เห็นการทูตไทยวันนี้แล้ว...ทำให้คิดถึง “พระยาโกษาปาน” ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการทูตไทยได้อย่างดีและยอดเยี่ยม...จนได้รับคำยกย่องจากฝรั่งเศสและพระนารายณ์มหาราช เพราะหน้าที่การทูตมีมากมายเกินกว่าที่เราจะคิดและรู้จัก...แต่วันนี้ประเทศไทยกลับมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ด้อยคุณค่าในสายตาประชาคมโลก เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศที่แสดงท่าทีต่อเจ้ากระทรวงการฑูต “กษิต ภิรมย์” แล้วเหนื่อยแทนคนไทยทั้งชาติเพราะไม่ว่าเขา
จะไปที่ใดในโลกก็มักจะไปพูดเจรจาไล่ล่าไล่บี้เขาในเรื่อง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ล่าสุด...เวทีโลกที่นิวยอร์ก เขาว่ากันด้วยเรื่องของ “นิวเคลียร์” แต่เจ้ากระทรวงบัวแก้วของเราดันผ่าไปตำหนิประเทศต่างๆ ว่า ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาในการไล่ล่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อยากถามดังๆ ตรงๆ ว่า นายกษิต คุณไม่สบายหรือเปล่า?... จู่ๆ ก็ไปพล่ามกลางเวทีโลกว่าตำรวจสากลไม่ให้ความร่วมมือทั้งประเทศรัฐเซีย ประเทศในเขตอาหรับ และ
ประเทศอื่นๆ เพียงแค่ประเด็นเขาเชิญคุณไปพูดกับสิ่งที่คุณพูดมันคนละเรื่องเป็นหนังคนละม้วน หรือว่าภารกิจหลักที่คุณโม้เอาไว้ตั้งแต่ต้นก่อนรับตำแหน่ง คือ “ไล่บี้ทักษิณ” ต่อให้เถียงหัวชนฝาสร้างความ “ร้าวฉาน” ต่อนานาอารยประเทศคุณต้องยอมทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ?!ในเมื่อรัฐบาลนี้ไม่ฟังเสียงนานาชาติที่เขามองเห็น...อีกไม่นานประเทศไทยจะต้องปิดประเทศไปเสีย...เพราะสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริงเพียงแต่คนในรัฐบาล “ตามืดบอด” เพราะอำนาจที่มัน
ครอบงำอยู่นั่นเอง...แล้วก็ทำเป็นคนปากดีเอาแต่ใจไม่สนใจต่างประเทศ อย่าลืมว่า...แผนที่ในโลกนี้ประเทศไทยมีเพียงแค่หยิบมือเดียว การที่จะไปแข็งขืนต่อต้านเขาไม่ใช่เรื่องง่าย...และต้องถามต่อว่าประเทศของเราในวันนี้มี “ศักยภาพ” อะไรที่ทำให้ประชาคมโลกเขาน่าปีติชื่นชมบ้างเพราะแม้แต่เรื่องในประเทศของตัวเองยังเอาไม่รอด...นักการเมืองคิดแต่จะแสวงหาอำนาจ...แล้วก็ใช้อำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา...จนกระทั่งประเทศชาติจะล่มจมด้วยน้ำมือของคนเพียงไม่
กี่คนสุดท้ายยังไปทำตัว “อหังการ์” ให้คนอื่นดูหมิ่นดูแคลนประเทศเราอีกอย่างนั้นหรือการที่อาศัยเวทีโลกไปพูดจาสามหาวอย่างนั้นยิ่งทำให้ “กษิต ภิรมย์” มีแต่เสียกับเสีย เว้นเสียแต่จะปิดประเทศไม่สนใจใคร หากคุณคิดอย่างนั้น...ประเทศไทยของเราจะกลับมาอยู่กันแบบกดขี่ไม่ให้โงหัวลองพิจารณาดูด้วยหน้าที่ของการเป็น “นักการทูต” ว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา มาเลเซีย วันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับของเขายังดีอยู่หรือไม่ หรืออยากจะให้บานปลายไปถึง
ประเทศจีน...เพราะอย่าลืมว่ารัฐเซีย จีน เวียดนาม กัมพูชา ล้วนต่างก็เป็นพันธมิตรที่ดีซึ่งกันและกัน ไม่ทราบว่า “กษิต ภิรมย์” เคยย้อนถามตัวเองด้วยจิตสำนึกแล้วหรือยังว่าทำไมนานาชาติยังอ้าแขนต้อนรับคนไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และไม่ให้ความร่วมมือกับทางการไทยเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและเขามองออกว่า...สิ่งที่คุณไล่ล่าอยู่นี้มันคือ การเมืองของประเทศไทย แต่คุณก็พยายามไปยัดเยียดว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็น
ผู้ก่อการร้าย...ซึ่งเขาฟังแล้วต่างก็ได้แต่แอบขำในลำคอ ใครกันคือ “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งวันหนึ่งเคยร่วมกันปิดสนามบิน...แต่ถูกยกย่องจากผู้มีอำนาจในประเทศยกย่องให้เป็น “ผู้ก่อการดี”เมื่อเป็นเช่นนี้...ต่างประเทศซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวเข้าสู่ความเป็น “อารยะ” จะมีใครบ้างอยากให้ความร่วมมือกับ “ผู้ก่อการร้าย” ที่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีตอบว่าคงไม่มี...ชัดไหม “กษิต ภิรมย์”
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553
การลิดรอนสิทธิในการสื่อสารคือเผด็จการ
โดย ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รัฐบาลอาจจะมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการปิดเว็บไซต์ 36 แห่งตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 และออกประกาศของกระทรวง ICT เมื่อ 12 เมษายน 2553 ห้ามเผยแพร่ภาพและวิจารณ์การใช้กำลังทหารติดอาวุธสงครามสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นรัฐบาลเผด็จการ โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ขยายวงกว้าง และฝักรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน กล่าวคือ
ประการแรก การที่รัฐบาลเน้นปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ต ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ตต่อสังคมปัจจุบัน ที่อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวัน คนใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการแสดงออกทางความคิด เพื่อการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยสรุปแล้วคือคนใช้อินเทอร์เน็ตสร้างสรรค์สังคม ทั้งสังคมในชีวิตประจำวันและสังคมในอุดมคติ
ในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลเห็นว่ากิจกรรมใดๆ ที่เว็บไซต์เหล่านั้นกระทำเป็นการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรม เพื่ออาศัยอำนาจศาลในการปิดเว็บไซต์เหล่านั้น การอาศัยอำนาจศาลนับได้ว่าเป็นวิธีควบคุมการละเมิดกฎหมายอย่างถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
แต่การปิดกั้นการสื่อสารด้วยอำนาจทางการบริหาร ด้วยการอ้าง พรก. ฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจรัฐบาลอย่างล้นพ้นเกินการตรวจสอบได้เพื่อการปิดกั้นข่าวสาร ไม่แตกต่างจากการเอากระบอกปืนมาจ่อหัวไม่ให้คนพูดคุยถกเถียง การปิดเว็บไซต์ของรัฐบาลเป็นการละเมิดสิทธิการติดต่อสื่อสารและการสร้างสรรค์สังคมของประชาชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลกำลังวิสามัญฆาตกรรมการสื่อสารของผู้คนในสังคมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ประการที่สอง รัฐบาลอาจมองว่าการปิดเว็บไซต์เป็นวิธีการที่ถูกต้องในการระงับความขัดแย้งในปัจจุบัน แต่รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ผังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานกว่าการชุมนุมที่เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนหนึ่งนี้
ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มิใช่ความขัดแย้งทางการเมืองในระยะสั้น รัฐบาลควรศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อมาเป็นทศวรรษแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่ประชาชนส่วนหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนกลายมาเป็นสำนวนเรียกตนเองว่า "ไพร่" ส่วนปัญหาระยะยาวยิ่งกว่านั้น รัฐบาลนี้คงพอรู้อยู่บ้างว่าผู้คนในสังคมไทยตกอยู่ในภาวะของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมายาวนานและฝังรากลึกเพียงใด
การปิดกั้นข่าวสาร ปิดกั้นการสื่อสารในสื่อทางเลือก จะยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยช่องทางการสื่อสารทั่วไป รู้สึกถึงการถูกกดทับให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม การปิดกั้นการสื่อสารนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีกรอบความเข้าใจเรื่องการสื่อสารอย่างคับแคบและดูถูกประชาชน ในขณะนี้รัฐบาลกำลังมุ่งสื่อสารกับประชาชนเพียงด้านเดียว สื่อหลักที่รัฐบาลใช้คือ "ฟรีทีวี" ซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐทั้งหมด รัฐบาลอาจคิดว่าการสื่อสารผ่านทีวีเหล่านี้มีต้นทุนต่ำและได้ผลสูง รัฐบาลมีความเชื่อว่า ประชาชนจะเชื่อฟังข่าวสารที่รัฐบาลนำเสนอด้านเดียวอย่างเชื่องๆ
แต่รัฐบาลหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการบริโภคสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ฟรีทีวีเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในหลายๆทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวีหรือจานดาวเทียม ตลอดจนหนังสือพิมพ์และสื่อทางเลือกต่างๆในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่สนับสนุนรัฐบาลหยิบมือเดียว ที่พร้อมจะเชื่อและรับรู้ข่าวสารผ่านทางฟรีทีวี ส่วนประชาชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากจะหันไปหาสื่อทางเลือกอื่นๆเพื่อรับรู้ข่าวสารมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอผ่านฟรีทีวีเท่านั้น แต่สื่อทางเลือกอื่นๆจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ให้แง่มุมที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอ
ประการสุดท้าย การปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะขยายวงของความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางๆ หรือไม่ได้ "เป็นแดง" กลับถูกผลักหรือต้องเดิน "เส้นทางสายแดง" มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับ "การเข้าป่า" เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งการเข้าป่าเป็นเส้นทางที่นักศึกษาหลายคนเลือกเดินโดยมิได้มีใจเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน
หนทางในการ "ลงใต้ดิน" ของชุมชนในอินเทอร์เน็ตนั้นมีได้หลายทาง คนในโลกอินเทอร์เน็ตเห็นการปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าขัน เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะสามารถสร้างทางลัดทางลอด ก้าวข้ามการปิดกั้นควบคุมของรัฐได้เสมอ การที่เว็บไซต์บางเว็บมิได้หลีกลี้จากอำนาจรัฐแต่ต้น มิได้หมายความว่าเว็บไซต์เหล่านั้นไม่รู้ทางเลี่ยง หากแต่พวกเขาต้องการดำเนินการอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐไทยและพร้อมรับการตรวจสอบการละเมิด
แต่หากรัฐบาลผลักไสให้เว็บไซต์เหล่านี้ลงใต้ดินเสียแล้ว กฎหมายของรัฐไทยก็จะไร้ความหมาย และการละเมิดและผลของการละเมิดกฎหมายก็จะรุนแรงยิ่งกว่า ในอนาคตอันใกล้ เชื่อได้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการต่อต้านของชุมชนอินเทอร์เน็ตได้
กล่าวโดยสรุป หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ตระหนักถึงประเด็นต่างๆ ข้างต้น แต่กระทำการใดๆ เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนและพวกพ้อง นายอภิสิทธิ์และพวกพ้องก็จะยังคงดำรงอำนาจอยู่ได้ด้วยข้ออ้างทางกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ทว่า นายอภิสิทธิ์จะได้รับการตีตราว่าเป็นเผด็จการผู้สร้างความขัดแย้งยืดเยื้อในสังคมไทยตลอดไป
ที่มา. มติชนออนไลน์
********************************************
รัฐบาลอาจจะมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการปิดเว็บไซต์ 36 แห่งตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 และออกประกาศของกระทรวง ICT เมื่อ 12 เมษายน 2553 ห้ามเผยแพร่ภาพและวิจารณ์การใช้กำลังทหารติดอาวุธสงครามสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นรัฐบาลเผด็จการ โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ขยายวงกว้าง และฝักรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน กล่าวคือ
ประการแรก การที่รัฐบาลเน้นปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ต ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ตต่อสังคมปัจจุบัน ที่อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวัน คนใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการแสดงออกทางความคิด เพื่อการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยสรุปแล้วคือคนใช้อินเทอร์เน็ตสร้างสรรค์สังคม ทั้งสังคมในชีวิตประจำวันและสังคมในอุดมคติ
ในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลเห็นว่ากิจกรรมใดๆ ที่เว็บไซต์เหล่านั้นกระทำเป็นการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรม เพื่ออาศัยอำนาจศาลในการปิดเว็บไซต์เหล่านั้น การอาศัยอำนาจศาลนับได้ว่าเป็นวิธีควบคุมการละเมิดกฎหมายอย่างถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย
แต่การปิดกั้นการสื่อสารด้วยอำนาจทางการบริหาร ด้วยการอ้าง พรก. ฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจรัฐบาลอย่างล้นพ้นเกินการตรวจสอบได้เพื่อการปิดกั้นข่าวสาร ไม่แตกต่างจากการเอากระบอกปืนมาจ่อหัวไม่ให้คนพูดคุยถกเถียง การปิดเว็บไซต์ของรัฐบาลเป็นการละเมิดสิทธิการติดต่อสื่อสารและการสร้างสรรค์สังคมของประชาชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลกำลังวิสามัญฆาตกรรมการสื่อสารของผู้คนในสังคมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ประการที่สอง รัฐบาลอาจมองว่าการปิดเว็บไซต์เป็นวิธีการที่ถูกต้องในการระงับความขัดแย้งในปัจจุบัน แต่รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ผังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานกว่าการชุมนุมที่เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนหนึ่งนี้
ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มิใช่ความขัดแย้งทางการเมืองในระยะสั้น รัฐบาลควรศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อมาเป็นทศวรรษแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่ประชาชนส่วนหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนกลายมาเป็นสำนวนเรียกตนเองว่า "ไพร่" ส่วนปัญหาระยะยาวยิ่งกว่านั้น รัฐบาลนี้คงพอรู้อยู่บ้างว่าผู้คนในสังคมไทยตกอยู่ในภาวะของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมายาวนานและฝังรากลึกเพียงใด
การปิดกั้นข่าวสาร ปิดกั้นการสื่อสารในสื่อทางเลือก จะยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยช่องทางการสื่อสารทั่วไป รู้สึกถึงการถูกกดทับให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม การปิดกั้นการสื่อสารนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีกรอบความเข้าใจเรื่องการสื่อสารอย่างคับแคบและดูถูกประชาชน ในขณะนี้รัฐบาลกำลังมุ่งสื่อสารกับประชาชนเพียงด้านเดียว สื่อหลักที่รัฐบาลใช้คือ "ฟรีทีวี" ซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐทั้งหมด รัฐบาลอาจคิดว่าการสื่อสารผ่านทีวีเหล่านี้มีต้นทุนต่ำและได้ผลสูง รัฐบาลมีความเชื่อว่า ประชาชนจะเชื่อฟังข่าวสารที่รัฐบาลนำเสนอด้านเดียวอย่างเชื่องๆ
แต่รัฐบาลหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการบริโภคสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ฟรีทีวีเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในหลายๆทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวีหรือจานดาวเทียม ตลอดจนหนังสือพิมพ์และสื่อทางเลือกต่างๆในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่สนับสนุนรัฐบาลหยิบมือเดียว ที่พร้อมจะเชื่อและรับรู้ข่าวสารผ่านทางฟรีทีวี ส่วนประชาชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากจะหันไปหาสื่อทางเลือกอื่นๆเพื่อรับรู้ข่าวสารมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอผ่านฟรีทีวีเท่านั้น แต่สื่อทางเลือกอื่นๆจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ให้แง่มุมที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอ
