ยุบสภาเถิดครับ...ท่านนายกรัฐมนตรี..ไม่มีวิธีไหนจะทำให้บาปกรรมทั้งหลาย สิ้นสุดลงได้นอกจากวิธีการนี้..เพราะในหนทางที่มีอยู่นั้น..ท่านจะใช้หนทางใด
จะใช้แบบเมษายนปี 2552..พวกเสื้อแดงก็แก้เกมไว้แล้ว..จะใช้วิธีปลอมแดงเข้ามาสร้างเรื่อง..เอารถเมล์ออกมาเผา ทำให้เกิดจลาจล..ก็ไม่ใช่ของง่าย..เพราะ
เสื้อแดง..มาดใหม่ ใช้อยู่คาถาเดียวคือ..ไม่โกรธ-ไม่รุนแรงตั้งบังเกอร์ล่อ..รอเวลาให้เสื้อแดงบุกเข้าไป..เขาก็แค่ล้อมไว้..ไม่ยอมบุกผ่านประตูจะมีประชุมระดับชาติ..เสื้อแดงก็แทบจะไม่ให้ความสนใจ แถมยังใช้จดหมายและคำขอความเห็นใจ..กลายเป็นรัฐซ้อนรัฐ..ครั้นจะใช้...ขบวนการทางศาล..ก็เข้าทางฝ่ายเสื้อแดง..ที่ตะแบงบอกกับคนไทยทั้งชาติ..ว่าประเทศนี้มีไพร่มีผู้ดี...ไพร่ทำอะไรก็ผิด ผู้ดีทำอะไรก็ถูก..เสื้อแดง..ใช้วิธีเลียนแบบ..เสื้อเหลือง..แต่อยู่ในกรอบแห่ง
กฎหมายอย่างเคร่งครัด..เรื่องยึดสนามบินกับยึดทำเนียบ...ที่กลายเป็นเสี้ยนตำเท้าที่บ่งไม่ออกหรือไม่กล้าบ่ง...เพราะกลัวว่าความจริงมันจะทะลักออกมา..ความจริงที่ฝ่ายเสื้อเหลืองครอบครองไว้..ความจริงที่แม้แต่จะโกหกคนก็เชื่อความจริงที่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ชาติไทย..สภาพของประเทศไทยวันนี้ ไม่แตกต่างไปจากสภาพของรัฐบาลของ..ท่านนายกรัฐมนตรี..มันดูทรุดโทรมและวังเวงไปในแทบจะทุกด้าน..ไม่ว่า..การค้า..ความมั่นคง และการเมืองครั้นจะใช้
ทหารเข้ามาปิดล้อมและนำตัวม็อบหรือแกนนำม็อบไปดำเนินคดี..ก็สุดปัญญาที่จะทายคาดผลที่ยาวนานออกไปในวันหน้า..หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น..คำว่าไพร่กับผู้ดี..มันมีอยู่ในกองทัพหรือไม่...และที่สำคัญที่สุดนั้น..ทหารจะสังหารประชาชนได้นานแค่ไหน..โดยเฉพาะประชาชนคนมือเปล่าและส่วนใหญ่คือผู้หญิง นานแค่ไหนที่ทหารส่วนใหญ่...จะชักชวนกันปฏิเสธคำสั่ง..และหันข้างมาอยู่ฝ่ายประชาชนมองดูทุกรูปทุกแบบแล้ว คือกันไปทั่วทุกเหลี่ยมทุกๆ มุมแล้ว..เหลือ
อยู่ทางเดียว..คือยุบสภา..แล้วไปสู้กันในเรื่องศรัทธาประชาชนศรัทธา..ที่จะเปลี่ยนมาเป็นคะแนนเสียงให้กับฝ่ายชนะ..และ..ศรัทธาของประชาชน..ในระบอบประชาธิปไตย..ศรัทธาที่เป็น..ลมหายใจของ..ประเทศในโลกเสรียุบสภา...รักษาชาติรักษาแผ่นดินเอาไว้...ก่อนที่คำว่า “ไพร่” กับ “อำมาตย์” จะพาชาติ..แยกแตกเป็นเสี่ยงๆ
ที่มา.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************
วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553
"เพื่อไทย"เล็งออกโรดแมพ เสนอแนวทางแก้วิกฤติชาติ
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะทำงานประสานงานศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยของประชาชน (ศชปป.) หรือ วอร์รูม กล่าวว่า ในวันนี้ (6 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันจักรี แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองยังวิกฤติจำเป็นต้องประชุมหารือร่วมกัน โดยทางพรรคเพื่อไทยได้นัดประชุม ส.ส.และคณะกรรมการบริหารพรรค ในเวลา 14.00 น. เพื่อตัดสินใจถึงการแก้ไขวิกฤติทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นการยุบสภา ทั้งนี้จะมีองค์กรต่างๆ เข้าร่วมให้ความเห็นต่อการประชุมของพรรค และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้แสดงจุดยืนคำอธิบายชัดเจนทุกด้านคล้าย ๆ โรดแมพ ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมา
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯของพรรคเพื่อไทย มีหลายเรื่องที่ไม่สบายใจและมีคำเสนอแนะไปยังรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.พรรคไม่สบายใจที่รัฐบาลมองกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมเป็นศัตรู เพราะรัฐบาลพูดมาตลอดเหมือนเสื้อแดงเป็นศัตรูซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี
2.ไม่สบายใจที่รัฐบาลเพิ่มการโฆษณาชวนเชื่อว่าเสื้อแดงไม่ดี เป็นคนเลว เป็นกลุ่มที่เป็นภัยทางสังคมและกล่าวหาว่ามีวัตถุประสงค์มุ่งร้ายต่อสถาบัน
3.เมื่อใดที่รัฐบาลตัดสินใจ คิดสลายการชุมนุมโดยการทำร้ายประชาชน ทาง ส.ส.และสมาชิกพรรคจะต่อต้านรัฐบาลทุกรูปแบบ
4.ขอให้รัฐบาลส่งกำลังทหาร กลับกรม กอง เพื่อกองทัพได้ทำหน้าที่ป้องกันอธิปไตยได้เต็มกำลังความสามารถ เพราะไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลจะคงกำลังทหารไว้ในกรุงเทพฯ จำนวน 7 หมื่นนาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
5.กรณีที่มีคดีความ พรรคเพื่อไทยขอร้องให้กระบวนการยุติธรรมให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่มีสองมาตรฐาน แต่ต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกับฝ่ายอื่น โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือกลุ่มพันธมิตรฯ
6.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความแยกแตกของคนชาติโดยเร็วโดยการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทันที
7.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าการรื้อฟื้นการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง จะลดความรุนแรงด้วยการเจรจาได้ดีที่สุด หากปล่อยให้สถานการณ์สุกงอมอาจเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง อาจเกิดมิคสัญญีขึ้นในบ้านเมืองได้
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯของพรรคเพื่อไทย มีหลายเรื่องที่ไม่สบายใจและมีคำเสนอแนะไปยังรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.พรรคไม่สบายใจที่รัฐบาลมองกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมเป็นศัตรู เพราะรัฐบาลพูดมาตลอดเหมือนเสื้อแดงเป็นศัตรูซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี
2.ไม่สบายใจที่รัฐบาลเพิ่มการโฆษณาชวนเชื่อว่าเสื้อแดงไม่ดี เป็นคนเลว เป็นกลุ่มที่เป็นภัยทางสังคมและกล่าวหาว่ามีวัตถุประสงค์มุ่งร้ายต่อสถาบัน
3.เมื่อใดที่รัฐบาลตัดสินใจ คิดสลายการชุมนุมโดยการทำร้ายประชาชน ทาง ส.ส.และสมาชิกพรรคจะต่อต้านรัฐบาลทุกรูปแบบ
4.ขอให้รัฐบาลส่งกำลังทหาร กลับกรม กอง เพื่อกองทัพได้ทำหน้าที่ป้องกันอธิปไตยได้เต็มกำลังความสามารถ เพราะไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลจะคงกำลังทหารไว้ในกรุงเทพฯ จำนวน 7 หมื่นนาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
5.กรณีที่มีคดีความ พรรคเพื่อไทยขอร้องให้กระบวนการยุติธรรมให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่มีสองมาตรฐาน แต่ต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกับฝ่ายอื่น โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือกลุ่มพันธมิตรฯ
6.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความแยกแตกของคนชาติโดยเร็วโดยการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทันที
7.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าการรื้อฟื้นการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง จะลดความรุนแรงด้วยการเจรจาได้ดีที่สุด หากปล่อยให้สถานการณ์สุกงอมอาจเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง อาจเกิดมิคสัญญีขึ้นในบ้านเมืองได้
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
ทักษิณแจงงดลิงก์ ไม่ได้ป่วย ให้แดงสู้เพื่อปชต.
พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตเตอร์ชี้แจง ไม่ได้วิดีโอลิงก์ช่วงนี้ เนื่องจากต้องการให้เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยล้วนๆ ยันไม่ได้เจ็บป่วย แข็งแรงดี ขณะ บรรยากาศการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ...
เมื่อคืนวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา บรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ และ สะพานผ่านฟ้าฯ เป็นไปด้วยความสงบ แม้ว่าแกนนำ มีการบอกว่าอาจมีการสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งว่าเป็นไข้หวัดและเจ็บคอ ขอไม่วิดีโอลิงก์มาพูดกับผู้ชุมนุมในคืนนี้ (6เม.ย.)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ตามเวลาประเทศไทย วันที่ 7 เม.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตเตอร์ ระบุว่า "ผมต้องขออภัยท่ีไม่ค่อยได้ปราศัยช่วงนี้ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรหรอกครับ ผมแข็งแรงดี แต่อยากให้เวทีเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม ล้วนๆ"
ส่วนที่ จ.ร้อยเอ็ด เวลา 21.30 น. วันที่ 6 เม.ย. คนเสื้อแดงร้อยเอ็ดได้ตั้งเวที ติดตั้งเครื่องขยายเสียงกำลังสูง พร้อมจอและโปรเจคเตอร์ เพื่อถ่ายทอดเสียงและภาพการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และสี่แยกราชกระสงค์ ให้คนเสื้อแดงรอยเอ็ดดู สลับกับการให้แกนนำปราศรัยโจมตีรัฐบาล เพื่อรอคนเสื้อแดงจากต่างอำเภอเดินทางมาสมทบการชุมนุม ซึ่งเป็นปรากฏว่า มีคนเสื้อแดงจาก อ.อาจสามารถ มาจำนวนมากที่สุดรวมจำนวนกว่า 300 คน
ที่มา. Pitakthai.com
***********************************************
เมื่อคืนวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา บรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ และ สะพานผ่านฟ้าฯ เป็นไปด้วยความสงบ แม้ว่าแกนนำ มีการบอกว่าอาจมีการสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งว่าเป็นไข้หวัดและเจ็บคอ ขอไม่วิดีโอลิงก์มาพูดกับผู้ชุมนุมในคืนนี้ (6เม.ย.)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ตามเวลาประเทศไทย วันที่ 7 เม.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตเตอร์ ระบุว่า "ผมต้องขออภัยท่ีไม่ค่อยได้ปราศัยช่วงนี้ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรหรอกครับ ผมแข็งแรงดี แต่อยากให้เวทีเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม ล้วนๆ"
ส่วนที่ จ.ร้อยเอ็ด เวลา 21.30 น. วันที่ 6 เม.ย. คนเสื้อแดงร้อยเอ็ดได้ตั้งเวที ติดตั้งเครื่องขยายเสียงกำลังสูง พร้อมจอและโปรเจคเตอร์ เพื่อถ่ายทอดเสียงและภาพการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และสี่แยกราชกระสงค์ ให้คนเสื้อแดงรอยเอ็ดดู สลับกับการให้แกนนำปราศรัยโจมตีรัฐบาล เพื่อรอคนเสื้อแดงจากต่างอำเภอเดินทางมาสมทบการชุมนุม ซึ่งเป็นปรากฏว่า มีคนเสื้อแดงจาก อ.อาจสามารถ มาจำนวนมากที่สุดรวมจำนวนกว่า 300 คน
ที่มา. Pitakthai.com
***********************************************
วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553
“ ร้อยแสนล้านศรัตาวุธรัฐบาลอันธพาล ฤาจักอาจต้านพลังมหาประชาชน”
การต่อสู้ของคนเสื้อ แดง คงมิใช่เพียง 20 กว่าวันในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงปัจจุบันเท่านั้น แต่คนเสื้อแดงได้เริ่มต้นการต่อสู้ ตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่หลากหลาย แต่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อ “ประชาธิปไตย”
เพื่อโค่น “อำมาตยาธิปไตย”
การต่อสู้ของคน เสื้อแดง ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช) นั้นนอกจาก ประกอบด้วย สมาชิกนปช. พรรคเพื่อไทย แล้วยังประกอบด้วย ผู้มีหัวใจสีแดงอิสระจากพรรคเพื่อไทย เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท) กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย สมาคมชาวนา กลุ่มรถสิบล้อ เครือข่ายชาวนาต่างๆ คนชั้นกลาง นักธุรกิจ พระสงฆ์ที่รักชาติรักประชาธิปไตยและอีกมากมาย ที่ก่อตัวเป็น คนเสื้อแดง ไพร่ผู้ทระนง ทวงถามถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าคนเราเท่ากัน
ความ หมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อสืบสานภารกิจเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ผลิดอออกผลไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมี ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำคณะราษฎร เมื่อ 77 กว่าปี
แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศก้องชัดเจนว่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ
เป็นการ ต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเฉกเช่นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย หาใช่เพียงปัจจุบันสมัยแต่อย่างใด
พวก เขาคนเสื้อแดง จึงยืนหยัดต่อสู้ แม้จะยาวนาน พร้อมเหน็ดเหนื่อย เผชิญกับความยากลำบาก อดทนกับอากาศที่ร้อนระอุ ถิ่นฐานที่หลายคนไม่คุ้นเคย ห้องน้ำที่ระบายทุกข์ส่วนตัวที่ไม่สะดวกสบายนัก
แต่เพราะพวกเขามี “หัวใจสีแดง” หัวใจที่ร้อนรุ่ม เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทย เขาจึงเลือกที่จะสู้
การ เสียสละของคนเสื้อแดง จึงสมควรยกย่อง เป็นแบบอย่างให้สังคมไทย ใช่หรือไม่ ?
