--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

พรรคร่วมนัดถก ส่อทิ้งปชป.

แกนนำเห็นพ้อง ต้อง"ยุบ"เท่านั้น นายกฯ-คนสนิท หารือกันเครียด

มาร์คถกคนสนิทเครียดตั้งแต่เช้า เทือกวุ่นนัดพรรคร่วมฯหารือล่ม ด้านแกนนำพรรคร่วมฯขอถกกันก่อนคุยปชป. เบื้องต้นเห็นตรงกันต้องเร่งยุบสภา ปชป.บี้เพื่อไทยร่วมรับผิดชอบ ส่วนเพื่อไทยจี้รัฐบาลทบทวนคำสั่ง สมชายบี้ครม.แสดงความรับผิดชอบ เร่งพรรคร่วมฯแสดงจุดยืน"สั่งสลาย" อ๋อยชี้รัฐบาลตัดสินใจผิดที่ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แนะทั้งสองฝ่ายเร่งเจรจา-เลิกชิงพื้นที่ เผยเป็นคนกลาง"กอร์ป-ณัฐวุฒิ"ถกหยุดยิง โพลชี้คนหนุนเจรจา-ถอยคนละก้าว องคมนตรีแนะใช้สติ-เจรจาหาข้อยุติ อธิการบดี มศว ชี้รัฐบาลไม่เป็นผู้ใหญ่

มาร์คถกเครียดตั้งแต่เช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกการจัดรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์" เพื่อใช้เวลาช่วงเช้าหารือกับฝ่ายการเมือง อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ผอ.ศอฉ. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา โดยนายอภิสิทธิ์ มีสีหน้าเคร่งเครียดและดวงตาแดงก่ำตลอดเวลา

รายงานข่าวแจ้งว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้ติดต่อประสานงานผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพูดคุยหาทางออกในเย็นวันเดียวกันนี้ โดยมีข่าวลือว่าทางออกที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อาจใช้คือ ให้นายกฯลาออก และตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมา

สส.กทม.ปชป.แถลงการณ์

ส.ส.กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ประมาณ 15 คน นำโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส. ภาคกทม. และส.ส. อาทิ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายสกลธี ภัททิยกุล นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ นายสุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์ ฯลฯ ร่วมกันหารือถึงเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

จากนั้นนายองอาจ พร้อมด้วย 15 ส.ส. กทม. ร่วมกันแถลงว่า จากการหารือของส.ส. กทม. ได้ข้อสรุปเป็นแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง "ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์กับการชุมนุมของนปช." โดยกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมในนามของ นปช.หรือกลุ่มเสื้อแดงกับทหาร ตำรวจ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน มีผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงและทหาร ตำรวจจำนวนมากบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดความสะเทือนใจกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ เป็นอย่างมาก จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพบว่า มีผู้ชุมนุมหรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้ใช้ระเบิด อาวุธนานาชนิด กระทำการอันก่อให้เกิดความรุนแรงต่อทหาร ตำรวจ ที่พยายามเข้าไปปฏิบัติการให้การชุมนุมเป็นไปตามครรลองของกฎหมาย

เร่งรัฐบาลบังคับใช้กฎหมาย

นายองอาจกล่าวอีกว่า ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์มีข้อเรียกร้องดังนี้ คือ 1.ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิตของทหารและผู้ชุมนุม 2.ขอให้รัฐบาลดูแลรักษาทหาร ตำรวจและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และเยียวยาครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และผู้ชุมนุมอย่างถึงที่สุด 3.ควรจัดให้มีคณะกรรมการอิสระ เพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบความสูญเสียทรัพย์สินที่เกิดขึ้น และเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย 4.ขอให้รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายให้มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนส่วนมาก ที่อยากเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา พวกเราส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าพวกเราจะพยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวกทม.สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป

นายองอาจ กล่าวว่า ส.ส.กทม.ของพรรค จะไปโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อเยี่ยมทหารตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะกันประมาณ 300 กว่านาย โดยจะนำปัจจัยส่วนหนึ่งไปมอบให้ ซึ่งเดิมตั้งใจจะมอบให้ในช่วงสงกรานต์ เพื่อบำรุงขวัญที่ช่วยรักษาการณ์ในกทม. โดยเป็นเงินเดือนส.ส. 1 เดือนรวมกัน ได้ประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ส่วนประชาชนผู้บาดเจ็บได้หารือกันแล้วจะยังไม่ไปเยี่ยมในช่วงนี้ เพราะเกรงว่า อาจจะสร้างความขัดแย้งให้บานปลาย

บุรณัชย์โวยนปช.ชิงศพปลุกระดม

น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกประจำพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์มองว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นการสูญเสียของคนไทยทุกคน ขอให้ทุกฝ่ายช่วยพาบ้านเมืองให้หลุดพ้นจากวิกฤตการเมือง ความขัดแย้งและความรุนแรง ทั้งนี้พรรคมีความวิตกกรณีนปช. ยังใช้โอกาสนำศพของผู้ที่เสียชีวิตมาเป็นต้นเหตุการณ์ปลุกระดม และเพิ่มความขัดแย้งเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในสังคม เพื่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่เคลื่อนไหวและก่อความวุ่นวายบนเวทียุติการกระทำดังกล่าวทันที และขอให้กระบวนการพิสูจน์สาเหตุการตายเป็นไปตามกระบวน การที่เป็นกลางตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยบุคคลซึ่งเป็นที่เชื่อถือของทุกฝ่ายในสังคม

น.พ.บุรณัชย์กล่าวต่อว่า พรรคขอสนับสนุนแนวทางของรัฐบาล โดยให้องค์กรที่เป็นกลางและองค์กรต่างประเทศ ได้รับทราบกระบวนการชันสูตรศพของผู้ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บของทุกฝ่าย ทุกคนให้เป็นไปตามมาตรฐานตามหลักสากล ส่วนที่มีการปล่อยข่าวว่า มีการขนศพโดยเจ้าหน้าที่ทหารจากโรงพยาบาลของรัฐที่รับผู้บาดเจ็บนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบทุกโรงพยาบาลหน่วยแพทย์ทุกสถาบันที่รับผิดชอบ ไม่มีที่ใดที่ปรากฏว่ามีภาพหรือข้อเท็จจริง ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ทหารหรือคนของรัฐไปดำเนินการใดๆ ในทางกลับกันได้มีภาพที่ปรากฏทางสื่อ และเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.จำนวนมากพยายามที่จะเข้าไปแย่งชิงศพของประชาชนผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว เพื่อปลุกระดมมวลชน จึงขอให้คนเสื้อแดงยุติการกระทำดังกล่าว

เชื่อแดงจงใจสร้างความรุนแรง

น.พ.บุรณัชย์กล่าวว่า พรรคขอให้รัฐบาลเร่งจับกุมกลุ่มบุคคล ที่มีพยานในเหตุการณ์การปะทะบริเวณสี่แยกคอกวัว ที่มีรายงานทางสื่อ มวลชนออกมาว่า มีบุคคลที่สวมชุดดำคลุมหน้าเริ่มใช้ความรุนแรงโดยการขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารในเวลาประมาณ 20.00 น. ดังนั้น จึงขอให้ภาคสังคมตรวจสอบและรับทราบข้อเท็จจริง โดยขอให้สื่อทุกแขนงช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและเผยแพร่ข้อเท็จจริง ที่สำคัญขอให้สังคมช่วยตรวจสอบเหตุการณ์ที่มีความเป็นมาก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่องทั้งการใช้วัตถุระเบิดและอาวุธสงครามที่ใช้ก่อเหตุวินาศกรรมในพื้นที่ต่างๆทั้งใน กทม.และปริมณฑลมาโดยตลอด เพราะใช้อาวุธลักษณะเดียวกัน

น.พ.บุรณัชย์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่แกนนำสั่งให้ผู้ชุมนุมใช้ถุงดำครอบกล้องวงจรปิดในจุดที่มีความเสี่ยงในการเผชิญหน้า เป็นเพราะต้องการปิดบังพฤติกรรมและการสร้างสถานการณ์ของตนเองใช่หรือไม่ เพราะ ทำให้สังคมสงสัยว่าเป็นการเตรียมการเพื่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันแกนนำคนเสื้อแดงเองถือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงในการเคลื่อนมวลชนเข้าเผชิญหน้าและปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารที่บริเวณหน้า กองทัพภาคที่ 1 ก่อนที่จะเกิดความรุนแรงขึ้น และพรรคเห็นว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากมือที่สาม แต่เป็นการเคลื่อนไหวจากมืออีกข้างหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องการสร้างความรุนแรงในลักษณะใช้ยุทธศาสตร์แบ่งงานกันทำ

จี้พท.ร่วมรับผิดชอบ

น.พ.บุรณัชย์กล่าวว่า กรณีที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาทันทีเพื่อแสดงความรับผิดชอบนั้น พรรคมั่นใจว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสังคมไทยโดยรวมได้รับทราบแนวทางของรัฐบาล ที่ยึดหลักการตบมือข้างเดียวของคนเสื้อแดง โดยที่รัฐบาลได้ใช้ความอดทนอดกลั้นเพื่อป้องกันความสูญเสียจนถึงที่สุด แต่การเผชิญหน้าก็เกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงจากผู้ที่ก่อความวุ่นวาย ขณะที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็มีบทบาทสำคัญที่สนับสนุนชักจูงประชาชนจากจังหวัดต่างๆ มาร่วมชุมนุม ดังนั้นด้วยสำนึกความเป็นผู้แทนราษฎร ส.ส.พรรคเพื่อไทยจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบความสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงขอให้แสดงความสำนึกในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาชนเสียชีวิต 10 กว่าราย บาดเจ็บ 800 กว่าคน เรื่องนี้รัฐบาลเองจะต้องหาทางออกให้ดี ไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำสอง โดยเรื่องนี้น่าจะให้สภาเป็นผู้ตัดสินมากกว่า และที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาและให้ออกจากประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้มันมากไปในการร้องขอซึ่งจะต้องดูตามข้อเท็จจริงว่า สาเหตุเกิดเพราะใครไม่ใช่ไม่พอใจใครแล้วจะไล่เขาออกจากประเทศได้

