.. แค่ศพเดียวแท้ๆ...ฟิลิปปินส์กลายเป็นแผ่นดินต้องห้ามของมาร์คอสกับภริยา..แผ่นดินฟิลิปปินส์รังเกียจแม้แต่กระดูกของเขา...กองทัพของมาร์คอส..ปฏิเสธการสังหารประชาชน..ที่เดินดาหน้าเข้ามาที่ มาลากันยัง...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....พณะหัวเจ้าท่านนายกรัฐมนตรี..เก่งภาษาเล่าเรียนมาอย่างดิบดีเช่นท่าน..ท่านไม่ต้องหาทางออกให้กับประเทศ..ประเทศอยู่มาแล้วอยู่มาได้ 700 ปี..ประเทศยังอยู่ได้ไปถึงหนึ่งพันปี...ที่ต้องห่วงคือ..หา
ทางออกให้กับตัวท่าน ภริยาและลูก..ประชาชนคงจะส่งเสริมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน..ด้วยกองศพทับถมของพวกเขาไม่มากมายไปกว่านี้..กองทัพก็คงจะฆ่าประชาชนให้กับท่านอีกไม่นานเท่าไหร่..ABRAHAM MASLOW กล่าวว่า WHEN THE ONLY TOOL YOU OWN IS A HAMMER EVERY PROBLEM BEGINS TO RESEMBLE A NALLถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือปืน..ทุกปัญหาจะเริ่มกันที่ศพ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************
แห่งอิหร่าน..ฯลฯ และแม้แต่หลังสุด..วีรบุรุษอย่าง นายพลฟรังโก..แห่งสเปญ..ก็กำลังถูกรัฐสภาสเปญ ออกกฎหมายให้ทำลายสัญลักษณ์ทุกอย่างของท่านผู้นี้...30 กว่าปีมาแล้ว...ประธานาธิบดี เฟอร์ดินัล มาร์คอส..ให้ยศนายพลกับให้เงินจำนวนมหาศาลให้กับนายทหารฟิลิปปินส์ของเขา...โลกในครั้งนั้นเรียกเขาว่า ประธานาธิบดีตลอดกาล..ประชาชนชื่นชอบเขาประดุจเทพเจ้า..และเผื่อแผ่ไปถึง อีเมลด้า ผู้ภริยาว่าเป็น..ผีเสื้อเหล็กแห่งกรุงมนิลา..เพราะกระสุนนัดเดียว
แท้ๆ ที่ลั่นใส่ศรีษะ อาควิโน.. แค่ศพเดียวแท้ๆ...ฟิลิปปินส์กลายเป็นแผ่นดินต้องห้ามของมาร์คอสกับภริยา..แผ่นดินฟิลิปปินส์รังเกียจแม้แต่กระดูกของเขา...กองทัพของมาร์คอส..ปฏิเสธการสังหารประชาชน..ที่เดินดาหน้าเข้ามาที่ มาลากันยัง...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....พณะหัวเจ้าท่านนายกรัฐมนตรี..เก่งภาษาเล่าเรียนมาอย่างดิบดีเช่นท่าน..ท่านไม่ต้องหาทางออกให้กับประเทศ..ประเทศอยู่มาแล้วอยู่มาได้ 700 ปี..ประเทศยังอยู่ได้ไปถึงหนึ่งพันปี...ที่ต้องห่วงคือ..หา
ทางออกให้กับตัวท่าน ภริยาและลูก..ประชาชนคงจะส่งเสริมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน..ด้วยกองศพทับถมของพวกเขาไม่มากมายไปกว่านี้..กองทัพก็คงจะฆ่าประชาชนให้กับท่านอีกไม่นานเท่าไหร่..ABRAHAM MASLOW กล่าวว่า WHEN THE ONLY TOOL YOU OWN IS A HAMMER EVERY PROBLEM BEGINS TO RESEMBLE A NALLถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือปืน..ทุกปัญหาจะเริ่มกันที่ศพ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************
‘สีลม’2553
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา คงเป็นภาพที่คนไทยทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นในสภาพบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายในขณะนี้ อีกทั้งไม่คาดคิดว่า เหตุระเบิดเอ็ม 79 จะนำมาซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ มีผู้บาดเจ็บ 80 กว่าราย เสียชีวิต 1 รายเหตุการณ์ครั้งนี้...เกิดขึ้นบนความเห็นที่ขัดแย้งทางการเมือง ระหว่าง 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนรักสีลม ที่เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ทำมาหากินในย่านสีลม รวมทั้งการรวมตัวกันเพื่อป้องกันไม่ให้คน
เสื้อแดงยกพลบุกสีลม ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ขณะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงที่สร้างป้อมค่ายป้องกันเหตุปะทะ มองว่าการออกมาท้าตีท้าต่อยของคนรักสีลมเป็นการยั่วยุให้เสื้อแดงออกมาใช้กำลังปะทะกัน ก่อนเกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ถล่มสีลม เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่อยู่คนละสีเท่านั้น แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะมีการขว้างปา ขวด ก้อนหินเข้าใส่กัน แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ไม่นานถนนสีลมอาจจะนองเลือดแล้วในค่ำคืนวันที่ 22 เม.ย.
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...เมื่อคนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง 3 ลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บด้วย ในเวลาใกล้เคียงกัน...คนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกหน้าโรงแรมดุสิตธานี และหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนซึ่งเป็นคนทำงานที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านได้รับบาดเจ็บ ความโกลาหล เกิดขึ้นทันที! หลายคนช่วยนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลายคนรีบวิ่งหนีเพื่อหา
ทางกลับบ้านจนไม่เหลือบรรยกาศถนนสีลม ที่เคยเป็นถนนแห่งการจับจ่ายของคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ “สีลม” ในพ.ศ. นี้ไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ตำรวจ ทหาร เสริมกำลังเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่ง แต่สถานการณ์กลับไม่ได้คลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มอยู่ในอาการโกรธแค้น โดยเฉพาะฝั่งคนสีลม ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมระดม ขวด หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดงในฝั่งตรงข้าม ทำให้ตำรวจทหารได้เจอลูกหลงบาดเจ็บหลายคน ทันทีที่เหตุ
ระเบิดเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผบ. เหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้องเรียกประชุมศอฉ. ทันที เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ แม้จะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่สามารถระงับยับยั้งเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ขณะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ออกมาชี้แจงผ่านทีวีพูล โดยยืนยันว่า...วิถีกระสุนเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดง พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยห่าง 400 เมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การแถลงของนายสุ
เทพ กลับสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดง ที่เหมือนเป็นการโยนความผิดให้คนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน งานนี้นายสุเทพจึง “ผิดคิว” ที่ออกมาโยนความผิดให้คนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่รัฐบาลมีไว้ในมือไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ กลายเป็นกฎหมายที่เอาไว้ขู่ม็อบเท่านั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
เสื้อแดงยกพลบุกสีลม ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ขณะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงที่สร้างป้อมค่ายป้องกันเหตุปะทะ มองว่าการออกมาท้าตีท้าต่อยของคนรักสีลมเป็นการยั่วยุให้เสื้อแดงออกมาใช้กำลังปะทะกัน ก่อนเกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ถล่มสีลม เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่อยู่คนละสีเท่านั้น แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะมีการขว้างปา ขวด ก้อนหินเข้าใส่กัน แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ไม่นานถนนสีลมอาจจะนองเลือดแล้วในค่ำคืนวันที่ 22 เม.ย.
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...เมื่อคนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง 3 ลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บด้วย ในเวลาใกล้เคียงกัน...คนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกหน้าโรงแรมดุสิตธานี และหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนซึ่งเป็นคนทำงานที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านได้รับบาดเจ็บ ความโกลาหล เกิดขึ้นทันที! หลายคนช่วยนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลายคนรีบวิ่งหนีเพื่อหา
ทางกลับบ้านจนไม่เหลือบรรยกาศถนนสีลม ที่เคยเป็นถนนแห่งการจับจ่ายของคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ “สีลม” ในพ.ศ. นี้ไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ตำรวจ ทหาร เสริมกำลังเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่ง แต่สถานการณ์กลับไม่ได้คลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มอยู่ในอาการโกรธแค้น โดยเฉพาะฝั่งคนสีลม ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมระดม ขวด หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดงในฝั่งตรงข้าม ทำให้ตำรวจทหารได้เจอลูกหลงบาดเจ็บหลายคน ทันทีที่เหตุ
ระเบิดเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผบ. เหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้องเรียกประชุมศอฉ. ทันที เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ แม้จะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่สามารถระงับยับยั้งเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ขณะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ออกมาชี้แจงผ่านทีวีพูล โดยยืนยันว่า...วิถีกระสุนเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดง พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยห่าง 400 เมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การแถลงของนายสุ
เทพ กลับสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดง ที่เหมือนเป็นการโยนความผิดให้คนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน งานนี้นายสุเทพจึง “ผิดคิว” ที่ออกมาโยนความผิดให้คนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่รัฐบาลมีไว้ในมือไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ กลายเป็นกฎหมายที่เอาไว้ขู่ม็อบเท่านั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
"เสธ.แดง"ฟันธงรบ.ส่ง"คนชุดดำ"ยิงเอ็ม79ถล่มสีลม บอกกองกำลังนิรนามเคยช่วยแดงกลับบ้านหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก(ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นิตยสารไทม์ระบุว่า พล.ต.ขัตติยะ อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดเอ็ม 79 ที่ศาลาแดง เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาว่า ขอฟันธงว่าเหตุระเบิดที่ศาลาแดง เป็นฝีมือของคนชุดดำผู้ก่อการร้ายตัวจริงที่ยิงอาวุธมาจากตึกสูงใส่รถฟ้าบีทีเอส และกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งไม่ใช่คนของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เป็นคนที่รัฐบาลส่งมาสร้างเหตุการณ์รุนแรง เพื่อหาข้ออ้างขอความชอบธรรมบีบให้ทหารออกมาปราบประชาชนอีก
เพราะขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และทหารถอดใจแล้ว และถอนกำลังทหารกลับ เพราะไม่อยากออกมารบกับประชาชนคนไทยอีก นอกจากนี้ รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก่อความรุนแรง เพื่อบีบศาลแพ่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองไม่ให้สลายชุมนุมรุนแรง
เมื่อถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายยิงเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดงพล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า อยากถามนายสุเทพรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนทำ รู้ได้อย่างไรว่ายิงมาจากหลังพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 และเป็นลูกระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่เหตุระเบิดเพิ่งเกิด และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์หลักฐาน หรือมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลย นายสุเทพกลับมาฟันธงว่า เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพราะเขากลับบ้านกันหมดแล้ว หลังจากที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงจากการที่ทหารออกมารังแกประชาชน เพราะเขาจะออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงหากถูกทหารมารังแกเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
เพราะขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และทหารถอดใจแล้ว และถอนกำลังทหารกลับ เพราะไม่อยากออกมารบกับประชาชนคนไทยอีก นอกจากนี้ รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก่อความรุนแรง เพื่อบีบศาลแพ่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองไม่ให้สลายชุมนุมรุนแรง
เมื่อถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายยิงเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดงพล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า อยากถามนายสุเทพรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนทำ รู้ได้อย่างไรว่ายิงมาจากหลังพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 และเป็นลูกระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่เหตุระเบิดเพิ่งเกิด และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์หลักฐาน หรือมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลย นายสุเทพกลับมาฟันธงว่า เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพราะเขากลับบ้านกันหมดแล้ว หลังจากที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงจากการที่ทหารออกมารังแกประชาชน เพราะเขาจะออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงหากถูกทหารมารังแกเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
"อนุพงษ์"ย้ำ"ผบ.หน่วย"ไม่ใช้กำลังสลายแดง
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกว่า ผบ.ทบ.ได้กล่าวถึงภารกิจการดูแลอธิปไตยตามแนวชายแดนโดยให้กองกำลังชายแดนของกองทัพบกในทุกกองทัพภาคดูแลความมั่นคงตามแนวชายแดนให้เรียบร้อย อย่างไรก็ดามได้กำชับให้ทุกกองทัพภาคหลีกเลี่ยงและระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การไม่เข้าใจซึ่งกันและกันกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยขอให้ผู้บังคับหน่วยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และผบ.ทบ.ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงให้ผู้บังคับหน่วยได้รับทราบถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการชุมนุมที่เกิดขึ้น รวมถึงพัฒนาการของการชุมนุมและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดหลักมาตรฐานสากลและไม่ใช้ความรุนแรง
“ผบ.ทบ.ย้ำว่า กองทัพบกเป็นกลไกสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างของกองทัพจะยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ การสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะถือว่า ทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน การใช้ความรุนแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป โดยผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงให้กำลังพลและครอบครัวเข้าใจถึงสถานการณ์ และการปฏิบัติงานด้วยความยากลำบากของเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งให้ทุกทุกกองทัพภาคสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ให้รับทราบพัฒนาการของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันกับ ประชาชนว่า การใช้ความรุนแรงไม่สามารถทำให้ปัญหาจบลง ขอให้มั่นใจในการดำเนินการของกองทัพว่า ทุกสิ่งที่กองทัพปฏิบัติยึดถือผลประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นหลักเท่านั้น”รองโฆษกกองทัพบก กล่าว
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.พูดถึงการสลายการชุมนุมหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก่อนที่จะพูดถึงจุดนั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมรวมถึงการทำงานของทหารในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ และป้องกันไม่ให้ประชาชนทำร้ายซึ่งกันและกัน เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตรฐานในการทำงานแม้จะต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดันยังคงมีมาตรฐานในการทำงานเหมือนเดิม
ที่มา.เนชั่น
************************************************
“ผบ.ทบ.ย้ำว่า กองทัพบกเป็นกลไกสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างของกองทัพจะยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ การสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะถือว่า ทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน การใช้ความรุนแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป โดยผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงให้กำลังพลและครอบครัวเข้าใจถึงสถานการณ์ และการปฏิบัติงานด้วยความยากลำบากของเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งให้ทุกทุกกองทัพภาคสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ให้รับทราบพัฒนาการของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันกับ ประชาชนว่า การใช้ความรุนแรงไม่สามารถทำให้ปัญหาจบลง ขอให้มั่นใจในการดำเนินการของกองทัพว่า ทุกสิ่งที่กองทัพปฏิบัติยึดถือผลประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นหลักเท่านั้น”รองโฆษกกองทัพบก กล่าว
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.พูดถึงการสลายการชุมนุมหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก่อนที่จะพูดถึงจุดนั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมรวมถึงการทำงานของทหารในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ และป้องกันไม่ให้ประชาชนทำร้ายซึ่งกันและกัน เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตรฐานในการทำงานแม้จะต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดันยังคงมีมาตรฐานในการทำงานเหมือนเดิม
ที่มา.เนชั่น
************************************************
ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้
สมหญิง อาชาวานิชสกุล
ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน “ตาสว่าง” ในหลายๆ เรื่อง
1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?
ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม – เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป “ขอคืนพื้นที่” แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง
2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?
“ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้” ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
3. สังคมไทย เป็นสังคม “สองมาตรฐาน” ?
ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่
4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?
สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ “ความเป็นไพร่” “ความเป็นอำมาตย์” หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ
ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า “เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม” บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป
5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?
เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.
“สัจธรรม” นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว “ขอโทษ” สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เข้าให้อีก
ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว
แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก “ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้” อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้
บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น
ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้”
ที่มา.ประชาไท
***********************************************
ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน “ตาสว่าง” ในหลายๆ เรื่อง
1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?
ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม – เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป “ขอคืนพื้นที่” แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง
2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?
“ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้” ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
3. สังคมไทย เป็นสังคม “สองมาตรฐาน” ?
ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่
4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?
สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ “ความเป็นไพร่” “ความเป็นอำมาตย์” หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ
ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า “เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม” บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป
5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?
เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.
“สัจธรรม” นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว “ขอโทษ” สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เข้าให้อีก
ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว
แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก “ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้” อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้
บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น
ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้”
ที่มา.ประชาไท
***********************************************
ฤาเราต่างสะสมความความพ่ายแพ้?
20 (+5) ศพ เป็น "ราคา" ที่ "แพงเกินไป" ที่จ่ายไปแล้ว กับสิ่งที่อาจจะได้มา คือยุบสภา หรือแม้แต่อภิสิทธิ์ออก (อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้) การที่ยังชุมนุมเสี่ยงชีวิตต่อไปอีกนี่เพื่ออะไรนะครับ? "ขาดทุน" ด้วยชีวิตคนเพิ่มมากขึ้นไปอีก?