ประการสุดท้าย การปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะขยายวงของความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางๆ หรือไม่ได้ "เป็นแดง" กลับถูกผลักหรือต้องเดิน "เส้นทางสายแดง" มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับ "การเข้าป่า" เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งการเข้าป่าเป็นเส้นทางที่นักศึกษาหลายคนเลือกเดินโดยมิได้มีใจเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน
หนทางในการ "ลงใต้ดิน" ของชุมชนในอินเทอร์เน็ตนั้นมีได้หลายทาง คนในโลกอินเทอร์เน็ตเห็นการปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าขัน เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะสามารถสร้างทางลัดทางลอด ก้าวข้ามการปิดกั้นควบคุมของรัฐได้เสมอ การที่เว็บไซต์บางเว็บมิได้หลีกลี้จากอำนาจรัฐแต่ต้น มิได้หมายความว่าเว็บไซต์เหล่านั้นไม่รู้ทางเลี่ยง หากแต่พวกเขาต้องการดำเนินการอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐไทยและพร้อมรับการตรวจสอบการละเมิด
แต่หากรัฐบาลผลักไสให้เว็บไซต์เหล่านี้ลงใต้ดินเสียแล้ว กฎหมายของรัฐไทยก็จะไร้ความหมาย และการละเมิดและผลของการละเมิดกฎหมายก็จะรุนแรงยิ่งกว่า ในอนาคตอันใกล้ เชื่อได้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการต่อต้านของชุมชนอินเทอร์เน็ตได้
กล่าวโดยสรุป หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ตระหนักถึงประเด็นต่างๆ ข้างต้น แต่กระทำการใดๆ เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนและพวกพ้อง นายอภิสิทธิ์และพวกพ้องก็จะยังคงดำรงอำนาจอยู่ได้ด้วยข้ออ้างทางกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ทว่า นายอภิสิทธิ์จะได้รับการตีตราว่าเป็นเผด็จการผู้สร้างความขัดแย้งยืดเยื้อในสังคมไทยตลอดไป
ที่มา. มติชนออนไลน์
********************************************
ยกสุดท้าย นายกฯอภิสิทธิ์
เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
เป็นความผิดพลาดในระดับยุทธ ศาสตร์ในระดับเดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน
หมากตาเดียวนั้นคือ ปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหาร
กลายเป็นเงื่อนไขให้ปัญหาต่างๆ ที่ปะทุคุกรุ่นมาก่อนแล้ว ระเบิดออกอย่างรุนแรงบนถนนราชดำเนิน ต่อหน้าต่อตาคนทั้งประเทศ
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. ที่ระดมคนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนา คม และทดสอบความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลหลายครั้งหลายหน
แม้จะมีความโน้มเอียงในการใช้ "การทหาร" แก้ปัญหาการเมือง เนื่องจากรัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากกองทัพในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่างเต็มที่
แต่กระแสสังคมก็กดดันจนนายอภิสิทธิ์ ยอมเดินเข้าโต๊ะเจรจากับนปช.ก่อนจะลงเอยด้วยความล้มเหลว
สถานการณ์พัฒนาไปอีกขั้น โดย ผู้ชุมนุมขยายเวทีไปยังสี่แยกราชประสงค์ ทำให้ธุรกิจ เศรษฐกิจบริเวณนั้นเป็นอัมพาตอย่างสิ้นเชิง
ก่อนการปะทะในวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลได้สั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวีของชาวเสื้อแดง และเว็บไซต์ของเสื้อแดงอีกกว่า 30 เว็บ
เพื่อตัดเครือข่ายการประสานงานและแจ้งข่าวสารของเสื้อแดง
และกลายเป็นชนวนปะทะ ระหว่างคนเสื้อแดงกับทหารที่รักษาการสถานีบริการภาคพื้นดินของไทยคมที่อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ในวันที่ 9 เมษายน
ทหารยอมล่าถอย หลังจากใช้น้ำฉีด ใช้แก๊ส น้ำตาแล้วไม่ได้ผล
เช้ารุ่งขึ้น 10 เมษายน จึงเกิดเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกกองทัพภาค 1
ตามมาด้วยปฏิบัติการขอพื้นที่ถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้าคืน ในช่วงเที่ยงของวันที่ 10 เมษายน
ผลของคำสั่งขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ทำให้ มีกองกำลังทหาร อาวุธครบมือ พร้อมรถเกราะ รถสายพานลำเลียง เดินทางเข้าไปที่บริเวณใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ผู้ชุมนุมที่บางตาในตอนแรก เสริมกำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นการเผชิญหน้าในเวลาย่ำค่ำที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
เป็นเงื่อนไขที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับความรุนแรง
อุณหภูมิของความเกลียดชังที่บ่มไว้อย่างเป็นระบบ และความขัดแย้งต่างๆ ที่สั่งสมมาจากยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และความเคียดแค้นจากเดือนเมษายน 2552 ฯลฯ ได้จังหวะระเบิดออกอย่างฉับพลัน
มีกลุ่มฉวยโอกาสออกมาใช้อาวุธสงครามยิงใส่ ทหาร จนสูญเสียนายทหารระดับพันเอก ผู้บังคับ บัญชาระดับพลตรีบาดเจ็บ และกำลังพลเสียชีวิต อีกหลายนาย
รถหุ้มเกราะ รถสายพานลำเลียง รถฮัมวี อาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากถูกทำลายและถูกยึด
เป็นอีกครั้งที่กองทัพไทยโดนฉีกหน้าเสียหายยับเยิน
โดยมีกระแสข่าวระบุว่า เบื้องหลัง เกิดความขัด แย้งและการชิงอำนาจในกองทัพ ที่แตกออกเป็นสายอำนาจปัจจุบันและสายอำนาจเก่า
ส่วนฝ่ายประชาชนเสื้อแดง เอาชีวิตมาสังเวยถนนราชดำเนินอีกร่วม 20 คน เป็นการเสียชีวิตปริศนา เพราะฝ่ายทหารยืนยันว่าไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงใส่ประชาชน
ขณะที่เสื้อแดงระบุว่า ฝ่ายทหารใช้สไนเปอร์ หรือพลแม่นปืนซุ่มบนตึกสูง ยิงเด็ดหัวทีละคน
จนบัดนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ชีวิตเหล่านี้เป็นผลงานของใครกันแน่
สภาพมิคสัญญีที่เกิดใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติมาชุมนุมกัน คือถนนข้าวสาร และย่านสนามหลวง ทำให้ภาพเหตุ การณ์ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
แต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้
กลุ่มผู้ชุมนุมยุบเวทีผ่านฟ้า ย้ายไปรวมเป็นเวทีเดียวที่ราชประสงค์ ขยายพื้นที่ชุมนุมไปในถนนธุรกิจรอบๆ และเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่อีกระลอก
ยิ่งสร้างผลกระทบและแรงกดดันต่อนายอภิสิทธิ์และรัฐบาล
แต่รัฐบาลยังเดินหน้าต่อ นอก จากยืนยันไม่ยุบสภา ไม่ลาออกแล้ว ยังผลักดันให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมและผู้สนับ สนุน
โดยจะเรียกนักธุรกิจ นักการเมือง ที่สนับสนุนการชุมนุมเข้าราบ 11
และยังส่งตำรวจไปจับกุมแกนนำเสื้อแดงที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ในเช้าวันที่ 16 เมษายน แต่คว้าน้ำเหลว
ผลจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน แม้รัฐบาลจะพยายามเดินหน้า
แต่เป็นการเดินหน้าที่อ่อนเปลี้ย และมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ได้รับ ความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่
เนื่องจากเป็นการใช้มาตรการแข็งกร้าวแบบการทหาร เข้าจัด การกับความขัดแย้งทางการเมือง
ผลจากวันที่ 10 เมษายน ทำ ให้สถานะของนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนแปลง อย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ประการหนึ่ง กองทัพ โดยพล.อ. อนุพงษ์ ได้กล่าวในการแถลงข่าวว่า ปัญหาการเมืองจะต้องยุติด้วยการ เมือง และอาจจะต้องมีการยุบสภา
ซึ่งเท่ากับบีบให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่ข่าวเบื้องลึกระบุว่า ฝ่ายทหารจะไม่รับนโยบายขอพื้นที่คืนอีกต่อไป
ประการหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลได้เปลี่ยนท่าที ยุติการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยจะใช้การเจรจาภายใน บีบให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ลดการเผชิญหน้ากับเสื้อแดง
และยังมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องคือการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเห็นควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากความผิดในเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาทและเงินอุดหนุนพรรคการ เมือง 29 ล้านบาท รอการตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญต่อไป
เท่ากับลดอำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์ลงไปอีก
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง
รอเวลา"ร่วง"!?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
*****************************************************
เป็นความผิดพลาดในระดับยุทธ ศาสตร์ในระดับเดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน
หมากตาเดียวนั้นคือ ปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหาร
กลายเป็นเงื่อนไขให้ปัญหาต่างๆ ที่ปะทุคุกรุ่นมาก่อนแล้ว ระเบิดออกอย่างรุนแรงบนถนนราชดำเนิน ต่อหน้าต่อตาคนทั้งประเทศ
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. ที่ระดมคนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนา คม และทดสอบความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลหลายครั้งหลายหน
แม้จะมีความโน้มเอียงในการใช้ "การทหาร" แก้ปัญหาการเมือง เนื่องจากรัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากกองทัพในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่างเต็มที่
แต่กระแสสังคมก็กดดันจนนายอภิสิทธิ์ ยอมเดินเข้าโต๊ะเจรจากับนปช.ก่อนจะลงเอยด้วยความล้มเหลว
สถานการณ์พัฒนาไปอีกขั้น โดย ผู้ชุมนุมขยายเวทีไปยังสี่แยกราชประสงค์ ทำให้ธุรกิจ เศรษฐกิจบริเวณนั้นเป็นอัมพาตอย่างสิ้นเชิง
ก่อนการปะทะในวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลได้สั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวีของชาวเสื้อแดง และเว็บไซต์ของเสื้อแดงอีกกว่า 30 เว็บ
เพื่อตัดเครือข่ายการประสานงานและแจ้งข่าวสารของเสื้อแดง
และกลายเป็นชนวนปะทะ ระหว่างคนเสื้อแดงกับทหารที่รักษาการสถานีบริการภาคพื้นดินของไทยคมที่อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ในวันที่ 9 เมษายน
ทหารยอมล่าถอย หลังจากใช้น้ำฉีด ใช้แก๊ส น้ำตาแล้วไม่ได้ผล
เช้ารุ่งขึ้น 10 เมษายน จึงเกิดเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกกองทัพภาค 1
ตามมาด้วยปฏิบัติการขอพื้นที่ถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้าคืน ในช่วงเที่ยงของวันที่ 10 เมษายน
ผลของคำสั่งขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ทำให้ มีกองกำลังทหาร อาวุธครบมือ พร้อมรถเกราะ รถสายพานลำเลียง เดินทางเข้าไปที่บริเวณใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ผู้ชุมนุมที่บางตาในตอนแรก เสริมกำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นการเผชิญหน้าในเวลาย่ำค่ำที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
เป็นเงื่อนไขที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับความรุนแรง
อุณหภูมิของความเกลียดชังที่บ่มไว้อย่างเป็นระบบ และความขัดแย้งต่างๆ ที่สั่งสมมาจากยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และความเคียดแค้นจากเดือนเมษายน 2552 ฯลฯ ได้จังหวะระเบิดออกอย่างฉับพลัน
มีกลุ่มฉวยโอกาสออกมาใช้อาวุธสงครามยิงใส่ ทหาร จนสูญเสียนายทหารระดับพันเอก ผู้บังคับ บัญชาระดับพลตรีบาดเจ็บ และกำลังพลเสียชีวิต อีกหลายนาย
รถหุ้มเกราะ รถสายพานลำเลียง รถฮัมวี อาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากถูกทำลายและถูกยึด
เป็นอีกครั้งที่กองทัพไทยโดนฉีกหน้าเสียหายยับเยิน
โดยมีกระแสข่าวระบุว่า เบื้องหลัง เกิดความขัด แย้งและการชิงอำนาจในกองทัพ ที่แตกออกเป็นสายอำนาจปัจจุบันและสายอำนาจเก่า
ส่วนฝ่ายประชาชนเสื้อแดง เอาชีวิตมาสังเวยถนนราชดำเนินอีกร่วม 20 คน เป็นการเสียชีวิตปริศนา เพราะฝ่ายทหารยืนยันว่าไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงใส่ประชาชน
ขณะที่เสื้อแดงระบุว่า ฝ่ายทหารใช้สไนเปอร์ หรือพลแม่นปืนซุ่มบนตึกสูง ยิงเด็ดหัวทีละคน
จนบัดนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ชีวิตเหล่านี้เป็นผลงานของใครกันแน่
สภาพมิคสัญญีที่เกิดใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติมาชุมนุมกัน คือถนนข้าวสาร และย่านสนามหลวง ทำให้ภาพเหตุ การณ์ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
แต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้
กลุ่มผู้ชุมนุมยุบเวทีผ่านฟ้า ย้ายไปรวมเป็นเวทีเดียวที่ราชประสงค์ ขยายพื้นที่ชุมนุมไปในถนนธุรกิจรอบๆ และเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่อีกระลอก
ยิ่งสร้างผลกระทบและแรงกดดันต่อนายอภิสิทธิ์และรัฐบาล
แต่รัฐบาลยังเดินหน้าต่อ นอก จากยืนยันไม่ยุบสภา ไม่ลาออกแล้ว ยังผลักดันให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมและผู้สนับ สนุน
โดยจะเรียกนักธุรกิจ นักการเมือง ที่สนับสนุนการชุมนุมเข้าราบ 11
และยังส่งตำรวจไปจับกุมแกนนำเสื้อแดงที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ในเช้าวันที่ 16 เมษายน แต่คว้าน้ำเหลว
ผลจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน แม้รัฐบาลจะพยายามเดินหน้า
แต่เป็นการเดินหน้าที่อ่อนเปลี้ย และมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ได้รับ ความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่
เนื่องจากเป็นการใช้มาตรการแข็งกร้าวแบบการทหาร เข้าจัด การกับความขัดแย้งทางการเมือง
ผลจากวันที่ 10 เมษายน ทำ ให้สถานะของนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนแปลง อย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ประการหนึ่ง กองทัพ โดยพล.อ. อนุพงษ์ ได้กล่าวในการแถลงข่าวว่า ปัญหาการเมืองจะต้องยุติด้วยการ เมือง และอาจจะต้องมีการยุบสภา
ซึ่งเท่ากับบีบให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่ข่าวเบื้องลึกระบุว่า ฝ่ายทหารจะไม่รับนโยบายขอพื้นที่คืนอีกต่อไป
ประการหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลได้เปลี่ยนท่าที ยุติการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยจะใช้การเจรจาภายใน บีบให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ลดการเผชิญหน้ากับเสื้อแดง
และยังมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องคือการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเห็นควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากความผิดในเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาทและเงินอุดหนุนพรรคการ เมือง 29 ล้านบาท รอการตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญต่อไป
เท่ากับลดอำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์ลงไปอีก
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง
รอเวลา"ร่วง"!?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
*****************************************************
ใครฆ่าทหาร...!!!??
