เสื้อแดง บุกกดดัน กกต. หนัก ลั่น พบ 5 เสือ กำหนดกรอบเวลาให้ชัดดำเนินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เมื่อใด ขู่ บุกเข้าไปหากไม่มาเจรจา...
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 5 เม.ย.2553 กลุ่มเสื้อแดง ที่ไปถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถนนแจ้งวัฒนะ นำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา และ นายสุพร อัตถาวงศ์ แกนนำ ฯได้ปราศรัย เรียกร้องให้ กกต. ออกมาให้คำตอบ ว่าจะดำเนินการคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร
ต่อ มาเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ กกต. ได้ออกมาพบกับผู้ชุมนุม โดยชี้แจงว่า กกต.จะดำเนินการให้ละเอียดรอบคอบที่สุด และเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายขวัญชัย กล่าวว่า ต้องการคำตอบว่าจะวินิจฉัยคดียุบพรรคเมื่อใด โดยให้กำหนดกรอบเวลาชัดเจน และ จะขอพบ กกต. เท่านั้น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ กกต. ระบุว่า วันนี้ กกต.ไม่ได้มาประชุม ซึ่งนายขวัญชัย ไม่พอใจคำตอบดังกล่าว ประกาศไม่คุยกับเจ้าหน้าที่อีก พร้อมประกาศให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ และกล่าวว่า จะพบ 5 เสือ กกต. เท่านั้น โดยขู่ว่าหาก กกต.ไม่มา ที่นี่จะไม่ใช่ที่ทำงานของ กกต. อีกต่อไป และจะบุกเข้าไป
ที่มา.พิทักษ์ไทย..
*************************************************
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553
กกต.เครียดแดงกดดันหนักบี้กำหนดกรอบยุบปชป.
"คาร์บอมบ์"บึ้มสนั่น"โพไซดอน" ใช้ทีเอ็นทีหนัก10ปอนด์ รถเละทั้งคันเจ็บ1 ปาเอ็ม67 ทีวีเอ็นบีทีซ้ำอีก
คาร์บอมบ์ในลานจอดรถ"โพไซดอน" สถานบริการอาบ อบ นวดชื่อดังย่านรัชดาภิเษก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน ตำรวจระบุเป็นระเบิดทีเอ็นที หนัก 10 ปอนด์ ปาระเบิดใส่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืน วันที่ 5 เม.ย. ได้รับแจ้ง เหตุรถยนต์โตโยต้า โคโรน่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กอ 7048 เชียงใหม่ เสียหายยับเยิน จากเหตุระเบิดบริเวณลานจอดรถด้านข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก แรงระเบิดยังส่งผลให้รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน พศ 2602 กรุงเทพมหานคร กระจกด้านซ้ายทั้ง 2 บานแตกเสียหาย รวมทั้งกระจกของอาคารสถานบริการ ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อคือ นายคงเดช นำระนะ อายุ 49 ปี พนักงานรับรถของสถานบริการดังกล่าว ถูกสะเก็ดระเบิดที่ท้อง นำส่งโรงพยาบาลพระราม 9
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 23.30 น. เห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถคันดังกล่าวเข้ามาที่ลานจอดรถ นั่งอยู่ในรถ 10 นาที ก่อนเดินออกจากรถหายไปทางด้านหน้าร้าน หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ระบุเป็นคาร์บอมบ์ เนื่องจากตรวจสอบไม่พบว่ารถมีการติดตั้งแก๊ส ส่วนสาเหตุคาดเป็นการสร้างสถานการณ์ หรือเรื่องส่วนตัว เตรียมประสานตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดของสถานบริการดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าสามารถบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้ รวมทั้งเตรียมเชิญเจ้าของรถคาร์บอมบ์ที่แท้จริงมาให้ปากคำต่อไป
พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดรถยนต์บริเวณลานจอดรถข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดเป็นระเบิดทีเอ็นที น้ำหนักประมาณ 5-10 ปอนด์ เนื่องจากแรงของระเบิดทำให้รถเสียหายยับเยิน โดยระเบิดถูกวางไว้ในรถบริเวณที่พักเท้า เบาะหน้าด้านซ้าย เนื่องจากพบเขม่าดินปืนติดอยู่ที่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จากการสอบปากคำพยานแวดล้อม ได้เบาะแสคนร้ายที่ขับรถคันดังกล่าวเป็นชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น ผิวคล้ำ สวมแจ็กเกตสีดำ กางเกงขาสั้น
อย่างไรก็ตาม เตรียมประสานตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อตรวจสอบหาเบาะแสเจ้าของรถที่แท้จริง เนื่องจากรถคันดังกล่าวได้จดทะเบียนไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ และไม่มีการปลอมแปลงทะเบียน สำหรับสาเหตุยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งการสร้างสถานการณ์ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ เหตุคาร์บอมบ์ในลักษณะดังกล่าวคล้ายกับเหตุคาร์บอมบ์เมื่อ 9 ปีก่อนที่ สน.สุทธิสาร
ขณะที่ เวลาประมาณ 00.00 น. วันที่ 5 เม.ย. วันเดียวกัน ร.ต.ท.เฉลิมชัย ประสิทธิ์กุลไพศาล พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเอ็นบีที รุดไปตรวจสอบพร้อมพ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนวัฒน์ ผกก.สน.สุทธิสาร โดยระเบิดไปตกที่คูน้ำด้านนอกรั้ว ในที่เกิดเหตุพบกระเดื่องตกอยู่ ตรวจสอบพบเป็นกระเดื่องของระเบิดชนิดขว้าง เอ็ม 67 ห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 3 เมตรตกอยู่ สะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เก้าอี้นั่งสีขาวพัง ขณะเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารร่วมกันดูแลรักษาความปลอดภัย
จากการสอบสวนเบื้อง ต้นทราบว่า ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารสนธิกำลังรักษาการณ์อยู่บริเวณประตูทางเข้าเห็น คนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่จยย.ผ่านมาด้วยความเร็วก่อนจะปาระเบิดเข้าใส่
ทั้งนี้ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียงไม่มีกล้องวงจรปิด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ และผู้ลงมือเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกับเหตุระเบิดหน้าเอ็นบีทีครั้งก่อน เนื่องจากใช้ระเบิดชนิดเดียวกัน
ที่มา.พิทักษ์ไทย
*************************************************
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ เที่ยงคืน วันที่ 5 เม.ย. ได้รับแจ้ง เหตุรถยนต์โตโยต้า โคโรน่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กอ 7048 เชียงใหม่ เสียหายยับเยิน จากเหตุระเบิดบริเวณลานจอดรถด้านข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก แรงระเบิดยังส่งผลให้รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน พศ 2602 กรุงเทพมหานคร กระจกด้านซ้ายทั้ง 2 บานแตกเสียหาย รวมทั้งกระจกของอาคารสถานบริการ ส่วนผู้บาดเจ็บทราบชื่อคือ นายคงเดช นำระนะ อายุ 49 ปี พนักงานรับรถของสถานบริการดังกล่าว ถูกสะเก็ดระเบิดที่ท้อง นำส่งโรงพยาบาลพระราม 9
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 23.30 น. เห็นผู้ชายคนหนึ่งขับรถคันดังกล่าวเข้ามาที่ลานจอดรถ นั่งอยู่ในรถ 10 นาที ก่อนเดินออกจากรถหายไปทางด้านหน้าร้าน หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ระบุเป็นคาร์บอมบ์ เนื่องจากตรวจสอบไม่พบว่ารถมีการติดตั้งแก๊ส ส่วนสาเหตุคาดเป็นการสร้างสถานการณ์ หรือเรื่องส่วนตัว เตรียมประสานตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดของสถานบริการดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าสามารถบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้ รวมทั้งเตรียมเชิญเจ้าของรถคาร์บอมบ์ที่แท้จริงมาให้ปากคำต่อไป
พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดรถยนต์บริเวณลานจอดรถข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดเป็นระเบิดทีเอ็นที น้ำหนักประมาณ 5-10 ปอนด์ เนื่องจากแรงของระเบิดทำให้รถเสียหายยับเยิน โดยระเบิดถูกวางไว้ในรถบริเวณที่พักเท้า เบาะหน้าด้านซ้าย เนื่องจากพบเขม่าดินปืนติดอยู่ที่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จากการสอบปากคำพยานแวดล้อม ได้เบาะแสคนร้ายที่ขับรถคันดังกล่าวเป็นชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น ผิวคล้ำ สวมแจ็กเกตสีดำ กางเกงขาสั้น
อย่างไรก็ตาม เตรียมประสานตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อตรวจสอบหาเบาะแสเจ้าของรถที่แท้จริง เนื่องจากรถคันดังกล่าวได้จดทะเบียนไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ และไม่มีการปลอมแปลงทะเบียน สำหรับสาเหตุยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งการสร้างสถานการณ์ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ เหตุคาร์บอมบ์ในลักษณะดังกล่าวคล้ายกับเหตุคาร์บอมบ์เมื่อ 9 ปีก่อนที่ สน.สุทธิสาร
ขณะที่ เวลาประมาณ 00.00 น. วันที่ 5 เม.ย. วันเดียวกัน ร.ต.ท.เฉลิมชัย ประสิทธิ์กุลไพศาล พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเอ็นบีที รุดไปตรวจสอบพร้อมพ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนวัฒน์ ผกก.สน.สุทธิสาร โดยระเบิดไปตกที่คูน้ำด้านนอกรั้ว ในที่เกิดเหตุพบกระเดื่องตกอยู่ ตรวจสอบพบเป็นกระเดื่องของระเบิดชนิดขว้าง เอ็ม 67 ห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 3 เมตรตกอยู่ สะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เก้าอี้นั่งสีขาวพัง ขณะเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารร่วมกันดูแลรักษาความปลอดภัย
จากการสอบสวนเบื้อง ต้นทราบว่า ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารสนธิกำลังรักษาการณ์อยู่บริเวณประตูทางเข้าเห็น คนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่จยย.ผ่านมาด้วยความเร็วก่อนจะปาระเบิดเข้าใส่
ทั้งนี้ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียงไม่มีกล้องวงจรปิด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ และผู้ลงมือเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกับเหตุระเบิดหน้าเอ็นบีทีครั้งก่อน เนื่องจากใช้ระเบิดชนิดเดียวกัน
ที่มา.พิทักษ์ไทย
*************************************************
รุนแรงที่ไม่ใช้กำลัง
คำขวัญติดปากข้อหนึ่งของสังคมไทย ช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือขอให้กลุ่มที่เผชิญหน้ากันอยู่อย่าใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา
ความรุนแรงที่กล่าวถึงนั้นพุ่งเป้าไปที่การใช้กำลังเข้าปะทะหรือเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสำคัญ
แต่ที่สังคมจะต้องระวังก็คือการใช้ความรุนแรงชนิดที่ไม่มีการใช้กำลัง แต่ก่อให้เกิดความเสียหายและบาดแผลแก่สังคมได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
ยกตัวอย่างเช่นการป้ายสีสาดโคลน ด้วยความเท็จหรือข้อเท็จจริงที่พูดไม่หมด
ไปจนกระทั่งถึงการใช้วาจาส่อเสียดยุยง หรือเหยียดหยามเหยียบย่ำอีกฝ่ายหนึ่ง
ความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลัง แต่แสดงออกด้วยท่าทีหรือวาจาเช่นนี้ ไม่ก่อแผลทางกายก็จริง แต่สร้างแผลในใจให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายกาจ
และสามารถก่อให้เกิดความเกลียดชังเป็นส่วนตัวต่อกันขึ้นมาได้โดยไม่ยาก ความเกลียดชังชนิดนี้ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกที่มีอยู่ในสังคมร้าวลึกจนยากจะประสานยิ่งขึ้น
เพราะการต่อสู้ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ จะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเครื่องของอารมณ์ความรู้สึก เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เหตุผลเข้าอธิบายหรือคลี่คลายได้อีก
ถึงวันนั้นแม้ต้องการประสานเยียวยาหรือเรียกหาความสมานฉันท์ก็อาจจะสายเกินการณ์
ฉะนั้น ถ้าตระหนักและเป็นกังวลอย่างแท้จริงว่าความรุนแรงจากการเผชิญหน้าทางการเมืองในปัจจุบันจะทำให้สังคมเดินหน้าเข้าสู่กลียุค
ก็จะต้องหยุดพฤติกรรมความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลังเหล่านี้ หรือลดการกระทำที่จงใจทำร้าย ดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายให้เหลือน้อยที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือบริษัทบริวาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือว่าจะเป็นกลุ่มพลังอื่นๆ ที่ต่างเรียกหาความสงบสันติ และยืนยันว่าตนเองหรือฝ่ายของตนยึดแนวทางอหิงสา
เพราะสถาานการณ์อันดีเลิศเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการป่าวประกาศ แต่ลงมือทำในทางตรงข้าม
เว้นเสียแต่ต้องการจะเห็นกลียุคเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย
ข่าวสดรายวัน
บทบรรณาธิการ
************************************************
ความรุนแรงที่กล่าวถึงนั้นพุ่งเป้าไปที่การใช้กำลังเข้าปะทะหรือเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสำคัญ
แต่ที่สังคมจะต้องระวังก็คือการใช้ความรุนแรงชนิดที่ไม่มีการใช้กำลัง แต่ก่อให้เกิดความเสียหายและบาดแผลแก่สังคมได้ไม่น้อยไปกว่ากัน
ยกตัวอย่างเช่นการป้ายสีสาดโคลน ด้วยความเท็จหรือข้อเท็จจริงที่พูดไม่หมด
ไปจนกระทั่งถึงการใช้วาจาส่อเสียดยุยง หรือเหยียดหยามเหยียบย่ำอีกฝ่ายหนึ่ง
ความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลัง แต่แสดงออกด้วยท่าทีหรือวาจาเช่นนี้ ไม่ก่อแผลทางกายก็จริง แต่สร้างแผลในใจให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายกาจ
และสามารถก่อให้เกิดความเกลียดชังเป็นส่วนตัวต่อกันขึ้นมาได้โดยไม่ยาก ความเกลียดชังชนิดนี้ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกที่มีอยู่ในสังคมร้าวลึกจนยากจะประสานยิ่งขึ้น
เพราะการต่อสู้ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ จะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเครื่องของอารมณ์ความรู้สึก เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เหตุผลเข้าอธิบายหรือคลี่คลายได้อีก
ถึงวันนั้นแม้ต้องการประสานเยียวยาหรือเรียกหาความสมานฉันท์ก็อาจจะสายเกินการณ์
ฉะนั้น ถ้าตระหนักและเป็นกังวลอย่างแท้จริงว่าความรุนแรงจากการเผชิญหน้าทางการเมืองในปัจจุบันจะทำให้สังคมเดินหน้าเข้าสู่กลียุค
ก็จะต้องหยุดพฤติกรรมความรุนแรงที่ไม่ใช้กำลังเหล่านี้ หรือลดการกระทำที่จงใจทำร้าย ดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายให้เหลือน้อยที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือบริษัทบริวาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือว่าจะเป็นกลุ่มพลังอื่นๆ ที่ต่างเรียกหาความสงบสันติ และยืนยันว่าตนเองหรือฝ่ายของตนยึดแนวทางอหิงสา
