รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการประชุมกกต.วันนี้(20 ม.ย.) ซึ่งได้มีการประชุมเพียงแค่ช่วงเช้าเท่านั้นและมี กกต.เข้าประชุมเพียง 4 คน ขาดเพียงนาย อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เพียงคนเดียว ซึ่งได้ลาป่วยไม่มาทำงาน จึงทำให้การประชุมในวันนี้ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในประเด็นเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต.จำนวน 29 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีดังกล่าวนี้ ยังมีปัญหากันไม่จบที่ กกต.คนอื่นๆ ยังมีความเห็นว่าควรจะต้องมาคุยในประเด็น 29 ล้านบาทใหม่ กรณีช่องทางของการส่งเรื่อง เนื่องจากว่ากรณีดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่สามารถส่งให้กับศาลรัฐธรรมนูญเองได้ เหมือนกับหลายๆ พรรคที่เป็นพรรคเล็กๆ ที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ส่งไปแล้วหลายพรรคการเมือง ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 93 ประกอบกับมาตรา 42 วรรค 2 และมาตรา 82 ให้ยุบพรรคการเมืองนั้น เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของกกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ปรากฏต่อนายทะเบียน
แหล่งข่าวจาก กกต.เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเองได้ ไม่ต้องส่งไปให้กับอัยการสูงสุด ตอนนี้ก็อยู่ที่นายอภิชาต ว่าจะดำเนินการอย่างไร ว่าจะให้เป็นไปตามมติของ กกต.หรือจะใช้อำนาจหน้าที่ของตนเองที่มีอยู่ เพราะหากส่งไปให้กับอัยการสูงสุดแล้ว หากทางอัยการสูงสุดตอบกลับมาหลังจาก 15 วันที่นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องส่งไปแล้วจะเกิดปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ที่จริงแล้วกกต.ไม่จำเป็นต้องลงมติเพราะเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนอยู่แล้ว และการทำมีมติของกกต.ทำเกินกว่าอำนาจที่ตนเองมีหรือไม่ ทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ก็เห็นว่าน่าที่จะทำสำนวนแยกส่งจะดีกว่า ส่วน258 ล้านบาทก็ให้ส่งไปอัยการสูงสุด
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
แดงตั้งป้อมรับมือทหารสลาย
บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณ แยกศาลาแดง ว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. นำโดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และนายขวัญชัย ไพรพนา ได้มีการตั้งด่านเพื่อป้องกันทหารเข้ามาสลาย ซึ่งได้ตั้งหันหน้าเข้าหาถนนสีลมซึ่งมีทหารวางกำลังอยู่เช่นกัน โดยผู้ชุมนุมได้นำยางระยนต์จำนวนมากมาตั้งพร้อมด้วยวางรั้วลวดหนาม และติดแสลนสีเขียวพร้อมทั้งนำไม้ไผ่มาตั้งเป็นรั้วกำแพงด้านนอก ขณะที่ด้านในก็มีการตั้งรั้วไม้ไผ่โดยได้นำไม้ไผ่เหลาแหลมมาวางตั้งทิ่มออกมานอกรั้วเพื่อเป็นแนวป้องกัน นอกจากนี้ในพื้นที่ดังกล่าวยังมีไม้ไผ่วางอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในบริเวณดังกล่าวได้มีการเตรียมบั้งไฟไว้ด้วย ทั้งนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้ไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวเพื่อร่วมรักษาด่านเป็นจำนวนมาก
ขณะที่บรรยากาศบริเวณแยกปทุมวันนั้นปรากฎว่าทางเวทีได้ระดมยางรถยนต์ใช้แล้วเพื่อมาทำเป็นบังเกอร์ป้องกันทหารเข้ามาสลายการชุมนุม โดยการ์ดนปช.ได้นำไม้ใผ่มาเหลาปลายแหลมตั้งเป็นเสาและนำยางรถยนต์มาก่อเป็นบังเกอร์สูงประมาณ 2 เมตรปิดถนนทั้งขาเข้าและขาออก มีประชาชนที่เดินทางผ่านแยกปทุมวันทั้งบนฟุตบาทและบนทางเดินบนรถไฟฟ้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจยืนดูอย่างตื่นตาตื่นใจ จับกลุ่มกันวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าย่านสยามสแควร์แหล่งช้อปปิ้งเลื่องชื่อจะมีสภาพใกล้เคียงกับสนามรบ
ขณะที่ถนนบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ พ่อค้าแม่ค้าได้นำสิ่งของมาวางขายตลอดสองข้างทาง พร้อมทั้งมีการแจกซีดีและเปิดวีซีดีภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมโดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงให้ความสนใจมุงดูอย่างคับคั่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังวันที่ 10 เม.ย.มีสติกเกอร์ภาพนายอภิสิทธิ์เขียนข้อความว่า "อภิสิทธิ์ฆาตกร"เป็นจำนวนมากตามเสารถไฟฟ้า และสะพานลอยต่าง
สำหรับพื้นที่การชุมนุมในขณะนี้ได้ขยายบริเวณออกไป โดยบนถ.ราชดำริ ได้มีผู้ชุมนุมอยู่ยาวไปถึงแยกสีลม ขณะที่บน ถ.ราชปรารภ ได้ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกราชปรารภ ขณะที่ฝั่งถ.พระราม 1 ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกปทุมวัน และบนถนนสุขุมวิท ผู้ชุมนุอยู่จนถึงแยกเพลิจิต อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมจะอยู่หนาแน่นเฉพาะบริเวณหน้าเวทีและบริเวณแยกต่างๆเท่านั้น ส่วนช่วงกลางนั้นมีผู้ชุมนุมค่อนข้างบางตา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ยังได้มาปรากฏตัวที่หลังเวทีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
ขณะที่บรรยากาศบริเวณแยกปทุมวันนั้นปรากฎว่าทางเวทีได้ระดมยางรถยนต์ใช้แล้วเพื่อมาทำเป็นบังเกอร์ป้องกันทหารเข้ามาสลายการชุมนุม โดยการ์ดนปช.ได้นำไม้ใผ่มาเหลาปลายแหลมตั้งเป็นเสาและนำยางรถยนต์มาก่อเป็นบังเกอร์สูงประมาณ 2 เมตรปิดถนนทั้งขาเข้าและขาออก มีประชาชนที่เดินทางผ่านแยกปทุมวันทั้งบนฟุตบาทและบนทางเดินบนรถไฟฟ้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจยืนดูอย่างตื่นตาตื่นใจ จับกลุ่มกันวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าย่านสยามสแควร์แหล่งช้อปปิ้งเลื่องชื่อจะมีสภาพใกล้เคียงกับสนามรบ
ขณะที่ถนนบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ พ่อค้าแม่ค้าได้นำสิ่งของมาวางขายตลอดสองข้างทาง พร้อมทั้งมีการแจกซีดีและเปิดวีซีดีภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมโดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงให้ความสนใจมุงดูอย่างคับคั่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังวันที่ 10 เม.ย.มีสติกเกอร์ภาพนายอภิสิทธิ์เขียนข้อความว่า "อภิสิทธิ์ฆาตกร"เป็นจำนวนมากตามเสารถไฟฟ้า และสะพานลอยต่าง
สำหรับพื้นที่การชุมนุมในขณะนี้ได้ขยายบริเวณออกไป โดยบนถ.ราชดำริ ได้มีผู้ชุมนุมอยู่ยาวไปถึงแยกสีลม ขณะที่บน ถ.ราชปรารภ ได้ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกราชปรารภ ขณะที่ฝั่งถ.พระราม 1 ผู้ชุมนุมอยู่จนถึงแยกปทุมวัน และบนถนนสุขุมวิท ผู้ชุมนุอยู่จนถึงแยกเพลิจิต อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมจะอยู่หนาแน่นเฉพาะบริเวณหน้าเวทีและบริเวณแยกต่างๆเท่านั้น ส่วนช่วงกลางนั้นมีผู้ชุมนุมค่อนข้างบางตา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ยังได้มาปรากฏตัวที่หลังเวทีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
แดง ตื่น ฮ.บินวนราชประสงค์ "กี้ร์" ขู่ ยึดรถพยาบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงเช้าทางการ์ดนปช.ได้มีการเปลี่ยนแปลงปลอกแขนสื่อมวลชนในรูปแบบใหม่เป็นปลอกแขนสีเขียวคาดดำมีข้อความว่า ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน โดยให้สื่อมวลชนที่มาทำข่าวบริเวณด้านหลังเวทีแยกราชประสงค์ในวันนี้ แต่ไม่มีปลอกแขนดังกล่าวให้มาลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่นปช. อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ปลอกแขนใหม่ของนปช.ที่แจกให้สื่อมวลชนนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลอกแขนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แจกให้สื่อมวลชนที่มาทำข่าวในภาคสนาม ได้มีการวิภาควิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากจะทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์เป็นผู้จัดทำปลอกแขนดังกล่าว โดยเฉพาะข้อความที่ระบุว่ายุบสภานั้น อาจทำให้ถูกมองได้ว่าใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือได้
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน มีเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจมาบินสังเกตการณ์รอบบริเวณการชุมนุมแยกราชประสงค์หลายรอบ ทำให้คนเสื้อแดงแตกตื่น พร้อมทั้งเขย่าตีนตบและส่งเสียงโห่ไล่ เพราะเข้าใจผิดว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทั้งนี้สำหรับบรรยากาศในช่วงบ่ายไม่คึกคักเหมือนกับการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ผ่านๆ มา ยังคงมีกลุ่มกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนบางตา และรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณด้านหน้าเวทีถึงบริเวณสะพานลอยคนข้ามหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ด
จากนั้นเวลา 14.30 น.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า ในคืนวันที่ 20 เม.ย.นี้ ตนจะนำกองทัพนักรบคนเสื้อแดงออกปฏิบัติการพิเศษ โดยจะยึดรถพยาบาล 32 คัน และยึดรถทหารพร้อมอาวุธปืนมาให้คนเสื้อแดง เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯได้สั่งฆ่าประชาชน ซึ่งหากในอนาคตมีคนเสื้อแดงต้องตายจากการชุมนุม นายอภิสิทธิ์ต้องตายด้วย ทั้งนี้พี่น้องเสื้อแดงไม่ต้องกลัวว่ามารวมตัวชุมนุมกันแล้ว แต่ไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย เพราะตนกำลังจะเสนอให้ที่ประชุมแบ่งกำลังไปบล็อกรอบพื้นที่ทหาร ถ.สีลม 4 จุด ในเวลา 3 วัน รับรองว่าทหารจะถูกปลดอาวุธและถูกส่งกลับกรมกอง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน มีเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจมาบินสังเกตการณ์รอบบริเวณการชุมนุมแยกราชประสงค์หลายรอบ ทำให้คนเสื้อแดงแตกตื่น พร้อมทั้งเขย่าตีนตบและส่งเสียงโห่ไล่ เพราะเข้าใจผิดว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทั้งนี้สำหรับบรรยากาศในช่วงบ่ายไม่คึกคักเหมือนกับการชุมนุมครั้งใหญ่ที่ผ่านๆ มา ยังคงมีกลุ่มกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนบางตา และรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณด้านหน้าเวทีถึงบริเวณสะพานลอยคนข้ามหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ด
จากนั้นเวลา 14.30 น.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า ในคืนวันที่ 20 เม.ย.นี้ ตนจะนำกองทัพนักรบคนเสื้อแดงออกปฏิบัติการพิเศษ โดยจะยึดรถพยาบาล 32 คัน และยึดรถทหารพร้อมอาวุธปืนมาให้คนเสื้อแดง เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯได้สั่งฆ่าประชาชน ซึ่งหากในอนาคตมีคนเสื้อแดงต้องตายจากการชุมนุม นายอภิสิทธิ์ต้องตายด้วย ทั้งนี้พี่น้องเสื้อแดงไม่ต้องกลัวว่ามารวมตัวชุมนุมกันแล้ว แต่ไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย เพราะตนกำลังจะเสนอให้ที่ประชุมแบ่งกำลังไปบล็อกรอบพื้นที่ทหาร ถ.สีลม 4 จุด ในเวลา 3 วัน รับรองว่าทหารจะถูกปลดอาวุธและถูกส่งกลับกรมกอง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
การล้างแค้น"ไอ้โม่ง"ของ "บูรพาพยัคฆ์" กลางกระแสข่าวลือรัฐประหาร ระวัง! จรยุทธ์ในเมือง
ไม่มี ข่าวดี บนถนน ราชประสงค์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กัดฟันไม่ถอย ขณะที่เสื้อแดงประกาศสู้ตาย ไม่มีใครถอยให้ใครแล้ว เส้นตายที่พันธมิตรฯประกาศให้จัดการแดงก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ แล้วกระแสข่าวลือรัฐประหารก็สะพัดไปทั้งเมือง นักวิเคราะห์ชี้ว่า เมื่อใดที่ทหารแตกกันก็อึมครึมทุกทีไป ล่าสุด มีข่าว "บูรพาพยัคฆ์" กำลังเตรียมเช็คบิล"ไอ้โม่ง" ที่ยิง เอ็ม 79 ใส่เพื่อนรัก เมื่อวันที่ 10 เมษายน
วันนี้ นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานแดงพะเยา กล่าวว่า หลังจากที่เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งการให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมมากขึ้น
ด้วยเหตุผลคือ 1. ถูกสั่งให้เข้ามาเตรียมพร้อมกับการสลายการชุมนุมครั้งที่สอง
2.สำหรับกองกำลังทหารจากบูรพาพยัคฆ์เข้ามามากกว่าครั้งแรก เนื่องจากนายทหารผู้บังคับบัญชาได้ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุผลประการที่สอง ทำให้ตนคิดว่ากองกำลังจากบูรพาพยัคฆ์ที่ได้เข้ามาประจำการที่กรุงเทพ ฯ
ขณะนี้ ต้องการเข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เจ้านายของตนเองที่เสียชีวิตไป ทำให้กลุ่มเสื้อแดงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะขณะนี้กองกำลังเจ้าหน้าที่ทหารประจำตามจุดต่าง ๆ อยู่ห่างจากบริเวณที่ชุมนุมประมาณ 100 เมตร เท่านั้น
กล่าวสำหรับ "บูรพาพยัคฆ์" หมายถึง กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ตั้งอยู่ที่ค่ายพรหมโยธี อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เครือข่ายนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตมาจากกองพลนี้ มีชื่อเรียกขานว่า "นักรบบูรพา" หรือ "บูรพาพยัคฆ์"
ปัจจุบันนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตจาก "บูรพาพยัคฆ์" ได้แก่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และ พล.ท. คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1
นายทหารกลุ่มนี้ เป็นกำลังสำคัญในการทำรัฐประหาร 2549 และเป็นขุมกำลังหลักใน คมช. รวมทั้งยังถือเป็นขั้วอำนาจสำคัญทางฝ่ายทหาร ที่มีอิทธิพลต่อ รัฐบาลสมัคร 1, รัฐบาลสมชาย 1 และ รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1
นอกจากเส้นทางการเติบโตมาจากสาย "บูรพาพยัคฆ์" แล้ว สำหรับ พล.อ. อนุพงษ์ และ พล.อ. ประยุทธ์ ยังถือว่าเป็น ทหารเสือราชินี อีกด้วย
หลัง 10 เมษายน สายข่าวของ"แนวหน้า" ชี้ว่า การที่รัฐบาลส่งทหารไปลุยม็อบโดยยังไม่ตกผลึกในด้านข่าวกรองแบบ "รู้เขา รู้เรา" จึงทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวเสื้อแดงนั้น
ขณะนี้คงจะเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า "ใครต้องรับผิดชอบ" แต่ขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ไอ้โม่งฉกฉวยสถานการณ์สร้างความตกต่ำให้แก่รัฐบาล และกระทบชิ่งไปเด็ดปีกทหารบูรพาพยัคฆ์" ดังนี้
1.ไอ้โม่งถืออาวุธเป็นจอมอัจฉริยะมาจากไหน จึงรู้ว่า พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2.รอ. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2.รอ. และ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผบ.ร.12.พัน 2 รอ. ซึ่งอยู่ในชุดสนามคล้ายทหารอื่นที่ปักหลักที่แยกคอกวัว เป็นจำนวนมาก กำลังยืนวางแผนอยู่ริมฟุตบาธข้างถนนตะนาว แล้วฉวยจังหวะยิงเอ็ม 79 เข้าใส่อย่างแม่นยำหลายลูก ทำให้พล.ต.วลิต บาดเจ็บสาหัสขาหัก 3 ท่อน พ.ท.เกรียงศักดิ์ บาดเจ็บสาหัสต้องผ่าตัดสมอง และพ.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต
ใครก็ได้ช่วยตอบที กลางคืนแท้ ๆ ไอ้โม่งห่างตั้ง 300-400 เมตร รู้ได้อย่างไรนายทหารยืนกันตรงนั้น?
นายทหารสามท่านที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ล้วนสังกัดบูรพาพยัคฆ์ทั้งสิ้น ทุกคนเคยเป็นวีรบุรุษในการสลายม็อบเมษาทมิฬเมื่อปี 2552 มาแล้ว ในขณะที่ทหารเหล่าอื่นที่ร่วมปฏิบัติการสลายม็อบครั้งนี้ กลับไม่มีข่าวว่าผู้ใดตายและใครบาดเจ็บ
ใครก็ได้ช่วยตอบที ข่าวลือ "ต้องเด็ดปีกบูรพาพยัคฆ์" เป็นจริงหรือไม่?
