--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

‘การเจรจา’ วิธีการสันติ ระงับข้อขัดแย้ง!

ถ้าเราเป็นรัฐบาลจะจัดการอย่างไรดี กับการชุมนุมของกลุ่มนปช.? คำถามดังขึ้นในวงสนทนาของกลุ่มคอการเมือง บางคนก็บอกว่า...สลายการชุมนุมเลย ปราบปรามเด็ดขาด บ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป บ้างก็แย้งว่า การชุมนุมสลายไม่ได้ พลาดพลั้งบาดเจ็บล้มตายจะสูญเสีย บทเรียนมีแล้วไม่จำหรือ ต้องบังคับใช้กฎหมายแบบว่า ผิดก็ดำเนินคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป บางรายก็แนะว่า...รัฐต้องกันคนอย่าให้เข้าไปเพิ่ม ตัดท่อน้ำเลี้ยง เดี๋ยวคนก็น้อยลงเอง เสียงแทรกก็มีขึ้นว่า...ไม่ได้จะไปกีดกันไม่ให้คนมาชุมนุมได้อย่างไรแม้แต่กลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คนยังถกเถียงกันหาข้อสรุปไม่ได้ จนหนึ่งในผู้สนทนาต้องบ่นร้องเสียงดังว่า ยุ่งจังโว้ย! จะ

ทำยังไงดี ไม่อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไรดีกับการชุมนุมที่ดำเนินอยู่ เป็นโจทย์หนึ่งที่รัฐบาล ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายต้องขบคิด หลายคน หลายกลุ่ม หลายองค์กรที่มีความเห็น ก็เสนอความเห็น เสนอแนวทาง วิธีการไว้ก็หลากหลาย รัฐบาลก็ต้องรับไปพิจารณาไตร่ตรองต่อไปอย่างเร็ว หรือแม้กระทั่งฝ่ายผู้ชุมนุมก็ต้องนำไปไตร่ตรองเช่นกัน ความจริงโจทย์นี้ อาจจะมีคำตอบได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมดีขึ้นสำหรับทั้งรัฐบาลและผู้ชุมนุม หากเรามีกฎหมายเกี่ยวกับการ

ชุมนุมให้ชัดเจนเสียที ระบุให้ชัดว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะทำอย่างไร หวังว่าเมื่อผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปแล้ว รัฐบาล ฝ่ายค้าน ผู้ชุมนุมและทุกฝ่ายจะมาร่วมกันผ่านกฎหมายการชุมนุมที่ทุกคนรับได้เสียที ผู้บังคับใช้กฎหมายจะได้สบายใจ ผู้ชุมนุมก็สบายใจ ประชาชนก็สบายใจแล้วจะทำอย่างไรระหว่างนี้ ที่ดีที่สุด คือ การเจรจา การเจรจาเป็นวิธีการที่สันติ เป็นหนึ่งในวิธีการระงับข้อพิพาท ระงับข้อขัดแย้ง แต่ต้องไม่ใช่การเจรจาต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ ต้องไม่ใช่

การเผชิญหน้า ต้องไม่ใช่มาต่อว่าใครถูกใครผิด ต้องไม่บันทึกเสียงเอาไว้ ต้องไม่เอามากล่าวอ้างภายหลัง ต้องทำให้ทุกฝ่ายสบายใจที่จะเจรจา หากสำเร็จก็ดี...ไม่สำเร็จก็จะไม่เป็นผลร้ายกับฝ่ายใด และควรมีคนกลางที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ เพื่อมาช่วยดึงหรือนำให้การเจรจามุ่งไปในอนาคต มุ่งหาทางออกที่ทุกฝ่ายพอรับได้ถามว่า...เจรจาไปจะมีทางสำเร็จหรือ สถานการณ์ไปไกลเกินกว่าจะเจรจาแล้วยากมาก... ตอบว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ การเจรจาดังที่กล่าวมาไม่มีต้น

ทุน ไม่มีความสูญเสีย หากเราจะย้อนดูประวัติศาสตร์ย้อนดูตัวอย่างของประเทศอื่นๆ ที่เขามีความขัดแย้งกันอย่างร้าวลึก เขาใช้ความรุนแรงต่อสู้ประหัตประหารกันมาเป็นสิบๆ ปี ท้ายที่สุดก็แก้ปัญหาไม่ได้ และต้องหันมานั่งโต๊ะเจรจากันการเจรจาตามหลักการที่ว่ามา ไม่มีต้นทุน ไม่มีความสูญเสีย ไม่มีใครเสียหน้า ไม่จำกัดรอบเจรจา โอกาสสำเร็จมี... ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองของเราในขณะนี้ อย่าทิ้งหนทางนี้เลยครับ

รศ.ดร.กำชัย จงจักรพันธ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ถอดรหัสวาทกรรม "ก่อการร้าย" สัญญาณความรุนแรงรอบใหม่

เรื่องจะจบเร็วๆ นี้ ยกที่ 1 กำลังจะจบ และกำลังจะไปสู่ยกที่ 2 มีความพยายามสร้างความชอบธรรมกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น"
เป็นคำกล่าวของ รศ.ดร.มารค ตามไท นักวิชาการรุ่นใหญ่จากมหาวิทยาลัยพายัพ ที่คาดการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างตรงไปตรงมาและแหลมคม

เป็นการคาดการณ์ที่ทำเอาวงเสวนา "ท้าทายสันติวิธีภายใต้สภาวะการแบ่งฝ่าย" ที่ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งประกอบด้วยนักสันติวิธี อาสาสมัครเพื่อนรับฟัง อาสาสมัครสันติอาสาสักขีพยาน นักวิชาการ และสื่อมวลชน 2 สำนัก รวมๆ ประมาณ 20 ชีวิตอยู่ในอาการเงียบกริบ

เป็นความเงียบที่ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะสภาพการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ส่อให้เห็นว่าแนวโน้มของสถานการณ์มีโอกาสสูงที่จะเดินไปสู่จุดนั้น โดยเฉพาะเกมของฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐหลังเหตุการณ์ 10 เมษาฯ วิปโยค ที่ระดมใช้สื่อทุกแขนงในมืออธิบายเรื่องราวผ่านคลิปวีดิโอ สกู๊ปข่าว และตั้งวงสนทนาหน้ากล้อง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง

แต่คำถามที่ฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐต้องตอบ แต่ยังไม่มีคำตอบก็คือ ความพยายามสร้างความชอบธรรมนั้นดำเนินไปเฉพาะกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษาฯซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว หรือกำลังต้องการสร้างความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรงและความสูญเสียรอบใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากหลากหลายฝ่ายให้จัดการปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความ "เด็ดขาด" เสียที

อาจารย์มารค เรียกความรุนแรงรอบใหม่ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ว่า "ยกที่ 2"

"ประเด็นขณะนี้ไม่ใช่เรื่องยุบสภา ลาออก หรือการเจรจา แต่เป็นเรื่องที่ว่า 'ใครคือคนเรียกร้อง' ไม่ใช่เรื่อง Issue (ประเด็นข้อเรียกร้อง) อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องบุคคลหรือกลุ่มคน เช่น ถ้าเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้เรียกร้อง อาจจะรับฟัง แต่ถ้าเป็นกลุ่มนี้ไม่รับฟัง และเมื่อประเด็นมันเปลี่ยนเป็นเรื่องกลุ่ม ความชัดเจนก็กำลังจะเกิดขึ้น"

อาจารย์มารค ชี้ว่า งานสันติวิธีในยกที่ 2 เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นการช่วงชิงอนาคตของประเทศ สันติวิธีอาจจะห้ามไม่ได้ ความสูญเสียจึงอยู่ที่การจัดการว่าจะทำได้ขนาดไหน อย่างไร เพราะความขัดแย้งบางลักษณะอาจไม่มีคนอยู่ตรงกลางได้ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายรัฐจะมีความชอบธรรมเมื่อบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง

นักวิชาการชื่อดัง ยังให้ทัศนะว่า วาทกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้เกิดการสูญเสีย อาจเป็นการสร้างความกลัวหรือเกลียดก็ได้ และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือวาทกรรมว่าด้วย "การก่อการร้าย"

"คำว่าก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันโยงกับความพยายามบางอย่าง กฎหมายบางอย่าง และเพื่ออะไรบางอย่าง"
แนวทางป้องกันไม่ให้ความสูญเสียในยกที่ 2 เกิดขึ้น อาจารย์มารค เสนอว่า ให้สังคมช่วยกันเริ่มยกที่ 2 ไปเลย นั่นคือให้คู่ขัดแย้งแต่ละฝ่ายเปิดตัวออกมาให้ชัดว่าคิดอย่างไร มีเป้าหมายอย่างไร ถ้าทำได้จะทำให้ความกลัวของสังคมลดลง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นบทบาทของสื่อ

ยกตัวอย่างเช่น มีการกล่าวหาว่าอีกฝ่ายต้องการล้มสถาบัน อาจจะต้องเปิดเวทีให้พูดกันว่าแท้ที่จริงแล้วมีการเรียกร้องอย่างนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้นว่าจุดยืนจริงๆ ของแต่ละฝ่ายอาจจะไม่ได้ไปไกลขนาดที่คิดกันก็ได้

แต่ถึงที่สุด ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อาจารย์มารค ฝากเตือนเอาไว้กลายๆ ว่า ความเป็นปกติสุขในสังคมไทยในอนาคตจะไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว

ในวงเสวนาเดียวกัน ยังมีความเห็นจาก ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักสันติวิธีชื่อก้อง โดยเขาเสนอทางออกในระยะสั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงและความสูญเสียใน "ยกที่ 2" ว่า การเผชิญหน้ากันบนถนนมีความเสี่ยงสูงมาก ฉะนั้นลำดับแรกต้องย้ายพื้นที่จากถนนไปใช้พื้นที่อื่น หรือพื้นที่ทางการเมืองที่จะทำให้มีการเจรจาต่อรองกันได้

ขณะที่ จิราภรณ์ บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับนายทหารระดับสูง ยังคงได้รับการยืนยันว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง เป็นคำพูดที่รับประกันด้วยศักดิ์ศรีของทหาร แต่จะเน้นการจัดการตามกฎหมายให้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี จิราภรณ์ เห็นว่า สิ่งที่น่ากลัว ณ เวลานี้คือการปะทะกันระหว่างประชาชนด้วยกันเอง...

หรือนั่นจะเป็น "ยกที่ 2" ที่ทุกคนหวั่นกลัว!

ผลเจรจา 2 ฝ่าย ปชป.ติดเงื่อนไขยุบพรรค

อันที่จริงในสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่าง "ทหาร" กับ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงรอบใหม่ได้ทุกเมื่อนั้น ความพยายามที่จะเปิดการเจรจาไม่รู้รอบที่เท่าไร ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

และกลไกหนึ่งที่ดำเนินกระบวนการคืบหน้าไปมากพอสมควร ก็คือคณะทำงานด้านสันติวิธีชุดหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มนักวิชาการกับอดีตข้าราชการระดับสูง

คณะทำงานชุดนี้ได้นัดแกนนำที่เป็นคู่ขัดแย้ง คืออดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย กับบุคคลระดับนำของพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งคุยกันได้ถึงสามรอบแล้ว

แม้ผลของการพูดคุยยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นใหญ่ๆ แต่ก็ถือว่าเป็น "สัญญาณที่ดี" ท่ามกลางสถานการณ์ร้อน
ท่าทีของทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่เห็นพ้องกันและเห็นต่างกัน รวมถึงข้อจำกัดในการกระทำหรือไม่กระทำในบางข้อเสนอด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก มีการพูดกันเรื่องสันติวิธี แต่ก็ย้ำเตือนกันว่า วินัยในการใช้สันติวิธีบางรูปแบบก็มีความสำคัญ

2. มีการพูดกันถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายผู้ชุมนุมให้รัฐบาลเลิกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548) ขณะที่ฝ่ายรัฐก็ขอให้ผู้ชุมนุมคืนพื้นที่ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่ยังไม่มีข้อยุติ

ประเด็นนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเหมือนถูกโดดเดี่ยวและถูกกดดันจากทุกฝ่าย นายกฯ เคยถูกขู่ฆ่า เคยถูกทุบรถที่กระทรวงมหาดไทย (เหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว) จึงยากที่จะยอมให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากไม่มีหลักประกันที่ดีพอ

3. มีการให้ข้อมูลว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มองข้ามเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว การมาร่วมชุมนุมของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเพราะมาร่วมแล้วรู้สึกมีคุณค่า ปัญหาของตัวเองได้รับการรับฟัง

4. มีการเสนอให้ฝ่ายคนเสื้อแดงไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ไปเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เห็นพ้อง เนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะตามมา

5. ฝ่ายคนเสื้อแดงพูดกันถึงวาทกรรม "ก่อการร้าย" ที่ฝ่ายรัฐบาลใช้ ซึ่งทำให้คนเสื้อแดงไม่พอใจ และผู้ชุมนุมส่วนใหญ่รู้สึกสะท้อนใจที่กล่าวหากันเกินไป

6. ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดถึงเงื่อนไขการยุบสภา โดยแสดงความเป็นห่วงเรื่องคดียุบพรรค เพราะเมื่อพิจารณาจากคดีของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมาจะตัดสินภายใน 3-5 เดือน ฉะนั้นการยุบสภาต้องพิจารณาในมุมที่เป็นไปได้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เนื่องจากถ้าพรรคถูกยุบขณะกำลังหาเสียงเลือกตั้งอยู่ พรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย ซึ่งคณะทำงานด้านสันติวิธีกำลังเสนอให้คู่ขัดแย้งพยายามขยับออกจากเกมเดิม... เพื่อไม่ให้ก้าวเดินไปสู่ความรุนแรง!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

กองพิสูจน์หลักฐานเผยคลิปซุ่มยิงที่แท้กิ่งไม้ไหว ส่วนทหารยิงปืนใส่ประชาชนจริง

กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยรายงานโต้ ศอฉ. พบคลิปซุ่มยิงที่แท้เป็นกิ่งไม้ไหว ส่วนนักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิตจากกระสุนปืนที่เบื้องต้นพบว่ามาจากฝั่งทหาร ส่วนที่ ศอฉ. อ้างว่าทหารยิงปืนเพื่อคุ้มกันการถอนตัวนั้นพบว่าเป็นการยิงใส่ประชาชนจริงๆ แถมมีการบอกกันเองให้หยุดยิง

เนชั่นทันข่าวรายงานวันนี้ (20 เม.ย.) ว่า กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการตรวจพื้นที่เกิดเหตุบริเวณแยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิไตย หลังเกิดเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา สบ.10

ซุ่มยิงจากตึกกองสลากที่แท้กิ่งไม้ไหว
โดยรายงานระบุว่าจากการตรวจสอบจุดบริเวณสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ริมถนนราชดำเนินซึ่งมีการระบุว่าเป็นจุดที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้ใช้ปืนคอยซุ่มยิงทหารและประชาชนนั้น จากการตรวจสอบว่า บริเวณดังกล่าวไม่พบร่องรอยของเขม่าดินปืน หรือพบปลอกกระสุนตกในที่เกิดเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนที่มีคลิปเคลื่อนไหวจากการจำลองเหตุการณ์พบว่า เป็นกิ่งไม้ที่ไหวในช่วงกลางคืน ส่วนควันที่เกิดในคลิปสันนิฐานว่าเป็นควันที่เกิดจากกระสุนปืนที่มา โดนบริเวณตัวอาคารลอยขึ้นไป จนทำให้เกิดเหมือนภาพมีคนคอยซุ่มยิงและมีควันคล้ายการยิงปืน

วิถีกระสุนยิงนักข่าวญี่ปุ่นมาจากฝั่งทหาร
นอกจากนี้จากการตรวจสอบคลิปภาพถ่ายต่างๆที่รวบรวมได้กรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวชาวญี่ปุ่นสังกัด สำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า ในช่วงแรกนักข่าวชาวญี่ปุ่นอยู่หลังแนวทหาร แต่เมื่อแนวทหารถอยร่นจากการตอบโต้ของคนเสื้อแดง ปรากฏว่า นักข่าวคนดังกล่าวได้มายืนอยู่ในจุดด้านหน้าของการปะทะระหว่างทหารและกลุ่ม เสื้อแดง และแนววิถีกระสุนคาดว่าน่าจะมาจากฝั่งทหาร

ทหารไม่ยิงเพื่อถอนตัว แต่ยิงใส่ประชาชนจริง

นอกจากนั้นในส่วนของคลิปที่สำนักข่าวฝรั่งเศสระบุว่าทหารยิงปืน แต่ทาง ศอฉ. ระบุว่าเป็นเพียงการคุ้มกันการถอนตัวนั้น จากการตรวจสอบคลิปอย่างต่อเนื่องของกองพิสูจน์หลักฐานพบว่ามีการยิงกระสุนใส่ประชาชนจริง และในบางช่วงยังมีเสียงทหารด้วยกันบอกให้หยุดยิง และบอกว่าพอแล้ว ซึ่งรายงานทั้งหมด คณะพนักงานสอบสวนได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้แล้ว


ที่มา.ประชาไท
**************************************************

เสียงกระซิบจาก"คนเสื้อแดง"อยากบอกดังๆ มีเลือด มีเนื้อ "เจ็บ" เป็นเหมือนกัน

โปรดอย่าถามว่าแค้นไหม ?

ไม่ว่าจะ "ลูก เล็ก เด็ก แดง พ่อ แม่ พี่ น้อง" ที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมที่สูญเสียญาติไปในเหตุการณ์ "เมษาวิปโยค" ความโศกเศร้า เสียใจ ยังคงเกาะกุมจิตใจไปพร้อมกับความเคียดแค้นคับอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประชาชนธรรมดาคงไม่อาจภาคภูมิใจกับการจากไปของลูกหลาน เยี่ยงชายชาติทหาร ที่ปฏิญาณตนว่าจะยอมพลีกายเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แม้จากไปยังมีลาภ ยศ คำสรรเสริญ เสียชีวิตในหน้าที่ ส่งต่อมาให้ครอบครัวให้พอคลายความเศร้าได้บ้าง สำหรับชาวบ้านคงไม่คิดว่าการมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตยจะต้องมากลายเป็นศพ นอนตายแบบหมาข้างถนน

นายสวาท วางาม อายุ 28 ปี ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ยืนถือธงสีแดงกลางวงคนเสื้อแดง จู่ๆ ล้มลงท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องภาพเลือดที่ไหลนองอยู่เต็มพื้นถนนกับศพที่ไม่ไหวติง หลังจากถูกซุ่มยิง จนเสียชีวิตระหว่างที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมเพื่อขอพื้นที่คืน