เพราะสถาานการณ์อันดีเลิศเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการป่าวประกาศ แต่ลงมือทำในทางตรงข้าม
เว้นเสียแต่ต้องการจะเห็นกลียุคเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย
ข่าวสดรายวัน
บทบรรณาธิการ
************************************************
ผลัดกันรุก
สถานการณ์พลิกกลับไปกลับมาระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับฝ่ายรัฐบาล
หลังการเจรจาเรื่อง "ยุบสภา" ผ่านไป 2 รอบเมื่อวันอาทิตย์และจันทร์ที่แล้ว
สองฝ่ายตอกหมุดข้อเรียกร้องของตนเองไว้ที่ 15 วันกับ 9 เดือน
ไม่มีใครยอมขยับถอยให้กัน
3-4 วันจากนั้นดูเหมือนรัฐบาลกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมไว้ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเดินยิ้มกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล
หลังหลบภัยเข้าไปอยู่ในค่ายทหารราบ 11 กว่าครึ่งเดือน
ขณะที่สถานการณ์ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เสื้อแดงบางส่วนส่อแววถอดใจหลังข้อเรียกร้องยุบสภาใน 15 วันไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
นอกจากนี้หลายคนที่อยู่วงนอกเชื่อว่าการที่รัฐบาลออก มาโชว์ "โรดแม็ป" ระบุขั้นตอนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบสภา 6 ธ.ค.2553 และเลือกตั้งใหม่ 23 ม.ค.2554
อาจทำให้คนเสื้อแดงยิ่งรู้สึกหมดหวังในชัยชนะและจะค่อยๆ สลายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด
แม้กระทั่งวันสุกดิบก่อนการระดมพลใหญ่ครั้งที่ 3
บรรยากาศบริเวณเวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ ก็ดูเหี่ยวเฉา
ไม่ค่อยคึกคักเข้มแข็ง
ไม่มีการประกาศแนวทางการเคลื่อนพล "ดาวฤกษ์" ที่ชัดเจนเหมือนเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา
หลายคนมองว่าเสื้อแดง "หมดมุข" ไม่รู้จะเดินเกมกดดันรัฐบาลต่อไปอย่างไร
จนต่อเมื่อคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนบุกยึดสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. และยึดถนนวิภาวดีฯ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 11
ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ว่าคนเสื้อแดง "ลับลวงพราง" กับเขาเป็นเหมือนกัน
ที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าได้รับรายงานช่วงหัวค่ำว่ามีคนเสื้อแดงมารวมตัวกันแค่ 2 หมื่นกว่าคนนั้น
จากคนที่ไปเห็นมากับตา เขาบอกว่ามากกว่านั้นหลายเท่าตัว
ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องจำนวนคนมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์เคยพูดไว้เองว่าแม้จะมากันหนึ่งคนหรือแสนคน
รัฐบาลก็ต้องฟัง
เอาเป็นว่าจากสถานการณ์ในช่วงคืนวันเสาร์
ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ต้องกลับไปประเมินสถานการณ์กันใหม่หมด
รวมถึงเงื่อนไขยุบสภา
ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องนำกลับไปทบทวน อีกที
ประเด็นคือถึงจะไม่ใช่ 15 วัน
แต่ก็ต้องไม่ใช่ 9 เดือนแน่นอน
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************
หลังการเจรจาเรื่อง "ยุบสภา" ผ่านไป 2 รอบเมื่อวันอาทิตย์และจันทร์ที่แล้ว
สองฝ่ายตอกหมุดข้อเรียกร้องของตนเองไว้ที่ 15 วันกับ 9 เดือน
ไม่มีใครยอมขยับถอยให้กัน
3-4 วันจากนั้นดูเหมือนรัฐบาลกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมไว้ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเดินยิ้มกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล
หลังหลบภัยเข้าไปอยู่ในค่ายทหารราบ 11 กว่าครึ่งเดือน