สายข่าว"มติชน" รายงาน ว่า การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของ พ.อ. (พิเศษ) ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.ร.2 รักษาพระองค์ ที่ถูกยิงด้วยระเบิดเอ็ม79 ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในค่ำคืนวิปโยค 10 เมษายน สร้างความเศร้าสลดให้กับครอบครัว และผู้ที่เคยสัมผัส กับ พ.อ.ร่มเกล้า เป็นอย่างมาก
เนื่องด้วยประวัติของพ.อ.ร่มเกล้าในแวดวงสีเขียวนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความจงรักภักดี และเป็นหนึ่งในนายทหารที่มีฝีมือระดับมือพระกาฬ ในสายบูรพาพยัคฆ์ ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากกับการที่คนดีอีกคนหนึ่งต้องจากไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนเปา ซึ่งเป็นผองเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร(ตท.) รุ่นที่ 25 หลังการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า เพียง 1 วัน เหล่าผองเพื่อน ตท.25 ได้นัดหารือกันในสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อร่วมกันไขปริศนาว่า ใครคือไอ้โม่งที่เป็นคนพรากชีวิตเพื่อนของพวกเขา ?
ล่าสุด มีการ ตั้งข้อสงสัยว่า พันเอกร่มเกล้า ถูกชี้เป้าให้ยิงอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมษาเลือดเมื่อปี 2552 ในฐานะผู้บังคับบัญชานำกำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง หรือถูกลูกหลงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ?
แล้วคนที่ออกมาพูดเรื่องการปฎิวัติ ก็คือ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมากล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ. อักษรย่อ ป. กำลังคิดจะปฏิวัติรัฐประหารโดยกำลังรวบรวมกำลังพลและร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล มีการปกป้องทหารที่ทำความผิดที่สลายการชุมนุมเมื่อวันที่10 เมษายน และช่วยไม่ให้พรรคประชาธิปปัตย์ถูกยุบพรรค
" หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น รัฐธรรมนูญจะต้องถูกยกเลิก ขณะนี้ พล.อ. ป กำลังเช็คกำลังพลในกองทัพ ว่าจะมาร่วมมือปฏิวัติด้วยหรือไม่ มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเคยมีบทเรียนมาจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาแล้ว "
กระแสข่าวลือ เรื่องการรัฐประหาร สะพัดอย่างหนักในช่วงวันสองวันนี้ พร้อมกับกระข่าวว่า กองทัพก็แตกกันเอง อย่างหนัก
การซุ่มเงียบของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการหายไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ยิ่งทำให้ หลายคน หายใจ ไม่ทั่วท้อง
ยิ่งเมื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขีดเส้นตายให้รัฐบาลจัดการ แดง ภายใน 7 วัน
ยิ่งทำให้ สถานการณ์ สุกงอม เสมือน ภาวะใกล้ ฝีแตก!!!
การออกมาของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เพื่อขอที่พึ่งพระบารมี "ในหลวง" พระราชทานแนวทางแก้ไขวิกฤตการเมือง ....ไม่ธรรมดา อย่างแน่นอน
คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่" ที่ไม่ยังไม่เกิดขึ้นจริง มีอยู่อย่างเดียวในเวลานี้ก็คือ ...การปฎิวัติ ครั้งใหญ่
ทว่า การปฎิวัติครั้งนี้ อาจเป็นสงครามกลางเมือง ที่สู้รบกันในระหว่างซอกตึกย่านราชประสงค์
คำขู่ของ"เสื้อแดง" ก็คือ รัฐบาลจะได้คืน แต่ซากตึก!!!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************
วันนี้ นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานแดงพะเยา กล่าวว่า หลังจากที่เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งการให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมมากขึ้น
ด้วยเหตุผลคือ 1. ถูกสั่งให้เข้ามาเตรียมพร้อมกับการสลายการชุมนุมครั้งที่สอง
2.สำหรับกองกำลังทหารจากบูรพาพยัคฆ์เข้ามามากกว่าครั้งแรก เนื่องจากนายทหารผู้บังคับบัญชาได้ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุผลประการที่สอง ทำให้ตนคิดว่ากองกำลังจากบูรพาพยัคฆ์ที่ได้เข้ามาประจำการที่กรุงเทพ ฯ
ขณะนี้ ต้องการเข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เจ้านายของตนเองที่เสียชีวิตไป ทำให้กลุ่มเสื้อแดงต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะขณะนี้กองกำลังเจ้าหน้าที่ทหารประจำตามจุดต่าง ๆ อยู่ห่างจากบริเวณที่ชุมนุมประมาณ 100 เมตร เท่านั้น
กล่าวสำหรับ "บูรพาพยัคฆ์" หมายถึง กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ตั้งอยู่ที่ค่ายพรหมโยธี อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เครือข่ายนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตมาจากกองพลนี้ มีชื่อเรียกขานว่า "นักรบบูรพา" หรือ "บูรพาพยัคฆ์"
ปัจจุบันนายทหารที่มีเส้นทางเติบโตจาก "บูรพาพยัคฆ์" ได้แก่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. และ พล.ท. คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1
นายทหารกลุ่มนี้ เป็นกำลังสำคัญในการทำรัฐประหาร 2549 และเป็นขุมกำลังหลักใน คมช. รวมทั้งยังถือเป็นขั้วอำนาจสำคัญทางฝ่ายทหาร ที่มีอิทธิพลต่อ รัฐบาลสมัคร 1, รัฐบาลสมชาย 1 และ รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1
นอกจากเส้นทางการเติบโตมาจากสาย "บูรพาพยัคฆ์" แล้ว สำหรับ พล.อ. อนุพงษ์ และ พล.อ. ประยุทธ์ ยังถือว่าเป็น ทหารเสือราชินี อีกด้วย
หลัง 10 เมษายน สายข่าวของ"แนวหน้า" ชี้ว่า การที่รัฐบาลส่งทหารไปลุยม็อบโดยยังไม่ตกผลึกในด้านข่าวกรองแบบ "รู้เขา รู้เรา" จึงทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวเสื้อแดงนั้น
ขณะนี้คงจะเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า "ใครต้องรับผิดชอบ" แต่ขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง "ไอ้โม่งฉกฉวยสถานการณ์สร้างความตกต่ำให้แก่รัฐบาล และกระทบชิ่งไปเด็ดปีกทหารบูรพาพยัคฆ์" ดังนี้
1.ไอ้โม่งถืออาวุธเป็นจอมอัจฉริยะมาจากไหน จึงรู้ว่า พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2.รอ. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสธ.พล.ร.2.รอ. และ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผบ.ร.12.พัน 2 รอ. ซึ่งอยู่ในชุดสนามคล้ายทหารอื่นที่ปักหลักที่แยกคอกวัว เป็นจำนวนมาก กำลังยืนวางแผนอยู่ริมฟุตบาธข้างถนนตะนาว แล้วฉวยจังหวะยิงเอ็ม 79 เข้าใส่อย่างแม่นยำหลายลูก ทำให้พล.ต.วลิต บาดเจ็บสาหัสขาหัก 3 ท่อน พ.ท.เกรียงศักดิ์ บาดเจ็บสาหัสต้องผ่าตัดสมอง และพ.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิต
ใครก็ได้ช่วยตอบที กลางคืนแท้ ๆ ไอ้โม่งห่างตั้ง 300-400 เมตร รู้ได้อย่างไรนายทหารยืนกันตรงนั้น?
นายทหารสามท่านที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ล้วนสังกัดบูรพาพยัคฆ์ทั้งสิ้น ทุกคนเคยเป็นวีรบุรุษในการสลายม็อบเมษาทมิฬเมื่อปี 2552 มาแล้ว ในขณะที่ทหารเหล่าอื่นที่ร่วมปฏิบัติการสลายม็อบครั้งนี้ กลับไม่มีข่าวว่าผู้ใดตายและใครบาดเจ็บ
ใครก็ได้ช่วยตอบที ข่าวลือ "ต้องเด็ดปีกบูรพาพยัคฆ์" เป็นจริงหรือไม่?
สายข่าว"มติชน" รายงาน ว่า การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของ พ.อ. (พิเศษ) ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.ร.2 รักษาพระองค์ ที่ถูกยิงด้วยระเบิดเอ็ม79 ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในค่ำคืนวิปโยค 10 เมษายน สร้างความเศร้าสลดให้กับครอบครัว และผู้ที่เคยสัมผัส กับ พ.อ.ร่มเกล้า เป็นอย่างมาก
เนื่องด้วยประวัติของพ.อ.ร่มเกล้าในแวดวงสีเขียวนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความจงรักภักดี และเป็นหนึ่งในนายทหารที่มีฝีมือระดับมือพระกาฬ ในสายบูรพาพยัคฆ์ ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากกับการที่คนดีอีกคนหนึ่งต้องจากไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนเปา ซึ่งเป็นผองเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเตรียมทหาร(ตท.) รุ่นที่ 25 หลังการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า เพียง 1 วัน เหล่าผองเพื่อน ตท.25 ได้นัดหารือกันในสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อร่วมกันไขปริศนาว่า ใครคือไอ้โม่งที่เป็นคนพรากชีวิตเพื่อนของพวกเขา ?
ล่าสุด มีการ ตั้งข้อสงสัยว่า พันเอกร่มเกล้า ถูกชี้เป้าให้ยิงอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมษาเลือดเมื่อปี 2552 ในฐานะผู้บังคับบัญชานำกำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง หรือถูกลูกหลงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ?
แล้วคนที่ออกมาพูดเรื่องการปฎิวัติ ก็คือ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมากล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ. อักษรย่อ ป. กำลังคิดจะปฏิวัติรัฐประหารโดยกำลังรวบรวมกำลังพลและร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล มีการปกป้องทหารที่ทำความผิดที่สลายการชุมนุมเมื่อวันที่10 เมษายน และช่วยไม่ให้พรรคประชาธิปปัตย์ถูกยุบพรรค
" หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น รัฐธรรมนูญจะต้องถูกยกเลิก ขณะนี้ พล.อ. ป กำลังเช็คกำลังพลในกองทัพ ว่าจะมาร่วมมือปฏิวัติด้วยหรือไม่ มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเคยมีบทเรียนมาจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาแล้ว "
กระแสข่าวลือ เรื่องการรัฐประหาร สะพัดอย่างหนักในช่วงวันสองวันนี้ พร้อมกับกระข่าวว่า กองทัพก็แตกกันเอง อย่างหนัก
การซุ่มเงียบของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการหายไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ยิ่งทำให้ หลายคน หายใจ ไม่ทั่วท้อง
ยิ่งเมื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขีดเส้นตายให้รัฐบาลจัดการ แดง ภายใน 7 วัน
ยิ่งทำให้ สถานการณ์ สุกงอม เสมือน ภาวะใกล้ ฝีแตก!!!
การออกมาของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เพื่อขอที่พึ่งพระบารมี "ในหลวง" พระราชทานแนวทางแก้ไขวิกฤตการเมือง ....ไม่ธรรมดา อย่างแน่นอน
คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่" ที่ไม่ยังไม่เกิดขึ้นจริง มีอยู่อย่างเดียวในเวลานี้ก็คือ ...การปฎิวัติ ครั้งใหญ่
ทว่า การปฎิวัติครั้งนี้ อาจเป็นสงครามกลางเมือง ที่สู้รบกันในระหว่างซอกตึกย่านราชประสงค์
คำขู่ของ"เสื้อแดง" ก็คือ รัฐบาลจะได้คืน แต่ซากตึก!!!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************
เสื้อแดงอุดรฯยังเข้ากรุงอีก
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 20 เมษายน ที่สถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร 97.5 เมกกะเฮิร์ต หนองเหล็ก ซ.9 เทศบาลนครอุดรธานี สมาชิกชมรมคนรักอุดร ได้ทยอยมาร่วมลงชื่อ พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เพื่อจะร่วมเดินทางไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯอีกครั้ง หลังจากที่ นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้แจ้งให้นักจัดรายการของสถานี ประกาศให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไป มาลงชื่อที่สถานี
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกฯได้เดินทางมาร่วมบริจาคเงินเป็นค่ารถค่าใช้จ่ายในการชุมนุม รวมถึงได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มามอบให้นำส่งเป็นเสบียงให้กับสมาชิกฯที่ลงไปร่วมชุมนุมก่อนหน้านั้น ในขณะที่มีสมาชิกบางส่วน ที่เดินทางมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า มาลงชื่อ เพื่อคอยที่จะเดินทาง
ส่วนการถ่ายทอดสัญญาณของสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ซึ่งทางสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร ได้รับอุปกรณ์การรับสัญญาณจากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมของทีวี 100 ช่องโดยตรง ส่งมอบให้กับทางจังหวัดหลัก ๆ ของคนเสื้อแดง หลังจากที่ทางสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ถูกตัดสัญญาณ ทำให้สามารถส่งกระจายเสียงผ่านทางสถานีวิทยุฯได้ โดยไม่ถูกตัดสัญญาณ เพราะรับส่งสัญญาณดาวเทียมได้โดยตรง
นายอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย เปิดเผยว่า วันนี้มีสมาชิกชมรมฯ มาร่วมลงชื่อ เพื่อต้องการไปร่วมชุมนุมที่ กทม.อีก ซึ่งเมื่อมีคนมาลงชื่อครบ ตนก็จะติดต่อเช่ารถบัสมารับ แต่ยังเป็นห่วงเรื่องการตั้งด่านสกัดตามจังหวัดต่าง ๆ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะต้องให้เดินทางเข้าโดยทางรถไฟในช่วงเย็นวันนี้แทน
“นอกจากนี้ยังสมาชิกฯได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มีจำนวนมาก มาบริจาคให้ เพื่อให้นำลงไปให้สมาชิกฯและคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเราจะต้องจัดหารถนำลงไปด้วย”
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกฯได้เดินทางมาร่วมบริจาคเงินเป็นค่ารถค่าใช้จ่ายในการชุมนุม รวมถึงได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มามอบให้นำส่งเป็นเสบียงให้กับสมาชิกฯที่ลงไปร่วมชุมนุมก่อนหน้านั้น ในขณะที่มีสมาชิกบางส่วน ที่เดินทางมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า มาลงชื่อ เพื่อคอยที่จะเดินทาง
ส่วนการถ่ายทอดสัญญาณของสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ซึ่งทางสถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร ได้รับอุปกรณ์การรับสัญญาณจากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมของทีวี 100 ช่องโดยตรง ส่งมอบให้กับทางจังหวัดหลัก ๆ ของคนเสื้อแดง หลังจากที่ทางสถานีพีเพิ่ลแชนแนล ถูกตัดสัญญาณ ทำให้สามารถส่งกระจายเสียงผ่านทางสถานีวิทยุฯได้ โดยไม่ถูกตัดสัญญาณ เพราะรับส่งสัญญาณดาวเทียมได้โดยตรง
นายอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย เปิดเผยว่า วันนี้มีสมาชิกชมรมฯ มาร่วมลงชื่อ เพื่อต้องการไปร่วมชุมนุมที่ กทม.อีก ซึ่งเมื่อมีคนมาลงชื่อครบ ตนก็จะติดต่อเช่ารถบัสมารับ แต่ยังเป็นห่วงเรื่องการตั้งด่านสกัดตามจังหวัดต่าง ๆ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะต้องให้เดินทางเข้าโดยทางรถไฟในช่วงเย็นวันนี้แทน
“นอกจากนี้ยังสมาชิกฯได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ถ่านหุงข้าว มีจำนวนมาก มาบริจาคให้ เพื่อให้นำลงไปให้สมาชิกฯและคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเราจะต้องจัดหารถนำลงไปด้วย”
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************
ผู้ว่าฯเชียงใหม่ มั่นใจเสื้อแดงไม่จับเป็นตัวประกัน
นายอมรพันธ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีที่นายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ประกาศให้คนเสื้อแดงจับผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตัวประกัน หาก เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร ว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองใน จังหวัดเชียงใหม่นำโดยแกนนำที่เป็นคนเชียงใหม่ เป็นคนในพื้นที่ แม้บางครั้งจะมีคำพูด รุนแรงในการปราศัยบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหา และที่ผ่านมาก็ไม่มีการเข้ายึดพื้นที่สำคัญทาง เศรษฐกิจของจังหวัดแต่อย่างใด ทำให้เชื่อว่าการเคลื่อนไหวในจังหวัดเชียงใหม่จะเป็นไป ในทิศทางที่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำสั่งจากแกนนำ นปช. ในกรุงเทพฯ ทางจังหวัดก็ต้อง ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนจะรุนแรงหรือไม่ต้องประเมินสถานการณ์ใน กรุงเทพฯ เป็นหลัก
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ในมาตรการดูแลสถานที่ราชการต้องระมัด ระวังมากขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่มีข้อมูลต้นฉบับเก็บไว้มาก ทั้ง คลังจังหวัด สรรพากร และ สำนักงานที่ดินจังหวัด ข้อมูลในสถานที่ราชการเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัว อาคารและอุปกรณ์ในสำนักงาน หากเกิดความเสียหายขึ้นจะส่งผลกระทบกับประชาชน เป็นจำนวนมาก
ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดใน อ.สันกำแพง และ อ.จอมทอง กำลัง ตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง หรือ เกิดจากความคึกคะนอง ของกลุ่มวัยรุ่น แต่ก็เป็นสิ่งบกชี้ว่ายังจำเป็นต้องมีด่านตรวจตราเพื่อป้องกันเหตุต่อไปอีก และหากประเมินว่าอาจมีความรุนแรงมากขึ้น ทางจังหวัดอาจยกระดับมาตรการรักษา ความปลอดภัยให้มากขึ้น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการดูแลป้องกันมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่มีการจับเป็นตัวประกัน แต่ก็ได้มีการเพิ่มเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันมากขึ้นทุกครั้งในการเดินทางไปนอกศูนย์ราชการ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำสั่งจากแกนนำ นปช. ในกรุงเทพฯ ทางจังหวัดก็ต้อง ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนจะรุนแรงหรือไม่ต้องประเมินสถานการณ์ใน กรุงเทพฯ เป็นหลัก
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ในมาตรการดูแลสถานที่ราชการต้องระมัด ระวังมากขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่มีข้อมูลต้นฉบับเก็บไว้มาก ทั้ง คลังจังหวัด สรรพากร และ สำนักงานที่ดินจังหวัด ข้อมูลในสถานที่ราชการเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัว อาคารและอุปกรณ์ในสำนักงาน หากเกิดความเสียหายขึ้นจะส่งผลกระทบกับประชาชน เป็นจำนวนมาก
ส่วนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดใน อ.สันกำแพง และ อ.จอมทอง กำลัง ตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง หรือ เกิดจากความคึกคะนอง ของกลุ่มวัยรุ่น แต่ก็เป็นสิ่งบกชี้ว่ายังจำเป็นต้องมีด่านตรวจตราเพื่อป้องกันเหตุต่อไปอีก และหากประเมินว่าอาจมีความรุนแรงมากขึ้น ทางจังหวัดอาจยกระดับมาตรการรักษา ความปลอดภัยให้มากขึ้น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการดูแลป้องกันมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะมั่นใจว่าคนเสื้อแดงจะไม่มีการจับเป็นตัวประกัน แต่ก็ได้มีการเพิ่มเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันมากขึ้นทุกครั้งในการเดินทางไปนอกศูนย์ราชการ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
แถลงการณ์ พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ตามที่มีบุคคลผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองไปขึ้นป้ายในบริเวณถนนสีลม ไปในทำนองว่าผมคือประมุขของรัฐไทยใหม่ และเป็นประธานาธิบดี นั้น
ผมขอประณามการกระทำนี้ ว่าเป็นการใช้ความเท็จจงใจใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุด การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และต้องการสร้างความแตกแยกในแผ่นดินให้ขยายวงกว้างออกไปอีก บุคคลดังกล่าวนี้กำลังเพลิดเพลินกับการทุจริตเงินภาษีของประชาชน ซ้ำร้ายยังตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในชาติอีก ผมขอเรียกร้องให้บุคคลเหล่านี้ยุติการกระทำเช่นนี้เสีย เพราะนอกจากจะไม่มีคนไทยเชื่อสิ่งที่พวกท่านกำลังทำ ท่านกำลังทำบาปและสร้างความแตกแยกในชาติ
คนไทยทุกคน รวมทั้งตัวผม และครอบครัว เทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ดังนั้นไม่มีวันที่จะมีใครคิดไปดำเนินการดังที่ระบุในข้อความใส่ร้ายดังกล่าว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนหาตัวกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อไป
พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
20 เมษายน 2553
ผมขอประณามการกระทำนี้ ว่าเป็นการใช้ความเท็จจงใจใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุด การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และต้องการสร้างความแตกแยกในแผ่นดินให้ขยายวงกว้างออกไปอีก บุคคลดังกล่าวนี้กำลังเพลิดเพลินกับการทุจริตเงินภาษีของประชาชน ซ้ำร้ายยังตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในชาติอีก ผมขอเรียกร้องให้บุคคลเหล่านี้ยุติการกระทำเช่นนี้เสีย เพราะนอกจากจะไม่มีคนไทยเชื่อสิ่งที่พวกท่านกำลังทำ ท่านกำลังทำบาปและสร้างความแตกแยกในชาติ
คนไทยทุกคน รวมทั้งตัวผม และครอบครัว เทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ดังนั้นไม่มีวันที่จะมีใครคิดไปดำเนินการดังที่ระบุในข้อความใส่ร้ายดังกล่าว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนหาตัวกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อไป
พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
20 เมษายน 2553
"วงศ์เทวัญ-บูรพาพยัคฆ์" ร้าวลึก!