และคำถามทิ้งท้ายในกระทู้เดียวกันนี้ของอาจารย์สมศักดิ์ คือ
ใครที่คิดว่า ถ้าชุมนุมต่อ แล้วบีบให้ยุบสภา หรือแม้แต่ให้อภิสิทธิ์ออกได้ จะทำให้ถือได้ว่า การชุมนุมนี้เป็น "ชัยชนะ" ลองให้เหตุผลให้ผมดูหน่อยเถอะว่า การยุบสภา (และอภิสิทธิ์อาจจะออก) นี่มันมีคุณค่าสูงกว่า 20(+5) ชีวิตที่เสียไปอย่างไร? (ถามโดยยังไม่ต้องรวมถึงชีวิตที่อาจจะเสียไปอีกด้วยซ้ำ)
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์ ASTV ว่า
“ถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง ใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงซึ่งมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในนั้น ผมรับรองว่าคนหมื่นสองหมื่นทหารสามารถสลายเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง”
หากการสูญเสียชีวิต 25 ศพ (และอาจจะ +…) คือ ความพ่ายแพ้ของฝ่ายเสื้อแดงและเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาลด้วย การเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กองกำลังทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ราชประสงค์ ของพันธมิตรฯ เสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี คนสีลม ฯลฯ ก็คือการเร่งความพ่ายแพ้ให้มากขึ้นๆ จนไม่กล้าจินตนาการ
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นแล้ว (25 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพัน) หรือความพ่ายแพ้เกินจินตนาการที่อาจเกิดตามมา คือผลพวงของความพ่ายแพ้ของสังคมไทยที่สั่งสมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เช่น
1. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจตามจารีตเก่า ที่ไม่ยอมเรียนรู้และปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก ชนชั้นนำกลุ่มนี้ประกอบด้วยคนชั้นสูง อำมาตย์ ทหาร เครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนเก่า สื่อ และนักวิชาการสายอนุรักษ์นิยม
พวกเขายังยึดมั่นในจินตนาการ “ความเป็นไทย” ภายใต้ความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งมีลักษณะ “รวมศูนย์” ของอำนาจ อุดมการณ์ ความเชื่อ ความจงรักภักดี ไม่ยอมรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่มีจินตนาการความเป็นไทย ที่เปลี่ยนไปว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นสังคมประชาธิปไตย” ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นธรรมมากขึ้น แก่ “ทุกคน” ที่เป็น “ประชาชน” ของประเทศเหมือนๆ กัน
หรือความเป็นไทยที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของอุดมการณ์ อำนาจ ฉันทานุมัติในประเด็นสาธารณะต่างๆ อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำ กำกับ ยัดเยียด เบี่ยงเบน โดยอำนาจอื่นใดที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
แต่บรรดาชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจเก่าไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เพราะกลัวการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยมี พวกเขาจึงพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า ความคิดที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องอันตราย และพร้อมที่จะใช้กองกำลังทหาร (ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน) จัดการกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้สังคมเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำนาจครอบงำกำกับของพวกเขา
ซึ่งในที่สุดแล้ว ความพยายามของชนชั้นนำกลุ่มนี้จะเร่งให้พวกเขาพ่ายแพ้เร็วขึ้น และเป็นความพ่ายแพ้บนความแตกแยกของคนในชาติ แต่ในระยะยาวคนในชาติจะตาสว่าง เข้มแข็งขึ้น และพวกเขาจะไม่มีวันชนะเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะความรุ่งเรืองในอดีตย่อมคู่ควรกับอดีต ไม่อาจคู่ควรกับอนาคตที่มนุษย์ศรัทธาต่อเสรีภาพและความเสมอภาคเหนืออื่นใด
2. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำกลุ่มทุนใหม่ ที่แม้พวกนี้จะอยู่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก้าวหน้า ทุ่มทุนสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่พวกเขายังยึดติดอยู่ในอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ต้องการชัยชนะเฉพาะหน้าทางการเมืองมากเกินไป ตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าในเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและโครงสร้างสังคมที่เป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการปกป้อง “ชีวิต” ของประชาชนน้อยไป จึงไม่ได้มุ่งสร้างกระบวนการต่อสู้เพื่อ “ชัยชนะทางความคิด” อย่างแท้จริง
พวกเขาจึงเอาแต่เร่งเกมไปสู่ความสูญเสียและพ่ายแพ้ แต่ถึงเขาชนะทางการเมือง ทำให้เกิดการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ได้เสียงส่วนใหญ่ตั้งรัฐบาล หากเขายังตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าของประชาชน เขาก็จะพ่ายแพ้แม้ต่อประชาชนที่เคยสนับสนุน
3. ความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคม หรือความพ่ายแพ้ของทุกสถาบันในสังคมที่มีจุดยืนและบทบาทผิดเพี้ยนไปจากหลักการ อุดมการณ์ และครรลองประชาธิปไตย ทำให้สถาบันเหล่านั้นลดความน่าเชื่อถือในสังคมลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พูดอะไรไม่มีใครฟัง เพราะเข้าตัวเอง เอียงไปตามอคติ มีมีพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างที่ใครๆก็รู้ทัน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคโลกาภิวัตน์ บวกกับการที่คนรุ่นใหม่มีความคิดเป็นอิสระจากการชี้นำของความคิดแนวจารีตนิยมมากขึ้น
ฉะนั้น ทุกสถาบันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกษัตริย์ ศาสนา กองทัพ มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สื่อมวลชนล้วนแต่ถูกตั้งคำถามจากสังคมทั้งสิ้น สถาบันเหล่านี้ไม่อาจชี้นำ “ความถูกต้อง” ให้ประชาชน “เชื่อถือร่วมกัน” ได้อีกต่อไป เพราะล้วนแต่ตามไม่ทัน มีท่าทีกลัว กีดกัน ขัดขวางความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่สามารถตอบสนอง “อย่างสร้างสรรค์” (เช่น เปิดใจกว้าง เปิดพื้นที่ให้ความคิดฝ่ายก้าวหน้าได้แสดงต่อสาธารณะ และหรือร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างฉันมิตร ฯลฯ) ต่อความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีความเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งที่คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างของสังคมตื่นตัว และเดินนำไปก่อนแล้ว
(เช่น ความคิดของคนอย่าง “ยายไฮ ขันจันทา” เป็นความคิดที่ก้าวหน้ากว่าศาสตราจารย์บางคนของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ เพียงแต่พวกเขามี “พื้นที่สื่อ” อธิบายความคิดของตนเองน้อยเกินไปเท่านั้นเอง)
การสั่งสมความพ่ายแพ้ โดยการกีดกัน ขจัดความความคิดที่ก้าวหน้า ด้วยการปิดสื่อ การเร่งเกมไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสีย จึงเป็นบทบาทเก่าๆ ของ “ชนชั้นนำ” กลุ่มเดิมๆ และกลุ่มใหม่ (ที่แตกออกมาจากกลุ่มเดิม) บวกกับการสนับสนุนอย่างมืดบอดของนักวิชาการ สื่อ และคนมีการศึกษาในสังคมเมือง นี่คือสภาพความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคมไทย!
เหยื่อของความพ่ายแพ้ คือ คนชั้นกลางระดับล่าง คนชนบทที่เรียกร้องความเป็นธรรม และพวกเขาจำเป็นต้องได้รับความเป็นธรรม ความเสมอภาคในความเป็นคน จากการต่อสู้เพื่อให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
และคำถามทิ้งท้ายในกระทู้เดียวกันนี้ของอาจารย์สมศักดิ์ คือ
ใครที่คิดว่า ถ้าชุมนุมต่อ แล้วบีบให้ยุบสภา หรือแม้แต่ให้อภิสิทธิ์ออกได้ จะทำให้ถือได้ว่า การชุมนุมนี้เป็น "ชัยชนะ" ลองให้เหตุผลให้ผมดูหน่อยเถอะว่า การยุบสภา (และอภิสิทธิ์อาจจะออก) นี่มันมีคุณค่าสูงกว่า 20(+5) ชีวิตที่เสียไปอย่างไร? (ถามโดยยังไม่ต้องรวมถึงชีวิตที่อาจจะเสียไปอีกด้วยซ้ำ)
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์ ASTV ว่า
“ถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง ใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงซึ่งมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในนั้น ผมรับรองว่าคนหมื่นสองหมื่นทหารสามารถสลายเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง”
หากการสูญเสียชีวิต 25 ศพ (และอาจจะ +…) คือ ความพ่ายแพ้ของฝ่ายเสื้อแดงและเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาลด้วย การเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กองกำลังทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ราชประสงค์ ของพันธมิตรฯ เสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี คนสีลม ฯลฯ ก็คือการเร่งความพ่ายแพ้ให้มากขึ้นๆ จนไม่กล้าจินตนาการ
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นแล้ว (25 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพัน) หรือความพ่ายแพ้เกินจินตนาการที่อาจเกิดตามมา คือผลพวงของความพ่ายแพ้ของสังคมไทยที่สั่งสมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เช่น
1. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจตามจารีตเก่า ที่ไม่ยอมเรียนรู้และปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก ชนชั้นนำกลุ่มนี้ประกอบด้วยคนชั้นสูง อำมาตย์ ทหาร เครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนเก่า สื่อ และนักวิชาการสายอนุรักษ์นิยม
พวกเขายังยึดมั่นในจินตนาการ “ความเป็นไทย” ภายใต้ความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งมีลักษณะ “รวมศูนย์” ของอำนาจ อุดมการณ์ ความเชื่อ ความจงรักภักดี ไม่ยอมรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่มีจินตนาการความเป็นไทย ที่เปลี่ยนไปว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นสังคมประชาธิปไตย” ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นธรรมมากขึ้น แก่ “ทุกคน” ที่เป็น “ประชาชน” ของประเทศเหมือนๆ กัน
หรือความเป็นไทยที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของอุดมการณ์ อำนาจ ฉันทานุมัติในประเด็นสาธารณะต่างๆ อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำ กำกับ ยัดเยียด เบี่ยงเบน โดยอำนาจอื่นใดที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
แต่บรรดาชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจเก่าไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เพราะกลัวการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยมี พวกเขาจึงพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า ความคิดที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องอันตราย และพร้อมที่จะใช้กองกำลังทหาร (ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน) จัดการกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้สังคมเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำนาจครอบงำกำกับของพวกเขา
ซึ่งในที่สุดแล้ว ความพยายามของชนชั้นนำกลุ่มนี้จะเร่งให้พวกเขาพ่ายแพ้เร็วขึ้น และเป็นความพ่ายแพ้บนความแตกแยกของคนในชาติ แต่ในระยะยาวคนในชาติจะตาสว่าง เข้มแข็งขึ้น และพวกเขาจะไม่มีวันชนะเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะความรุ่งเรืองในอดีตย่อมคู่ควรกับอดีต ไม่อาจคู่ควรกับอนาคตที่มนุษย์ศรัทธาต่อเสรีภาพและความเสมอภาคเหนืออื่นใด
2. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำกลุ่มทุนใหม่ ที่แม้พวกนี้จะอยู่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก้าวหน้า ทุ่มทุนสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่พวกเขายังยึดติดอยู่ในอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ต้องการชัยชนะเฉพาะหน้าทางการเมืองมากเกินไป ตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าในเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและโครงสร้างสังคมที่เป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการปกป้อง “ชีวิต” ของประชาชนน้อยไป จึงไม่ได้มุ่งสร้างกระบวนการต่อสู้เพื่อ “ชัยชนะทางความคิด” อย่างแท้จริง
พวกเขาจึงเอาแต่เร่งเกมไปสู่ความสูญเสียและพ่ายแพ้ แต่ถึงเขาชนะทางการเมือง ทำให้เกิดการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ได้เสียงส่วนใหญ่ตั้งรัฐบาล หากเขายังตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าของประชาชน เขาก็จะพ่ายแพ้แม้ต่อประชาชนที่เคยสนับสนุน
3. ความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคม หรือความพ่ายแพ้ของทุกสถาบันในสังคมที่มีจุดยืนและบทบาทผิดเพี้ยนไปจากหลักการ อุดมการณ์ และครรลองประชาธิปไตย ทำให้สถาบันเหล่านั้นลดความน่าเชื่อถือในสังคมลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พูดอะไรไม่มีใครฟัง เพราะเข้าตัวเอง เอียงไปตามอคติ มีมีพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างที่ใครๆก็รู้ทัน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคโลกาภิวัตน์ บวกกับการที่คนรุ่นใหม่มีความคิดเป็นอิสระจากการชี้นำของความคิดแนวจารีตนิยมมากขึ้น
ฉะนั้น ทุกสถาบันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกษัตริย์ ศาสนา กองทัพ มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สื่อมวลชนล้วนแต่ถูกตั้งคำถามจากสังคมทั้งสิ้น สถาบันเหล่านี้ไม่อาจชี้นำ “ความถูกต้อง” ให้ประชาชน “เชื่อถือร่วมกัน” ได้อีกต่อไป เพราะล้วนแต่ตามไม่ทัน มีท่าทีกลัว กีดกัน ขัดขวางความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่สามารถตอบสนอง “อย่างสร้างสรรค์” (เช่น เปิดใจกว้าง เปิดพื้นที่ให้ความคิดฝ่ายก้าวหน้าได้แสดงต่อสาธารณะ และหรือร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างฉันมิตร ฯลฯ) ต่อความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีความเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งที่คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างของสังคมตื่นตัว และเดินนำไปก่อนแล้ว
(เช่น ความคิดของคนอย่าง “ยายไฮ ขันจันทา” เป็นความคิดที่ก้าวหน้ากว่าศาสตราจารย์บางคนของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ เพียงแต่พวกเขามี “พื้นที่สื่อ” อธิบายความคิดของตนเองน้อยเกินไปเท่านั้นเอง)
การสั่งสมความพ่ายแพ้ โดยการกีดกัน ขจัดความความคิดที่ก้าวหน้า ด้วยการปิดสื่อ การเร่งเกมไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสีย จึงเป็นบทบาทเก่าๆ ของ “ชนชั้นนำ” กลุ่มเดิมๆ และกลุ่มใหม่ (ที่แตกออกมาจากกลุ่มเดิม) บวกกับการสนับสนุนอย่างมืดบอดของนักวิชาการ สื่อ และคนมีการศึกษาในสังคมเมือง นี่คือสภาพความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคมไทย!