แม้พวกเขาไม่ได้มีหน้ามีตาเป็นคนเด่นดังในสังคม แม้พวกเขาส่วนใหญ่ยากจน แม้พวกเขาพูดภาษากรุงเทพฯไม่ชัดคำ แม้พวกเขาไม่ได้ใส่น้ำหอมในเนื้อตัว แม้พวกเขาผิวไม่ขาวโปร่ง แม้พวกเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์
แต่ไพร่อย่างพวกเขาล้วนมีจิตใจ กล้าสู้กล้าเสียสละ เฉกเช่น จิตใจที่กล้าหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย ผู้ซึ่งเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ที่มิอาจมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ในสังคมที่ปกครองโดยเผด็จการอำมาตย์ทหาร ปัจจุบัน
และมีแต่คนไร้ซึ่งหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
มีแต่คนรักชอบอำมาตย์ นิยมเผด็จการ ชื่นชมการแบ่งชั้นทางสังคมเท่านั้น ที่เมินเฉยและต่อต้านการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและทั่วโลกก็บ่งบอกให้รู้ว่า เมื่อใดที่ประชาชนทำการต่อต้านต่อสู้กับรัฐและผู้ปกครอง เมื่อนั้นรัฐและผู้ปกครองย่อมมีวิธีการกลยุทธ์ คุกคาม ทำลาย และปราบปราม ด้วยเช่นกัน
รัฐอภิสิทธิ์ปัจจุบัน นอกจากมีสื่อมวลชนทั้งของรัฐ ของเอกชน และของสาธารณะ ที่ใช้กลยุทธการสื่อสารครอบงำผู้คนในสังคมเพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อ แดงแล้ว
รัฐอภิสิทธิ์ ยังได้หยิบกฎหมายความมั่นคงที่ออกสมัยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาใช้เพื่อข่มขู่ คุกคาม ปราบปราม พร้อมบอกว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึกและได้ประกาศต่อสาธารณว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ให้ข่าวใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน ป้ายสีว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ให้คนเสื้อแดง เป็นผู้ร้าย เป็นดั่งปีศาจเพื่อให้ทั้งคนเสื้อแดง และไม่แดง เกิดความกลัว
แต่ สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว เขาหาเป็นเช่นนั้นไม่
คนเสื้อแดง เขายังคงยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม เพื่อความใฝ่ฝันของพวกเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ด้วยแนวทาง “สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ตามสิทธิเสรีภาพของระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่รัฐ อภิสิทธิ์ ก็เปิดทางใช้ให้เครือข่ายอำมาตย์ เช่น กลุ่มคนเสื้อสีชมพู กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตเป็นคนเสื้อเหลือง ผู้มีจุดยืนเอารัฐประหาร นิยมอำมาตย์ ไม่เอาประชาธิปไตย ได้เรียงแถวเข้าพบ และยังได้ ใช้กลไกองค์กรที่ตนเองผ่านงบประมาณออกมา เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายพลเมืองคนกรุงเทพฯ องค์กรพัฒนาเอกชนบางคนบางส่วน และอื่นๆ
เพื่อแสดงบทบาทไม่ให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ทั้งโดยตรงและซ่อนเงื่อน
ณ เวลานี้ นายอภิสิทธิ์ จึงค่อนมาทางไม่ยุบสภา แม้เคยเสนอว่าจะยุบภายใน 9 เดือนก็ตาม
ฤา สังคมไทย มิอาจหลีกเลี่ยง สงครามทางชนชั้นได้ ?
ระหว่าง ไพร่กับอำมาตย์ ระหว่างประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย
วิญญูชนทั้ง หลาย อย่าปล่อยให้รัฐอำมาตย์เหิมเกริมต่ออำนาจเพื่อขจัดคนเสื้อแดง จงร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงกันเถิด
เพราะ ประชาธิปไตย คืออนาคตของสังคมไทย
“ ร้อยแสนล้านศรัตาวุธรัฐบาลอันธพาล ฤาจักอาจต้านพลังมหาประชาชน”
“โค่น อำมาตย์ลงไป ประชาไท จงเจริญ”
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า
*************************************************
เพื่อโค่น “อำมาตยาธิปไตย”
การต่อสู้ของคน เสื้อแดง ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช) นั้นนอกจาก ประกอบด้วย สมาชิกนปช. พรรคเพื่อไทย แล้วยังประกอบด้วย ผู้มีหัวใจสีแดงอิสระจากพรรคเพื่อไทย เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท) กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย สมาคมชาวนา กลุ่มรถสิบล้อ เครือข่ายชาวนาต่างๆ คนชั้นกลาง นักธุรกิจ พระสงฆ์ที่รักชาติรักประชาธิปไตยและอีกมากมาย ที่ก่อตัวเป็น คนเสื้อแดง ไพร่ผู้ทระนง ทวงถามถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าคนเราเท่ากัน
ความ หมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อสืบสานภารกิจเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ผลิดอออกผลไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมี ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำคณะราษฎร เมื่อ 77 กว่าปี
แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศก้องชัดเจนว่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ
เป็นการ ต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเฉกเช่นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย หาใช่เพียงปัจจุบันสมัยแต่อย่างใด
พวก เขาคนเสื้อแดง จึงยืนหยัดต่อสู้ แม้จะยาวนาน พร้อมเหน็ดเหนื่อย เผชิญกับความยากลำบาก อดทนกับอากาศที่ร้อนระอุ ถิ่นฐานที่หลายคนไม่คุ้นเคย ห้องน้ำที่ระบายทุกข์ส่วนตัวที่ไม่สะดวกสบายนัก
แต่เพราะพวกเขามี “หัวใจสีแดง” หัวใจที่ร้อนรุ่ม เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทย เขาจึงเลือกที่จะสู้
การ เสียสละของคนเสื้อแดง จึงสมควรยกย่อง เป็นแบบอย่างให้สังคมไทย ใช่หรือไม่ ?
แม้พวกเขาไม่ได้มีหน้ามีตาเป็นคนเด่นดังในสังคม แม้พวกเขาส่วนใหญ่ยากจน แม้พวกเขาพูดภาษากรุงเทพฯไม่ชัดคำ แม้พวกเขาไม่ได้ใส่น้ำหอมในเนื้อตัว แม้พวกเขาผิวไม่ขาวโปร่ง แม้พวกเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์
แต่ไพร่อย่างพวกเขาล้วนมีจิตใจ กล้าสู้กล้าเสียสละ เฉกเช่น จิตใจที่กล้าหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย ผู้ซึ่งเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ที่มิอาจมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ในสังคมที่ปกครองโดยเผด็จการอำมาตย์ทหาร ปัจจุบัน
และมีแต่คนไร้ซึ่งหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
มีแต่คนรักชอบอำมาตย์ นิยมเผด็จการ ชื่นชมการแบ่งชั้นทางสังคมเท่านั้น ที่เมินเฉยและต่อต้านการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและทั่วโลกก็บ่งบอกให้รู้ว่า เมื่อใดที่ประชาชนทำการต่อต้านต่อสู้กับรัฐและผู้ปกครอง เมื่อนั้นรัฐและผู้ปกครองย่อมมีวิธีการกลยุทธ์ คุกคาม ทำลาย และปราบปราม ด้วยเช่นกัน
รัฐอภิสิทธิ์ปัจจุบัน นอกจากมีสื่อมวลชนทั้งของรัฐ ของเอกชน และของสาธารณะ ที่ใช้กลยุทธการสื่อสารครอบงำผู้คนในสังคมเพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อ แดงแล้ว
รัฐอภิสิทธิ์ ยังได้หยิบกฎหมายความมั่นคงที่ออกสมัยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาใช้เพื่อข่มขู่ คุกคาม ปราบปราม พร้อมบอกว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึกและได้ประกาศต่อสาธารณว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ให้ข่าวใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน ป้ายสีว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ให้คนเสื้อแดง เป็นผู้ร้าย เป็นดั่งปีศาจเพื่อให้ทั้งคนเสื้อแดง และไม่แดง เกิดความกลัว
แต่ สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว เขาหาเป็นเช่นนั้นไม่
คนเสื้อแดง เขายังคงยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม เพื่อความใฝ่ฝันของพวกเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ด้วยแนวทาง “สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ตามสิทธิเสรีภาพของระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่รัฐ อภิสิทธิ์ ก็เปิดทางใช้ให้เครือข่ายอำมาตย์ เช่น กลุ่มคนเสื้อสีชมพู กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตเป็นคนเสื้อเหลือง ผู้มีจุดยืนเอารัฐประหาร นิยมอำมาตย์ ไม่เอาประชาธิปไตย ได้เรียงแถวเข้าพบ และยังได้ ใช้กลไกองค์กรที่ตนเองผ่านงบประมาณออกมา เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายพลเมืองคนกรุงเทพฯ องค์กรพัฒนาเอกชนบางคนบางส่วน และอื่นๆ
เพื่อแสดงบทบาทไม่ให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ทั้งโดยตรงและซ่อนเงื่อน
ณ เวลานี้ นายอภิสิทธิ์ จึงค่อนมาทางไม่ยุบสภา แม้เคยเสนอว่าจะยุบภายใน 9 เดือนก็ตาม
ฤา สังคมไทย มิอาจหลีกเลี่ยง สงครามทางชนชั้นได้ ?