ครบรอบ 7 วันเหตุการณ์ 10 เมษาเลือด
จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 23 คน
แต่ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ
จากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้สั่งการสูงสุดทางการเมือง
จากคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบร่วมกันในการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อันนำมาสู่การใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน
จากพรรคการเมือง"หุ้นส่วนอำนาจ"ของรัฐบาล
ตลอดจนบรรดาผู้นำกองทัพซึ่งเปรียบเสมือนเสาค้ำยันรัฐบาล ทั้งยังมีส่วนสำคัญในฐานะ"เครื่องมือ"ของรัฐบาลในปฏิบัติการสลายการชุมนุม
ใครคิดจะชิ่งหนีตอนนี้คงไม่ทัน
การฉวยโอกาสผสมโรงเรียกร้องให้รัฐบาล"ยุบสภา"หลังเกิดเหตุ
ก็ไม่ช่วยให้ภาพของตนเองดูดีขึ้นเท่าไหร่
โดยเฉพาะผู้นำกองทัพที่เอาชีวิตทหารผู้ใต้บังคับบัญชาไปแลกกับการปกป้องรัฐบาล
หันปากปืนเข้าหาประชาชน
การให้โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งเป็นคนเดียวกับโฆษกกองทัพบกออกมาเล่าความข้างเดียวผ่านสื่อในมือ
ทิ้งน้ำหนักลงในเรื่องทหารเป็นฝ่ายสูญเสียจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นใคร อยู่ฝ่ายใด หรือเป็นมือที่สาม สี่ ห้า ฯลฯ
มีคลิปภาพและเสียงออกมาเสร็จสรรพ
ถามว่าแล้วยังไง?
ศพทหารช่วยให้นายกฯ รัฐบาลและกองทัพมีความชอบธรรมมากขึ้นหรืออย่างไร
ในเมื่อรัฐบาลรู้อยู่แล้วจากเหตุระเบิดป่วนเมืองรายวันที่ผ่านมา ว่ากลุ่ม "มือที่สาม" ซึ่งจ้องฉวยโอกาสขยายสถานการณ์ความรุนแรงนั้น มีตัวตนอยู่จริง
และกลุ่มที่รัฐบาลไม่รู้ชัดว่าเป็นใครและยังจับกุมไม่ได้นี้เอง
ได้แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุฆ่าทหารและประชาชนกลางเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีใครสักคนกล่าวหารัฐบาลส่งทหารออกไปเป็นเหยื่อ
ก็คงไปว่ากล่าวเขาไม่ได้
อย่าว่าแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าการไม่เอาจริงเอาจังกับปัญหา "มือที่สาม" เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือทำลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
สุดท้ายจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ชัดเจนจริงๆ ว่ามือที่สามดังกล่าว
ยื่นยาวออกมาจากฝ่ายใดกันแน่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
***********************************************
จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 23 คน
แต่ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ
จากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้สั่งการสูงสุดทางการเมือง
จากคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบร่วมกันในการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อันนำมาสู่การใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน
จากพรรคการเมือง"หุ้นส่วนอำนาจ"ของรัฐบาล
ตลอดจนบรรดาผู้นำกองทัพซึ่งเปรียบเสมือนเสาค้ำยันรัฐบาล ทั้งยังมีส่วนสำคัญในฐานะ"เครื่องมือ"ของรัฐบาลในปฏิบัติการสลายการชุมนุม
ใครคิดจะชิ่งหนีตอนนี้คงไม่ทัน
การฉวยโอกาสผสมโรงเรียกร้องให้รัฐบาล"ยุบสภา"หลังเกิดเหตุ
ก็ไม่ช่วยให้ภาพของตนเองดูดีขึ้นเท่าไหร่
โดยเฉพาะผู้นำกองทัพที่เอาชีวิตทหารผู้ใต้บังคับบัญชาไปแลกกับการปกป้องรัฐบาล
หันปากปืนเข้าหาประชาชน
การให้โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งเป็นคนเดียวกับโฆษกกองทัพบกออกมาเล่าความข้างเดียวผ่านสื่อในมือ
ทิ้งน้ำหนักลงในเรื่องทหารเป็นฝ่ายสูญเสียจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นใคร อยู่ฝ่ายใด หรือเป็นมือที่สาม สี่ ห้า ฯลฯ
มีคลิปภาพและเสียงออกมาเสร็จสรรพ
ถามว่าแล้วยังไง?
ศพทหารช่วยให้นายกฯ รัฐบาลและกองทัพมีความชอบธรรมมากขึ้นหรืออย่างไร
ในเมื่อรัฐบาลรู้อยู่แล้วจากเหตุระเบิดป่วนเมืองรายวันที่ผ่านมา ว่ากลุ่ม "มือที่สาม" ซึ่งจ้องฉวยโอกาสขยายสถานการณ์ความรุนแรงนั้น มีตัวตนอยู่จริง
และกลุ่มที่รัฐบาลไม่รู้ชัดว่าเป็นใครและยังจับกุมไม่ได้นี้เอง
ได้แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุฆ่าทหารและประชาชนกลางเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีใครสักคนกล่าวหารัฐบาลส่งทหารออกไปเป็นเหยื่อ
ก็คงไปว่ากล่าวเขาไม่ได้
อย่าว่าแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าการไม่เอาจริงเอาจังกับปัญหา "มือที่สาม" เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือทำลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
สุดท้ายจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ชัดเจนจริงๆ ว่ามือที่สามดังกล่าว
ยื่นยาวออกมาจากฝ่ายใดกันแน่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
***********************************************
พลิกแฟ้มประวัติศาสตร์"กองทัพแตก"ชนวน"นองเลือด"
เชื่ออย่างยิ่งว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่คาดฝันว่าเหตุการณ์เมื่อค่ำๆ ของวันที่ 10 เม.ย. 2553 จะเกิดการปะทะที่นำไปสู่การสูญเสียมากมายถึงเพียงนี้ มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บร่วมพันคน
แต่หากย้อนกลับไปสแกนสถานการณ์ก่อนหน้านี้ตั้งแต่กลุ่มเสื้อแดงเริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. บวกกับดูสมการอำนาจในกองทัพไทยที่ประสบกับภาวะเสียดุลครั้งใหญ่ก็จะเห็นว่าการนองเลือดเที่ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ภาพของชายชุดดำถืออาวุธครบมือ เล็งเป้ายิงฝ่ายทหารตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการ สถานการณ์ปาระเบิด ยิงคนเสื้อแดง อาจเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาผู้คนในสังคมไทย แต่ถ้าจับอาการกองทัพที่มีความแตกแยก ถึงขั้นมี "ไส้ศึก" คอยให้ข้อมูลแก่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือที่เรียกว่า "ทหารแตงโม"
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และวีระ มุสิกพงศ์ 3 แกนนำ นปช. รู้ทุกครั้งว่าในที่ประชุม ศอ.รส. มีการพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง มีการแจกเอกสารกี่แผ่นไม่ว่าจะลับแค่ไหนก็หลุดรอดมาถึงมือ 3 เกลอ นปช. ได้ทุกที ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอะไรรัฐบาลไม่เคยรู้ จึงถูกชักจูงให้หลงเกมแทบจะตลอดต้องตามแก้เกมกันพัลวัน
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย นายทหารที่ใกล้ชิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเคยยอมรับเองว่าสภาพของกองทัพตอนนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะว่านายทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือที่เรียกติดปากว่า "บูรพาพยัคฆ์" ขึ้นเป็นใหญ่ทั้งแผงไล่ตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.ท.คณิต สาพิทักษ์
เป็นไปได้ที่จะถูกต่อต้านจาก "ภายใน"
อาการ "อั้น" ของทหารกลุ่มอื่นที่ไต่ระดับขึ้นไม่ได้และคาดว่าจะไม่ได้อีกนาน เพราะ "บูรพาพยัคฆ์" จัดโผล่วงหน้าหลายปี ทำให้เกิดสภาพ "แตงโม" ขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนในยุทธการลาดหลุมแก้ว เมื่อวันที่ 9 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงไปล้อมสถานีดาวเทียมไทยคม ทั้งที่ขณะนั้นอยู่ในภาวะการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่กลุ่มเสื้อแดงก็สามารถบุกเข้าไปภายในบริเวณอาคารได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ทหาร ซึ่งมีอำนาจมหาศาลตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "แตกพ่าย" ไม่เป็นท่า ไม่สามารถปกป้องสถานที่อันเป็นหัวใจของระบบการสื่อสารของชาติเอาไว้ได้
ณัฐวุฒิ รู้ขนาดว่ามีกำลังพิเศษจู่โจมตามมาจัดการเสื้อแดง จึงดักรออย่างรู้เท่าทัน และค้นจนยึดอาวุธปืนเอาไปเก็บไว้ได้ สุดท้ายกลุ่มเสื้อแดงบังคับให้ต่อสัญญาณพีเพิลแชนแนลได้สำเร็จ เท่ากับว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นแค่เศษกระดาษที่ไร้ความหมาย ขณะที่เสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งมีจำนวนแค่หยิบมือไม่ถูกแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ
เหตุการณ์วันนั้น ทำให้สามเกลอยิ่งมั่นใจในพลัง "แตงโม" ว่ามีมากพอที่จะทำให้อำนาจรัฐง่อยเปลี้ยเสียขา สามารถชุมนุมยืดเยื้อโดยไม่ถูกสลาย และถ้าเสี้ยมหนักเข้าก็จะมีของแถมอย่าง "ชายชุดดำ"
การที่ความแตกแยกในกองทัพเป็น "ตัวแปร" ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดในการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 นักศึกษาประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก จอมพลถนอม กิตติขจร ปรากฏว่าเกิดการปะทะกับทหารตำรวจในขณะที่กำลังสลายตัว ว่ากันว่าชนวนเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างอำนาจ 2 ขั้ว คือขั้ว จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และขั้ว พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผบ.ทบ. ในขณะนั้นที่ถูกจอมพลถนอม "สตัฟฟ์" ให้นั่งอยู่ในเก้าอี้รองผบ.ทบ.มายาวนานถึง 8 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2509-2516 จึง "วางยา" ปฏิบัติการแขวนป้าย "ทรราช" ให้แก่
จอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศในที่สุด
ขณะที่หลังเหตุการณ์ พล.อ.กฤษณ์ ขึ้นเป็นผบ.สส. และก้าวขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ปี 2519
หรือเหตุการณ์พฤกษาทมิฬ ปี 2535 ก็เป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชน ควบคู่ไปกับความร้าวฉานในกองทัพระหว่างจปร.รุ่น 7 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ซ่องสุมกำลัง "วัดรอยเท้า" จปร.รุ่น 5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ชนิดหายใจรดต้นคอ
ว่ากันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นชนวนความรุนแรงที่บานปลายเป็นการเข่นฆ่าประชาชน มาจากน้ำมือของนายทหาร จปร.7 นั่นเอง สุดท้ายพล.อ.สุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี "มือเปื้อนเลือด" ไปได้อีกหนึ่งราย
เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์เหตุการณ์นองเลือดครั้งสำคัญในการเมืองไทย ล้วนเกี่ยวพันกับปัญหา "ความแตกแยก" ขัดแย้งกันเองภายในกองทัพอย่างแยกไม่ออก "ชายชุดดำ" ที่สาดกระสุน ปาระเบิดในค่ำวันที่ 10 เม.ย. ก็เช่นกัน แต่ปัญหาคือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งยืนยันว่ายึดในแนวทางสันติวิธีกลับไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือพยายามขจัดขบวนการ "คนเสื้อดำ" ให้ออกไปให้พ้นเส้นทางของคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกลับแสดงท่าทีตอบรับอย่างอบอุ่น นายจตุพร ยอมรับบนเวทีผ่านฟ้าฯ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่าถือว่าเป็น "โชคดี" ของกลุ่มเสื้อแดงที่มี "กลุ่มชุดดำ" มาช่วยไม่เช่นนั้นเสื้อแดงจะยิ่งตายมากกว่านี้
สถานการณ์หลังจากนี้จะดุเดือดมากขึ้นเพราะคู่ขัดแย้งเป็นทหารในกองทัพซึ่งมีอาวุธหนักกันทั้งสองฝ่าย
ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเองก็อาศัยความแตกแยกนี้เองเสี้ยมรอยร้าวให้หนักขึ้น ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายรบกันให้เลือดนองอีกหนึ่งรอบเพื่อเป้าหมายเดียวคือ "ล้มรัฐบาล" โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเซ่นสังเวยสงครามอำนาจของคนไม่กี่กลุ่มอีกกี่ชีวิต
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
โดย.เสถียร วิริยะพรรณพงศา
**********************************************
แต่หากย้อนกลับไปสแกนสถานการณ์ก่อนหน้านี้ตั้งแต่กลุ่มเสื้อแดงเริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. บวกกับดูสมการอำนาจในกองทัพไทยที่ประสบกับภาวะเสียดุลครั้งใหญ่ก็จะเห็นว่าการนองเลือดเที่ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ภาพของชายชุดดำถืออาวุธครบมือ เล็งเป้ายิงฝ่ายทหารตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการ สถานการณ์ปาระเบิด ยิงคนเสื้อแดง อาจเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาผู้คนในสังคมไทย แต่ถ้าจับอาการกองทัพที่มีความแตกแยก ถึงขั้นมี "ไส้ศึก" คอยให้ข้อมูลแก่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือที่เรียกว่า "ทหารแตงโม"
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และวีระ มุสิกพงศ์ 3 แกนนำ นปช. รู้ทุกครั้งว่าในที่ประชุม ศอ.รส. มีการพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง มีการแจกเอกสารกี่แผ่นไม่ว่าจะลับแค่ไหนก็หลุดรอดมาถึงมือ 3 เกลอ นปช. ได้ทุกที ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอะไรรัฐบาลไม่เคยรู้ จึงถูกชักจูงให้หลงเกมแทบจะตลอดต้องตามแก้เกมกันพัลวัน
