ปัดไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเจ้าหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง ใจความว่ากระผมขอย้ำว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต และไม่เห็นประชาธิปไตยในระบอบไหนที่จะดีสำหรับเมืองไทยเกินกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงอยู่นอกการเมือง แต่ทรงอยู่เพื่อปกเกล้าประชาธิปไตย ทรงมีคุณูปการต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ประเทศไทยรักษาเอกราชบ้านเมืองอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และยามใดที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบเผด็จการ มีฝ่ายใดที่ได้อำนาจ และใช้อำนาจจนก่อความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน ท่านก็ทรงคานการใช้อำนาจเช่นนั้น ดังเช่นในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่พระมหากษัตริย์ทรงทำให้การเมืองถูกต้องมิใช่หรือ
นอกจากนั้นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมือง ทรงยุติความขัดแย้ง นำประเทศออกจากวิกฤตมาได้โดยตลอด ดังที่เคยรับสั่งให้พล.อ.สุจินดา คราประยูร และพล.ต จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯพร้อมกัน และทรงตรัสให้ทังสองฝ่ายร่วมกันยุติวิกฤตการณ์ ถ้าไม่มีบทบาทของพระมหากษัตริย์เช่นนั้นแล้ว บ้านเมืองคงได้พินาศย่อยยับไปแล้ว เช่นนี้จะไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในยามวิกฤตได้อย่างไร ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยเรียกร้องรัฐบาลพระราชทาน ตามมาตรา 7 และพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 7 ไม่ได้บัญญัติไว้ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ในการพระราชทานรัฐบาล แต่การที่กระผมได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณฯพระบารมีปกเกล้าฯให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยที่ยังไม่ได้มีพระราชวินิจฉัยใดๆทั้งสิ้นว่าเป็นเช่นไร แล้วทำไมจึงมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระผมก่อน ซึ่งมิถือเป็นการละเมิดพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชอำนาจหรือ
พล.อ.ชวลิต ระบุอีกว่า นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้เคยเสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เมื่อครั้งซาวเสียงผู้ควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมกับนายสมัคร สุนทรเวช แต่ต่อมาก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตามพระราชดำรัส ”รู้รักสามัคคี” และต่อมายังได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่าไม่ได้เคยเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ทำให้เห็นว่าท่านไม่มีจุดยืน เพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ถือเป็นสองมาตรฐานหรือไม่ครับ ท่านสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้การทรงรับฎีกาจากราษฎร ถือเป็นธรรมเนียมอันมีมายาวนานของพระมหากษัตริย์ไทย และการถวายฎีกาเป็นเสรีภาพของประชาราษฎรตลอดมา ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงจนถึงปัจจุบัน เป็นสัมพันธภาพระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ และพสกนิกรของพระองค์ที่ดีงามสูงส่งตลอดมาสะท้อนภาพถึงทศพิธราชธรรมของสถาบันพระมหากษัตริย์ และสะท้อนภาพความจงรักภักดีอย่างยิ่งของประชาราษฎร
การขอพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลขอพระบารมีปกเกล้าฯต่อปวงชนชาวไทย มิให้ถูกเข่นฆ่าโดยทหารบางคนในกองทัพ โดยคำสั่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของรัฐบาลนั้น มิได้ตีตนไปก่อนไข้แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ทหารบางคนโดยคำสั่งของรัฐบาล ได้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนแล้วนับสิบๆศพ และด้วยคำสั่งรัฐบาลที่ผิดนี้ จึงเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิตประมาณ 5-6 ศพ และบาดเจ็บทั้งสิ้นกว่า 800 คน ซึ่งขัดต่อพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ในฐานะพระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และองค์รัฏฐาธิปัตย์ และจอมทัพไทย ที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นต่อพระองค์ และเมื่อมีการบาดเจ็บล้มตายเสียเลือดเนื้อแล้ว รัฐบาลยังไม่หยุด ยังจะมีการเดินหน้าเข่นฆ่าปราบปรามประชาชนต่อไปอีก กระผมจึงไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าไม่มีสถาบันใดอีกแล้ว ที่จะสามารถหยุดยั้งได้
นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ทรงความยุติธรรมทางการเมืองเพียงสถาบันเดียวเท่านั้น และจะต้องยุติยับยั้งให้ทันต่อสถานการณ์ก่อนจะสายเกินการณ์ กระผมจึงตัดสินใจของพระบารมีปกเกล้าฯให้แก่ประชาชนดังกล่าว อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และไม่มีทางเลือกใดทั้งสิ้น ใครคือผู้รับผิดชอบและใครกันแน่ที่ไม่รับผิดชอบ ใครผิดใครถูก ลองคิดดูด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรมและมีคุณธรรม อย่ายึดแต่หลักนิติรัฐ แต่ไม่มีหลักนิติธรรม หรือจงถือหลักธรรมเป็นอำนาจ อย่าถืออำนาจเป็นธรรม และขอยืนยันว่ากระผมเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ เพื่อต่อสู้เอาชนะขบวนการการเผด็จการรัฐสภา เผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการทุกชนิด มิใช่หัวหน้าผู้ก่อการร้ายตามที่มีผู้ป้ายสีไว้แต่ประการใดทั้งสิ้น
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553
"จิ๋ว" แถลงการณ์แจงกรณีขอเข้าเฝ้าฯ
สปน.รับลูกตั้งอนุกก. 5 ชุดคลี่ปม-เยียวยาชุมนุมเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรวบรวมและประมวลเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 และเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง (คปช.) ครั้งที่ 1/2553 ที่ห้องประชุม 211 เอ กรมประชาสัมพันธ์ หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นรองประธาน ปลัดกระทรวง/หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้แทนสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่องต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริง ในเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งได้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน โดยได้มีการกำหนดกรอบและแนวทางในการรวบรวมและประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป รวมทั้งผลกระทบในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายจะไม่มีการสรุปหรือพิสูจน์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากกล่มบุคคลใด เพื่อจัดทำสรุปรายงานภาพรวมเสนอนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่ประสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบ
นอกจากนี้ยังได้เสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551 และครม.ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ใช้เงินเหลือจ่ายและกันไว้แล้ว จำนวน 19,752,500 บาทโดยให้เบิกจ่ายเป็นครั้งคราวไป
ปลัดสปน. กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้มีมติให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 5 คณะ เพื่อทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลและประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่หลากหลายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้มอบหมายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นโฆษกประจำคณะกรรมการรวบรวมและประมวลเหตุการณ์ความไม่สงบฯ ทำหน้าที่เป็นผู้แถลงข่าวผลการประชุมของคณะกรรมการ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวข้องในด้านนโยบายของรัฐบาลต้องนำเสนอนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมีการให้ข่าวต่อไป
ที่มา.เนชั่น
**********************************************
นอกจากนี้ยังได้เสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2551 และครม.ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ใช้เงินเหลือจ่ายและกันไว้แล้ว จำนวน 19,752,500 บาทโดยให้เบิกจ่ายเป็นครั้งคราวไป
ปลัดสปน. กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้มีมติให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 5 คณะ เพื่อทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลและประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่หลากหลายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้มอบหมายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นโฆษกประจำคณะกรรมการรวบรวมและประมวลเหตุการณ์ความไม่สงบฯ ทำหน้าที่เป็นผู้แถลงข่าวผลการประชุมของคณะกรรมการ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวข้องในด้านนโยบายของรัฐบาลต้องนำเสนอนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมีการให้ข่าวต่อไป
ที่มา.เนชั่น
**********************************************
ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งจับ "กษิต" หมิ่นประมาท
ทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แจ้งกองปราบเอาผิด นายกษิต ภิรมย์ กรณีหมิ่นประมาทว่าอยู่เบื้องหลังเหตุวุ่นวายในไทย