ระหว่าง ไพร่กับอำมาตย์ ระหว่างประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย
วิญญูชนทั้ง หลาย อย่าปล่อยให้รัฐอำมาตย์เหิมเกริมต่ออำนาจเพื่อขจัดคนเสื้อแดง จงร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงกันเถิด
เพราะ ประชาธิปไตย คืออนาคตของสังคมไทย
“ ร้อยแสนล้านศรัตาวุธรัฐบาลอันธพาล ฤาจักอาจต้านพลังมหาประชาชน”
“โค่น อำมาตย์ลงไป ประชาไท จงเจริญ”
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า
*************************************************
ทหารมึน! ป่วนกันเอง จยย.ปริศนาจอดใกล้ราบ 11 ส่งชุดกู้ระเบิดเช็ควุ่นวาย ที่แท้เป็นของทหารในค่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 6 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่า พบรถจักรยานยนตร์ต้องสงสัยจอดไว้หน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 104/4-5 บริเวณฝั่งตรงข้ามกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 พัน.2) จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ รุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยกำลังทหารจำนวนหนึ่งที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้น โดยมี พล.ต.อุกฤษณ์ ณรงค์วิทย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (ผบ.มทบ.11) ในฐานะ ผบ.เหตุการณ์ ได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบด้วย ที่เกิดเหตุพบจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซุกิ สีเทา ทะเบียน กงว 560 นนทบุรี
ต่อมาเวลา 18.30 น. เจ้าหน้าที่นำสุนัขทหาร และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำรถต้องสงสัยไปไว้ที่ สน.บางเขน
กระทั่งเวลา 19.30 น. จ.ส.อ.สมควร วงษ์สุกรรม ทหารสังกัดกรมพลาธิการทหารบก เจ้าของรถจักรยนต์ต้องสงสัยได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ โดยระบุว่าได้นำรถจักรยานยนตร์มาจอดไว้ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เพื่อจะติดรถยนต์เพื่อนไปซื้อของย่านรังสิต โดยไม่คิดว่าจะทำให้กลายเป็นประเด็นทำให้คิดว่า เป็นรถต้องสงสัยที่จะสร้างสถานการณ์ เนื่องจากเห็นว่าอาคารที่นำรถไปจอดปิดอยู่ และคิดว่าไม่มีคนอาศัย จากนั้นจึงเดินทางไปยัง สน.บางเขน เพื่อติดต่อขอรถกลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************
ต่อมาเวลา 18.30 น. เจ้าหน้าที่นำสุนัขทหาร และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำรถต้องสงสัยไปไว้ที่ สน.บางเขน
กระทั่งเวลา 19.30 น. จ.ส.อ.สมควร วงษ์สุกรรม ทหารสังกัดกรมพลาธิการทหารบก เจ้าของรถจักรยนต์ต้องสงสัยได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ โดยระบุว่าได้นำรถจักรยานยนตร์มาจอดไว้ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เพื่อจะติดรถยนต์เพื่อนไปซื้อของย่านรังสิต โดยไม่คิดว่าจะทำให้กลายเป็นประเด็นทำให้คิดว่า เป็นรถต้องสงสัยที่จะสร้างสถานการณ์ เนื่องจากเห็นว่าอาคารที่นำรถไปจอดปิดอยู่ และคิดว่าไม่มีคนอาศัย จากนั้นจึงเดินทางไปยัง สน.บางเขน เพื่อติดต่อขอรถกลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************
"เสธ.แดง"รับผ่านหน้า ปชป.อ้างจะไปรับ "ไตรรงค์"
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกระแสข่าวว่า อยู่ในที่เกิดเหตุขณะที่เกิดเหตุระเบิดที่พรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ตนได้ผ่านบริเวณพรรคประชาธิปัตย์จริง โดยนั่งรถยนต์ส่วนบุคคลขับมาจากด้านหน้ากรมยุทธศึกษาเลี้ยวขวาข้ามทางรถไฟสามเสน ผ่านหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยก่อนจะผ่านหน้าพรรคได้เปิดกระจกทักทายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้ระวังตัวเพราะทัพของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.กำลังจะเคลื่อนมาบุกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน สองเป้าหมายที่ นายอริสมันต์ จะไปบุก คือพรรคประชาธิปัตย์ และ บ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
“ ความผมเป็นห่วงท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองงนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายเก่าที่เคารพรัก จึงอยากแวะเข้าไปรับท่านออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากให้ถูกฆ่าทิ้ง เมื่อทัพแดงของนายอริสมันต์ บุกไปถึง แต่รู้ว่า ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ที่พรรค พอไปถึงก็ทักทายตำรวจที่ทำหน้าที่แถวนั้น ตำรวจก็มารุมรถยนต์ เพราะชอบ เสธ.แดง จากนั้นผมก็ขับรถผ่านหน้าที่ทำการพรรค มุ่งหน้าไปที่ แยกราชประสงค์ ต่อมาอีก 2 ชั่วโมง จึงเกิดระเบิดขึ้นที่พรรค ส่วนจะเป็นฝีมือพวกไหนนั้น คงพูดยาก แต่น่าจะเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ไม่พอใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ไม่รู้จักบุญคุณ เอ็ม 79 ที่ไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบฯ และ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล รวมถึงทำให้นายสุเทพ ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ดังนั้นเมือมีพวกทอดกฐินพี่เอ็มมา จึงให้ พี่เอ็มคืนกลับไปกับพี่เทพ เป็นการตอบแทน สมน้ำหน้า นี่ถือว่าน้อยไป ”
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วิธีทางแก้ไขสถานการณ์ให้กรุงเทพ ฯ ไม่มีระเบิด โดย นายสุเทพ ต้องลงนาม ปลด 3 คน คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.น. พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบ.บชก. เพราะคนพวกนี้ ใช้กำลังในการทหารและ ตำรวจออกมาเผชิญหน้ากับประชาชน จากนั้น นายสุเทพ ต้องลงนามปลดตัวเองออกจากตำแหน่ง พอลงนามเสร็จระเบิดก็จะหมดจากกรุงเทพ ฯ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
“ ความผมเป็นห่วงท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองงนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายเก่าที่เคารพรัก จึงอยากแวะเข้าไปรับท่านออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากให้ถูกฆ่าทิ้ง เมื่อทัพแดงของนายอริสมันต์ บุกไปถึง แต่รู้ว่า ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ที่พรรค พอไปถึงก็ทักทายตำรวจที่ทำหน้าที่แถวนั้น ตำรวจก็มารุมรถยนต์ เพราะชอบ เสธ.แดง จากนั้นผมก็ขับรถผ่านหน้าที่ทำการพรรค มุ่งหน้าไปที่ แยกราชประสงค์ ต่อมาอีก 2 ชั่วโมง จึงเกิดระเบิดขึ้นที่พรรค ส่วนจะเป็นฝีมือพวกไหนนั้น คงพูดยาก แต่น่าจะเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ไม่พอใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ไม่รู้จักบุญคุณ เอ็ม 79 ที่ไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบฯ และ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล รวมถึงทำให้นายสุเทพ ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ดังนั้นเมือมีพวกทอดกฐินพี่เอ็มมา จึงให้ พี่เอ็มคืนกลับไปกับพี่เทพ เป็นการตอบแทน สมน้ำหน้า นี่ถือว่าน้อยไป ”
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วิธีทางแก้ไขสถานการณ์ให้กรุงเทพ ฯ ไม่มีระเบิด โดย นายสุเทพ ต้องลงนาม ปลด 3 คน คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.น. พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบ.บชก. เพราะคนพวกนี้ ใช้กำลังในการทหารและ ตำรวจออกมาเผชิญหน้ากับประชาชน จากนั้น นายสุเทพ ต้องลงนามปลดตัวเองออกจากตำแหน่ง พอลงนามเสร็จระเบิดก็จะหมดจากกรุงเทพ ฯ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
นปช. คนเสื้อแดง.. กับกลลูกโซ่สุดยอดกลยุทธซุนวู
ในกระบวนการต่อสู้นั้น ซุนวู นับว่าเป็นผู้ที่เป็นสุดยอดแห่งความเป็นปรมาจารย์ด้านกลศึก โดยหลากหลายกลศึกนั้นก็ยังคงใช้ได้มาจนถึงทุกวันนี้... การต่อสู้ของ นปช. คนเสื้อแดงในครั้งนี้ได้มีการวางแผนรัดกุมรอบคอบมาเป็นอย่างดี.. โดยใช้บทเรียนจากเมื่อครั้งสงกรานต์เลือดปีที่แล้วมาเป็นตัวอย่าง.. ก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ แกนนำและคณะทำงานได้ร่วมกันทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพื่อให้การชุมนุมครั้งนี้ทุกอย่างออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด.. มีการเปิดปราศัยให้ความรู้ และสร้างฐานมวลชนโดยรอบอย่างจริงจัง และต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน.. มีการทดสอบการชุมนุมใหญ่ในที่ต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ.. มีการสร้างแนวร่วมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับมวลชน ขณะเดียวกันก็ทำลายความแข็งแกร่งของศัตรูลงไปด้วยในคราวเดียวกัน..
ในหลักพิชัยสงครามของซุนวูมีกลศึกชนิดหนึ่งเรียกว่า “กลลูกโซ่” กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า “เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่า จักปะทะด้วยมิได้เป็นอันขาด พึงใช้กลอุบายนานา ให้ศัตรูต่างถ่วงรั้งซึ่งกันและกันทำลายความแกร่งของศัตรู หรือร่วมมือกับพลังต่างๆทั้งมวล ร่วมกันโจมตี เพื่อขจัดความฮักเหิมของศัตรูไป”
การต่อสู้ครั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. วางเป้าหมายเอาไว้ที่การยุบสภาของ นายกอภิสิทธิ์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในการบริหารประเทศนี้ พูดง่าย ๆ อย่างตรงไปตรงมาก็คือ ต้องการให้พรรคเพื่อไทย ขึ้นไปบริหารประเทศแทนพรรคประชาธิปัตย์น่ะเอง.. แม้จะเป็นเป้าหมายค่อนข้างต่ำ เพราะการเปลี่ยนรัฐบาลขณะที่ “อำนาจนอก รัฐธรรมนูญ” ยังมีอยู่เต็มที่นั้น ก็ยังคงไม่สามารถทำให้ประชาชนได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มาได้..แต่ถึงอย่างไร การค่อย ๆ บ่อนเซาะทำลายฐานกำลังอำนาจของฝ่ายเผด็จการ ก็คือชัยชนะที่เบื้องต้น เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในเบื้องปลายนั่นเอง...ปัญหาอยู่ที่ว่าจะต้องดำเนินงาน การต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ทดท้อ จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา...
ขณะนี้ทหารก็ไม่มีเอกภาพในการที่จะผนึกกันเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งเพียง พอที่จะปราบปรามประชาชนได้อีกต่อไป.. ทหารเรือก็วางตัวเป็นกลาง และพร้อมจะเข้าข้างประชาชนผู้ถูกปราบปราม... ทหารบกก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มีเพียงกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์ เท่านั้นที่พอจะเป็นกองกำลังให้กับอำนาจฝ่ายเผด็จการได้..แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างแท้จริง เพราะยังไม่สามารถมาหาความชอบธรรมในการล้อมปราบได้...และอีกทางหนึ่งก็คือ ไม่มี่ใครรู้แน่ว่า นปช. กลุ่มคนเสื้อแดง มีกองกำลังติดอาวุธของตนเองอยู่บ้างหรือไม่..
การยึดพื้นที่ส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ คือ บริเวณราชประสงค์นั้น เป็นแนวทางที่สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อย่างมาก.. รัฐบาลได้ตั้ง ศอ. รส. ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกองบัญชาการเพื่อจะทำการปราบปรามประชาชนโดยเฉพาะ..แม้จะ พยายามหาข้อกล่าวหาและข้ออ้างโดยการโจมตีใส่ร้ายพี่น้องประชาชนผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตยมากเพียงใด.. การชุมนุมของผู้คนก็มิได้ลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มทวีขึ้นอย่างมากมาย..