กลายเป็นประเด็น "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" ขึ้นมาในแวดวงสีเขียวทันที หลังจากเกิดเหตุการณ์ "ไอ้โม่งชุดดำ" ขนอาวุธสงครามทั้งเอ็ม 16 อาก้า และเอ็ม 79 ยิงถล่ม "นักรบบูรพาพยัคฆ์" ในการสลายม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน
การสูญเสีย พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.2 รอ. และการถูกสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 จนได้รับบาดเจ็บสาหัสของ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) จนทหารปักใจเชื่อว่างานนี้ต้องมีการ "ชี้เป้าสังหาร"
เชื่อด้วยว่า คนที่ชี้เป้าและลงมือก็น่าจะเป็น "ทหาร" ด้วยกัน แต่เป็น "ทหารแตงโม" ทั้งใน และนอกราชการที่รับใช้ฝ่ายตรงข้าม และเฝ้ามองการเติบใหญ่ของทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร !
ดังนั้น ศัพท์บัญญัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เย้ยหยันกองทัพ และให้กำลังใจคนเสื้อแดงมาตลอด จึงไม่ใช่แค่มุกตลกปลอบขวัญคนเสื้อแดงอีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องจริงที่แสดงให้เห็นถึงรอย "ร้าวลึก" ในกองทัพได้อย่างชัดเจนยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถูกวางไลน์ให้อยู่ในสายบูรพาพยัคฆ์กันยาวเหยียด เริ่มตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ที่ถ้าฟ้าไม่ถล่มดินทลายเสียก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็จะประเคนเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไปให้แน่นอน
ถัดจาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นคิว พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก่อนจะตบท้ายด้วย พล.ต.วลิต ซึ่งเกือบเอาชีวิตไม่รอดในการบัญชาศึกหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และน่าจะมีการวางคิวนายทหารระดับ เสธ.อีกยาวเหยียดในสายบูรพาพยัคฆ์ไว้สืบทอดอำนาจ
การวางไลน์ให้ขึ้นสืบทอดอำนาจแบบ "ยกแผง" ของเหล่านักรบบูรพาพยัคฆ์ย่อมทำให้ทหารในไลน์อื่น หรือเหล่าอื่นน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะคิดว่าต่อให้โชว์ผลงานดีแทบตาย แต่ถ้าไม่อยู่ในไลน์พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ก็ยากที่จะก้าวไปสู่ส่วนยอดสุดของกองทัพ
ฉะนั้นรอยร้าวในกองทัพที่นำมาสู่ความไม่เป็นเอกภาพ กระทั่งนำมาสู่ทหารแตงโม จึงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลย และปรากฏรอยปริแยกเหวอะหวะในคราวที่บูรพาพยัคฆ์นำกำลังเข้าสลายม็อบเมื่อวันที่ 10 เมษายนนี่เอง
ถ้ากวาดสายตาไปทั่วกองทัพ คนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นแบบยกแผงของเหล่าบูรพาพยัคฆ์ย่อมมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งเหล่าราบ-ม้า-ปืน-สื่อสาร-รบพิเศษ ตั้งแต่กองทัพภาคที่ 1-4
แต่ที่มีคนพูดถึงมากที่สุดก็คือ ทหารในกลุ่มที่เรียกว่า "วงศ์เทวัญ" นั่นก็คือ ทหารคุมกำลังในสังกัด กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติรัฐประหารมาทุกยุคทุกสมัย และถูกวางไลน์ให้เป็น ผบ.ทบ.มาโดยตลอด
น่าสังเกตว่า ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในไลน์วงศ์เทวัญ และจำกัดวงอยู่ในตระกูลดังไม่กี่ตระกูล เช่น "ณ อยุธยา" "กรานเลิศ" "สุวรรณทัต" "อัตตะนันทน์" "หนุนภักดี" หรือ "คงสมพงษ์" เป็นต้น
โดยจะมีการสลับช่องให้ "รบพิเศษ" ก้าวขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
จะเห็นได้ว่า แต่ละนามสกุลล้วนมีบทบาทสำคัญในกองทัพมาทุกยุคทุกสมัย เนื่องจาก พล.1 รอ. ถือเป็นกองพลที่สำคัญที่สุดของกองทัพบก จนเป็นที่รู้กันดีว่า ถ้าไม่เก่ง หรือแบ็กดีจริงๆ ก็ยากที่จะฝ่าด่านวงศ์เทวัญขึ้นไปเป็น ผบ.ทบ.ได้
ถึงขนาดที่ว่าถ้าใครถูกจัดวางให้มาเป็น ผบ.หน่วยในไลน์ของวงศ์เทวัญ เช่น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) หรือผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ก็ฝันหวานถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ.หรืออย่างน้อยๆ ก็ห้าเสือ ทบ.ได้เลย
แต่เมื่อโอกาสก้าวหน้าในชีวิตราชการถูกเบียดแทรกขึ้นมาอย่างน่ากลัวของบูรพาพยัคฆ์จาก พล.2 รอ. นำโดย 3 ป ป้อม+ป๊อก+ประยุทธ์ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.)
แม้จะพอเข้าใจได้ว่านี่คือช่วงที่ไม่ปกติ จากเหตุยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่เมื่อเห็นคิวยาวเหยียด และสถานการณ์การเมืองที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ประกอบกับ พ.ร.บ.กลาโหม ที่กำหนดให้คณะกรรมการที่ฝ่ายการเมืองเป็นเพียง 1 เสียง ก็ทำให้เชื่อว่า ความเป็นไปจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็น
แตงโมที่เริ่มผลิดอก ออกเป็นผลที่ค่อยๆ เปลี่ยนภายในให้เป็นสีแดงตามกาลเวลา
ดูตามไลน์แล้วก็น่าเหนื่อยใจแทนเหล่าอื่นจริงๆ เพราะถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. กว่าจะเกษียณอายุราชการก็ตั้งปี 2557 และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พล.ท.คณิต และ พล.ต.วลิต ก็น่าจะเข้ามารับไม้ต่อ
ส่วนอนาคตของนักรบวงศ์เทวัญในช่วงหลังกลับน่าวังเวงใจยิ่ง เพราะส่วนใหญ่จะถูกเขี่ยพ้นวงโคจรไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรี
ดังนั้น การผงาดขึ้นมาของบูรพาพยัคฆ์อันสวนทางกับการถดถอยของวงศ์เทวัญ จึงนำมาสู่รอย "ร้าวลึก" ในกองทัพที่เริ่มเห็นรอยปริแตกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะใช้ "ภาวะผู้นำ" สยบศึกในกองทัพได้อย่างไรในยามที่ข้าศึกยกทัพเข้ายึดเมือง
ถ้ากองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มี "ระเบียบวินัย" และ "ความจงรักภักดี" ยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว..เห็นทีแม้แต่ประเทศชาติก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
ที่มา.คมชัดลึก
***********************************************
การสูญเสีย พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ พล.2 รอ. และการถูกสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 จนได้รับบาดเจ็บสาหัสของ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) จนทหารปักใจเชื่อว่างานนี้ต้องมีการ "ชี้เป้าสังหาร"
เชื่อด้วยว่า คนที่ชี้เป้าและลงมือก็น่าจะเป็น "ทหาร" ด้วยกัน แต่เป็น "ทหารแตงโม" ทั้งใน และนอกราชการที่รับใช้ฝ่ายตรงข้าม และเฝ้ามองการเติบใหญ่ของทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร !
ดังนั้น ศัพท์บัญญัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เย้ยหยันกองทัพ และให้กำลังใจคนเสื้อแดงมาตลอด จึงไม่ใช่แค่มุกตลกปลอบขวัญคนเสื้อแดงอีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องจริงที่แสดงให้เห็นถึงรอย "ร้าวลึก" ในกองทัพได้อย่างชัดเจนยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถูกวางไลน์ให้อยู่ในสายบูรพาพยัคฆ์กันยาวเหยียด เริ่มตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ที่ถ้าฟ้าไม่ถล่มดินทลายเสียก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็จะประเคนเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไปให้แน่นอน
ถัดจาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นคิว พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก่อนจะตบท้ายด้วย พล.ต.วลิต ซึ่งเกือบเอาชีวิตไม่รอดในการบัญชาศึกหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และน่าจะมีการวางคิวนายทหารระดับ เสธ.อีกยาวเหยียดในสายบูรพาพยัคฆ์ไว้สืบทอดอำนาจ
การวางไลน์ให้ขึ้นสืบทอดอำนาจแบบ "ยกแผง" ของเหล่านักรบบูรพาพยัคฆ์ย่อมทำให้ทหารในไลน์อื่น หรือเหล่าอื่นน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะคิดว่าต่อให้โชว์ผลงานดีแทบตาย แต่ถ้าไม่อยู่ในไลน์พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ก็ยากที่จะก้าวไปสู่ส่วนยอดสุดของกองทัพ
ฉะนั้นรอยร้าวในกองทัพที่นำมาสู่ความไม่เป็นเอกภาพ กระทั่งนำมาสู่ทหารแตงโม จึงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลย และปรากฏรอยปริแยกเหวอะหวะในคราวที่บูรพาพยัคฆ์นำกำลังเข้าสลายม็อบเมื่อวันที่ 10 เมษายนนี่เอง
ถ้ากวาดสายตาไปทั่วกองทัพ คนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นแบบยกแผงของเหล่าบูรพาพยัคฆ์ย่อมมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งเหล่าราบ-ม้า-ปืน-สื่อสาร-รบพิเศษ ตั้งแต่กองทัพภาคที่ 1-4
แต่ที่มีคนพูดถึงมากที่สุดก็คือ ทหารในกลุ่มที่เรียกว่า "วงศ์เทวัญ" นั่นก็คือ ทหารคุมกำลังในสังกัด กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติรัฐประหารมาทุกยุคทุกสมัย และถูกวางไลน์ให้เป็น ผบ.ทบ.มาโดยตลอด
น่าสังเกตว่า ผบ.ทบ. ก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในไลน์วงศ์เทวัญ และจำกัดวงอยู่ในตระกูลดังไม่กี่ตระกูล เช่น "ณ อยุธยา" "กรานเลิศ" "สุวรรณทัต" "อัตตะนันทน์" "หนุนภักดี" หรือ "คงสมพงษ์" เป็นต้น
โดยจะมีการสลับช่องให้ "รบพิเศษ" ก้าวขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หรือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
จะเห็นได้ว่า แต่ละนามสกุลล้วนมีบทบาทสำคัญในกองทัพมาทุกยุคทุกสมัย เนื่องจาก พล.1 รอ. ถือเป็นกองพลที่สำคัญที่สุดของกองทัพบก จนเป็นที่รู้กันดีว่า ถ้าไม่เก่ง หรือแบ็กดีจริงๆ ก็ยากที่จะฝ่าด่านวงศ์เทวัญขึ้นไปเป็น ผบ.ทบ.ได้
ถึงขนาดที่ว่าถ้าใครถูกจัดวางให้มาเป็น ผบ.หน่วยในไลน์ของวงศ์เทวัญ เช่น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) หรือผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ก็ฝันหวานถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ.หรืออย่างน้อยๆ ก็ห้าเสือ ทบ.ได้เลย
แต่เมื่อโอกาสก้าวหน้าในชีวิตราชการถูกเบียดแทรกขึ้นมาอย่างน่ากลัวของบูรพาพยัคฆ์จาก พล.2 รอ. นำโดย 3 ป ป้อม+ป๊อก+ประยุทธ์ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.)