ขณะที่สถานการณ์ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เสื้อแดงบางส่วนส่อแววถอดใจหลังข้อเรียกร้องยุบสภาใน 15 วันไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล
นอกจากนี้หลายคนที่อยู่วงนอกเชื่อว่าการที่รัฐบาลออก มาโชว์ "โรดแม็ป" ระบุขั้นตอนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบสภา 6 ธ.ค.2553 และเลือกตั้งใหม่ 23 ม.ค.2554
อาจทำให้คนเสื้อแดงยิ่งรู้สึกหมดหวังในชัยชนะและจะค่อยๆ สลายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านไปในที่สุด
แม้กระทั่งวันสุกดิบก่อนการระดมพลใหญ่ครั้งที่ 3
บรรยากาศบริเวณเวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ ก็ดูเหี่ยวเฉา
ไม่ค่อยคึกคักเข้มแข็ง
ไม่มีการประกาศแนวทางการเคลื่อนพล "ดาวฤกษ์" ที่ชัดเจนเหมือนเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา
หลายคนมองว่าเสื้อแดง "หมดมุข" ไม่รู้จะเดินเกมกดดันรัฐบาลต่อไปอย่างไร
จนต่อเมื่อคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนบุกยึดสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. และยึดถนนวิภาวดีฯ บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 11
ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ว่าคนเสื้อแดง "ลับลวงพราง" กับเขาเป็นเหมือนกัน
ที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าได้รับรายงานช่วงหัวค่ำว่ามีคนเสื้อแดงมารวมตัวกันแค่ 2 หมื่นกว่าคนนั้น
จากคนที่ไปเห็นมากับตา เขาบอกว่ามากกว่านั้นหลายเท่าตัว
ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องจำนวนคนมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์เคยพูดไว้เองว่าแม้จะมากันหนึ่งคนหรือแสนคน
รัฐบาลก็ต้องฟัง
เอาเป็นว่าจากสถานการณ์ในช่วงคืนวันเสาร์
ทำให้ฝ่ายความมั่นคงและศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ต้องกลับไปประเมินสถานการณ์กันใหม่หมด
รวมถึงเงื่อนไขยุบสภา
ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องนำกลับไปทบทวน อีกที
ประเด็นคือถึงจะไม่ใช่ 15 วัน
แต่ก็ต้องไม่ใช่ 9 เดือนแน่นอน
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************
ไขปริศนา:ทำไมปัญญาชนไม่สามารถเข้าร่วมต่อสู้กับ"เสื้อแดง"
จากกระทู้ "ไขปริศนาทำไมนัก ศึกษา นักวิชาการ จึงไม่สามารถนำตัวเองเข้ามาร่วมกับเสื้อแดงได้ คำตอบคือ เสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์ ซึ่งเป็นความจริงอันปฎิเสธไม่ได้"
จากเว็บไซต์ คนเหมือนกัน
กลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยชนชั้นล่าง คนทำงาน คนวัยกลางคน ถึงแม้จะมีส่วนประกอบจาก"ปัญญาชนก้าวหน้า" บ้าง แต่ก็กระปริดกระปรอย ร่วมบ้างไม่ร่วมบ้าง แต่กำลังหลักที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มที่ได้กล่าวมาแล้ว หากถามเสื้อแดงเหล่านี้ถึงหลักการประชาธิปไตย หลายคนตอบไม่ได้ ถามถึงอุดมการณ์ แนวคิดทางการเมือง หรือลัทธิการเมืองยิ่งเข้าป่าไปใหญ่ "ป้าไม่รู้เรื่องหรอกหลานเอ๋ย"
"เสื้อแดง"ส่วนใหญ่จึงถูกตราหน้าว่าไร้อุดมการณ์ โง่ ถูกหลอกมา แนวทางต่อสู้ก็สะเปะสะปะ ตกลงจะล้มอะไรแน่ก็ไม่รู้ แล้วจะชนะยังไงยิ่งไม่รู้มากกว่าเสียอีก
ปัญญาชนก็เลยตั้งคำถามแก่ชาวเสื้อแดงว่า "มึงจะสู้ไปทำไมวะ?" ถ้าเสื้อแดงตอบคำถามให้ตรงใจพวกเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ออกมาร่วม