การเคลื่อนขบวนไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ ของคนเสื้อแดงถึง 2 ครั้งได้รับการต้อนรับตลอด 2 ข้างทาง โดยเป็นการออกมาให้กำลังใจของประชาชนทั่วทั้งกรุงเทพฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาชนไทยโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และพี่น้องต่างจังหวัดที่เป็นประชาชนคนธรรมดาๆ ไม่ได้มีอำนาจบารมี, หรือวาสนาใด ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ “ประชาชนชาวรากหญ้า” ทั้งหลายนั้น ต่างก็มีความรู้สึกอึดอัด และเหลือทนกับสภาพที่รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้อย่างเต็มที่ แล้ว
พวกเขาแต่ละคนก็ปรารถนาจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยนำเอาประชาธิปไตยมาเป็นของประเทศนี้อย่างแท้จริงเสียที.. ระบบ 2 มาตรฐานจะต้องถูกทำลายลง.. อำนาจนอกรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอยู่ในประเทศนี้...ประชาชนเท่านั้นที่ควรจะเป็น ผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง.. นักการเมืองจะต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เป็นเจ้านายเหนือประชาชน.. แม้ว่าการยุบสภา ในครั้งนี้จะยังไม่ใช่การได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ตาม..
แต่ทว่าการ “สะสมชัยชนะ” ก็เป็นหนทางที่เหมาะสม ที่ควรจะนำพาไปสู่การต่อสู้ในขั้นที่สูงขึ้น.. แม้รัฐบาลทั้งนายกอภิสิทธิ์ และนายสุเทพฯ ต่างก็ “กระ...นกระหือรือ” ที่จะทำการ “ล้อมปราบ” คนเสื้อแดงให้ได้ โดยจะใช้ 6 ตุลาคม 2519 มาเป็น โมเดล คือการสร้างภาพให้คนเสื้อแดงกลายเป็น โจรผู้ร้ายในสายตาของคนทั้งชาติ แต่ครั้งนี้ “กลลูกโซ่” ที่ ถูก นปช. นำมาใช้นั้น ก็สามารถสลายกองกำลังที่ อำนาจเผด็จการเคยมีอยู่ในอ่อนลงได้อย่างสิ้นเชิง..
และเมื่อกองกำลังอำนาจของเผด็จการอ่อนลง นั่นก็หมายความว่า “อำนาจ การต่อรอง” ของฝ่ายประชาธิปไตยก็จะมีสูงขึ้นนั่นเอง... พี่น้องผู้ รักประชาธิปไตยทั้งหลาย เราได้ร่วมต่อสู้กันมา และเดินร่วมกันมาจนเกือบจะถึงปลายทางแห่งชัยชนะในเบื้องต้นแล้ว.. ขอให้พี่น้องทุกท่าน ร่วมกันเดินต่อไปอีกสักหน่อย แล้วเมื่อเราได้ชัยชนะแล้ว...เราทุกคนจะร่วมฉลองชัยด้วยกัน ทั้งประเทศ... ด้วยความสุขสดชื่นและมีหวัง
โดย.ปูนนก
***********************************************
ในหลักพิชัยสงครามของซุนวูมีกลศึกชนิดหนึ่งเรียกว่า “กลลูกโซ่” กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า “เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่า จักปะทะด้วยมิได้เป็นอันขาด พึงใช้กลอุบายนานา ให้ศัตรูต่างถ่วงรั้งซึ่งกันและกันทำลายความแกร่งของศัตรู หรือร่วมมือกับพลังต่างๆทั้งมวล ร่วมกันโจมตี เพื่อขจัดความฮักเหิมของศัตรูไป”
การต่อสู้ครั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. วางเป้าหมายเอาไว้ที่การยุบสภาของ นายกอภิสิทธิ์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในการบริหารประเทศนี้ พูดง่าย ๆ อย่างตรงไปตรงมาก็คือ ต้องการให้พรรคเพื่อไทย ขึ้นไปบริหารประเทศแทนพรรคประชาธิปัตย์น่ะเอง.. แม้จะเป็นเป้าหมายค่อนข้างต่ำ เพราะการเปลี่ยนรัฐบาลขณะที่ “อำนาจนอก รัฐธรรมนูญ” ยังมีอยู่เต็มที่นั้น ก็ยังคงไม่สามารถทำให้ประชาชนได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มาได้..แต่ถึงอย่างไร การค่อย ๆ บ่อนเซาะทำลายฐานกำลังอำนาจของฝ่ายเผด็จการ ก็คือชัยชนะที่เบื้องต้น เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในเบื้องปลายนั่นเอง...ปัญหาอยู่ที่ว่าจะต้องดำเนินงาน การต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ทดท้อ จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา...
ขณะนี้ทหารก็ไม่มีเอกภาพในการที่จะผนึกกันเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งเพียง พอที่จะปราบปรามประชาชนได้อีกต่อไป.. ทหารเรือก็วางตัวเป็นกลาง และพร้อมจะเข้าข้างประชาชนผู้ถูกปราบปราม... ทหารบกก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มีเพียงกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์ เท่านั้นที่พอจะเป็นกองกำลังให้กับอำนาจฝ่ายเผด็จการได้..แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างแท้จริง เพราะยังไม่สามารถมาหาความชอบธรรมในการล้อมปราบได้...และอีกทางหนึ่งก็คือ ไม่มี่ใครรู้แน่ว่า นปช. กลุ่มคนเสื้อแดง มีกองกำลังติดอาวุธของตนเองอยู่บ้างหรือไม่..
การยึดพื้นที่ส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ คือ บริเวณราชประสงค์นั้น เป็นแนวทางที่สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อย่างมาก.. รัฐบาลได้ตั้ง ศอ. รส. ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นกองบัญชาการเพื่อจะทำการปราบปรามประชาชนโดยเฉพาะ..แม้จะ พยายามหาข้อกล่าวหาและข้ออ้างโดยการโจมตีใส่ร้ายพี่น้องประชาชนผู้เรียกร้อง ประชาธิปไตยมากเพียงใด.. การชุมนุมของผู้คนก็มิได้ลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มทวีขึ้นอย่างมากมาย..
การเคลื่อนขบวนไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ ของคนเสื้อแดงถึง 2 ครั้งได้รับการต้อนรับตลอด 2 ข้างทาง โดยเป็นการออกมาให้กำลังใจของประชาชนทั่วทั้งกรุงเทพฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาชนไทยโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และพี่น้องต่างจังหวัดที่เป็นประชาชนคนธรรมดาๆ ไม่ได้มีอำนาจบารมี, หรือวาสนาใด ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ “ประชาชนชาวรากหญ้า” ทั้งหลายนั้น ต่างก็มีความรู้สึกอึดอัด และเหลือทนกับสภาพที่รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้อย่างเต็มที่ แล้ว
พวกเขาแต่ละคนก็ปรารถนาจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยนำเอาประชาธิปไตยมาเป็นของประเทศนี้อย่างแท้จริงเสียที.. ระบบ 2 มาตรฐานจะต้องถูกทำลายลง.. อำนาจนอกรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอยู่ในประเทศนี้...ประชาชนเท่านั้นที่ควรจะเป็น ผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง.. นักการเมืองจะต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เป็นเจ้านายเหนือประชาชน.. แม้ว่าการยุบสภา ในครั้งนี้จะยังไม่ใช่การได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ตาม..
แต่ทว่าการ “สะสมชัยชนะ” ก็เป็นหนทางที่เหมาะสม ที่ควรจะนำพาไปสู่การต่อสู้ในขั้นที่สูงขึ้น.. แม้รัฐบาลทั้งนายกอภิสิทธิ์ และนายสุเทพฯ ต่างก็ “กระ...นกระหือรือ” ที่จะทำการ “ล้อมปราบ” คนเสื้อแดงให้ได้ โดยจะใช้ 6 ตุลาคม 2519 มาเป็น โมเดล คือการสร้างภาพให้คนเสื้อแดงกลายเป็น โจรผู้ร้ายในสายตาของคนทั้งชาติ แต่ครั้งนี้ “กลลูกโซ่” ที่ ถูก นปช. นำมาใช้นั้น ก็สามารถสลายกองกำลังที่ อำนาจเผด็จการเคยมีอยู่ในอ่อนลงได้อย่างสิ้นเชิง..
และเมื่อกองกำลังอำนาจของเผด็จการอ่อนลง นั่นก็หมายความว่า “อำนาจ การต่อรอง” ของฝ่ายประชาธิปไตยก็จะมีสูงขึ้นนั่นเอง... พี่น้องผู้ รักประชาธิปไตยทั้งหลาย เราได้ร่วมต่อสู้กันมา และเดินร่วมกันมาจนเกือบจะถึงปลายทางแห่งชัยชนะในเบื้องต้นแล้ว.. ขอให้พี่น้องทุกท่าน ร่วมกันเดินต่อไปอีกสักหน่อย แล้วเมื่อเราได้ชัยชนะแล้ว...เราทุกคนจะร่วมฉลองชัยด้วยกัน ทั้งประเทศ... ด้วยความสุขสดชื่นและมีหวัง
โดย.ปูนนก
***********************************************
คนสีลม ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจเสื้อแดง
เมื่อเวลา 14.20 น.ขบวนของนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เข้าสู่แยกอังรีดูนังค์ ปรากฏว่า รถของกลุ่มเสื้อแดง ได้เลี้ยวเข้ามาเต็มทุกช่องจราจร ทั้งขาเข้า และขาออกแยกศาลาเแดงยาวไปถึงอังรีดูนังค์ โดยใช้เวลากว่า 20 นาที รถขบวนนำจึงเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนสีลมได้
ทั้งนี้ 2 ข้างทางมีพนักงานตามห้างร้านที่ทำงานบริเวณดังกล่าว ได้ออกมาแสดงเสียงเชียร์สนับสนุน โบกผ้าแดง และหัวใจตีนตบให้กำลังใจ แต่ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ได้ปิดทำการ นอกจากนี้ ระหว่างเคลื่อนขบวนยังได้นำน้ำมาสาดเล่นกัน รวมถึงทาแป้งให้กับผู้ชุมด้วยกัน
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************
ทั้งนี้ 2 ข้างทางมีพนักงานตามห้างร้านที่ทำงานบริเวณดังกล่าว ได้ออกมาแสดงเสียงเชียร์สนับสนุน โบกผ้าแดง และหัวใจตีนตบให้กำลังใจ แต่ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ได้ปิดทำการ นอกจากนี้ ระหว่างเคลื่อนขบวนยังได้นำน้ำมาสาดเล่นกัน รวมถึงทาแป้งให้กับผู้ชุมด้วยกัน
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************
วอร์รูม’เหี้ยม! สั่งเลิกสุขา!