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย นายทหารที่ใกล้ชิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเคยยอมรับเองว่าสภาพของกองทัพตอนนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะว่านายทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือที่เรียกติดปากว่า "บูรพาพยัคฆ์" ขึ้นเป็นใหญ่ทั้งแผงไล่ตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.ท.คณิต สาพิทักษ์
เป็นไปได้ที่จะถูกต่อต้านจาก "ภายใน"
อาการ "อั้น" ของทหารกลุ่มอื่นที่ไต่ระดับขึ้นไม่ได้และคาดว่าจะไม่ได้อีกนาน เพราะ "บูรพาพยัคฆ์" จัดโผล่วงหน้าหลายปี ทำให้เกิดสภาพ "แตงโม" ขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนในยุทธการลาดหลุมแก้ว เมื่อวันที่ 9 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงไปล้อมสถานีดาวเทียมไทยคม ทั้งที่ขณะนั้นอยู่ในภาวะการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่กลุ่มเสื้อแดงก็สามารถบุกเข้าไปภายในบริเวณอาคารได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ทหาร ซึ่งมีอำนาจมหาศาลตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "แตกพ่าย" ไม่เป็นท่า ไม่สามารถปกป้องสถานที่อันเป็นหัวใจของระบบการสื่อสารของชาติเอาไว้ได้
ณัฐวุฒิ รู้ขนาดว่ามีกำลังพิเศษจู่โจมตามมาจัดการเสื้อแดง จึงดักรออย่างรู้เท่าทัน และค้นจนยึดอาวุธปืนเอาไปเก็บไว้ได้ สุดท้ายกลุ่มเสื้อแดงบังคับให้ต่อสัญญาณพีเพิลแชนแนลได้สำเร็จ เท่ากับว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นแค่เศษกระดาษที่ไร้ความหมาย ขณะที่เสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งมีจำนวนแค่หยิบมือไม่ถูกแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ
เหตุการณ์วันนั้น ทำให้สามเกลอยิ่งมั่นใจในพลัง "แตงโม" ว่ามีมากพอที่จะทำให้อำนาจรัฐง่อยเปลี้ยเสียขา สามารถชุมนุมยืดเยื้อโดยไม่ถูกสลาย และถ้าเสี้ยมหนักเข้าก็จะมีของแถมอย่าง "ชายชุดดำ"
การที่ความแตกแยกในกองทัพเป็น "ตัวแปร" ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดในการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 นักศึกษาประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก จอมพลถนอม กิตติขจร ปรากฏว่าเกิดการปะทะกับทหารตำรวจในขณะที่กำลังสลายตัว ว่ากันว่าชนวนเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างอำนาจ 2 ขั้ว คือขั้ว จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และขั้ว พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผบ.ทบ. ในขณะนั้นที่ถูกจอมพลถนอม "สตัฟฟ์" ให้นั่งอยู่ในเก้าอี้รองผบ.ทบ.มายาวนานถึง 8 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2509-2516 จึง "วางยา" ปฏิบัติการแขวนป้าย "ทรราช" ให้แก่
จอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศในที่สุด
ขณะที่หลังเหตุการณ์ พล.อ.กฤษณ์ ขึ้นเป็นผบ.สส. และก้าวขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ปี 2519
หรือเหตุการณ์พฤกษาทมิฬ ปี 2535 ก็เป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชน ควบคู่ไปกับความร้าวฉานในกองทัพระหว่างจปร.รุ่น 7 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ซ่องสุมกำลัง "วัดรอยเท้า" จปร.รุ่น 5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ชนิดหายใจรดต้นคอ
ว่ากันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นชนวนความรุนแรงที่บานปลายเป็นการเข่นฆ่าประชาชน มาจากน้ำมือของนายทหาร จปร.7 นั่นเอง สุดท้ายพล.อ.สุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี "มือเปื้อนเลือด" ไปได้อีกหนึ่งราย
เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์เหตุการณ์นองเลือดครั้งสำคัญในการเมืองไทย ล้วนเกี่ยวพันกับปัญหา "ความแตกแยก" ขัดแย้งกันเองภายในกองทัพอย่างแยกไม่ออก "ชายชุดดำ" ที่สาดกระสุน ปาระเบิดในค่ำวันที่ 10 เม.ย. ก็เช่นกัน แต่ปัญหาคือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งยืนยันว่ายึดในแนวทางสันติวิธีกลับไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือพยายามขจัดขบวนการ "คนเสื้อดำ" ให้ออกไปให้พ้นเส้นทางของคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกลับแสดงท่าทีตอบรับอย่างอบอุ่น นายจตุพร ยอมรับบนเวทีผ่านฟ้าฯ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่าถือว่าเป็น "โชคดี" ของกลุ่มเสื้อแดงที่มี "กลุ่มชุดดำ" มาช่วยไม่เช่นนั้นเสื้อแดงจะยิ่งตายมากกว่านี้
สถานการณ์หลังจากนี้จะดุเดือดมากขึ้นเพราะคู่ขัดแย้งเป็นทหารในกองทัพซึ่งมีอาวุธหนักกันทั้งสองฝ่าย
ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเองก็อาศัยความแตกแยกนี้เองเสี้ยมรอยร้าวให้หนักขึ้น ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายรบกันให้เลือดนองอีกหนึ่งรอบเพื่อเป้าหมายเดียวคือ "ล้มรัฐบาล" โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเซ่นสังเวยสงครามอำนาจของคนไม่กี่กลุ่มอีกกี่ชีวิต
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
โดย.เสถียร วิริยะพรรณพงศา
**********************************************
วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
ทรราชย์ ตั้ง ผบ.ทบ.คุม ศอฉ.เดินหน้าลุยแดง-ก่อการร้าย
เมื่อเวลา 21.15 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า สถานการณ์ในปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาในลักษณะที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้ดำเนินการในการก่อการร้าย โดยอาศัยผู้ชุมนุมที่บริสุทธิเป็นเครื่องมือ ขณะที่การทำงานของรัฐบาลนั้นได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือในส่วนของความเดือดร้อนของประชาชนที่เกี่ยวข้องการความไม่ยุติธรรม หรือการเรียกร้องเรื่องต่างๆ นั้น ฝ่ายการเมืองจะดำเนินการด้วยการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาต่อไป แต่ปัญหาที่สำคัญคือปัญหาในส่วนที่สอง คือปัญหาการก่อการร้าย เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อแก้ปัญหาของชาติและปกป้องสถาบันหลักของชาติ ซึ่ง ศอฉ.พยายามเดินหน้าแก้ปัญหาอยู่
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการบังคับใช้กฎหมายนั้น เมื่อเช้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมแกนนำบางส่วน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อีก ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลและ ศอฉ.จะดำเนินการขณะนี้คือ การดำเนินการเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการขยายผลไปยังกลุ่มคนที่มีส่วนในการสนับสนุนการชุมนุมที่เชื่อมโยงกับการก่อการร้าย ซึ่งได้มีการเรียกคนที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ มารายงานตัว และได้มีการมอบหมายให้ ดีเอสไอ รับเรื่องการก่อการร้ายทั้งหมดเข้าไปเป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำให้การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า การดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งมักไม่ประสบความไม่สำเร็จที่ผ่านมานั้น ทำให้ต้องมาทบทวนเรื่องของโครงสร้างต่างๆ ในการแก้ปัญหา จึงได้ตัดสินใจปรับโครงสร้าง ศอฉ.เพื่อให้สามารถระดมกำลังในลักษณะที่เป็นเอกภาพและบูรณาการมากยิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการกับการก่อการร้ายเป็นการเฉพาะ จึงได้เปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้รับผิดชอบ จากเดิมที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นผู้บริหารเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งหมด แต่เพื่อให้กระบวนการของการบังคับบัญชาสามารถทำได้เข้มข้น และกระชับมากขึ้น สอดรับกับการปรับโครงสร้างของ ศอฉ.จึงได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้รับผิดชอบ เป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และเพิ่มอำนาจที่นอกเหนือจากการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ จะเข้ามาดูแลเรื่องปัญหาการก่อการร้าย โดยตรง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการบังคับใช้กฎหมายนั้น เมื่อเช้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมแกนนำบางส่วน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อีก ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลและ ศอฉ.จะดำเนินการขณะนี้คือ การดำเนินการเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการขยายผลไปยังกลุ่มคนที่มีส่วนในการสนับสนุนการชุมนุมที่เชื่อมโยงกับการก่อการร้าย ซึ่งได้มีการเรียกคนที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ มารายงานตัว และได้มีการมอบหมายให้ ดีเอสไอ รับเรื่องการก่อการร้ายทั้งหมดเข้าไปเป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำให้การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า การดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งมักไม่ประสบความไม่สำเร็จที่ผ่านมานั้น ทำให้ต้องมาทบทวนเรื่องของโครงสร้างต่างๆ ในการแก้ปัญหา จึงได้ตัดสินใจปรับโครงสร้าง ศอฉ.เพื่อให้สามารถระดมกำลังในลักษณะที่เป็นเอกภาพและบูรณาการมากยิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการกับการก่อการร้ายเป็นการเฉพาะ จึงได้เปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้รับผิดชอบ จากเดิมที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นผู้บริหารเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งหมด แต่เพื่อให้กระบวนการของการบังคับบัญชาสามารถทำได้เข้มข้น และกระชับมากขึ้น สอดรับกับการปรับโครงสร้างของ ศอฉ.จึงได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงหัวหน้าผู้รับผิดชอบ เป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และเพิ่มอำนาจที่นอกเหนือจากการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ จะเข้ามาดูแลเรื่องปัญหาการก่อการร้าย โดยตรง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
สื่อนอกชี้รัฐล้มเหลวซ้ำซาก จับแกนนำแดง
สื่อนอกวิเคราะห์รัฐบาลล้มเหลวซ้ำซาก จับกุมแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ชี้สถานการณ์ในขณะนี้ตึงเครียดมาก มีแนวโน้มเกิดความรุนแรง แถมแดงยังมีสื่อในมือ
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง ต่างก็ออกมาพูดถึงความล้มเหลวของฝ่ายรัฐบาลในความพยายามจับกุมกลุ่มแกนนำเสื้อแดงในวันนี้ โดยอัลจาซีร่า บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดมาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะปะทุกลายเป็นความรุนแรง เมื่อมีข่าวลือสะพัดในกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการบุกโรงแรม เป็นการเริ่มต้นสลายการชุมนุมของฝ่ายรัฐบาล ขณะที่นักวิเคราะห์การเมืองบอกว่า ตอนนี้เทศกาลสงกรานต์ปิดฉากลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น
ดีพีเอของเยอรมันบอกว่า การจู่โจมดังกล่าว กลับยิ่งสร้างความโกลาหลให้กับรัฐบาลมากขึ้น การจู่โจมที่เพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ เป็นการกระหน่ำนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อีกครั้ง หลังจากกลุ่มเสื้อแดงที่พร้อมทำศึกมากขึ้น กดดันหนักขึ้นให้ประกาศยุบสภา และเลือกตั้งใหม่
ดีพีเอ บอกด้วยว่า กลุ่มเสื้อแดงมีสถานีโทรทัศน์ และวิทยุเป็นของตนเอง รวมทั้งมีผู้สนับสนุนหลายหมื่นทั่วกรุง ที่สามารถระดมกำลังมาได้อย่างรวดเร็วในทุกจุดที่มีการเผชิญหน้าในกรุงเทพ
ส่วนเอเอฟพี บอกว่าการจู่โจมครั้งนี้ จบลงด้วยความล้มเหลวที่น่าดูชม เมื่อเป้าหมายหลบหนีไปได้ทั้งๆที่มีตำรวจปราบจลาจลหลายสิบนายอยู่ใกล้ๆ และทำให้แกนนำการประท้วงประกาศที่จะไล่ล่านายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีแทน ความพยายามที่ผิดพลาดครั้งนี้ เกิดขึ้นไม่กี่วัน หลังกองทัพล้มเหลวในการเคลียร์พื้นที่ในเมืองหลวงจากกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาล จนกลายเป็นเหตุนองเลือดครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 18 ปี
ด้านเอพีบอกว่า วิกฤติการณ์การเมืองของไทยในวันนี้มีการพลิกผันแบบเหนือจริง เมื่อแกนนำการประท้วงหลบหนีการจับกุมไปได้ด้วยเชือก แถมยังจับตำรวจไปด้วย 2 นาย การหลบหนีไปได้ครั้งนี้ ถือเป็นความขายหน้าครั้งล่าสุดของรัฐบาลที่ในช่วงไม่ถึง 30 นาทีก่อนที่จะเกิดเรื่อง ได้ประกาศว่าทางการกำลังล้อมโรงแรมที่แกนนำพักอยู่ ความพยายามในวันนี้ ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลพร้อมที่จะเสี่ยงอีกครั้งในการเผชิญหน้ากับกลุ่มเสื้อแดง แต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำได้แต่เพียงสร้างความโกรธให้กับกลุ่มผู้ประท้วง จนนำไปสู่การประกาศสงครามกับรัฐบาล
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