หนั่นชี้รัฐบาลใจดีจนนปช.เหิม

พล.ต.สนั่นกล่าวอีกว่า เหตุที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในการที่สลายการชุมนุมนั้น ขณะนี้กำลังสอบสวนข้อเท็จจริงว่าใครเริ่มก่อน เพราะทหารก็เสียชีวิต ถ้าทหารยิงก่อนทำไมทหารถึงเสียชีวิตทหารจะไปยิงพวกเดียวกันหรือซึ่งเป็นไปไม่ได้ เชื่อว่าคนที่ยิงน่าจะเป็นมือที่ 3 ต้องยอมรับว่าขณะนี้อาวุธสงครามมีมาก รัฐบาลเองก็น่าจะมีการแก้กฎหมายแบบสิงคโปร์ มาเลเซียว่าหากใครมีอาวุธสงครามในครอบครองก็สั่งให้มีการสั่งประหารชีวิตไม่มีการยกเว้น

"การที่กลุ่ม นปช. กดดันให้ยุบสภา ผมมองว่าไม่มีอะไรดีขึ้น ที่ผ่านมานายกฯก็พยายามทุกอย่างก่อนในการสลายการชุมนุม จากเบาไปหาหนัก รัฐบาลเองก็กลัวจะเกิดเหตุปัญหาหนักในการสลายการชุมนุม ซึ่งรัฐบาลเองใจดีเกินไปทำให้กลุ่มนปช.เหิมเกริมจนเป็นเหตุบานปลายใหญ่ขึ้นมา" พล.ต.สนั่นกล่าว

เพื่อไทยจี้รบ.ทบทวนคำสั่ง

ที่พรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และเลขานุการคณะศูนย์ช่วยเหลือดูแลประชาชน (ศชปป.) กล่าวว่า รัฐบาลต้องทบทวนคำสั่งที่ใช้ปฏิบัติกับประชาชน เพราะนำไปสู่ความสูญเสีย สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าใครผิดใครถูก รัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ รัฐบาลไม่สามารถทำตามกฎหมาย และมีการทำผิดกฎหมายมากมาย ทั้งการข้ามขั้นตอนการปฏิบัติในการสลายการชุมนุมตามที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ประกาศไว้ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นพรรคเพื่อไทยได้เข้าไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปะทะ ซึ่งเรื่องนี้เป็นภารกิจหลักที่ต้องเร่งดำเนินการ

"การสูญเสียชีวิตของทหารที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น ทราบว่ามีทหารระดับระดับล่างที่เสียชีวิต เรื่องนี้ทหารต้องเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้บังคับบัญชา เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าตายเพราะอะไร" น.อ.อนุดิษฐ์

อ๋อยชี้รัฐบาลตัดสินใจผิดที่ใช้พรก.

ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 แถลงว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาผิดทางของรัฐบาล ที่ทำเหมือนไม่เข้าใจและเลือกวิธีที่ผิด ทำให้เกิดความขัดแย้งและเกิดความเสียหาย อีกทั้งความผิดพลาดคือการที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สงบและปราศจากอาวุธ กลายเป็นการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน รวมทั้งการผิดพลาดแทรกแซงสื่อ เหตุสำคัญที่ผิดพลาดคือรัฐบาลตัดสินใจใช้มาตรการทางทหารที่สามารถใช้อาวุธจัดการกับประชาชนได้ โดยใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีอำนาจคุ้มครอง

"ที่รัฐบาลบอกว่าเป็นการกระทำที่ต้องการขอพื้นที่คืน แต่รัฐบาลทำเหมือนเข้าแย่งพื้นที่มากกว่า ทำให้เกิดการห้ำหั่น ผมได้เตือนแล้วว่าการสลายการชุมนุมช่วงค่ำ ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน เพราะอาจมีมือที่ 3 ก่อกวน เรื่องนี้ทางทหารและรัฐบาลคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ฉะนั้นการกระทำนี้จึงเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องเกิดปัญหา" นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวว่า การจะแก้ปัญหานี้ได้คือทุกฝ่ายต้องเลิกคิดว่าจะเอาพื้นที่คืน เพราะทำให้เกิดวิกฤตหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นต้องมาดูต้นเหตุของปัญหา ประชาชนเรียกร้องให้ยุบสภา แต่ถูกบ่ายเบี่ยง รัฐบาลต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที และให้พีทีวีออกอากาศได้ตามปกติ รัฐบาลต้องหยุดใช้สื่อของรัฐออกข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง

แนะ2ฝ่ายเร่งเจรจา-เลิกชิงพื้นที่

"หากรัฐบาลยังไม่สามารถตัดสินใจยุบสภาได้โดยเร็ว และดื้อดึงเอาพื้นที่คืน ผมอยากเรียกร้องให้พรรคร่วมหารือประกาศยุติสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯต่อไปและยุบสภา ที่ผ่านมารัฐบาลคิดมักง่ายไปมาก คิดว่าเดี๋ยวก็สลายไปเอง เดี๋ยวก็กลับบ้านไปเอง หากคิดเช่นนี้จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวง" นายจาตุรนต์กล่าว

เมื่อถามว่าการเจรจาของทั้งสองฝ่ายควรมีอยู่หรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า การเจรจาเพื่อแก้วิกฤตการเมืองควรต้องมี แต่รัฐบาลต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน การที่รัฐบาลบอกว่าผู้ชุมนุมต้องรักษากฎหมายก่อนนั้น รัฐบาลไม่ควรตั้งแง่มุ่งจะเอาพื้นที่คืน เพราะจะทำให้การเจรจาไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และเห็นว่านายกฯไม่แสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา

เมื่อถามว่ายุบสภาต้องเร็วแค่ไหนและเงื่อนไขควรเป็นอย่างไร นายจาตุรนต์กล่าวว่า เงื่อนไขการยุบสภา คือการแก้รัฐธรรมนูญที่ปกติใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน การที่พรรคร่วมรัฐบาลหารือกันนั้นทั้งหมดจะใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน เชื่อว่าหากพรรคร่วมไปประชุมกันเพื่อหาข้อสรุปจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ และเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปไม่แก้รัฐธรรมนูญ เพราะพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีการแก้ไข ดังนั้นควรยุบสภาทันทีภายใน 2 สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว และหากนายกฯไม่เชื่อโดยจะใช้แต่กำลังทหารปราบปราม เชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะไม่มีโอกาสยุบสภา และไม่เหลือเวลาแม้จะคิดด้วยซ้ำ

เผยเป็นคนกลางถกหยุดยิง

นายจาตุรนต์ยังได้โพสต์เล่ารายละเอียดการเจรจาระหว่างนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ในทวิตเตอร์จาตุรนต์ ว่า ข่าวเกี่ยวกับการเจรจาเมื่อคืนคลาดเคลื่อนในน.ส.พ.หลายฉบับ ขอชี้แจงเพื่อเข้าใจตรงกันดังต่อไปนี้ หลังจากพูดที่ผ่านฟ้าเสนอให้รัฐบาลสั่งให้ทหารหยุดปฏิบัติการทั้งหมดเพราะมืดแล้วจะเสียหายมาก ก็ได้รับการติดต่อจากนายกอร์ปศักดิ์ว่า จะทำอย่างไรกันดี จึงเสนอว่ารัฐบาลควรสั่งให้ทหารหยุดปฏิบัติการทั้งหมดในคืนนี้

"คุณกอร์ปศักดิ์ถามว่าช่วยพูดกับนปช.ได้ไหม ผมบอกไปว่าเชื่อว่าได้ คุณกอร์ปศักดิ์ขอให้บอกนปช.ให้ช่วยประกาศให้คนถอยกลับเข้าที่ตั้ง แล้วศอฉ.จะประกาศหยุดปฏิบัติการ หลังจากนั้นผมได้บอกณัฐวุฒิไปตามนั้น และคุณกอร์ปศักดิ์ติดต่อมาก็ได้พูดกับณัฐวุฒิโดยตรงด้วย แต่บอกกับผมว่าณัฐวุฒิอยู่ในที่เสียงดังฟังไม่ค่อยชัด

นายจาตุรนต์ระบุต่อไปว่า นายณัฐวุฒิตกลงประกาศทันทีให้คนถอยมารวมกัน หลังจากนั้นศอฉ.ก็ประกาศ แล้วนายณัฐวุฒิจึงประกาศซ้ำ ต่างฝ่ายต่างหยุด ไม่ใช่แดงไม่หยุดอย่างที่เป็นข่าว เรื่องนอกเหนือจากนั้น เช่นการดำเนินการทางการเมืองของแต่ละฝ่ายจะเป็นอย่างไร วันรุ่งขึ้นจะอย่างไร อยู่นอกเหนือการหารือที่ตนเป็นคนกลาง

ชื่นชม"กอร์ป-ณัฐวุฒิ"ตัดสินใจเร็ว

"ผมแจ้งทั้งสองฝ่ายว่าพูดกันเฉพาะการหยุดยิงหยุดปะทะในคืนนั้นเท่านั้นก่อนจะได้คุยกันง่าย จบเร็ว ซึ่งไม่มีฝ่ายใดบิดพลิ้วอย่างที่เป็นข่าว"

นายจาตุรนต์ระบุอีกว่า หลังสองฝ่ายประกาศแล้ว นายกอร์ปศักดิ์หารือว่าจะทำอย่างไรกับเอ็ม79ที่ยังไม่เลิก จึงบอกกลับไปว่าไม่เกี่ยวกับเสื้อแดงแน่ และไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าทหารถอยห่างออกไปแล้วยังมีปัญหาเอ็ม 79 ก็ว่ากันไป จะแจ้งเสื้อแดงให้ว่าเสียงปืนที่ดังไม่เกี่ยวไม่ใช่การสลายการชุมนุมการหารือประเด็นต่างๆ รวมทั้งเรื่องเอ็ม 79 อีกทางหนึ่งทางทหารระดับสูงไม่ทราบชื่อก็ได้หารือมาทางอดีตรมต.