เหยื่อของความพ่ายแพ้ คือ คนชั้นกลางระดับล่าง คนชนบทที่เรียกร้องความเป็นธรรม และพวกเขาจำเป็นต้องได้รับความเป็นธรรม ความเสมอภาคในความเป็นคน จากการต่อสู้เพื่อให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
แกนนำเสื้อแดงตรังยันชุมนุมไม่มีท่อน้ำเลี้ยง
นายสมาน ลิประพันธ์ อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง เขตอำเภอกันตัง ในฐานะแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จ.ตรัง กล่าวว่า ตนเองได้พาประชาชนชาวตรัง ประมาณ 50-60 คน เดินทางขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ ส่วนใหญ่เป็นชาวอำเภอกันตัง นาโยง ย่านตาขาว และเมือง โดยมีลักษณะการเดินทางของกลุ่มคนเสื้อแดง ไปกันเป็นแบบต่างคนต่างมา แล้วนัดเจอกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่เหมือนกับการเดินทางขึ้นไปชุมนุมในช่วงแรก ที่นัดกันไปโดยการเหมารถไปพร้อมๆ กัน โดยมีเป้าหมายที่จะอยู่ร่วมชุมนุมกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะ นอกจากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง ก็ยังมีการเตรียมการปรับเปลี่ยนกำลังขึ้นไปรวมตัวกันที่แยกราชประสงค์
ทั้งนี้ ก่อนที่ตนเองจะเดินทางขึ้นไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้เชิญไปพบ ร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ อีก 2-3 คน เช่น นายรัตน์ ภู่กลาง อดีต ส.จ.เขตอำเภอเมืองตรัง ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรามแกนนำเพื่อไม่ให้นำสมาชิกขึ้นไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการกระทำเหมือนกันทุกจังหวัด โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามนโยบาย โดยไม่ได้มีการคุกคามอะไร เพียงแต่ไปพูดคุยกันธรรมดา ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรังไม่มีผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของขั้วทางการเมือง ไม่ได้รับการข่มขู่จากอีกฝ่าย และไม่มีการสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นมาร่วมในการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง หรือในภาคใต้ มีท่อน้ำเลี้ยงนั้น ขอยืนยันได้ว่าพวกตนขึ้นมาชุมนุมด้วยหัวใจอันแน่วแน่ของอุดมการณ์ และมาด้วยทุนทรัพย์ของตนเองทั้งสิ้น แม้ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ถ้าทหารมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับกลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ เนื่องจากกลุ่มคนภาคใต้ส่วนใหญ่จะรวมตัวอยู่หน้าเวที
ที่มา.เนชั่น
************************************************
ทั้งนี้ ก่อนที่ตนเองจะเดินทางขึ้นไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้เชิญไปพบ ร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ อีก 2-3 คน เช่น นายรัตน์ ภู่กลาง อดีต ส.จ.เขตอำเภอเมืองตรัง ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรามแกนนำเพื่อไม่ให้นำสมาชิกขึ้นไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการกระทำเหมือนกันทุกจังหวัด โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามนโยบาย โดยไม่ได้มีการคุกคามอะไร เพียงแต่ไปพูดคุยกันธรรมดา ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรังไม่มีผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของขั้วทางการเมือง ไม่ได้รับการข่มขู่จากอีกฝ่าย และไม่มีการสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นมาร่วมในการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง หรือในภาคใต้ มีท่อน้ำเลี้ยงนั้น ขอยืนยันได้ว่าพวกตนขึ้นมาชุมนุมด้วยหัวใจอันแน่วแน่ของอุดมการณ์ และมาด้วยทุนทรัพย์ของตนเองทั้งสิ้น แม้ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ถ้าทหารมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับกลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ เนื่องจากกลุ่มคนภาคใต้ส่วนใหญ่จะรวมตัวอยู่หน้าเวที
ที่มา.เนชั่น
************************************************
จาก รวันดา ถึง สีลม
800,000 คน คือจำนวนประมาณของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ประเทศรวันดา
แบ่งเป็น 750,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าทุตซีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
และ 50,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าฮูตูที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ปัจจุบัน ชาวรวันดาเกือบหนึ่งล้านยังต้องขึ้นศาล เนื่องจากมีส่วนพัวพันในเหตุการณ์ดังกล่าว อีกเกือบหนึ่งล้านยังต้องอยู่ในคุก และอาจต้องเสียชีวิตก่อนได้รับการตัดสิน
ทุกวันนี้ ประเทศรวันดาถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ประชากรของประเทศกระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ ที่เปิดรับ
พิจารณาดูแล้วน่าแปลกใจที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 หรือตรงกับ พ.ศ. 2537
ย้อนกลับไปดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลังสงครามโลก ประเทศรวันดาประกอบด้วยชนเผ่าฮูตูผู้เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีจำนวนมากกว่าชนเผ่าทุตซีที่ส่วนมากเป็นผู้อพยพจากเอธิโอเปีย โดยประเทศรวันดาได้ตกเป็นของอาณานิคมของเบลเยียม แต่แทนที่เบลเยี่ยมจะให้ความสำคัญกับชนเผ่าพื้นเมือง ก็กลับให้อำนาจทางการเมืองและสังคมแก่ชาวเผ่าทุตซี
แล้วชาวทุตซีก็เถลิงอำนาจนั้นด้วยการกดขี่ข่มเหงชาวฮูตู ทำให้ชาวฮูตูซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมต้องมีสถานะไม่ต่างจากพลเมืองชั้น 2 ต้องพบกับความยากลำบากในเงื่อนไขการปกครองของชาวทุตซี
ในที่สุดการปฏิวัติก็มาถึง ชนเผ่าฮูตูลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของเบลเยียมและชนเผ่าทุตซี ที่สำคัญเหตุการณ์ปฏิวัตนั้นจบลงด้วยชัยชนะของชนเผ่าฮูตู ส่วนชาวทุตซีจำนวนมากได้หนีไปอยู่ประเทศยูกันดา ซึ่งมีพรมแดนติดกับทิศเหนือของรวันดา พร้อมกับได้ตั้งกลุ่มกองกำลังแนวหน้ารักชาติรวันดา (RPF) เพื่อต่อต้านอำนาจชนเผ่าฮูตู
ส่วนสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น เกิดจากที่ประธานาธิบดี จูเวนัล ฮับยาริมานาของรัฐบาลฮูตู ได้เลือกเจรจาสันติภาพกับชาวรวันดาเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างเผ่า แต่ทางเลือกของประธานาธิบดีสร้างความไม่พอใจในคณะรัฐบาลหลายคน หลังการเซ็นสัญญาสงบศึกเสร็จสิ้นลง จรวดมิซไซล์ลึกลับได้พุ่งตรงไปยังเครื่องบินของประธานาธิบดี ปลิดชีวิตของผู้นำรวันดา รวมถึงอนาคตของประเทศนี้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต สื่อของรัฐก็ทำหน้าที่ทำลายล้างอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำลังทหารซึ่งเป็นชาวเผ่าฮูตูที่ออกไล่ล่าสังหารชาวทุตซีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทั้งชายและหญิง นำมาซึ่งวาทกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนิดที่วาทกรรมชุดเดียวกันที่ฮิตเลอร์สร้างไว้ยังมิอาจเทียบได้
ไม่เพียงแต่ชาวทุตซีเท่านั้น แต่ชาวฮูตูผู้รักสันติภาพก็ถูกกวาดล้าง จะพบว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และใช้พลังความเกลียดผลักดัน ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าไม่เหมือน คุณตาย"
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ภายหลัง 3 เดือนของกลียุคแห่งรวันดา กลุ่ม RPF ภายใต้การนำของ พอล คากาเม ได้บุกเข้ายึดกรุงคิกาลี และยึดอำนาจจากรัฐบาลฮูตู จนชาวฮูตูราว 2 ล้านคนต้องอพยพไปอยู่ประเทศคองโก
โดยในช่วงเวลานั้น มีชาวทุตซีเหลืออยู่ราว 130,000 คน แต่ความรุนแรงกลับมิได้ยุติลง เมื่อชาวทุตซีในนาม RPF ก็ไล่สังหารชาวฮูตูเพื่อเป็นการแก้แค้น นอกจากนั้นชาวทุตซีบางส่วนก็อพยพไปยังคองโกด้วย โดยผู้อพยพก็ยังถูกสังหารจากทหารคองโกอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าวดำเนินสืบเนื่องยาวนานถึง 3 เดือน โดยปราศจากร่างเงาจากสหประชาชาติ เบลเยี่ยม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพทั้งที่มีข่าวออกมาก่อนเป็นเวลานานพอสมควรว่ามีชาวฮูตูจำนวนมากเริ่มสะสมอาวุธ แต่สหประชาชาติกลับเพิกเฉยต่อข่าวกรองนี้
พลันทำให้นึกไปถึงว่า ช่วงปีดังกล่าวเป็นช่วงหลังสงครามเย็น อาวุธ ′มือสอง′ ซึ่งมีการพูดถึงว่า เป็นสินค้าที่ถูกขายทอดถ่ายโอนมายังประเทศโลกที่สามเหล่านี้
ถามว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ก็เพราะประเทศโลกที่สามเหล่านี้สามารถผลิตอาวุธจำนวนมากได้ที่ไหนกัน สังคมประเทศเหล่านี้คือสังคมเกษตรกรรม
ไม่แน่ว่าประเทศสำคัญๆ ในสหประชาชาติเองนั่นแหละที่สนับสนุนอาวุธให้กับชนเผ่าฮูตู
ณ กาลปัจจุบัน ความเกลียดชังเหล่านั้นยังคงคุกรุ่น เพียงแต่ถูกกลบด้วยขี้เถ้าจากกองกำลังทหารของแคนาดา แต่ลึกลงไปในจิตใจของชาวรวันดา
ที่ชาวทุตซีหลายคนยังมีความเชื่อว่าการจะอยู่รอดก็คือต้องปราบปรามชาวฮูตู ส่วนชาวฮูตูก็เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการต้องตกเป็นจำเลยของเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยไม่มีใครสนใจความยากแค้นของเขาในสมัยที่รัฐบาลทุตซีปกครองประเทศเลย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นและจบลงในปี 1994 ปีที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบกับแสงสว่างแห่งสันติภาพ และการได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่รวันดากลับก้าวสู่ห้วงรัตติกาล
ที่ทุกวันนี้ได้เป็น ′อุทาหรณ์′ ฝากไว้ให้โลกได้ขบคิด
แต่น่าเสียดาย ที่บางประเทศไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
แบ่งเป็น 750,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าทุตซีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
และ 50,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าฮูตูที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ปัจจุบัน ชาวรวันดาเกือบหนึ่งล้านยังต้องขึ้นศาล เนื่องจากมีส่วนพัวพันในเหตุการณ์ดังกล่าว อีกเกือบหนึ่งล้านยังต้องอยู่ในคุก และอาจต้องเสียชีวิตก่อนได้รับการตัดสิน
ทุกวันนี้ ประเทศรวันดาถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ประชากรของประเทศกระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ ที่เปิดรับ
พิจารณาดูแล้วน่าแปลกใจที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 หรือตรงกับ พ.ศ. 2537
ย้อนกลับไปดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลังสงครามโลก ประเทศรวันดาประกอบด้วยชนเผ่าฮูตูผู้เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีจำนวนมากกว่าชนเผ่าทุตซีที่ส่วนมากเป็นผู้อพยพจากเอธิโอเปีย โดยประเทศรวันดาได้ตกเป็นของอาณานิคมของเบลเยียม แต่แทนที่เบลเยี่ยมจะให้ความสำคัญกับชนเผ่าพื้นเมือง ก็กลับให้อำนาจทางการเมืองและสังคมแก่ชาวเผ่าทุตซี
แล้วชาวทุตซีก็เถลิงอำนาจนั้นด้วยการกดขี่ข่มเหงชาวฮูตู ทำให้ชาวฮูตูซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมต้องมีสถานะไม่ต่างจากพลเมืองชั้น 2 ต้องพบกับความยากลำบากในเงื่อนไขการปกครองของชาวทุตซี
ในที่สุดการปฏิวัติก็มาถึง ชนเผ่าฮูตูลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของเบลเยียมและชนเผ่าทุตซี ที่สำคัญเหตุการณ์ปฏิวัตนั้นจบลงด้วยชัยชนะของชนเผ่าฮูตู ส่วนชาวทุตซีจำนวนมากได้หนีไปอยู่ประเทศยูกันดา ซึ่งมีพรมแดนติดกับทิศเหนือของรวันดา พร้อมกับได้ตั้งกลุ่มกองกำลังแนวหน้ารักชาติรวันดา (RPF) เพื่อต่อต้านอำนาจชนเผ่าฮูตู
ส่วนสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น เกิดจากที่ประธานาธิบดี จูเวนัล ฮับยาริมานาของรัฐบาลฮูตู ได้เลือกเจรจาสันติภาพกับชาวรวันดาเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างเผ่า แต่ทางเลือกของประธานาธิบดีสร้างความไม่พอใจในคณะรัฐบาลหลายคน หลังการเซ็นสัญญาสงบศึกเสร็จสิ้นลง จรวดมิซไซล์ลึกลับได้พุ่งตรงไปยังเครื่องบินของประธานาธิบดี ปลิดชีวิตของผู้นำรวันดา รวมถึงอนาคตของประเทศนี้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต สื่อของรัฐก็ทำหน้าที่ทำลายล้างอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำลังทหารซึ่งเป็นชาวเผ่าฮูตูที่ออกไล่ล่าสังหารชาวทุตซีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทั้งชายและหญิง นำมาซึ่งวาทกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนิดที่วาทกรรมชุดเดียวกันที่ฮิตเลอร์สร้างไว้ยังมิอาจเทียบได้
ไม่เพียงแต่ชาวทุตซีเท่านั้น แต่ชาวฮูตูผู้รักสันติภาพก็ถูกกวาดล้าง จะพบว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และใช้พลังความเกลียดผลักดัน ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าไม่เหมือน คุณตาย"
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ภายหลัง 3 เดือนของกลียุคแห่งรวันดา กลุ่ม RPF ภายใต้การนำของ พอล คากาเม ได้บุกเข้ายึดกรุงคิกาลี และยึดอำนาจจากรัฐบาลฮูตู จนชาวฮูตูราว 2 ล้านคนต้องอพยพไปอยู่ประเทศคองโก
โดยในช่วงเวลานั้น มีชาวทุตซีเหลืออยู่ราว 130,000 คน แต่ความรุนแรงกลับมิได้ยุติลง เมื่อชาวทุตซีในนาม RPF ก็ไล่สังหารชาวฮูตูเพื่อเป็นการแก้แค้น นอกจากนั้นชาวทุตซีบางส่วนก็อพยพไปยังคองโกด้วย โดยผู้อพยพก็ยังถูกสังหารจากทหารคองโกอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าวดำเนินสืบเนื่องยาวนานถึง 3 เดือน โดยปราศจากร่างเงาจากสหประชาชาติ เบลเยี่ยม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพทั้งที่มีข่าวออกมาก่อนเป็นเวลานานพอสมควรว่ามีชาวฮูตูจำนวนมากเริ่มสะสมอาวุธ แต่สหประชาชาติกลับเพิกเฉยต่อข่าวกรองนี้
พลันทำให้นึกไปถึงว่า ช่วงปีดังกล่าวเป็นช่วงหลังสงครามเย็น อาวุธ ′มือสอง′ ซึ่งมีการพูดถึงว่า เป็นสินค้าที่ถูกขายทอดถ่ายโอนมายังประเทศโลกที่สามเหล่านี้
ถามว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ก็เพราะประเทศโลกที่สามเหล่านี้สามารถผลิตอาวุธจำนวนมากได้ที่ไหนกัน สังคมประเทศเหล่านี้คือสังคมเกษตรกรรม
ไม่แน่ว่าประเทศสำคัญๆ ในสหประชาชาติเองนั่นแหละที่สนับสนุนอาวุธให้กับชนเผ่าฮูตู
ณ กาลปัจจุบัน ความเกลียดชังเหล่านั้นยังคงคุกรุ่น เพียงแต่ถูกกลบด้วยขี้เถ้าจากกองกำลังทหารของแคนาดา แต่ลึกลงไปในจิตใจของชาวรวันดา
ที่ชาวทุตซีหลายคนยังมีความเชื่อว่าการจะอยู่รอดก็คือต้องปราบปรามชาวฮูตู ส่วนชาวฮูตูก็เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการต้องตกเป็นจำเลยของเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยไม่มีใครสนใจความยากแค้นของเขาในสมัยที่รัฐบาลทุตซีปกครองประเทศเลย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นและจบลงในปี 1994 ปีที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบกับแสงสว่างแห่งสันติภาพ และการได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่รวันดากลับก้าวสู่ห้วงรัตติกาล
ที่ทุกวันนี้ได้เป็น ′อุทาหรณ์′ ฝากไว้ให้โลกได้ขบคิด
แต่น่าเสียดาย ที่บางประเทศไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
"จิ๋ว"แถลง ย้ำขอพึ่งพระบารมี
อัดรัฐบาลละเมิด พระราชวินิจฉัย "มาร์ค"หลบตอบ กระทู้สลายม็อบ
"บิ๊กจิ๋ว" ออกแถลง การณ์ "สถาบันกษัตริย์กับการเมือง" แจกแจงแนวคิดขอพึ่งพระบารมี"ในหลวง" คลี่คลายวิกฤตความขัดแย้ง อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 กำหนดพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่นอกการเมืองหรืออยู่เหนือการเมือง อัดกลับนายกฯ-รัฐบาลไม่รับผิดชอบชีวิตประชาชน แถมเตรียมจะเข่นฆ่าอีกรอบ เลยต้องพึ่งพระบารมียับยั้งวิกฤต โต้ลั่นไม่ใช่หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายตามที่ถูกป้ายสี "มาร์ค"แจ้งประธานสภาขอเลื่อนตอบกระทู้สดฝ่ายค้าน อ้างกลัวเป็นการเติมเชื้ออารมณ์ความรุนแรง เตรียมเสนอครม.ขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภา แต่ยังไม่ระบุวันเวลา ปชป.โหวตตีตก"ญัตติด่วน"เพื่อไทย "เชาวริน"นำทีมวอล์กเอาต์ "สภาล่ม"ครั้งที่ 6 ในสมัยประชุม "มาร์ค-เทือก"ยังอู้อี้เรื่องแก้รธน. บอกยังไม่มีจังหวะนัดหารือพรรคร่วม
"สุเทพ"ยังอู้อี้เรื่องแก้รธน.