วันนี้ (22 เม.ย.)เมื่อเวลา 10.00 น. นายสุภาพ เพชรศรี รับมอบอำนาจช่วงจาก นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.มาโนชญ์ สวนดอกไม้ พงส.( สบ 2) กก.1 บก.ป.ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีที่นายกษิต ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ระหว่างเข้าร่วมประชุมสุดยอดความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (NSS) ที่ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกิ้นส์ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับนำสำเนา น.ส.พ.มติชน และ น.ส.พ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 14 เมษายน 2553 ที่ตีพิมพ์ข่าว ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ของนายกษิต มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายสุภาพ กล่าวว่า การที่นายกษิต ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ก่อการร้ายและอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งกล่าวตำหนิประเทศต่างๆ ที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าพำนัก กล่าวโจมตีองค์กรตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ว่า ไม่ให้ความร่วมมือในการจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ล้วนเป็นการกล่าวหาที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับความเสียหาย ตนจึงได้รับมอบอำนาจช่วงจากทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้โดยขอให้พนักงานสอบสวนพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายกษิต ให้ถึงที่สุด
ขณะที่ พ.ต.ท.มาโนชญ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้ในเบื้องต้นแล้ว โดยจะเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการเนื่องจากคดีนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศจึงต้องส่งเรื่องให้กับทางอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินการต่อไป
ที่มา.VOICE TV
***************************************************
วันนี้ (22 เม.ย.)เมื่อเวลา 10.00 น. นายสุภาพ เพชรศรี รับมอบอำนาจช่วงจาก นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.มาโนชญ์ สวนดอกไม้ พงส.( สบ 2) กก.1 บก.ป.ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีที่นายกษิต ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ระหว่างเข้าร่วมประชุมสุดยอดความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (NSS) ที่ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกิ้นส์ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับนำสำเนา น.ส.พ.มติชน และ น.ส.พ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 14 เมษายน 2553 ที่ตีพิมพ์ข่าว ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสัมภาษณ์ของนายกษิต มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายสุภาพ กล่าวว่า การที่นายกษิต ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ก่อการร้ายและอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งกล่าวตำหนิประเทศต่างๆ ที่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าพำนัก กล่าวโจมตีองค์กรตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ว่า ไม่ให้ความร่วมมือในการจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ล้วนเป็นการกล่าวหาที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับความเสียหาย ตนจึงได้รับมอบอำนาจช่วงจากทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้โดยขอให้พนักงานสอบสวนพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายกษิต ให้ถึงที่สุด
ขณะที่ พ.ต.ท.มาโนชญ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้ในเบื้องต้นแล้ว โดยจะเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการเนื่องจากคดีนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศจึงต้องส่งเรื่องให้กับทางอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินการต่อไป
ที่มา.VOICE TV
***************************************************
พท.ปูดนักธุรกิจจ่าย 100 ล้านหนุนม๊อบชนม๊อบแดง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกลุ่มต่างๆออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการยุบสภาและแสดงความไม่พอใจต่อการชุมนุมของเสื้อแดง ว่า ขณะนี้ได้รับข่าวเชิงลึกจากนักธุรกิจบางส่วนว่า มีนักธุรกิจร่วมกันลงขันครั้งละ100 ล้านบาท จัดให้มีทั้งม๊อบเชียร์ และ ม๊อบชน โดยมีการจัดม๊อบแบ่งเป็นหลายกลุ่ม มีทั้งกทม.และต่างจังหวัด เน้นพื้นที่ๆมีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนักการเมืองจะหนุนในเรื่องของฐานมวลชน ส่วนกลุ่มธุรกิจจะสนับสนุนกลุ่มการเมืองโดยหนุนในเรื่องการเคลื่อนไหว โดยมี 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เป็นตัวหลัก จึงสังเกตว่าม๊อบพวกนี้จะส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้สื่อของรัฐบาลในการช่วยโปรโมต
“ทั้งนี้จะเห็นได้จากการชุมนุมมีความเข้มข้นขึ้น เนื่องจากต้องการต่ออายุรัฐบาล ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการแบ่งชนชั้นระหว่างนายทุนที่หนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนักการเมือง กองทัพ และกลุ่มแนวร่วมอำมาตย์” นายพร้อมพงศ์ กล่าวและว่า และขอตั้งข้อสังเกตว่าคนชุมนุมที่มาจากเสื้อหลากสีทำผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่รัฐบาลไม่มีการดำเนินการใดๆ ไม่ว่าฝ่ายศอฉ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการปฏิบัติสองมาตรฐาน และ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบตามมาตรา 157 ดังนั้นในสัปดาห์หน้าพรรคเพื่อไทยจะไปยื่นฟ้องต่อป.ป.ช.และ กระบวนการยุติธรรม
เพื่อเอาผิดต่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. และ รักษาการผบ.ตร.ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ต่อไปสำหรับในวันที่23 เม.ย.นี้ทางทูตานุทูตจากประเทศต่างๆจะเดินทางเข้าพบพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ ประธานพรรคเพื่อไทย เพื่อมารับฟังและชี้แจงกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
ที่มา.เนชั่น
************************************************
“ทั้งนี้จะเห็นได้จากการชุมนุมมีความเข้มข้นขึ้น เนื่องจากต้องการต่ออายุรัฐบาล ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการแบ่งชนชั้นระหว่างนายทุนที่หนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนักการเมือง กองทัพ และกลุ่มแนวร่วมอำมาตย์” นายพร้อมพงศ์ กล่าวและว่า และขอตั้งข้อสังเกตว่าคนชุมนุมที่มาจากเสื้อหลากสีทำผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่รัฐบาลไม่มีการดำเนินการใดๆ ไม่ว่าฝ่ายศอฉ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการปฏิบัติสองมาตรฐาน และ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบตามมาตรา 157 ดังนั้นในสัปดาห์หน้าพรรคเพื่อไทยจะไปยื่นฟ้องต่อป.ป.ช.และ กระบวนการยุติธรรม
เพื่อเอาผิดต่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. และ รักษาการผบ.ตร.ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ต่อไปสำหรับในวันที่23 เม.ย.นี้ทางทูตานุทูตจากประเทศต่างๆจะเดินทางเข้าพบพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ ประธานพรรคเพื่อไทย เพื่อมารับฟังและชี้แจงกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
ที่มา.เนชั่น
************************************************
พท.เปรียบพรรคร่วมรัฐบาลเกาะหมาเน่า
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติส่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติเช่นนี้เป็นการเห็นแก่ตัวเพราะยังมีความรู้สึกว่าเห็นแก่ประโยชน์ของพรรคพวกโดยมองว่าจะยื้อต่อไป ตนเสียใจกับนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่สนับสนุนให้รัฐบาลยุบสภานี่คือจากผู้นำที่ยึดหลักการ แต่วันนี้เมื่อรัฐบาลกำลังเสียเปรียบ นายชวนยอมถอนหลักการ ทำตัวเป็นหลักเสื่อมโดยการหนุนให้รัฐบาลไม่ยุบสภาและวันนี้ยอมให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพชี้นำ
โดยการกลืนเลือด กลับมติพรรคเป็น 360 องศา ถ่มน้ำลายแล้วมากลืนอีกเพราะเคยมีมติไม่แก้รัฐธรรมนูญ 6 ข้อตามที่กรรมการสมานฉันท์เสนอแต่วันนี้กลับมาแก้อีก วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น โดยไปเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาลในสองประเด็นคือเขาต้องการเขตเล็กเท่านั้นเองเพื่อไม่ให้การเลือกตั้งครั้งหน้าได้ส.ส.ลดลง และมีการบริหารจัดการในการซื้อเสียงง่ายขึ้น ดังนั้นทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลกำลังหาประโยชน์บนกองเลือดและหยดน้ำตาของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เม.ย. หากเปรียบรัฐบาลชุดนี้ก็เหมือนหมาเน่าลอยอยู่ และพรรคร่วมรัฐบาลก็ทำเหมือนหนอนไปเกาะหมาเน่าอีกที
ที่มา .เนชั่น
************************************************
โดยการกลืนเลือด กลับมติพรรคเป็น 360 องศา ถ่มน้ำลายแล้วมากลืนอีกเพราะเคยมีมติไม่แก้รัฐธรรมนูญ 6 ข้อตามที่กรรมการสมานฉันท์เสนอแต่วันนี้กลับมาแก้อีก วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น โดยไปเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาลในสองประเด็นคือเขาต้องการเขตเล็กเท่านั้นเองเพื่อไม่ให้การเลือกตั้งครั้งหน้าได้ส.ส.ลดลง และมีการบริหารจัดการในการซื้อเสียงง่ายขึ้น ดังนั้นทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลกำลังหาประโยชน์บนกองเลือดและหยดน้ำตาของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เม.ย. หากเปรียบรัฐบาลชุดนี้ก็เหมือนหมาเน่าลอยอยู่ และพรรคร่วมรัฐบาลก็ทำเหมือนหนอนไปเกาะหมาเน่าอีกที
ที่มา .เนชั่น
************************************************
สหรัฐฮึ่มเตือนยุติรุนแรง ชี้ชัดไม่มีก่อการร้ายแทรก
"เราไม่เชื่อความรุนแรงที่มีรูปร่างหรือรูปแบบวิธีแก้ปัญหานี้ท้าทายทางการเมือง .