"เขาจะมาไล่พวกผมก็ต้องสู้ผลักดันทหารออกไป เขาใช้กระบองตีหน้าแข้งผม ยิงแก๊สน้ำตาใส่ ผมยืนสู้ร่วมกับพี่ชาย พวกเราตะลุยเข้าไปแบบไม่กลัว แต่ผมแสบตามากจึงออกมาหาน้ำล้างตา" นายวรเมธ วางงาม อายุ 15 ปี เล่านาทีก่อนที่พี่ชายนายสวาท จะเสียชีวิตว่าถ้าไม่กลับออกมาล้างตาและเจ็บขาเพราะถูกกระบองฟาดอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาเช่นกัน เพราะจะอยู่ติดกับพี่ตลอดเพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทหารบุกเข้ามาภายใน

รัฐบาลยังไม่ยอมยุบสภาจะมาไล่แบบนี้ใครจะยอม พวกเราจึงต้องออกมาสู้แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นยิงกันแบบนี้

"พี่ผมต้องไม่ตายเปล่า" นาทีที่ทหารบุกเข้ามาพวกเราล้มลุก คลุกคลาน แสบตา แต่ต้องสู้ ทหารมีโล่กำบังแต่พวกผมไม่มี แต่ผมไม่กลัวยิ่งเห็นทหารเอากระบองตียิงปืนใส่ผมลุยอย่างเดียว กล่าวเพียงเท่านี้เด็กชายที่เพิ่งจะก้าวข้ามมาใช้ "นาย"แสดงแววตาที่จริงใจแข็งกร้าวพร้อมกับชูภาพศพจากโทรศัพท์มือถือให้ดู

สำหรับผู้เป็นพ่อ นายสำราญ วางาม ชาวสุรินทร์ ต้องสูญเสียลูกชายที่เป็นแรงงานหลักของบ้านไปว่า เสียใจมาก ไม่คิดว่าลูกชายจะมาตายแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นคนยากจน มีที่ดินแค่ 1 ไร่ แต่ทำกินไม่พอลูกจึงต้องมาทำงานในกรุงเทพฯใช้แรงงาน แต่วันนี้พวกเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เหลือเพียงชีวิตแต่ก็ถูกพรากไปอีก ลูกชายผมเกิดวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2525 แล้วมาตายในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553

ประชาธิปไตยสำหรับคนยากจนอย่างผมอธิบายอะไรไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่ารัฐบาลต้องยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกผู้นำที่คนส่วนใหญ่ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้พวกผมเดือดร้อน ไม่มีอะไรจะกิน ผมเสียลูกชายไป 1 คน ไม่ขออะไรมากขอแค่รัฐบาลอย่าได้ฆ่าประชาชนเหมือนผักเหมือนปลาอีกเลย ถ้าชีวิตลูกชายของผมยังมีค่าพอจะแลกกับตำแหน่งได้ขอให้ "ยุบสภา"

"ลูกชายผมยังลืมตาค้างแบบตายวันแรก" ผมเป็นพ่อคงไม่อยากเห็นลูกนอนตายตาค้างแบบนี้ พวกเราจะสู้ต่อไปชุมนุมจนกว่าจะได้ประชาธิปไตยคืนมา เพื่ออนาคตของลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่

นางสาวอัมพิตา สมุทรติรัมย์ อายุ 28 ปี อุ้มท้อง 6 เดือน ภรรยานายสวาท วางาม อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตขณะถือธงต้านทหารถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กล่าวว่า เสียใจมากที่สามีไม่มีโอกาสได้ดูหน้าลูกสาวที่กำลังจะเกิดในอีก 4 เดือน สามีคงตายตาไม่หลับจนถึงตอนนี้ยังนอนตายตาค้าง ตอนนี้ครอบครัวของเราก็ลำบากมากขาดผู้นำครอบครัวไป โชคดีที่ยังมีน้าคอยดูแล ต่อไปคงต้องเลี้ยงลูกเอง ถ้าลูกคลอดออกมาคงต้องอธิบายว่าทำไมถึงไม่มีพ่อ ซึ่งจะบอกเล่าให้ลูกฟังทั้งหมด

นางสุภารัตน์ ทองผุย ภรรยานายบุญธรรม คลองผุย ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวที่แยกคอกวัว กล่าวว่า ทุกครั้งที่มาชุมนุมนายบุญธรรม จะมาพร้อมลูกชายคนเล็ก แต่ครั้งนี้เขามาคนเดียว และบอกลูกชายว่า เดี๋ยวพ่อไปกลับ หลังจากนั้น ก็เห็นข่าวว่านายบุญธรรมเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจมาก ยังช็อคไม่หายเลย

นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุร้ายก็ฝันว่าสามีถูกตามฆ่า เชื่อว่าเป็นฝันบอกเหตุ ต่อมาก็ได้รู้ว่าสามีเสียชีวิตแล้ว เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งอยู่กับสามีคนแรก ก็ฝันว่า สามีคนแรกถูกฆ่าต่อมาสามีคนแรกก็ตายเหมือนกัน จึงเชื่อในความฝันมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเสียชีวิตของสามีเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่เกี่ยวกับชายชุดดำ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่น่าสลายการชุมนุม เพราะแค่คำว่า "ขอยุบสภา" ไม่น่าจะพูดยาก

เมื่อถามว่า หากรัฐบาลยอมยุบสภาแล้ว จะเป็นไรต่อ นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ต้องมีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม ให้ได้รัฐบาลขึ้นมา เมื่อถามต่อว่า หากได้รัฐบาลขึ้นมาแล้ว มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วยและออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาอีก นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ก็ต้องดูกันอีกที

คุณยายคำกอง ทองผุย แม่ของนายบุญธรรม อายุ 77 ปี บอกว่ายังรู้สึกเสียใจกับการจากไปของลูกชาย แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกชายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ภูมิใจมาก รู้สึกโกรธแค้นเช่นกันที่ลูกชายต้องมาเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์ครั้งนี้

คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดของประเทศตอนนี้คืออะไร

คุณยายคำกองบอกว่า รัฐบาลต้องยุบสภา เพราะตนเชื่อว่า จะทำให้ชาติสงบสุข อีกทั้งระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ ตนไม่ได้เลือกตั้งมา อยากให้รัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง เนื่องจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เด็กในหมู่บ้านไม่มีคนดมกาว และโจร ขโมยก็ไม่เยอะ

ได้รับเงินช่วยเหลือค่าทำศพรวมทั้งหมดเท่าไหร่

ยายคำกองกล่าวว่า ตนยังไม่เห็นเงินช่วยเหลือเลยสักบาท เนื่องจากลูกสะใภ้ (นางสุภารัตน์) เป็นคนจัดการทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ ตนมาพักอยู่กับลูกอีกคนที่มีบ้านอยู่ที่จ.ปทุมธานี โดยที่มาวันนี้ ทางพรรคเพื่อไทยก็เป็นคนส่งรถไปรับถึงบ้านพร้อมกับพาไปรับประทานอาหาร และก็เดินทางมาพร้อมกับลูกสะใภ้และหลานชายเพื่อมาขอความเป็นธรรมดังกล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย "ชฎา ไอยคุปต์"
***********************************************