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่รัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ว่า การขอเข้าเฝ้าฯ ของพล.อ.ชวลิตเป็นเรื่องไม่บังควรและไม่ควรกระทำ สิ่งที่พล.อ. ชวลิตพยายามทำนั้นกระทบต่อจิตใจคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถามถึงข่าวโทรศัพท์พูดคุยกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อแจ้งมติของพรรคประชาธิปัตย์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า ตนมีหน้าที่ประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีปัญหา ตนพบกับพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย. และตกลงร่วมกันว่าเรามีภาระหน้าที่ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อให้ประเทศชาติพ้นวิกฤตไปให้ได้ ส่วนที่จะพูดคุยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น พูดคุยกันไว้ว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนก็มีน้ำใจให้หน่อย เผื่อการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลจะได้มีโอกาสมากขึ้น แต่ไม่ได้นำมาปะปนกับเรื่องแก้ไขวิกฤตการณ์
เมื่อถามว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่าต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ว่ากันตามจังหวะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะ ส่วนที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ แนะให้แกนนำพรรคจัดลำดับความสำคัญของคดียุบพรรคมาก่อนการแก้รัฐธรรม นูญหรือยุบสภา เพราะถ้าไม่มีพรรคคงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ภายในพรรคจะมีความคิดแตกต่างกัน มาช่วยกันคิดก็ดีแล้ว
ยื้อเปิดอภิปรายร่วมรัฐสภา
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ว่า เดิมวุฒิสภากำหนดให้เปิดการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 161 วันที่ 23 เม.ย. แต่เมื่อส.ส.จะขออภิปรายด้วยดังนั้นรัฐบาลจะให้เปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 179 เพื่อให้สมาชิกทั้ง 2 สภาได้อภิปราย ทั้งนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.วันที่ 27 เม.ย.เพื่อขอมติแล้วแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบเพื่อกำหนดวันเวลาอภิปรายต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่าควรให้เหตุการณ์สงบก่อนจึงเปิดอภิปรายร่วมของรัฐสภาใช่หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า น่าจะดีกว่า หากสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว จะตอบทุกเรื่องได้ หากยังอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์และมีประเด็นเรื่องความมั่นคงก็ยากที่จะตอบคำถามสภา
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงสภาไม่ผ่านญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย. ว่า ฝ่ายค้านเสนอทางออกให้รัฐบาลชี้แจงเหตุการณ์ แต่ไม่เข้าใจที่รัฐบาลปฏิเสธ เวทีสภาน่าจะเป็นที่ปรึกษาและทางออกตามระบอบประชาธิปไตย เป็นที่พึ่งให้ส.ส.ได้ แต่เมื่อจะใช้เวทีสภากลับถูกโจมตีและไม่เปิดโอกาสให้พูด จึงต้องไปใช้เวทีของ นปช. แต่ไม่ใช่การทำงานคู่ขนานกับคนเสื้อแดง การที่ส.ส.ขึ้นเวทีต้องยอมรับผลที่ตามมาเพราะข้างนอกไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เมื่อถามว่าหากรัฐบาลไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ 10 เม.ย.จะทำอย่างไร นายวิทยากล่าวว่า แม้แต่ส.ว.ยังเรียกร้องเช่นเดียวกัน รัฐบาลคงเลี่ยงไม่ได้และขณะนี้ผู้ใหญ่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างกับนายกฯ เช่นกัน
"มาร์ค"เลื่อนตอบกระทู้สภา
เมื่อเวลา 11.40 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณากระทู้ถามสด มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยนายชัย แจ้งว่าได้รับหนังสือจากสำนักเลขาธิการนายกฯ ว่า ตามที่ประธานสภานัดประชุมสภาโดยบรรจุระเบียบกระทู้ถามสดทั้ง 3 ได้แก่ กระทู้ถามสดเรื่องการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กระทู้ถามสดเรื่องการบริหารราชการผิดพลาดในการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมจนมีเหตุให้ประชาชนเสียชีวิต ของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และกระทู้ถามสดเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ภาวะที่ผิดปกติและวิกฤตอย่างยิ่งของสังคมไทยของ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส.พรรครวมชาติพัฒนา
หนังสือดังกล่าวระบุว่า นายกฯ ได้ทราบแล้วและให้เรียนประธานสภาว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันมีเหตุฉุกเฉินร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องดูแลติดตามสถานการณ์โดยตลอด จึงมีเหตุจำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงไม่สามารถมาตอบกระทู้ถามทั้ง 3 เรื่องได้ ขอให้เลื่อนออกไปก่อน เมื่อสถานการณ์คลี่คลายจึงจะมาตอบกระทู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ นายกฯ ได้เรียนเพิ่มเติมว่ารัฐบาลจะดำเนินการให้มีการเปิดประชุมร่วมรัฐสภา ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เปิดการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่องต่อไป
ส.ส.รัฐบาลร่วมโวยด้วย
นายสุนัยกล่าวว่า หนังสือดังกล่าว นายกฯ ควรใช้เวทีสภาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น วันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรรณ พล.ต.สนั่น ขจรประ ศาสน์ รองนายกฯ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ก็มาร่วมประชุมสภา อีกทั้งสถานการณ์ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ขณะนี้มีความพยายามล้มระบบรัฐสภาเหมือนสมัย 6 ตุลาฯ จึงขอให้ตนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
"การตั้งกระทู้ถามวันนี้ ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก แต่ต้องการให้แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะในวันที่ 23 เม.ย. นี้ กลุ่มเสื้อเหลืองที่แปลงพันธุ์เป็นเสื้อหลากสี กำลังนัดชุมนุมใหญ่ และแกนนำพันธมิตรบอกว่าจะเป็นคนบุกเอง สถานการณ์แบบนี้นายกฯ จะอยู่ได้อย่างไร ทำไมไม่ใช้เวทีสภาแก้ไขปัญหา" นายสุนัย กล่าว
ด้านนายสมชัย กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาไม่ปกติ ไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะรับผิดชอบ แม้นายกฯ จะทำหน้าที่ตามกฎหมายเพราะมีการก่อการร้ายเกิดขึ้น และยังมีเหตุปะทะกันระหว่างคนสีลมและคนเสื้อแดง ฝ่ายค้านก็ยังเรียกร้องให้ยุบสภาอีก จึงไม่ใช่เวลาที่นายกฯ จะมารับผิดชอบคนเดียว เห็นหรือไม่ว่าแค่การขอพื้นที่คืนก็มีคนตาย 25 คน บาดเจ็บ 800 กว่าคน แล้วการที่นายกฯ ไม่ยอมมาหารือกับสภา แต่ไปหารือกับพวกท่านเอง แล้วเกิดอะไรขึ้นนายกฯ จะรับไหวหรือไม่ นาทีนี้เป็นนาทีที่รับฟัง ไม่ใช่มาเลื่อน หากมีคนตายอีก 200-300 คนจะทำอย่างไร
"สาทิตย์"ลุกแก้แทนนายกฯ
ส่วนนายวิชาญ กล่าวว่า ไหนนายกฯ บอกไม่เคยถอดทิ้งสภา ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. นายกฯ ก็เก็บตัวฟังแต่รายงาน ศอฉ. วันนี้ความกล้าของนายกฯ หายไปไหน เมื่อเป็นผู้นำประเทศ บอกไม่ใช้อาวุธแต่ก็เอาอาวุธเข้ามา บอกไม่ใช้กำลังก็ใช้ นายกฯ ไม่มีความชอบธรรม หากจะเลื่อนกระทู้สดออกไป แล้วประธานสภาการันตีแทนได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหรือจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ชี้แจงว่านายกฯ ดำเนินการตามข้อบังคับการประชุม โดยทำหนังสือมาแจ้งยังประธานสภา ความจริงนายกฯ มาลงนามเข้าประชุมสภาก่อน 09.00 น. แต่เนื่องจากบ้านเมืองมีสถานการณ์ฉุกเฉินหลายอย่าง จึงต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ไขปัญหา ยืนยันว่าไม่ใช่นายกฯ หนีหน้าไปไหนหรือไม่ต้องการเผชิญหน้าอย่างแน่นอน เพราะนายกฯเสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เสนอให้เปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ และสัปดาห์หน้าก็จะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมครม.
ขณะที่นายสาทิตย์ ชี้แจง นายสุนัยและนายวิชาญแย้งว่าขอทราบคำตอบว่ารัฐมนตรีจะตอบกระทู้แทนนายกฯ หรือไม่ ไม่ใช่มาชี้แจงอย่างนี้ ซึ่งนายสาทิตย์ยืนยันว่าจะไม่ตอบกระทู้แทนนายกฯ นายสมชัยได้ให้นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาคนที่ 1 ประธานที่ประชุม อ่านหนังสือคำชี้แจงของนายกฯ อีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจน จากนั้นยุติการถามกระทู้ทั้ง 3 เรื่อง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ปชป.สกัด"ญัตติด่วน"พท.
จากนั้น ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามการชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและประเทศชาติ แต่นายสามารถ แจ้งว่า อาจขัดข้อบังคับการประชุมข้อ 56 ที่บัญญัติว่า เมื่อญัตติตกไปแล้วห้ามเสนอญัตตินั้นในสมัยประชุมเดียวกัน ซึ่งเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมาส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอญัตติทำนองนี้ แต่ที่ประชุมมีมติไม่รับพิจารณาแล้ว ทำให้ส.ส.เพื่อไทยหลายคนลุกขึ้นคัดค้านอ้างว่าเป็นคนละญัตติกัน แต่นายสามารถยืนยันว่าทั้ง 2 ญัตติมีเจตนาเดียวกัน แต่จะให้ร.ต.ท.เชาวรินชี้แจงเหตุผลก่อนแล้วจะพักประชุมเพื่อตรวจสอบว่าขัดข้อบังคับหรือไม่ ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงว่า เมื่อวินิจฉัยไปแล้วต้องดำเนินการประชุมไปตามระเบียบวาระปกติ
ทั้งนี้ ระหว่าง ร.ต.ท.เชาวริน อภิปรายชี้แจง นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วง ร.ต.ท.เชาวรินจึงหันไปกล่าวว่า "ประท้วงอะไร มีใครตายหรือ" ทำให้มีการปะทะคารมกันระหว่างส.ส.สองพรรค ร.ต.ท.เชาวรินชี้แจงว่า ขณะนี้บ้านเมืองมีการเผชิญหน้าของประชาชนหลายกลุ่มรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สภาก็ไม่ค่อยมีบทบาท จึงเสนอญัตตินี้ เพื่อแก้ปัญหาสงครามกลางเมือง จากนั้นนายสามารถ สั่งพักประชุม 10 นาทีเพื่อตรวจสอบญัตติ
"เชาวริน"ลุกป้องเสื้อแดง
เมื่อเปิดประชุม นายสามารถแจ้งว่า วินิจฉัยแล้วญัตติดังกล่าวสนอได้ เพราะเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ญัตติที่นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโยธร พรรคเพื่อไทยเสนอยังไม่เข้าสู่วาระการประชุม เพียงแต่พิจารณาว่าจะบรรจุในวาระหรือไม่ จึงถือว่าญัตติยังไม่ได้พิจารณา นอกจากนี้ญัตตินี้มีสาระการป้องกันสงครามกลางเมือง จึงไม่เกี่ยว ข้องกับญัตติของนายพีรพันธุ์ ทำให้นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นเสนอญัตติให้พิจารณาตามระเบียบ วาระเดิม
ร.ต.ท.เชาวรินกล่าวว่า ญัตตินี้มีเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดวันนี้พรุ่งนี้ นปช.มาปักหลักที่ราชประสงค์ตั้งแต่ 3 เม.ย. มีคนมาชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ชุมนุมอีกกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว จึงเกรงว่าจะเหมือนเหตุการณ์เดือนตุลาฯ 2519 ที่มีการปลุกระดมให้ประชา ชนฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ก็เริ่มมีเหตุการณ์ในทำนองนี้ ซึ่งไม่ใช่ความจริง แต่แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสีก็นำคนออกมา บอกว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้จะนำคนมาแก้ปัญหาเอง จึงเกรงจะมีการปะทะกันกับนปช. รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ฉะนั้นควรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญและช่วยกันลงพื้นที่ป้องปรามความรุนแรง ตอนนี้มีการเรียกตัวส.ก.พรรคเพื่อไทย วินมอเตอร์ไซค์ ขนาดเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลพื้นที่กินส้มตำกับผู้ชุมนุมยังโดนสั่งขัง ไม่คาดหวังว่าส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเห็นด้วยแต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ในสภาแล้ว และหากเกิดอะไรขึ้นมาฝ่ายรัฐบาลต้องรับผิดชอบกันเอง
"นิพิฏฐ์"อัดมีวาระแอบแฝง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงว่า ที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้พิจารณาไปตามระเบียบวาระ ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายรัฐบาลไม่สนใจ แต่ส.ส.พรรครัฐบาลทุกคนกังวลต่อสถานการณ์ แต่การที่ส.ส.เพื่อไทยเสนอญัตติน่าจะมีวาระแอบแฝง ไม่ได้เสนออย่างบริสุทธิ์ใจ เรื่องสงครามประชาชน แกนนำคนเสื้อแดงและส.ส.หลายคนขึ้นเวทีนปช.และพูดคำนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ส.ส.ในสภากลายเป็นผู้ไปสร้างสงครามประชาชนเสียเอง ญัตตินี้จึงไม่มีประโยชน์และยิ่งซ้ำเติมวิกฤตประเทศ ถ้าสมาชิกในสภาไปมีส่วนร่วมกับสงครามข้างนอก ปล่อยให้คนทำผิดกฎหมาย หากส.ส.มีสำนึก ไม่ช่วยเหลือ ไม่เข้าร่วม ถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง และคราวนี้ที่มีการประกาศสงครามไพร่-อำมาตย์ มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขอให้ย้อนดูประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา มีกบฏไพร่มาแล้ว 3 ครั้ง แกนนำร่ำรวย มีความรู้ใช้วาทศิลป์พูดโกหกปลุกระดม แต่ไม่เคยชนะและตายทุกครั้ง
"ยืนยันอีกครั้งว่าเวทีเสื้อแดงเป็นผู้ปลุกระดมให้เกิดสงครามประชาชน ถ้าสังคมวันนี้ไม่ยอมรับความจริงก็เดินหน้าไปไม่ได้ เวทีของคนเสื้อแดงพูดว่าต้องเกิดสงครามประชาชนและเวทีแห่งนั้นมีส.ส.เพื่อไทยอยู่ด้วย" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ระหว่างนายนิพิฏฐ์อภิปรายส.ส.เพื่อไทยประท้วงเป็นระยะๆ กับคำว่าสงครามประชาชน นายนายนิพิฏฐ์จึงเลี่ยงใช้คำว่าสงครามไพร-อำมาตย์แทน
รบ.ชนะโหวต-แต่สภาล่ม
ต่อมาเป็นการลงมติ ปรากฏว่าที่ประชุมสภามีมติให้พิจารณาไปตามระเบียบวาระการประชุมเดิม ด้วยคะแนน 212 ต่อ 93 งด 1 ไม่ลงคะแนน 9 เสียง ทำให้นายสุนัยกล่าวว่า สภาใช้เสียงส่วนใหญ่ปิดปากหลายครั้งจึงไม่ขอร่วมสังฆกรรม จากนั้นได้นำส.ส.เพื่อไทยวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม พร้อมกับระบุว่าขอให้ประธานตรวจสอบองค์ประชุมด้วย เพราะไม่ครบแน่
จากนั้นพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม นำเข้าสู่วาระรับรองข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณารายงานผลการศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 ก่อนลงมติเห็นชอบกับข้อสังเกต พ.อ.อภิวันท์สั่งเสียบบัตรแสดงตนเพื่อนับองค์ประชุม ปรากฏมีสมาชิกแสดงตน 231 คน จาก 475 คน ไม่ครบองค์ประชุมกึ่งหนึ่งที่ 238 คน พ.อ.อภิวันท์จึงสั่งปิดประชุมเวลา 14.45 น. ถือเป็นครั้งที่ 6 ที่สภาล่มในสมัยประชุมนี้
ชู"อนุพงษ์"คนกลางเจรจา
นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เลขานุการวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคไม่สบายใจที่นายกฯ หลบเลี่ยงตอบกระทู้เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. พรรคอยากให้สภาเป็นเวทีหาทางออก และเห็นว่าเบื้องต้นนายกฯ ควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ยอมรับความผิดพลาด เปิดทางสภาสรรหานายกฯ คนใหม่ ส่วน การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในฐานะวิปฝ่าย ค้านเห็นควรยื่นในสมัยประชุมนี้ แต่ขึ้นอยู่กับมติพรรค หากยื่นอภิปรายจะมีส.ส.พรรคร่วมใช้โอกาสนี้สะวิงขั้วมาทางฝ่ายค้าน
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องคำนึงถึงเงื่อนไขการยุบสภาด้วย ส่วนจะยื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรค แต่หากในสิ้นเดือนนี้ยังไม่มีข้อสรุปก็จะไม่มีการยื่นญัตติแล้ว
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้เลยไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว อภิปรายไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียมากขึ้น เพราะขณะนี้พร้อมเผชิญหน้าเอากันให้ตาย ส่วนการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเจรจายังมีความสำคัญ โดยรัฐบาลต้องเป็นหลักลงมาเริ่มต้น และนายกฯ ควรยอมรับความจริง อย่าใส่ความผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้ายเพื่อไม่ให้ซ้ำเติมความแตกแยก ส่วนการเจรจาโดยคนกลางขณะนี้เหลือน้อยเต็มที แต่ตนเห็นว่ายังพอมีคือพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่เป็นผู้เจรจาในทางลับได้ เพราะมีความเป็นตัวของตัวเอง พื้นฐานเป็นคนดีมีเหตุผล
ส่อล้มแผนยื่น"ญัตติเชือด"
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า การประชุมพรรควันที่ 20 เม.ย. ส.ส.หารือนอกรอบเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในสภา ว่า ขณะนี้ส.ส.ทำงานลำบากมากขึ้น การขอยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปหรือตั้งกระทู้ถามสด ถูกขัดขวางจากรัฐบาล นอกจากนี้ยังหารือถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส.ส่วนใหญ่ลงมติอย่างไม่เป็นทางการว่าไม่ควรยื่น เพราะมีอุปสรรคเรื่องกระบวนการนิติบัญญัติ และจะปิดสมัยประชุมวันที่ 20 พ.ค. ข้อมูลที่เตรียมไว้โดยเฉพาะการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการชุมชนพอเพียง จะเก็บไว้ก่อนนำมาเผยแพร่หรือแจกจ่ายให้องค์กรอิสระ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีบุคคลหลายกลุ่มไม่พอใจการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า ขณะนี้มีนักธุรกิจร่วมกันลงขันครั้งละ 100 ล้านบาท จัดให้มีม็อบเชียร์และม็อบชนทั้ง กทม.และต่างจังหวัด เน้นพื้นที่ที่มีนักการเมืองของรัฐบาล นักการเมืองหนุนเรื่องฐานมวลชน ขณะที่กลุ่มธุรกิจสนับสนุนกลุ่มการเมืองให้เคลื่อนไหวมี 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เป็นตัวหลัก ม็อบพวกนี้จะส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ใช้สื่อของรัฐเป็นตัวช่วย คนชุมนุมจากเสื้อหลากสีทำผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ ไม่ว่าฝ่ายศอฉ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เห็นชัดว่าปฏิบัติสองมาตรฐาน สัปดาห์หน้าพรรคจะยื่นฟ้องต่อป.ป.ช. และกระบวนการยุติธรรม เอาผิดนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ. ตร. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
เชื่อปัญหาหนักกว่าไฟใต้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะขอความช่วยเหลือจากนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้มาช่วยดูแลปัญหาม็อบเสื้อแดง ว่า หากจริงเกมใต้ดินต่อไปนี้เช่นม็อบชนม็อบจะรุนแรงขึ้น การสร้างสถานการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง จนเป็นเหตุให้รัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะสลายการชุมนุมโดยอาศัยพ.ร.ก.ฉุกเฉินและอำนาจกองทัพในการปราบปรามประชาชน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่รอบที่สอง แทนที่จะมีการเจราจารอบที่สาม จะเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาปิดฉากลง
ส่วนกรณีพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.ออกมาข่มขู่เสื้อแดงรายวันนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า หากดูประวัติศาสตร์การปราบปรามประชาชน ยิ่งตีก็ยิ่งโต ยิ่งปราบยิ่งเกิดขึ้น วันนี้เสื้อแดงมีอยู่ทุกภาค หากคิดว่าใช้กำลังปราบปรามแล้วได้ผลขอให้ดูปัญหาภาคใต้ ทำไมรัฐบาลปราบไม่ได้ แต่กลับมีระเบิดรายวัน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีมวลชนน้อยกว่าคนเสื้อแดงขณะนี้ด้วยซ้ำ และข้อมูลในเชิงการข่าว ผู้ก่อการร้ายภาคใต้ใช้กำลังเคลื่อนไหวเพียง 3 พันคน ถามว่าประชาชนที่มาชุมนุมเป็นเรือนแสนวันนี้ รัฐบาลจะปราบไหวหรือไม่ เพราะมวลชนมีทุกภาค การคิดเช่นนี้ของรัฐบาลคิดโดยไม่มีหลักรัฐศาสตร์ คิดแต่ใช้กำลัง
"จิ๋ว"ออกแถลงการณ์ชี้แจง