We don't believe that violence in any shape or form is a solution to this political challenge.
ฟิลิป โครว์เลย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ
ทางการสหรัฐฯ แถลงเรียกร้องเมื่อวันพุธ ถึงรัฐบาลไทย และกลุ่มเสื้อแดงที่ประท้วงให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ โดยได้ขอให้แก้ปัญหาวิกฤติการเมืองโดยสันติ เพื่อไม่ให้ถลำลึกไปกว่านี้ โดยขอให้ทุกฝ่ายขัดแย้งหันมาร่วมมือแก้ปัญหา
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
*************************************************
We don't believe that violence in any shape or form is a solution to this political challenge.
ฟิลิป โครว์เลย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ
ทางการสหรัฐฯ แถลงเรียกร้องเมื่อวันพุธ ถึงรัฐบาลไทย และกลุ่มเสื้อแดงที่ประท้วงให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ โดยได้ขอให้แก้ปัญหาวิกฤติการเมืองโดยสันติ เพื่อไม่ให้ถลำลึกไปกว่านี้ โดยขอให้ทุกฝ่ายขัดแย้งหันมาร่วมมือแก้ปัญหา
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
*************************************************
อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 128 ปีศาลยุติธรรมไทย
รายงานพิเศษ
ในวาระศาลยุติธรรมสถาปนาครบรอบ 128 ปี สำนักงานศาลยุติธรรมจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "ศาลยุติธรรม ความคาดหวังของสังคมไทย" ที่ห้องประชุมชั้น 7 อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 21 เม.ย.
โอกาสนี้ นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ องคมนตรี และอดีตประธานศาลฎีกา เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษ มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ไม่ว่าระดับสังคมหรือประเทศ ต้องมีกฎระเบียบตามสุภาษิตละตินที่ว่า "ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย"
ประเทศชาติเหมือนกัน ไม่ว่าประเทศใดในโลกปกครองด้วยระบอบใด ต้องมีกฎระเบียบ กฎหมายปกครองประเทศทั้งนั้น
สิ่งสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือการปกครองในแบบนิติรัฐ เป็นการปกครองโดยกฎหมายที่ออกแบบโดยประชาชนหรือตัวแทนประชาชน การใช้อำนาจรัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ถ้าไม่มีแล้วจะทำไม่ได้ โดยเฉพาะการเข้าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สรุปได้ว่าการปกครองแบบนิติรัฐ คือ ไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ
ประการต่อมา ต้องมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ประการที่ 3 มีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ประการที่ 4 ต้องมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระ ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ความยุติธรรมกับประชาชนที่มีข้อพิพาท
องค์ประกอบทั้ง 4 ประการ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองแบบนิติรัฐ และจะมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้ ต้องประกอบด้วยหลักสำคัญอีกประการ คือ หลักนิติธรรม
ถ้าจะบอกว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนอย่างเดียว ผมเห็นว่ายังไม่เพียงพอ ต้องเป็นการปกครองแบบนิติรัฐควบคู่ไปกับหลักนิติธรรม ซึ่งปัจจุบันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
อดีตมักพูดกันเฉพาะตัวกฎหมาย แต่ไม่พูดถึงความถูกต้องชอบธรรม
ขณะที่มาตรา 3 รัฐธรรมนูญปี"50 บัญญัติว่าการทำหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม คือการปกครองโดยกฎหมายซึ่งเป็นธรรม
ประการแรก คือ กฎหมายที่ใช้บังคับต้องออกมาเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ประการที่สอง การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความยุติธรรม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ คือไม่ให้สิทธิคนหนึ่งดีกว่าอีกคนหนึ่ง
ประการที่สาม ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีความรู้ มีความยุติธรรม คือเป็นผู้ที่มีความเก่งและความดี
และประการที่สี่ การบังคับใช้กฎหมายต้องมีกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบโดยองค์กรที่เป็นอิสระและเป็นกลาง
ขณะที่ความสำคัญขององค์กรตุลาการ ปรากฏในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณในการเข้ารับหน้าที่ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต วันที่ 15 พ.ค.51 ทรงกล่าวไว้มีความตอนหนึ่งว่า
"บ้านเมืองต้องมีผู้พิพากษา ต้องมีผู้รักษาความยุติธรรม ต้องมีศาลเพื่อรักษาความยุติธรรมนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าในบ้านเมืองถ้าไม่มีความยุติธรรม บ้านเมืองก็จะล่มจม"
บทบาทภาระหน้าที่ขององค์กรตุลาการศาลยุติธรรมนั้น คือการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนที่มีข้อพิพาท
การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ศาลต้องมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระ เที่ยงธรรม และมีความสามารถ
บทบาทและหน้าที่ขององค์การตุลาการหรือศาลยุติธรรม ปรากฏชัดเจนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติ ธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
เรื่องนี้มีบัญญัติในประมวลจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ ในหมวด 1 ว่าด้วยอุดมการณ์ผู้พิพากษาที่กล่าวว่า "หน้าที่สำคัญของผู้ พิพากษาในวิชาชีพก็คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี"
ซึ่งคำว่า "ยุติธรรม" เป็นหัวใจของวิชาชีพตุลาการและเป็นจริยธรรม
อุดมการณ์ที่นักกฎหมาย ไม่ว่าประกอบวิชาชีพแขนงใดต้องยึดถือปฏิบัติ โดยความยุติธรรมเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรตุลาการ และเป็นความหวังของทุกคนในสังคม ไม่ว่าคนยากจน คนรวย คนดี หรือคนไม่ดี ต่างหวังความยุติธรรมจากองค์กรตุลาการหรือศาลยุติธรรม
บุคคลที่ล่วงละเมิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา ต่างต้องการความยุติธรรมว่าการละเมิดกฎหมายของเขาควรต้องได้รับผลที่เป็นธรรมตามความเป็นจริง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 20 เม.ย.30 ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อครั้งประธานศาลฎีกานำ ผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ด้วยว่า