ทำให้ทุกฝ่ายของรัฐบาลมองว่า รอบนี้น่าจะจบในช่วงสงกรานต์นี้แหละ...จึงได้ยืนกรานไม่แคร์เรื่องการเจรจา แต่หาทางที่จะบีบทุกวิถีทางแต่วิชามารที่ร้ายที่สุด ที่ถูกงัดมาเสนอแนวคิดว่าจะใช้ก็คือ จะยืมมือหน่วยงานกรุงเทพมหานคร หรือ กทม.ให้ตัดการสนับสนุนเรื่องน้ำ เรื่องความสะอาด และเรื่องของห้องน้ำ กับผู้ชุมนุมถือเป็นเกมโหดผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หน่วยงานอย่าง กทม.ยืนยันไม่เห็นด้วยถึงวันนี้ การเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ของกลุ่มคนเสื้อแดง ของ นปช. ได้กลายเป็นแรงกดดันอย่างหนักหน่วงสำหรับนายอภิสิทธิ์ เวช
ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนพลมายึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์เป็นจุดชุมนุมกดดันรัฐบาล นอกเหนือจากพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯเป็นการแสดงออก หลังจากที่มีการเจรจา 2 รอบ แล้วนายอภิสิทธิ์ ยังคงสไตล์เดิมตามคำแนะนำของผู้ชักใย และผู้หนุนหลังว่า ให้ยืนกรานว่าจะต้องอยู่จนถึง 9 เดือนก่อน เพื่อที่จะใช้งบประมาณไตรมาสแรกปี 2554 กับมือรัฐบาลชุดนี้เสียก่อน ถึงจะยอมยุบสภาเมื่อขีดเส้นยืนกรานโดยไม่ฟังแม้แต่ความ
เห็นของนักวิชาการ ที่บอกว่าระยะเวลาใช้แค่ 3 เดือนก็เพียงพอแล้ว... เลยทำให้กลายเป็นเส้นขนานที่ยากบรรจบและทำให้ต้องงัดยุทธศาสตร์มารับมือกันและกันอย่างเต็มที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ชัดเจนง่ายๆ คือยึดกรอบของการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธส่วนการเพิ่มแรงกดดัน ก็ใช้การเคลื่อนพลไปชุมนุมในพื้นที่ซึ่งประเมินว่าน่าจะเรียกความสนใจจากสังคมโลก และทำให้รัฐบาลต้องทบทวนท่าทีแข็งกร้าวลงมาบ้างอ่านง่าย อ่านขาด รู้กัน
ชัดเจนทั่วโลกแต่ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ภายใต้กลุ่มคนเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนอมินี และนายกรัฐมนตรี Good Boy นี่สิ งัดสารพัดวิชามารมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดง หรือเพื่อกดดันให้กลุ่มคนในสังคมกรุงเทพฯ ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดงแทนรัฐบาลและที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเล่นกันเองในกลุ่มรัฐบาลและกลุ่มอำมาตย์ เห็นได้ชัดเจนก็คือ พอกลุ่มคนเสื้อแดงยึดสี่แยกราชประสงค์เป็นที่ชุมนุมใหญ่เรียกร้อง
ประชาธิปไตย ให้รัฐบาลยุบสภาทาง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส) ออกประกาศฉบับที่ 5 ให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่สี่แยกราชประสงค์งัดเอาพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาใช้ควบคุมพื้นที่ถนนราชดำริ ตั้งแต่ แยกราชประสงค์ ถึงแยกประตูน้ำ ถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ ถนนพระรามที่ 1 ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกปทุมวัน และถนนเพลินจิต ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกชิด
ลม หากฝ่าฝืนไม่ยอมออกไปจากพื้นที่ จะเจอโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทคนที่รับหน้าเสื่อในการออกโทรทัศน์ขู่ประชาชน แทนที่จะเป็นนักการเมือง ที่เป็นรัฐบาล กลับโยนภาพความเกลียดชังซ้ำเติมให้เกิดขึ้นกับทหาร โดยให้ เสธ.ไก่อู หรือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นตัวชนเต็มใจหรือไม่เต็มใจไม่รู้ แต่เสธ.ไก่อู เปลืองตัวเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ว สำหรับการต่อสู้ทางการเมืองและการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไม่มีการ
บอบช้ำ แต่ภาพลักษณ์กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก ถูกทำลายภาพลักษณ์ป่นปี้หมดแล้ว กับภาพ 2 มาตรฐาน ที่เมื่อครั้งคนเสื้อเหลือง กองทัพบกไม่ทำอะไรเลย อยู่อย่างสงบเงียบเชียบในกรมกองที่ตั้ง ไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้นแต่กับคนเสื้อแดงแล้ว กองทัพบกออกมาก๋าๆ ชนิดหนังคนละม้วนที่น่าสังเกตุมากไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ได้ยี่หระประกาศของ ศอ.รส. และยืนยันว่าจะชุมนุมต่อไป เพราะถือว่าชุมนุมโดยสงบ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ทุบทำลายสถานที่
แต่อย่างใดเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืองยึดทำเนียบ ยังมีการทุบทำลาย รื้อค้น ขโมยข้าวของในทำเนียบ เป็นข่าวรู้กันไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท จากคำยืนยันของภาคธุรกิจเอกชนเองและในวันนี้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ ซึ่งถูกรัฐบาลขอให้ออกมาประเมินความเสียหาย หมายจะฟ้องสังคมให้รับรู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงสร้างความเสียหายทางธุรกิจปรากฏว่า กลุ่มผู้ประกอบการสี่แยกราชประสงค์ ก็บอกว่า
ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไปประมาณ 100–160 ล้านบาท... แตกต่างกันไม่เห็นฝุ่นกับความเสียหาย 100,000 ล้านบาทเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืงยึดสนามบินซึ่งนอกจากรัฐบาลนายอภิสิทิ์ จะไม่เห็นความผิดแล้ว ยังให้แกนนำม็อบยึดสนามบินอย่างนายกษิต ภิรมย์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยซ้ำฉะนั้นถ้ายึดสนามบินแล้วได้เป็นรัฐมนตรี หากมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้วโดนจับติดคุก ภาพ 2 มาตรฐานจะยิ่งติดตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์
ไปนานเท่านานแน่ๆดังนั้นจะเห็นว่าไม่เพียงนายอภิสิทธิ์จะชิ่งหลบฉาก ด้วยข้ออ้างว่าติดภารกิจ ในขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งก็นกรู้พอว่าจะโดนโยนเผือกร้อนมาให้ เพราะความสัมพันธ์ลึกๆระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ก็ไม่ได้สามัคคีกันสักเท่าไรนักที่สำคัญยิ่งมีกระแสอาถรรพ์เก้าอี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์หนักมากเท่าไร่ ว่านายสุเทพอาจจะต้องถูกเด้งหลุดเก้าอี้ จะเห็นว่าช่วงหลัๆ นายสุเทพ จะปล่อยให้นาย
อภิสิทธิ์เข้ารกเข้าพงทางการเมืองหลายรอบแล้วเมื่อต้องใช้อำนาจกฎหมายเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าจริง นายอภิสิทธิ์ชิ่ง นายสุเทพก็เลยไม่ยอมเสียค่าโง่ทางการเมืองให้ใครแต่โยนไปให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รองผอ. ศอ.รส. เป็นผู้ตั้งทนายความยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อพิจารณาสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากสี่แยกราชประสงค์ รวมถึงให้ความคุ้มครองพื้นทื่ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วยงานนี้ทั้ง บิ๊กป็อก และ เสธ.ไก่อู เปลืองตัวไปเต็มๆ
ในสายตาประชาชน แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเปลืองตัวด้วยภาวะจำยอม หรือด้วยภาวะเต็มใจกันแน่???แต่งานนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้งนายสุเทพลอยตัว สร้างภาพต่อไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้เกมทหารบีบก่อน จากนั้นก็จะใช้เกมเปิดทางเจรจาตามการยืนกรานของรัฐบาลเป็นหลัก คืออีก 9 เดือนถึงจะยุบสภาเกมนี้ถูกจับตามองไปทั่วโลก เพราะเป้าหมายของรัฐบาลนั้นเห็นชัดว่า ต้องการที่จะอยู่เพื่อทำกรอบงบประมาณ ปี 2554 ให้ได้ตามที่ต้องการ และอยู่ใช้งบประมารไตรมาส
แรกคือ ตุลาคม–ธันวาคม 2553 นี้ให้เต็มที่เสียก่อนแล้วจึงไปเลือกตั้งใหม่ในเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปรียบในการเลือกตั้งอย่างที่สุดที่สำคัญทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ หรือแม้แต่กระทั่งวอร์รูม ศอ.รส. ประเมินตรงกันว่า แม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะมากันเยอะ แต่จะเป็นคนละสไตล์กับม็อบเสื้อเหลืองที่มีเส้นนึกจะทำอะไรก็ทำ ในขณะที่คนเสื้อแดงจะทำอะไรก็ยังยึดกรอบชุมนุมโดยสงบทำให้ทุกฝ่ายของรัฐบาลมองว่า รอบนี้น่า
จะจบในช่วงสงกรานต์นี้แหละ... จึงได้ยืนกรานไม่แคร์เรื่องการเจรจา แต่หาทางที่จะบีบทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการพยายามทำให้คนกรุงเทพฯเกิดความรู้สึกว่าเดือดร้อนทำให้ภาคธุรกิจเกิดความรู้สึกว่าเสียหาย... โดยที่มีแกนนำเชียร์รัฐบาลทั้งหลาย เป็นตัวคอยกระชุ่นซึ่งทำท่าว่าจะได้ผลในระดับหนึ่งด้วย เพราะมีกลไกสื่อโทรทัศน์ของรัฐบาลช่วยกระพือแต่วิชามารที่ร้ายที่สุด ที่ถูกงัดมาเสนอแนวคิดว่าจะใช้ก็คือ จะยืมมือหน่วยงานกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. ให้ตัดการ
สนับสนุนเรื่องน้ำ เรื่องความสะอาด และเรื่องของห้องน้ำ กับผู้ชุมนุมถือเป็นเกมโหดผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หน่วยงานอย่าง กทม.ยืนยันไม่เห็นด้วยยึดมั่นว่า หน้าที่ของ กทม. คือการให้บริการ และอำนวยความสะดวกกับประชาชน ไม่ใช่กลั่นแกล้งประชาชนเพราะหากไปกลั่นแกล้งจนเกิดความไม่สะอาด เกิดการเจ็บป่วย หรือเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค นั่นคือพิบัติภัยในเขตชุมชนกรุงเทพฯ ที่ กทม. จะต้องรับผิดชอบเต็มๆแต่ที่ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ขานรับเห็นด้วย
กับแผนเลวร้ายของวอร์รูม เรื่องการหยุดการให้บริการสารธารสุขกับคนเสื้อแดงคือ พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่บอกว่าไม่น่าเชื่อ ก็เพราะคนที่เรียนจบแพทย์ จะต้องได้รับการปลูกฝังให้เห็นความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตผู้คน จะต้องเสียสละการทำงานเพื่ออุดมการณ์ทางการแพทย์ไม่ใช่มาขานรับความอำมหิตทางการเมืองแบบนี้จริงแล้ว พญ.มาลินี ควรจะต้องตระหนักว่า ในเมื่อเป็นประชาชนคนไทยด้วยกันเอง แม้ว่าวันนี้จะใส่เสื้อคนละสี
แต่ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว ก็ย่อมต้องได้รับการดูแลที่ทัดเทียมเสมอกันแต่นี่ กลับไปยึดติดกับการได้เป็น รองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่ประชาธิปัตย์แต่งตั้งมา เพราะเคยเป็น ส.ส. แบบสัดส่วนกลุ่ม 2 พรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา จ.นครสวรรค์สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ พ.ญ.มาลินี เป็นถึงกรรมการสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย ซึ่งควรจะต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของสตรี แต่กลับไม่ใช่เลยเพราะในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มี
สตรีเข้าร่วมชุมนุมเกินกว่าครึ่ง หรือเป็นหมื่นๆคนเป็นอย่างน้อย แต่คนที่เป็นกรรมการสมาคมแพทย์สตรี กลับจะยอมรับที่จะให้ถอนการบริการสุขา ซึ่งสำหรับสุภาพสตรีไทยแล้ว ห้องสุขาถือว่าสำคัญอย่างที่สุดพ.ญ.มาลินี เอาอะไรมาคิด... การเมืองอำมหิต ทำให้คนที่เคยเป็นแพทย์เปลี่ยนวิธีคิดไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ... อนิจจา
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนพลมายึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์เป็นจุดชุมนุมกดดันรัฐบาล นอกเหนือจากพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯเป็นการแสดงออก หลังจากที่มีการเจรจา 2 รอบ แล้วนายอภิสิทธิ์ ยังคงสไตล์เดิมตามคำแนะนำของผู้ชักใย และผู้หนุนหลังว่า ให้ยืนกรานว่าจะต้องอยู่จนถึง 9 เดือนก่อน เพื่อที่จะใช้งบประมาณไตรมาสแรกปี 2554 กับมือรัฐบาลชุดนี้เสียก่อน ถึงจะยอมยุบสภาเมื่อขีดเส้นยืนกรานโดยไม่ฟังแม้แต่ความ
เห็นของนักวิชาการ ที่บอกว่าระยะเวลาใช้แค่ 3 เดือนก็เพียงพอแล้ว... เลยทำให้กลายเป็นเส้นขนานที่ยากบรรจบและทำให้ต้องงัดยุทธศาสตร์มารับมือกันและกันอย่างเต็มที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ชัดเจนง่ายๆ คือยึดกรอบของการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธส่วนการเพิ่มแรงกดดัน ก็ใช้การเคลื่อนพลไปชุมนุมในพื้นที่ซึ่งประเมินว่าน่าจะเรียกความสนใจจากสังคมโลก และทำให้รัฐบาลต้องทบทวนท่าทีแข็งกร้าวลงมาบ้างอ่านง่าย อ่านขาด รู้กัน
ชัดเจนทั่วโลกแต่ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ภายใต้กลุ่มคนเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนอมินี และนายกรัฐมนตรี Good Boy นี่สิ งัดสารพัดวิชามารมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดง หรือเพื่อกดดันให้กลุ่มคนในสังคมกรุงเทพฯ ออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดงแทนรัฐบาลและที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเล่นกันเองในกลุ่มรัฐบาลและกลุ่มอำมาตย์ เห็นได้ชัดเจนก็คือ พอกลุ่มคนเสื้อแดงยึดสี่แยกราชประสงค์เป็นที่ชุมนุมใหญ่เรียกร้อง