วันเดียวกัน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ผ่านพรรคเพื่อไทย เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง ใจความโดยสรุปว่า ไม่เห็นประชาธิปไตยในระบอบไหนที่จะดีสำหรับเมืองไทยเกินกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 ทาง คือ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาตรา 3 แสดงว่าพระมหากษัตริย์อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่นอกการเมือง หรือไม่ได้อยู่เหนือการเมือง ยามใดที่ประเทศมีการปกครองในระบอบเผด็จการ มีฝ่ายใดที่ได้อำนาจและใช้อำนาจก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านทรงคานการใช้อำนาจเช่นนั้น เช่น ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ
พล.อ.ชวลิตระบุว่า เมื่อรัฐบาลสั่งให้ทหารปฏิบัติมาตรการแก้ปัญหาม็อบที่ผิด เกิดการบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย รัฐบาลกลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่เตรียมจะเข่นฆ่าประชาชนอีก ตนจึงไม่มีทางเลือกเพราะเห็นว่าไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะหยุดยั้งได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องยุติยับยั้งก่อนจะสายเกินการณ์ จึงตัดสินใจของพระบารมีปกเกล้าฯ ให้แก่ประชาชน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และไม่มีทางเลือกใด ใครคือผู้รับผิดชอบและใครกันแน่ที่ไม่รับผิดชอบ ขอให้คิดดูด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรมและมีคุณธรรม อย่ายึดแต่หลักนิติรัฐแต่ไม่มีหลักนิติธรรม ยืนยันว่าตนเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้เอาชนะขบวนการการเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหารและเผด็จการทุกชนิด มิใช่หัวหน้าผู้ก่อการร้ายตามที่มีผู้ป้ายสีไว้ (อ่านรายละเอียด น.3)
"ชวน"ยังห่วงคดียุบพรรค
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธาน พร้อมด้วยนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายผู้ว่าความประชุมหารือแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรค โดยเชิญนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรม การสภาที่ปรึกษาพรรคและอดีตหัวหน้าพรรค นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตกรรมการบริหารพรรค เข้าให้ข้อมูล
หลังประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง นายชวนให้สัมภาษณ์ว่า คดียุบพรรคครั้งนี้กับครั้งที่แล้วคนละประเด็นกัน เมื่อถามว่ามีข้ออะไรที่น่าหนักใจหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า เวลาถูกฟ้องคงไม่มีใครสบายใจ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายกล่าวว่า ขณะนี้การตรวจสอบเริ่มพิจารณาลึกลงไปในเนื้อข้อเท็จจริงของคดี จึงไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ ส่วนการพิจารณาวันนี้ที่มีการเชิญผู้มาชี้แจง ทั้ง 3 คนยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ จะสามารถทำคำชี้แจงการต่อสู้คดีได้ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และถ้าศาลรับเรื่องไว้พิจารณา ก็จะส่งคำกล่าวหาให้พรรค และเมื่อได้รับคำกล่าวหาถึงจะเริ่มนับหนึ่งเพื่อแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
ทนาย"บัณฑิต"มั่นใจชนะ
รายงานข่าวแจ้งว่า การหารือวันนี้ที่ประชุมแสดงความมั่นใจว่าพรรคจะไม่ถูกยุบ เพราะมีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าจะหักล้างคดีได้ โดยเฉพาะนายบัณฑิต แสดงความมั่นใจว่าจะชนะคดี ส่วนที่มีความกังวลว่าหากศาลรัฐธรรม นูญตัดสินยุบพรรค อาจจะกระทบต่อเสถียร ภาพของรัฐบาลนั้น ที่ประชุมเห็นว่ากรณีนี้อาจไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ แต่อาจกระทบกับคนที่เกี่ยวข้อง และเป็นผู้เซ็นเอกสารโดยตรง โดยอาจจะมี 5-6 คนเท่านั้นที่ถูกตัดสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่กระทบกับเสถียรภาพรัฐบาลมากนัก ที่ประชุมย้ำกับผู้เข้าร่วมประชุมงดให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าว เนื่องจากการพิจารณาขณะนี้ลงลึกไปในรายละเอียดของคดี สำหรับการประชุมนัดต่อไปนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากนายบัณฑิต ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ 1 สัปดาห์ ดังนั้น จะมีการประชุมเฉพาะชุดเล็กเท่านั้น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงตอบโต้แกนนำนปช.ที่ระบุนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอนำสำนวนคดียุบพรรคมาให้พรรคประชาธิปัตย์ไว้ต่อสู้คดี ว่า นายธาริตไม่เคยนำสำนวนมาให้พรรคและไม่เคยช่วยพรรค เพราะสำนวนคดีนี้อธิบดีดีเอสไอคนก่อนยื่นให้กกต.ไปหมดแล้ว
โต้ตั้งพรรคสำรอง-ไม่จริง
ส่วนที่จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยระบุประชาธิปัตย์ตั้งพรรคสำรองเอาไว้แล้ว โดยจะให้นายชวน เป็นหัวหน้าพรรค นายเทพไทกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง การให้สัมภาษณ์ของนายจาตุรนต์ หวังผลทางการเมืองให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ระส่ำระสาย กระทบเสถียรภาพรัฐบาล และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่มั่นใจ
นายเทพไทกล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลเป็นห่วงคือกรณีมีม็อบเสื้อหลากสีออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง ยืนยันรัฐบาลไม่ได้จ้างบุคคลดังกล่าวมาตามที่แกนนำนปช.กล่าวหา บุคคลดังกล่าวมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ต้องการออกมาปกป้องสถาบัน และหวังจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ที่แกนนำ นปช.กล่าวหาว่ามีการจ้างมาคงเพราะตัวเองเคยใช้วิธีนี้มาก่อน นอกจากนี้พรรคยังห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมโดยการยิงจรวดอาร์พีจีเข้าใส่คลังน้ำมันย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี รัฐบาลเป็นห่วงว่าอาวุธสงครามที่หายไปยังไม่ได้รับคืนมาเป็นจำนวนมาก จึงห่วงว่าจะมีบุคคลบางกลุ่มนำอาวุธดังกล่าวไปใช้สู้รบกับเจ้าหน้าที่ และยังประเมินว่าสถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากคลังน้ำมันแล้วยังมีโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีจ่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ กระทั่งหอบังคับการการบิน เพราะหากเกิดวินาศกรรมขึ้นจะสร้างความสูญเสียยิ่งกว่าปิดสนามบิน
จี้ส.ส.ขึ้นเวทีม็อบลาออก
เวลา 16.00 น. ที่รัฐสภา นายพิมพ์พล แสงเมือง นักกฎหมายกลุ่มอาสาปกป้อง ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผ่านทางนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 27 คน ที่ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถือว่ากระทำผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง ส.ส.กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนร่วมในการยุยงปลุกปั่นจนทำให้เกิดเหตุการณ์ 10 เม.ย. หากยังไม่ลาออกตนจะยื่นถอดถอนต่อไป
นายวัชระกล่าวว่า นอกจากนี้ตนจะหาช่องทางยื่นยุบพรรคเพื่อไทยด้วย เนื่องจากถือว่ามีการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยจะยื่นทันทีที่รวบรวมหลักฐานเสร็จ
"หนั่น"ทวงสัญญาแก้รธน.
ที่รัฐสภา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประ ธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ระบุให้ความสำคัญกับคดียุบพรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ว่า ไม่ทราบ คดียุบพรรคเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรม นูญ เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลกดดันพรรคประชาธิปัตย์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมากเกินไปหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ไม่ แต่เขาตกลงกันมาอย่างนั้น เรียกร้องให้แก้ไขก่อนยุบสภา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรคก่อน หรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ก็สุดแล้วแต่ ถ้าถูกยุบ รัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ได้ ต้องว่ากันใหม่
ต่อข้อถามพรรคร่วมรัฐบาลจะชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เวลาพรรคประชาธิปัตย์ไปทำคดียุบพรรคก่อนหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ถูกยุบตอนนี้ จะชะลออะไร มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มีคนเรียกร้องให้ยุบสภา เราขอเวลา 9 เดือนแต่ยังตกลงกันไม่ได้ ควรมาทำเรื่องนี้ก่อน ถ้ามันอยู่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็มีเวลาไปเตรียมการสู้คดี ในพรรคประชาธิปัตย์แบ่งหน้าที่กัน มีคณะทำงานฝ่ายกฎหมายสู้คดียุบพรรค ใครที่เป็นฝ่ายบริหารก็มาทำเรื่องแก้ปัญหาการชุมนุม อย่านำ 2 เรื่องปนกัน ให้ทำคู่ขนานกันไป ช่วง 9 เดือนสามารถแก้ได้หมดทุกเรื่อง
บอก"ปชป."อย่าปอดแหก
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดจากคดียุบพรรคนี้หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์อยู่มา 64 ปี เท่าที่ฟัง เงินต่างๆ ไม่ได้เข้ามาในพรรคประชาธิปัตย์อย่างที่มีเป็นหลักฐาน เชื่อมั่นว่าคงไม่เกี่ยวพันกับพรรคประชาธิปัตย์มาก ส่วนกรณีเงินสนับสนุนกิจกรรมพรรคการเมือง 29 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์คงต้องมีหลักฐาน อย่าไปตื่นเต้น เมื่อถามถึงนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินว่าอาจแพ้คดีนี้ได้ พล.ต.สนั่นหัวเราะพร้อมกล่าวว่า "ถ้าปอดแหกอย่างนั้น อย่าไปสู้สิ"
พล.ต.สนั่น กล่าวถึงพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พึ่งพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง ว่า เรื่องนี้นำมาแถลงข่าวไม่ได้ ด้วยความเคารพ ท่านควรหยุดสักนิดแล้วมาช่วยกันแก้ปัญหา เช่น ช่วยกันพูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้เกิดความเข้าใจ หรือให้ถอยกันคนละนิด เมื่อถามว่าบุคคลทั้งสองดื้อดึงหรือไม่เพราะมีเสียงติติงว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควร พล.ต. สนั่น กล่าวว่า คงหยุดไม่ได้แล้ว เพราะถ้าหยุดก็ถูกด่ามาก และราชเลขาธิการจะว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
มท.ชี้"นปช."แนวร่วมเยอะ
ที่กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ยังไม่ติดต่อมายังพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะนัดหารือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเวลาใด พรรคภูมิใจไทยยืนยันจะจับมือพรรคชาติไทยพัฒนา และให้เป็นแกนนำไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อถามว่าจะมีทางออกเรื่องการแก้รัฐธรรม นูญอย่างไร เพราะท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยืนกรานไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรม นูญ นายชวรัตน์ กล่าวว่า ก็เห็นว่าอย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่ชุมนุมยืดเยื้อมาเป็นเวลายาวนาน 40 กว่าวันนั้น รมว. มหาดไทย กล่าวว่า เป็นการชุมนุมที่เกินกว่าคาดหมายไว้ ไม่ทราบว่าเหตุใดกลุ่มนปช.ถึงมีแนวร่วมมากขนาดนี้ สำหรับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มนปช.กับกลุ่มเสื้อหลากสี ยังอาจนำมาซึ่งความสูญเสียด้วยหากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน อยากให้การชุมนุมยุติโดยเร็ว รัฐบาลจะได้เดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไปได้
ส.ว.ยื่นเสนอแนะทางออก
เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา เข้ายื่นหนังสือต่อนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นรายงานผลการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่พิจารณาญัตติเรื่องขอให้เรียกประชุมวุฒิสภาเป็นกรณีพิเศษเป็นการด่วนที่สุด เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ของประเทศ
นายสิงห์ชัย กล่าวว่า ส.ว.ทุกคนเป็นห่วงสถานการณ์ขณะนี้ จึงรวบรวมคำอภิปราย ข้อเสนอแนะของสมาชิกในการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ซึ่งเราเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหา แม้ไม่เป็นมติของวุฒิสภาแต่หวังว่าฝ่ายบริหารจะเห็นความสำคัญในข้อคิดเห็นต่างๆ นอกจากนี้ ตนจะนำรายงานดังกล่าวไปยื่นกับกลุ่มนปช.ที่แยกราชประสงค์ในวันเดียวกัน โดยข้อสรุปของส.ว.ส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ใช้การเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายอีกครั้งและอย่าสร้างสถาน การณ์ยั่วยุ
นายสาทิตย์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ขณะนี้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่รัฐบาลตั้งใจจะใช้เวทีรัฐสภาโดยจะขอมติจากที่ประชุมครม. วันอังคารที่ 27 เม.ย.นี้ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
จี้"มาร์ค-เทือก"ลาพักงาน
เวลา 14.15 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ร่วมแถลงข่าว นายเรืองไกรกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ส.ว.ต้องการให้นายกฯ รับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุด ตามที่เคยประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ โดยเฉพาะข้อ 9 ระบุความรับผิดชอบทางการเมืองต้องอยู่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ดังนั้น นายกฯจะแสดงความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจากเหตุปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย.อย่างไร
นายเรืองไกรกล่าวว่า หากย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธ มิตรฯ นายอภิสิทธิ์เป็นผู้เสนอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง นำไปสู่กระบวนการถอดถอนผู้ที่สั่งสลายการชุมนุม ดังนั้นจึงขอเสนอให้นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ลาพักจนกว่าจะทราบผลสอบสวนข้อเท็จจริง และตั้งคนขึ้นมารักษาการแทนเหมือนที่อดีตนายกฯเคยทำมาก่อน และคงไม่เป็นปัญหาเพราะพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นเสียงข้างมาก ทำงานได้อยู่ ไม่ต้องห่วงการแต่งตั้งโยกย้ายทหารและตำรวจ หรือการผ่านงบประมาณ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลให้คำปรึกษาได้ ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การกดดันให้ยุบสภาหรือลาออก แต่ต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาล แกนนำนปช. และพรรคร่วมมีทางออก
ย้ำต้องแก้ด้วยการเจรจา
นางนฤมลกล่าวว่า กลุ่มส.ว.ต้องออกมาเคลื่อนไหวเพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงและใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุม จึงออกแถลงการณ์เพื่อเป็นข้อเสนอกับรัฐบาล คือให้รัฐบาลกำหนดขั้นตอนวิธีแก้ปัญหาด้วยการเจรจา ไม่ใช้สื่อของรัฐสร้างความแตกแยก ดังนั้น ควรให้โทรทัศน์เสนอข่าวการชุมนุมได้โดยไม่ปิดกั้น รัฐบาลต้องป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดเหตุปะทะกันระหว่างบุคคลหลายกลุ่มกับกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนที่เกิดขึ้นที่ถนนสีลม เมื่อคืนวันที่ 21 เม.ย. และสุดท้ายรัฐบาลต้องใช้สภาเป็นหลักในการแก้ปัญหา
วันเดียวกัน นายอนุรักษ์ นิยมเวช ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา พร้อมคณะกรรมา ธิการออกแถลงการณ์ว่า คณะกรรมาธิการมีมติเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้ 1.ต้องแก้ปัญหาด้วยการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายด้วยสันติวิธี 2.เปิดโอกาสให้ผู้มีความคิดเห็นที่แตกต่างได้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม 3.ป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดและกลุ่มต่างๆ เผชิญหน้าจนเกิดการปะทะกัน และ 4.ต้องใช้รัฐสภาเป็นหลักแก้ปัญหา โดยเฉพาะการประชุมส.ว.ที่ยื่นขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ก่อนจะดำเนินการตามมาตรา 179
แม้วส่งทนายแจ้งจับ"กษิต"
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการกองปราบปราม นายสุภาพ เพชรศรี รับมอบอำนาจต่อจากนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ทนายความของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.มาโนชญ์ สวนดอกไม้ พงส.(สบ2) กก.1บก.ป. เพื่อให้ดำเนินคดีนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ในการประชุมสุดยอดความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (NSS) ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกิ้นส์ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ในคำสัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นความจริง และยังทำให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับความเสียหาย พร้อมกับนำสำเนาของหนังสือพิมพ์ข่าวสดและหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 14 เม.ย. 2553 ที่ตีพิมพ์คำสัมภาษณ์ของนายกษิต มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย
พ.ต.ท.มาโนชญ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำฝ่ายผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดดำเนินการต่อไป เนื่องจากเป็น กรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
มาร์คยังไม่นัดคุยพรรคร่วม
เวลา 19.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าว ศอฉ. ใน กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้รัฐ ธรรมนูญว่า ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์มอบให้ตนกับนายสุเทพ ไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขณะนี้ยังไม่มีโอกาส แต่คิดว่าพรรคร่วมเข้าใจเพราะสิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร คือเราเข้าใจความต้องการและความคิดเห็นของพรรคร่วม แต่ประเด็นของรัฐธรรมนูญจะต้องตอบสังคม ฉะนั้นการทำความเข้าใจกับสังคมเพื่อให้ยอมรับเป็นหัวใจสำคัญ เดิมคิดว่าถ้าทำประชามติจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด ยังติดขัดอยู่ ต้องมาคุยกันว่าจะมีวิธีการรับฟังและสื่อสารและหาคำตอบให้สังคมอย่างไร
เมื่อถามถึงกลุ่มคนเสื้อแดงมีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา ล่าสุดพล.อ.ชวลิต ขอเข้าเฝ้าฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเชื่อมโยงกันทั้งหมด อย่างวันนี้ตนทำหนังสือถึงสภา ไม่ไปตอบกระทู้เพราะไม่ต้องการให้สถานการณ์มีปัญหามากยิ่งขึ้น แต่ตนก็ติดตามการอภิปรายของสมาชิกโดยเฉพาะฝ่ายค้าน การไม่ไปสภาวันนี้ไม่ใช่เพราะตนไม่สนใจการแก้ปัญหาทางการเมือง แต่เวทีและรูปแบบต้องเหมาะสม ไม่เป็นตัวเติมเชื้อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้ามีการตอบโต้ในสภา ต่างฝ่ายจะพูดในสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริง จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันมากขึ้น ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 นั้น จะเสนอต่อครม.ต่อไป
เมื่อถามว่าพล.อ.ชวลิต ออกแถลงการณ์พาดพิงตัวนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์เคยขอพระราชทานรัฐบาลแห่งชาติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพูดถึงกรณีนี้เป็นกรณีที่ตนเสนอว่าเป็นความพร้อมใจของทุกฝ่าย จะต้องเอาสถาน การณ์ไปเทียบเคียงกัน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
************************************************
"บิ๊กจิ๋ว" ออกแถลง การณ์ "สถาบันกษัตริย์กับการเมือง" แจกแจงแนวคิดขอพึ่งพระบารมี"ในหลวง" คลี่คลายวิกฤตความขัดแย้ง อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 กำหนดพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่นอกการเมืองหรืออยู่เหนือการเมือง อัดกลับนายกฯ-รัฐบาลไม่รับผิดชอบชีวิตประชาชน แถมเตรียมจะเข่นฆ่าอีกรอบ เลยต้องพึ่งพระบารมียับยั้งวิกฤต โต้ลั่นไม่ใช่หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายตามที่ถูกป้ายสี "มาร์ค"แจ้งประธานสภาขอเลื่อนตอบกระทู้สดฝ่ายค้าน อ้างกลัวเป็นการเติมเชื้ออารมณ์ความรุนแรง เตรียมเสนอครม.ขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภา แต่ยังไม่ระบุวันเวลา ปชป.โหวตตีตก"ญัตติด่วน"เพื่อไทย "เชาวริน"นำทีมวอล์กเอาต์ "สภาล่ม"ครั้งที่ 6 ในสมัยประชุม "มาร์ค-เทือก"ยังอู้อี้เรื่องแก้รธน. บอกยังไม่มีจังหวะนัดหารือพรรคร่วม
"สุเทพ"ยังอู้อี้เรื่องแก้รธน.