ส.ส.เพื่อไทยยกโขยงให้กำลังใจแดง "จตุพร"ย้ำปักหลักราชประสงค์

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติตลอดช่วงหัวค่ำยังคงมีการผลัดกันขึ้นเวทีปราศรัยปลุกผู้ร่วมชุมนุมเน้นเป้าหมายเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา รวมถึงปราศรัยโจมตีการเข้าสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา และมีการแจกซีดีที่มีการเขียนข้อความว่า “ความจริง” 10 เมษาฯ ใครฆ่าประชาชน

ทั้งนี้มีการเขียนคำอธิบายว่า ภาพคลิปวิดีโอนี้ เกิดขึ้นจากการรวบรวมของศูนย์ต่อต้านการรัฐประหารเป็นภาพต้องห้ามที่ไม่สามารถเผยแพร่ตามสื่อของรัฐได้ “ เราขอสดุดีวีรชนผู้ต่อสู้ด้วย 2 มือเปล่า "

นอกจากนี้เวทีปราศรัยยังเรียกร้องให้คนเสื้อแดงได้ร่วมปักหลักชุมนุมที่ราชประสงค์ ส่วนบรรยากาศการรักษาความปลอดภัยปรากฏว่าได้มีการ์ดตรวจเข้มการเดินทางเข้าออกพื้นที่ชุมนุมตลอดเวลา อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่ ชุมนุมตลอดบริเวณพื้นที่ไม่หนาแน่นเช่นทุกค่ำคืน อย่างไรก็ดีในเวลา 19.50 น.ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ขึ้นเวทีที่ราชประสงค์ปรากฏตัวต่อผู้ชุมนุม โดยระบุว่า เป็นการเดินทางมาให้กำลงใจกับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม

จากนั้นนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช.ได้ขึ้นเวทีปราศรัยระบุว่า ขอให้คนเสื้อแดงทุกคนปักหลักอยู่ที่ราชประสงค์ คงจะไม่มีความจำเป็นที่จะเคลื่อนไหวไปไหน


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************

"อภิชาต"ป่วย กกต.ไม่ได้ถกประเด็น 29 ล้าน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการประชุมกกต.วันนี้(20 ม.ย.) ซึ่งได้มีการประชุมเพียงแค่ช่วงเช้าเท่านั้นและมี กกต.เข้าประชุมเพียง 4 คน ขาดเพียงนาย อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เพียงคนเดียว ซึ่งได้ลาป่วยไม่มาทำงาน จึงทำให้การประชุมในวันนี้ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในประเด็นเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต.จำนวน 29 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีดังกล่าวนี้ ยังมีปัญหากันไม่จบที่ กกต.คนอื่นๆ ยังมีความเห็นว่าควรจะต้องมาคุยในประเด็น 29 ล้านบาทใหม่ กรณีช่องทางของการส่งเรื่อง เนื่องจากว่ากรณีดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่สามารถส่งให้กับศาลรัฐธรรมนูญเองได้ เหมือนกับหลายๆ พรรคที่เป็นพรรคเล็กๆ ที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ส่งไปแล้วหลายพรรคการเมือง ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 93 ประกอบกับมาตรา 42 วรรค 2 และมาตรา 82 ให้ยุบพรรคการเมืองนั้น เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของกกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ปรากฏต่อนายทะเบียน

แหล่งข่าวจาก กกต.เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเองได้ ไม่ต้องส่งไปให้กับอัยการสูงสุด ตอนนี้ก็อยู่ที่นายอภิชาต ว่าจะดำเนินการอย่างไร ว่าจะให้เป็นไปตามมติของ กกต.หรือจะใช้อำนาจหน้าที่ของตนเองที่มีอยู่ เพราะหากส่งไปให้กับอัยการสูงสุดแล้ว หากทางอัยการสูงสุดตอบกลับมาหลังจาก 15 วันที่นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องส่งไปแล้วจะเกิดปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ที่จริงแล้วกกต.ไม่จำเป็นต้องลงมติเพราะเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนอยู่แล้ว และการทำมีมติของกกต.ทำเกินกว่าอำนาจที่ตนเองมีหรือไม่ ทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ก็เห็นว่าน่าที่จะทำสำนวนแยกส่งจะดีกว่า ส่วน258 ล้านบาทก็ให้ส่งไปอัยการสูงสุด



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

แดงตั้งป้อมรับมือทหารสลาย

บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณ แยกศาลาแดง ว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. นำโดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และนายขวัญชัย ไพรพนา ได้มีการตั้งด่านเพื่อป้องกันทหารเข้ามาสลาย ซึ่งได้ตั้งหันหน้าเข้าหาถนนสีลมซึ่งมีทหารวางกำลังอยู่เช่นกัน โดยผู้ชุมนุมได้นำยางระยนต์จำนวนมากมาตั้งพร้อมด้วยวางรั้วลวดหนาม และติดแสลนสีเขียวพร้อมทั้งนำไม้ไผ่มาตั้งเป็นรั้วกำแพงด้านนอก ขณะที่ด้านในก็มีการตั้งรั้วไม้ไผ่โดยได้นำไม้ไผ่เหลาแหลมมาวางตั้งทิ่มออกมานอกรั้วเพื่อเป็นแนวป้องกัน นอกจากนี้ในพื้นที่ดังกล่าวยังมีไม้ไผ่วางอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในบริเวณดังกล่าวได้มีการเตรียมบั้งไฟไว้ด้วย ทั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้ไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวเพื่อร่วมรักษาด่านเป็นจำนวนมาก

ขณะที่บรรยากาศบริเวณแยกปทุมวันนั้นปรากฎว่าทางเวทีได้ระดมยางรถยนต์ใช้แล้วเพื่อมาทำเป็นบังเกอร์ป้องกันทหารเข้ามาสลายการชุมนุม โดยการ์ดนปช.ได้นำไม้ใผ่มาเหลาปลายแหลมตั้งเป็นเสาและนำยางรถยนต์มาก่อเป็นบังเกอร์สูงประมาณ 2 เมตรปิดถนนทั้งขาเข้าและขาออก มีประชาชนที่เดินทางผ่านแยกปทุมวันทั้งบนฟุตบาทและบนทางเดินบนรถไฟฟ้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจยืนดูอย่างตื่นตาตื่นใจ จับกลุ่มกันวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าย่านสยามสแควร์แหล่งช้อปปิ้งเลื่องชื่อจะมีสภาพใกล้เคียงกับสนามรบ