แม้จะพอเข้าใจได้ว่านี่คือช่วงที่ไม่ปกติ จากเหตุยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่เมื่อเห็นคิวยาวเหยียด และสถานการณ์การเมืองที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ประกอบกับ พ.ร.บ.กลาโหม ที่กำหนดให้คณะกรรมการที่ฝ่ายการเมืองเป็นเพียง 1 เสียง ก็ทำให้เชื่อว่า ความเป็นไปจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็น
แตงโมที่เริ่มผลิดอก ออกเป็นผลที่ค่อยๆ เปลี่ยนภายในให้เป็นสีแดงตามกาลเวลา
ดูตามไลน์แล้วก็น่าเหนื่อยใจแทนเหล่าอื่นจริงๆ เพราะถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. กว่าจะเกษียณอายุราชการก็ตั้งปี 2557 และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พล.ท.คณิต และ พล.ต.วลิต ก็น่าจะเข้ามารับไม้ต่อ
ส่วนอนาคตของนักรบวงศ์เทวัญในช่วงหลังกลับน่าวังเวงใจยิ่ง เพราะส่วนใหญ่จะถูกเขี่ยพ้นวงโคจรไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรี
ดังนั้น การผงาดขึ้นมาของบูรพาพยัคฆ์อันสวนทางกับการถดถอยของวงศ์เทวัญ จึงนำมาสู่รอย "ร้าวลึก" ในกองทัพที่เริ่มเห็นรอยปริแตกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะใช้ "ภาวะผู้นำ" สยบศึกในกองทัพได้อย่างไรในยามที่ข้าศึกยกทัพเข้ายึดเมือง
ถ้ากองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มี "ระเบียบวินัย" และ "ความจงรักภักดี" ยังไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว..เห็นทีแม้แต่ประเทศชาติก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
ที่มา.คมชัดลึก
***********************************************
"สนั่น"เผย ระบบรัฐสภา เป็นแนวทางที่ดีแก้ปัญหาบ้านเมือง
พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุ แนวทางระบบรัฐสภา ยังเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาบ้านเมือง เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เรียกร้องพลังเงียบออกมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน
พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแถลงการณ์ของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรดึงเบื้องสูงลงมาเกี่ยวข้อง ปัญหาทางการเมืองก็ควรจะแก้ไขกันเอง ซึ่งแนวทางของรัฐสภายังถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ ส่วนแนวทางของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่เสนอให้อดีตนายกรัฐมนตรี มาพูดคุยกัน ไม่น่าจะสำเร็จ ทั้งนี้หากมีข้อเสนอใหม่ที่เป็นไปได้ให้กับรัฐบาล ก็สามารถเสนอมาได้รัฐบาลยินดีที่จะรับฟัง ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีที่จะออกมาชุมนุมนั้น อยากจะให้ทุกฝ่ายได้มีการพูดจากันมากกว่า
ขณะที่นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดกันมามากแล้ว ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ เงื่อนเวลาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่แนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ทหาร และเอกชน รวมทั้งประชาชนที่เป็นพลังเงียบควรจะออกมาร่วมกันแก้ไขปัญหา ส่วนการยุบสภาขณะนี้ เห็นว่าหากยุบแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาให้ยุติได้ก็ไม่ขัดข้อง
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ออนไลน์
*************************************************
พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแถลงการณ์ของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรดึงเบื้องสูงลงมาเกี่ยวข้อง ปัญหาทางการเมืองก็ควรจะแก้ไขกันเอง ซึ่งแนวทางของรัฐสภายังถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ ส่วนแนวทางของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่เสนอให้อดีตนายกรัฐมนตรี มาพูดคุยกัน ไม่น่าจะสำเร็จ ทั้งนี้หากมีข้อเสนอใหม่ที่เป็นไปได้ให้กับรัฐบาล ก็สามารถเสนอมาได้รัฐบาลยินดีที่จะรับฟัง ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีที่จะออกมาชุมนุมนั้น อยากจะให้ทุกฝ่ายได้มีการพูดจากันมากกว่า
ขณะที่นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดกันมามากแล้ว ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ เงื่อนเวลาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่แนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ทหาร และเอกชน รวมทั้งประชาชนที่เป็นพลังเงียบควรจะออกมาร่วมกันแก้ไขปัญหา ส่วนการยุบสภาขณะนี้ เห็นว่าหากยุบแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาให้ยุติได้ก็ไม่ขัดข้อง
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ออนไลน์
*************************************************
อดีต ปธ.สมานฉันท์หนุนเจรจา ไม่คืบหน้าค่อยยุบ 16องค์กรภาค ปชช.เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา
16 องค์กรภาค ปชช.ยื่นหนังสือ รบ. เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา รัฐอย่าใช้วิธีรุนแรงสลาย ขณะเดียวกันม็อบก็อย่าติดอาวุธผู้ชุมนุม จี้เปิด พท.ราชประสงค์ ปรามทหารอย่าปฏิวัติจะยิ่งทำบ้านเมืองถลำลึก
16องค์กรยื่นรบ.อย่าใช้รุนแรง
ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์สันติวิธีมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป. อพช.) เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง เครือข่ายสันติวิธี กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง กลุ่มนักวิชาการประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง เครือข่ายจิตอาสา คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายพุทธิกา นำโดย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เดินทางไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 19 เมษายน ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ สันติวิธีและการเจรจา ช่วยกันพาประเทศไทยออกจากวิกฤต โดยมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังเรียกร้อง
หนังสือกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ระบุข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตในเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นบทเรียนแก่ทุกฝ่ายว่า ความรุนแรงไม่ใช่หนทางที่จะพาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ อีกทั้งการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหาทางคลี่คลายแก้ไข แต่ขอให้ไม่ใช้วิธีการรุนแรงและการสลายการชุมนุม เพราะจะเกิดความสูญเสียยิ่งไปกว่าที่ผ่านมา และจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนถึงขนาดอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ ส่วนด้านของผู้ชุมนุมก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ให้มีอาวุธในที่ชุมนุม
ให้2ฝ่ายถอยคนละก้าว-อย่าปฏวิติ
2.ขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อเปลี่ยนเส้นทางที่กำลังพาประเทศไทยมุ่งหน้าไปสู่การแตกหักและความพังพินาศของทุกฝ่าย โดยให้มาใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ส่วน นปช.ขอให้เปลี่ยนที่ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่อื่น หรืออย่างน้อยต้องเปิดพื้นที่ให้ห้างร้านต่างๆ ในบริเวณนั้นสามารถทำการได้ตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การปะทะหรือการสูญเสีย 3.ขอให้ทุกฝ่ายใช้วิธีการเจรจาและการประนีประนอมกันในการแก้ปัญหา 4.ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการนำเสนอข้อมูลที่เป็นด้านเดียว 5.ขอให้ทหารอย่าทำรัฐประหาร เพราะจะยิ่งทำให้ประเทศไทยยิ่งถลำลึกลงไปในวิกฤตการณ์ยิ่งขึ้น
อดีตปธ.สมานฉันท์ติงใช้รุนแรง
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นปัญหาการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมืองตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เคยพูดไว้ ดังนั้น รัฐบาลอย่าใช้กำลังทหารแก้ปัญหาเป็นอันขาด ต้องตั้งสติให้ดี และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการที่ใช้อยู่ขณะนี้ จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชนได้ ณ เวลานี้ คนที่มาชุมนุม ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแต่ชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่า ผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย ส่วนเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ฝ่ายทหารต้องวิเคราะห์เอง แต่อย่าไปเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจจะชนะตอนนี้ แต่ปัญหาไม่จบ อาจจะเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร เกรงว่า จะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ทั่วประเทศ
ย้ำให้เจรจา-ไม่ได้ผลก็ยุบสภา
"ขั้นแรกรัฐบาลต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเปิดเจรจาโดยรัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบสภา แม้เลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่เข้ามาอาจอยู่ได้ไม่นานแล้วต้องยุบสภาอีก ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองหลายครั้ง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าไปใช้กำลังสลายการชุมนุม เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่ไม่มีฝ่ายใดเอาอยู่ ที่สำคัญรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตย ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่องใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม" นายดิเรกกล่าว
ส.ว.ซัดใช้1ล./หัว ลวงร่วมชุมนุม
ขณะที่ ส.ว.ในกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา อภิปรายโจมตีแกนนำ นปช.ระหว่างการประชุมวุฒิสภา ในช่วงที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ประธานการประชุมเปิดให้สมาชิกหารือ โดยเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ว.กลุ่มนี้ โจมตีว่าการชุมนุมขณะนี้ ไม่ยึดแนวทางสันติ และไม่ถูกต้องที่ใช้ประชาชนเป็นเบี้ยในการแย่งอำนาจรัฐ และเป็นห่วงว่า จะเกิดสงครามกลางเมืองคนไทยฆ่ากันเอง ขณะที่ น.ส.สุมล สุติวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี กล่าวว่า การเจรจาสองฝ่ายเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเงื่อนไขที่ทำไม่ได้ เหมือนต้องการให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จนวันที่ 10 เมษายน เกิดเหตุสูญเสียชีวิต รัฐบาลต้องแยกผู้บงการและแกนนำออกจากประชาชนและดำเนินคดีให้ได้
ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชนว่า มีขบวนการชักจูงคนไปร่วมชุมนุม โดยมีนายหน้ามาหาและให้ทำบัตรสมาชิกและให้นำคนไปชุมนุม ซึ่งถ้ามาชุมนุมแล้วเกิดบาดเจ็บหรือตาย ก็จะได้ 1 ล้านบาท แต่ถ้าไม่เป็นไรแล้วต่อไปเจ้านายของเขาสามารถกลับมาได้ ก็จะได้ 1 ล้านบาท ถือเป็นกลลวงให้ผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเข้ามา และผู้ให้ข้อมูลยินดีเปิดเผยตัว
ส.ว.เลือกตั้งอยากเห็นภาวะผู้นำ
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ลุกขึ้นหารือโดยระบุว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมากกว่าช่วง 7 วันที่ผ่านมา และขอตั้งข้อสังเกต 3 เรื่อง คือ 1.ผู้เคราะห์ร้าย มีทั้งผู้ชุมนุม ทหาร สื่อ รวมถึงประเทศไทย 2.ที่รัฐบาลพูดถึงผู้ก่อการร้าย ตอนแรกบอกแค่คนชุดดำ ตอนหลังพูดในทำนองคนที่ใส่เสื้อสีแดงซึ่งไม่ควร และขอให้ระวังในการสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน 3.ผู้สุดวิสัย พยายามโบ้ยว่า ที่เกิดความรุนแรงเพราะผู้ไม่หวังดีทำ แต่คิดว่าประเด็นหลักคือ เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครจะรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะประชาชนฟังปากต่อปาก และแต่ละแหล่งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเหมือนกันจึงสับสน และไม่ได้ดูคลิป ดูเว็บไซต์ของรัฐบาล รายการที่นายกฯพูดจ้อทุกวันอาทิตย์ ทำไมวันที่ 18 เมษายน จึงงด จึงขอเรียกร้องให้นายกฯออกมาชี้แจง อย่าให้ผู้สุดวิสัยออกมาพูด
จากนั้นนายประสพสุขชี้แจงว่า การเรียกประชุมวุฒิสภาด่วนพิเศษเมื่อวันที่ 9 เมษายน เพื่อพิจารณาญัตติ ได้หารือกับผู้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 8 เมษายน แล้วว่า เรียกประชุมเร่งด่วน สมาชิกไม่น่าจะมาได้ครบองค์ประชุม ฝ่ายเสนอญัตติก็บอกว่าครบเพราะตรวจสอบแล้ว ผมก็บอกว่าจะรอถึง 11.00 น.ถ้าไม่ครบก็ไม่เปิดประชุม ซึ่งพอถึงวันที่ 9 เมษายน ตามเวลาที่กำหนดเมื่อไม่ครบองค์ประชุมจึงต้องเลื่อนการประชุมออกไป ส่วนเหตุวันที่ 10 เมษายน เป็นความสูญเสียจึงขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัย 1 นาทีให้ผู้เสียชีวิต นายประสพสุขกล่าว
กลุ่ม24จี้นายกฯใช้สภาแก้ปัญหา
นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา พร้อมด้วยตัวแทน 24 ส.ว.อาทิ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม ร่วมกันแถลงที่รัฐสภา กรณีที่ร่วมกันลงชื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้นำปัญหาการชุมนุมของ นปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา
นายวิชาญกล่าวว่า พวกตนทั้ง 24 คน กังวลกับวิธีการและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการที่มีทั้งการยั่วยุโดยอาศัยสื่อของรัฐ การข่มขู่ โดยโฆษกต่างๆ และวิธีการอื่นที่รัฐบาลพึงคิดอันนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย และสุดท้ายอาจนำไปสู่สูญเสียชีวิต ดังนั้น ขอเรียกร้องให้นายกฯตอบรับการเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาตามที่ ส.ว.เคยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161ทันที หรือหากรัฐบาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น ก็ขอให้รัฐบาลเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังเสียงทั้ง ส.ส.-ส.ว.ไปพร้อมกันโดยทันที อย่าคิดว่าประเทศไทยเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะยังมีรัฐสภาที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประเทศด้วย
ส.ว.43-49เรียกร้องยุติปิดกั้นสื่อ
นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว.2543-2549 รวม 29 คน เช่น พนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก นายนภินทร ศรีสรรพางค์ (ราชบุรี) นายวิบูลย์ แช่มชื่น (กาฬสินธุ์) นายมนตรี สินทวิชัย (สมุทรสงคราม) นายไสว พราหมณี (นครราชสีมา) นายบุญทัน ดอกไธสง (นครราชสีมา) นายประเกียรติ นาสิมมา (ร้อยเอ็ด) นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล (ร้อยเอ็ด) นายบุญญา หลีเหลด (สงขลา) นายสมพงษ์ สระกวี (สงขลา) นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ (นครสวรรค์) นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ (กรุงเทพมหานคร) พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน (เชียงราย) นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ (แม่อ่องสอน) นายมนู วนิชชานนท์ (สุราษฎร์ธานี) นายศรีเมือง เจริญศิริ (มหาสารคาม) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวกรณีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยกลุ่มนี้มีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย 2.มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน 3.ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน
วิปรบ.ห่วงปะทะ-เล็งคุย พธม.
นายธนิตพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยผลการประชุมวิปรัฐบาลว่า วิปรัฐบาลหารือสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงทางออก อย่างไรก็ดี ได้วิเคราะห์สถานการณ์เห็นว่าการที่แกนนำ นปช.นำผู้ชุมนุมมาอยู่ที่ราชประสงค์ ก็ทำให้มีแรงกดดันจากหลายฝ่าย การยกระดับการชุมนุมของ นปช.จึงถูกยกระดับด้วยตัวสถานการณ์เอง อย่างไรก็ดี การที่มีบางกลุ่มซ่องสุมกำลัง และยังมีกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ออกมาคัดค้าน นปช.นั้น จุดนี้จึงเป็นจุดที่รัฐบาลห่วงที่สุด เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็พยายามประสานทุกฝ่ายที่ประสานได้ หากเจรจาได้ก็เป็นการดี โดยมองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคุยกันได้เพราะยังไม่ได้เริ่มออกมาชุมนุม ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีก็เช่นกันที่มีความเข้าใจในสถานการณ์ซึ่งคุยไม่ยาก แต่กับกลุ่มเสื้อแดงคงยาก เพราะการชุมนุมยกระดับขึ้นและก็มัดตัวเองมากขึ้น รัฐบาลจะไม่ดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่ได้ แต่การดำเนินการตามกฎหมายใดๆก็ยากลำบากเพราะนึกถึงคนที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ใจ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะออกมาเคลื่อนไหวเองว่า พรรควิตก แต่รัฐบาลได้ใช้ความอดทนในการหลีกเลี่ยงในการปะทะกันมาโดยตลอด โดยแนวทางการแก้ปัญหารัฐบาลต้องมีวิธีการดำเนินการ เช่น การปรับโครงสร้าง การยกระดับคดีไปสู่ดีเอสไอ ดังนั้น เรื่องระยะเวลาจึงไม่สำคัญเท่ากับภารกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้วางโครงสร้างเอาไว้
พธม.โคราชไม่เห็นด้วยคำขาด7วัน
นางสารภี บุญประตูชัย ผู้ประสานงานภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย แนวร่วมกลุ่มพันธมิตร จ.นครราชสีมา กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มพันธมิตรยังไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนเสื้อแดงภายใน 7 วันในช่วงนี้ ควรรอดูท่าทีของรัฐบาลไปก่อนอีกสักระยะ เนื่องจากในขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการจัดการสถานการณ์บ้างแล้ว
นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำกลุ่มพันธมิตร พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประมวล เอมเปีย นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรและแนวร่วม จ.ชลบุรี ประมาณ 1,500 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 10.00 น. เพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พร้อมทั้งยื่นหนังสือคัดค้าน โดยมีนายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ลงมารับหนังสือ เพื่อส่งต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้เดินทางทางไปให้กำลังใจทหารที่ค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี
ขณะที่นายชุมพล ลีลานนท์ ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองใหม่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นแกนนำกลุ่มประชาชนพะเยารักประชาธิปไตย ประมาณ 100 คน รวมตัวบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพะเยาในช่วงบ่าย เพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง ต่อต้านการยุบสภา พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพกับทุกฝ่าย
กสม.เดินสายพบอดีตนายกฯ
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ในเวลา 13.30 น. วันที่ 20 เมษายน กสม.จะเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อหารือหาทางออกให้กับบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต เนื่องจากที่ผ่านมาเคยหารือกับอดีตนายกฯหลายคน อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่า คงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหาร มากกว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา นอกจากนั้น ทาง กสม.จะไปพบกับนายชวน หลีกภัย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี (ในวันที่ 21 เมษายน) เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะนำข้อมูลทั้งหมดนำมาสรุป เพื่อเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
16องค์กรยื่นรบ.อย่าใช้รุนแรง
ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์สันติวิธีมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป. อพช.) เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง เครือข่ายสันติวิธี กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง กลุ่มนักวิชาการประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง เครือข่ายจิตอาสา คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายพุทธิกา นำโดย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เดินทางไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 19 เมษายน ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ สันติวิธีและการเจรจา ช่วยกันพาประเทศไทยออกจากวิกฤต โดยมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังเรียกร้อง
หนังสือกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ระบุข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตในเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นบทเรียนแก่ทุกฝ่ายว่า ความรุนแรงไม่ใช่หนทางที่จะพาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ อีกทั้งการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหาทางคลี่คลายแก้ไข แต่ขอให้ไม่ใช้วิธีการรุนแรงและการสลายการชุมนุม เพราะจะเกิดความสูญเสียยิ่งไปกว่าที่ผ่านมา และจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนถึงขนาดอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ ส่วนด้านของผู้ชุมนุมก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ให้มีอาวุธในที่ชุมนุม
ให้2ฝ่ายถอยคนละก้าว-อย่าปฏวิติ
2.ขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อเปลี่ยนเส้นทางที่กำลังพาประเทศไทยมุ่งหน้าไปสู่การแตกหักและความพังพินาศของทุกฝ่าย โดยให้มาใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ส่วน นปช.ขอให้เปลี่ยนที่ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่อื่น หรืออย่างน้อยต้องเปิดพื้นที่ให้ห้างร้านต่างๆ ในบริเวณนั้นสามารถทำการได้ตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การปะทะหรือการสูญเสีย 3.ขอให้ทุกฝ่ายใช้วิธีการเจรจาและการประนีประนอมกันในการแก้ปัญหา 4.ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการนำเสนอข้อมูลที่เป็นด้านเดียว 5.ขอให้ทหารอย่าทำรัฐประหาร เพราะจะยิ่งทำให้ประเทศไทยยิ่งถลำลึกลงไปในวิกฤตการณ์ยิ่งขึ้น
อดีตปธ.สมานฉันท์ติงใช้รุนแรง
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นปัญหาการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมืองตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เคยพูดไว้ ดังนั้น รัฐบาลอย่าใช้กำลังทหารแก้ปัญหาเป็นอันขาด ต้องตั้งสติให้ดี และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการที่ใช้อยู่ขณะนี้ จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชนได้ ณ เวลานี้ คนที่มาชุมนุม ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแต่ชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่า ผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย ส่วนเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ฝ่ายทหารต้องวิเคราะห์เอง แต่อย่าไปเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจจะชนะตอนนี้ แต่ปัญหาไม่จบ อาจจะเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร เกรงว่า จะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ทั่วประเทศ
ย้ำให้เจรจา-ไม่ได้ผลก็ยุบสภา
"ขั้นแรกรัฐบาลต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเปิดเจรจาโดยรัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบสภา แม้เลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่เข้ามาอาจอยู่ได้ไม่นานแล้วต้องยุบสภาอีก ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองหลายครั้ง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าไปใช้กำลังสลายการชุมนุม เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่ไม่มีฝ่ายใดเอาอยู่ ที่สำคัญรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตย ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่องใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม" นายดิเรกกล่าว
ส.ว.ซัดใช้1ล./หัว ลวงร่วมชุมนุม
ขณะที่ ส.ว.ในกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา อภิปรายโจมตีแกนนำ นปช.ระหว่างการประชุมวุฒิสภา ในช่วงที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ประธานการประชุมเปิดให้สมาชิกหารือ โดยเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ว.กลุ่มนี้ โจมตีว่าการชุมนุมขณะนี้ ไม่ยึดแนวทางสันติ และไม่ถูกต้องที่ใช้ประชาชนเป็นเบี้ยในการแย่งอำนาจรัฐ และเป็นห่วงว่า จะเกิดสงครามกลางเมืองคนไทยฆ่ากันเอง ขณะที่ น.ส.สุมล สุติวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี กล่าวว่า การเจรจาสองฝ่ายเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเงื่อนไขที่ทำไม่ได้ เหมือนต้องการให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จนวันที่ 10 เมษายน เกิดเหตุสูญเสียชีวิต รัฐบาลต้องแยกผู้บงการและแกนนำออกจากประชาชนและดำเนินคดีให้ได้
ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชนว่า มีขบวนการชักจูงคนไปร่วมชุมนุม โดยมีนายหน้ามาหาและให้ทำบัตรสมาชิกและให้นำคนไปชุมนุม ซึ่งถ้ามาชุมนุมแล้วเกิดบาดเจ็บหรือตาย ก็จะได้ 1 ล้านบาท แต่ถ้าไม่เป็นไรแล้วต่อไปเจ้านายของเขาสามารถกลับมาได้ ก็จะได้ 1 ล้านบาท ถือเป็นกลลวงให้ผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเข้ามา และผู้ให้ข้อมูลยินดีเปิดเผยตัว
ส.ว.เลือกตั้งอยากเห็นภาวะผู้นำ
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ลุกขึ้นหารือโดยระบุว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมากกว่าช่วง 7 วันที่ผ่านมา และขอตั้งข้อสังเกต 3 เรื่อง คือ 1.ผู้เคราะห์ร้าย มีทั้งผู้ชุมนุม ทหาร สื่อ รวมถึงประเทศไทย 2.ที่รัฐบาลพูดถึงผู้ก่อการร้าย ตอนแรกบอกแค่คนชุดดำ ตอนหลังพูดในทำนองคนที่ใส่เสื้อสีแดงซึ่งไม่ควร และขอให้ระวังในการสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน 3.ผู้สุดวิสัย พยายามโบ้ยว่า ที่เกิดความรุนแรงเพราะผู้ไม่หวังดีทำ แต่คิดว่าประเด็นหลักคือ เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครจะรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะประชาชนฟังปากต่อปาก และแต่ละแหล่งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเหมือนกันจึงสับสน และไม่ได้ดูคลิป ดูเว็บไซต์ของรัฐบาล รายการที่นายกฯพูดจ้อทุกวันอาทิตย์ ทำไมวันที่ 18 เมษายน จึงงด จึงขอเรียกร้องให้นายกฯออกมาชี้แจง อย่าให้ผู้สุดวิสัยออกมาพูด
จากนั้นนายประสพสุขชี้แจงว่า การเรียกประชุมวุฒิสภาด่วนพิเศษเมื่อวันที่ 9 เมษายน เพื่อพิจารณาญัตติ ได้หารือกับผู้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 8 เมษายน แล้วว่า เรียกประชุมเร่งด่วน สมาชิกไม่น่าจะมาได้ครบองค์ประชุม ฝ่ายเสนอญัตติก็บอกว่าครบเพราะตรวจสอบแล้ว ผมก็บอกว่าจะรอถึง 11.00 น.ถ้าไม่ครบก็ไม่เปิดประชุม ซึ่งพอถึงวันที่ 9 เมษายน ตามเวลาที่กำหนดเมื่อไม่ครบองค์ประชุมจึงต้องเลื่อนการประชุมออกไป ส่วนเหตุวันที่ 10 เมษายน เป็นความสูญเสียจึงขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัย 1 นาทีให้ผู้เสียชีวิต นายประสพสุขกล่าว
กลุ่ม24จี้นายกฯใช้สภาแก้ปัญหา
นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา พร้อมด้วยตัวแทน 24 ส.ว.อาทิ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม ร่วมกันแถลงที่รัฐสภา กรณีที่ร่วมกันลงชื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้นำปัญหาการชุมนุมของ นปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา
นายวิชาญกล่าวว่า พวกตนทั้ง 24 คน กังวลกับวิธีการและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการที่มีทั้งการยั่วยุโดยอาศัยสื่อของรัฐ การข่มขู่ โดยโฆษกต่างๆ และวิธีการอื่นที่รัฐบาลพึงคิดอันนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย และสุดท้ายอาจนำไปสู่สูญเสียชีวิต ดังนั้น ขอเรียกร้องให้นายกฯตอบรับการเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาตามที่ ส.ว.เคยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161ทันที หรือหากรัฐบาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น ก็ขอให้รัฐบาลเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังเสียงทั้ง ส.ส.-ส.ว.ไปพร้อมกันโดยทันที อย่าคิดว่าประเทศไทยเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะยังมีรัฐสภาที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประเทศด้วย
ส.ว.43-49เรียกร้องยุติปิดกั้นสื่อ
นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว.2543-2549 รวม 29 คน เช่น พนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก นายนภินทร ศรีสรรพางค์ (ราชบุรี) นายวิบูลย์ แช่มชื่น (กาฬสินธุ์) นายมนตรี สินทวิชัย (สมุทรสงคราม) นายไสว พราหมณี (นครราชสีมา) นายบุญทัน ดอกไธสง (นครราชสีมา) นายประเกียรติ นาสิมมา (ร้อยเอ็ด) นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล (ร้อยเอ็ด) นายบุญญา หลีเหลด (สงขลา) นายสมพงษ์ สระกวี (สงขลา) นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ (นครสวรรค์) นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ (กรุงเทพมหานคร) พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน (เชียงราย) นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ (แม่อ่องสอน) นายมนู วนิชชานนท์ (สุราษฎร์ธานี) นายศรีเมือง เจริญศิริ (มหาสารคาม) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวกรณีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยกลุ่มนี้มีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย 2.มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน 3.ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน
วิปรบ.ห่วงปะทะ-เล็งคุย พธม.
นายธนิตพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยผลการประชุมวิปรัฐบาลว่า วิปรัฐบาลหารือสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงทางออก อย่างไรก็ดี ได้วิเคราะห์สถานการณ์เห็นว่าการที่แกนนำ นปช.นำผู้ชุมนุมมาอยู่ที่ราชประสงค์ ก็ทำให้มีแรงกดดันจากหลายฝ่าย การยกระดับการชุมนุมของ นปช.จึงถูกยกระดับด้วยตัวสถานการณ์เอง อย่างไรก็ดี การที่มีบางกลุ่มซ่องสุมกำลัง และยังมีกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ออกมาคัดค้าน นปช.นั้น จุดนี้จึงเป็นจุดที่รัฐบาลห่วงที่สุด เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็พยายามประสานทุกฝ่ายที่ประสานได้ หากเจรจาได้ก็เป็นการดี โดยมองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคุยกันได้เพราะยังไม่ได้เริ่มออกมาชุมนุม ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีก็เช่นกันที่มีความเข้าใจในสถานการณ์ซึ่งคุยไม่ยาก แต่กับกลุ่มเสื้อแดงคงยาก เพราะการชุมนุมยกระดับขึ้นและก็มัดตัวเองมากขึ้น รัฐบาลจะไม่ดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่ได้ แต่การดำเนินการตามกฎหมายใดๆก็ยากลำบากเพราะนึกถึงคนที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ใจ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะออกมาเคลื่อนไหวเองว่า พรรควิตก แต่รัฐบาลได้ใช้ความอดทนในการหลีกเลี่ยงในการปะทะกันมาโดยตลอด โดยแนวทางการแก้ปัญหารัฐบาลต้องมีวิธีการดำเนินการ เช่น การปรับโครงสร้าง การยกระดับคดีไปสู่ดีเอสไอ ดังนั้น เรื่องระยะเวลาจึงไม่สำคัญเท่ากับภารกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้วางโครงสร้างเอาไว้
พธม.โคราชไม่เห็นด้วยคำขาด7วัน
นางสารภี บุญประตูชัย ผู้ประสานงานภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย แนวร่วมกลุ่มพันธมิตร จ.นครราชสีมา กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มพันธมิตรยังไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนเสื้อแดงภายใน 7 วันในช่วงนี้ ควรรอดูท่าทีของรัฐบาลไปก่อนอีกสักระยะ เนื่องจากในขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการจัดการสถานการณ์บ้างแล้ว
นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำกลุ่มพันธมิตร พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประมวล เอมเปีย นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรและแนวร่วม จ.ชลบุรี ประมาณ 1,500 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 10.00 น. เพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พร้อมทั้งยื่นหนังสือคัดค้าน โดยมีนายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ลงมารับหนังสือ เพื่อส่งต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้เดินทางทางไปให้กำลังใจทหารที่ค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี
ขณะที่นายชุมพล ลีลานนท์ ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองใหม่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นแกนนำกลุ่มประชาชนพะเยารักประชาธิปไตย ประมาณ 100 คน รวมตัวบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพะเยาในช่วงบ่าย เพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง ต่อต้านการยุบสภา พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพกับทุกฝ่าย
กสม.เดินสายพบอดีตนายกฯ
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ในเวลา 13.30 น. วันที่ 20 เมษายน กสม.จะเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อหารือหาทางออกให้กับบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต เนื่องจากที่ผ่านมาเคยหารือกับอดีตนายกฯหลายคน อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่า คงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหาร มากกว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา นอกจากนั้น ทาง กสม.จะไปพบกับนายชวน หลีกภัย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี (ในวันที่ 21 เมษายน) เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะนำข้อมูลทั้งหมดนำมาสรุป เพื่อเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ชี้ในวิกฤตยังมีแสงสว่าง พร้อมมอบข้อเสนอ 3 ประการ ถอดสลักความรุนแรง
ในยามวิกฤตมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ มีความตื่นตัวของผู้คน กลุ่ม องค์กรต่าง ๆ ที่จะเสนอทางออกของประเทศไทย มีข้อเสนอที่สร้างสรรค์มากมาย ซึ่งควรจะมีการรวบรวมสังเคราะห์และนำกลับไปสู่การวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง และกลั่นไปเป็นมรรควิธีในการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย สำหรับเรื่องเฉพาะหน้าเท่าที่ราษฎรอาวุโส ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอเพื่อถอดสลักความรุนแรงคือ
1. ข้อเสนอเชิงนโยบายของกลุ่มคนเสื้อแดงเกี่ยวกับคนจนเป็นที่ยอมรับ เสียงเรียกร้องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีหลายอย่าง แต่ถูกกลบด้วยเสียงด่าทอที่จริงมีข้อเสนอที่สร้างสรรค์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อนคือ “เสียงของคนจน” การทำเพื่อคนจนได้รับการตอบรับ การทำเพื่อทักษิณไม่ได้รับการเห็นพ้อง การปรับโครงสร้างเพื่อคนจนเป็นเรื่องรีบด่วนที่ควรร่วมกันทำ ควรจัดการประชุมร่วมกันอย่างรีบด่วน เพื่อพิจารณาข้อเสนอของคนเสื้อแดงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อปรับโครงสร้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง โดยเชิญคนไทยทุกสีร่วมประชุม
2. ปฏิบัติตามกฎหมาย ใครที่ทำผิดกฎหมายก็ควรได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย และป้องกันการทำผิดกฎหมายต่อไปอีก แต่อย่าลืมความยุติธรรมเชิงฟื้นฟู (Restorative Justice) ประการหลังนี้เกี่ยวกับข้อ 3 ข้างล่างนี้ด้วย
3. กระบวนการสัจจะและคืนดี (Truth and Reconciliation) อย่างไรในที่สุดคนไทยก็ต้องกลับมาคืนดีและอยู่ร่วมกันด้วยดีต่อไป จึงควรมีกระบวนการค้นหาและใช้ความจริง มีการขอโทษ มีการให้อภัย มนุษย์สามารถมีอภัยวิถีที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ทำให้ทุกคนหลั่งน้ำตาได้
สุดท้าย ศ.นพ.ประเวศ ย้ำว่า สังคมไทยจะต้องใช้กระบวนการสัจจะและการคืนดี ความเมตตากรุณา ปัญญาและสันติวิธี ไปสร้างโครงสร้างที่เป็นธรรม แล้วเราจะสร้างสังคมสันติสุขที่น่าอยู่ที่สุดได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************