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่รัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ว่า การขอเข้าเฝ้าฯ ของพล.อ.ชวลิตเป็นเรื่องไม่บังควรและไม่ควรกระทำ สิ่งที่พล.อ. ชวลิตพยายามทำนั้นกระทบต่อจิตใจคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถามถึงข่าวโทรศัพท์พูดคุยกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อแจ้งมติของพรรคประชาธิปัตย์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า ตนมีหน้าที่ประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีปัญหา ตนพบกับพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย. และตกลงร่วมกันว่าเรามีภาระหน้าที่ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อให้ประเทศชาติพ้นวิกฤตไปให้ได้ ส่วนที่จะพูดคุยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น พูดคุยกันไว้ว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนก็มีน้ำใจให้หน่อย เผื่อการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลจะได้มีโอกาสมากขึ้น แต่ไม่ได้นำมาปะปนกับเรื่องแก้ไขวิกฤตการณ์
เมื่อถามว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่าต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ว่ากันตามจังหวะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะ ส่วนที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ แนะให้แกนนำพรรคจัดลำดับความสำคัญของคดียุบพรรคมาก่อนการแก้รัฐธรรม นูญหรือยุบสภา เพราะถ้าไม่มีพรรคคงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ภายในพรรคจะมีความคิดแตกต่างกัน มาช่วยกันคิดก็ดีแล้ว
ยื้อเปิดอภิปรายร่วมรัฐสภา
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ว่า เดิมวุฒิสภากำหนดให้เปิดการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 161 วันที่ 23 เม.ย. แต่เมื่อส.ส.จะขออภิปรายด้วยดังนั้นรัฐบาลจะให้เปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 179 เพื่อให้สมาชิกทั้ง 2 สภาได้อภิปราย ทั้งนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม.วันที่ 27 เม.ย.เพื่อขอมติแล้วแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบเพื่อกำหนดวันเวลาอภิปรายต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่าควรให้เหตุการณ์สงบก่อนจึงเปิดอภิปรายร่วมของรัฐสภาใช่หรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า น่าจะดีกว่า หากสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว จะตอบทุกเรื่องได้ หากยังอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์และมีประเด็นเรื่องความมั่นคงก็ยากที่จะตอบคำถามสภา
นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงสภาไม่ผ่านญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญสอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย. ว่า ฝ่ายค้านเสนอทางออกให้รัฐบาลชี้แจงเหตุการณ์ แต่ไม่เข้าใจที่รัฐบาลปฏิเสธ เวทีสภาน่าจะเป็นที่ปรึกษาและทางออกตามระบอบประชาธิปไตย เป็นที่พึ่งให้ส.ส.ได้ แต่เมื่อจะใช้เวทีสภากลับถูกโจมตีและไม่เปิดโอกาสให้พูด จึงต้องไปใช้เวทีของ นปช. แต่ไม่ใช่การทำงานคู่ขนานกับคนเสื้อแดง การที่ส.ส.ขึ้นเวทีต้องยอมรับผลที่ตามมาเพราะข้างนอกไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เมื่อถามว่าหากรัฐบาลไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ 10 เม.ย.จะทำอย่างไร นายวิทยากล่าวว่า แม้แต่ส.ว.ยังเรียกร้องเช่นเดียวกัน รัฐบาลคงเลี่ยงไม่ได้และขณะนี้ผู้ใหญ่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างกับนายกฯ เช่นกัน
"มาร์ค"เลื่อนตอบกระทู้สภา
เมื่อเวลา 11.40 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณากระทู้ถามสด มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยนายชัย แจ้งว่าได้รับหนังสือจากสำนักเลขาธิการนายกฯ ว่า ตามที่ประธานสภานัดประชุมสภาโดยบรรจุระเบียบกระทู้ถามสดทั้ง 3 ได้แก่ กระทู้ถามสดเรื่องการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ของนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กระทู้ถามสดเรื่องการบริหารราชการผิดพลาดในการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมจนมีเหตุให้ประชาชนเสียชีวิต ของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และกระทู้ถามสดเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ภาวะที่ผิดปกติและวิกฤตอย่างยิ่งของสังคมไทยของ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส.พรรครวมชาติพัฒนา
หนังสือดังกล่าวระบุว่า นายกฯ ได้ทราบแล้วและให้เรียนประธานสภาว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันมีเหตุฉุกเฉินร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องดูแลติดตามสถานการณ์โดยตลอด จึงมีเหตุจำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงไม่สามารถมาตอบกระทู้ถามทั้ง 3 เรื่องได้ ขอให้เลื่อนออกไปก่อน เมื่อสถานการณ์คลี่คลายจึงจะมาตอบกระทู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ นายกฯ ได้เรียนเพิ่มเติมว่ารัฐบาลจะดำเนินการให้มีการเปิดประชุมร่วมรัฐสภา ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เปิดการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่องต่อไป
ส.ส.รัฐบาลร่วมโวยด้วย
นายสุนัยกล่าวว่า หนังสือดังกล่าว นายกฯ ควรใช้เวทีสภาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น วันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรรณ พล.ต.สนั่น ขจรประ ศาสน์ รองนายกฯ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ก็มาร่วมประชุมสภา อีกทั้งสถานการณ์ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ขณะนี้มีความพยายามล้มระบบรัฐสภาเหมือนสมัย 6 ตุลาฯ จึงขอให้ตนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
"การตั้งกระทู้ถามวันนี้ ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก แต่ต้องการให้แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะในวันที่ 23 เม.ย. นี้ กลุ่มเสื้อเหลืองที่แปลงพันธุ์เป็นเสื้อหลากสี กำลังนัดชุมนุมใหญ่ และแกนนำพันธมิตรบอกว่าจะเป็นคนบุกเอง สถานการณ์แบบนี้นายกฯ จะอยู่ได้อย่างไร ทำไมไม่ใช้เวทีสภาแก้ไขปัญหา" นายสุนัย กล่าว
ด้านนายสมชัย กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาไม่ปกติ ไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะรับผิดชอบ แม้นายกฯ จะทำหน้าที่ตามกฎหมายเพราะมีการก่อการร้ายเกิดขึ้น และยังมีเหตุปะทะกันระหว่างคนสีลมและคนเสื้อแดง ฝ่ายค้านก็ยังเรียกร้องให้ยุบสภาอีก จึงไม่ใช่เวลาที่นายกฯ จะมารับผิดชอบคนเดียว เห็นหรือไม่ว่าแค่การขอพื้นที่คืนก็มีคนตาย 25 คน บาดเจ็บ 800 กว่าคน แล้วการที่นายกฯ ไม่ยอมมาหารือกับสภา แต่ไปหารือกับพวกท่านเอง แล้วเกิดอะไรขึ้นนายกฯ จะรับไหวหรือไม่ นาทีนี้เป็นนาทีที่รับฟัง ไม่ใช่มาเลื่อน หากมีคนตายอีก 200-300 คนจะทำอย่างไร
"สาทิตย์"ลุกแก้แทนนายกฯ
ส่วนนายวิชาญ กล่าวว่า ไหนนายกฯ บอกไม่เคยถอดทิ้งสภา ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. นายกฯ ก็เก็บตัวฟังแต่รายงาน ศอฉ. วันนี้ความกล้าของนายกฯ หายไปไหน เมื่อเป็นผู้นำประเทศ บอกไม่ใช้อาวุธแต่ก็เอาอาวุธเข้ามา บอกไม่ใช้กำลังก็ใช้ นายกฯ ไม่มีความชอบธรรม หากจะเลื่อนกระทู้สดออกไป แล้วประธานสภาการันตีแทนได้หรือไม่ ว่าจะไม่มีการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหรือจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ชี้แจงว่านายกฯ ดำเนินการตามข้อบังคับการประชุม โดยทำหนังสือมาแจ้งยังประธานสภา ความจริงนายกฯ มาลงนามเข้าประชุมสภาก่อน 09.00 น. แต่เนื่องจากบ้านเมืองมีสถานการณ์ฉุกเฉินหลายอย่าง จึงต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ไขปัญหา ยืนยันว่าไม่ใช่นายกฯ หนีหน้าไปไหนหรือไม่ต้องการเผชิญหน้าอย่างแน่นอน เพราะนายกฯเสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เสนอให้เปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ และสัปดาห์หน้าก็จะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมครม.
ขณะที่นายสาทิตย์ ชี้แจง นายสุนัยและนายวิชาญแย้งว่าขอทราบคำตอบว่ารัฐมนตรีจะตอบกระทู้แทนนายกฯ หรือไม่ ไม่ใช่มาชี้แจงอย่างนี้ ซึ่งนายสาทิตย์ยืนยันว่าจะไม่ตอบกระทู้แทนนายกฯ นายสมชัยได้ให้นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาคนที่ 1 ประธานที่ประชุม อ่านหนังสือคำชี้แจงของนายกฯ อีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจน จากนั้นยุติการถามกระทู้ทั้ง 3 เรื่อง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ปชป.สกัด"ญัตติด่วน"พท.
จากนั้น ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามการชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและประเทศชาติ แต่นายสามารถ แจ้งว่า อาจขัดข้อบังคับการประชุมข้อ 56 ที่บัญญัติว่า เมื่อญัตติตกไปแล้วห้ามเสนอญัตตินั้นในสมัยประชุมเดียวกัน ซึ่งเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมาส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอญัตติทำนองนี้ แต่ที่ประชุมมีมติไม่รับพิจารณาแล้ว ทำให้ส.ส.เพื่อไทยหลายคนลุกขึ้นคัดค้านอ้างว่าเป็นคนละญัตติกัน แต่นายสามารถยืนยันว่าทั้ง 2 ญัตติมีเจตนาเดียวกัน แต่จะให้ร.ต.ท.เชาวรินชี้แจงเหตุผลก่อนแล้วจะพักประชุมเพื่อตรวจสอบว่าขัดข้อบังคับหรือไม่ ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงว่า เมื่อวินิจฉัยไปแล้วต้องดำเนินการประชุมไปตามระเบียบวาระปกติ
ทั้งนี้ ระหว่าง ร.ต.ท.เชาวริน อภิปรายชี้แจง นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วง ร.ต.ท.เชาวรินจึงหันไปกล่าวว่า "ประท้วงอะไร มีใครตายหรือ" ทำให้มีการปะทะคารมกันระหว่างส.ส.สองพรรค ร.ต.ท.เชาวรินชี้แจงว่า ขณะนี้บ้านเมืองมีการเผชิญหน้าของประชาชนหลายกลุ่มรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สภาก็ไม่ค่อยมีบทบาท จึงเสนอญัตตินี้ เพื่อแก้ปัญหาสงครามกลางเมือง จากนั้นนายสามารถ สั่งพักประชุม 10 นาทีเพื่อตรวจสอบญัตติ
"เชาวริน"ลุกป้องเสื้อแดง
เมื่อเปิดประชุม นายสามารถแจ้งว่า วินิจฉัยแล้วญัตติดังกล่าวสนอได้ เพราะเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ญัตติที่นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโยธร พรรคเพื่อไทยเสนอยังไม่เข้าสู่วาระการประชุม เพียงแต่พิจารณาว่าจะบรรจุในวาระหรือไม่ จึงถือว่าญัตติยังไม่ได้พิจารณา นอกจากนี้ญัตตินี้มีสาระการป้องกันสงครามกลางเมือง จึงไม่เกี่ยว ข้องกับญัตติของนายพีรพันธุ์ ทำให้นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นเสนอญัตติให้พิจารณาตามระเบียบ วาระเดิม
ร.ต.ท.เชาวรินกล่าวว่า ญัตตินี้มีเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดวันนี้พรุ่งนี้ นปช.มาปักหลักที่ราชประสงค์ตั้งแต่ 3 เม.ย. มีคนมาชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ชุมนุมอีกกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว จึงเกรงว่าจะเหมือนเหตุการณ์เดือนตุลาฯ 2519 ที่มีการปลุกระดมให้ประชา ชนฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ก็เริ่มมีเหตุการณ์ในทำนองนี้ ซึ่งไม่ใช่ความจริง แต่แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสีก็นำคนออกมา บอกว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้จะนำคนมาแก้ปัญหาเอง จึงเกรงจะมีการปะทะกันกับนปช. รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ฉะนั้นควรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญและช่วยกันลงพื้นที่ป้องปรามความรุนแรง ตอนนี้มีการเรียกตัวส.ก.พรรคเพื่อไทย วินมอเตอร์ไซค์ ขนาดเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลพื้นที่กินส้มตำกับผู้ชุมนุมยังโดนสั่งขัง ไม่คาดหวังว่าส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเห็นด้วยแต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ในสภาแล้ว และหากเกิดอะไรขึ้นมาฝ่ายรัฐบาลต้องรับผิดชอบกันเอง
"นิพิฏฐ์"อัดมีวาระแอบแฝง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงว่า ที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้พิจารณาไปตามระเบียบวาระ ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายรัฐบาลไม่สนใจ แต่ส.ส.พรรครัฐบาลทุกคนกังวลต่อสถานการณ์ แต่การที่ส.ส.เพื่อไทยเสนอญัตติน่าจะมีวาระแอบแฝง ไม่ได้เสนออย่างบริสุทธิ์ใจ เรื่องสงครามประชาชน แกนนำคนเสื้อแดงและส.ส.หลายคนขึ้นเวทีนปช.และพูดคำนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ส.ส.ในสภากลายเป็นผู้ไปสร้างสงครามประชาชนเสียเอง ญัตตินี้จึงไม่มีประโยชน์และยิ่งซ้ำเติมวิกฤตประเทศ ถ้าสมาชิกในสภาไปมีส่วนร่วมกับสงครามข้างนอก ปล่อยให้คนทำผิดกฎหมาย หากส.ส.มีสำนึก ไม่ช่วยเหลือ ไม่เข้าร่วม ถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง และคราวนี้ที่มีการประกาศสงครามไพร่-อำมาตย์ มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขอให้ย้อนดูประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา มีกบฏไพร่มาแล้ว 3 ครั้ง แกนนำร่ำรวย มีความรู้ใช้วาทศิลป์พูดโกหกปลุกระดม แต่ไม่เคยชนะและตายทุกครั้ง
"ยืนยันอีกครั้งว่าเวทีเสื้อแดงเป็นผู้ปลุกระดมให้เกิดสงครามประชาชน ถ้าสังคมวันนี้ไม่ยอมรับความจริงก็เดินหน้าไปไม่ได้ เวทีของคนเสื้อแดงพูดว่าต้องเกิดสงครามประชาชนและเวทีแห่งนั้นมีส.ส.เพื่อไทยอยู่ด้วย" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ระหว่างนายนิพิฏฐ์อภิปรายส.ส.เพื่อไทยประท้วงเป็นระยะๆ กับคำว่าสงครามประชาชน นายนายนิพิฏฐ์จึงเลี่ยงใช้คำว่าสงครามไพร-อำมาตย์แทน