"ที่ยุติได้เร็วต้องขอบคุณคุณกอร์ปศักดิ์ คุณณัฐวุฒิ และทหารผู้ใหญ่ท่านนั้น ที่เมื่อหารือแล้วตัดสินใจเร็วและสั่งการได้จริงตามตกลงทันที ผมเสนอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทันทีและคืนพีทีวีให้ออกอากาศได้ แล้วเจรจาหาข้อยุติทางการเมืองด่วน จะมีฝ่ายอื่นร่วมก็ได้"

เอแบคโพลเผยประชาชนหนุนเจรจา

สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจเองเสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนที่พักอาศัยอยู่ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 1,124 ตัวอย่าง วันที่ 10 เม.ย. พบว่า ร้อยละ 67.4 ติดตามการชุมนุมทุกวัน โดยร้อยละ 57.0 มีความทุกข์ใจมากถึงมากที่สุดที่เห็นเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน และร้อยละ 72.8 อยากเห็นการเปิดเจรจาครั้งที่ 3 ระหว่างรัฐบาลกับแกนนำผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง

ของขวัญวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทยที่อยากได้จากการเจรจา อันดับแรก ร้อยละ 93.4 อยากได้ความสงบสุขของบ้านเมือง รองลงมาคือร้อยละ 84.0 อยากได้ความเป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 82.2 อยากได้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ร้อยละ 78.1 อยากได้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ดุสิตโพลชี้คนแนะถอยคนละก้าว

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นคนกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่อการปะทะกันระหว่าง "ทหาร" กับ "กลุ่มคนเสื้อแดง" จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,084 คน สรุปว่า ประชาชนร้อยละ 60.29 รู้สึกสลดใจ หดหู่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่เคยคิดมา ก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย ร้อยละ 12.88 อยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลและแกนนำเสื้อแดงหยุดใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน ควรคิดถึงผลดี-ผลเสีย ที่ตามมาให้มาก ร้อยละ 11.06 ไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลายหรือยุติลงอย่างไร ร้อยละ 8.09 ระบุว่าถือเป็นบทเรียนหนึ่งที่สร้างความบอบช้ำให้กับประเทศชาติและคนไทยทั้งประเทศ และร้อยละ 7.68 ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 10 เมษายน

เมื่อถามถึง "วิธีแก้ไข" สถานการณ์เพื่อให้เกิดความสงบ ควรทำอย่างไร ร้อยละ 39.83 ระบุว่า ควรถอยกันคนละก้าว/อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีท่าทีที่อ่อนลง ไม่ใช้ความรุนแรง ร้อยละ 27.16% อยากให้ทุกคนนึกถึงส่วนรวมให้มาก นึกถึงความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ร้อยละ 26.08 อยากให้มีการเจรจารอบ 3 เพื่อพูดคุยกันอีกครั้งระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ กับแกนนำเสื้อแดง และร้อยละ 6.93 รัฐบาลควรออกมาชี้แจงหรือมีการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะๆ

แนะรบ.ยึดกม.คู่มนุษยธรรม

เมื่อถามว่า "ฝ่ายรัฐบาล" ควรทำอย่างไร เพื่อให้เหตุการณ์สงบ ร้อยละ 32.41 ระบุว่า ไม่ว่าจะดำเนินการใดๆ รัฐบาลจะต้องยึดหลักของกฎหมายและหลักของมนุษยธรรมควบคู่กัน ร้อยละ 24.29 กำชับเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการไม่ให้ใช้อาวุธที่รุนแรงหรือก่อให้เกิดความสูญเสียได้ ร้อยละ 18.30 หาคนกลางหรือตัวแทนฝ่ายรัฐบาลเข้าไปเจรจากับแกนนำเสื้อแดงอีกครั้ง ร้อยละ 14.21 ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมากในการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง และร้อยละ 10.79 สร้างความเข้าใจและมีการชี้แจงถึงเหตุผลต่างๆ ในการดำเนินการกับการชุมนุมเป็นระยะๆ

เมื่อถามว่า "ฝ่ายเสื้อแดง" ควรทำอย่างไร เพื่อให้เหตุการณ์สงบ ร้อยละ 47.58 ระบุว่า ผู้ที่เป็นแกนนำจะต้องควบคุมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย ร้อยละ 23.04 ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง หรือพูดจาในลักษณะยั่วยุ ปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมเกิดความโกรธแค้น ร้อยละ 19.72 ขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมไม่ให้ใช้อาวุธที่รุนแรงหรือก่อให้เกิดความสูญเสียได้ และร้อยละ 9.66 ยุติการชุมนุมหรือถ้าจะชุมนุมต่อไปก็จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย อย่างเคร่งครัด

เมื่อถามว่า "ประชาชน" ควรทำอย่างไร เพื่อให้เหตุการณ์สงบ ร้อยละ 33.48 ไม่ออกมาเคลื่อนไหวหรือเข้าร่วมการชุมนุมต่างๆ ร้อยละ 30.12 มีสติ /รับฟังข้อมูลข่าวสารหลายๆ ด้าน พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ร้อยละ 15.39 อยาก ให้ญาติพี่น้องของผู้ชุมนุมติดต่อหรือขอร้องให้กลับบ้าน /เลิกเข้าร่วมการชุมนุม ร้อยละ 14.20 สวดมนต์ ขอพร ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุ้มครอง ปกปักรักษาประเทศชาติและคนไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองครั้งนี้ไปได้ด้วยดี และร้อยละ 6.81 ไม่แสดงความคิดเห็นหรือพูดคุยเรื่องการเมืองในที่สาธารณะ

303 คณาจารย์เรียกร้องสื่อเป็นกลาง

คณาจารย์ 303 คน จาก 14 สถาบัน นำโดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงาน ได้แสดงจุดยืนและข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 1.รัฐบาลต้องจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็น กลาง โดยเสนอให้แต่งตั้งจากบุคคล 4 ฝ่าย คือผู้เชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์หลักฐาน ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมฝูงชน และตัวแทนจากกลุ่มนักวิชาการทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา ทำหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงและรายงานต่อประชาชนโดยเร็วที่สุด ขั้นต้นต้องรายงานผลได้ภายใน 24 ช.ม.และทุกวัน จนกว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

2.การรักษากฎหมายของบ้านเมืองยังจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ผู้ชุมนุมควรเลิกกระทำการในสิ่งที่ผิดกฎหมายและถอนตัวจากพื้นที่แยกราชประสงค์กลับคืนมาที่สะพานผ่านฟ้าฯ หรือยุติการชุมนุมชั่วคราว นอกจากนี้การใช้กระบวนการควบคุมฝูงชนไม่ควรทำหลังจากเวลา 17.30 น. เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน การควบคุมสถานการณ์ยากลำบาก 3.ขอเรียกร้องให้สื่อเสนอข่าวเป็นกลาง นำเสนอข้อเท็จจริง

4.ขอเรียกร้องให้เปิดโต๊ะเจรจายุติศึกชั่วคราว เจรจาในประเด็นการร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ เฉพาะหน้า โดยรัฐมีข้อเสนอเพียงให้ย้ายที่ชุมนุม ไปสะพานผ่านฟ้าฯและนปช.มีข้อเสนอเพียงการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและยกเลิกหมายจับแกนนำ ไม่จำเป็นต้องเจรจาเรื่องอื่นซึ่งยากจะได้ข้อยุติ 5.ในการประสานให้เกิดการเจรจา กลุ่ม 303 คณาจารย์ ยินดีเป็นคนกลางประสานกับทุกฝ่าย ขอเรียกร้องให้กลุ่ม 155 นักวิชาการที่เสนอให้ยุบสภาใน 3 เดือน เข้ามาร่วมประสานให้เกิดการเจรจา ซึ่งหากเห็นร่วมกัน จะได้นัดหมายให้มีการเจรจาโดยเร็ว

จอนเสนอทางออกวิกฤต

ด้านนายจอน อึ๊งภากรณ์ อดีตส.ว.กทม. เขียนบทความ 2 เรื่องคือ 1.กระจกที่สะท้อนคุณภาพของนายกฯ และ2.สังคมสองมาตรฐานย่อมไถลไปสู่สงครามกลางเมืองและความป่าเถื่อน ทางออกมีทางเดียว...ต้องกลับมา สู่มาตรฐาน เดียวกัน โดยระบุตอนหนึ่งว่า ในประเทศประชาธิปไตยที่มีอารยธรรมเขาไม่ใช้ทหารปราบประชาชนในประเทศ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้นายกฯย่อมอยู่ต่อไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายอภิสิทธิ์ ต่างไม่เข้าใจมารยาททางการเมือง และคำกล่าวเสียใจต่อเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่แสดงความรับผิดชอบ ย่อมไม่สามารถเยียวยาผู้ที่ได้รับการสูญเสียทั้งประเทศได้ ต่อไปนี้ทุกครั้งที่นายอภิสิทธิ์มองหน้าตัวเองในกระจกก็ย่อมจะเห็นหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายจอนระบุด้วยว่า ขอเสนอทางออกในการแก้วิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ง่ายนักว่า 1.ต้องมีการเลือกตั้งโดยเร็ว 2.ทุกพรรคให้สัญญาต่อประชาชนว่าใครชนะเลือกตั้ง จะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยพลการ แต่จะดูแลให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยเร็ว ที่มีประชาชนทุกกลุ่มทุกส่วนเป็นสมาชิกมาจากการเลือกตั้งในกลุ่มของตน แต่ละพรรคเสนอรูปแบบโครงสร้างสสร.ที่พรรคนั้นเห็นว่าเหมาะสมระหว่างการหาเสียงเพื่อให้ประชาชนได้เลือก 3.กลุ่มพลังทางการเมืองทุกฝ่ายตกลงร่วมกันงดการชุมนุมทุกรูปแบบระหว่างการเลือกตั้ง การร่างรัฐธรรมนูญและเคารพต่อผลการเลือกตั้งและการร่างรัฐธรรมนูญ 4.รัฐธรรมนูญใหม่ร่างเสร็จภายใน 9 เดือนและทำประชามติ ถ้าเริ่มต้นสร้างมาตรฐานเดียวกันได้อย่างนี้ สังคมไทยยังมีความหวัง

องคมนตรีแนะใช้สติ-เจรจาหาข้อยุติ

ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการปะทะกันเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ไม่ว่าทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมทั้งคนเสื้อแดง เพราะทุกฝ่ายถือเป็นคนไทยด้วยกัน ซึ่งจะไปเยี่ยมทุกโรงพยาบาล เช่น ที่ร.พ.ราชวิถี หัวเฉียว จุฬาฯ ศิริราช เท่าที่จะทำได้ ไม่ได้ตั้งใจเยี่ยมเฉพาะทหาร

"วันนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร เป็นเรื่องของดวง ขอใช้คำว่าซวยอีกแล้วที่ต้องมาดูแลคนที่บาดเจ็บเนื่องจากคนไทยสู้กันเอง เราเสียใจ และเสียดายกับผู้ที่เสียชีวิตไป จึงมาเยี่ยมในฐานะกรรมการมูลนิธิสายใจไทย ไม่ได้มาพูดในนามองคมนตรี ปัญหาที่มีขึ้นเป็นเรื่องการเมือง เราคงไปยุ่งไม่ได้ แต่ขอฝากถึงประชาชนว่า ขอให้มีสติกันมากขึ้น คิดเสียหน่อย ทำในสิ่งที่ถูก การที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น มีความเห็นได้ แต่ต้องมาพูดจากันหาข้อยุติว่าแล้วอะไรมันดีที่สุด แต่ถ้าเรามีความเห็นของเราแล้วเราปักใจว่าของเราถูก ต้องเป็นของเราเท่านั้น ไปบังคับให้เป็นไปตามนั้น อันนี้คือปัญหาที่เกิดขึ้น" องคมนตรี กล่าว

สมชายบี้ครม.แสดงความรับผิดชอบ

เวลา 11.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสุนีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กว่า 20 คน เดินสายเยี่ยมผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งโรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลวชิระ โรงพยาบาลรามาฯ และโรงพยาบาลหัวเฉียว นายสมชาย ได้มอบเงินช่วยเหลือให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บ

นายสมชาย ออกแถลงการณ์ 1.แสดงความเสียใจกับญาติผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต บาดเจ็บ สดุดีต่อความกล้าหาญเยี่ยงวีรชน และเสียใจต่อทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ 2.เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากคำสั่งของรัฐบาล ที่บังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและใช้กำลังทหารแก้ปัญหาทางการเมือง ทั้งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องเพียงให้ยุบสภา แต่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง นายกฯ ประกาศว่าจะไม่สลายการชุมนุม แต่ 2 วันหลังจากนั้นกลับสั่งการให้ทหารพร้อมอาวุธเข้าสลาย อ้างเพียงแค่ต้องการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม เหตุที่ประชาชน ตายและบาดเจ็บจำนวนมากจึงมีต้นเหตุมาจากคำสั่งของรัฐบาล และรัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันกลับปล่อยให้เอเอสทีวีและช่อง 11 ที่มีรายการสร้างความแตกแยกออกอากาศได้ จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ 3.รัฐบาลได้ใช้อำนาจจนเกิดความสูญเสีย อย่างร้ายแรง จึงเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีร่วมกันแสดงความรับผิดชอบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะนายกฯไม่ควรพูดในลักษณะโยนความผิดให้กับผู้ชุมนุมและมือที่ 3

เร่งพรรคร่วมแสดงจุดยืน"สั่งสลาย"

นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ได้เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลสลับขั้วทางการเมือง หรือย้ายข้างมาร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพรรคร่วมรัฐบาลควรแสดงความรับผิดชอบ แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยที่นายกฯ ตัดสินใจสั่งให้ทหารสลายการชุมนุม เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยพยายามเสนอให้นายกฯ ลาออกและทุกพรรคมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อจัดการเลือกตั้งในระยะเวลาสั้นๆ นายสมชาย กล่าวว่า ไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยเสนออะไรอย่างไร แต่เมื่อสถานการณ์มาถึงวันนี้รัฐบาลก็ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหา จะเจรจาหรือยุบสภาก็ควรจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีใครรับได้ และที่สำคัญคือสังคมโลกก็รับไม่ได้

นายสมชาย กล่าวว่าการตัดสินใจยุบสภา เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้สถานการณ์สงบลง เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา แต่การดำเนินการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่จะเชิญอดีตนายกฯ มาเป็นตัวกลางในการเจรจาและแก้ไขปัญหาของประเทศ ขณะนี้คงไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาอีกต่อไป คณะกรรมการสิทธิฯควรไปตรวจสอบว่าการสั่งให้ทหารเข้าสลายการชุมนุม โดยมีการใช้อาวุธสงครามนั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อถามว่าหากสถานการณ์ยังรุนแรงอยู่จะมีโอกาสเกิดการปฏิวัติหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า หากเกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีกก็เท่ากับว่าทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง

เวลา 16.30 น. ที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย และนายไพรพนา ศรีเสน กรรมการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย ออกแถลงการณ์ การช่วยเหลือผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม โดยระบุว่า ทั้งสองมูลนิธิและสมาพันธ์ประชาธิปไตย ได้ตั้งกองทุนช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคได้ที่ธ.กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขานางเลิ้ง เลขที่ 062-2-41611-5 และได้มอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวของนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ คนเสื้อแดงซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เป็นเงิน 10,000 บาทด้วย

เทือกนัดพรรคร่วมฯถก

เวลา 14.00 น. ที่ศอฉ. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผอ.ศอฉ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ที่กรมทหารราบที่ 11 บางเขน ว่า เป็นปกติเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องมาหารือ ปรึกษากัน ตนจะพยายามประสานกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อหารือพูดคุย ช่วยกันคิดว่าในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้เราต้องทำอะไรกันบ้าง กี่อย่าง เป็นปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงวันนี้คิดว่าปัญหาขณะนี้ไปไกลกว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามระบบ แต่เป็นการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างการปกครองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คิดว่าบางฝ่ายคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปตามใจที่เขาปรารถนา ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับใจของคนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ แต่ในส่วนของพวกเราต้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างนี้ต่อไป และต้องต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่เห็นว่าดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ต้องช่วยกันทำหน้าที่ไม่เฉพาะนักการเมือง แต่รวมถึงสื่อมวลชนด้วย คือต้องพูดกันตามความเป็นจริง เพราะขณะนี้มีการบิดเบือนมีการสร้างภาพให้เห็นผิดไปจากข้อเท็จจริง ผิดไปจากความเป็นจริง มีการปลุกปั่นให้คนไทยโกรธ เกลียด แค้น กันมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์

พร้อมเสียสละเพื่อประเทศสงบ

นายสุเทพกล่าวว่า สิ่งที่พยายามต่อไปนี้คือบอกกับคนที่มาร่วมชุมนุมว่า ได้มาแสดงออกอะไรไปมากแล้ว กลับบ้านเถิด ให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อยสักระยะหนึ่ง และอะไรที่เป็นเรื่องทางการเมืองก็มาเจรจา มาว่ากันไปตามวิถีทางทางการเมือง ส่วนผู้ที่แฝงตัวมาในการกระทำความผิดนั้นก็เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนร้าย ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้เสถียร ภาพรัฐบาลกระทบกระเทือนไปด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอาจมีความไม่สบายใจ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดอย่างนั้น ยังมีความมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจเหตุการณ์ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกขั้นตอนในการตัดสินใจในการดำเนินการนั้นได้บอกให้พรรคร่วมทราบตลอด แม้แต่ในวันที่ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หัวหน้าพรรคร่วมก็มานั่งอยู่ที่นี่แถลงพร้อมนายกฯ

เมื่อถามถึงกรณีที่จะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้ได้หารือกันก่อนแล้วจะมารายงานความก้าวหน้าให้ทราบ เมื่อถามถึงความรับผิดชอบร่วมกันนายสุเทพ กล่าวว่า เรารับผิดชอบร่วมกันมาตลอด ทุกขั้นตอนปรึกษาหารือกันมาตลอด และจะทำอย่างนั้นต่อไป ยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำงานต่อไป รัฐบาลไม่มีสิทธิท้อแท้ ท้อถอย ต้องปฏิบัติหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ต้องเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เมื่อถามว่านายสุเทพอาจจะต้องเสียสละตัวเองเพื่อที่จะรักษารัฐบาลไว้ นายสุเทพ กล่าวว่า "ไม่มีปัญหาครับ สำหรับผม ถ้าทำอะไรให้ประเทศไทยอยู่อย่างสงบได้ ให้บ้านเมืองคืนกลับสู่ความสงบสุข เรียบร้อยได้ ผมยินดีครับ ไม่มีปัญหา"

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคร่วมจะเสนอให้นายกฯพิจารณาพระราชกฤษฎีกากำหนดวันยุบสภา นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ได้ข่าว

พรรคร่วมฯนัดถกกันก่อนคุยปชป.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่ายนายสุเทพพยายามโทร.ติดต่อบรรดาแกนนำพรรคร่วมให้มาหารืออีกครั้งในช่วงเย็น บางคนติดต่อได้ บางคนติดต่อไม่ได้ บางคนรับสายแต่อ้างว่าอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด กระทั่งเวลา 18.00 น. ยังไม่มีแกนนำพรรคร่วมคนใดมาหารือตามคำเชิญ โดยก่อนหน้านี้เวลา 14.00 น. ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อ นายสุเทพได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นัดหมายกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือแก้ปัญหาบ้านเมืองในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้

รายงานข่าวจากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเผยว่า หลังเกิดเหตุปะทะของทหารและคนเสื้อแดง จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แกนนำพรรคร่วมต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกันคร่าวๆ ส่วนใหญ่ไม่สบายใจและเห็นตรงกันว่า นายอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง หากให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปจะอยู่ลำบาก แกนนำพรรคร่วมจึงเตรียมนัดหารือภายในโดยไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อกำหนดท่าทีและหาทางออกให้กับประเทศโดยเร็ว อาจภายใน 2-3 วันนี้ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะนำไปหารือกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป

แกนนำเห็นตรงกันต้องเร่งยุบสภา

รายงานข่าวระบุด้วยว่า เบื้องต้นเท่าที่พูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมเห็นตรงกันว่า การลาออกจากตำแหน่งนายกฯเพื่อแสดงความรับผิดชอบคงไม่พอ ไม่ช่วยให้ปัญหายุติ ต้องเร่งประกาศยุบสภาและรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ไม่ต้องกำหนดโรดแม็ป 9 เดือนอีกแล้ว หากปล่อยให้สถานการณ์บานปลายมากกว่านี้ ทหารอาจออกมาปฏิวัติได้

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า หลังนายกฯออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อกลางดึกวันที่ 10 เม.ย. ในวันที่ 11 เม.ย. นายสุเทพโทร.ติดต่อแกนนำพรรคร่วมให้เข้าหารือที่ ร.11 รอ. ที่ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แต่ปรากฏว่าแกนนำพรรคร่วมไม่มีใครยอมไป อ้างติดภารกิจ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลดละ พยายามติดต่อขอหารือต่อไป

เวลา 17.00 น. น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ยอมรับว่าได้รับการติดต่อให้ไปร่วมหารือกับนายกฯ ที่ ร.11 รอ.จริง แต่ไม่เดินทางไปเพราะไม่สะดวก เมื่อถามว่ามองเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. อย่างไร น.พ.ชวรัตน์กล่าวว่า ไม่วิจารณ์ ประเทศจะยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้น