"คำว่ายุติธรรมนั้นเป็นคำที่แปลว่าการตกลงพิจารณาในทางที่ถูกต้องตามธรรมะ และธรรมะนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่ควรจะปฏิบัติให้นำความเจริญแก่มวลมนุษย์ ในการปฏิบัตินี้ก็จะต้องมีความเที่ยงตรงและปราศจากอคติ"
นอกจากนี้ พระองค์ยังคงมีพระราชดำรัสอีกตอนหนึ่งว่า
"บ้านเมืองนี้ต้องมีความยุติธรรม เพราะถ้าไม่มีความยุติธรรมก็จะต้องมีความเดือดร้อน จะต้องมีความไม่สงบ ยุติธรรมก็หมายความว่าธรรมะ คือสิ่งที่ถูกต้องและยุติก็ยุติ ก็หมายความว่าดูได้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม"
ความยุติธรรม จึงเป็นการยุติในธรรมะ การยุติความขัดแย้งต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมะ
ซึ่งธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ การยุติข้อขัดแย้ง ต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมะ จึงเป็นวิถีการของมนุษย์และรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ นำไปสู่ความสงบสุขของมนุษย์และสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
โดยความยุติธรรมมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐหรือเป็นประชาชน และการใช้ความยุติธรรมแก่ทุกคนต้องเป็นในทุกมิติ ทั้งฝ่ายรัฐกับรัฐ รัฐกับประชาชน ประชาชนกับประชน
การอำนวยความยุติธรรมขององค์กรตุลาการและผู้พิพากษานั้น สิ่งสำคัญคือสังคมต้องเชื่อถือศรัทธาในองค์กรตุลาการและผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมนั้น
โดยผู้พิพากษาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซื่อ สัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ
ที่สำคัญต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่า ตนได้ปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบบศาลยุติธรรม
สาระสำคัญการอำนวยความยุติธรรมของผู้พิพากษาตุลาการจึงอยู่ที่การดำรงตน ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่และในด้านส่วนตัวที่จะต้องยึดมั่นในหลักธรรม จริยธรรม เพื่อสร้างความเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชนให้ยอมรับการอำนวยความยุติธรรม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**************************************************
ในวาระศาลยุติธรรมสถาปนาครบรอบ 128 ปี สำนักงานศาลยุติธรรมจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "ศาลยุติธรรม ความคาดหวังของสังคมไทย" ที่ห้องประชุมชั้น 7 อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 21 เม.ย.
โอกาสนี้ นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ องคมนตรี และอดีตประธานศาลฎีกา เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษ มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ไม่ว่าระดับสังคมหรือประเทศ ต้องมีกฎระเบียบตามสุภาษิตละตินที่ว่า "ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั่นมีกฎหมาย"
ประเทศชาติเหมือนกัน ไม่ว่าประเทศใดในโลกปกครองด้วยระบอบใด ต้องมีกฎระเบียบ กฎหมายปกครองประเทศทั้งนั้น
สิ่งสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือการปกครองในแบบนิติรัฐ เป็นการปกครองโดยกฎหมายที่ออกแบบโดยประชาชนหรือตัวแทนประชาชน การใช้อำนาจรัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ถ้าไม่มีแล้วจะทำไม่ได้ โดยเฉพาะการเข้าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สรุปได้ว่าการปกครองแบบนิติรัฐ คือ ไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ
ประการต่อมา ต้องมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ประการที่ 3 มีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ประการที่ 4 ต้องมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระ ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ความยุติธรรมกับประชาชนที่มีข้อพิพาท
องค์ประกอบทั้ง 4 ประการ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองแบบนิติรัฐ และจะมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้ ต้องประกอบด้วยหลักสำคัญอีกประการ คือ หลักนิติธรรม
ถ้าจะบอกว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนอย่างเดียว ผมเห็นว่ายังไม่เพียงพอ ต้องเป็นการปกครองแบบนิติรัฐควบคู่ไปกับหลักนิติธรรม ซึ่งปัจจุบันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
อดีตมักพูดกันเฉพาะตัวกฎหมาย แต่ไม่พูดถึงความถูกต้องชอบธรรม
ขณะที่มาตรา 3 รัฐธรรมนูญปี"50 บัญญัติว่าการทำหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม คือการปกครองโดยกฎหมายซึ่งเป็นธรรม
ประการแรก คือ กฎหมายที่ใช้บังคับต้องออกมาเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ประการที่สอง การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความยุติธรรม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ คือไม่ให้สิทธิคนหนึ่งดีกว่าอีกคนหนึ่ง
ประการที่สาม ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีความรู้ มีความยุติธรรม คือเป็นผู้ที่มีความเก่งและความดี
และประการที่สี่ การบังคับใช้กฎหมายต้องมีกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบโดยองค์กรที่เป็นอิสระและเป็นกลาง
ขณะที่ความสำคัญขององค์กรตุลาการ ปรากฏในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ประธานศาลฎีกานำผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณในการเข้ารับหน้าที่ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต วันที่ 15 พ.ค.51 ทรงกล่าวไว้มีความตอนหนึ่งว่า
"บ้านเมืองต้องมีผู้พิพากษา ต้องมีผู้รักษาความยุติธรรม ต้องมีศาลเพื่อรักษาความยุติธรรมนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าในบ้านเมืองถ้าไม่มีความยุติธรรม บ้านเมืองก็จะล่มจม"
บทบาทภาระหน้าที่ขององค์กรตุลาการศาลยุติธรรมนั้น คือการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนที่มีข้อพิพาท
การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ศาลต้องมีผู้พิพากษาที่เป็นอิสระ เที่ยงธรรม และมีความสามารถ
บทบาทและหน้าที่ขององค์การตุลาการหรือศาลยุติธรรม ปรากฏชัดเจนอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติ ธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