1. ข้อเสนอเชิงนโยบายของกลุ่มคนเสื้อแดงเกี่ยวกับคนจนเป็นที่ยอมรับ เสียงเรียกร้องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีหลายอย่าง แต่ถูกกลบด้วยเสียงด่าทอที่จริงมีข้อเสนอที่สร้างสรรค์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อนคือ “เสียงของคนจน” การทำเพื่อคนจนได้รับการตอบรับ การทำเพื่อทักษิณไม่ได้รับการเห็นพ้อง การปรับโครงสร้างเพื่อคนจนเป็นเรื่องรีบด่วนที่ควรร่วมกันทำ ควรจัดการประชุมร่วมกันอย่างรีบด่วน เพื่อพิจารณาข้อเสนอของคนเสื้อแดงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อปรับโครงสร้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง โดยเชิญคนไทยทุกสีร่วมประชุม
2. ปฏิบัติตามกฎหมาย ใครที่ทำผิดกฎหมายก็ควรได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย และป้องกันการทำผิดกฎหมายต่อไปอีก แต่อย่าลืมความยุติธรรมเชิงฟื้นฟู (Restorative Justice) ประการหลังนี้เกี่ยวกับข้อ 3 ข้างล่างนี้ด้วย
3. กระบวนการสัจจะและคืนดี (Truth and Reconciliation) อย่างไรในที่สุดคนไทยก็ต้องกลับมาคืนดีและอยู่ร่วมกันด้วยดีต่อไป จึงควรมีกระบวนการค้นหาและใช้ความจริง มีการขอโทษ มีการให้อภัย มนุษย์สามารถมีอภัยวิถีที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ทำให้ทุกคนหลั่งน้ำตาได้
สุดท้าย ศ.นพ.ประเวศ ย้ำว่า สังคมไทยจะต้องใช้กระบวนการสัจจะและการคืนดี ความเมตตากรุณา ปัญญาและสันติวิธี ไปสร้างโครงสร้างที่เป็นธรรม แล้วเราจะสร้างสังคมสันติสุขที่น่าอยู่ที่สุดได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************
บิ๊กจิ๋วขอเข้าเฝ้า ในหลวง
พึ่งพระบารมีดับวิกฤต แม้วชี้ยุบสภา-จบทันที มาร์คใช้ราบ11ถกครม. สมานฉันท์จี้ถอนทหาร
ขอเข้าเฝ้าฯ - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สองอดีตนายกฯ เปิดแถลงข่าวระบุได้ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าฯ พึ่งพระบารมียุติปัญหาขัดแย้งในบ้านเมือง ขณะที่ทางสำนัก ราชเลขาฯ ปฏิเสธยังไม่ได้รับการประสานมาแต่อย่างใด
"จิ๋ว-สมชาย" สองอดีตนายกฯ แถลงใหญ่ ขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ขอพึ่งพระบารมีดับวิกฤตบ้านเมือง อ้างได้ข่าว 1-2 วันข้างหน้าจะเกิดความรุนแรงปราบปรามประชาชน "แม้ว" แวะบรูไน จี้ "มาร์ค" ยุบสภาทุกอย่างจบทันที สื่อนอกตีข่าวอดีตนายกฯ ไทยเตรียมลี้ภัยอยู่ฟิจิ "ดิเรก" อดีตปธ.สมานฉันท์แนะเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถอนทหาร แล้วเจรจา เตือนอ้างก่อการร้ายแล้วปราบยิ่งทำวิกฤตบานปลาย ปชป.โหยหาทหารที่กล้ารับผิดชอบเพียงผู้เดียวหากมีคนเจ็บคนตาย ศาลแพ่งยกฟ้องมาร์ค-เทือกใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแบนพีทีวี
แม้วแวะบรูไนจี้มาร์คยุบสภาด่วน
เมื่อวันที่ 19 เม.ย.สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปแวะประเทศบรูไน โดยพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมืองเท่านั้น ขอเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปโดยด่วน เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะปลดชนวนสถานการณ์ตึงเครียด และลดการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
สื่อนอกตีข่าวไปขอลี้ภัยในฟิจิ
เว็บไซต์สถานีวิทยุ เรดิโอ นิวซีแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานอ้างแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์มอร์นิ่ง ซิดนีย์ เฮรัลด์ ของออสเตรเลียว่า พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี อาจกำลังเดินทางไปขอลี้ภัยในประเทศฟิจิ เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย ขณะที่รัฐบาลฟิจิยืนยันว่าจะปฏิบัติต่อพ.ต.ท.ทักษิณเช่นเดียวกับผู้อพยพธรรมดาทุกคนอย่างเท่าเทียม
นายราตู อีเปลิ กานิลัว รมต.ตรวจคนเข้าเมืองฟิจิ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว การขอเป็นพลเมืองเพื่อลี้ภัยต้องพิจารณาเป็นรายกรณี สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากคุณสมบัติบางเรื่อง แต่หากเข้ามาเพื่อทำธุรกิจ รัฐบาลฟิจิพร้อมพิจารณา เพราะนโยบายของรัฐบาลฟิจิให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายใหญ่จากต่างชาติ
"รัฐบาลจะให้สิทธิพิเศษกับบุคคลที่สามารถลงทุนในฟิจิด้วยเงินทุนจำนวนสูงๆ" นายราตู กล่าว
วันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักข่าวเรดิโอฟิจิ เปิดเผยว่า นายพลเรือจัตวาแฟรงก์ ไบนิมารามา นายกรัฐมนตรีรัฐบาลเฉพาะกาลฟิจิ กล่าวยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาฟิจิเพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุน
"จิ๋ว"ควง"สมชาย"แถลงใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า เวลา 14.00 น.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีกำหนดร่วมกันแถลงข่าว และออกแถลงการณ์เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พรรคจัดเตรียมสถานที่ โดยอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ติดตั้งบนเวทีแถลงข่าว
เมื่อถึงเวลาแถลงข่าว พล.อ.ชวลิตและนายสมชายถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นแถลงข่าวร่วมกัน นายสมชายกล่าวว่า วันนี้บ้านเมืองมีวิกฤตเกิดขึ้น มีความขัดแย้งรุนแรง นำไปสู่ความเสียหายทั้งชีวิตประชาชน และความแตกแยกอย่างใหญ่หลวง ตนทั้งสองในฐานะอดีตนายกฯ เห็นว่าในระยะยาวเราไม่อาจแก้ปัญหาของประเทศได้ ถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศและขจัดการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน
อดีตนายกฯแถลงอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ตนและพล.อ.ชวลิตมีข้อเรียกร้องสำคัญคือ 1.ต้องหยุดความรุนแรงและหยุดสังหารประชาชนทันที 2.รัฐบาลต้องประกันว่าจะไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีก 3.ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิชุมนุมทางการเมืองตามปกติ 4.ยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและละเมิดสิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และ5.คืนอำนาจประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยยุบสภาทันที
ยุบสภาจบ-ไม่ต้องมีคนตาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยคือจุดยืนเดียวกับม็อบเสื้อแดง นายสมชายกล่าวว่า ยุบสภาก็จบ ตนเคยเป็นนายกฯ ถ้ายุบสภาพรุ่งนี้ไม่ต้องมีคนตายอีกต่อไรป เมื่อถามว่ายุบสภาแล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติรักษาการ เป็นไปได้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า เป็นไปได้หลายทางแต่คิดว่าบางอย่างมันอาจไม่จบสิ้น ไม่เหมือนกับการตัดปัญหาอย่างที่เสนอ เพราะการตั้งรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่เรื่องง่าย จะตั้งอย่างไร วิธีไหน ใครเป็นใคร เมื่อถึงเวลานั้นจะรบรากันขนาดไหน แต่ถ้าตัดสินใจให้ประชาชนเลือกเองทีเดียวก็จบ หากเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ 240 เราเต็มใจให้บริหารบ้านเมือง แต่ถ้าประชาชนเลือกคนอื่น เลือกพรรคเพื่อไทยทุกคนก็ต้องยอมรับ คิดว่ายุติธรรมที่สุด
เมื่อถามว่าประเมินหรือไม่ม็อบเสื้อแดงอาจจะจบ แต่สีอื่นอาจไม่จบ นายสมชายกล่าวว่า การเรียกร้องเป็นสิทธิของประชาชน ถ้าทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ ใครๆ ก็เรียกร้องได้ แต่ข้อเรียกร้องอันไหนดีที่สุด และระงับเหตุร้ายแรงได้ดีที่สุด ระงับชีวิตของประชาชนได้ดีที่สุดควรเลือกทางนั้นใช่หรือไม่
ขอเข้าเฝ้าฯขอพระมหากรุณาธิคุณ
ด้านพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า สาระสำคัญขอให้รัฐบาลยุติสั่งการกองทัพใช้กำลังกับประชาชน เพราะการสูญเสียชิวิตแแม้แต่คนเดียวก็ยอมรับไม่ได้ ในฐานะเคยเป็นผบ.ทบ. ผบ.สส. น้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามา และรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อย ของบ้านเมืองตลอดเวลารับราชการ สถานการณ์ ขณะนี้หนทางที่ตนและพรรคเพื่อไทยคิด คือ หวังในพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้พวกเรา เพื่อยุติความขัดแย้งที่มีมานาน จนสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมหาศาล
"สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราวันนี้คือขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระ หม่อมให้กับพี่น้องคนไทย ให้กับพวกเราด้วย ผมคิดว่าถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่แน่ใจต่อการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันข้างหน้านี้ และจะเป็นตราบาปที่คนไทยไม่ต้องการเห็น หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เรามีความพยายามไปกราบพระบาทด้วยตัวเอง แต่พระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทรงพระสำราญแล้ว ก็อาจมีพระมหากรุณาธิคุณ และจะเป็นโชคอย่างที่สุดของพี่น้องคนไทย" พล.อ.ชวลิต กล่าว
ห่วงทหารชิงฆ่าประชาชน
พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยืนยันมาตลอดว่าที่ตัดสินใจทำงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย เพราะมีภารกิจที่ต้องพิสูจน์ว่าพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อสีนี้ และคนที่เกี่ยวข้องมีความจงรักภักดี วันนี้พิสูจน์ด้วยสายเลือดทหารรักษาพระองค์ สิ่งที่ตนหวังคือให้สังคมไทยเกิดสันติสุขและปัญหาได้รับการแก้ไข ตนและนายสมชายจะยืนหยัดทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะคือการสถาปนาการปกครองในระบอบประชา ธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐให้สถิตสถาพรต่อไปให้จงได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงหรือไม่ว่ารัฐบาลจะแปรการขอพระมหากรุณาธิคุณ ว่าทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ความหวังในพระมหากรุณาธิคุณที่ลูกทุกคนมีต่อเสด็จพ่อเป็นความน่ารัก เชื่อว่าพระองค์ท่านคงไม่มีน้ำพระทัยในลักษณะนั้น
เมื่อถามว่าแสดงว่า 1-2 วันนี้ทหารจะใช้กำลังสลายประชาชน พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ เพราะกลัวว่าทหารจะใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชน หากการพัฒนาด้านการ เมืองการปกครอง หรือพัฒนาทางสังคมของเมืองไทยที่กำลังดำเนินการกันอยู่นี้ มองว่าเป็นการพัฒนาโดยเป็นสมุนหรือเพื่อประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นที่สุด เพราะไม่น่าจะมีความคิดที่คับแคบ ความคิดของประชาชนวันนี้ไปไกลและมีอุดมการณ์ที่จะเห็นประชาธิป ไตยอย่างแท้จริง ผู้นำและทหารส่วนใหญ่ในกองทัพมีความผูกพันกับประชาชนรวมทั้งคนเสื้อแดง แต่ด้วยปัจจัยบางประการที่เกรงว่าจะเกิดข้อขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงจึงต้องออกมาเรียกร้อง
ภูมิใจอนุพงษ์ไม่ปราบม็อบ
ต่อข้อถามว่าพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอดำเนินการกับกลุ่มก่อการร้ายหรือมือที่สามอย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่ากลุ่มที่พูดถึงคือกลุ่มไหน และไม่เข้าใจว่าการแถลงของรัฐบาลที่ระบุว่าการเกิดเหตุระเบิดที่โน่นที่นี่ หรือเสาไฟฟ้า เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ความจริงไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย รวมถึงการพูดถึงคนที่แต่งกายที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นพวกใด ที่เข้ามาพยายามยั้บยั้งการปะทะระหว่างทหารกับประชาชนเป็นการก่อการร้าย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงวิเคราะห์เช่นนั้นได้ และน่าเสียใจกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ในกองทัพบางคนไม่มีประสบการณ์ลักษณะนี้มาก่อน กลับออกมาพูดรุนแรงโดยชี้ว่ากองทัพต้องใช้กำลังเพื่อปราบปรามประชาชนถ้าจำเป็น
เมื่อถามว่ามองว่าพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะเลือกแนวทางใด พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า คงไปพูดถึงความคิดพล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้ แต่เท่าที่ดูพล.อ.อนุพงษ์ยังมีความเข้าใจปัญหาการเมืองและความปรารถนาของประชาชนเป็นอย่างดี จึงมีความภูมิใจในตัวพล.อ.อนุพงษ์ เชื่อว่าไม่ใช่คนๆนี้ที่จะใช้กำลังปราบปรามประชาชน
พยายามติดต่อราชเลขาธิการ
"พยายามประสานและติดต่อไปยังท่านราชเลขาธิการเป็นการภายใน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ ยังพยายามติดต่อท่านอยู่ วันนี้ทุกคนวุ่นวายกันหมดทุกอย่าง เหมือนที่นายสมชายพูด ถ้าวงจรของสถานการณ์ปล่อยให้เดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ตัดวงจร มันจะยุ่งจริงๆ ปล่อยให้เดินแบบนี้ไม่ได้ อาจจะพัฒนาไปสู่จุดที่อันตรายมากๆ แต่ถ้าตัดวงจรอย่างน้อยที่สุดหยุดชั่วคราวแล้วเอาอำนาจนี้ให้ประชาชน" พล.อ.ชวลิตกล่าว
พล.อ.ชวลิตกล่าวต่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจากประชาชนคืออำนาจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่ในส่วนกองทัพต้องขอร้องว่าอย่าใช้กำลังกับประชาชน รับรองหากใช้ความรุนแรงคงไม่ใช่แค่ 400-500 ศพ มันจะเยอะกว่านั้น ต่อข้อถามว่าการพูดเรื่องพระมหากรุณาธิคุณ เพราะอยากเห็นภาพลักษณะเดียวกับเมื่อครั้งพฤษภาทมิฬใช่หรือไม่ พล.อ. ชวลิตกล่าวว่า เป็นความฝันของตน เป็นความหวังจริงๆ เพราะว่ามีแต่พระมหากรุณาธิคุณ เท่านั้นที่จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น
ทักษิณไม่เกี่ยวคนไทยพัฒนาไปเยอะ
เมื่อถามว่าถ้าเลือกตั้งใหม่พล.อ.ชวลิตพร้อมเป็นนายกฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า แก่จะตายอยู่แล้ว คนในพรรคที่เหมาะสมมีเยอะ จะชี้ตัวให้ ตนจบหน้าที่ของตนเองบ้านเมืองจะไปสู่ความสงบสุขอีกครั้ง เมื่อถามว่าหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณถึงแนวคิดประสานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไกล ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้หารือ ไม่ได้คุย ไม่ได้พูด สถานการณ์ตอนนี้คนไทยพัฒนาไปเยอะ พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่มุ่งหวัง ไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด บ้านเมืองอื่นกว่าจะเป็นประธิปไตยก็ผ่านขั้นตอนของความโหดร้ายกันมาก เราอย่าเป็นอย่างนั้นเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่าทะเลาะกันอย่างนี้แล้วยังให้พ่อมาแก้ปัญหา เมื่อไหร่ลูกจะโตเสียที พล.อ.ชวลิต หัวเราะก่อนกล่าวว่า ลูกไม่โตสักที
รายงานข่าวจากสำนักราชเลขาธิการแจ้งว่า กรณีพล.อ.ชวลิตแถลงข่าวเรื่องกำลังติดต่อประสานงานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯนั้น ทางสำนักราชเลขาธิการขอชี้แจงว่ายังไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆจากพล.อ.ชวลิต
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ยังไม่เคยมีหนังสือจากพล.อ.ชวลิตแจ้งมาเลย อยู่ๆ การแถลงว่าจะขอเข้าเฝ้าฯ อีกด้านหนึ่งเหมือนเป็นการกดดัน เพราะอยู่ดีๆ ไม่ใช่ใครจะเข้าเฝ้าฯก็ได้ จะต้องทำเรื่องขึ้นมาก่อน และต้องพิจารณาว่าสมควรนำความขึ้นทูลเกล้าฯหรือไม่ และถ้าทูลเกล้าฯขึ้นไปแล้วก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อนถึงจะมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ ดังนั้นการออกข่าวก่อนจะดำเนินการตามกระบวนการตามขั้นตอน ถือเป็นการกดดัน ซึ่งมิบังควรอย่างยิ่ง
กก.สิทธิ์จัดคิวคุย"เติ้ง"
วันเดียวกันนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย.คณะกรรมการสิทธิ์จะไปพบนายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะอดีตนายกฯ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง จะพูดคุยแนวทางเดียวกับที่หารือกับอดีตนายกฯหลายคนที่ผ่านมา อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่าคงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหารมากกว่าการเสนอแก้รัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา เพราะอยากได้ความคิดเห็นแตกต่างไปจากที่เคยแสดงผ่านสื่อ
นางอมรากล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะพบกับนายชวน หลีกภัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ขอปฏิเสธว่าไม่เคยมีแนวคิดเชิญอดีตนายกฯทั้ง 5 คนมานั่งโต๊ะเจรจาหาทางออกของประเทศร่วมกัน เพราะแต่ละคนมีจุดยืนของตัวเองที่แตกต่างกัน การให้มานั่งโต๊ะพูดคุยกันคงเป็นเรื่องยาก
อดีตปธ.สมานฉันท์เตือนมาร์ค
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ตามที่ผบ.ทบ.พูดไว้ อย่าใช้กำลังทหารเข้าแก้ รัฐบาลต้องตั้งสติให้ดีและวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการเหมือนที่ใช้อยู่ขณะนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชน คนที่มาชุมนุมไม่ได้ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ แต่มาชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่าผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย
นายดิเรกกล่าวว่า เรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในวันที่ 10 เม.ย. ฝ่ายทหารต้องไปวิเคราะห์เอง แต่อย่าเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจชนะในตอนนี้แต่ปัญหาไม่จบ อาจเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร ทำให้ยิ่งเป็นปัญหาระยาว ตนเกรงว่าจะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ไปทั่วประเทศ
นายดิเรกกล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องถอนทหารออกไป และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วเปิดเจรจาให้ได้ รัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ปกติประเทศประชาธิปไตยหากถึงทางตันก็ยุบสภา แต่ก่อนถึงทางตันต้องเจรจากันเป็นระยะ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบ แม้เลือกตั้งใหม่รัฐบาลใหม่อยู่ไม่นานแล้วต้องยุบอีกก็ตาม ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นช่วงเปลี่ยนผ่านการเมือง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าใช้กำลังสลายการชุมนุมเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่เอาไม่อยู่ และรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชา ธิปไตย และปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่อง ใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม
โหรส.ว.ชี้ดวงมาร์ค-ดวงเมืองแย่
ขณะที่นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตส.ว. ฉะเชิงเทรา เจ้าของฉายาโหรส.ว. กล่าวว่า ทางโหราศาสตร์ดวงบ้านดวงเมืองไม่ดีเลยตอนนี้ ดาวร้ายที่ให้โทษตรึงดวงกรุงเทพฯมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงประชาธิปไตยเปราะบางมาก เพราะถูกตรึงด้วยดาวบาปเคราะห์ หรือดาวร้ายทุกด้าน โอกาสกระทบกระเทือนประชาธิปไตยมีมาก ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 26 เม.ย.53 ถึงวันที่ 3 พ.ค.54 ทั้งปี เป็นช่วงที่ไม่ดี มีปัญหามาก การแก้ไขต้องใช้สติ ปัญญา และความจริงใจเท่านั้น