ขณะที่ถนนบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ พ่อค้าแม่ค้าได้นำสิ่งของมาวางขายตลอดสองข้างทาง พร้อมทั้งมีการแจกซีดีและเปิดวีซีดีภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมโดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงให้ความสนใจมุงดูอย่างคับคั่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังวันที่ 10 เม.ย.มีสติกเกอร์ภาพนายอภิสิทธิ์เขียนข้อความว่า "อภิสิทธิ์ฆาตกร"เป็นจำนวนมากตามเสารถไฟฟ้า และสะพานลอยต่าง

สำหรับพื้นที่การชุมนุมในขณะนี้ได้ขยายบริเวณออกไป โดยบนถ.ราชดำริ ได้มีผู้ชุมนุมอยู่ยาวไปถึงแยกสีลม ขณะที่บน ถ.ราชปรารภ ได้ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกราชปรารภ ขณะที่ฝั่งถ.พระราม 1 ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกปทุมวัน และบนถนนสุขุมวิท ผู้ชุมนุอยู่จนถึงแยกเพลิจิต อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมจะอยู่หนาแน่นเฉพาะบริเวณหน้าเวทีและบริเวณแยกต่างๆเท่านั้น ส่วนช่วงกลางนั้นมีผู้ชุมนุมค่อนข้างบางตา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ยังได้มาปรากฏตัวที่หลังเวทีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วย


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

แดง ตื่น ฮ.บินวนราชประสงค์ "กี้ร์" ขู่ ยึดรถพยาบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงเช้าทางการ์ดนปช.ได้มีการเปลี่ยนแปลงปลอกแขนสื่อมวลชนในรูปแบบใหม่เป็นปลอกแขนสีเขียวคาดดำมีข้อความว่า ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน โดยให้สื่อมวลชนที่มาทำข่าวบริเวณด้านหลังเวทีแยกราชประสงค์ในวันนี้ แต่ไม่มีปลอกแขนดังกล่าวให้มาลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่นปช. อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ปลอกแขนใหม่ของนปช.ที่แจกให้สื่อมวลชนนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลอกแขนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แจกให้สื่อมวลชนที่มาทำข่าวในภาคสนาม ได้มีการวิภาควิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากจะทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์เป็นผู้จัดทำปลอกแขนดังกล่าว โดยเฉพาะข้อความที่ระบุว่ายุบสภานั้น อาจทำให้ถูกมองได้ว่าใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือได้

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน มีเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจมาบินสังเกตการณ์รอบบริเวณการชุมนุมแยกราชประสงค์หลายรอบ ทำให้คนเสื้อแดงแตกตื่น พร้อมทั้งเขย่าตีนตบและส่งเสียงโห่ไล่ เพราะเข้าใจผิดว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทั้งนี้สำหรับบรรยากาศในช่วงบ่ายไม่คึกคักเหมือนกับการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ผ่านๆ มา ยังคงมีกลุ่มกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนบางตา และรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณด้านหน้าเวทีถึงบริเวณสะพานลอยคนข้ามหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ด

จากนั้นเวลา 14.30 น.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า ในคืนวันที่ 20 เม.ย.นี้ ตนจะนำกองทัพนักรบคนเสื้อแดงออกปฏิบัติการพิเศษ โดยจะยึดรถพยาบาล 32 คัน และยึดรถทหารพร้อมอาวุธปืนมาให้คนเสื้อแดง เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯได้สั่งฆ่าประชาชน ซึ่งหากในอนาคตมีคนเสื้อแดงต้องตายจากการชุมนุม นายอภิสิทธิ์ต้องตายด้วย ทั้งนี้พี่น้องเสื้อแดงไม่ต้องกลัวว่ามารวมตัวชุมนุมกันแล้ว แต่ไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย เพราะตนกำลังจะเสนอให้ที่ประชุมแบ่งกำลังไปบล็อกรอบพื้นที่ทหาร ถ.สีลม 4 จุด ในเวลา 3 วัน รับรองว่าทหารจะถูกปลดอาวุธและถูกส่งกลับกรมกอง


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************

การล้างแค้น"ไอ้โม่ง"ของ "บูรพาพยัคฆ์" กลางกระแสข่าวลือรัฐประหาร ระวัง! จรยุทธ์ในเมือง

ไม่มี ข่าวดี บนถนน ราชประสงค์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กัดฟันไม่ถอย ขณะที่เสื้อแดงประกาศสู้ตาย ไม่มีใครถอยให้ใครแล้ว เส้นตายที่พันธมิตรฯประกาศให้จัดการแดงก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ แล้วกระแสข่าวลือรัฐประหารก็สะพัดไปทั้งเมือง นักวิเคราะห์ชี้ว่า เมื่อใดที่ทหารแตกกันก็อึมครึมทุกทีไป ล่าสุด มีข่าว "บูรพาพยัคฆ์" กำลังเตรียมเช็คบิล"ไอ้โม่ง" ที่ยิง เอ็ม 79 ใส่เพื่อนรัก เมื่อวันที่ 10 เมษายน

วันนี้ นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานแดงพะเยา กล่าวว่า หลังจากที่เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งการให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมมากขึ้น
ด้วยเหตุผลคือ 1. ถูกสั่งให้เข้ามาเตรียมพร้อมกับการสลายการชุมนุมครั้งที่สอง
2.สำหรับกองกำลังทหารจากบูรพาพยัคฆ์เข้ามามากกว่าครั้งแรก เนื่องจากนายทหารผู้บังคับบัญชาได้ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุผลประการที่สอง ทำให้ตนคิดว่ากองกำลังจากบูรพาพยัคฆ์ที่ได้เข้ามาประจำการที่กรุงเทพ ฯ

ขณะนี้ ต้องการเข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เจ้านายของตนเองที่เสียชีวิตไป ทำให้กลุ่มเสื้อแดงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะขณะนี้กองกำลังเจ้าหน้าที่ทหารประจำตามจุดต่าง ๆ อยู่ห่างจากบริเวณที่ชุมนุมประมาณ 100 เมตร เท่านั้น
กล่าวสำหรับ "บูรพาพยัคฆ์" หมายถึง กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ตั้งอยู่ที่ค่ายพรหมโยธี อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เครือข่ายนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตมาจากกองพลนี้ มีชื่อเรียกขานว่า "นักรบบูรพา" หรือ "บูรพาพยัคฆ์"

ปัจจุบันนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตจาก "บูรพาพยัคฆ์" ได้แก่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และ พล.ท. คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1

นายทหารกลุ่มนี้ เป็นกำลังสำคัญในการทำรัฐประหาร 2549 และเป็นขุมกำลังหลักใน คมช. รวมทั้งยังถือเป็นขั้วอำนาจสำคัญทางฝ่ายทหาร ที่มีอิทธิพลต่อ รัฐบาลสมัคร 1, รัฐบาลสมชาย 1 และ รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1

นอกจากเส้นทางการเติบโตมาจากสาย "บูรพาพยัคฆ์" แล้ว สำหรับ พล.อ. อนุพงษ์ และ พล.อ. ประยุทธ์ ยังถือว่าเป็น ทหารเสือราชินี อีกด้วย

หลัง 10 เมษายน สายข่าวของ"แนวหน้า" ชี้ว่า การที่รัฐบาลส่งทหารไปลุยม็อบโดยยังไม่ตกผลึกในด้านข่าวกรองแบบ "รู้เขา รู้เรา" จึงทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวเสื้อแดงนั้น
ขณะนี้คงจะเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า "ใครต้องรับผิดชอบ" แต่ขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ไอ้โม่งฉกฉวยสถานการณ์สร้างความตกต่ำให้แก่รัฐบาล และกระทบชิ่งไปเด็ดปีกทหารบูรพาพยัคฆ์" ดังนี้

1.ไอ้โม่งถืออาวุธเป็นจอมอัจฉริยะมาจากไหน จึงรู้ว่า พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2.รอ. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2.รอ. และ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผบ.ร.12.พัน 2 รอ. ซึ่งอยู่ในชุดสนามคล้ายทหารอื่นที่ปักหลักที่แยกคอกวัว เป็นจำนวนมาก กำลังยืนวางแผนอยู่ริมฟุตบาธข้างถนนตะนาว แล้วฉวยจังหวะยิงเอ็ม 79 เข้าใส่อย่างแม่นยำหลายลูก ทำให้พล.ต.วลิต บาดเจ็บสาหัสขาหัก 3 ท่อน พ.ท.เกรียงศักดิ์ บาดเจ็บสาหัสต้องผ่าตัดสมอง และพ.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต

ใครก็ได้ช่วยตอบที กลางคืนแท้ ๆ ไอ้โม่งห่างตั้ง 300-400 เมตร รู้ได้อย่างไรนายทหารยืนกันตรงนั้น?

นายทหารสามท่านที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ล้วนสังกัดบูรพาพยัคฆ์ทั้งสิ้น ทุกคนเคยเป็นวีรบุรุษในการสลายม็อบเมษาทมิฬเมื่อปี 2552 มาแล้ว ในขณะที่ทหารเหล่าอื่นที่ร่วมปฏิบัติการสลายม็อบครั้งนี้ กลับไม่มีข่าวว่าผู้ใดตายและใครบาดเจ็บ

ใครก็ได้ช่วยตอบที ข่าวลือ "ต้องเด็ดปีกบูรพาพยัคฆ์" เป็นจริงหรือไม่?

สายข่าว"มติชน" รายงาน ว่า การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของ พ.อ. (พิเศษ) ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.ร.2 รักษาพระองค์ ที่ถูกยิงด้วยระเบิดเอ็ม79 ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในค่ำคืนวิปโยค 10 เมษายน สร้างความเศร้าสลดให้กับครอบครัว และผู้ที่เคยสัมผัส กับ พ.อ.ร่มเกล้า เป็นอย่างมาก

เนื่องด้วยประวัติของพ.อ.ร่มเกล้าในแวดวงสีเขียวนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความจงรักภักดี และเป็นหนึ่งในนายทหารที่มีฝีมือระดับมือพระกาฬ ในสายบูรพาพยัคฆ์ ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากกับการที่คนดีอีกคนหนึ่งต้องจากไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนเปา ซึ่งเป็นผองเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร(ตท.) รุ่นที่ 25 หลังการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า เพียง 1 วัน เหล่าผองเพื่อน ตท.25 ได้นัดหารือกันในสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อร่วมกันไขปริศนาว่า ใครคือไอ้โม่งที่เป็นคนพรากชีวิตเพื่อนของพวกเขา ?

ล่าสุด มีการ ตั้งข้อสงสัยว่า พันเอกร่มเกล้า ถูกชี้เป้าให้ยิงอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมษาเลือดเมื่อปี 2552 ในฐานะผู้บังคับบัญชานำกำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง หรือถูกลูกหลงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ?


แล้วคนที่ออกมาพูดเรื่องการปฎิวัติ ก็คือ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมากล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ. อักษรย่อ ป. กำลังคิดจะปฏิวัติรัฐประหารโดยกำลังรวบรวมกำลังพลและร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล มีการปกป้องทหารที่ทำความผิดที่สลายการชุมนุมเมื่อวันที่10 เมษายน และช่วยไม่ให้พรรคประชาธิปปัตย์ถูกยุบพรรค

" หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น รัฐธรรมนูญจะต้องถูกยกเลิก ขณะนี้ พล.อ. ป กำลังเช็คกำลังพลในกองทัพ ว่าจะมาร่วมมือปฏิวัติด้วยหรือไม่ มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเคยมีบทเรียนมาจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาแล้ว "
กระแสข่าวลือ เรื่องการรัฐประหาร สะพัดอย่างหนักในช่วงวันสองวันนี้ พร้อมกับกระข่าวว่า กองทัพก็แตกกันเอง อย่างหนัก
การซุ่มเงียบของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการหายไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ยิ่งทำให้ หลายคน หายใจ ไม่ทั่วท้อง
ยิ่งเมื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขีดเส้นตายให้รัฐบาลจัดการ แดง ภายใน 7 วัน
ยิ่งทำให้ สถานการณ์ สุกงอม เสมือน ภาวะใกล้ ฝีแตก!!!

การออกมาของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เพื่อขอที่พึ่งพระบารมี "ในหลวง" พระราชทานแนวทางแก้ไขวิกฤตการเมือง ....ไม่ธรรมดา อย่างแน่นอน
คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่" ที่ไม่ยังไม่เกิดขึ้นจริง มีอยู่อย่างเดียวในเวลานี้ก็คือ ...การปฎิวัติ ครั้งใหญ่
ทว่า การปฎิวัติครั้งนี้ อาจเป็นสงครามกลางเมือง ที่สู้รบกันในระหว่างซอกตึกย่านราชประสงค์
คำขู่ของ"เสื้อแดง" ก็คือ รัฐบาลจะได้คืน แต่ซากตึก!!!!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************

เสื้อแดงอุดรฯยังเข้ากรุงอีก

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 20 เมษายน ที่สถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร 97.5 เมกกะเฮิร์ต หนองเหล็ก ซ.9 เทศบาลนครอุดรธานี สมาชิกชมรมคนรักอุดร ได้ทยอยมาร่วมลงชื่อ พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เพื่อจะร่วมเดินทางไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯอีกครั้ง หลังจากที่ นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้แจ้งให้นักจัดรายการของสถานี ประกาศให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไป มาลงชื่อที่สถานี

นอกจากนี้ยังมีสมาชิกฯได้เดินทางมาร่วมบริจาคเงินเป็นค่ารถค่าใช้จ่ายในการชุมนุม รวมถึงได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มามอบให้นำส่งเป็นเสบียงให้กับสมาชิกฯที่ลงไปร่วมชุมนุมก่อนหน้านั้น ในขณะที่มีสมาชิกบางส่วน ที่เดินทางมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า มาลงชื่อ เพื่อคอยที่จะเดินทาง

ส่วนการถ่ายทอดสัญญาณของสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ซึ่งทางสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร ได้รับอุปกรณ์การรับสัญญาณจากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมของทีวี 100 ช่องโดยตรง ส่งมอบให้กับทางจังหวัดหลัก ๆ ของคนเสื้อแดง หลังจากที่ทางสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ถูกตัดสัญญาณ ทำให้สามารถส่งกระจายเสียงผ่านทางสถานีวิทยุฯได้ โดยไม่ถูกตัดสัญญาณ เพราะรับส่งสัญญาณดาวเทียมได้โดยตรง

นายอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย เปิดเผยว่า วันนี้มีสมาชิกชมรมฯ มาร่วมลงชื่อ เพื่อต้องการไปร่วมชุมนุมที่ กทม.อีก ซึ่งเมื่อมีคนมาลงชื่อครบ ตนก็จะติดต่อเช่ารถบัสมารับ แต่ยังเป็นห่วงเรื่องการตั้งด่านสกัดตามจังหวัดต่าง ๆ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะต้องให้เดินทางเข้าโดยทางรถไฟในช่วงเย็นวันนี้แทน

“นอกจากนี้ยังสมาชิกฯได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มีจำนวนมาก มาบริจาคให้ เพื่อให้นำลงไปให้สมาชิกฯและคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเราจะต้องจัดหารถนำลงไปด้วย”



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************

ผู้ว่าฯเชียงใหม่ มั่นใจเสื้อแดงไม่จับเป็นตัวประกัน

นายอมรพันธ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีที่นายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ประกาศให้คนเสื้อแดงจับผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตัวประกัน หาก เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร ว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองใน จังหวัดเชียงใหม่นำโดยแกนนำที่เป็นคนเชียงใหม่ เป็นคนในพื้นที่ แม้บางครั้งจะมีคำพูด รุนแรงในการปราศัยบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหา และที่ผ่านมาก็ไม่มีการเข้ายึดพื้นที่สำคัญทาง เศรษฐกิจของจังหวัดแต่อย่างใด ทำให้เชื่อว่าการเคลื่อนไหวในจังหวัดเชียงใหม่จะเป็นไป ในทิศทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำสั่งจากแกนนำ นปช. ในกรุงเทพฯ ทางจังหวัดก็ต้อง ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนจะรุนแรงหรือไม่ต้องประเมินสถานการณ์ใน กรุงเทพฯ เป็นหลัก

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ในมาตรการดูแลสถานที่ราชการต้องระมัด ระวังมากขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่มีข้อมูลต้นฉบับเก็บไว้มาก ทั้ง คลังจังหวัด สรรพากร และ สำนักงานที่ดินจังหวัด ข้อมูลในสถานที่ราชการเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัว อาคารและอุปกรณ์ในสำนักงาน หากเกิดความเสียหายขึ้นจะส่งผลกระทบกับประชาชน เป็นจำนวนมาก

ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดใน อ.สันกำแพง และ อ.จอมทอง กำลัง ตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง หรือ เกิดจากความคึกคะนอง ของกลุ่มวัยรุ่น แต่ก็เป็นสิ่งบกชี้ว่ายังจำเป็นต้องมีด่านตรวจตราเพื่อป้องกันเหตุต่อไปอีก และหากประเมินว่าอาจมีความรุนแรงมากขึ้น ทางจังหวัดอาจยกระดับมาตรการรักษา ความปลอดภัยให้มากขึ้น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการดูแลป้องกันมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่มีการจับเป็นตัวประกัน แต่ก็ได้มีการเพิ่มเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันมากขึ้นทุกครั้งในการเดินทางไปนอกศูนย์ราชการ



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

แถลงการณ์ พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ตามที่มีบุคคลผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองไปขึ้นป้ายในบริเวณถนนสีลม ไปในทำนองว่าผมคือประมุขของรัฐไทยใหม่ และเป็นประธานาธิบดี นั้น

ผมขอประณามการกระทำนี้ ว่าเป็นการใช้ความเท็จจงใจใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุด การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และต้องการสร้างความแตกแยกในแผ่นดินให้ขยายวงกว้างออกไปอีก บุคคลดังกล่าวนี้กำลังเพลิดเพลินกับการทุจริตเงินภาษีของประชาชน ซ้ำร้ายยังตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในชาติอีก ผมขอเรียกร้องให้บุคคลเหล่านี้ยุติการกระทำเช่นนี้เสีย เพราะนอกจากจะไม่มีคนไทยเชื่อสิ่งที่พวกท่านกำลังทำ ท่านกำลังทำบาปและสร้างความแตกแยกในชาติ

คนไทยทุกคน รวมทั้งตัวผม และครอบครัว เทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ดังนั้นไม่มีวันที่จะมีใครคิดไปดำเนินการดังที่ระบุในข้อความใส่ร้ายดังกล่าว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนหาตัวกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อไป


พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
20 เมษายน 2553