เรื่องนี้มีบัญญัติในประมวลจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ ในหมวด 1 ว่าด้วยอุดมการณ์ผู้พิพากษาที่กล่าวว่า "หน้าที่สำคัญของผู้ พิพากษาในวิชาชีพก็คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี"
ซึ่งคำว่า "ยุติธรรม" เป็นหัวใจของวิชาชีพตุลาการและเป็นจริยธรรม
อุดมการณ์ที่นักกฎหมาย ไม่ว่าประกอบวิชาชีพแขนงใดต้องยึดถือปฏิบัติ โดยความยุติธรรมเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรตุลาการ และเป็นความหวังของทุกคนในสังคม ไม่ว่าคนยากจน คนรวย คนดี หรือคนไม่ดี ต่างหวังความยุติธรรมจากองค์กรตุลาการหรือศาลยุติธรรม
บุคคลที่ล่วงละเมิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรืออาญา ต่างต้องการความยุติธรรมว่าการละเมิดกฎหมายของเขาควรต้องได้รับผลที่เป็นธรรมตามความเป็นจริง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 20 เม.ย.30 ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อครั้งประธานศาลฎีกานำ ผู้พิพากษาเข้าเฝ้าฯ ด้วยว่า
"คำว่ายุติธรรมนั้นเป็นคำที่แปลว่าการตกลงพิจารณาในทางที่ถูกต้องตามธรรมะ และธรรมะนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่ควรจะปฏิบัติให้นำความเจริญแก่มวลมนุษย์ ในการปฏิบัตินี้ก็จะต้องมีความเที่ยงตรงและปราศจากอคติ"
นอกจากนี้ พระองค์ยังคงมีพระราชดำรัสอีกตอนหนึ่งว่า
"บ้านเมืองนี้ต้องมีความยุติธรรม เพราะถ้าไม่มีความยุติธรรมก็จะต้องมีความเดือดร้อน จะต้องมีความไม่สงบ ยุติธรรมก็หมายความว่าธรรมะ คือสิ่งที่ถูกต้องและยุติก็ยุติ ก็หมายความว่าดูได้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม"
ความยุติธรรม จึงเป็นการยุติในธรรมะ การยุติความขัดแย้งต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมะ
ซึ่งธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ การยุติข้อขัดแย้ง ต่างๆ ให้เป็นไปตามธรรมะ จึงเป็นวิถีการของมนุษย์และรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ นำไปสู่ความสงบสุขของมนุษย์และสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
โดยความยุติธรรมมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐหรือเป็นประชาชน และการใช้ความยุติธรรมแก่ทุกคนต้องเป็นในทุกมิติ ทั้งฝ่ายรัฐกับรัฐ รัฐกับประชาชน ประชาชนกับประชน
การอำนวยความยุติธรรมขององค์กรตุลาการและผู้พิพากษานั้น สิ่งสำคัญคือสังคมต้องเชื่อถือศรัทธาในองค์กรตุลาการและผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมนั้น
โดยผู้พิพากษาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซื่อ สัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ
ที่สำคัญต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่า ตนได้ปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบบศาลยุติธรรม
สาระสำคัญการอำนวยความยุติธรรมของผู้พิพากษาตุลาการจึงอยู่ที่การดำรงตน ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่และในด้านส่วนตัวที่จะต้องยึดมั่นในหลักธรรม จริยธรรม เพื่อสร้างความเชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชนให้ยอมรับการอำนวยความยุติธรรม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**************************************************
"เติ้ง"สะกิดเสียงดัง ไม่อยากพายเรือในอ่าง
ลับพอสมควร
ผู้สื่อข่าวลับพอสมควร รายงาน
ไม่รู้กระตุ้นเตือนมากี่ครั้งกี่หน กี่วิธี
จนแล้วจนรอดประชาธิปัตย์ดูท่าก็จะไม่เข้าป้ายกับ 5 พรรคร่วมรัฐบาล
เรื่องแก้รัฐธรรมนูญซะที...
ขู่ก็แล้ว ปลอบก็แล้ว จนล่าสุด บิ๊กเติ้ง บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดบ้านจรัญสนิทวงศ์
กระตุ้นซ้ำอย่างน้อยให้แก้ 2 มาตราก่อน คือมาตรา 190 และเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้ง
ก่อนโยนโครมให้โอกาสปชป.ไปหาคำตอบสุดท้าย
หลังถก(เถียง)กันนานถึง 5 ชั่วโมง โดยมีนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งหัวโต๊ะ
มติปชป.ก็ออกมาอย่างเสียไม่ได้
หลังจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคถูกอัดกลางที่ประชุมจนน้ำตาคลอ
มอบอำนาจ หัวหน้ามาร์ค กับ เทพเทือก จูงมือกันไปเจรจาตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลเอาเอง
ค่ำเดียวกัน เทพเทือก ก็ยกหูหา บิ๊กเติ้ง แจ้งมติพรรคปชป.ให้ทราบทันที
"พรรคประชาธิปัตย์มีมติให้ผมกับนายกฯอภิสิทธิ์มาคุยกับพรรคร่วมครับ"
ปลายสายฝั่งบ้านจรัญฯตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"จะนัดเมื่อไหร่ก็โทร.มา"
น้องเต้บ ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนโล่งอก
แต่ปรากฏว่ายังไม่จบเท่านั้น
บิ๊กเติ้ง ส่งเสียงเข้มต่อทันที
"แต่ต้องมีข้อสรุปนะ ไม่อยากเสียเวลาพายเรือในอ่าง"
อึยสส์...เสียวแทน..
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************
ผู้สื่อข่าวลับพอสมควร รายงาน
ไม่รู้กระตุ้นเตือนมากี่ครั้งกี่หน กี่วิธี
จนแล้วจนรอดประชาธิปัตย์ดูท่าก็จะไม่เข้าป้ายกับ 5 พรรคร่วมรัฐบาล
เรื่องแก้รัฐธรรมนูญซะที...
ขู่ก็แล้ว ปลอบก็แล้ว จนล่าสุด บิ๊กเติ้ง บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดบ้านจรัญสนิทวงศ์
กระตุ้นซ้ำอย่างน้อยให้แก้ 2 มาตราก่อน คือมาตรา 190 และเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้ง
ก่อนโยนโครมให้โอกาสปชป.ไปหาคำตอบสุดท้าย
หลังถก(เถียง)กันนานถึง 5 ชั่วโมง โดยมีนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งหัวโต๊ะ
มติปชป.ก็ออกมาอย่างเสียไม่ได้
หลังจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคถูกอัดกลางที่ประชุมจนน้ำตาคลอ
มอบอำนาจ หัวหน้ามาร์ค กับ เทพเทือก จูงมือกันไปเจรจาตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลเอาเอง
ค่ำเดียวกัน เทพเทือก ก็ยกหูหา บิ๊กเติ้ง แจ้งมติพรรคปชป.ให้ทราบทันที
"พรรคประชาธิปัตย์มีมติให้ผมกับนายกฯอภิสิทธิ์มาคุยกับพรรคร่วมครับ"
ปลายสายฝั่งบ้านจรัญฯตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"จะนัดเมื่อไหร่ก็โทร.มา"
น้องเต้บ ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนโล่งอก
แต่ปรากฏว่ายังไม่จบเท่านั้น
บิ๊กเติ้ง ส่งเสียงเข้มต่อทันที
"แต่ต้องมีข้อสรุปนะ ไม่อยากเสียเวลาพายเรือในอ่าง"
อึยสส์...เสียวแทน..