นายบุญเลิศกล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงจะรุนแรงไปเรื่อยๆ จบไม่ได้ตอนนี้ และขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้นด้วย ดวงผู้นำ ดวงผู้บริหาร ตั้งแต่ 26 เม.ย.53 ดวงนายกฯ ดวงเมืองไม่ดี ดวงนายกฯดาวให้คุณไม่สามารถให้คุณได้ ขณะดาวร้ายทำมุมร้ายส่งถึงดวงนายกฯมากขึ้น พอวันที่ 26 เม.ย.53 ไปแล้วให้คุณไม่ได้จะลำบาก โอกาสมีความรุนแรงมากขึ้น โอกาสเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีมากขึ้น ทหารอาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บ้านเมืองจะถึงทางตัน ดวงหัวหน้ารัฐบาล ดวงเมืองไม่สู้ดี เมื่อรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ทหารจะเข้ามาแก้แทน อาจเปลี่ยนแปลงโดยปฏิวัติรัฐประหาร อยากให้ผู้ชุมนุมหันมาพูดจากัน มิฉะนั้นเสื้อแดงจะลงไม่สวย จากนั้นกำหนดวันยุบสภาให้แน่นอน เวลา 6 เดือนเหมาะที่สุด ยุบ 1 ต.ค.แล้วเลือกตั้งพ.ย.-ธ.ค.ไม่ต้องรอถึงปลายปี เนื่องจากดวงเปลี่ยนแปลงช่วงก.ย.-ต.ค.-พ.ย. ดวงรัฐบาลร่อแร่ หากรัฐบาลไม่ทำทหารจะทำ ขอเตือนนายอภิสิทธิ์จะเกิดการนองเลือด
ส.ว.แยกข้างถล่มฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา วุฒิสภาประชุม โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ก่อนเข้าระเบียบวาระสมาชิกหารือถึงสถานการณ์บ้านเมือง กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง และเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยสมาชิกที่ขอหารือเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. เน้นโจมตีแกนนำนปช.เป็นหลัก
ขณะที่กลุ่มส.ว.เลือกตั้ง มีเพียงนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ อภิปรายเรียกร้องนายกฯแสดงภาวะผู้นำที่ชัดเจนมากกว่า 7 วันที่ผ่านมา เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงประชาชนให้ชัดเจน จากนั้นนายประสพสุขขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตวันที่ 10 เม.ย. 1 นาที ก่อนปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ
ยื่นมาร์คเข้าสู่กระบวนการสภา
ต่อมาเวลา 14.00 น.ตัวแทนส.ว. 24 คน นำโดยนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แถลงกรณียื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เพื่อขอให้นำปัญหากลุ่มนปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา เนื่องจากเห็นว่าการชุมนุมยังมีต่อเนื่องและขยายตัวมีหลายสีมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่กลับกล่าวหาผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย และดำเนินการยั่วยุโดยสื่อของรัฐ ข่มขู่โดยโฆษกต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย สุดท้ายอาจสูญเสียชีวิต ดังนั้นส.ว.ทั้ง 24 คนขอเรียกร้องนายกฯตอบรับเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภ ตามที่ส.ว.ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรือรัฐบาลจะขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ส.ส. ส.ว.ร่วมเสนอทางออกที่ดีที่สุดนำพาประเทศกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
นายเรืองไกร กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มเสื้อหลากสีเคลื่อนไหวในขณะนี้ว่า ไม่ควรออกมา เพราะยิ่งตอกย้ำภาพว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ผล แม้จะอ้างว่ามาให้กำลังใจและสนับสนุนรัฐบาล แต่ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อแดง
จากนั้นเวลา 15.00 น.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ พร้อมด้วยนายวิทยา อินาลา ส.ว.นคร พนม และคณะ เดินทางไปหารือกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำนปช. ที่เวทีคนเสื้อแดงแยกราชประสงค์ เพื่อขอคำยืนยันจากนปช.ว่าเมื่อเปิดประชุมสภาแล้วจะไม่ไปปิดล้อมรัฐสภา แต่นายจตุพรยังไม่รับปาก ขอหารือกับแกนนำนปช.เพื่อตัดสินใจ
รัฐบาลตอบรับให้ส.ว.ซักฟอก
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลมีมติให้วันที่ 21 และ 22 เม.ย.ประชุมสภาตามปกติ เพื่อพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาคนเสื้อแดงมาปิดล้อมสภา ไม่จำเป็นต้องขอกำลังทหารมาดูแลความปลอดภัย
นายวิทยาในฐานะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมพรรคประชาธิปัตย์วันที่ 20 เม.ย.ว่า จะหยิบยกเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาหารือ ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้วันที่ 23 เม.ย.รัฐบาลตอบรับเข้าชี้แจงที่ประชุมวุฒิสภาที่ขอเปิดญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ส่วนนายกฯจะเข้าชี้แจงหรือไม่ขึ้นกับการตัดสินใจของนายกฯ
ประชุมครม. 20 เม.ย.ในราบ 11
ส่วนที่ศอฉ.ภายในร.11 รอ. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาสถานที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 20 เม.ย. ซึ่งมีหลายแห่งรวมทั้งหอประชุมร.11 รอ. ภายใน 1-2 วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จะออกมาพบสื่อมวลชนเพื่อสื่อสารถึงประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯจะเข้าทำงานที่ทำเนียบได้เมื่อไหร่ นายปณิธานกล่าวว่า "พร้อมเมื่อไหร่ก็จะเข้า"
ทั้งนี้นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนาน 9 วันแล้ว
ต่อมาเวลา 18.00 น.นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะใช้หอประชุมในร.11 รอ.เป็นสถานที่ประชุมครม.วันที่ 20 เม.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากร.11 รอ.ว่า ร.11 รอ.จัดเตรียมอาคารศาสนสถานเป็นสถานที่ประชุมครม. โดยติดตั้งโต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟนไว้ครบจำนวน ครม. และเตรียมเก้าอี้สำหรับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนด้านนอกอาคารกางเต็นท์สีขาวแบบปิดติดเครื่องปรับอากาศ 4 หลัง พร้อมโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับผู้ติดตามครม.และผู้รอชี้แจงครม. และเตรียมพื้นที่เฉพาะไว้สำหรับสื่อมวลชนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากสถานที่ประชุมครม.ดังกล่าวอยู่ใกล้สถานที่ทำงานของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในศอฉ.ซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
นิพิฏฐ์ถกชวนวางแผนสู้ยุบปชป.
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเช้านายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค เข้าหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เกี่ยวกับแนวทางต่อสู้คดีกกต.มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
นายนิพิฏฐ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.30 น. นายชวนจะเป็นประธานประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อให้ที่ประชุมเข้าใจข้อกฎหมายตรงกัน และเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลด้วย ส่วนกรณีนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ระบุมติกกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามมติของคณะทำงานนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ให้ยุบด้วยเสียง 7 ต่อ 2 นั้น การพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงกับส.ส.ก็ตั้งคณะทำงานมาพิจารณาก่อนเช่นกัน เมื่อคณะทำงานเสนอให้ใบเหลืองหรือใบแดง มีหลายครั้งที่กกต.มีมติให้ใบขาวหรือยกคำร้อง ฉะนั้นความเห็นของคณะทำงานนายทะเบียนพรรค การเมือง ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วต้องอยู่ที่การวินิจฉัยของนายทะเบียนพรรค การเมือง
โหยหา"ขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว"
นายนิพิฏฐ์กล่าวถึงการแก้ปัญหากลุ่มนปช. ว่า รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้ สังคมควรออกมาสนับสนุนมากกว่านี้ เป็นฉันทามติให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ควรมีคนในฝ่ายปฏิบัติกล้าบอกนายกฯว่าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากเกิดมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ สังคมต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้ต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย พล.อ.อนุพงษ์ระบุเรื่องนี้เป็นปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาของประเทศชาติ การชุมนุมของคนเสื้อแดงส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและความปลอดภัยของประชาชน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยรัฐบาลแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว
ขณะที่ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.00 น.นายชวนจะให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ชวลิตและนายสมชาย อดีตนายกฯ จะขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาบ้านเมือง
ปิดทางยุบสภา-นายกฯลาออก
ด้านนายชุมพล กาญจนะ ประธานส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย. เชิญส.ส.ประชุมและรับประทานอาหารร่วมกัน โดยจะหารือ 2-3 เรื่อง ที่ผ่านมาเคยมีส.ส.ของพรรคไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ขณะนั้นสถานการณ์การเมืองยังไม่เข้มข้นเท่านี้ วันนี้การเมืองเข้มข้น มีเสียงเรียกร้องจากหลายส่วนว่าควรปรับปรุงแก้ไข แต่คงไม่ถึงกับต้องให้ส.ส. โหวตว่าพรรคและรัฐบาลจะเดินไปทางไหน ประเด็นยุบสภาหรือนายกฯลาออกปิดทางไปได้เลย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พรรคร่วมเองก็ได้ฟังเสียงสะท้อนของประชาชนเหมือนกันว่าให้รัฐบาลอยู่ต่อ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจและแก้ปัญหาทางการเมืองต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*************************************************
ขอเข้าเฝ้าฯ - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สองอดีตนายกฯ เปิดแถลงข่าวระบุได้ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าฯ พึ่งพระบารมียุติปัญหาขัดแย้งในบ้านเมือง ขณะที่ทางสำนัก ราชเลขาฯ ปฏิเสธยังไม่ได้รับการประสานมาแต่อย่างใด
"จิ๋ว-สมชาย" สองอดีตนายกฯ แถลงใหญ่ ขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ขอพึ่งพระบารมีดับวิกฤตบ้านเมือง อ้างได้ข่าว 1-2 วันข้างหน้าจะเกิดความรุนแรงปราบปรามประชาชน "แม้ว" แวะบรูไน จี้ "มาร์ค" ยุบสภาทุกอย่างจบทันที สื่อนอกตีข่าวอดีตนายกฯ ไทยเตรียมลี้ภัยอยู่ฟิจิ "ดิเรก" อดีตปธ.สมานฉันท์แนะเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถอนทหาร แล้วเจรจา เตือนอ้างก่อการร้ายแล้วปราบยิ่งทำวิกฤตบานปลาย ปชป.โหยหาทหารที่กล้ารับผิดชอบเพียงผู้เดียวหากมีคนเจ็บคนตาย ศาลแพ่งยกฟ้องมาร์ค-เทือกใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแบนพีทีวี
แม้วแวะบรูไนจี้มาร์คยุบสภาด่วน
เมื่อวันที่ 19 เม.ย.สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปแวะประเทศบรูไน โดยพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมืองเท่านั้น ขอเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปโดยด่วน เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะปลดชนวนสถานการณ์ตึงเครียด และลดการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
สื่อนอกตีข่าวไปขอลี้ภัยในฟิจิ
เว็บไซต์สถานีวิทยุ เรดิโอ นิวซีแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานอ้างแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์มอร์นิ่ง ซิดนีย์ เฮรัลด์ ของออสเตรเลียว่า พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี อาจกำลังเดินทางไปขอลี้ภัยในประเทศฟิจิ เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย ขณะที่รัฐบาลฟิจิยืนยันว่าจะปฏิบัติต่อพ.ต.ท.ทักษิณเช่นเดียวกับผู้อพยพธรรมดาทุกคนอย่างเท่าเทียม
นายราตู อีเปลิ กานิลัว รมต.ตรวจคนเข้าเมืองฟิจิ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว การขอเป็นพลเมืองเพื่อลี้ภัยต้องพิจารณาเป็นรายกรณี สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากคุณสมบัติบางเรื่อง แต่หากเข้ามาเพื่อทำธุรกิจ รัฐบาลฟิจิพร้อมพิจารณา เพราะนโยบายของรัฐบาลฟิจิให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายใหญ่จากต่างชาติ
"รัฐบาลจะให้สิทธิพิเศษกับบุคคลที่สามารถลงทุนในฟิจิด้วยเงินทุนจำนวนสูงๆ" นายราตู กล่าว
วันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักข่าวเรดิโอฟิจิ เปิดเผยว่า นายพลเรือจัตวาแฟรงก์ ไบนิมารามา นายกรัฐมนตรีรัฐบาลเฉพาะกาลฟิจิ กล่าวยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาฟิจิเพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุน
"จิ๋ว"ควง"สมชาย"แถลงใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า เวลา 14.00 น.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีกำหนดร่วมกันแถลงข่าว และออกแถลงการณ์เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พรรคจัดเตรียมสถานที่ โดยอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ติดตั้งบนเวทีแถลงข่าว
เมื่อถึงเวลาแถลงข่าว พล.อ.ชวลิตและนายสมชายถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นแถลงข่าวร่วมกัน นายสมชายกล่าวว่า วันนี้บ้านเมืองมีวิกฤตเกิดขึ้น มีความขัดแย้งรุนแรง นำไปสู่ความเสียหายทั้งชีวิตประชาชน และความแตกแยกอย่างใหญ่หลวง ตนทั้งสองในฐานะอดีตนายกฯ เห็นว่าในระยะยาวเราไม่อาจแก้ปัญหาของประเทศได้ ถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศและขจัดการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน
อดีตนายกฯแถลงอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ตนและพล.อ.ชวลิตมีข้อเรียกร้องสำคัญคือ 1.ต้องหยุดความรุนแรงและหยุดสังหารประชาชนทันที 2.รัฐบาลต้องประกันว่าจะไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีก 3.ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิชุมนุมทางการเมืองตามปกติ 4.ยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและละเมิดสิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และ5.คืนอำนาจประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยยุบสภาทันที
ยุบสภาจบ-ไม่ต้องมีคนตาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยคือจุดยืนเดียวกับม็อบเสื้อแดง นายสมชายกล่าวว่า ยุบสภาก็จบ ตนเคยเป็นนายกฯ ถ้ายุบสภาพรุ่งนี้ไม่ต้องมีคนตายอีกต่อไรป เมื่อถามว่ายุบสภาแล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติรักษาการ เป็นไปได้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า เป็นไปได้หลายทางแต่คิดว่าบางอย่างมันอาจไม่จบสิ้น ไม่เหมือนกับการตัดปัญหาอย่างที่เสนอ เพราะการตั้งรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่เรื่องง่าย จะตั้งอย่างไร วิธีไหน ใครเป็นใคร เมื่อถึงเวลานั้นจะรบรากันขนาดไหน แต่ถ้าตัดสินใจให้ประชาชนเลือกเองทีเดียวก็จบ หากเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ 240 เราเต็มใจให้บริหารบ้านเมือง แต่ถ้าประชาชนเลือกคนอื่น เลือกพรรคเพื่อไทยทุกคนก็ต้องยอมรับ คิดว่ายุติธรรมที่สุด
เมื่อถามว่าประเมินหรือไม่ม็อบเสื้อแดงอาจจะจบ แต่สีอื่นอาจไม่จบ นายสมชายกล่าวว่า การเรียกร้องเป็นสิทธิของประชาชน ถ้าทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ ใครๆ ก็เรียกร้องได้ แต่ข้อเรียกร้องอันไหนดีที่สุด และระงับเหตุร้ายแรงได้ดีที่สุด ระงับชีวิตของประชาชนได้ดีที่สุดควรเลือกทางนั้นใช่หรือไม่
ขอเข้าเฝ้าฯขอพระมหากรุณาธิคุณ
ด้านพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า สาระสำคัญขอให้รัฐบาลยุติสั่งการกองทัพใช้กำลังกับประชาชน เพราะการสูญเสียชิวิตแแม้แต่คนเดียวก็ยอมรับไม่ได้ ในฐานะเคยเป็นผบ.ทบ. ผบ.สส. น้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามา และรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อย ของบ้านเมืองตลอดเวลารับราชการ สถานการณ์ ขณะนี้หนทางที่ตนและพรรคเพื่อไทยคิด คือ หวังในพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้พวกเรา เพื่อยุติความขัดแย้งที่มีมานาน จนสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมหาศาล
"สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราวันนี้คือขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระ หม่อมให้กับพี่น้องคนไทย ให้กับพวกเราด้วย ผมคิดว่าถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่แน่ใจต่อการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันข้างหน้านี้ และจะเป็นตราบาปที่คนไทยไม่ต้องการเห็น หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เรามีความพยายามไปกราบพระบาทด้วยตัวเอง แต่พระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทรงพระสำราญแล้ว ก็อาจมีพระมหากรุณาธิคุณ และจะเป็นโชคอย่างที่สุดของพี่น้องคนไทย" พล.อ.ชวลิต กล่าว
ห่วงทหารชิงฆ่าประชาชน
พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยืนยันมาตลอดว่าที่ตัดสินใจทำงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย เพราะมีภารกิจที่ต้องพิสูจน์ว่าพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อสีนี้ และคนที่เกี่ยวข้องมีความจงรักภักดี วันนี้พิสูจน์ด้วยสายเลือดทหารรักษาพระองค์ สิ่งที่ตนหวังคือให้สังคมไทยเกิดสันติสุขและปัญหาได้รับการแก้ไข ตนและนายสมชายจะยืนหยัดทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะคือการสถาปนาการปกครองในระบอบประชา ธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐให้สถิตสถาพรต่อไปให้จงได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงหรือไม่ว่ารัฐบาลจะแปรการขอพระมหากรุณาธิคุณ ว่าทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ความหวังในพระมหากรุณาธิคุณที่ลูกทุกคนมีต่อเสด็จพ่อเป็นความน่ารัก เชื่อว่าพระองค์ท่านคงไม่มีน้ำพระทัยในลักษณะนั้น