ก็ปัญญาชนผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ มีแนวทางประชาธิปไตย การต่อสู้ก็เพื่ออุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อมั่น แต่ตัวเองจริงๆก็ไม่เดือดร้อนอะไร จึงสามารถ"รอ"เงื่อนไขที่ตนคิดว่าถูกต้องตามหลักอุดมการณ์ของตนก่อนได้ "รอ"จนเสื้อแดงพัฒนาให้เท่าเทียมพวกเขาเสียก่อน "รอ"ให้เสื้อแดงฉลาดขึ้นเสียก่อน ตนจึงจะค่อยไปสมทบ
ด้วยความที่ปัญญาชนเหล่านั้นผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ จึงไม่อยากให้อุดมกาณ์ของตนแปดเปื้อนไป เพราะตนเองก็อยู่ในสังคมอุดมการณ์ อธิบายสรรพสิ่งด้วยอุดมการณ์นั่นเอง
ในสังคมอุดมการณ์เหล่านั้น ปัญญาชนเหล่านี้จึงต้องคอยระวังหลัง เพราะข้อหาว่า"โง่"มันเจ็บปวดรวดร้าว และเป็นเรื่องเป็นราวที่สุด
"ประชาธิปไตยที่กินได้" จากปากของทักษิณ ฟังแล้วดูโคตรจะไร้อุดมการณ์ แต่มันคือความจริงที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่แสวงหา ปัจจัยแรกคือเขาต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมามันเจ็บปวดมากมาย ความเจ็บปวดที่ต้องยอมทนมันมีมาก่อนการรัฐประหาร19กันยา มีมาก่อนทักษิณ มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่
การไม่ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม การถูกดูถูกเหยียดหยาม การไม่เห็นซึ่งตัวตน กดขี่สารพัด เป้าทั้งหมดพุ่งไปที่"อำมาตย์" ไม่ต้องมีการปลุกระดมใดๆ ไม่ต้องอ่านหนังสือวิชาการใดๆ ไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆ เพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรงจากระบบเฮงซวยนี้ ตัวจริงเสียงจริงจากผู้ถูกกระทำโดยไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆมาสนับสนุนเหตุผล!
ถามว่าแล้วทำไมต้องชูทักษิณ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ถกเถียงกันบ่อยครั้งในหมู่" ปัญญาชน" ปัญญาชนก็พัลวันพัลเกเถียงกันอยู่เรื่องความชอบธรรมหรือไม่ที่จะชูทักษิณ แต่ถ้าไปถามเสื้อแดงขนานแท้สักคน คำตอบที่ได้คือ "ก็กูจะเชียร์ มีอะไรมะ? พวกมึงจะเถียงกันเรื่องกูจะเชียร์หรือไม่เชียร์ใคร หรือ กูก้าวข้ามพ้นใครหรือกูจะไม่ก้าว มันไปหนักหัวใคร?"
"เสื้อแดง"ไม่แยแสกับหลักการ ไม่แยแสกับวาทะกรรมดัดจริต หรือกระแสสังคมมากมายนัก นั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องปรับตัว และต้องพัฒนาเพื่อเอาชนะให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ทุกวันนี้คือกระบวนการเรียนรู้จากชีวิตจริง พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าจะชนะไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆจึงพยายามให้ชนชั้นกลางเข้าใจและสนับสนุนพวกเขามากขึ้น
ความพ่ายแพ้สะสมเป็นบทเรียนและพัฒนาคุณภาพของพวกเขาต่อๆไป
ดังนั้นดังที่หลายๆคนเป็นห่วงว่าเสื้อแดงจะท้อ หรือจะยอมแพ้ ส่วนใหญ่มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง วัดจากความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของตนเป็นเกณฑ์ ความพ่ายแพ้ย่อมบั่นทอนอุดมการณ์เป็นธรรมดา แต่ถ้าคิดว่าคนเสื่อแดงสู้เพื่อ"ชีวิต" จริงๆ ไม่ใช่"เพื่อชีวิต"แบบแนวเพลง “คุณจะเห็นได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางท้อ ชีวิตพวกเขาแพ้มาตลอด คนมันชอกช้ำซ้ำซาก จะช้ำอีกสักสองสามทีมันจะเป็นไรไป ส่วนคนที่เคยชนะ สอบชนะ เรียนชนะ ชิงทุนชนะ มักจะกลัวความพ่ายแพ้นั่นเอง”
นักวิชาการ ปัญญาชน นักศึกษา จึงมีปัญหาในการร่วมกับเสื้อแดง เพราะเสื้อแดงมักจะทำอะไรโง่ๆให้คนติ เสื้อแดงไม่มีวาทะกรรมฉลาดๆ เสื้อแดงไม่มีอุดมการณ์ ตอบคำถามพวกเขาให้ตรงคำตอบที่ต้องการไม่ได้ และที่สำคัญเสื้อแดงมีแต่ความพ่ายแพ้ หนทางก็ปูด้วยความพ่ายแพ้! ไม่มีที่สำหรับผู้แสวงหาชัยชนะ!