*************************************************
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง ต่างก็ออกมาพูดถึงความล้มเหลวของฝ่ายรัฐบาลในความพยายามจับกุมกลุ่มแกนนำเสื้อแดงในวันนี้ โดยอัลจาซีร่า บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดมาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะปะทุกลายเป็นความรุนแรง เมื่อมีข่าวลือสะพัดในกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการบุกโรงแรม เป็นการเริ่มต้นสลายการชุมนุมของฝ่ายรัฐบาล ขณะที่นักวิเคราะห์การเมืองบอกว่า ตอนนี้เทศกาลสงกรานต์ปิดฉากลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น
ดีพีเอของเยอรมันบอกว่า การจู่โจมดังกล่าว กลับยิ่งสร้างความโกลาหลให้กับรัฐบาลมากขึ้น การจู่โจมที่เพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ เป็นการกระหน่ำนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อีกครั้ง หลังจากกลุ่มเสื้อแดงที่พร้อมทำศึกมากขึ้น กดดันหนักขึ้นให้ประกาศยุบสภา และเลือกตั้งใหม่
ดีพีเอ บอกด้วยว่า กลุ่มเสื้อแดงมีสถานีโทรทัศน์ และวิทยุเป็นของตนเอง รวมทั้งมีผู้สนับสนุนหลายหมื่นทั่วกรุง ที่สามารถระดมกำลังมาได้อย่างรวดเร็วในทุกจุดที่มีการเผชิญหน้าในกรุงเทพ
ส่วนเอเอฟพี บอกว่าการจู่โจมครั้งนี้ จบลงด้วยความล้มเหลวที่น่าดูชม เมื่อเป้าหมายหลบหนีไปได้ทั้งๆที่มีตำรวจปราบจลาจลหลายสิบนายอยู่ใกล้ๆ และทำให้แกนนำการประท้วงประกาศที่จะไล่ล่านายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีแทน ความพยายามที่ผิดพลาดครั้งนี้ เกิดขึ้นไม่กี่วัน หลังกองทัพล้มเหลวในการเคลียร์พื้นที่ในเมืองหลวงจากกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาล จนกลายเป็นเหตุนองเลือดครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 18 ปี
ด้านเอพีบอกว่า วิกฤติการณ์การเมืองของไทยในวันนี้มีการพลิกผันแบบเหนือจริง เมื่อแกนนำการประท้วงหลบหนีการจับกุมไปได้ด้วยเชือก แถมยังจับตำรวจไปด้วย 2 นาย การหลบหนีไปได้ครั้งนี้ ถือเป็นความขายหน้าครั้งล่าสุดของรัฐบาลที่ในช่วงไม่ถึง 30 นาทีก่อนที่จะเกิดเรื่อง ได้ประกาศว่าทางการกำลังล้อมโรงแรมที่แกนนำพักอยู่ ความพยายามในวันนี้ ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลพร้อมที่จะเสี่ยงอีกครั้งในการเผชิญหน้ากับกลุ่มเสื้อแดง แต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำได้แต่เพียงสร้างความโกรธให้กับกลุ่มผู้ประท้วง จนนำไปสู่การประกาศสงครามกับรัฐบาล
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
*************************************************
ผบ.ทบ.สั่งด่วนถึง5เสือ ทบ.-ผู้บังคับหน่วยกองทัพบกประชุม19เม.ย. ทำความเข้าใจการทำหน้าที่ของกำลังพล
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีคำสั่งด่วนถึงผู้บังคับหน่วยกองทัพบกระดับพลตรีขึ้นไป ให้เข้าร่วมประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (ผบ.นขต.ทบ.) วาระพิเศษ ในวันที่ 19 เม.ย.นี้ เวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก
การประชุมครั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ พร้อมด้วย 5 เสือ ทบ.ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พร้อมด้วย แม่ทัภาคที่ 1-แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ และผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ จะใช้โอกาสครั้งนี้ทำความเข้าใจกับ ผบ.หน่วยระดับนายพลขึ้นไปถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในการทำหน้าที่ของกำลังพลที่ออกไปทำภารกิจตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งเหตุปะทะในการปฏิบัติภารกิจขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนนำไปสู่เหตุรุนแรงและเกิดการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย และจะชี้แจงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นถึงกรณีที่มีการนำกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องความขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีความพยายามสร้างข่าวเพื่อให้กองทัพเกิดการแตกแยกกันเอง รวมทั้งกระแสข่าวที่ทหารจะทำการปฏิวัติ
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************
การประชุมครั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ พร้อมด้วย 5 เสือ ทบ.ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พร้อมด้วย แม่ทัภาคที่ 1-แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ และผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ จะใช้โอกาสครั้งนี้ทำความเข้าใจกับ ผบ.หน่วยระดับนายพลขึ้นไปถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในการทำหน้าที่ของกำลังพลที่ออกไปทำภารกิจตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งเหตุปะทะในการปฏิบัติภารกิจขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนนำไปสู่เหตุรุนแรงและเกิดการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย และจะชี้แจงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นถึงกรณีที่มีการนำกองทัพบกเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องความขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีความพยายามสร้างข่าวเพื่อให้กองทัพเกิดการแตกแยกกันเอง รวมทั้งกระแสข่าวที่ทหารจะทำการปฏิวัติ
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************
เรืองไกร"โผล่เสื้อแดง บอกเป็นตัวประสาน
เมื่อเวลา 15.15 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้เดินทางมาหารือแกนนำนปช.ที่เป็นส.ส. อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. กรณีที่เพื่อนส.ว.เป็นห่วงสถานการณ์หลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่าน และกำลังดำเนินไปสู่จุดรุนแรงมากขึ้น จึงอยากใช้ช่องทางของสภาโดยอยากเสนอให้รัฐบาลใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 ที่ระบุ ว่า ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและสามาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายไม่ได้ ซึ่งในวันนี้ก็มีเพื่อนส.ว.อีกกลุ่มหนึ่งเดินสายไปประสานกับฝ่ายรัฐบาลเพื่อให้ใช้ช่องทางนี้ โดยส.ว.เห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้เห็นช่องทางนี้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้เป็นเวทีของรัฐบาล ได้ตอบข้อสงสัยกับส.ว.และส.ส. รวมถึงประชาชนจะได้รับทราบเรื่องที่ควรจะรู้แต่ยังไม่มีการพูดถึงในเรื่องของการตรวจสอบเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. รวมทั้งการออก พ.ร.ก.จะต้องมาชี้แจงกับทางสภาให้รับทราบ เพราะในฐานะที่สภามีหน้าที่ควบคุม และ บริหารราชการแผ่นดิน อีกทั้งข้อมูลที่เผยแพร่ตามสื่ออยู่ขณะนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกันทำให้เกิดความสับสน และส่วนใหญ่ก็เป็นการนำเสนอของฝ่ายรัฐบาล
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า หลังจากที่ตนได้พบแกนนำแล้วที่เป็นส.ส.แล้วก็เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ซึ่งการประสานงานในครั้งนี้กับทั้ง 2 ฝ่ายแล้วทางกลุ่มเพื่อนส.ว.จะมีการนัดกันในเวลา 18.00 น.เพื่อหารือเพราะหากแนวทางของส.ว.ไม่เป็นผลก็จะแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่รัฐบาลเกรงว่าหากมีการเปิดประชุมสภาแล้วไม่ปลอดภัยก็สามารถที่จะสถานที่ใหม่ก็ได้ แต่รัฐบาลไม่ควรที่จะนำกำลังทหารมาปิดกันกีดขวางทางเข้าสภาเหมือนครั้งที่ผ่านไม่ได้ ขอเพียงเพื่อให้มีการมาดูแลความปลอดภัยเท่านั้น
“ ผมเป็นห่วงว่าจะไม่ทันการณ์ เพราะได้รับสัญญาณมาว่าจะเกิดความรุนแรงภายใน 2 วันนี้ ซึ่งจะหนักกว่าเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผมได้รับทราบมา จึงอยากให้ใช้ช่องทางสภาเพื่อเบรกก่อนที่จะมีการปะทะ และอย่างเร็วที่สุดควรที่จะเปิดสภาในวันที่ 19 เม.ย.นี้ได้เลย เพราะหากจะมารอการเปิดประชุมสภาส.ส.ในวันที่ 21 ม.ย.นั้นจะช้าไปอย่างไรก็ตามรัฐบาลเองอย่าลืมว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากระบบรัฐประหาร เพราะฉะนั้นจะทำอะไรขอให้คิดให้ดีก่อน” นายเรืองไกรกล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า หลังจากที่ตนได้พบแกนนำแล้วที่เป็นส.ส.แล้วก็เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ซึ่งการประสานงานในครั้งนี้กับทั้ง 2 ฝ่ายแล้วทางกลุ่มเพื่อนส.ว.จะมีการนัดกันในเวลา 18.00 น.เพื่อหารือเพราะหากแนวทางของส.ว.ไม่เป็นผลก็จะแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่รัฐบาลเกรงว่าหากมีการเปิดประชุมสภาแล้วไม่ปลอดภัยก็สามารถที่จะสถานที่ใหม่ก็ได้ แต่รัฐบาลไม่ควรที่จะนำกำลังทหารมาปิดกันกีดขวางทางเข้าสภาเหมือนครั้งที่ผ่านไม่ได้ ขอเพียงเพื่อให้มีการมาดูแลความปลอดภัยเท่านั้น
“ ผมเป็นห่วงว่าจะไม่ทันการณ์ เพราะได้รับสัญญาณมาว่าจะเกิดความรุนแรงภายใน 2 วันนี้ ซึ่งจะหนักกว่าเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผมได้รับทราบมา จึงอยากให้ใช้ช่องทางสภาเพื่อเบรกก่อนที่จะมีการปะทะ และอย่างเร็วที่สุดควรที่จะเปิดสภาในวันที่ 19 เม.ย.นี้ได้เลย เพราะหากจะมารอการเปิดประชุมสภาส.ส.ในวันที่ 21 ม.ย.นั้นจะช้าไปอย่างไรก็ตามรัฐบาลเองอย่าลืมว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากระบบรัฐประหาร เพราะฉะนั้นจะทำอะไรขอให้คิดให้ดีก่อน” นายเรืองไกรกล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
เจาะเกมลึก"เทพเทือก" บุก เอส ซี ปาร์ค โรงแรมของ"หญิงอ้อ" เชื่อม ชินวัตร หนุน"แกนนำเสื้อแดง"
กลายเป็นเรื่องโจ๊ก ตลกขบขันไปทั้งเมือง เมื่อตำรวจ ระดม บุกจับ"อริสมันต์" และพวก ในโรงแรม เอส ซี ปาร์ค แต่ผลก็คือ ตำรวจถูกจับแทน แล้ว"อริสมันต์"ก็กลายเป็น ไอ้มดแดง โรยตัวลงจากตึก แต่ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือ ทำไมต้อง เอส ซี ปาร์ค แล้ว เอส ซี ปาร์ค เกี่ยวโยงถึง ตระกูลชินวัตร อย่างไร ประชาชาติธุรกิจ จะถอดรหัสมาให้อ่าน
10.00 น. วันที่ 16 เม.ย. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบก.อคฝ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน และสืบสวนนครบาล 4 ประมาณ 100 นาย บุกเข้าตรวจค้นในโรงแรม เอสซี ปาร์ค ถ.เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพ
หลังรับแจ้งว่า แกนนำนปช.จำนวน 6 คน เข้าไปพักที่โรงแรมดังกล่าว
เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง พบว่าแกนนำนปช.ที่พักอยู่ที่ชั้น 3 ของโรงแรม
แกนนำ ดังกล่าว ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุพร อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกษ นายวันชนะ เกิดดี นายเจ๋ง ดอกจิก และไม่ทราบชื่ออีก 1 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบตามชั้นต่างๆ คาดว่าทั้ง 6 คน พักอยู่ที่ห้องพักชั้น 3 ของโรงแรม โดยขอให้แขกที่เข้าพักคนอื่นอยู่ในห้องพักอย่างสงบ
ต่อมา กลุ่มเสื้อแดงที่อยู่รอบๆโรงแรมฮือล้อมบริเวณรอบและบุกเข้าในโรงแรมเช่นกัน
แล้ว นายอริสมันต์ ได้โรยตัวหนีจากระเบียงชั้นสามของโรงแรมโดยมีกลุ่มเสื้อแดงรอรับอยู่เบื้องล่าง
นอกจากนี้ เสื้อแดง ยังจับกุม"ตำรวจ"เป็นตัวประกันอีกด้วย
ปฎิบัติการที่ล้มเหลว กลายเป็นเรื่อง ชวนหัวไปทั้งเมือง มีการวิเคราะห์กันว่า ข่าวรวบแกนนำแดง... รั่ว
ปฎิบัติการชวนหัว ทำให้ "อริสมันต์" กลายเป็น ไอ้มดแดง โรยตัว หนีจับกุมของตำรวจ
ทว่า ประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การพยายาม รวบแกนนำ เสื้อแดง ในโรงแรม เอส ซี ปาร์ค
ใคร ๆ ก็รู้ว่า เอส ซี ปาร์ค ถูกใช้เป็นสถานที่ จัดอีเวนต์ ทั้งการเมือง และธุรกิจ ของตระกูลชินวัตร มาโดยตลอด
สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ โรงแรมแห่งนี้ ใช้เป็นที่จัดประชุมพรรค ไทยรักไทย และอาหารจากโรงแรมนี้ ถูกส่งไปให้บริการถึงทำเนียบรัฐบาล
หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ พรรคพลังประชาชน ก็ยังมาประชุมที่โรงแรมแห่งนี้ จนถึง ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย ก็มายึดที่นี่เป็นที่ประชุมแกนนำ
เช่นเดียวกับ อีเวนต์ของ กลุ่มธุรกิจ ชินวัตร ต่างก็มาใช้บริการที่โรงแรมแห่งนี้มาโดยตลอด
ถามว่า เอส ซี ปาร์ค เชื่อมโยงถึง ตระกูล ชินวัตร อย่างไร ?
จากการตรวจสอบของ"ประชาชาติธุรกิจ" พบว่า โรมแรม เอส ซี ปาร์ค บริหารในรูปบริษัทที่ชื่อว่า บริษัท โซลิค แอสเซท จำกัด
ผู้ถือหุ้น ใหญ่ 149,994 หุ้น หรือ 99.996 % ของ บริษัท โซลิค แอสแซท ก็คือ บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด นั่นเอง
เจาะต่อไป พบว่า บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ ฯ ก่อตั้งวันที่ 27 เมษายน 2533 โรงแรมและภัตตาคาร ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552
ผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คือ คุณหญิงพจมาน ถือหุ้น 87.1% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 12.8%
เหตุนี้เอง" เทพเทือก" จึงสั่งให้ ตำรวจไปลุย เอสซี ปาร์ค เสมือนต้องการ จะบอกว่า ที่นี่คือ แหล่งกบดานของผู้ก่อการร้าย ในความหมายของ ผอ. ศอฉ. ???