หน่อยจี้มาร์คลาออก

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน ว่า นายอภิสิทธิ์ควรลาออกเพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ฝ่าย แล้วตั้งกรรมการกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ ตรวจสอบการใช้กำลังสลายการชุมนุม ผลออกมาอย่างไร ต้องใช้กฎหมายลงโทษฝ่ายที่ทำผิดอย่างเที่ยงธรรม จากนั้นเร่งรีบแก้ไขปัญหาระดับรากเหง้าในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทุกฝ่ายต้องร่วมเปิดไฟเขียวให้ประเทศไทยเดินหน้าโดย 1.จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ให้สภาเลือกผู้เหมาะสมเป็นนายกฯ หากไม่มีก็ให้ขออนุญาตยกเว้นรัฐธรรมนูญสักหนึ่งมาตรา หาคนนอกมาเป็นนายกฯ รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นต้องกำหนดกรอบกติกาเลือกตั้งให้เป็นธรรม พอใจทุกฝ่าย ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณและการแต่งตั้งโยกย้าย จากนั้นรีบยุบสภาภายใน 3 เดือน

2.ก่อนเลือกตั้งต้องทำสัญญาประชาคม ผลออกมาอย่างไรต้องยุติความเคลื่อนไหวทุกกลุ่ม ระหว่างเตรียมการเลือกตั้ง ให้ทุกพรรคทุกสีทำพิมพ์เขียวแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้จุดนี้รณรงค์เลือกตั้ง หากประชาชนเลือกพรรคใดแสดงว่าให้ฉันทานุมัติพรรคนั้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องทำประชามติ และ 3.ให้ทุกฝ่ายเลิกแอบอ้างหรือพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องจริงใจ เสียสละและถอยคนละก้าว ให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ สำหรับแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติยังไม่ได้หารือกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย และผู้ชุมนุม อยากให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา ตนพร้อมเดินสายพูดคุยกับแกนนำพรรคร่วมด้วยตัวเอง

อธิการบดีมศวชี้รัฐบาลไม่เป็นผู้ใหญ่

ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ (มศว) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปะทะกันระหว่างทหารและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายเอาความตายของมนุษย์มาต่อสู้กันและมองเห็นความตายเป็นเรื่องไม่สำคัญ ทั้งนี้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็จะยกเรื่องราวการใช้กฎหมายและความถูกต้องโดยอิงกับกฎหมายเป็นตัวตั้ง หากมองทุกเรื่องโดยอิงกับกฎหมายจะมองไม่เห็นความเป็นคน จะมองเห็นแต่อำนาจ ความถูกต้อง โดยอิงกับเศรษฐกิจ รายได้ของประเทศ และระบบทุนนิยมเป็นหลักและจะมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวตนของคนในชาติ

"จากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมานี้พบว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่ทั้งรัฐบาลทำตัวเหมือนเด็กๆ เหตุที่พูดเช่นนี้เพราะรัฐบาลเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ต้องดูแลลูกๆ เมื่อลูกเกเรจะทำอย่างไรกับลูกของเรา รัฐบาลต้องมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ และนายกฯก็ฟังคนใกล้ตัวมากเกินไป จนลืมมองและไม่ได้ฟังให้รอบด้าน มีแต่วาทศิลป์ ที่ประดิษฐกรรมขึ้นมาเป็นคำพูดที่สวยหรูดูดี ทั้งนี้การกล่าวคำว่าเสียใจที่มีคนเสียชีวิตนั้นควรจะได้กล่าวแสดงให้เห็นถึงความเสียใจในเหตุการณ์นั้นจริงๆ และควรจะมีความรับผิดชอบ ซึ่งควรจะประกาศออกมาเลยว่า ต้องการจะเจรจาในวันรุ่งขึ้น และไม่จำเป็นต้องสร้างภาพกันด้วยการถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์ก็ได้" ศ.ดร.วิรุณ กล่าว

ศ.ดร.วิรุณ กล่าวอีกว่า เรากำลังใช้ความตายของมนุษย์มาเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องความชอบธรรมให้ฝ่ายของตัวเองมากเกินไป เมื่อไหร่ที่เราฟังแต่คนรอบตัวของตัวเอง ไม่ฟังคนให้รอบด้าน เราก็จะเห็นแต่เหตุผลของตัวเองเป็นหลัก จนมองไม่เห็นคนอื่นท้ายที่สุดเหตุการณ์ความรุนแรงจะยังไม่จบสิ้น คนไทยจะลุกขึ้นมาฆ่ากันอีก ซึ่งคนไทยควรตายด้วยเหตุอื่นมากกว่าจะมาเข่นฆ่ากันเอง รัฐบาลไม่ต้องมาพูดว่าใครผิดใครถูกอีกแล้วในตอนนี้ จะหาคนผิดก็ทำไปตามกระบวนการ แต่สิ่งที่ต้องเร่งทำอย่างด่วนที่สุดก็คือ รับผิดชอบและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจให้มากกว่านี้

ประสพสุขเผยวุฒิก้าวล่วงมากไม่ได้

นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงบทบาทของสมาชิกรัฐสภาในการหาทางออกวิกฤตการเมืองหลังมีการปะทะกันระหว่างทหารและผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ว่า สัปดาห์นี้ส.ว.คงไม่นัดหารือ เพราะ ส.ว.หลายคนกลับพื้นที่ไปแล้ว และคิดว่า ตอนนี้วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร คงยังทำอะไรไม่ได้มาก คงต้องดูรัฐบาลดำเนินการตามที่เห็นสมควร วุฒิสภาคงไปก้าวล่วงมากกว่านี้ไม่ได้ และตอนนี้ต้องให้รัฐบาลและแกนนำผู้ชุมนุมเจรจากัน คนอื่นเข้าไปยุ่งอีกจะยิ่งสับสน การประคองสถานการณ์ในขณะนี้อยู่ที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันหารือว่า จะทำอย่างไรต่อไป แต่เท่าที่ทราบ ส.ว.หลายคนก็พยายามช่วยประสานให้ทั้งสองฝ่ายมีการเจรจากันให้ได้ แต่คงต้องทำในทางลึก และคิดว่าหากจะมีการเจรจาครั้งที่ 3 แล้วถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์คงไม่เหมาะสม แต่ควรคุยในทางลับ ตกลงกันได้แล้วค่อยแถลง และแม้ว่าจะมีความสูญเสียจนทำให้นปช.ยืนกรานว่า รัฐบาลต้องยุบสภาทันทีเพียงอย่างเดียวนั้นคิดว่า ทุกอย่างยังคงเจรจากันได้อยู่

เมื่อถามว่า ประเมินการดำเนินการของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เม.ย.อย่างไรเพราะปฏิบัติการผลักดันผู้ชุมนุมตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำมืด นายประสพสุข กล่าวว่า การขอคืนพื้นที่ต้องทำในตอนกลางวัน เมื่อเข้าเวลากลางคืนแล้วไม่ควรดำเนินการต่อ เพราะจะสับสน ไม่รู้ใครเป็นใคร อย่างไรก็ดีไม่ขอวิจารณ์การปฏิบัติการของรัฐบาล

นายวิทยา บูรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้วิกฤตว่า ยืนยันว่าขณะนี้คงไม่สามารถตั้งรัฐบาลแห่งชาติได้ เพราะการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้กระทำความผิดสั่งฆ่าประชาชนได้รับโทษก่อน เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนต้องรับผิดชอบชัดเจน

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
*************************************************

"ประวิตร" สงสัย คนชี้เป้าเด็ดหัว ผบ.หน่วยบูรพาพยัคฆ์

พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวกรณีถูกพาดพิงเป็นทหารแตงโมให้ข้อมูลกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ตนไม่อยากให้รัฐมนตรี ซึ่งเป็นทั้งผู้บังคับบัญชา และเพื่อนของตนเกิดความเสียหาย ซึ่งตนก็ไม่เคยเป็นคณะกรรมการทั้ง ศอ.รส.และ ศอฉ. ในการประชุมของ 2 หน่วยงานนี้ ก็ไม่เคยเข้าประชุม จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะไปรู้ความลับของที่ประชุมและไปบอกกับคนเสื้อแดง ซึ่งยอมรับว่าตนมีเพื่อนมาก มีหลายวงการ และในฐานะเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็พยายามแสวงหาข้อมูลต่างๆและ มาเรียนให้ท่านทราบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะรับรู้ข้อมูลของการประชุมและไปบอกกลุ่ม นปช.ตนไม่ใช่ทหารแตงโม ตนคือนายทหารที่เกษียณคนหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้มาทำหน้าที่เลขาฯ ทั้งนี้ ทหารที่ถูกฝึกมา และ ถูกสั่งสอนมาว่าอย่าเผยแพร่ความลับของทางราชการเด็ดขาด เป็นเรื่องที่เราท่องกันมาแต่เด็ก

“ ผมเชื่อว่าไม่มีทหารแตงโม มีแต่พวกสื่อมวลชนที่ตนยอมรับว่าเก่ง อาจจะไปถามคนโน่น คนนี้ และ เขียนข่าว พวกคุณคือแตงโมงมากกว่ามั้ง ไม่ใช่พวกผม และผมไม่เชื่อว่าทหารระดับสูงของ ศอฉ.และ ศอ.รส.จะเอาความลับไปเปิดเผยกับบุคคลอื่น ซึ่งทุกคนมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน มีความเป็นเอกภาพ ในส่วนของสื่อเองก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับ ศอฉ.ด้วยก็ไม่น่าจะรู้ข้อมูล สื่อเก่ง อาจจะไปสอบถามจากคนใกล้ชิด และ ไปประมวลเหตุการณ์ขึ้นมา ” พล.อ.นพดล กล่าวและว่า ส่วนที่มีข่าวว่า ตนสนิทสนมกับนางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์นั้น เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ว่าตนสนิทกับนักการเมืองเพียงคนเดียว อย่าง นายเชน เทือกสุบรรณ ก็ถือว่าสนิทสนมกันมากกว่าอีก โดยเฉพาะกับภริยา นอกจากนั้น ยังมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ซึ่งก็คุ้นเคยกัน