รบ.ชนะโหวต-แต่สภาล่ม
ต่อมาเป็นการลงมติ ปรากฏว่าที่ประชุมสภามีมติให้พิจารณาไปตามระเบียบวาระการประชุมเดิม ด้วยคะแนน 212 ต่อ 93 งด 1 ไม่ลงคะแนน 9 เสียง ทำให้นายสุนัยกล่าวว่า สภาใช้เสียงส่วนใหญ่ปิดปากหลายครั้งจึงไม่ขอร่วมสังฆกรรม จากนั้นได้นำส.ส.เพื่อไทยวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม พร้อมกับระบุว่าขอให้ประธานตรวจสอบองค์ประชุมด้วย เพราะไม่ครบแน่
จากนั้นพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม นำเข้าสู่วาระรับรองข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณารายงานผลการศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 ก่อนลงมติเห็นชอบกับข้อสังเกต พ.อ.อภิวันท์สั่งเสียบบัตรแสดงตนเพื่อนับองค์ประชุม ปรากฏมีสมาชิกแสดงตน 231 คน จาก 475 คน ไม่ครบองค์ประชุมกึ่งหนึ่งที่ 238 คน พ.อ.อภิวันท์จึงสั่งปิดประชุมเวลา 14.45 น. ถือเป็นครั้งที่ 6 ที่สภาล่มในสมัยประชุมนี้
ชู"อนุพงษ์"คนกลางเจรจา
นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เลขานุการวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคไม่สบายใจที่นายกฯ หลบเลี่ยงตอบกระทู้เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. พรรคอยากให้สภาเป็นเวทีหาทางออก และเห็นว่าเบื้องต้นนายกฯ ควรลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ยอมรับความผิดพลาด เปิดทางสภาสรรหานายกฯ คนใหม่ ส่วน การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในฐานะวิปฝ่าย ค้านเห็นควรยื่นในสมัยประชุมนี้ แต่ขึ้นอยู่กับมติพรรค หากยื่นอภิปรายจะมีส.ส.พรรคร่วมใช้โอกาสนี้สะวิงขั้วมาทางฝ่ายค้าน
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องคำนึงถึงเงื่อนไขการยุบสภาด้วย ส่วนจะยื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรค แต่หากในสิ้นเดือนนี้ยังไม่มีข้อสรุปก็จะไม่มีการยื่นญัตติแล้ว
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้เลยไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว อภิปรายไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียมากขึ้น เพราะขณะนี้พร้อมเผชิญหน้าเอากันให้ตาย ส่วนการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเจรจายังมีความสำคัญ โดยรัฐบาลต้องเป็นหลักลงมาเริ่มต้น และนายกฯ ควรยอมรับความจริง อย่าใส่ความผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้ายเพื่อไม่ให้ซ้ำเติมความแตกแยก ส่วนการเจรจาโดยคนกลางขณะนี้เหลือน้อยเต็มที แต่ตนเห็นว่ายังพอมีคือพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่เป็นผู้เจรจาในทางลับได้ เพราะมีความเป็นตัวของตัวเอง พื้นฐานเป็นคนดีมีเหตุผล
ส่อล้มแผนยื่น"ญัตติเชือด"
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า การประชุมพรรควันที่ 20 เม.ย. ส.ส.หารือนอกรอบเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในสภา ว่า ขณะนี้ส.ส.ทำงานลำบากมากขึ้น การขอยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปหรือตั้งกระทู้ถามสด ถูกขัดขวางจากรัฐบาล นอกจากนี้ยังหารือถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส.ส่วนใหญ่ลงมติอย่างไม่เป็นทางการว่าไม่ควรยื่น เพราะมีอุปสรรคเรื่องกระบวนการนิติบัญญัติ และจะปิดสมัยประชุมวันที่ 20 พ.ค. ข้อมูลที่เตรียมไว้โดยเฉพาะการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการชุมชนพอเพียง จะเก็บไว้ก่อนนำมาเผยแพร่หรือแจกจ่ายให้องค์กรอิสระ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีบุคคลหลายกลุ่มไม่พอใจการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า ขณะนี้มีนักธุรกิจร่วมกันลงขันครั้งละ 100 ล้านบาท จัดให้มีม็อบเชียร์และม็อบชนทั้ง กทม.และต่างจังหวัด เน้นพื้นที่ที่มีนักการเมืองของรัฐบาล นักการเมืองหนุนเรื่องฐานมวลชน ขณะที่กลุ่มธุรกิจสนับสนุนกลุ่มการเมืองให้เคลื่อนไหวมี 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เป็นตัวหลัก ม็อบพวกนี้จะส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ใช้สื่อของรัฐเป็นตัวช่วย คนชุมนุมจากเสื้อหลากสีทำผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ ไม่ว่าฝ่ายศอฉ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เห็นชัดว่าปฏิบัติสองมาตรฐาน สัปดาห์หน้าพรรคจะยื่นฟ้องต่อป.ป.ช. และกระบวนการยุติธรรม เอาผิดนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ. ตร. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
เชื่อปัญหาหนักกว่าไฟใต้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะขอความช่วยเหลือจากนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้มาช่วยดูแลปัญหาม็อบเสื้อแดง ว่า หากจริงเกมใต้ดินต่อไปนี้เช่นม็อบชนม็อบจะรุนแรงขึ้น การสร้างสถานการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง จนเป็นเหตุให้รัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะสลายการชุมนุมโดยอาศัยพ.ร.ก.ฉุกเฉินและอำนาจกองทัพในการปราบปรามประชาชน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่รอบที่สอง แทนที่จะมีการเจราจารอบที่สาม จะเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาปิดฉากลง
ส่วนกรณีพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.ออกมาข่มขู่เสื้อแดงรายวันนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า หากดูประวัติศาสตร์การปราบปรามประชาชน ยิ่งตีก็ยิ่งโต ยิ่งปราบยิ่งเกิดขึ้น วันนี้เสื้อแดงมีอยู่ทุกภาค หากคิดว่าใช้กำลังปราบปรามแล้วได้ผลขอให้ดูปัญหาภาคใต้ ทำไมรัฐบาลปราบไม่ได้ แต่กลับมีระเบิดรายวัน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีมวลชนน้อยกว่าคนเสื้อแดงขณะนี้ด้วยซ้ำ และข้อมูลในเชิงการข่าว ผู้ก่อการร้ายภาคใต้ใช้กำลังเคลื่อนไหวเพียง 3 พันคน ถามว่าประชาชนที่มาชุมนุมเป็นเรือนแสนวันนี้ รัฐบาลจะปราบไหวหรือไม่ เพราะมวลชนมีทุกภาค การคิดเช่นนี้ของรัฐบาลคิดโดยไม่มีหลักรัฐศาสตร์ คิดแต่ใช้กำลัง
"จิ๋ว"ออกแถลงการณ์ชี้แจง
วันเดียวกัน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ผ่านพรรคเพื่อไทย เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง ใจความโดยสรุปว่า ไม่เห็นประชาธิปไตยในระบอบไหนที่จะดีสำหรับเมืองไทยเกินกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่าน 3 ทาง คือ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาตรา 3 แสดงว่าพระมหากษัตริย์อยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่นอกการเมือง หรือไม่ได้อยู่เหนือการเมือง ยามใดที่ประเทศมีการปกครองในระบอบเผด็จการ มีฝ่ายใดที่ได้อำนาจและใช้อำนาจก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านทรงคานการใช้อำนาจเช่นนั้น เช่น ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ
พล.อ.ชวลิตระบุว่า เมื่อรัฐบาลสั่งให้ทหารปฏิบัติมาตรการแก้ปัญหาม็อบที่ผิด เกิดการบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย รัฐบาลกลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่เตรียมจะเข่นฆ่าประชาชนอีก ตนจึงไม่มีทางเลือกเพราะเห็นว่าไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะหยุดยั้งได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องยุติยับยั้งก่อนจะสายเกินการณ์ จึงตัดสินใจของพระบารมีปกเกล้าฯ ให้แก่ประชาชน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และไม่มีทางเลือกใด ใครคือผู้รับผิดชอบและใครกันแน่ที่ไม่รับผิดชอบ ขอให้คิดดูด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรมและมีคุณธรรม อย่ายึดแต่หลักนิติรัฐแต่ไม่มีหลักนิติธรรม ยืนยันว่าตนเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้เอาชนะขบวนการการเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหารและเผด็จการทุกชนิด มิใช่หัวหน้าผู้ก่อการร้ายตามที่มีผู้ป้ายสีไว้ (อ่านรายละเอียด น.3)
"ชวน"ยังห่วงคดียุบพรรค
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธาน พร้อมด้วยนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายผู้ว่าความประชุมหารือแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรค โดยเชิญนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรม การสภาที่ปรึกษาพรรคและอดีตหัวหน้าพรรค นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตกรรมการบริหารพรรค เข้าให้ข้อมูล
หลังประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง นายชวนให้สัมภาษณ์ว่า คดียุบพรรคครั้งนี้กับครั้งที่แล้วคนละประเด็นกัน เมื่อถามว่ามีข้ออะไรที่น่าหนักใจหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า เวลาถูกฟ้องคงไม่มีใครสบายใจ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายกล่าวว่า ขณะนี้การตรวจสอบเริ่มพิจารณาลึกลงไปในเนื้อข้อเท็จจริงของคดี จึงไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ ส่วนการพิจารณาวันนี้ที่มีการเชิญผู้มาชี้แจง ทั้ง 3 คนยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ จะสามารถทำคำชี้แจงการต่อสู้คดีได้ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และถ้าศาลรับเรื่องไว้พิจารณา ก็จะส่งคำกล่าวหาให้พรรค และเมื่อได้รับคำกล่าวหาถึงจะเริ่มนับหนึ่งเพื่อแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
ทนาย"บัณฑิต"มั่นใจชนะ
รายงานข่าวแจ้งว่า การหารือวันนี้ที่ประชุมแสดงความมั่นใจว่าพรรคจะไม่ถูกยุบ เพราะมีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่มั่นใจว่าจะหักล้างคดีได้ โดยเฉพาะนายบัณฑิต แสดงความมั่นใจว่าจะชนะคดี ส่วนที่มีความกังวลว่าหากศาลรัฐธรรม นูญตัดสินยุบพรรค อาจจะกระทบต่อเสถียร ภาพของรัฐบาลนั้น ที่ประชุมเห็นว่ากรณีนี้อาจไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ แต่อาจกระทบกับคนที่เกี่ยวข้อง และเป็นผู้เซ็นเอกสารโดยตรง โดยอาจจะมี 5-6 คนเท่านั้นที่ถูกตัดสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่กระทบกับเสถียรภาพรัฐบาลมากนัก ที่ประชุมย้ำกับผู้เข้าร่วมประชุมงดให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าว เนื่องจากการพิจารณาขณะนี้ลงลึกไปในรายละเอียดของคดี สำหรับการประชุมนัดต่อไปนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากนายบัณฑิต ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ 1 สัปดาห์ ดังนั้น จะมีการประชุมเฉพาะชุดเล็กเท่านั้น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงตอบโต้แกนนำนปช.ที่ระบุนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอนำสำนวนคดียุบพรรคมาให้พรรคประชาธิปัตย์ไว้ต่อสู้คดี ว่า นายธาริตไม่เคยนำสำนวนมาให้พรรคและไม่เคยช่วยพรรค เพราะสำนวนคดีนี้อธิบดีดีเอสไอคนก่อนยื่นให้กกต.ไปหมดแล้ว
โต้ตั้งพรรคสำรอง-ไม่จริง
ส่วนที่จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยระบุประชาธิปัตย์ตั้งพรรคสำรองเอาไว้แล้ว โดยจะให้นายชวน เป็นหัวหน้าพรรค นายเทพไทกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง การให้สัมภาษณ์ของนายจาตุรนต์ หวังผลทางการเมืองให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ระส่ำระสาย กระทบเสถียรภาพรัฐบาล และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่มั่นใจ
นายเทพไทกล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลเป็นห่วงคือกรณีมีม็อบเสื้อหลากสีออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง ยืนยันรัฐบาลไม่ได้จ้างบุคคลดังกล่าวมาตามที่แกนนำนปช.กล่าวหา บุคคลดังกล่าวมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ต้องการออกมาปกป้องสถาบัน และหวังจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ที่แกนนำ นปช.กล่าวหาว่ามีการจ้างมาคงเพราะตัวเองเคยใช้วิธีนี้มาก่อน นอกจากนี้พรรคยังห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมโดยการยิงจรวดอาร์พีจีเข้าใส่คลังน้ำมันย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี รัฐบาลเป็นห่วงว่าอาวุธสงครามที่หายไปยังไม่ได้รับคืนมาเป็นจำนวนมาก จึงห่วงว่าจะมีบุคคลบางกลุ่มนำอาวุธดังกล่าวไปใช้สู้รบกับเจ้าหน้าที่ และยังประเมินว่าสถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกจากคลังน้ำมันแล้วยังมีโรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีจ่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ กระทั่งหอบังคับการการบิน เพราะหากเกิดวินาศกรรมขึ้นจะสร้างความสูญเสียยิ่งกว่าปิดสนามบิน
จี้ส.ส.ขึ้นเวทีม็อบลาออก
เวลา 16.00 น. ที่รัฐสภา นายพิมพ์พล แสงเมือง นักกฎหมายกลุ่มอาสาปกป้อง ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผ่านทางนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 27 คน ที่ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถือว่ากระทำผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง ส.ส.กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้มีส่วนร่วมในการยุยงปลุกปั่นจนทำให้เกิดเหตุการณ์ 10 เม.ย. หากยังไม่ลาออกตนจะยื่นถอดถอนต่อไป
นายวัชระกล่าวว่า นอกจากนี้ตนจะหาช่องทางยื่นยุบพรรคเพื่อไทยด้วย เนื่องจากถือว่ามีการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยจะยื่นทันทีที่รวบรวมหลักฐานเสร็จ
"หนั่น"ทวงสัญญาแก้รธน.