ผลพวง อีกประการคือ เทพเทือก ต้องการ ตอกย้ำและบอกกับสังคมไทย ว่า ตระกูลชินวัตร ให้การสนับสนุน กลุ่มคนเสื้อแดง
ถามว่า แกนนำเสื้อแดง พักที่ไหน ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า พวกเขาใช้บริการ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ที่" พนิดา เทพกาญจน( วัธนเวคิน) ภริยาของ พงษ์เทพ เทพกาญจน คนบ้านเลขที่ 111 ถือหุ้นใหญ่
จนผู้บริหาร ไฮแอท เอราวัณ ต้องออกมา ยืนยันว่า ไม่เคยให้การสนับสนุน และ/หรือให้ที่พักพิงไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือรายวัน แก่แกนนำ นปช. หรือกลุ่มผู้ชุมนุมที่ย่านราชประสงค์
จริงๆ แล้ว ธุรกิจของตระกูลชินวัตร ในปัจจุบัน ไม่ได้กระทบเทือนเท่าใดนัก หลังศาลฎีกาฯมีพิพากษายึดทรัพย์
จากการตรวจสอบครั้งล่าสุด ของ "ประชาชาติธุรกิจ" พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ยังมีธุรกิจมูลค่ากว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในประเทศไทย ดังนี้
1.บริษัท โอ เอ ไอ ลิสซิ่ง จำกัด ก่อตั้งวันที่ 17 ตุลาคม 2534 ธุรกิจเช่าซื้อ ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 29 เมษายน 2552 บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด 54.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร 22.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 22.4%
2.บริษัท เอส ซี เค เอสเตท จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มกราคม 2535 ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 96.3% นางสาวแพทองธาร 2.9% คุณหญิงพจมาน 0.7%
3.บริษัท เอส ซี ออฟฟิศ พลาซ่า จำกัด ก่อตั้งวันที่ 29 สิงหาคม 2533 ให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 95.4% นางสาวแพทองธาร 4.5%
4.บริษัท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มิถุนายน 2531 ให้บริการด้านสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 340 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมานถือหุ้น 49.4% นางสาวพินทองทา 24.3% นางสาวแพทองธาร 14.3% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 11.7% พ.ต.ท.ทักษิณ 0.07%
5.บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 สิงหาคม 2524 ประกอบธุรกิจให้เช่า-บริการอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 3,700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา ชินวัตร ถือหุ้น 92.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 5.6% คุณหญิงพจมาน 1.8%
6.บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 3,340 ล้านบาท ณ วันที่ 19 เมษายน 2550 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 49.8% นางสาวแพทองธาร 49.8% พ.ต.ท.ทักษิณ 0.14% คุณหญิงพจมาน 0.14%
7.บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 2 มกราคม 2530 ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและดำเนินการทางธุรกิจ ทุนจดทะเบียน 4,600 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 51.2% นายพานทองแท้ ชินวัตร 43.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 3% คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.1%
8.บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 เมษายน 2533 โรงแรมและภัตตาคาร ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมานถือหุ้น 87.1% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 12.8%
9.บริษัท โอ เอ ไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ก่อตั้งวันที่ 5 มีนาคม 2541 มหาวิทยาลัยชินวัตร ทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท ณ วันที่ 29 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 55% คุณหญิงพจมาน 22.5% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 22.5%
10.บริษัท ทุนนวัตกรรม จำกัด ก่อตั้งวันที่ 13 กันยายน 2542 ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทต่างประเทศ ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 28.1% นางสาวแพทองธาร 28.1% บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด 25% คุณหญิงพจมาน 18.7%
11.บริษัท อัลไพน์กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 30 ตุลาคม 2532 สนามกอล์ฟอัลไพน์ ทุนจดทะเบียน 747 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมาน นางสาวพินทองทา นางสาวแพทองธาร ถือหุ้นคนละ 33.3%
12.บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 มีนาคม 2533 ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 70% นางสาวแพทองธาร 30%
13.บริษัท โอ เอ ไอ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 เมษายน 2551 ขายเสื้อผ้า ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 100%
14.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งวันที่ 29 สิงหาคม 2546 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 3,500 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวแพทองธารถือหุ้น 29.1% นางสาวพินทองทา 28.9% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.9% คุณหญิงพจมาน 2.8%
15.บริษัท วี.แลนด์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 มกราคม 2535 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 100%
16.บริษัท อัพคันทรี่ แลนด์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 1 พฤษภาคม 2533 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 100%
รวมทุนจะเบียน 24,507 ล้านบาท
นอกจากนี้ คุณหญิงพจมานยังมีเงินลงทุนอื่น ประมาณ 870.5 ล้านบาท ได้แก่
บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส จำกัด 20,000 หุ้น มูลค่า 2 แสนบาท, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด 2,856,625 หุ้น มูลค่า 285.6 ล้านบาท, บริษัท โรงพยาบาลหริภุญชัย เมโมเรียล จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท, บมจ.โรงพยาบาลวิภาวดี 3,616,660 หุ้น มูลค่า 8.4 ล้านบาท, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 50 ล้านหุ้น มูลค่า 506.5 ล้านบาท, กองทุนเปิดรวงข้าวทวิภาค 5,000,000 หุ้น มูลค่า 36.8 ล้านบาท, พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี 2545 จำนวน 2,000 หน่วย มูลค่า 20 ล้านบาท, MBI INVESTORS LP จำนวน 5,440 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท (พ.ต.ท.ทักษิณ)
ขณะที่นายพานทองแท้ บุตรชาย ยังมีธุรกิจส่วนตัว 7 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 410 ล้านบาท
1.บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด แปลงร่างมาจากบริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 300 ล้านบาท บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ) ถือหุ้น 56%, นายพานทองแท้ 36.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร (เอม) น้องสาว 7% สำนักงานอยู่ที่อาคารบีบีดี ถนนวิภาวดีฯ แขวงสามเสนใน กรุงเทพฯ
2.บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มิถุนายน 2546 ร้านถ่ายรูป She@mood ที่สยามสแควร์ ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท หนุ่มโอ๊คถือหุ้น 100%
3.บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ขายโทรศัพท์มือถือเวอร์ทู ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท นายพานทองแท้ ถือหุ้นร่วมกับ นายศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ นางสาวสิรอักษร กฤษดาธานนท์ ทายาทกลุ่มอสังหาฯ กฤษดานคร นายไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย และนายนันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ คนละ 20%
4.บริษัท โอคานิท จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 มกราคม 2547 ร้านกาแฟ ทุนจดทะเบียน 35 ล้านบาท นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ถือหุ้น 35% นางสาวอุษณีย์ มหากิจศิริ 15% หนุ่มโอ๊ค 19.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร 15% และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร 15%
5.บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ก่อตั้งวันที่ 30 เมษายน 2547 ธุรกิจโฆษณา ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท บริษัท วอยซ์ ทีวี ถือหุ้น 100%
6.บริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ก่อตั้งวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการ ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท บริษัท เอ.วี.ซิสเท็มส์ จำกัด ของนายพลวัฒน์ ศุขจรัส ถือหุ้น 45% บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 45% นายกุลพงศ์ บุนนาค 9.9%
7.บริษัท ฮาวคัม สตูดิโอ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 รับจ้างผลิตป้ายโฆษณา ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท บริษัท วอยซ์ ทีวี ถือหุ้น 49.9% บริษัท โอคานิท จำกัด 25% นางเดือนเต็ม กฤษดาธานนท์ 7% นายกฤตพงศ์ ชวาลดิฐ 5% นายมนัสชัย พรโสภากุล 5% นายพานทองแท้ 4% นางสาวอุษณา มหากิจศิริ (บุตรสาวนายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ) 4%
ขณะที่นายบรรณพจน์ถือหุ้น 2 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียน 8,150 ล้านบาท ได้แก่
1.บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2529 บริการให้คำปรึกษา (ด้านวิศวกรรม) ทุนจดทะเบียน 5,150 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นายบรรณพจน์ถือหุ้น 100%
2.บริษัท บี.บี.ดี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 นายบรรณพจน์ถือหุ้น 100%
รวมมูลค่าทั้งหมด (ตามทุนจดทะเบียน) 33,937.5 ล้านบาท
ทั้งหมด พิสูจน์ว่า ตระกูลชินวัตร ยังร่ำรวย มหาศาล แม้ศาลจะยึดไปกว่า 46,373 ล้านบาท
ยังไม่นับ สินทรัพย์และเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ!!!
ฉะนั้นการต่อสู้ รอบนี้ เป็นศึกช้างชนช้าง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
10.00 น. วันที่ 16 เม.ย. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบก.อคฝ. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน และสืบสวนนครบาล 4 ประมาณ 100 นาย บุกเข้าตรวจค้นในโรงแรม เอสซี ปาร์ค ถ.เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพ
หลังรับแจ้งว่า แกนนำนปช.จำนวน 6 คน เข้าไปพักที่โรงแรมดังกล่าว
เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง พบว่าแกนนำนปช.ที่พักอยู่ที่ชั้น 3 ของโรงแรม
แกนนำ ดังกล่าว ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุพร อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกษ นายวันชนะ เกิดดี นายเจ๋ง ดอกจิก และไม่ทราบชื่ออีก 1 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบตามชั้นต่างๆ คาดว่าทั้ง 6 คน พักอยู่ที่ห้องพักชั้น 3 ของโรงแรม โดยขอให้แขกที่เข้าพักคนอื่นอยู่ในห้องพักอย่างสงบ
ต่อมา กลุ่มเสื้อแดงที่อยู่รอบๆโรงแรมฮือล้อมบริเวณรอบและบุกเข้าในโรงแรมเช่นกัน
แล้ว นายอริสมันต์ ได้โรยตัวหนีจากระเบียงชั้นสามของโรงแรมโดยมีกลุ่มเสื้อแดงรอรับอยู่เบื้องล่าง
นอกจากนี้ เสื้อแดง ยังจับกุม"ตำรวจ"เป็นตัวประกันอีกด้วย
ปฎิบัติการที่ล้มเหลว กลายเป็นเรื่อง ชวนหัวไปทั้งเมือง มีการวิเคราะห์กันว่า ข่าวรวบแกนนำแดง... รั่ว
ปฎิบัติการชวนหัว ทำให้ "อริสมันต์" กลายเป็น ไอ้มดแดง โรยตัว หนีจับกุมของตำรวจ
ทว่า ประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การพยายาม รวบแกนนำ เสื้อแดง ในโรงแรม เอส ซี ปาร์ค
ใคร ๆ ก็รู้ว่า เอส ซี ปาร์ค ถูกใช้เป็นสถานที่ จัดอีเวนต์ ทั้งการเมือง และธุรกิจ ของตระกูลชินวัตร มาโดยตลอด
สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ โรงแรมแห่งนี้ ใช้เป็นที่จัดประชุมพรรค ไทยรักไทย และอาหารจากโรงแรมนี้ ถูกส่งไปให้บริการถึงทำเนียบรัฐบาล
หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ พรรคพลังประชาชน ก็ยังมาประชุมที่โรงแรมแห่งนี้ จนถึง ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย ก็มายึดที่นี่เป็นที่ประชุมแกนนำ
เช่นเดียวกับ อีเวนต์ของ กลุ่มธุรกิจ ชินวัตร ต่างก็มาใช้บริการที่โรงแรมแห่งนี้มาโดยตลอด
ถามว่า เอส ซี ปาร์ค เชื่อมโยงถึง ตระกูล ชินวัตร อย่างไร ?
จากการตรวจสอบของ"ประชาชาติธุรกิจ" พบว่า โรมแรม เอส ซี ปาร์ค บริหารในรูปบริษัทที่ชื่อว่า บริษัท โซลิค แอสเซท จำกัด
ผู้ถือหุ้น ใหญ่ 149,994 หุ้น หรือ 99.996 % ของ บริษัท โซลิค แอสแซท ก็คือ บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด นั่นเอง
เจาะต่อไป พบว่า บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ ฯ ก่อตั้งวันที่ 27 เมษายน 2533 โรงแรมและภัตตาคาร ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552
ผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คือ คุณหญิงพจมาน ถือหุ้น 87.1% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 12.8%
เหตุนี้เอง" เทพเทือก" จึงสั่งให้ ตำรวจไปลุย เอสซี ปาร์ค เสมือนต้องการ จะบอกว่า ที่นี่คือ แหล่งกบดานของผู้ก่อการร้าย ในความหมายของ ผอ. ศอฉ. ???
ผลพวง อีกประการคือ เทพเทือก ต้องการ ตอกย้ำและบอกกับสังคมไทย ว่า ตระกูลชินวัตร ให้การสนับสนุน กลุ่มคนเสื้อแดง
ถามว่า แกนนำเสื้อแดง พักที่ไหน ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า พวกเขาใช้บริการ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ที่" พนิดา เทพกาญจน( วัธนเวคิน) ภริยาของ พงษ์เทพ เทพกาญจน คนบ้านเลขที่ 111 ถือหุ้นใหญ่
จนผู้บริหาร ไฮแอท เอราวัณ ต้องออกมา ยืนยันว่า ไม่เคยให้การสนับสนุน และ/หรือให้ที่พักพิงไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือรายวัน แก่แกนนำ นปช. หรือกลุ่มผู้ชุมนุมที่ย่านราชประสงค์
จริงๆ แล้ว ธุรกิจของตระกูลชินวัตร ในปัจจุบัน ไม่ได้กระทบเทือนเท่าใดนัก หลังศาลฎีกาฯมีพิพากษายึดทรัพย์
จากการตรวจสอบครั้งล่าสุด ของ "ประชาชาติธุรกิจ" พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ยังมีธุรกิจมูลค่ากว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในประเทศไทย ดังนี้
1.บริษัท โอ เอ ไอ ลิสซิ่ง จำกัด ก่อตั้งวันที่ 17 ตุลาคม 2534 ธุรกิจเช่าซื้อ ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 29 เมษายน 2552 บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด 54.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร 22.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 22.4%
2.บริษัท เอส ซี เค เอสเตท จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มกราคม 2535 ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 96.3% นางสาวแพทองธาร 2.9% คุณหญิงพจมาน 0.7%
3.บริษัท เอส ซี ออฟฟิศ พลาซ่า จำกัด ก่อตั้งวันที่ 29 สิงหาคม 2533 ให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 95.4% นางสาวแพทองธาร 4.5%
4.บริษัท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มิถุนายน 2531 ให้บริการด้านสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 340 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมานถือหุ้น 49.4% นางสาวพินทองทา 24.3% นางสาวแพทองธาร 14.3% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 11.7% พ.ต.ท.ทักษิณ 0.07%
5.บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 สิงหาคม 2524 ประกอบธุรกิจให้เช่า-บริการอสังหาริมทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 3,700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา ชินวัตร ถือหุ้น 92.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 5.6% คุณหญิงพจมาน 1.8%
6.บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการสาธารณูปโภค ทุนจดทะเบียน 3,340 ล้านบาท ณ วันที่ 19 เมษายน 2550 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 49.8% นางสาวแพทองธาร 49.8% พ.ต.ท.ทักษิณ 0.14% คุณหญิงพจมาน 0.14%
7.บริษัท เวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 2 มกราคม 2530 ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและดำเนินการทางธุรกิจ ทุนจดทะเบียน 4,600 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทา 51.2% นายพานทองแท้ ชินวัตร 43.4% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 3% คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.1%
8.บริษัท โอ เอ ไอ คอนซัลแตนท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 เมษายน 2533 โรงแรมและภัตตาคาร ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมานถือหุ้น 87.1% บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด 12.8%
9.บริษัท โอ เอ ไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ก่อตั้งวันที่ 5 มีนาคม 2541 มหาวิทยาลัยชินวัตร ทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท ณ วันที่ 29 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 55% คุณหญิงพจมาน 22.5% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 22.5%
10.บริษัท ทุนนวัตกรรม จำกัด ก่อตั้งวันที่ 13 กันยายน 2542 ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทต่างประเทศ ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 28.1% นางสาวแพทองธาร 28.1% บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด 25% คุณหญิงพจมาน 18.7%
11.บริษัท อัลไพน์กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 30 ตุลาคม 2532 สนามกอล์ฟอัลไพน์ ทุนจดทะเบียน 747 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 คุณหญิงพจมาน นางสาวพินทองทา นางสาวแพทองธาร ถือหุ้นคนละ 33.3%
12.บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 มีนาคม 2533 ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวพินทองทาถือหุ้น 70% นางสาวแพทองธาร 30%
13.บริษัท โอ เอ ไอ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 เมษายน 2551 ขายเสื้อผ้า ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 100%
14.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งวันที่ 29 สิงหาคม 2546 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 3,500 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นางสาวแพทองธารถือหุ้น 29.1% นางสาวพินทองทา 28.9% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.9% คุณหญิงพจมาน 2.8%
15.บริษัท วี.แลนด์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 21 มกราคม 2535 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 100%
16.บริษัท อัพคันทรี่ แลนด์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 1 พฤษภาคม 2533 ธุรกิจอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 100%
รวมทุนจะเบียน 24,507 ล้านบาท
นอกจากนี้ คุณหญิงพจมานยังมีเงินลงทุนอื่น ประมาณ 870.5 ล้านบาท ได้แก่
บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส จำกัด 20,000 หุ้น มูลค่า 2 แสนบาท, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด 2,856,625 หุ้น มูลค่า 285.6 ล้านบาท, บริษัท โรงพยาบาลหริภุญชัย เมโมเรียล จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท, บมจ.โรงพยาบาลวิภาวดี 3,616,660 หุ้น มูลค่า 8.4 ล้านบาท, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 50 ล้านหุ้น มูลค่า 506.5 ล้านบาท, กองทุนเปิดรวงข้าวทวิภาค 5,000,000 หุ้น มูลค่า 36.8 ล้านบาท, พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี 2545 จำนวน 2,000 หน่วย มูลค่า 20 ล้านบาท, MBI INVESTORS LP จำนวน 5,440 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท (พ.ต.ท.ทักษิณ)
ขณะที่นายพานทองแท้ บุตรชาย ยังมีธุรกิจส่วนตัว 7 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 410 ล้านบาท
1.บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด แปลงร่างมาจากบริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 300 ล้านบาท บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ) ถือหุ้น 56%, นายพานทองแท้ 36.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร (เอม) น้องสาว 7% สำนักงานอยู่ที่อาคารบีบีดี ถนนวิภาวดีฯ แขวงสามเสนใน กรุงเทพฯ
2.บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 มิถุนายน 2546 ร้านถ่ายรูป She@mood ที่สยามสแควร์ ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท หนุ่มโอ๊คถือหุ้น 100%
3.บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ขายโทรศัพท์มือถือเวอร์ทู ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท นายพานทองแท้ ถือหุ้นร่วมกับ นายศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ นางสาวสิรอักษร กฤษดาธานนท์ ทายาทกลุ่มอสังหาฯ กฤษดานคร นายไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย และนายนันทสิทธิ์ แจ่มสมบูรณ์ คนละ 20%
4.บริษัท โอคานิท จำกัด ก่อตั้งวันที่ 9 มกราคม 2547 ร้านกาแฟ ทุนจดทะเบียน 35 ล้านบาท นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ถือหุ้น 35% นางสาวอุษณีย์ มหากิจศิริ 15% หนุ่มโอ๊ค 19.9% นางสาวพินทองทา ชินวัตร 15% และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร 15%
5.บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ก่อตั้งวันที่ 30 เมษายน 2547 ธุรกิจโฆษณา ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท บริษัท วอยซ์ ทีวี ถือหุ้น 100%
6.บริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ก่อตั้งวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการ ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท บริษัท เอ.วี.ซิสเท็มส์ จำกัด ของนายพลวัฒน์ ศุขจรัส ถือหุ้น 45% บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 45% นายกุลพงศ์ บุนนาค 9.9%
7.บริษัท ฮาวคัม สตูดิโอ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 รับจ้างผลิตป้ายโฆษณา ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท บริษัท วอยซ์ ทีวี ถือหุ้น 49.9% บริษัท โอคานิท จำกัด 25% นางเดือนเต็ม กฤษดาธานนท์ 7% นายกฤตพงศ์ ชวาลดิฐ 5% นายมนัสชัย พรโสภากุล 5% นายพานทองแท้ 4% นางสาวอุษณา มหากิจศิริ (บุตรสาวนายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ) 4%
ขณะที่นายบรรณพจน์ถือหุ้น 2 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียน 8,150 ล้านบาท ได้แก่
1.บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2529 บริการให้คำปรึกษา (ด้านวิศวกรรม) ทุนจดทะเบียน 5,150 ล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 นายบรรณพจน์ถือหุ้น 100%
2.บริษัท บี.บี.ดี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ให้เช่าอสังหาฯ ทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 นายบรรณพจน์ถือหุ้น 100%
รวมมูลค่าทั้งหมด (ตามทุนจดทะเบียน) 33,937.5 ล้านบาท
ทั้งหมด พิสูจน์ว่า ตระกูลชินวัตร ยังร่ำรวย มหาศาล แม้ศาลจะยึดไปกว่า 46,373 ล้านบาท
ยังไม่นับ สินทรัพย์และเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ!!!