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นเลขาฯของ รมว. กห. กรณีที่มีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา จะมีการตั้งคณะตรวจสอบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคนยิงถึงรู้ว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชาและเล็งถูกคน พล .อ.นพดล กล่าวว่า ตนได้มีการพูดคุยกับรมว.กลาโหม ซึ่งท่านได้แสดงความเสียใจ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต คิดว่าเรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม และดำเนินการสอบสวน เอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการนำอาวุธสงครามยิงทหารที่เข้าสลายการชุมนุม พล.อ.นพดล กล่าวว่า อาวุธสงคราม เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะปราบปรามยาก คนที่ทำค่อนข้างจะเตรียมการดี คิดว่ากระบวนการยุติธรรม สามารถดำเนินการได้ ซึ่งการลักลอบขนอาวุธจากแนวชายแดน อาจจะเล็ดลอดเข้ามาบ้าง เหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งมีการใช้อาวุธสงครามยิงทหารและประชาชนนั้น ก็ไม่รู้เป็นใคร แต่ต้องมีการตรวจสอบต่อไป


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************

น้อมคารวะดวงวิญญาณผู้กล้าเพื่อประชาธิปไตย

เลือดระบอบ

เลือดหยดรดถนน คือเลือดข้นคนเสื้อแดง
บทเรียนราคาแพง จี้ระบอบตอบคำถาม
อภิสิทธิ์คนเดียวหรือ ควรลุกฮือควรติดตาม
เชื้อร้ายโรคลุกลาม ทั่วโคตรพงศ์และวงศา
คนไทยไม่มืดบอด ไม่หลุดรอดจากสายตา
คนยิงก็เพียงหมา เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง
เกิดซ้ำและเกิดซาก ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง
จากเตียงส่งเสียงยิง ดับญาติตนไม่สนใจ
อย่าร้องอย่างขี้ข้า ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่
เจ้าของคือผองไทย เลิกครรลองขอร้องมาร
เลือดนี้มีความหมาย เฮือกสุดท้ายให้กล่าวขาน
เหมาะสมล้มกระดาน สร้างรัฐหลวงของปวงชน”


โดยกรภพ เพ็ญแข
**********************************************

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

เสธ.แดงโฟนอิน ระบุมีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

เวลา 21.30 น . วันที่ 10 เมษายน กลุ่มเสื้อแดงพิษณุโลกประมาณ 150 คน ได้มารวมตัวกันบริเวณประตูทางเข้าศาลา กลางจังหวัดพิษณุโลก หลังมีเหตุสลายการชุมนุมในกรุงเทพฯ โดยต่างพกพาอารมณ์เดือดแค้นเจ้าหน้าที่ทหารและรัฐบาล ที่เข้าสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ได้ระดมตำรวจชุดปราบจลาจล สนธิกำลังกับอส. จังหวัดพิษณุโลก ปิด ประตูทางเข้า ไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงเข้าไปในศาลากลางได้

สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงครั้งนี้ แม้จะเต็มไปด้วยอารมรณ์โกรธแค้น แต่ก็มีการควบคุมไม่ให้ฝูงชนเข้าไปภายในศาลากลาง จังหวัดพิษณุโลก โดยปักหลักตั้งเต้นท์อยู่หน้าทางเข้าศาลากลางจังหวัด และระหว่างที่ชุมนุมกันอยู่ นางพรมนัส เพชรนาโกสีย์ แกนนำการ ชุมนุมครั้งนี้ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และพูดคุยผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมรับทราบด้วย

โดยเสธ.แดงระบุว่า “ มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาช่วยพวกเรา ฝ่ายเขาฝ่ายเราต่างได้รับบาดเจ็บไปด้วยกัน จนทหารแตกทัพกลับไป ขอให้พวกเรารวมตัวกันอยู่ตรงนี้อย่างเหนียวแน่น “


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************

จรัลยันข้อเรียกร้องเดียวของนปช.คือยุบสภา-ลาออก

นายจรัล ดิษฐาอภิไชย แกนนำนปช.กล่าวถึงสถานการณ์ของกลุมผู้ชุมนุมในขณะนี้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเจรจากับรัฐบางอีก เพราะการเจรจาเท่ากับประวิงเวลา นายกรัฐมนตรีควรยุบสภาหรือลาออก ตอนนี้มีเงื่อนไขใหม่เกิดขึ้นแล้วคือความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ซึ่งสำคัญกว่าการยกเลิกพรก.ฉุกเฉินแล้ว

นายจรัลยังไม่ปฏิเสธกรณีที่มีกองกำลังอื่นมาร่วมในม็อบแดง โดยบอกว่าเป็นการมาร่วมเองโดยธรรมชาติของคนกลุ่มอื่นที่ไม่ชอบรัฐบาล แต่ไม่เกี่ยวกับนปช. ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลมีศัตรูเยอะ และขณะนี้ได้เตรียมที่จะยื่นหนังสือต่อกรรมการสิทธิมนุษยชน เพราะทหารและรัฐบาลทำผิดหลักสิทธิมนุษยชน

ส่วนเรื่องการเจรจาเพื่อยุติปัญหาร่วมกนกับรัฐบาลนั้น นายจรัลบอกว่า สถานการณ์ ณ วันนี้ พรุ่งนี้ ยังเป็นสถานการณ์สู้รบอยู่ พรรคร่วมฯยังคุยกันไม่ได้เลย พวกเรารอไม่ได้แล้ว อยู่บนถนนมาเป็นเดือน

อย่างไรก็ตามนายจรัลบอกว่า ถึงแม้จะมีประกาศกฎอัยการศึกออกมา แต่ก็ไม่ได้มีผลกับเสื้อแดง นปช.เลย และการตั้งคกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงฯที่เกิดขึ้นตอนนี้ยังไม่สมควรทำ


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ขบเหลี่ยมลึกๆ !!!

อำนาจในกองทัพ ยังเต็มไม้เต็มฝีมือ อยู่ในคอนโทรล สั่งการ ของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ผู้เป็นจ่าฝูง แกนนำขุนศึก??การเคลื่อนกำลัง กรีฑาทัพ ออกจากกรมกองค่ายทหาร...ปฏิบัติการณ์ตาม “พ.ร.ก.ฉุนเฉิน” ...ที่ “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้ยาแรง เช็คบิล “เสื้อแดง” ให้ราบคาบ....“สิทธิ์ขาด” อำนาจเต็ม ยังเป็นเครื่องหมายการค้า ของ “บิ๊กป๊อก” ที่จะสั่งเคลื่อนกองทัพ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ผู้เป็นเดี่ยวมือสอง จะมาแย่งช็อต แย่งซีน อย่างข้ามหน้าข้ามตา คงจะไม่ได้!!!!!การเคลื่อนพลออกจากที่ตั้ง....ต้องเกิดจากคำสั่ง...ฟากฝั่ง “บิ๊กป๊อก” คนเดียวขอรับเจ้านาย???

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

อัด ‘ยาแรง’ ออกมาหลายโดส!!!

กระบวนยุทธ์มีกี่ท่า.... “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็งัดออกมาใช้หมด???“สลายกองทัพเสื้อแดง” ให้ราบเป็นหน้ากลอง.... “สงครามประชาชนกลางเมือง” สมรภูมินี้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ชน” ใช่จะกำชัยเด็ดขาดแสงสว่างปลายอุโมงค์ ชิง “ยุบสภา” ใน “๓ เดือน” ท่านจะได้ใจจากคนทั้งชาติถึงจะชิงยุบสภาฯไว เป็นปานกามหนุ่มนิต..แต่อย่าลืมว่า ช่วงรักษาการเป็น “รัฐบาล” อยู่นั้น... “นายกฯ อภิสิทธิชน” ยังได้โควตา วีซ่า เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่ออีก ๔๕ วันชนิดซำบาย!!!ทางออกช่องนี้ดีที่สุด... “นายกฯ มาร์ค” รีบชิงหัวมุด.....อย่าให้หลุดจากมือไป???

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

‘เต็งหาม’ ..นำแบบม้วนเดียวจบ!!!

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. “ฟ้าไม่ผ่าเสียก่อน” ท่านต้องได้เป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” ในการคุม “กองทัพนักรบ”???แต่ของที่ว่าแน่..บางทีก็ แน่นอนแช่แป้ง เหมือนกัน“บิ๊กน้อย” พล.อ.วิทย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รอง ผบ.ทบ. ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหัวโปรด “พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ก็มองข้าม ไม่ได้เชียวนะท่าน“พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง” เสนาธิการทหารบก ผู้มีเกียรติมาตั้งแต่กำเนิด... เป็นหนึ่งในตองอูสมัยเรียน ..หนำซ้ำยังเก่งยอดเยี่ยมด้านการงาน มีผลงานอย่างเปี่ยมล้น!!!และที่รู้มา ทั้ง “พล.อ.วิทย์” และ “พล.อ.พิรุณ”...เป็นเด็กสร้าง ของ “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร”....ที่สนับสนุน มาทั้งสองคน???

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

เป็น ‘นักบู๊’ สายเลือดเยี่ยม!!!

ผลงาน เป็นที่ประทับใจจ๊อด...พิสูจน์และดมได้ ว่า “เดอะอ๊อด” พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา” ที่ปรึกษาสบ. ๑๐ ....ยกนิ้วให้เลย มีผลงานยากหาใครมาเทียม???เป็นนายตำรวจใหญ่รุ่น ๒๘ ...เป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟ กับขุนศึกใหญ่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตท.รุ่น ๑๒ ผู้มีอำนาจและบทบาทเท่าที่รู้ “พล.อ.ประยุทธ์” ...หนุนสุดขั้ว เพื่อให้ “พล.ต.อ.ภาณุพงษ์” ขึ้นมาเป็น “ผบ.ตร.” คุมอำนาจทั้งนี้ เพราะ ผลงานคุณภาพคับแก้ว ของ “เดอะอ๊อด” พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา เข้าตาเป็นอันมาก.....ถึงจะมีคู่แข่ง “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” คอยเบียดทางนอก เพื่อแซงทางใน...แต่ด้วยเส้นทางที่เป็น “นายตำรวจนักธุรการ” จึงมีความเฉียบคม ไม่เพียงพอ!!!ฉะนั้น,ขอยินดีล่วงหน้า....กับ “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหราฯ”......ที่จะคว้าเก้าอี้ “ผอบอตอรอ”???

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

‘ข้อแม้’ ที่พากันกังขา!!!