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************
"เหวง"พาคนสีลมขึ้นเวที ระบุ"ม็อบสีลม"ตัวปลอม แค่แอบอ้าง
น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. ได้พานายศุภวิทย์ อิศรางกูร ณ ยุธยา ขึ้นเวทีปราศรัย โดยนายศุภวิทย์ ระบุว่าตนเป็นคนสีลม โดยกำเนิด และได้โชว์บัตรประชาชน ที่ระบุว่าอยู่บ้านเลขที่ 120 ถ.ศาลาแดง แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. และเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ก็จะมีอายุ 63 ปีแล้ว และยืนยันว่ากลุ่มคนสีลมที่ออกมานั้นเป็นการแอบอ้าง ไม่ใช่คนสีลมจริง เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่คนสีลม บางคนเป็นแขกขายโรตีอยู่มีนบุรี ขอถามว่าอยู่ซอยไหน คนสีลมเป็นคนขายของ ไม่ค่อยออกมาหรอก ส่วนคนทำงานเขาก็มาเช้ากลับเย็น ไม่มีใครนอนค้างอยู่ที่นี่หรอก แล้วที่ออกมาจะมาเดือดร้อนแทนทำไม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภวิทย์ ได้ขึ้นเวที ในชุดออกกำลังกาย เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น และระบุว่าได้มาออกกำลังกายที่สวนลุมพินีทุกวัน
ด้านน.พ.เหวง กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนขอบอกไปยังกลุ่มคนสีลมที่ออกมาก่อนเหตุเมื่อคืนนี้อย่าเป็นสุนัขรับใช้ และพยายามก่อสถานการณ์และให้ความผิดว่าคนเสื้อแดงก่อความรุนแรง นื่คืออุบายของเผด็จการ ดังนั้นหากต่อไปคนกลุ่มนี้ออกมาอีกก็ให้ตะโกนด่าว่า “ ไอ้สุนัขรับใช้ ” แต่ขออย่าให้คนเสื้อแดงข้ามแนวออกไปของเราออก ตนก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนกรณีที่เมื่อคืนที่ผ่านมาทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้ใช้พลุตะไลยิงไปนั้น ตนมองว่าสิ่งกล่าวถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้น
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภวิทย์ ได้ขึ้นเวที ในชุดออกกำลังกาย เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น และระบุว่าได้มาออกกำลังกายที่สวนลุมพินีทุกวัน
ด้านน.พ.เหวง กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนขอบอกไปยังกลุ่มคนสีลมที่ออกมาก่อนเหตุเมื่อคืนนี้อย่าเป็นสุนัขรับใช้ และพยายามก่อสถานการณ์และให้ความผิดว่าคนเสื้อแดงก่อความรุนแรง นื่คืออุบายของเผด็จการ ดังนั้นหากต่อไปคนกลุ่มนี้ออกมาอีกก็ให้ตะโกนด่าว่า “ ไอ้สุนัขรับใช้ ” แต่ขออย่าให้คนเสื้อแดงข้ามแนวออกไปของเราออก ตนก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนกรณีที่เมื่อคืนที่ผ่านมาทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้ใช้พลุตะไลยิงไปนั้น ตนมองว่าสิ่งกล่าวถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้น
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
หมอเหวง'เคลื่อนพลยื่นหนังสือถึงเลขาฯ UN ขอกำลังคุ้มกัน
แกนนำ นปช.เตรียมเดินทางไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอกองกำลังสันติภาพเข้ามาคุ้มกันผู้ชุมนุม หากเกิดความรุนแรง
น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แถลงเช้าวันนี้ว่า ตัวแทนคนเสื้อแดงประมาณ 2,000 คนเคลื่อนไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ผ่านสำนักงานในประเทศไทย เพื่อขอให้จัดส่งกองกำลังสันติภาพเข้ามาดูแลไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
พร้อมกันนั้น น.พ.เหวง ยังระบุว่าขณะนี้จะไม่มีการเปิดเจรจารอบใหม่กับรัฐบาลในสถานการณ์ที่มีปืนจ่อหัวคนเสื้อแดงอยู่รอบด้าน โดยยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และคนเสื้อแดงก็จะสลายตัวทันที ส่วนเรื่องคดีความต่าง ๆ ก็ไปว่ากันทีหลัง
ที่มา.VOICE TV
****************************************************
น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แถลงเช้าวันนี้ว่า ตัวแทนคนเสื้อแดงประมาณ 2,000 คนเคลื่อนไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ผ่านสำนักงานในประเทศไทย เพื่อขอให้จัดส่งกองกำลังสันติภาพเข้ามาดูแลไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
พร้อมกันนั้น น.พ.เหวง ยังระบุว่าขณะนี้จะไม่มีการเปิดเจรจารอบใหม่กับรัฐบาลในสถานการณ์ที่มีปืนจ่อหัวคนเสื้อแดงอยู่รอบด้าน โดยยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และคนเสื้อแดงก็จะสลายตัวทันที ส่วนเรื่องคดีความต่าง ๆ ก็ไปว่ากันทีหลัง
ที่มา.VOICE TV
****************************************************
Le Monde: ประเทศไทย, ความเป็นเอกภาพของราชอาณาจักรแตกเป็นเสี่ยง
แม้ชาวไทย, ผู้ดำรงชีวิตอยู่ในห้วงแห่งวิกฤติที่พาดผ่านราชอาณาจักรตั้งแต่ 2549, เสียหายไปเล็กน้อย... การเผชิญหน้าหลักยังดำรงอยู่ระหว่าง “เสื้อเหลือง”, ราชานิยม ผู้ปกป้องชนชั้นนำอำมาตย์และชนชั้นนำทางธุรกิจ แห่งกรุงเทพฯ กับ “เสื้อแดง”, ชาวชนบท ผู้ใช้แรงงาน คนที่หวลระลึกถึงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และรวมไปถึงคนรักประชาธิปไตยผู้ไม่ยอมรับความชอบธรรมทางการเมืองของเหล่าชนชั้นนำที่ครองอำนาจอยู่
แต่ยังต้องนับรวม “เสื้อชมพู”, สีเหลืองแปลงร่างตั้งแต่พวกเขาถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเจตนารมณ์รุนแรงตกขอบเกินไป ต้องรวม “แตงโม”, “เขียวนอกแดงใน”, ทหารในเครื่องแบบที่ถูกสงสัยว่าเป็น “สีแดง” ผู้ตะขิดตะขวงใจในการร่วมปราบปราม ต้องรวมข่าวลือเรื่อง “เสื้อดำ”, กลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายผู้ลั่นไกในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน (เสียชีวิต 25 ราย) ต้องรวมการชุมนุมล่าสุดของ “เหลือง-ชมพู” หรือที่บางคนเรียกกันว่า “หลากสี” หรือเรียกให้ดูเจ้าบทเจ้ากลอนกว่านั้นว่า “สีรุ้ง” เพื่อ “สันติภาพระหว่างสี” สาวน้อยคนหนึ่งท่าทางอ่อนล้าตัดรำคาญด้วยการบอกเสียเลยว่า “ตาบอดสี”
ถ้าสงครามแห่งสีเป็นบ่อเกิดของเสียงหัวเราะ มันก็นำพามาซึ่งวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำเล่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยถึงความแตกแยกร้าวลึกในสังคม เบื้องหลังความลึกลับของประชาชนเป็นหนึ่งเดียว เบื้องหลังขององค์อธิปัตย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ภูมิพลอดุลยเดช ผู้น่าเคารพสักการะ, 82 พรรษา, ครองราชย์ 64 ปี เบื้องหลังการเมืองที่ขับเคลื่อนภายใต้การควบคุมของเหล่าทหารเสือราชินีแห่งรัฐประหาร ประเทศไทยได้แตกสลายเป็นเสี่ยง