ประชาธิปไตย ให้รัฐบาลยุบสภาทาง ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส) ออกประกาศฉบับที่ 5 ให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่สี่แยกราชประสงค์งัดเอาพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาใช้ควบคุมพื้นที่ถนนราชดำริ ตั้งแต่ แยกราชประสงค์ ถึงแยกประตูน้ำ ถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงสถานีรถไฟฟ้าราชดำริ ถนนพระรามที่ 1 ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกปทุมวัน และถนนเพลินจิต ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงแยกชิด
ลม หากฝ่าฝืนไม่ยอมออกไปจากพื้นที่ จะเจอโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทคนที่รับหน้าเสื่อในการออกโทรทัศน์ขู่ประชาชน แทนที่จะเป็นนักการเมือง ที่เป็นรัฐบาล กลับโยนภาพความเกลียดชังซ้ำเติมให้เกิดขึ้นกับทหาร โดยให้ เสธ.ไก่อู หรือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นตัวชนเต็มใจหรือไม่เต็มใจไม่รู้ แต่เสธ.ไก่อู เปลืองตัวเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ว สำหรับการต่อสู้ทางการเมืองและการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไม่มีการ
บอบช้ำ แต่ภาพลักษณ์กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก ถูกทำลายภาพลักษณ์ป่นปี้หมดแล้ว กับภาพ 2 มาตรฐาน ที่เมื่อครั้งคนเสื้อเหลือง กองทัพบกไม่ทำอะไรเลย อยู่อย่างสงบเงียบเชียบในกรมกองที่ตั้ง ไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้นแต่กับคนเสื้อแดงแล้ว กองทัพบกออกมาก๋าๆ ชนิดหนังคนละม้วนที่น่าสังเกตุมากไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ได้ยี่หระประกาศของ ศอ.รส. และยืนยันว่าจะชุมนุมต่อไป เพราะถือว่าชุมนุมโดยสงบ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ทุบทำลายสถานที่
แต่อย่างใดเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืองยึดทำเนียบ ยังมีการทุบทำลาย รื้อค้น ขโมยข้าวของในทำเนียบ เป็นข่าวรู้กันไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท จากคำยืนยันของภาคธุรกิจเอกชนเองและในวันนี้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ ซึ่งถูกรัฐบาลขอให้ออกมาประเมินความเสียหาย หมายจะฟ้องสังคมให้รับรู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงสร้างความเสียหายทางธุรกิจปรากฏว่า กลุ่มผู้ประกอบการสี่แยกราชประสงค์ ก็บอกว่า
ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไปประมาณ 100–160 ล้านบาท... แตกต่างกันไม่เห็นฝุ่นกับความเสียหาย 100,000 ล้านบาทเมื่อครั้งม็อบเสื้อเหลืงยึดสนามบินซึ่งนอกจากรัฐบาลนายอภิสิทิ์ จะไม่เห็นความผิดแล้ว ยังให้แกนนำม็อบยึดสนามบินอย่างนายกษิต ภิรมย์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยซ้ำฉะนั้นถ้ายึดสนามบินแล้วได้เป็นรัฐมนตรี หากมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์แล้วโดนจับติดคุก ภาพ 2 มาตรฐานจะยิ่งติดตัวนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์
ไปนานเท่านานแน่ๆดังนั้นจะเห็นว่าไม่เพียงนายอภิสิทธิ์จะชิ่งหลบฉาก ด้วยข้ออ้างว่าติดภารกิจ ในขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งก็นกรู้พอว่าจะโดนโยนเผือกร้อนมาให้ เพราะความสัมพันธ์ลึกๆระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ก็ไม่ได้สามัคคีกันสักเท่าไรนักที่สำคัญยิ่งมีกระแสอาถรรพ์เก้าอี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์หนักมากเท่าไร่ ว่านายสุเทพอาจจะต้องถูกเด้งหลุดเก้าอี้ จะเห็นว่าช่วงหลัๆ นายสุเทพ จะปล่อยให้นาย
อภิสิทธิ์เข้ารกเข้าพงทางการเมืองหลายรอบแล้วเมื่อต้องใช้อำนาจกฎหมายเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าจริง นายอภิสิทธิ์ชิ่ง นายสุเทพก็เลยไม่ยอมเสียค่าโง่ทางการเมืองให้ใครแต่โยนไปให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ รองผอ. ศอ.รส. เป็นผู้ตั้งทนายความยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อพิจารณาสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากสี่แยกราชประสงค์ รวมถึงให้ความคุ้มครองพื้นทื่ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วยงานนี้ทั้ง บิ๊กป็อก และ เสธ.ไก่อู เปลืองตัวไปเต็มๆ
ในสายตาประชาชน แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเปลืองตัวด้วยภาวะจำยอม หรือด้วยภาวะเต็มใจกันแน่???แต่งานนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้งนายสุเทพลอยตัว สร้างภาพต่อไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อใช้เกมทหารบีบก่อน จากนั้นก็จะใช้เกมเปิดทางเจรจาตามการยืนกรานของรัฐบาลเป็นหลัก คืออีก 9 เดือนถึงจะยุบสภาเกมนี้ถูกจับตามองไปทั่วโลก เพราะเป้าหมายของรัฐบาลนั้นเห็นชัดว่า ต้องการที่จะอยู่เพื่อทำกรอบงบประมาณ ปี 2554 ให้ได้ตามที่ต้องการ และอยู่ใช้งบประมารไตรมาส
แรกคือ ตุลาคม–ธันวาคม 2553 นี้ให้เต็มที่เสียก่อนแล้วจึงไปเลือกตั้งใหม่ในเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปรียบในการเลือกตั้งอย่างที่สุดที่สำคัญทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ หรือแม้แต่กระทั่งวอร์รูม ศอ.รส. ประเมินตรงกันว่า แม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะมากันเยอะ แต่จะเป็นคนละสไตล์กับม็อบเสื้อเหลืองที่มีเส้นนึกจะทำอะไรก็ทำ ในขณะที่คนเสื้อแดงจะทำอะไรก็ยังยึดกรอบชุมนุมโดยสงบทำให้ทุกฝ่ายของรัฐบาลมองว่า รอบนี้น่า
จะจบในช่วงสงกรานต์นี้แหละ... จึงได้ยืนกรานไม่แคร์เรื่องการเจรจา แต่หาทางที่จะบีบทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการพยายามทำให้คนกรุงเทพฯเกิดความรู้สึกว่าเดือดร้อนทำให้ภาคธุรกิจเกิดความรู้สึกว่าเสียหาย... โดยที่มีแกนนำเชียร์รัฐบาลทั้งหลาย เป็นตัวคอยกระชุ่นซึ่งทำท่าว่าจะได้ผลในระดับหนึ่งด้วย เพราะมีกลไกสื่อโทรทัศน์ของรัฐบาลช่วยกระพือแต่วิชามารที่ร้ายที่สุด ที่ถูกงัดมาเสนอแนวคิดว่าจะใช้ก็คือ จะยืมมือหน่วยงานกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. ให้ตัดการ
สนับสนุนเรื่องน้ำ เรื่องความสะอาด และเรื่องของห้องน้ำ กับผู้ชุมนุมถือเป็นเกมโหดผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หน่วยงานอย่าง กทม.ยืนยันไม่เห็นด้วยยึดมั่นว่า หน้าที่ของ กทม. คือการให้บริการ และอำนวยความสะดวกกับประชาชน ไม่ใช่กลั่นแกล้งประชาชนเพราะหากไปกลั่นแกล้งจนเกิดความไม่สะอาด เกิดการเจ็บป่วย หรือเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค นั่นคือพิบัติภัยในเขตชุมชนกรุงเทพฯ ที่ กทม. จะต้องรับผิดชอบเต็มๆแต่ที่ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ขานรับเห็นด้วย
กับแผนเลวร้ายของวอร์รูม เรื่องการหยุดการให้บริการสารธารสุขกับคนเสื้อแดงคือ พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่บอกว่าไม่น่าเชื่อ ก็เพราะคนที่เรียนจบแพทย์ จะต้องได้รับการปลูกฝังให้เห็นความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตผู้คน จะต้องเสียสละการทำงานเพื่ออุดมการณ์ทางการแพทย์ไม่ใช่มาขานรับความอำมหิตทางการเมืองแบบนี้จริงแล้ว พญ.มาลินี ควรจะต้องตระหนักว่า ในเมื่อเป็นประชาชนคนไทยด้วยกันเอง แม้ว่าวันนี้จะใส่เสื้อคนละสี
แต่ตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว ก็ย่อมต้องได้รับการดูแลที่ทัดเทียมเสมอกันแต่นี่ กลับไปยึดติดกับการได้เป็น รองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่ประชาธิปัตย์แต่งตั้งมา เพราะเคยเป็น ส.ส. แบบสัดส่วนกลุ่ม 2 พรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา จ.นครสวรรค์สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือ พ.ญ.มาลินี เป็นถึงกรรมการสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย ซึ่งควรจะต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของสตรี แต่กลับไม่ใช่เลยเพราะในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มี
สตรีเข้าร่วมชุมนุมเกินกว่าครึ่ง หรือเป็นหมื่นๆคนเป็นอย่างน้อย แต่คนที่เป็นกรรมการสมาคมแพทย์สตรี กลับจะยอมรับที่จะให้ถอนการบริการสุขา ซึ่งสำหรับสุภาพสตรีไทยแล้ว ห้องสุขาถือว่าสำคัญอย่างที่สุดพ.ญ.มาลินี เอาอะไรมาคิด... การเมืองอำมหิต ทำให้คนที่เคยเป็นแพทย์เปลี่ยนวิธีคิดไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ... อนิจจา
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
แดงราชประสงค์หวิดปะทะ ตร.-ทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถผู้ต้องขัง 5 คัน มาปิดล้อมหน้าโรงแรมโฟร์ซีซัน ทำให้กลุ่มเสื้อแดงไม่พอใจและนำแผงเหล็กมากั้นที่หลังรถผู้ต้องขัง ทำให้ตำรวจที่ดูแลพื้นที่อยู่ได้ตั้งแนวเพื่อไม่ไห้ผู้ชุมนุมเดินทางเข้าไป สุดท้ายกลุ่มเสื้อแดงไม่พอใจ และมีการผลักดันแผงเหล็กกันไปมา ซึ่งเสื้อแดงก็พยายามใช้แผงเหล็กดันไปที่ตำรวจ ขณะที่ตำรวจก็ดันกลับ ผ่านไปประมาณ 30 นาที สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลาย และเกรงว่าจะลุกลามบานปลาย ทหารจึงเข้ามาดูแล และตำรวจก็เริ่มถอยร่นออกไป ขณะที่เสื้อแดงก็เริ่มขยับขยายพื้นที่ แต่ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายจิตวิทยา ได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงขอให้กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมแบบสันติ อย่าใช้กำลัง ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงก็ได้นำรถปราศรัยมาพูดแข่ง ทำให้สถานการณ์เริ่มตรึงเครียดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ที่มาคอยควบคุมสถานการณ์มีเพียงโล่ที่ใช้ในการผลักดัน โดยไม่มีอาวุธ ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ ก็ได้เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเข้ามารวมตัวกันที่แยกราชประสงค์ให้มากที่สุด
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ที่มาคอยควบคุมสถานการณ์มีเพียงโล่ที่ใช้ในการผลักดัน โดยไม่มีอาวุธ ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ ก็ได้เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเข้ามารวมตัวกันที่แยกราชประสงค์ให้มากที่สุด
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
เสื้อแดงยึดสันติวิธีสู้ แต่รัฐอภิสิทธิ์ใช้พรบ.มั่นคงข่มขู่คุกคาม
คนเสื้อแดงยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติวิธี แต่รัฐอภิสิทธิ์ข่มขู่คุกคามที่มีพ.ร.บ.มั่นคงใช้เป็นเครื่องมือ จนถึงขณะนี้ท่าทีรัฐบาลค่อนมาทางไม่ยุบสภา
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง คงมิใช่เพียง 20 กว่าวันในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงปัจจุบันเท่านั้น แต่คนเสื้อแดงได้เริ่มต้นการต่อสู้ ตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่หลากหลายแต่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อ “ประชาธิปไตย” เพื่อโค่น “อำมาตยาธิปไตย”
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช) นั้นนอกจาก ประกอบด้วย สมาชิกนปช. พรรคเพื่อไทย แล้วยังประกอบด้วย ผู้มีหัวใจสีแดงอิสระจากพรรคเพื่อไทย เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท) กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย สมาคมชาวนา กลุ่มรถสิบล้อ เครือข่ายชาวนาต่างๆ คนชั้นกลางนักธุรกิจพระสงฆ์ที่รักชาติรักประชาธิปไตยและอีกมากมาย ที่ก่อตัวเป็น
คนเสื้อแดง ไพร่ผู้ทระนง ทวงถามถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าคนเราเท่ากัน
ความหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อสืบสานภารกิจเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ผลิดอออกผลไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำคณะราษฎร เมื่อ 77 กว่าปี
แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศก้องชัดเจนว่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ
เป็นการต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเฉกเช่นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย หาใช่เพียงปัจจุบันสมัยแต่อย่างใด
พวกเขาคนเสื้อแดง จึงยืนหยัดต่อสู้ แม้จะยาวนาน พร้อมเหน็ดเหนื่อย เผชิญกับความยากลำบาก อดทนกับอากาศที่ร้อนระอุ ถิ่นฐานที่หลายคนไม่คุ้นเคย ห้องน้ำที่ระบายทุกข์ส่วนตัวที่ไม่สะดวกสะบายนัก
แต่เพราะพวกเขามี “หัวใจสีแดง” หัวใจที่ร้อนรุ่ม เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทย
เขาจึงเลือกที่จะสู้
การเสียสละของคนเสื้อแดง จึงสมควรยกย่อง เป็นแบบอย่างให้สังคมไทย ใช่หรือไม่ ?