ฉะนั้นการต่อสู้ รอบนี้ เป็นศึกช้างชนช้าง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
สื่อนอกวิเคราะห์"อภิสิทธิ์"ไม่ใช่ เป้าหมายสุดท้ายผ่าวิกฤติการเมือง
แดเนียล เทนเคท ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ระบุว่า
ถึงแม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะก้าวลงจากตำแหน่ง ก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะยุติความไม่สงบทางการเมืองครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 18 ปีคราวนี้ลงได้ เนื่องจากผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มนี้ น่าจะมีเป้าหมายอื่นอยู่ในใจ
เทนเคท ได้อ้างคำให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 เมษายน ของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้นำคนหนึ่งในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บอกว่า คณะองคมนตรีที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน เป็นสถาบันเผด็จการ ที่หนุนหลังการรัฐประหาร และบงการการตัดสินใจทางกฎหมายที่มุ่งขัดขวางเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
“เราจะโจมตี พล.อ.เปรมไปเรื่อยๆ ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารคราวที่แล้ว ถ้าคณะองคมนตรียุติการกระทำแบบสถาบันเผด็จการ เราก็จะหยุดโจมตี” นายจรัล กล่าวและยืนยันว่า บรรดาแกนนำชุมนุมประท้วงครั้งนี้ จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ยังอ้างความเห็นของ นายเควิน ฮิววิสัน อาจารย์ประจำภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐ ที่บอกว่า คณะองคมนตรีควรจะต้องเกิดความวิตกกังวล เพราะถ้าพวกผู้ประท้วงได้รับชัยชนะ ก็จะเป็นความพ่ายแพ้ของคณะองคมนตรี
นอกจากนี้ นายเทนเคท ยังได้โทรศัพท์สอบถามไปยังทำเนียบองคมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน แต่ได้รับคำตอบจากผู้รับโทรศัพท์ว่าไม่มีผู้ใดตอบอะไรได้จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กได้สอบถามไปยังนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกผู้หนึ่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกล่าวว่า คณะองคมนตรีเป็นคนดี ที่สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่สังคมในเรื่องความเป็นผู้นำทางจริยธรรม อีกทั้งอำนาจของคณะองคมนตรีก็จำกัดอยู่เพียงแค่การถวายคำปรึกษาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และผู้ประท้วงเสื้อแดงก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหาของพวกเขาในเรื่องอิทธิพลแอบแฝง
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเหล่านี้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบพูดว่า พล.อ.เปรมอยู่หลังฉาก เนื่องจากต้องการที่จะปิดบังการทุจริตคอร์รัปชัน และความประพฤติผิดกฎหมายของตัวเอง นี่จึงเป็นเพียงแค่การเล่นเล่ห์ด้วยคำพูดเท่านั้นเอง
บลูมเบิร์ก ยังได้เสนอความคิดเห็นของ ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งให้ความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะลาออกหรือยุบสภา แต่นั่นไม่จำเป็นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้
"ไม่มีใครสามารถดำเนินการตามหลักนิติธรรมได้เลย ถ้าปราศจากความร่วมมือของสังคม" ม.ร.ว.พฤทธิสาณกล่าวพร้อมกับชี้ว่า เวลานี้ไม่มีข้างไหนเลยที่ให้ความเชื่อถือไว้วางใจ การทำตามอำนาจหน้าที่ของรัฐ
ขณะที่บทวิเคราะห์บางส่วนในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์ส ระบุว่า แม้จะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจากระยะไกล แต่ก็บังเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด เมื่อต้องให้ความเห็นว่า ดินแดนของผู้คนและวัฒนธรรมอันสุดแสนวิเศษได้แตกแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ไม่มีใครที่เคยได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดี และมีเสน่ห์อย่างไร้ขีดจำกัดของคนไทย จะสามารถประณามเหตุการณ์ที่นำไปสู่การหลั่งน้ำตา ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพฯ ได้
ปรากฏการณ์อันน่าเศร้าใจที่ได้เห็นคือ การแปรเปลี่ยนจากดินแดนแห่งรอยยิ้ม ไปสู่ภาพของตัวตลกหน้าบูดที่ยิ้มไม่ออก เพราะปัญหาของคนที่ยืนกันคนละฝ่าย แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีกว่าใคร ที่ปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมายาวนานจะยุติลงได้ด้วยการแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างเหมาะสม แต่มูลค่าความเสียหายในระยะสั้น ก็มากมายเกินบรรยาย เพราะคงต้องลืมเรื่องการรื้อฟื้นด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนไปก่อน เพื่อให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ในสหรัฐ ในประเด็นที่อาจเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยนั้น สหรัฐ ได้ชื่อว่า เป็นพันธมิตรที่ช่วยไทยต่อต้านการแพร่ขยายอิทธิพลของระบบคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อภัยร้ายนี้ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของไทยในสายตาของสหรัฐก็พลอยลดน้อยลงตามไปด้วย แต่ประเทศไทย ที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคนแห่งนี้ ก็เป็นผู้เล่นสำคัญในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีแนวทางสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า อาเซียนจะมีความใกล้เคียงกับสถาบันระดับโลกอย่าง องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) มากกว่า กลุ่มประเทศที่เอาแต่เจรจากันเหมือนที่ผ่านมา
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหรัฐในกรุงเทพฯ คือ นายอีริค จี จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ซึ่งจะไม่ละเลยต่อประเทศที่เขาได้รับมอบหมายให้มาติดต่อประสานงานด้วย ในการแสดงความเห็นช่วงแรกๆ ของเขา ออกมาในแนวไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง
บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ ยังทิ้งท้ายว่าอาจถึงเวลาที่องค์กรระดับโลกอีกแห่งคือ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) อาจยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลการหยุดยิงและการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่เขียนบทความนี้ ระบุว่า เขาเขียนในช่วงที่สถานการณ์กำลังร้อน และเห็นว่าประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังมอดไหม้ จึงอยากให้ตระหนักด้วยความห่วงใยว่า ดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้ กำลังจะกลายเป็นรัฐที่เสื่อมถอย
านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อีโปช ไทม์ ของจีน ได้นำเสนอบทความของผู้ใช้ชื่อว่า "เพื่อนคนไทย" เรื่อง "ประชาธิปไตยไทยถูกคุกคามโดยกลุ่มคนที่ต้องการลบล้างระบอบการปกครอง" โดยตั้งข้อสงสัยว่า กำลังมีกลุ่มแอบแฝงที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตย เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยในไทย
สื่อมวลชนของจีนฉบับนี้ ระบุว่า จากรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับความรุนแรงทางอาวุธชวนให้คิดว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาจเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏในราชอาณาจักร ไม่ใช่การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ (10 เม.ย.) ที่รัฐบาลประกาศผลักดันกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดง หนึ่งในสองของพื้นที่ชุมนุมในกรุงเทพฯ แต่เกิดเหตุปะทะตามมา จนมีผู้เสียชีวิต 11 รายและบาดเจ็บราว 500 คนนั้น มีรายงานข่าวว่าผู้ประท้วงได้ต้านทานทหารของรัฐบาลด้วยการประทุษร้าย จนเป็นเหตุให้พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต
อีโปช ไทม์ ระบุว่า พันเอกร่มเกล้า เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนายทหารผู้ซื่อสัตย์ ที่เคยนำทหารเข้าปราบปรามเหตุจลาจลและคืนกฎระเบียบแก่สังคมในช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน และเวลานี้ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถูกฆาตกรรม
หนังสือพิมพ์ของจีนฉบับนี้ ยังรายงานโดยอ้างรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นอื่นๆ ที่ระบุว่า มีพยานเห็นลูกไฟถูกยิงขึ้นฟ้าก่อนมือปืนจะลั่นไกใส่พันเอกร่มเกล้าโดยตรง จนทำให้เขาเสียชีวิต ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขาได้รับบาดเจ็บ
สื่อจีน ระบุว่าคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มักอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถูกจัดตั้งขึ้นมา ผ่านการจ่ายเงินตอบแทนและโฆษณาชวนเชื่อ และมีข่าวลือต่างๆ นานา ว่า ผู้ประท้วงได้รับค่าจ้างสำหรับร่วมชุมนุมและทางแกนนำก็ได้ค่าตอบแทนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจำนวนหลายล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากดูสถานะทางการเงินของแกนนำ นปช.หลายคน จะพบว่าบุคคลเหล่านั้น มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบางคนจากที่เคยเป็นหนี้ ก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างง่ายดาย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
*************************************************
ถึงแม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะก้าวลงจากตำแหน่ง ก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะยุติความไม่สงบทางการเมืองครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 18 ปีคราวนี้ลงได้ เนื่องจากผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มนี้ น่าจะมีเป้าหมายอื่นอยู่ในใจ
เทนเคท ได้อ้างคำให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 เมษายน ของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้นำคนหนึ่งในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บอกว่า คณะองคมนตรีที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน เป็นสถาบันเผด็จการ ที่หนุนหลังการรัฐประหาร และบงการการตัดสินใจทางกฎหมายที่มุ่งขัดขวางเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
“เราจะโจมตี พล.อ.เปรมไปเรื่อยๆ ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารคราวที่แล้ว ถ้าคณะองคมนตรียุติการกระทำแบบสถาบันเผด็จการ เราก็จะหยุดโจมตี” นายจรัล กล่าวและยืนยันว่า บรรดาแกนนำชุมนุมประท้วงครั้งนี้ จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ยังอ้างความเห็นของ นายเควิน ฮิววิสัน อาจารย์ประจำภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐ ที่บอกว่า คณะองคมนตรีควรจะต้องเกิดความวิตกกังวล เพราะถ้าพวกผู้ประท้วงได้รับชัยชนะ ก็จะเป็นความพ่ายแพ้ของคณะองคมนตรี
นอกจากนี้ นายเทนเคท ยังได้โทรศัพท์สอบถามไปยังทำเนียบองคมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน แต่ได้รับคำตอบจากผู้รับโทรศัพท์ว่าไม่มีผู้ใดตอบอะไรได้จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กได้สอบถามไปยังนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกผู้หนึ่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกล่าวว่า คณะองคมนตรีเป็นคนดี ที่สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่สังคมในเรื่องความเป็นผู้นำทางจริยธรรม อีกทั้งอำนาจของคณะองคมนตรีก็จำกัดอยู่เพียงแค่การถวายคำปรึกษาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และผู้ประท้วงเสื้อแดงก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหาของพวกเขาในเรื่องอิทธิพลแอบแฝง
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเหล่านี้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบพูดว่า พล.อ.เปรมอยู่หลังฉาก เนื่องจากต้องการที่จะปิดบังการทุจริตคอร์รัปชัน และความประพฤติผิดกฎหมายของตัวเอง นี่จึงเป็นเพียงแค่การเล่นเล่ห์ด้วยคำพูดเท่านั้นเอง
บลูมเบิร์ก ยังได้เสนอความคิดเห็นของ ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งให้ความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะลาออกหรือยุบสภา แต่นั่นไม่จำเป็นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้
"ไม่มีใครสามารถดำเนินการตามหลักนิติธรรมได้เลย ถ้าปราศจากความร่วมมือของสังคม" ม.ร.ว.พฤทธิสาณกล่าวพร้อมกับชี้ว่า เวลานี้ไม่มีข้างไหนเลยที่ให้ความเชื่อถือไว้วางใจ การทำตามอำนาจหน้าที่ของรัฐ
ขณะที่บทวิเคราะห์บางส่วนในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์ส ระบุว่า แม้จะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจากระยะไกล แต่ก็บังเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด เมื่อต้องให้ความเห็นว่า ดินแดนของผู้คนและวัฒนธรรมอันสุดแสนวิเศษได้แตกแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ไม่มีใครที่เคยได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดี และมีเสน่ห์อย่างไร้ขีดจำกัดของคนไทย จะสามารถประณามเหตุการณ์ที่นำไปสู่การหลั่งน้ำตา ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพฯ ได้
ปรากฏการณ์อันน่าเศร้าใจที่ได้เห็นคือ การแปรเปลี่ยนจากดินแดนแห่งรอยยิ้ม ไปสู่ภาพของตัวตลกหน้าบูดที่ยิ้มไม่ออก เพราะปัญหาของคนที่ยืนกันคนละฝ่าย แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีกว่าใคร ที่ปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมายาวนานจะยุติลงได้ด้วยการแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างเหมาะสม แต่มูลค่าความเสียหายในระยะสั้น ก็มากมายเกินบรรยาย เพราะคงต้องลืมเรื่องการรื้อฟื้นด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนไปก่อน เพื่อให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ในสหรัฐ ในประเด็นที่อาจเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยนั้น สหรัฐ ได้ชื่อว่า เป็นพันธมิตรที่ช่วยไทยต่อต้านการแพร่ขยายอิทธิพลของระบบคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อภัยร้ายนี้ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของไทยในสายตาของสหรัฐก็พลอยลดน้อยลงตามไปด้วย แต่ประเทศไทย ที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคนแห่งนี้ ก็เป็นผู้เล่นสำคัญในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีแนวทางสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า อาเซียนจะมีความใกล้เคียงกับสถาบันระดับโลกอย่าง องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) มากกว่า กลุ่มประเทศที่เอาแต่เจรจากันเหมือนที่ผ่านมา
ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหรัฐในกรุงเทพฯ คือ นายอีริค จี จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ซึ่งจะไม่ละเลยต่อประเทศที่เขาได้รับมอบหมายให้มาติดต่อประสานงานด้วย ในการแสดงความเห็นช่วงแรกๆ ของเขา ออกมาในแนวไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง
บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ ยังทิ้งท้ายว่าอาจถึงเวลาที่องค์กรระดับโลกอีกแห่งคือ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) อาจยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลการหยุดยิงและการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่เขียนบทความนี้ ระบุว่า เขาเขียนในช่วงที่สถานการณ์กำลังร้อน และเห็นว่าประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังมอดไหม้ จึงอยากให้ตระหนักด้วยความห่วงใยว่า ดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้ กำลังจะกลายเป็นรัฐที่เสื่อมถอย
านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อีโปช ไทม์ ของจีน ได้นำเสนอบทความของผู้ใช้ชื่อว่า "เพื่อนคนไทย" เรื่อง "ประชาธิปไตยไทยถูกคุกคามโดยกลุ่มคนที่ต้องการลบล้างระบอบการปกครอง" โดยตั้งข้อสงสัยว่า กำลังมีกลุ่มแอบแฝงที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตย เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยในไทย
สื่อมวลชนของจีนฉบับนี้ ระบุว่า จากรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับความรุนแรงทางอาวุธชวนให้คิดว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาจเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏในราชอาณาจักร ไม่ใช่การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ (10 เม.ย.) ที่รัฐบาลประกาศผลักดันกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดง หนึ่งในสองของพื้นที่ชุมนุมในกรุงเทพฯ แต่เกิดเหตุปะทะตามมา จนมีผู้เสียชีวิต 11 รายและบาดเจ็บราว 500 คนนั้น มีรายงานข่าวว่าผู้ประท้วงได้ต้านทานทหารของรัฐบาลด้วยการประทุษร้าย จนเป็นเหตุให้พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต
อีโปช ไทม์ ระบุว่า พันเอกร่มเกล้า เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนายทหารผู้ซื่อสัตย์ ที่เคยนำทหารเข้าปราบปรามเหตุจลาจลและคืนกฎระเบียบแก่สังคมในช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน และเวลานี้ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถูกฆาตกรรม
หนังสือพิมพ์ของจีนฉบับนี้ ยังรายงานโดยอ้างรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นอื่นๆ ที่ระบุว่า มีพยานเห็นลูกไฟถูกยิงขึ้นฟ้าก่อนมือปืนจะลั่นไกใส่พันเอกร่มเกล้าโดยตรง จนทำให้เขาเสียชีวิต ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขาได้รับบาดเจ็บ
สื่อจีน ระบุว่าคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มักอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถูกจัดตั้งขึ้นมา ผ่านการจ่ายเงินตอบแทนและโฆษณาชวนเชื่อ และมีข่าวลือต่างๆ นานา ว่า ผู้ประท้วงได้รับค่าจ้างสำหรับร่วมชุมนุมและทางแกนนำก็ได้ค่าตอบแทนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจำนวนหลายล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากดูสถานะทางการเงินของแกนนำ นปช.หลายคน จะพบว่าบุคคลเหล่านั้น มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบางคนจากที่เคยเป็นหนี้ ก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างง่ายดาย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
*************************************************
นปช.ยอมส่งตัวตร.คืน"ณัฐวุฒิ"ยันแกนนำไม่จากกัน
แกนนำ นปช.ยอมส่งตัว ตร.คืน แต่ข้องใจถูกยัดข้อหา จี้ "อภิสิทธิ์" ยุบสภา อย่าให้ ปชช. ตร. ทหาร ตายอีก ยันวันนี้ แดง ไม่เคลื่อนบุกสถานีโทรทัศน์ ลั่นจากนี้ไปแกนนำจะไม่พรากจากกัน "กี้ร์"เล่านาทีหนีตาย-ประกาศไล่ล่า"อภิสิทธิ์-สุเทพ"
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 16 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.แถลงข่าวภายหลัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบช.น. เจรจาขอรับตัวนายตำรวจว่า โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พร้อมที่จะให้พล.ต.ต.วิชัย รับตำรวจทั้งหมดกลับ แต่ตนยังมีข้อสงสัยว่า เวลานี้ เรื่องของการยัดเยียดข้อหา และของกลางยังมีอยู่อีกหรือ ที่มากล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีวัตถุระเบิดจะไปหามาจากไหน ขณะที่วันนี้ นายอภิสิทธิ์ ควรจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ยุบสภาวันนี้ หรือจะให้ประชาชน ตำรวจ ทหาร ประชาชน ต้องมาเสี่ยง เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดเหตุการณ์มีประชาชน และทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 10 เม.ย.
นายณัฐวุฒิ กล่าวยืนยันว่า วันนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการตั้งขบวนเดินทางไปสถานที่อื่น รวมทั้งไม่ไปตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ตามที่เคยกำหนดแผนไว้ก่อนหน้านี้ และยืนยันว่า จากนี้ไปแกนนำทุกคนเราจะไม่พรากจากกัน
ขณะที่นายจตุพร กล่าวถึง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ว่า เวลานี้ที่ออกมาพูดว่าพร้อมที่จะจัดค่ารักษาพยาบาลเป็นการส่งสัญญาณใช่หรือไม่ ว่าเตรียมที่จะมีการใช้กำลังอีกรอบหนึ่ง ขณะที่ตนอยากฝากบอกถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือที่จะสร้างคดีให้กับคนเสื้อแดง ฐานก่อการร้าย ตนจึงอยากเตือนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
"กี้ร์"เล่านาทีหนีตาย-ประกาศไล่ล่า"อภิสิทธิ์-สุเทพ"
ทั้งนี้เมื่อเวลา 10.45 น. ขบวนของแกนนำเสื้อแดงที่เดินทางมาจากโรงแรม เอสซีปาร์ค ได้มาถึงยังเวทีราชประสงค์ เมื่อมาถึงบรรดาแกนนำ นปช.ต่างโผเข้ากอด และจับมือกัน โดยมีตำรวจ 3 นายนั่งรถมาด้วย คือ พ.ต.อ.พชร บุญญสิทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 และ พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ พนักงานสอบสวน สป.2 และตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 1 นาย
จากนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวบนเวทีว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นหัวหน้าชุดที่รับงานจากนายสุเทพ เพื่อมาจับกุมพวกเรา ซึ่งเวลานี้ไปหลบอยู่ในราบ 11 อย่างไรก็ตาม การบุกจับแกนนำวันนี้ ทราบมาว่า ไม่มีหมายค้น ดังนั้นผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของโรงแรมจะเป็นผู้ดำเนินคดีต่อ
ด้านนายอริสมันต์ เล่าเหตุการณ์ว่า ระหว่างกลับมาที่รถเพื่อเอาแผนที่ไปประชุมวางแผนกระจายกำลังในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า มีตำรวจ 200 นายมาล้อมที่รถแล้ว ตนจึงได้ไปดูที่กล้องวงจรปิด ว่าตำรวจอยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้น ได้ประสานกับทุกคน ว่าอย่าออกจากห้องเด็ดขาด จนกว่าตนจะนำกำลังไปเสริม จากนั้น การ์ดของ นชป.ได้พาตนไปหลบอยูที่ห้อง 377 และจากนั้นเจ้าหน้าตำรวจได้ถีบประตูและโยนระบิดควันและระเบิดเสียงเข้ามา 2 ลูก แต่ตนได้วิ่งเข้าไปชนประตู เพื่อล็อคประตูอีกครั้ง แต่ตำรวจยังถีบประตูเข้ามา แล้วโยนระเบิดเสียงเข้ามาอีก 1 ลูก ตนจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง จากนั้น ใช้สายไฟสปอตไลต์โรยตัวจากชั้น 3 มาที่รถบรรทุกของคนเสื้อแดงเพื่อบัญชาการให้คนเสื้อแดง ไปปิดล้อมทุกประตูของโรงแรม จากนั้นตนได้ไปคุยกับ พ.ต.อ.พัชระ และ พ.ต.ท.ประพจน์ เพื่อให้ยุติการปฏิบัติการโดยทันที่
จากนั้น นายอริสมันต์ นำกระเดื่องระเบิด และหัวกระสุนปืนที่อ้างว่ายิงเข้ามาภายในห้อง 377 มาโชว์บนเวที พร้อมกับกล่าวว่า ไม่คาดคิดว่าจะทำรุนแรงเหมือนเราไม่ใช่คน เหมือนเป็นฆาตกร ผู้ก่อการร้าย เขาประสงค์ฆ่าแกนนำและคนเสื้อแดง ดังนั้น จากนี้ศัตรูของคนเสื้อแดง คือนายอภิสทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ ยุทธการต่อไป จะเป็นยุทธการไล่ล่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ดังนั้น หากนายสุเทพ นำคนผิดที่โยนระเบิดเข้ามาในห้อง 377 รวมทั้งคนที่ยิงปืนเข้ามาอีก 1 นัด มารับผิดไม่ได้ เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม ระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อดงทั้งแผ่นดิน เพราะเราจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว
ที่มา.คมชัดลึก
*************************************************
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 16 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.แถลงข่าวภายหลัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบช.น. เจรจาขอรับตัวนายตำรวจว่า โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พร้อมที่จะให้พล.ต.ต.วิชัย รับตำรวจทั้งหมดกลับ แต่ตนยังมีข้อสงสัยว่า เวลานี้ เรื่องของการยัดเยียดข้อหา และของกลางยังมีอยู่อีกหรือ ที่มากล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีวัตถุระเบิดจะไปหามาจากไหน ขณะที่วันนี้ นายอภิสิทธิ์ ควรจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ยุบสภาวันนี้ หรือจะให้ประชาชน ตำรวจ ทหาร ประชาชน ต้องมาเสี่ยง เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดเหตุการณ์มีประชาชน และทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 10 เม.ย.
นายณัฐวุฒิ กล่าวยืนยันว่า วันนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการตั้งขบวนเดินทางไปสถานที่อื่น รวมทั้งไม่ไปตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ตามที่เคยกำหนดแผนไว้ก่อนหน้านี้ และยืนยันว่า จากนี้ไปแกนนำทุกคนเราจะไม่พรากจากกัน
ขณะที่นายจตุพร กล่าวถึง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ว่า เวลานี้ที่ออกมาพูดว่าพร้อมที่จะจัดค่ารักษาพยาบาลเป็นการส่งสัญญาณใช่หรือไม่ ว่าเตรียมที่จะมีการใช้กำลังอีกรอบหนึ่ง ขณะที่ตนอยากฝากบอกถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือที่จะสร้างคดีให้กับคนเสื้อแดง ฐานก่อการร้าย ตนจึงอยากเตือนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
"กี้ร์"เล่านาทีหนีตาย-ประกาศไล่ล่า"อภิสิทธิ์-สุเทพ"
ทั้งนี้เมื่อเวลา 10.45 น. ขบวนของแกนนำเสื้อแดงที่เดินทางมาจากโรงแรม เอสซีปาร์ค ได้มาถึงยังเวทีราชประสงค์ เมื่อมาถึงบรรดาแกนนำ นปช.ต่างโผเข้ากอด และจับมือกัน โดยมีตำรวจ 3 นายนั่งรถมาด้วย คือ พ.ต.อ.พชร บุญญสิทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 และ พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ พนักงานสอบสวน สป.2 และตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 1 นาย
จากนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวบนเวทีว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นหัวหน้าชุดที่รับงานจากนายสุเทพ เพื่อมาจับกุมพวกเรา ซึ่งเวลานี้ไปหลบอยู่ในราบ 11 อย่างไรก็ตาม การบุกจับแกนนำวันนี้ ทราบมาว่า ไม่มีหมายค้น ดังนั้นผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของโรงแรมจะเป็นผู้ดำเนินคดีต่อ
ด้านนายอริสมันต์ เล่าเหตุการณ์ว่า ระหว่างกลับมาที่รถเพื่อเอาแผนที่ไปประชุมวางแผนกระจายกำลังในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า มีตำรวจ 200 นายมาล้อมที่รถแล้ว ตนจึงได้ไปดูที่กล้องวงจรปิด ว่าตำรวจอยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้น ได้ประสานกับทุกคน ว่าอย่าออกจากห้องเด็ดขาด จนกว่าตนจะนำกำลังไปเสริม จากนั้น การ์ดของ นชป.ได้พาตนไปหลบอยูที่ห้อง 377 และจากนั้นเจ้าหน้าตำรวจได้ถีบประตูและโยนระบิดควันและระเบิดเสียงเข้ามา 2 ลูก แต่ตนได้วิ่งเข้าไปชนประตู เพื่อล็อคประตูอีกครั้ง แต่ตำรวจยังถีบประตูเข้ามา แล้วโยนระเบิดเสียงเข้ามาอีก 1 ลูก ตนจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง จากนั้น ใช้สายไฟสปอตไลต์โรยตัวจากชั้น 3 มาที่รถบรรทุกของคนเสื้อแดงเพื่อบัญชาการให้คนเสื้อแดง ไปปิดล้อมทุกประตูของโรงแรม จากนั้นตนได้ไปคุยกับ พ.ต.อ.พัชระ และ พ.ต.ท.ประพจน์ เพื่อให้ยุติการปฏิบัติการโดยทันที่
จากนั้น นายอริสมันต์ นำกระเดื่องระเบิด และหัวกระสุนปืนที่อ้างว่ายิงเข้ามาภายในห้อง 377 มาโชว์บนเวที พร้อมกับกล่าวว่า ไม่คาดคิดว่าจะทำรุนแรงเหมือนเราไม่ใช่คน เหมือนเป็นฆาตกร ผู้ก่อการร้าย เขาประสงค์ฆ่าแกนนำและคนเสื้อแดง ดังนั้น จากนี้ศัตรูของคนเสื้อแดง คือนายอภิสทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ ยุทธการต่อไป จะเป็นยุทธการไล่ล่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ดังนั้น หากนายสุเทพ นำคนผิดที่โยนระเบิดเข้ามาในห้อง 377 รวมทั้งคนที่ยิงปืนเข้ามาอีก 1 นัด มารับผิดไม่ได้ เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม ระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อดงทั้งแผ่นดิน เพราะเราจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว
ที่มา.คมชัดลึก
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)