ฝ่าย “สีแดง” ซึ่งชุมนุมในกรุงเทพฯตั้งแต่ 14 มีนาคม เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ้นจากตำแหน่ง และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พวกเขากู่ร้องตะโกนด้วยความโกรธ บนเสื่อแห่งการคัดค้าน, ซึ่งยึดครองพื้นที่เขตการค้าย่านราชประสงค์, ความทุกข์ยากลำเค็ญนอนแผ่เหยียดยาวอยู่ระหว่างห่อข้าวกับภาพถ่ายของทักษิณ และความคุ้มคลั่งปวดร้าวฟาดเข้าไปยังชนชั้นนำและระบบการเมือง-การทหารก็เป็นที่โต้เถียงกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เราต้องการประชาธิปไตย และมีชีวิตที่ดี” วิชา พวงแก้ว จากหมู่บ้านแห่งแม่ฮ่องสอน ในภาคเหนือกล่าว เขาเป็นกรรมกรในอาคารแห่งหนึ่ง ได้เงิน 300 บาท (7 ยูโร) ต่อเดือน เขาเสียดายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงเพราะว่ารัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง แต่เพราะ “แม้ทักษิณจะคอรร์รัปชั่น แต่เราก็มีชีวิตที่ดี” อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเศรษฐีพันล้านมากอำนาจ ได้ริเริ่มนโยบายสังคมอย่างที่ประเทศนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ธนาคารอย่างสะดวก นโยบายสุขภาพที่ให้คนไทยแต่ละคนได้รับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยเงิน 30 บาท
หลังการจากไปของทักษิณผู้ลี้ภัยอยู่ต่างแดนนับแต่รัฐประหาร 2549 นโยบายเหล่านี้ไม่ได้หยุดไป แต่รัฐบาลถูกโจมตีเรื่องขาดความชอบธรรม ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ ช่องว่างระหว่างเมืองหลวงและชนบทยิ่งถ่างออกกว้างขึ้น ความหยิ่งผยองของชนชั้นนำถูกป่าวร้องไปทั่ว การกระจายความมั่งคั่งไม่ปรากฏ
พระพงศ์ปรา ขันธะวีโร จากเลย จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมกับ “สีแดง” ด้วยความเมตตาต่อประชาชน “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปัญหาเรื่องการขาดความยุติธรรม” พระพงศ์ปรารำพึงรำพัน “สีแดงคือไพร่ของสังคมไทย” ชายในผ้าเหลืองผู้นี้หวังเช่นเดียวกับสีแดงทุกคน คือ ความยุติธรรม และความเสมอภาค
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ “เหลือง” “ชมพู” และ “หลากสี” รวมตัวกันอยู่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพจัดการคนเสื้อแดง บรรยากาศแบบคนเมืองอย่างยิ่ง ผ่อนคลาย แต่กลับมีถ้อยคำที่โจมตีอย่างหนักหน่วง “คนเสื้อแดงทำลายชาติ” โอพิศ ผ่องภู่ นักกฎหมาย กล่าว “พวกเขายากจน ไร้การศึกษา ถูกใช้ ไม่มีความคิดอะไรเลยกับสิ่งซึ่งเป็นประชาธิปไตย พวกเขามาจากชนชั้นล่าง” จักกฤษณ์ นักศึกษา กล่าวข่ม
“คนเสื้อแดงจุดประเด็นท้าทายอย่างแท้จริงให้แก่สังคมนี้” ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ผู้ร่วมลงชื่อจดหมายเปิดผนึกของนักวิชาการอิสระกลุ่มสนับสนุนเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ “ต้องไม่ประเมินคนเสื้อแดงต่ำเกินไป ในคนเสื้อแดง ไม่ได้มีแต่คนยากคนจนจากชนบทภาคเหนือ แต่มีคนกรุงเทพฯและชนชั้นกลางจำนวนมากร่วมด้วย ทักษิณได้เปิดพื้นที่การเมืองให้แก่ชนชั้นนำใหม่ กลุ่มทุนใหม่ เขาได้เริ่มต้นปฏิวัติระบบ...”
แม้อาจเปลี่ยนแปลงมากไปบ้างและผิดพลาดบ้าง ทักษิณได้มีส่วนเปิดม่านที่ปกคลุมรอยร้าวของประเทศไทยซึ่งกังวลถึงความอยู่ดีมีสุขของคนไทย กังวลถึงบทบาททางจารีตประเพณีที่ตกทอดมายาวนานของกษัตริย์อันใช้ได้น้อยลง “สีเหลือง” ได้มีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่การก่อตั้งของอำนาจซึ่งไม่ชอบธรรม และสีแดงมีส่วน, วันนี้, เปิดม่านด้วยการไม่ยอมทนอีกต่อไปของพวกเขา
แม้เสี่ยงอันตราย วิชาจะอยู่กรุงเทพฯกับมิตรสหายเสื้อแดงต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะออกไป เอาเข้าจริง หากกล่าวอย่างอนุโลม เขาเดินทางไปกลับ 3 ครั้งแล้วเพื่อ “ดูว่าเมียของผมยังอยู่ที่บ้าน” เขาสารภาพพร้อมรอยยิ้มแหยๆ
ประเทศไทยค้นพบว่าตนเองไม่ได้สมัครสมานสามัคคี และบางทีอาจกลับมาสมานฉันท์กันไม่ได้อีกนาน และการปลดปล่อยเรื่องการพูด, ซึ่งโจมตีกระทบต่อรัฐบาล กองทัพ และบางครั้งรวมถึงวังด้วย, ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้อีกแล้ว เสรีภาพนี้ ความลุ่มหลงนี้ นำมาทั้งความยินดีและความน่ากลัว และความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในอนาคต
Rémy Ourdan, ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Le Monde วันที่ 21 เมษายน 2010
แปลโดย ปิยบุตร แสงกนกกุล
ประชาไท เรียบเรียง
*************************************************
แต่ยังต้องนับรวม “เสื้อชมพู”, สีเหลืองแปลงร่างตั้งแต่พวกเขาถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเจตนารมณ์รุนแรงตกขอบเกินไป ต้องรวม “แตงโม”, “เขียวนอกแดงใน”, ทหารในเครื่องแบบที่ถูกสงสัยว่าเป็น “สีแดง” ผู้ตะขิดตะขวงใจในการร่วมปราบปราม ต้องรวมข่าวลือเรื่อง “เสื้อดำ”, กลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายผู้ลั่นไกในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน (เสียชีวิต 25 ราย) ต้องรวมการชุมนุมล่าสุดของ “เหลือง-ชมพู” หรือที่บางคนเรียกกันว่า “หลากสี” หรือเรียกให้ดูเจ้าบทเจ้ากลอนกว่านั้นว่า “สีรุ้ง” เพื่อ “สันติภาพระหว่างสี” สาวน้อยคนหนึ่งท่าทางอ่อนล้าตัดรำคาญด้วยการบอกเสียเลยว่า “ตาบอดสี”
ถ้าสงครามแห่งสีเป็นบ่อเกิดของเสียงหัวเราะ มันก็นำพามาซึ่งวิกฤติซ้ำแล้วซ้ำเล่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยถึงความแตกแยกร้าวลึกในสังคม เบื้องหลังความลึกลับของประชาชนเป็นหนึ่งเดียว เบื้องหลังขององค์อธิปัตย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ภูมิพลอดุลยเดช ผู้น่าเคารพสักการะ, 82 พรรษา, ครองราชย์ 64 ปี เบื้องหลังการเมืองที่ขับเคลื่อนภายใต้การควบคุมของเหล่าทหารเสือราชินีแห่งรัฐประหาร ประเทศไทยได้แตกสลายเป็นเสี่ยง
ฝ่าย “สีแดง” ซึ่งชุมนุมในกรุงเทพฯตั้งแต่ 14 มีนาคม เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ้นจากตำแหน่ง และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พวกเขากู่ร้องตะโกนด้วยความโกรธ บนเสื่อแห่งการคัดค้าน, ซึ่งยึดครองพื้นที่เขตการค้าย่านราชประสงค์, ความทุกข์ยากลำเค็ญนอนแผ่เหยียดยาวอยู่ระหว่างห่อข้าวกับภาพถ่ายของทักษิณ และความคุ้มคลั่งปวดร้าวฟาดเข้าไปยังชนชั้นนำและระบบการเมือง-การทหารก็เป็นที่โต้เถียงกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เราต้องการประชาธิปไตย และมีชีวิตที่ดี” วิชา พวงแก้ว จากหมู่บ้านแห่งแม่ฮ่องสอน ในภาคเหนือกล่าว เขาเป็นกรรมกรในอาคารแห่งหนึ่ง ได้เงิน 300 บาท (7 ยูโร) ต่อเดือน เขาเสียดายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงเพราะว่ารัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง แต่เพราะ “แม้ทักษิณจะคอรร์รัปชั่น แต่เราก็มีชีวิตที่ดี” อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเศรษฐีพันล้านมากอำนาจ ได้ริเริ่มนโยบายสังคมอย่างที่ประเทศนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ธนาคารอย่างสะดวก นโยบายสุขภาพที่ให้คนไทยแต่ละคนได้รับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยเงิน 30 บาท
หลังการจากไปของทักษิณผู้ลี้ภัยอยู่ต่างแดนนับแต่รัฐประหาร 2549 นโยบายเหล่านี้ไม่ได้หยุดไป แต่รัฐบาลถูกโจมตีเรื่องขาดความชอบธรรม ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ ช่องว่างระหว่างเมืองหลวงและชนบทยิ่งถ่างออกกว้างขึ้น ความหยิ่งผยองของชนชั้นนำถูกป่าวร้องไปทั่ว การกระจายความมั่งคั่งไม่ปรากฏ