แม้พวกเขาไม่ได้มีหน้ามีตาเป็นคนเด่นดังในสังคม แม้พวกเขาส่วนใหญ่ยากจน แม้พวกเขาพูดภาษากรุงเทพฯไม่ชัดคำ แม้พวกเขาไม่ได้ใส่น้ำหอมในเนื้อตัว แม้พวกเขาผิวไม่ขาวโปร่ง แม้พวกเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์
แต่ไพร่อย่างพวกเขาล้วนมีจิตใจกล้าสู้กล้าเสียสละ เฉกเช่น จิตใจที่กล้าหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย ผู้ซึ่งเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ที่มิอาจมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ในสังคมที่ปกครองโดยเผด็จการอำมาตย์ทหารปัจจุบัน
และมีแต่คนไร้ซึ่งหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
มีแต่คนรักชอบอำมาตย์ นิยมเผด็จการ ชื่นชมการแบ่งชั้นทางสังคมเท่านั้น ที่เมินเฉยและต่อต้านการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและทั่วโลกก็บ่งบอกให้รู้ว่า
เมื่อใดที่ประชาชนทำการต่อต้านต่อสู้กับรัฐและผู้ปกครอง เมื่อนั้นรัฐและผู้ปกครองย่อมมีวิธีการกลยุทธ์ คุกคาม ทำลาย และปราบปราม ด้วยเช่นกัน
รัฐอภิสิทธิ์ปัจจุบัน นอกจากมีสื่อมวลชนทั้งของรัฐ ของเอกชน และของสาธารณะ ที่ใช้กลยุทธการสื่อสารครอบงำผู้คนในสังคมเพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดงแล้ว
รัฐอภิสิทธิ์ ยังได้หยิบกฎหมายความมั่นคงที่ออกสมัยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาใช้เพื่อข่มขู่ คุกคาม ปราบปราม พร้อมบอกว่าจะประกาศพรก.ในภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึกและได้ประกาศต่อสาธารณว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ให้ข่าวใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน ป้ายสีว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ให้คนเสื้อแดง เป็นผู้ร้าย เป็นดั่งปีศาจเพื่อให้ทั้งคนเสื้อแดง และไม่แดง เกิดความกลัว
แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว เขาหาเป็นเช่นนั้นไม่
คนเสื้อแดง เขายังคงยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม เพื่อความใฝ่ฝันของพวกเขาอย่างสุดจิตสุดใจ
ด้วยแนวทาง “สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ตามสิทธิเสรีภาพของระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่รัฐอภิสิทธิ์ ก็เปิดทางใช้ให้เครือข่ายอำมาตย์ เช่น กลุ่มคนเสื้อสีชมพู กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตเป็นคนเสื้อเหลือง ผู้มีจุดยืนเอารัฐประหาร นิยมอำมาตย์ ไม่เอาประชาธิปไตย ได้เรียงแถวเข้าพบ และยังได้ ใช้กลไกองค์กรที่ตนเองผ่านงบประมาณออกมา เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายพลเมืองคนกรุงเทพฯ องค์กรพัฒนาเอกชนบางคนบางส่วน และอื่นๆ
เพื่อแสดงบทบาทไม่ให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ทั้งโดยตรงและซ่อนเงื่อน
ณ เวลานี้ นายอภิสิทธิ์ จึงค่อนมาทางไม่ยุบสภา แม้เคยเสนอว่าจะยุบภายใน 9 เดือนก็ตาม
ฤา สังคมไทย มิอาจหลีกเลี่ยง สงครามทางชนชั้นได้ ?
ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ ระหว่างประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย
วิญญูชนทั้งหลาย อย่าปล่อยให้รัฐอำมาตย์เหิมเกริมต่ออำนาจเพื่อขจัดคนเสื้อแดง
จงร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงกันเถิด
เพราะประชาธิปไตย คืออนาคตของสังคมไทย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง คงมิใช่เพียง 20 กว่าวันในพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงปัจจุบันเท่านั้น แต่คนเสื้อแดงได้เริ่มต้นการต่อสู้ ตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่หลากหลายแต่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อ “ประชาธิปไตย” เพื่อโค่น “อำมาตยาธิปไตย”
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช) นั้นนอกจาก ประกอบด้วย สมาชิกนปช. พรรคเพื่อไทย แล้วยังประกอบด้วย ผู้มีหัวใจสีแดงอิสระจากพรรคเพื่อไทย เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท) กรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย สมาคมชาวนา กลุ่มรถสิบล้อ เครือข่ายชาวนาต่างๆ คนชั้นกลางนักธุรกิจพระสงฆ์ที่รักชาติรักประชาธิปไตยและอีกมากมาย ที่ก่อตัวเป็น
คนเสื้อแดง ไพร่ผู้ทระนง ทวงถามถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่าคนเราเท่ากัน
ความหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง นั้นเป็นการต่อสู้เพื่อสืบสานภารกิจเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ที่ได้ผลิดอออกผลไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยมีปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำคณะราษฎร เมื่อ 77 กว่าปี
แนวทางการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ประกาศก้องชัดเจนว่า สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ
เป็นการต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่า เหมือนเฉกเช่นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย หาใช่เพียงปัจจุบันสมัยแต่อย่างใด
พวกเขาคนเสื้อแดง จึงยืนหยัดต่อสู้ แม้จะยาวนาน พร้อมเหน็ดเหนื่อย เผชิญกับความยากลำบาก อดทนกับอากาศที่ร้อนระอุ ถิ่นฐานที่หลายคนไม่คุ้นเคย ห้องน้ำที่ระบายทุกข์ส่วนตัวที่ไม่สะดวกสะบายนัก
แต่เพราะพวกเขามี “หัวใจสีแดง” หัวใจที่ร้อนรุ่ม เพื่อประชาธิปไตย เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทย
เขาจึงเลือกที่จะสู้
การเสียสละของคนเสื้อแดง จึงสมควรยกย่อง เป็นแบบอย่างให้สังคมไทย ใช่หรือไม่ ?
แม้พวกเขาไม่ได้มีหน้ามีตาเป็นคนเด่นดังในสังคม แม้พวกเขาส่วนใหญ่ยากจน แม้พวกเขาพูดภาษากรุงเทพฯไม่ชัดคำ แม้พวกเขาไม่ได้ใส่น้ำหอมในเนื้อตัว แม้พวกเขาผิวไม่ขาวโปร่ง แม้พวกเขาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์
แต่ไพร่อย่างพวกเขาล้วนมีจิตใจกล้าสู้กล้าเสียสละ เฉกเช่น จิตใจที่กล้าหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย ผู้ซึ่งเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ที่มิอาจมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ในสังคมที่ปกครองโดยเผด็จการอำมาตย์ทหารปัจจุบัน
และมีแต่คนไร้ซึ่งหัวใจประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
มีแต่คนรักชอบอำมาตย์ นิยมเผด็จการ ชื่นชมการแบ่งชั้นทางสังคมเท่านั้น ที่เมินเฉยและต่อต้านการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและทั่วโลกก็บ่งบอกให้รู้ว่า
เมื่อใดที่ประชาชนทำการต่อต้านต่อสู้กับรัฐและผู้ปกครอง เมื่อนั้นรัฐและผู้ปกครองย่อมมีวิธีการกลยุทธ์ คุกคาม ทำลาย และปราบปราม ด้วยเช่นกัน
รัฐอภิสิทธิ์ปัจจุบัน นอกจากมีสื่อมวลชนทั้งของรัฐ ของเอกชน และของสาธารณะ ที่ใช้กลยุทธการสื่อสารครอบงำผู้คนในสังคมเพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดงแล้ว
รัฐอภิสิทธิ์ ยังได้หยิบกฎหมายความมั่นคงที่ออกสมัยรัฐบาลของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาใช้เพื่อข่มขู่ คุกคาม ปราบปราม พร้อมบอกว่าจะประกาศพรก.ในภาวะฉุกเฉิน กฎอัยการศึกและได้ประกาศต่อสาธารณว่า คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ให้ข่าวใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯเดือดร้อน ป้ายสีว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาพลักษณ์ให้คนเสื้อแดง เป็นผู้ร้าย เป็นดั่งปีศาจเพื่อให้ทั้งคนเสื้อแดง และไม่แดง เกิดความกลัว
แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้ว เขาหาเป็นเช่นนั้นไม่
คนเสื้อแดง เขายังคงยืนหยัดต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม เพื่อความใฝ่ฝันของพวกเขาอย่างสุดจิตสุดใจ
ด้วยแนวทาง “สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ตามสิทธิเสรีภาพของระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่รัฐอภิสิทธิ์ ก็เปิดทางใช้ให้เครือข่ายอำมาตย์ เช่น กลุ่มคนเสื้อสีชมพู กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา นักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย สภาหอการค้า และอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตเป็นคนเสื้อเหลือง ผู้มีจุดยืนเอารัฐประหาร นิยมอำมาตย์ ไม่เอาประชาธิปไตย ได้เรียงแถวเข้าพบ และยังได้ ใช้กลไกองค์กรที่ตนเองผ่านงบประมาณออกมา เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายพลเมืองคนกรุงเทพฯ องค์กรพัฒนาเอกชนบางคนบางส่วน และอื่นๆ
เพื่อแสดงบทบาทไม่ให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ทั้งโดยตรงและซ่อนเงื่อน
ณ เวลานี้ นายอภิสิทธิ์ จึงค่อนมาทางไม่ยุบสภา แม้เคยเสนอว่าจะยุบภายใน 9 เดือนก็ตาม
ฤา สังคมไทย มิอาจหลีกเลี่ยง สงครามทางชนชั้นได้ ?
ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ ระหว่างประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย
วิญญูชนทั้งหลาย อย่าปล่อยให้รัฐอำมาตย์เหิมเกริมต่ออำนาจเพื่อขจัดคนเสื้อแดง
จงร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงกันเถิด
เพราะประชาธิปไตย คืออนาคตของสังคมไทย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************
ลุยแล้วใครออกหน้า?
อภิสิทธิ์
แจกปุ๊บฉีกปั๊บต่อหน้าต่อตาตำรวจ
ในอารมณ์ที่ม็อบคนเสื้อแดงโชว์ให้เห็นเลยว่า ไม่ได้อนาทรร้อนใจไปกับคำสั่งเข้มๆที่ลงนามโดย "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกประกาศฉบับที่ 5 และ 6 ของ ศอ.รส.
บังคับให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์ และห้ามกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวเข้าไปป้วนเปี้ยนบนถนน 11 สาย
ยั่ว ท้าทายกันในที
ในจังหวะที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศย้ำการชุมนุมแบบสันติ อหิงสา แต่โดยกระบวนท่าการเคลื่อนไหว จับเอาความเดือดร้อนของคนกรุงเป็นตัวประกัน
เพิ่มระดับการกดดันขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกันกับลีลาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่บทหนึ่งก็ท่องคาถา จะพยายามอดทนให้ถึงที่สุดในการดำเนินการตามขั้นตอนกับคนเสื้อแดงอย่างนุ่มนวล
แต่อีกนัยที่แฝงไว้ก็ด้วยคำกล่าวอ้าง มีกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากที่ยุรัฐบาลกดดันให้ จัดการขั้นเด็ดขาดกับกองทัพคนเสื้อแดง
นัยว่าปูทางความชอบธรรม ถ้าจำเป็นต้อง "ทุบ"
ในยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายรัฐบาลเหนือกว่าด้วยเกมบล็อกแนวร่วมเล่นเป็นแพ็กเกจ ตามจังหวะโผล่ออกมาโวยของทีมสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวฯ
ด่าม็อบแดงทำเศรษฐกิจเสียหาย
ส่งมุกรับไม้กับสมาชิกวุฒิสภาสายม็อบพันธมิตรฯ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ไล่บี้กดดันให้รัฐบาลเร่งจัดการขั้นเด็ดขาดกับม็อบแดงที่ยกระดับการชุมนุม
ฐานทำให้ประเทศบรรลัยวายป่วง
โหมกระแสคนกรุงทนไม่ไหว ชิงชังม็อบเสื้อแดงที่สร้างความเดือดร้อน โดยเงื่อนไขไฟต์บังคับต้องจัดการสลาย
ก่อนที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์ชน" จะโดนคนเมืองหลวงอัปเปหิซะเอง
ฉากสลายกองทัพแดงเขียนบทไว้พร้อม รอแค่สั่งเดินกล้อง
แต่รูปการณ์มาถึงจุดวัดใจ "ใครลงมือก่อนแพ้" โดยยุทธศาสตร์ "ย้อนศร" แกนนำกองทัพแดงยึดเอาบรรทัดฐานเดียวกับแกนนำม็อบพันธมิตรฯ เมื่อคราวบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ในการเปิดเกมสู้กับฝ่ายถืออำนาจรัฐที่ยื่นขออำนาจศาลในการสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์
ตีปี๊บดักคอ ขอเป็นมาตรฐานเดียวกัน
และที่สุดศาลแพ่งได้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยชี้ว่า กอ.รมน.มีอำนาจในการดูแลรักษาความสงบอยู่แล้ว
ที่แน่ๆ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ "สามเกลอ" ประกาศแผนล่วงหน้า หากมีการควบคุมตัวแกนนำชุดแรก แกนนำชุดที่ 2 จะปฏิบัติหน้าที่แทน จนถึงที่ชุด 3 ถ้ายังโดนรวบ คนเสื้อแดงจะกลายเป็นกองทัพเสรีโดยทันที
ขู่กันกรายๆ สงครามมุดลงใต้ดิน
กองทัพแดงไม่กลัว เล่นบท "ยั่วให้ทุบ"
โจทย์ก็กลับมาตกอยู่ที่นายกฯอภิสิทธิ์ ถึงเวลาต้องลุยจริงๆ ใครจะออกหน้า
ไม่ต้องพูดถึงคิวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกจัดให้เป็นด่านแรกในการชนกับกองทัพเสื้อแดง โดยตัวอย่างสยองๆจากกรณีการสลายม็อบเสื้อเหลืองในเหตุการณ์ "7 ตุลา" แล้วโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งลงดาบเชือดเลือดสาด
ตายทั้งเป็นไปตามๆกัน
ถึงคิวนี้ตำรวจเองก็คงเลือกโดนด่า "ใส่เกียร์ว่าง" กับคนเสื้อแดง ดีกว่าเสี่ยงไปเผชิญชะตากรรมยามที่เกมอำนาจเปลี่ยนมือ
หันไปมองกองทัพที่ว่าขึงขังๆ แต่จับอารมณ์ที่ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกตัวแล้วว่า ทหารแค่ดูแลความสงบเรียบร้อย
จะไม่ทำร้ายประชาชนเด็ดขาด
เล็งไปที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ที่ถือแต้มว่าที่จ่าฝูงกองทัพบกคนใหม่ โดยอาศัยตั๋วของฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทย ถ้าจะเร่งเกมไล่ที่ "พี่ป๊อก" ฉวยจังหวะปราบกองทัพเสื้อแดง เพื่อประกันความชัวร์ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ก็ทำได้เลย
แต่ก็ยังกั๊กจังหวะ ไม่บุ่มบ่ามเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อ "อภิสิทธิ์"
ตามเกมที่อ่านกันได้ ในเมื่อ "ฝ่ายคุมเกมอำนาจตัวจริง" ยังมีไพ่เล่นอีกหลายใบ ถึงที่สุดถ้ามวยอย่าง "อภิสิทธิ์" ไปไม่ไหว บอบช้ำเกินกว่าจะปั้นต่อ ก็เปลี่ยนมวยตัวใหม่
ทำไมจะต้องทุ่มเดิมพัน "แทงเต็ง".
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐออนไลน์
**************************************************
แจกปุ๊บฉีกปั๊บต่อหน้าต่อตาตำรวจ
ในอารมณ์ที่ม็อบคนเสื้อแดงโชว์ให้เห็นเลยว่า ไม่ได้อนาทรร้อนใจไปกับคำสั่งเข้มๆที่ลงนามโดย "เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกประกาศฉบับที่ 5 และ 6 ของ ศอ.รส.
บังคับให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์ และห้ามกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวเข้าไปป้วนเปี้ยนบนถนน 11 สาย
ยั่ว ท้าทายกันในที
ในจังหวะที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศย้ำการชุมนุมแบบสันติ อหิงสา แต่โดยกระบวนท่าการเคลื่อนไหว จับเอาความเดือดร้อนของคนกรุงเป็นตัวประกัน
เพิ่มระดับการกดดันขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกันกับลีลาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่บทหนึ่งก็ท่องคาถา จะพยายามอดทนให้ถึงที่สุดในการดำเนินการตามขั้นตอนกับคนเสื้อแดงอย่างนุ่มนวล
แต่อีกนัยที่แฝงไว้ก็ด้วยคำกล่าวอ้าง มีกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากที่ยุรัฐบาลกดดันให้ จัดการขั้นเด็ดขาดกับกองทัพคนเสื้อแดง
นัยว่าปูทางความชอบธรรม ถ้าจำเป็นต้อง "ทุบ"
ในยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายรัฐบาลเหนือกว่าด้วยเกมบล็อกแนวร่วมเล่นเป็นแพ็กเกจ ตามจังหวะโผล่ออกมาโวยของทีมสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวฯ
ด่าม็อบแดงทำเศรษฐกิจเสียหาย
ส่งมุกรับไม้กับสมาชิกวุฒิสภาสายม็อบพันธมิตรฯ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ไล่บี้กดดันให้รัฐบาลเร่งจัดการขั้นเด็ดขาดกับม็อบแดงที่ยกระดับการชุมนุม
ฐานทำให้ประเทศบรรลัยวายป่วง
โหมกระแสคนกรุงทนไม่ไหว ชิงชังม็อบเสื้อแดงที่สร้างความเดือดร้อน โดยเงื่อนไขไฟต์บังคับต้องจัดการสลาย
ก่อนที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์ชน" จะโดนคนเมืองหลวงอัปเปหิซะเอง
ฉากสลายกองทัพแดงเขียนบทไว้พร้อม รอแค่สั่งเดินกล้อง
แต่รูปการณ์มาถึงจุดวัดใจ "ใครลงมือก่อนแพ้" โดยยุทธศาสตร์ "ย้อนศร" แกนนำกองทัพแดงยึดเอาบรรทัดฐานเดียวกับแกนนำม็อบพันธมิตรฯ เมื่อคราวบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ในการเปิดเกมสู้กับฝ่ายถืออำนาจรัฐที่ยื่นขออำนาจศาลในการสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์
ตีปี๊บดักคอ ขอเป็นมาตรฐานเดียวกัน
และที่สุดศาลแพ่งได้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยชี้ว่า กอ.รมน.มีอำนาจในการดูแลรักษาความสงบอยู่แล้ว
ที่แน่ๆ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ "สามเกลอ" ประกาศแผนล่วงหน้า หากมีการควบคุมตัวแกนนำชุดแรก แกนนำชุดที่ 2 จะปฏิบัติหน้าที่แทน จนถึงที่ชุด 3 ถ้ายังโดนรวบ คนเสื้อแดงจะกลายเป็นกองทัพเสรีโดยทันที
ขู่กันกรายๆ สงครามมุดลงใต้ดิน
กองทัพแดงไม่กลัว เล่นบท "ยั่วให้ทุบ"
โจทย์ก็กลับมาตกอยู่ที่นายกฯอภิสิทธิ์ ถึงเวลาต้องลุยจริงๆ ใครจะออกหน้า
ไม่ต้องพูดถึงคิวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกจัดให้เป็นด่านแรกในการชนกับกองทัพเสื้อแดง โดยตัวอย่างสยองๆจากกรณีการสลายม็อบเสื้อเหลืองในเหตุการณ์ "7 ตุลา" แล้วโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งลงดาบเชือดเลือดสาด
ตายทั้งเป็นไปตามๆกัน
ถึงคิวนี้ตำรวจเองก็คงเลือกโดนด่า "ใส่เกียร์ว่าง" กับคนเสื้อแดง ดีกว่าเสี่ยงไปเผชิญชะตากรรมยามที่เกมอำนาจเปลี่ยนมือ
หันไปมองกองทัพที่ว่าขึงขังๆ แต่จับอารมณ์ที่ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกตัวแล้วว่า ทหารแค่ดูแลความสงบเรียบร้อย
จะไม่ทำร้ายประชาชนเด็ดขาด
เล็งไปที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ที่ถือแต้มว่าที่จ่าฝูงกองทัพบกคนใหม่ โดยอาศัยตั๋วของฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทย ถ้าจะเร่งเกมไล่ที่ "พี่ป๊อก" ฉวยจังหวะปราบกองทัพเสื้อแดง เพื่อประกันความชัวร์ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ก็ทำได้เลย
แต่ก็ยังกั๊กจังหวะ ไม่บุ่มบ่ามเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อ "อภิสิทธิ์"
ตามเกมที่อ่านกันได้ ในเมื่อ "ฝ่ายคุมเกมอำนาจตัวจริง" ยังมีไพ่เล่นอีกหลายใบ ถึงที่สุดถ้ามวยอย่าง "อภิสิทธิ์" ไปไม่ไหว บอบช้ำเกินกว่าจะปั้นต่อ ก็เปลี่ยนมวยตัวใหม่
ทำไมจะต้องทุ่มเดิมพัน "แทงเต็ง".
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐออนไลน์
**************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)