เหตุที่ “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งโรดแม็ป ในการ “ยุบสภา ๙ เดือน” นั่นแหละ....ที่คนสงกะสัย กันเป็นนักเป็นหนา???เรื่องขอแก้ปัญหาเศรษฐกิจ “นายกฯ อภิสิทธิ์ชน” อ้างน้ำขุ่น ๆ .....เรื่องขอตั้งงบประมาณแผ่นดินใหม่ “อภิสิทธิ์ชน” ก็อ้างไปข้างๆ คูๆ ....ยิ่งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องยกเมฆอยู่ที่ “เงินกู้ ๔ แสนล้าน” ..ที่ยังค้างติ่ง ไม่ผ่านที่ประชุม “วุฒิสภา” นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ ต้องโยกเยก“งบก้อนนี้” เป็นเงินไว้ “สร้างถนน” จำนวนมหาศาลบานตะไท ...หากสร้างสำเร็จ ก็เป็นความดีความงาม โดยเฉพาะตัว ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้จัดการรัฐบาล และ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย !!!แต่เรื่องที่ลึกลับ ไม่ใช่เล่น....มีคนรอโซ้ย “ ๒๐ เปอร์เซ็นต์”.....ฟันกันเล่นๆ “๘ หมื่นล้าน” กันอย่างง่ายๆ


ตอดนิดตอดหน่อย
โดย.การบูร

มาตรฐานของการใช้กฎหมาย

เส้นแบ่งระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ คือ “การใช้อำนาจ” กับ “การใช้กฎหมาย” ...

-หนังสือพิมพ์ บางกอกทูเดย์ ฉบับใหม่วันเสาร์ที่ 10-วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2553...

-รัฐบาลปัจจุบันของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องความชอบธรรมของการได้มาซึ่งอำนาจบริหารกำลังจะต้องเผชิญชะตากรรมประชาธิปไตยในวังวนอำนาจปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 เหมือนรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยแต่ไม่ถูกใจเผด็จการ...

-เรื่องแปลกที่คนทั้งหลายในโลกงงก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพูดจาเหมือนท่องจำว่ารัฐบาลของเขามาจากการได้อำนาจบริหารทางประชาธิปไตย แต่ทำไมคนไทยกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มคือ เสื้อแดง ออกมาทวงประชาธิปไตยคืนให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชนแล้วเลือกตั้งกันใหม่ล่ะ...ใครกันแน่ที่เป็นประชาธิปไตยจริง? ใครกันแน่ที่เป็นประชาธิปไตยแอบแฝง หรือ กาฝากประชาธิปไตย?...

-แต่ที่แน่ๆ คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ในระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนการกระทำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างเต็มที่ และนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ ประชาธิปัตย์ ญาติดีกับ ทหารในกองทัพอย่างที่ไม่เคยมีการเอื้ออารีย์และเอื้ออาทรกันและกันมากมายมหาศาลอย่างนี้...นี่จะเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งของการเมืองไทยที่จะต้องจารึกไว้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลายไปว่าเด็กสร้างของชวน หลีกภัย ชื่ออภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ทำเรื่องอย่างนี้เอาไว้...

-ตัวอย่างประชาธิปไตยจากประเทศแม่แบบอย่างอังกฤษก็มีให้เห็นแล้ว เมื่อ กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรี ใช้ทางออกของประชาธิปไตย ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ 6 พ.ค. นี้...

-วันนี้การเมืองประเทศไทยที่มีการเรียกร้องประชาธิปไตยไปทั่วโลก จึงเปรียบได้กับมองโกเลียซึ่งกำลังมีการเรียกร้องประชาธิปไตยให้ยุบสภา...ไทย กับ มองโกเลีย จึงจับคู่เปรียบเทียบทางการเมืองในเวทีประชาธิปไตยของโลกว่าใครจะได้ประชาธิปไตยก่อนกัน อ้าวแล้วไหนนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่าประเทศเราเป็นประชาธิปไตยแล้วไงล่ะ?...

-และนี่ก็เป็นประกฏการณ์เป็นครั้งแรกในการเมืองไทยที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องให้ธาริษฐ เพ็งดิศ อธิบดีดีเอสไอ ออกมาตีความ คำสั่งศาลแพ่งเรื่องการชุมนุมของเสื้อแดง...นี่หรือคือวิธีสร้างประชาธิปไตยให้สวยงามแต่ไม่เคยสร้างมาตรฐานของการใช้กฎหมายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรวมถึงการบริหารการปกครองที่เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนทั่วหน้าได้เหมือนกันเท่าเทียมกันทั้งหมดนั้นมันมีได้อยู่ในโลกเดียวเท่านั้นแหละครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือโลกประชาธิปไตยในความฝันไม่ใช่โลกแห่งความจริง...

-มาจนถึงวันนี้ มด คันไฟ ยืนยันว่า สงบ สันติ และ สามัคคี และประชาธิปไตยของคนไทยจะเกิดขึ้นได้ มีทางออกเหลืออยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น คือ การยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเพราะปฏิกิริยากองทัพหลังสุดของทหารที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.บอกว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ต่อจากนี้ไปขึ้นอยู่กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเชื่อใครมากกว่ากันระหว่าง ตัวเอง กับ คนสั่งการ คนนั้นและผลของเรื่องนี้มันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่อชีวิตและครอบครัวของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว...

-ย้อน 19 ก.ย. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจากสหรัฐอเมริกา ยังยื้ออยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้เลย...ยังจำได้ไหม?..-/-

บางกอกกอสซิบ
มด คันไฟ
**************************************

เสื้อแดงยันไม่เผาศาลากลาง รอฟังคำสั่งแกนนำ นปช.

ที่บริเวณสนามหน้าศาลา จ.ศรีสะเกษ ได้มีกลุ่มเสื้อแดงประมาณ 100 คน เดินทางทยอยมาร่วมการชุมนุมเพื่อฟังคำสั่งจากแกนนำส่วนกลางและรอติดตามฟังสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยมีแกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศัยโจมตีรัฐบาล

นายพรชัย มะณีนิล แกนนำกลุ่มเสื้อแดง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การที่รัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวี เท่ากับเป็นการปิดหูปิดตาชาวบ้าน รัฐบาลดูถูกความคิดของชาวบ้าน เพราะการที่ชาวบ้านดูช่องของเสื้อแดง พวกเขาก็รู้จักวิเคราะห์ว่าอะไรควรเชื่อไม่ควรเชื่อ เหมือนกับช่องของรัฐบาลที่เปิดกรอกหูชาวบ้านทุกวัน เขาดูแล้วเขาก็วิเคราะห์ได้ ถ้าบอกว่าเขาดูช่องเสื้อแดงแล้วทำให้เกลียดรัฐบาล ทำไมเขาดูช่องรัฐบาลแล้วไม่เกลียดเสื้อแดงบ้าง

นายพรชัย กล่าวต่อว่า สำหรับการชุมนุมของเสื้อแดงจังหวัดศรีสะเกษ เราได้จัดให้มีการ์ดป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นจำนวน 200 คน ไว้สำหรับป้องกันการก่อเหตุรุนแรง เพราะเรายึดรูปแบบการชุมนุมแบบสันติ อหิงสา จะไม่มีการบุกขึ้นไปยึดศาลากลาง และไม่มีการเผาศาลากลางหรือสถานที่ราชการอย่างเด็ดขาด แต่หาก นปช.กรุงเทพถูกรัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม และถ้าได้รับคำสั่งจากแกนนำส่วนกลางพวกเราก็พร้อมจะปิดล้อมศาลากลาง โดยจะปิดล้อมเฉพาะประตูทางเข้าศาลากลาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าทำงานได้ ซึ่งถือเป็นมาตรการในการกดดันรัฐบาลป้องกันไม่ให้ใช้มาตรการรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*******************************************

ผู้ ประท้วงไทยบุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์

โดย KINAN SUCHAOVANICH
The Associated Press

กรุงเทพฯ -- กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลของไทยได้บุกเข้าไปยังพื้นที่ของสถานีสัญญาณ ดาวเทียมที่ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐตัดสัญญาณทีวี ในขณะที่ทหารและตำรวจปราบจราจลได้พยายามที่จะยันทัพด้วยแก๊ซน้ำตาและปืนน้ำ

นี่เป็น ครั้งแรกที่มีการใช้กำลังโดยรัฐบาลระหว่างการประท้วงที่กินเวลานับเดือนของ ผู้ชุมนุมที่ต้องการที่จะขับไล่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และให้มีการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในขณะเดียวกันได้มีการออกหมายจับโดยศาลต่อแกนนำผู้ประท้วงคนสำคัญจำนวน 3 คน

กลุ่ม ผู้ประท้วง"เสื้อแดง" ได้ขู่ที่จะบุกเข้าไปในอาคารหากผู้บัญชาการทหารไม่ออกมาเจรจากับพวกเขาเพื่อ ที่จะยกเลิกการปิดสถานีพีเพิ้ลแชนแนล หรือพีทีวี

ผู้ประท้วงได้ทำการ ข้ามขวากหนามที่ถูกวางไว้รอบบริษัทไทยคมในเวลาเพียงไม่กี่นาที แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปยังในอาคารได้ ในขณะต่อมากองกำลังทหารได้ขว้างแก๊สน้ำตาและยิงปืนฉีดน้ำเข้าใส่แต่ก็ต้อง ถอยร่นออกมาอย่างรวดเร็วเข้ามาในยังอาคารในขณะที่ผู้ประท้วงจำนวนนับพันๆคน ได้ทะลักล้นมาโดยรอบ

นายทหารบางท่านได้โยนโล่ห์และชุดเกราะของตนทิ้ง พร้อมกับจับมือกับเหล่าผู้ประท้วง ในขณะที่ผู้ประท้วงเสื้อแดงได้ยื่นน้ำไปให้กับทหารและตำรวจ

การยก ระดับการชุมนุมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้อันยาวนานระหว่างกลุ่มคน ยากจนส่วนใหญ่และผู้สนับสนุนจากชนบทของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มอำมาตย์ที่เผยว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจในการรัฐประหาร เมื่อปี 49 ผู้ชุมนุมมองว่านายอภิสิทธิ์นักเรียนอ๊อกฟอร์ดเป็นสัญลักษณ์ของอำมาตย์ และอ้างว่าเขาเข้ามาในตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้องตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 50 ด้วยความช่วยเหลือจากอิทธิพลจากกองทัพที่มีต่อรัฐสภา