พระพงศ์ปรา ขันธะวีโร จากเลย จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมกับ “สีแดง” ด้วยความเมตตาต่อประชาชน “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปัญหาเรื่องการขาดความยุติธรรม” พระพงศ์ปรารำพึงรำพัน “สีแดงคือไพร่ของสังคมไทย” ชายในผ้าเหลืองผู้นี้หวังเช่นเดียวกับสีแดงทุกคน คือ ความยุติธรรม และความเสมอภาค
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ “เหลือง” “ชมพู” และ “หลากสี” รวมตัวกันอยู่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพจัดการคนเสื้อแดง บรรยากาศแบบคนเมืองอย่างยิ่ง ผ่อนคลาย แต่กลับมีถ้อยคำที่โจมตีอย่างหนักหน่วง “คนเสื้อแดงทำลายชาติ” โอพิศ ผ่องภู่ นักกฎหมาย กล่าว “พวกเขายากจน ไร้การศึกษา ถูกใช้ ไม่มีความคิดอะไรเลยกับสิ่งซึ่งเป็นประชาธิปไตย พวกเขามาจากชนชั้นล่าง” จักกฤษณ์ นักศึกษา กล่าวข่ม
“คนเสื้อแดงจุดประเด็นท้าทายอย่างแท้จริงให้แก่สังคมนี้” ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ผู้ร่วมลงชื่อจดหมายเปิดผนึกของนักวิชาการอิสระกลุ่มสนับสนุนเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ “ต้องไม่ประเมินคนเสื้อแดงต่ำเกินไป ในคนเสื้อแดง ไม่ได้มีแต่คนยากคนจนจากชนบทภาคเหนือ แต่มีคนกรุงเทพฯและชนชั้นกลางจำนวนมากร่วมด้วย ทักษิณได้เปิดพื้นที่การเมืองให้แก่ชนชั้นนำใหม่ กลุ่มทุนใหม่ เขาได้เริ่มต้นปฏิวัติระบบ...”
แม้อาจเปลี่ยนแปลงมากไปบ้างและผิดพลาดบ้าง ทักษิณได้มีส่วนเปิดม่านที่ปกคลุมรอยร้าวของประเทศไทยซึ่งกังวลถึงความอยู่ดีมีสุขของคนไทย กังวลถึงบทบาททางจารีตประเพณีที่ตกทอดมายาวนานของกษัตริย์อันใช้ได้น้อยลง “สีเหลือง” ได้มีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่การก่อตั้งของอำนาจซึ่งไม่ชอบธรรม และสีแดงมีส่วน, วันนี้, เปิดม่านด้วยการไม่ยอมทนอีกต่อไปของพวกเขา
แม้เสี่ยงอันตราย วิชาจะอยู่กรุงเทพฯกับมิตรสหายเสื้อแดงต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะออกไป เอาเข้าจริง หากกล่าวอย่างอนุโลม เขาเดินทางไปกลับ 3 ครั้งแล้วเพื่อ “ดูว่าเมียของผมยังอยู่ที่บ้าน” เขาสารภาพพร้อมรอยยิ้มแหยๆ
ประเทศไทยค้นพบว่าตนเองไม่ได้สมัครสมานสามัคคี และบางทีอาจกลับมาสมานฉันท์กันไม่ได้อีกนาน และการปลดปล่อยเรื่องการพูด, ซึ่งโจมตีกระทบต่อรัฐบาล กองทัพ และบางครั้งรวมถึงวังด้วย, ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้อีกแล้ว เสรีภาพนี้ ความลุ่มหลงนี้ นำมาทั้งความยินดีและความน่ากลัว และความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในอนาคต
Rémy Ourdan, ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Le Monde วันที่ 21 เมษายน 2010
แปลโดย ปิยบุตร แสงกนกกุล
ประชาไท เรียบเรียง
*************************************************
'รัฐบาล'คว่ำญัตติตั้งกมธ.เหตุ10เม.ย.
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอญัตติด่วนขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้สภาได้มีโอกาสเข้าไปดูปัญหาบ้านเมืองดีกว่าที่จะปล่อยให้นายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหา
หลังจากที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงกันมานานกว่า 4 ชั่วโมง ท้ายที่สุดที่ประชุมสภามีมติไม่เห็นด้วยกับการเสนอญัตติของฝ่ายค้าน ด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 138 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 11 ถือว่าญัตตินี้ตกไป
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา, นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ และนายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังส.ส.พรรคฝ่ายค้านวอล์คเอาท์ออกมาจากห้องประชุมสภา หลังจากที่ประชุมมีมติไม่รับญัตติดังกล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนว่าฝ่ายรัฐบาลไม่รับญัตติดังกล่าว ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีมติของพรรคว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลไม่ร่วมด้วยแม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าในการประชุมมีการพิจารณากฎหมายที่สำคัญหลายฉบับก็ตาม แต่ตนมองว่าถ้ากฎหมายดีแต่คนออกกฎหมายเลวก็ไม่ควรดำเนินการ ทั้งนี้ตนขอเสนอทางออกดังนี้
1.ขอให้รัฐบาลยุติการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียว
2.ไม่ยั่วยุทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีอารมณ์ที่รุนแรง
3. ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
4.หาแนวทางการเจรจาร่วมกัน และ
5.ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ฝ่ายค้านไม่ประสงค์จะให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นจึงเสนอญัตติดังกล่าวแต่รัฐบาลกลับไม่สนใจ แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็ยังไม่เอ่ยปากรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงเห็นว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมและนายอภิสิทธิ์ไม่สมควรเป็นนายกฯต่อไป
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
หลังจากที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงกันมานานกว่า 4 ชั่วโมง ท้ายที่สุดที่ประชุมสภามีมติไม่เห็นด้วยกับการเสนอญัตติของฝ่ายค้าน ด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 138 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 11 ถือว่าญัตตินี้ตกไป
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา, นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ และนายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังส.ส.พรรคฝ่ายค้านวอล์คเอาท์ออกมาจากห้องประชุมสภา หลังจากที่ประชุมมีมติไม่รับญัตติดังกล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนว่าฝ่ายรัฐบาลไม่รับญัตติดังกล่าว ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีมติของพรรคว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลไม่ร่วมด้วยแม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าในการประชุมมีการพิจารณากฎหมายที่สำคัญหลายฉบับก็ตาม แต่ตนมองว่าถ้ากฎหมายดีแต่คนออกกฎหมายเลวก็ไม่ควรดำเนินการ ทั้งนี้ตนขอเสนอทางออกดังนี้
1.ขอให้รัฐบาลยุติการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียว
2.ไม่ยั่วยุทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีอารมณ์ที่รุนแรง
3. ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
4.หาแนวทางการเจรจาร่วมกัน และ
5.ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ฝ่ายค้านไม่ประสงค์จะให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นจึงเสนอญัตติดังกล่าวแต่รัฐบาลกลับไม่สนใจ แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็ยังไม่เอ่ยปากรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงเห็นว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมและนายอภิสิทธิ์ไม่สมควรเป็นนายกฯต่อไป
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)