เมื่อถามว่าแสดงว่า 1-2 วันนี้ทหารจะใช้กำลังสลายประชาชน พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ เพราะกลัวว่าทหารจะใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชน หากการพัฒนาด้านการ เมืองการปกครอง หรือพัฒนาทางสังคมของเมืองไทยที่กำลังดำเนินการกันอยู่นี้ มองว่าเป็นการพัฒนาโดยเป็นสมุนหรือเพื่อประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นที่สุด เพราะไม่น่าจะมีความคิดที่คับแคบ ความคิดของประชาชนวันนี้ไปไกลและมีอุดมการณ์ที่จะเห็นประชาธิป ไตยอย่างแท้จริง ผู้นำและทหารส่วนใหญ่ในกองทัพมีความผูกพันกับประชาชนรวมทั้งคนเสื้อแดง แต่ด้วยปัจจัยบางประการที่เกรงว่าจะเกิดข้อขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงจึงต้องออกมาเรียกร้อง
ภูมิใจอนุพงษ์ไม่ปราบม็อบ
ต่อข้อถามว่าพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอดำเนินการกับกลุ่มก่อการร้ายหรือมือที่สามอย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่ากลุ่มที่พูดถึงคือกลุ่มไหน และไม่เข้าใจว่าการแถลงของรัฐบาลที่ระบุว่าการเกิดเหตุระเบิดที่โน่นที่นี่ หรือเสาไฟฟ้า เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ความจริงไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย รวมถึงการพูดถึงคนที่แต่งกายที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นพวกใด ที่เข้ามาพยายามยั้บยั้งการปะทะระหว่างทหารกับประชาชนเป็นการก่อการร้าย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงวิเคราะห์เช่นนั้นได้ และน่าเสียใจกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ในกองทัพบางคนไม่มีประสบการณ์ลักษณะนี้มาก่อน กลับออกมาพูดรุนแรงโดยชี้ว่ากองทัพต้องใช้กำลังเพื่อปราบปรามประชาชนถ้าจำเป็น
เมื่อถามว่ามองว่าพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะเลือกแนวทางใด พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า คงไปพูดถึงความคิดพล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้ แต่เท่าที่ดูพล.อ.อนุพงษ์ยังมีความเข้าใจปัญหาการเมืองและความปรารถนาของประชาชนเป็นอย่างดี จึงมีความภูมิใจในตัวพล.อ.อนุพงษ์ เชื่อว่าไม่ใช่คนๆนี้ที่จะใช้กำลังปราบปรามประชาชน
พยายามติดต่อราชเลขาธิการ
"พยายามประสานและติดต่อไปยังท่านราชเลขาธิการเป็นการภายใน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ ยังพยายามติดต่อท่านอยู่ วันนี้ทุกคนวุ่นวายกันหมดทุกอย่าง เหมือนที่นายสมชายพูด ถ้าวงจรของสถานการณ์ปล่อยให้เดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ตัดวงจร มันจะยุ่งจริงๆ ปล่อยให้เดินแบบนี้ไม่ได้ อาจจะพัฒนาไปสู่จุดที่อันตรายมากๆ แต่ถ้าตัดวงจรอย่างน้อยที่สุดหยุดชั่วคราวแล้วเอาอำนาจนี้ให้ประชาชน" พล.อ.ชวลิตกล่าว
พล.อ.ชวลิตกล่าวต่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจากประชาชนคืออำนาจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่ในส่วนกองทัพต้องขอร้องว่าอย่าใช้กำลังกับประชาชน รับรองหากใช้ความรุนแรงคงไม่ใช่แค่ 400-500 ศพ มันจะเยอะกว่านั้น ต่อข้อถามว่าการพูดเรื่องพระมหากรุณาธิคุณ เพราะอยากเห็นภาพลักษณะเดียวกับเมื่อครั้งพฤษภาทมิฬใช่หรือไม่ พล.อ. ชวลิตกล่าวว่า เป็นความฝันของตน เป็นความหวังจริงๆ เพราะว่ามีแต่พระมหากรุณาธิคุณ เท่านั้นที่จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น
ทักษิณไม่เกี่ยวคนไทยพัฒนาไปเยอะ
เมื่อถามว่าถ้าเลือกตั้งใหม่พล.อ.ชวลิตพร้อมเป็นนายกฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า แก่จะตายอยู่แล้ว คนในพรรคที่เหมาะสมมีเยอะ จะชี้ตัวให้ ตนจบหน้าที่ของตนเองบ้านเมืองจะไปสู่ความสงบสุขอีกครั้ง เมื่อถามว่าหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณถึงแนวคิดประสานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไกล ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้หารือ ไม่ได้คุย ไม่ได้พูด สถานการณ์ตอนนี้คนไทยพัฒนาไปเยอะ พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่มุ่งหวัง ไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด บ้านเมืองอื่นกว่าจะเป็นประธิปไตยก็ผ่านขั้นตอนของความโหดร้ายกันมาก เราอย่าเป็นอย่างนั้นเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่าทะเลาะกันอย่างนี้แล้วยังให้พ่อมาแก้ปัญหา เมื่อไหร่ลูกจะโตเสียที พล.อ.ชวลิต หัวเราะก่อนกล่าวว่า ลูกไม่โตสักที
รายงานข่าวจากสำนักราชเลขาธิการแจ้งว่า กรณีพล.อ.ชวลิตแถลงข่าวเรื่องกำลังติดต่อประสานงานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯนั้น ทางสำนักราชเลขาธิการขอชี้แจงว่ายังไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆจากพล.อ.ชวลิต
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ยังไม่เคยมีหนังสือจากพล.อ.ชวลิตแจ้งมาเลย อยู่ๆ การแถลงว่าจะขอเข้าเฝ้าฯ อีกด้านหนึ่งเหมือนเป็นการกดดัน เพราะอยู่ดีๆ ไม่ใช่ใครจะเข้าเฝ้าฯก็ได้ จะต้องทำเรื่องขึ้นมาก่อน และต้องพิจารณาว่าสมควรนำความขึ้นทูลเกล้าฯหรือไม่ และถ้าทูลเกล้าฯขึ้นไปแล้วก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อนถึงจะมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ ดังนั้นการออกข่าวก่อนจะดำเนินการตามกระบวนการตามขั้นตอน ถือเป็นการกดดัน ซึ่งมิบังควรอย่างยิ่ง
กก.สิทธิ์จัดคิวคุย"เติ้ง"
วันเดียวกันนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย.คณะกรรมการสิทธิ์จะไปพบนายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะอดีตนายกฯ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง จะพูดคุยแนวทางเดียวกับที่หารือกับอดีตนายกฯหลายคนที่ผ่านมา อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่าคงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหารมากกว่าการเสนอแก้รัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา เพราะอยากได้ความคิดเห็นแตกต่างไปจากที่เคยแสดงผ่านสื่อ
นางอมรากล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะพบกับนายชวน หลีกภัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ขอปฏิเสธว่าไม่เคยมีแนวคิดเชิญอดีตนายกฯทั้ง 5 คนมานั่งโต๊ะเจรจาหาทางออกของประเทศร่วมกัน เพราะแต่ละคนมีจุดยืนของตัวเองที่แตกต่างกัน การให้มานั่งโต๊ะพูดคุยกันคงเป็นเรื่องยาก
อดีตปธ.สมานฉันท์เตือนมาร์ค
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ตามที่ผบ.ทบ.พูดไว้ อย่าใช้กำลังทหารเข้าแก้ รัฐบาลต้องตั้งสติให้ดีและวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการเหมือนที่ใช้อยู่ขณะนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชน คนที่มาชุมนุมไม่ได้ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ แต่มาชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่าผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย
นายดิเรกกล่าวว่า เรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในวันที่ 10 เม.ย. ฝ่ายทหารต้องไปวิเคราะห์เอง แต่อย่าเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจชนะในตอนนี้แต่ปัญหาไม่จบ อาจเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร ทำให้ยิ่งเป็นปัญหาระยาว ตนเกรงว่าจะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ไปทั่วประเทศ
นายดิเรกกล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องถอนทหารออกไป และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วเปิดเจรจาให้ได้ รัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ปกติประเทศประชาธิปไตยหากถึงทางตันก็ยุบสภา แต่ก่อนถึงทางตันต้องเจรจากันเป็นระยะ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบ แม้เลือกตั้งใหม่รัฐบาลใหม่อยู่ไม่นานแล้วต้องยุบอีกก็ตาม ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นช่วงเปลี่ยนผ่านการเมือง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าใช้กำลังสลายการชุมนุมเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่เอาไม่อยู่ และรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชา ธิปไตย และปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่อง ใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม
โหรส.ว.ชี้ดวงมาร์ค-ดวงเมืองแย่
ขณะที่นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตส.ว. ฉะเชิงเทรา เจ้าของฉายาโหรส.ว. กล่าวว่า ทางโหราศาสตร์ดวงบ้านดวงเมืองไม่ดีเลยตอนนี้ ดาวร้ายที่ให้โทษตรึงดวงกรุงเทพฯมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงประชาธิปไตยเปราะบางมาก เพราะถูกตรึงด้วยดาวบาปเคราะห์ หรือดาวร้ายทุกด้าน โอกาสกระทบกระเทือนประชาธิปไตยมีมาก ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 26 เม.ย.53 ถึงวันที่ 3 พ.ค.54 ทั้งปี เป็นช่วงที่ไม่ดี มีปัญหามาก การแก้ไขต้องใช้สติ ปัญญา และความจริงใจเท่านั้น
นายบุญเลิศกล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงจะรุนแรงไปเรื่อยๆ จบไม่ได้ตอนนี้ และขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้นด้วย ดวงผู้นำ ดวงผู้บริหาร ตั้งแต่ 26 เม.ย.53 ดวงนายกฯ ดวงเมืองไม่ดี ดวงนายกฯดาวให้คุณไม่สามารถให้คุณได้ ขณะดาวร้ายทำมุมร้ายส่งถึงดวงนายกฯมากขึ้น พอวันที่ 26 เม.ย.53 ไปแล้วให้คุณไม่ได้จะลำบาก โอกาสมีความรุนแรงมากขึ้น โอกาสเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีมากขึ้น ทหารอาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บ้านเมืองจะถึงทางตัน ดวงหัวหน้ารัฐบาล ดวงเมืองไม่สู้ดี เมื่อรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ทหารจะเข้ามาแก้แทน อาจเปลี่ยนแปลงโดยปฏิวัติรัฐประหาร อยากให้ผู้ชุมนุมหันมาพูดจากัน มิฉะนั้นเสื้อแดงจะลงไม่สวย จากนั้นกำหนดวันยุบสภาให้แน่นอน เวลา 6 เดือนเหมาะที่สุด ยุบ 1 ต.ค.แล้วเลือกตั้งพ.ย.-ธ.ค.ไม่ต้องรอถึงปลายปี เนื่องจากดวงเปลี่ยนแปลงช่วงก.ย.-ต.ค.-พ.ย. ดวงรัฐบาลร่อแร่ หากรัฐบาลไม่ทำทหารจะทำ ขอเตือนนายอภิสิทธิ์จะเกิดการนองเลือด
ส.ว.แยกข้างถล่มฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา วุฒิสภาประชุม โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ก่อนเข้าระเบียบวาระสมาชิกหารือถึงสถานการณ์บ้านเมือง กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง และเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยสมาชิกที่ขอหารือเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. เน้นโจมตีแกนนำนปช.เป็นหลัก
ขณะที่กลุ่มส.ว.เลือกตั้ง มีเพียงนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ อภิปรายเรียกร้องนายกฯแสดงภาวะผู้นำที่ชัดเจนมากกว่า 7 วันที่ผ่านมา เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงประชาชนให้ชัดเจน จากนั้นนายประสพสุขขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตวันที่ 10 เม.ย. 1 นาที ก่อนปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ
ยื่นมาร์คเข้าสู่กระบวนการสภา
ต่อมาเวลา 14.00 น.ตัวแทนส.ว. 24 คน นำโดยนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แถลงกรณียื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เพื่อขอให้นำปัญหากลุ่มนปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา เนื่องจากเห็นว่าการชุมนุมยังมีต่อเนื่องและขยายตัวมีหลายสีมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่กลับกล่าวหาผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย และดำเนินการยั่วยุโดยสื่อของรัฐ ข่มขู่โดยโฆษกต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย สุดท้ายอาจสูญเสียชีวิต ดังนั้นส.ว.ทั้ง 24 คนขอเรียกร้องนายกฯตอบรับเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภ ตามที่ส.ว.ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรือรัฐบาลจะขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ส.ส. ส.ว.ร่วมเสนอทางออกที่ดีที่สุดนำพาประเทศกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
นายเรืองไกร กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มเสื้อหลากสีเคลื่อนไหวในขณะนี้ว่า ไม่ควรออกมา เพราะยิ่งตอกย้ำภาพว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ผล แม้จะอ้างว่ามาให้กำลังใจและสนับสนุนรัฐบาล แต่ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อแดง
จากนั้นเวลา 15.00 น.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ พร้อมด้วยนายวิทยา อินาลา ส.ว.นคร พนม และคณะ เดินทางไปหารือกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำนปช. ที่เวทีคนเสื้อแดงแยกราชประสงค์ เพื่อขอคำยืนยันจากนปช.ว่าเมื่อเปิดประชุมสภาแล้วจะไม่ไปปิดล้อมรัฐสภา แต่นายจตุพรยังไม่รับปาก ขอหารือกับแกนนำนปช.เพื่อตัดสินใจ
รัฐบาลตอบรับให้ส.ว.ซักฟอก
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลมีมติให้วันที่ 21 และ 22 เม.ย.ประชุมสภาตามปกติ เพื่อพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาคนเสื้อแดงมาปิดล้อมสภา ไม่จำเป็นต้องขอกำลังทหารมาดูแลความปลอดภัย
นายวิทยาในฐานะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมพรรคประชาธิปัตย์วันที่ 20 เม.ย.ว่า จะหยิบยกเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาหารือ ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้วันที่ 23 เม.ย.รัฐบาลตอบรับเข้าชี้แจงที่ประชุมวุฒิสภาที่ขอเปิดญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ส่วนนายกฯจะเข้าชี้แจงหรือไม่ขึ้นกับการตัดสินใจของนายกฯ
ประชุมครม. 20 เม.ย.ในราบ 11
ส่วนที่ศอฉ.ภายในร.11 รอ. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาสถานที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 20 เม.ย. ซึ่งมีหลายแห่งรวมทั้งหอประชุมร.11 รอ. ภายใน 1-2 วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จะออกมาพบสื่อมวลชนเพื่อสื่อสารถึงประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯจะเข้าทำงานที่ทำเนียบได้เมื่อไหร่ นายปณิธานกล่าวว่า "พร้อมเมื่อไหร่ก็จะเข้า"
ทั้งนี้นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนาน 9 วันแล้ว
ต่อมาเวลา 18.00 น.นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะใช้หอประชุมในร.11 รอ.เป็นสถานที่ประชุมครม.วันที่ 20 เม.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากร.11 รอ.ว่า ร.11 รอ.จัดเตรียมอาคารศาสนสถานเป็นสถานที่ประชุมครม. โดยติดตั้งโต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟนไว้ครบจำนวน ครม. และเตรียมเก้าอี้สำหรับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนด้านนอกอาคารกางเต็นท์สีขาวแบบปิดติดเครื่องปรับอากาศ 4 หลัง พร้อมโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับผู้ติดตามครม.และผู้รอชี้แจงครม. และเตรียมพื้นที่เฉพาะไว้สำหรับสื่อมวลชนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากสถานที่ประชุมครม.ดังกล่าวอยู่ใกล้สถานที่ทำงานของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในศอฉ.ซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
นิพิฏฐ์ถกชวนวางแผนสู้ยุบปชป.
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเช้านายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค เข้าหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เกี่ยวกับแนวทางต่อสู้คดีกกต.มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
นายนิพิฏฐ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.30 น. นายชวนจะเป็นประธานประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อให้ที่ประชุมเข้าใจข้อกฎหมายตรงกัน และเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลด้วย ส่วนกรณีนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ระบุมติกกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามมติของคณะทำงานนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ให้ยุบด้วยเสียง 7 ต่อ 2 นั้น การพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงกับส.ส.ก็ตั้งคณะทำงานมาพิจารณาก่อนเช่นกัน เมื่อคณะทำงานเสนอให้ใบเหลืองหรือใบแดง มีหลายครั้งที่กกต.มีมติให้ใบขาวหรือยกคำร้อง ฉะนั้นความเห็นของคณะทำงานนายทะเบียนพรรค การเมือง ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วต้องอยู่ที่การวินิจฉัยของนายทะเบียนพรรค การเมือง
โหยหา"ขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว"
นายนิพิฏฐ์กล่าวถึงการแก้ปัญหากลุ่มนปช. ว่า รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้ สังคมควรออกมาสนับสนุนมากกว่านี้ เป็นฉันทามติให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ควรมีคนในฝ่ายปฏิบัติกล้าบอกนายกฯว่าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากเกิดมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ สังคมต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้ต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย พล.อ.อนุพงษ์ระบุเรื่องนี้เป็นปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาของประเทศชาติ การชุมนุมของคนเสื้อแดงส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและความปลอดภัยของประชาชน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยรัฐบาลแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว
ขณะที่ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.00 น.นายชวนจะให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ชวลิตและนายสมชาย อดีตนายกฯ จะขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาบ้านเมือง
ปิดทางยุบสภา-นายกฯลาออก
ด้านนายชุมพล กาญจนะ ประธานส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย. เชิญส.ส.ประชุมและรับประทานอาหารร่วมกัน โดยจะหารือ 2-3 เรื่อง ที่ผ่านมาเคยมีส.ส.ของพรรคไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ขณะนั้นสถานการณ์การเมืองยังไม่เข้มข้นเท่านี้ วันนี้การเมืองเข้มข้น มีเสียงเรียกร้องจากหลายส่วนว่าควรปรับปรุงแก้ไข แต่คงไม่ถึงกับต้องให้ส.ส. โหวตว่าพรรคและรัฐบาลจะเดินไปทางไหน ประเด็นยุบสภาหรือนายกฯลาออกปิดทางไปได้เลย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พรรคร่วมเองก็ได้ฟังเสียงสะท้อนของประชาชนเหมือนกันว่าให้รัฐบาลอยู่ต่อ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจและแก้ปัญหาทางการเมืองต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)