ที่รัฐสภา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประ ธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ระบุให้ความสำคัญกับคดียุบพรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ว่า ไม่ทราบ คดียุบพรรคเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรม นูญ เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลกดดันพรรคประชาธิปัตย์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมากเกินไปหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ไม่ แต่เขาตกลงกันมาอย่างนั้น เรียกร้องให้แก้ไขก่อนยุบสภา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรคก่อน หรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ก็สุดแล้วแต่ ถ้าถูกยุบ รัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ได้ ต้องว่ากันใหม่
ต่อข้อถามพรรคร่วมรัฐบาลจะชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เวลาพรรคประชาธิปัตย์ไปทำคดียุบพรรคก่อนหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ถูกยุบตอนนี้ จะชะลออะไร มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มีคนเรียกร้องให้ยุบสภา เราขอเวลา 9 เดือนแต่ยังตกลงกันไม่ได้ ควรมาทำเรื่องนี้ก่อน ถ้ามันอยู่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็มีเวลาไปเตรียมการสู้คดี ในพรรคประชาธิปัตย์แบ่งหน้าที่กัน มีคณะทำงานฝ่ายกฎหมายสู้คดียุบพรรค ใครที่เป็นฝ่ายบริหารก็มาทำเรื่องแก้ปัญหาการชุมนุม อย่านำ 2 เรื่องปนกัน ให้ทำคู่ขนานกันไป ช่วง 9 เดือนสามารถแก้ได้หมดทุกเรื่อง
บอก"ปชป."อย่าปอดแหก
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดจากคดียุบพรรคนี้หรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์อยู่มา 64 ปี เท่าที่ฟัง เงินต่างๆ ไม่ได้เข้ามาในพรรคประชาธิปัตย์อย่างที่มีเป็นหลักฐาน เชื่อมั่นว่าคงไม่เกี่ยวพันกับพรรคประชาธิปัตย์มาก ส่วนกรณีเงินสนับสนุนกิจกรรมพรรคการเมือง 29 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์คงต้องมีหลักฐาน อย่าไปตื่นเต้น เมื่อถามถึงนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินว่าอาจแพ้คดีนี้ได้ พล.ต.สนั่นหัวเราะพร้อมกล่าวว่า "ถ้าปอดแหกอย่างนั้น อย่าไปสู้สิ"
พล.ต.สนั่น กล่าวถึงพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พึ่งพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง ว่า เรื่องนี้นำมาแถลงข่าวไม่ได้ ด้วยความเคารพ ท่านควรหยุดสักนิดแล้วมาช่วยกันแก้ปัญหา เช่น ช่วยกันพูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้เกิดความเข้าใจ หรือให้ถอยกันคนละนิด เมื่อถามว่าบุคคลทั้งสองดื้อดึงหรือไม่เพราะมีเสียงติติงว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควร พล.ต. สนั่น กล่าวว่า คงหยุดไม่ได้แล้ว เพราะถ้าหยุดก็ถูกด่ามาก และราชเลขาธิการจะว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น
มท.ชี้"นปช."แนวร่วมเยอะ
ที่กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ยังไม่ติดต่อมายังพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะนัดหารือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันเวลาใด พรรคภูมิใจไทยยืนยันจะจับมือพรรคชาติไทยพัฒนา และให้เป็นแกนนำไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อถามว่าจะมีทางออกเรื่องการแก้รัฐธรรม นูญอย่างไร เพราะท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยืนกรานไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรม นูญ นายชวรัตน์ กล่าวว่า ก็เห็นว่าอย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มนปช. ที่ชุมนุมยืดเยื้อมาเป็นเวลายาวนาน 40 กว่าวันนั้น รมว. มหาดไทย กล่าวว่า เป็นการชุมนุมที่เกินกว่าคาดหมายไว้ ไม่ทราบว่าเหตุใดกลุ่มนปช.ถึงมีแนวร่วมมากขนาดนี้ สำหรับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มนปช.กับกลุ่มเสื้อหลากสี ยังอาจนำมาซึ่งความสูญเสียด้วยหากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน อยากให้การชุมนุมยุติโดยเร็ว รัฐบาลจะได้เดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไปได้
ส.ว.ยื่นเสนอแนะทางออก
เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา เข้ายื่นหนังสือต่อนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นรายงานผลการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่พิจารณาญัตติเรื่องขอให้เรียกประชุมวุฒิสภาเป็นกรณีพิเศษเป็นการด่วนที่สุด เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ของประเทศ
นายสิงห์ชัย กล่าวว่า ส.ว.ทุกคนเป็นห่วงสถานการณ์ขณะนี้ จึงรวบรวมคำอภิปราย ข้อเสนอแนะของสมาชิกในการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ซึ่งเราเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหา แม้ไม่เป็นมติของวุฒิสภาแต่หวังว่าฝ่ายบริหารจะเห็นความสำคัญในข้อคิดเห็นต่างๆ นอกจากนี้ ตนจะนำรายงานดังกล่าวไปยื่นกับกลุ่มนปช.ที่แยกราชประสงค์ในวันเดียวกัน โดยข้อสรุปของส.ว.ส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ใช้การเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายอีกครั้งและอย่าสร้างสถาน การณ์ยั่วยุ
นายสาทิตย์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ขณะนี้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่รัฐบาลตั้งใจจะใช้เวทีรัฐสภาโดยจะขอมติจากที่ประชุมครม. วันอังคารที่ 27 เม.ย.นี้ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
จี้"มาร์ค-เทือก"ลาพักงาน
เวลา 14.15 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ร่วมแถลงข่าว นายเรืองไกรกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ส.ว.ต้องการให้นายกฯ รับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุด ตามที่เคยประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ โดยเฉพาะข้อ 9 ระบุความรับผิดชอบทางการเมืองต้องอยู่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ดังนั้น นายกฯจะแสดงความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจากเหตุปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย.อย่างไร
นายเรืองไกรกล่าวว่า หากย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธ มิตรฯ นายอภิสิทธิ์เป็นผู้เสนอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง นำไปสู่กระบวนการถอดถอนผู้ที่สั่งสลายการชุมนุม ดังนั้นจึงขอเสนอให้นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ลาพักจนกว่าจะทราบผลสอบสวนข้อเท็จจริง และตั้งคนขึ้นมารักษาการแทนเหมือนที่อดีตนายกฯเคยทำมาก่อน และคงไม่เป็นปัญหาเพราะพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นเสียงข้างมาก ทำงานได้อยู่ ไม่ต้องห่วงการแต่งตั้งโยกย้ายทหารและตำรวจ หรือการผ่านงบประมาณ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลให้คำปรึกษาได้ ข้อเสนอนี้ไม่ใช่การกดดันให้ยุบสภาหรือลาออก แต่ต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาล แกนนำนปช. และพรรคร่วมมีทางออก
ย้ำต้องแก้ด้วยการเจรจา
นางนฤมลกล่าวว่า กลุ่มส.ว.ต้องออกมาเคลื่อนไหวเพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงและใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุม จึงออกแถลงการณ์เพื่อเป็นข้อเสนอกับรัฐบาล คือให้รัฐบาลกำหนดขั้นตอนวิธีแก้ปัญหาด้วยการเจรจา ไม่ใช้สื่อของรัฐสร้างความแตกแยก ดังนั้น ควรให้โทรทัศน์เสนอข่าวการชุมนุมได้โดยไม่ปิดกั้น รัฐบาลต้องป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดเหตุปะทะกันระหว่างบุคคลหลายกลุ่มกับกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนที่เกิดขึ้นที่ถนนสีลม เมื่อคืนวันที่ 21 เม.ย. และสุดท้ายรัฐบาลต้องใช้สภาเป็นหลักในการแก้ปัญหา
วันเดียวกัน นายอนุรักษ์ นิยมเวช ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา พร้อมคณะกรรมา ธิการออกแถลงการณ์ว่า คณะกรรมาธิการมีมติเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้ 1.ต้องแก้ปัญหาด้วยการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายด้วยสันติวิธี 2.เปิดโอกาสให้ผู้มีความคิดเห็นที่แตกต่างได้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม 3.ป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดและกลุ่มต่างๆ เผชิญหน้าจนเกิดการปะทะกัน และ 4.ต้องใช้รัฐสภาเป็นหลักแก้ปัญหา โดยเฉพาะการประชุมส.ว.ที่ยื่นขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ก่อนจะดำเนินการตามมาตรา 179
แม้วส่งทนายแจ้งจับ"กษิต"
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการกองปราบปราม นายสุภาพ เพชรศรี รับมอบอำนาจต่อจากนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ทนายความของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.มาโนชญ์ สวนดอกไม้ พงส.(สบ2) กก.1บก.ป. เพื่อให้ดำเนินคดีนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ในการประชุมสุดยอดความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (NSS) ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกิ้นส์ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ในคำสัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นความจริง และยังทำให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับความเสียหาย พร้อมกับนำสำเนาของหนังสือพิมพ์ข่าวสดและหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 14 เม.ย. 2553 ที่ตีพิมพ์คำสัมภาษณ์ของนายกษิต มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย
พ.ต.ท.มาโนชญ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำฝ่ายผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดดำเนินการต่อไป เนื่องจากเป็น กรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
มาร์คยังไม่นัดคุยพรรคร่วม
เวลา 19.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าว ศอฉ. ใน กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้รัฐ ธรรมนูญว่า ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์มอบให้ตนกับนายสุเทพ ไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขณะนี้ยังไม่มีโอกาส แต่คิดว่าพรรคร่วมเข้าใจเพราะสิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร คือเราเข้าใจความต้องการและความคิดเห็นของพรรคร่วม แต่ประเด็นของรัฐธรรมนูญจะต้องตอบสังคม ฉะนั้นการทำความเข้าใจกับสังคมเพื่อให้ยอมรับเป็นหัวใจสำคัญ เดิมคิดว่าถ้าทำประชามติจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด ยังติดขัดอยู่ ต้องมาคุยกันว่าจะมีวิธีการรับฟังและสื่อสารและหาคำตอบให้สังคมอย่างไร
เมื่อถามถึงกลุ่มคนเสื้อแดงมีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา ล่าสุดพล.อ.ชวลิต ขอเข้าเฝ้าฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเชื่อมโยงกันทั้งหมด อย่างวันนี้ตนทำหนังสือถึงสภา ไม่ไปตอบกระทู้เพราะไม่ต้องการให้สถานการณ์มีปัญหามากยิ่งขึ้น แต่ตนก็ติดตามการอภิปรายของสมาชิกโดยเฉพาะฝ่ายค้าน การไม่ไปสภาวันนี้ไม่ใช่เพราะตนไม่สนใจการแก้ปัญหาทางการเมือง แต่เวทีและรูปแบบต้องเหมาะสม ไม่เป็นตัวเติมเชื้อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้ามีการตอบโต้ในสภา ต่างฝ่ายจะพูดในสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริง จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันมากขึ้น ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 นั้น จะเสนอต่อครม.ต่อไป
เมื่อถามว่าพล.อ.ชวลิต ออกแถลงการณ์พาดพิงตัวนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์เคยขอพระราชทานรัฐบาลแห่งชาติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพูดถึงกรณีนี้เป็นกรณีที่ตนเสนอว่าเป็นความพร้อมใจของทุกฝ่าย จะต้องเอาสถาน การณ์ไปเทียบเคียงกัน
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
************************************************
UN USA แคนาดา วอนให้ทุกฝ่ายในไทยเลี่ยงความรุนแรง
นายมาร์ติน เนซินสกี้ โฆษกสหประชาชาติกล่าวในการบรรยายสรุปแก่สื่อมวลชนที่นครนิวยอร์คของสหรัฐเมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นว่า นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ วิตกอย่างยิ่งเรื่องการเผชิญหน้าที่ยืดเยื้อและความตึงเครียดในไทย รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะปานปลายไปมากกว่านี้ โดยถ้อยแถลงของเขามีขึ้นหลังเกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 หลายระลอกในย่านสีลมของไทยเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งชาวต่างประเทศหลายคน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างผู้ประท้วงเสื้อแดงกับผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล
นายเนซินสกี้ กล่าวด้วยว่าสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติที่กรุงเทพฯได้รับจดหมายจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแเดงแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม และขอวิงวอนให้บรรดาผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ไทยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและการสูญเสียเลือเนื้อเพิ่มมากขึ้น และทำงานพื่อแก้ไขสถานการณ์โดยสันติ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องการความอดกลั้นจากทุกฝ่าย
ด้าน นายฟิลิปส์ คราวเลย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ประณามเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น รวมทั้งบรรดาแกนนำของเสื้อแดงและกองกำลังความมั่นคงของไทย เช่นเดียวกับ นายลอว์เรนซ์ แคนนอน รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศแคนาดา ที่บอกว่าเสียใจมากต่อความรุนแรงและการเสียชีวิตล่าสุดในไทย และขอประนามอย่างรุนแรงต่อการใช้ความรุนแรงที่ขลาดเขลาแบบนี้ ซึ่งเขาหมายถึงการโจมตีด้วยระเบิดต่อผู้ชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล
นายแคนนอนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยวิธีการที่มีสันติ โปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย แทนที่จะหันเข้าหาความรุนแรง ขณะเดียวกันแคนาดาได้ออกคำเตือนให้ชาวแคนาดาหลีกเลี่ยงย่านธุรกิจการค้าดังกล่าวในไทยที่กำลังมีการประท้วงและเสี่ยงจะเกิดการปะทะกับความไม่สงบมากขึ้น พร้อมเตือนให้ชาวแคนาดาหลีกเลี่ยงการเดินขบวนและสถานที่ประท้วงทุกรูปแบบ รวมทั้งที่ตั้งทางทหารและสถานที่ๆมีการชุมนุมของบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของไทย
ที่มา.เนชั่น
************************************************
นายเนซินสกี้ กล่าวด้วยว่าสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติที่กรุงเทพฯได้รับจดหมายจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแเดงแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม และขอวิงวอนให้บรรดาผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ไทยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและการสูญเสียเลือเนื้อเพิ่มมากขึ้น และทำงานพื่อแก้ไขสถานการณ์โดยสันติ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องการความอดกลั้นจากทุกฝ่าย
ด้าน นายฟิลิปส์ คราวเลย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ประณามเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น รวมทั้งบรรดาแกนนำของเสื้อแดงและกองกำลังความมั่นคงของไทย เช่นเดียวกับ นายลอว์เรนซ์ แคนนอน รัฐมนตรีกิจการต่างประเทศแคนาดา ที่บอกว่าเสียใจมากต่อความรุนแรงและการเสียชีวิตล่าสุดในไทย และขอประนามอย่างรุนแรงต่อการใช้ความรุนแรงที่ขลาดเขลาแบบนี้ ซึ่งเขาหมายถึงการโจมตีด้วยระเบิดต่อผู้ชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล
นายแคนนอนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยวิธีการที่มีสันติ โปร่งใสและเป็นประชาธิปไตย แทนที่จะหันเข้าหาความรุนแรง ขณะเดียวกันแคนาดาได้ออกคำเตือนให้ชาวแคนาดาหลีกเลี่ยงย่านธุรกิจการค้าดังกล่าวในไทยที่กำลังมีการประท้วงและเสี่ยงจะเกิดการปะทะกับความไม่สงบมากขึ้น พร้อมเตือนให้ชาวแคนาดาหลีกเลี่ยงการเดินขบวนและสถานที่ประท้วงทุกรูปแบบ รวมทั้งที่ตั้งทางทหารและสถานที่ๆมีการชุมนุมของบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของไทย
ที่มา.เนชั่น
************************************************
"ผบก.น.1"เจรจาแกนนำนปช. ขอรื้อถอนแนวกั้น
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 ได้เดินทางมาเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยขอให้รื้อถอนสิ่งกีดขาวง และถอยร่นออกไปจากถึงบริเวณสี่แยกสารสิน แต่นายขวัญชัย ไพรพนา ได้แจ้งว่าจะถอนร่นผู้ชุมนุมไปยังบริเวณแยกสารสิน แต่ไม่สามารถจะรื้อถอนสิ่งกีดขวางได้ เพื่อตนมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.วิชัย จึงได้กล่าวตอบไปว่า ขอให้ถอยร่นกลุ่มผู้ชุมนุมไปก่อน และตนจะเข้าไปเจราจกับนายณัฐวุฒิเอง จากนั้นพล.ต.ต.วิชัย ได้ขึ้นไปยังรถขยายเสียง โดยได้กล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าตำรวจไม่ได้มาสลายการชุมนุม หรือมายึดพื้นที่คืน แต่เนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการกระทบกระทั่งกับระหว่างคนเสื้อแดงกับกลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งผู้บังคับบัญชาไม่อยากจะให้เกิดปัญหาเรื่องการกระทบกระทั่งกันอีก ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องให้คนเสื้อแดงถอยออกจากแนวกั้นประมาณ 100 เมตร หลังจากนั้นตนจะเดินทางไปเดินทางไปเจรจากับแกนนำนปช. เพื่อดำเนินการดำเนินในเรื่องนี้ต่อไป ส่วนตำรวจนั้นตนจะสั่งให้กลับไปทั้งหมด ขอให้คนเสื้อแดงเบาใจได้ว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๊งดอกจิก ได้แจ้งกลับไปยัง พล.ต.ต.วิชัย ว่าการจะให้คนเสื้อแดงถอยก่อนคงทำไม่ได้ เพราะมวลชนคงจะไม่ยอม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องถอยก่อน ตนจึงจะสั่งให้คนเสื้อแดงถอยกลับได้ ดังนั้น พล.ต.ต.วิชัย จึงได้แจ้งว่าเอาเป็นว่า "เราต่างคนต่างถอย" จะไม่ได้มีปัญหา จากนั้น พล.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถอยหลังกลับออกไป 5 ก้าว ทำให้คนเสื้อแดงส่งเสียงร้องชอบใจ พล.ต.อ.ฤชากร กล่าวว่า ตนอยู่กับพวกท่านมาตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้มีความสูญเสียอีกแล้ว เพราะขณะนี้มีผู้ไม่หวังปะปนเข้ามา ดังนั้นขอให้คนเสื้อแดงช่วยดูคนข้างๆตนเองด้วยว่ารู้จักหรือไม่ ถ้าไม่รู้จักก็ให้มาแจ้งเจ้าหน้าที่ได้
จากนั้น 08.40 น. พล.ต.ต.วิชัย ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำพรวจถอยกลับที่ตั้ง พร้อมทั้งกล่าวว่าตนพูดคำไหนคำนั้น เมื่อตนสั่งให้ตำรวจถอยกลับที่ตั้งแล้ว ก็ขอให้คนเสื้อแดงกลับเข้าไปในแนวของตนเอง เพื่อให้การจารจรสามารถเคลื่อนไหวตัวได้ และจะได้ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน
ที่มา.เนชั่น
************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๊งดอกจิก ได้แจ้งกลับไปยัง พล.ต.ต.วิชัย ว่าการจะให้คนเสื้อแดงถอยก่อนคงทำไม่ได้ เพราะมวลชนคงจะไม่ยอม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องถอยก่อน ตนจึงจะสั่งให้คนเสื้อแดงถอยกลับได้ ดังนั้น พล.ต.ต.วิชัย จึงได้แจ้งว่าเอาเป็นว่า "เราต่างคนต่างถอย" จะไม่ได้มีปัญหา จากนั้น พล.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถอยหลังกลับออกไป 5 ก้าว ทำให้คนเสื้อแดงส่งเสียงร้องชอบใจ พล.ต.อ.ฤชากร กล่าวว่า ตนอยู่กับพวกท่านมาตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้มีความสูญเสียอีกแล้ว เพราะขณะนี้มีผู้ไม่หวังปะปนเข้ามา ดังนั้นขอให้คนเสื้อแดงช่วยดูคนข้างๆตนเองด้วยว่ารู้จักหรือไม่ ถ้าไม่รู้จักก็ให้มาแจ้งเจ้าหน้าที่ได้
จากนั้น 08.40 น. พล.ต.ต.วิชัย ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำพรวจถอยกลับที่ตั้ง พร้อมทั้งกล่าวว่าตนพูดคำไหนคำนั้น เมื่อตนสั่งให้ตำรวจถอยกลับที่ตั้งแล้ว ก็ขอให้คนเสื้อแดงกลับเข้าไปในแนวของตนเอง เพื่อให้การจารจรสามารถเคลื่อนไหวตัวได้ และจะได้ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน
ที่มา.เนชั่น
************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)