ในสัปดาห์ที่ ผ่านมา ตำรวจที่ดูแลการชุมนุมได้แสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ประท้วงหลาย ครั้ง ในขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า กองกำลังโดยเฉพาะตำรวจได้เผื่อใจให้ ซึ่งทำให้เป็นการยากสำหรับรัฐบาลที่จะบังคับใช้กฏหมายต่างๆ

ในตอนต้น ผู้นำเสื้อแดงกล่าวว่าพวกเขาจะแยกกันเดินไปยังหลายจุดในกรุงฯในวันนี้ แต่ได้เปลี่ยนแผน โดยณัฐวุฒิ ไสยเกื้อกล่าวต่อผู้ชุมนุมว่า "เราจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียว"

"เราจะไปนำเอาสถานีพีเพิ้ลแชนแนล เรากลับมา" เขากล่าว

แถวของผู้ประท้วง, แนวของมอเตอร์ไซต์และรถปิคอัพ ได้ทำการส่งเสียงแตรสัญญาณและโบกธงแดงในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนตัวออกจาก จุดที่ประท้่วงหลักสองจุดใจกลางกรุงฯ เพื่อเคลื่อนตัวไปยังทิศเหนือประมาณ 45 กม. ไปยังออฟฟิศของไทยคมในจังหวัดปทุมฯ

ไทยคมถูกก่อตั้งโดยทักษิณ มหาเศรษฐีโทรคมนาคมที่เปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักการเมือง

หน่วยงานของ รัฐประเมินว่ามีผู้ชุมนุมราว 15,000 คนที่เคลื่อนตัว แต่โฆษกกองทัพ สรรเสริญ แก้วกำเนิด บอกว่าตัวเลขมีแค่ประมาณ 3,000 ตัวเลขทั้งสองนี้ล้วนต่ำกว่าตัวเลขสูงสุดที่เคยมีการประเมินคนกว่า 100,000 คนระหว่างการชุมนุมครั้งแรกๆเมื่อเดือนก่อน

พีทีวีถูกก่อตั้งและให้ ทุนโดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่เห็นอกเห็นใจ มีวิทยุชุมนุมกลุ่มเล็กๆหลายแห่งได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วยโดยการใช้โทร ศํพท์และเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิรก์

**************************************************

ผู้บาดเจ็บปะทะลาดหลุมแก้ว 22รายโดนแก๊สน้ำตา300ราย

นพ.แสงชัย ธีระปกรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า ล่าสุดขณะนี้มีการส่งผู้บาดเจ็บนำส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ชุมนุม 11 ราย ทหาร 4ราย และตำรวจ 1 ราย ส่วนอีก 1 รายยังไม่ยืนยันว่า เป็นทหารหรือ ผู้ชุมนุม ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเป็นบาดฉีกขาดจากการปะทะและกระแทกตามส่วนต่างๆ ของร่ายกาย โดยมีผู้บาดเจ็บหนัก 1 ราย มีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะ จึงได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลปทุมธานีแล้ว นอกจากนี้ยังมี 2 รายที่มีอาการกระดูกแตกที่ขา โดยเป็นทหาร 1 ราย และผู้ชุมนุม 1 ราย ซึ่งทั้งหมดนี้ทางแพทย์และ

พยาบาลได้เข้ารักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ในส่วนของทหาร 1 รายที่กระดูกแตกที่ขานั้น ขณะนี้รอทางกองทัพนำรถพยาบาลมารับเพื่อกลับไปรักษายังโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ต่อไป

นพ.แสงชัย กล่าวว่า หลังจากการปะทะรอบแรกที่มีการทยอยส่งผู้บาดเข้ามารักษาจำนวนมาก แต่ขณะนี้เริ่มซาลงแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลยังคงเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์หากมีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม ทั้งแพทย์ พยาบาล ตลอดยาและเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยังโรงพยาบาลชุมชนใกล้เคียงและโรงพยาบาลปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจังหวัดคอยให้การสนับสนุนและส่งต่อไปได้ อีกทั้งยังมีรถพยาบาลฉุกเฉิน และรถมูลนิธิที่คอยเตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน

ขณะที่ นพ.ทรงพล ชวาลตันพิพัทธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปทุมธานี กล่าวว่า มีผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะที่ไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว ส่งมารักษาที่โรงพยาบาล 7 ราย ในจำนวนนี้ เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม 5 ราย ซึ่งบาดเจ็บทั้งจากการได้รับแก๊สน้ำตาล และการปะทะกัน โดยในจำนวนนี้ 1 ราย ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ซึ่งพบรายเจาะ และทหาร 2 ราย ซึ่งถูกหินกระแทกที่คิ้ว 1 ราย ยาวประมาณ 3-4 ซม. และได้รับบาดเจ็บที่สะบักหัวไหล่ ทั้งนี้เป็นเพียงรายงานการบาดเจ็บเบื้องต้นเท่านั้น สำหรับผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะทั้งหมดไม่ทราบ เนื่องจากมีการส่งต่อไปโรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลลาดหลุมแก้ว และโรงพยาบาลลาดบัวหลวง เจ้าหน้าที่ออกหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน ประเมินว่าน่าจะมีแก๊สน้ำตา 300 ราย ส่วนที่มีรายงานแค่ 75 ราย เป็นเพียงผู้ถูกแสน้ำตา และมารับบริการที่หน่วยรถฉุกเฉิน และโรงพยาบาลเพื่อล้างตา นอกจากนั้น น่าจะมีผู้ได้รับแก๊สน้ำตาที่ล้างหน้าและล้างตัวกันเองประมาณ 200 ราย " การปะทะครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บสาหัส ส่วนกรณีทหารที่จะต้องส่งไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎ เนื่องจากกระดูกแตกนั้น เกิดจาก สาเหตุถูกเหยียบ



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************

แถลงการณ์ กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ นั้น

เรา กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเห็นและข้อเรียกร้อง ดังนี้

๑. เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นเสรีภาพที่รับรองไว้ใน รัฐธรรมนูญ และเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในรัฐเสรีประชาธิปไตย

๒. ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง คือ ให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน ๑๕ วัน ข้อเรียกร้องดังกล่าว เป็นข้อเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในรัฐเสรีประชาธิปไตย การปิดถนนและการยึดพื้นที่สาธารณะบางส่วน เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องให้รัฐบาลเจรจาต่อรองกับผู้ชุมนุม หากการกระทำดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายใด รัฐบาลและเจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายนั้นเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกัน ปราบปราม หรือลงโทษผู้กระทำผิดนั้นได้

๓. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ไม่เพียงต่อผู้ชุมนุมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประชาชนทั่วไปในวงกว้างอีกด้วย การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนเป็นสำคัญ

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จ จริง เราเห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ยังอยู่ในกรอบของการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ หากรัฐบาลต้องการให้ผู้ชุมนุมออกจากสถานที่สาธารณะ รัฐบาลสามารถใช้มาตรการอื่นๆได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนกรณีระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในแต่ละวันนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง

เมื่อพิจารณาถึง เนื้อหาของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก ทั้งในแง่ความเข้มข้นของมาตรการ และในแง่พื้นที่ซึ่งครอบคลุมในหลายจังหวัด

เรา เห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงยังไม่ถือเป็น “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ อันเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น และไม่ได้สัดส่วน

๔. มาตรา ๑๖ ของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ บัญญัติว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

นั่น หมายความว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของศาลปกครอง และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้เป็นคดีรัฐธรรมนูญ ส่วนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของศาลยุติธรรมหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำพิพากษาบรรทัดฐานยืนยันไว้ ความข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไม่ได้รับการประกันโดยองค์กรตุลาการเพียงพอ จนอาจทำให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกละเมิดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบได้

เรา เห็นว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เป็นไปเพื่อสลายการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐบาลต่อไป ไม่ใช่รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐ

ประกาศสถานการณ์ฉุก เฉินที่เกิดขึ้น มีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง เป็นการใช้อำนาจเพื่อทำให้มาตรการที่ปกติแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา ให้กลายเป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายในทางรูปแบบ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งครั้งนี้ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่กลับเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ตึงเครียดและรุนแรงมากขึ้น

เราขอ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข
รอง ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล

ในภาวะฉุกเฉิน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เย็นวันที่ 7 เมษายน

ด้วยเหตุผลว่าเพื่อควบคุมให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ขยายวงกว้างและยกระดับ ความกดดัน ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย โดยการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น

ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจใช้อำนาจนั้นหรือไม่ก็ตามที แต่ลำพังเพียงการประกาศภาวะ ฉุกเฉิน ก็ทำให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าที่ตึง เครียดอยู่แล้วเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

คำถามของคนทั่วไปก็คือจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ในวันนี้จบลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

ประการสำคัญก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมจะต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินก็ดี หรือการระดมพลังเข้ามาชุมนุมกดดันเรียกร้องทางการเมืองก็ดี

ไม่ใช่เครื่องมือในการเอาชนะคะคาน หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเพียงฝ่ายเดียว

แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการนำไปสู่การเจรจาเพื่อยุติปัญหา เพื่อให้สามารถแก้ไขรากเหง้าหรือต้นตอของความขัดแย้งได้อย่างแท้ จริง

วิธีการอื่นนอกเหนือไปจากการเจรจาไม่สามารถแก้ไขยุติความแตกแยกที่เกิดขึ้นได้ มีแต่จะยิ่งทำให้รอยร้าวในสังคมถ่างกว้างยิ่งขึ้น

เพราะอำนาจไม่สามารถครองใจคน ขณะที่ความรุนแรงก็ไม่เคยสร้างความสมานฉันท์ได้

แต่การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าการเดินหน้าเข้าห้ำหั่นกันนั้น สุดท้ายแล้วไม่มีใครจะเป็นผู้ชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และจะสร้างบรรยากาศของการเจรจาเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเลิกหรือลดการใส่ร้ายป้ายสีและใช้วาจาและท่าทีมุ่งร้ายต่อกัน

ไม่ว่าจะแสดงด้วยตนเองหรือผ่านกระบอกเสียงอย่างสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และทีวีของคนเสื้อแดง

ประโยชน์ที่สุดของการประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็คือการเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องฉุกคิด ว่าขณะนี้สถานการณ์มาถึงขีดขั้นใกล้จุดระเบิดเต็มทีแล้ว

ถ้ายังไม่รู้ตัว ภาวะฉุกเฉินก็จะเป็นตัวเร่งสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้นเสียเอง


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
************************************************