ปัญญาชนมักจะพูดว่า ถ้าไม่มีหลักอุดมการณ์ ไม่ชี้เป้าหมายชัดเจน ก็จะเอาชนะไม่ได้ แล้วจะสู้ไปทำไม
ผมอยากจะท้าว่า แน่ใจนะ พนันกันมั๊ย แต่อีกสิบปีผมตามไปเก็บตังนะ….!!!
โดย ปืนลั่นแสกหน้า
ที่มา.ประชาไท
************************************************
จากเว็บไซต์ คนเหมือนกัน
กลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาลนี้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยชนชั้นล่าง คนทำงาน คนวัยกลางคน ถึงแม้จะมีส่วนประกอบจาก"ปัญญาชนก้าวหน้า" บ้าง แต่ก็กระปริดกระปรอย ร่วมบ้างไม่ร่วมบ้าง แต่กำลังหลักที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มที่ได้กล่าวมาแล้ว หากถามเสื้อแดงเหล่านี้ถึงหลักการประชาธิปไตย หลายคนตอบไม่ได้ ถามถึงอุดมการณ์ แนวคิดทางการเมือง หรือลัทธิการเมืองยิ่งเข้าป่าไปใหญ่ "ป้าไม่รู้เรื่องหรอกหลานเอ๋ย"
"เสื้อแดง"ส่วนใหญ่จึงถูกตราหน้าว่าไร้อุดมการณ์ โง่ ถูกหลอกมา แนวทางต่อสู้ก็สะเปะสะปะ ตกลงจะล้มอะไรแน่ก็ไม่รู้ แล้วจะชนะยังไงยิ่งไม่รู้มากกว่าเสียอีก
ปัญญาชนก็เลยตั้งคำถามแก่ชาวเสื้อแดงว่า "มึงจะสู้ไปทำไมวะ?" ถ้าเสื้อแดงตอบคำถามให้ตรงใจพวกเขาไม่ได้ เขาก็จะไม่ออกมาร่วม
ก็ปัญญาชนผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ มีแนวทางประชาธิปไตย การต่อสู้ก็เพื่ออุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อมั่น แต่ตัวเองจริงๆก็ไม่เดือดร้อนอะไร จึงสามารถ"รอ"เงื่อนไขที่ตนคิดว่าถูกต้องตามหลักอุดมการณ์ของตนก่อนได้ "รอ"จนเสื้อแดงพัฒนาให้เท่าเทียมพวกเขาเสียก่อน "รอ"ให้เสื้อแดงฉลาดขึ้นเสียก่อน ตนจึงจะค่อยไปสมทบ
ด้วยความที่ปัญญาชนเหล่านั้นผูกตัวเองติดกับอุดมการณ์ จึงไม่อยากให้อุดมกาณ์ของตนแปดเปื้อนไป เพราะตนเองก็อยู่ในสังคมอุดมการณ์ อธิบายสรรพสิ่งด้วยอุดมการณ์นั่นเอง
ในสังคมอุดมการณ์เหล่านั้น ปัญญาชนเหล่านี้จึงต้องคอยระวังหลัง เพราะข้อหาว่า"โง่"มันเจ็บปวดรวดร้าว และเป็นเรื่องเป็นราวที่สุด
"ประชาธิปไตยที่กินได้" จากปากของทักษิณ ฟังแล้วดูโคตรจะไร้อุดมการณ์ แต่มันคือความจริงที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่แสวงหา ปัจจัยแรกคือเขาต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมามันเจ็บปวดมากมาย ความเจ็บปวดที่ต้องยอมทนมันมีมาก่อนการรัฐประหาร19กันยา มีมาก่อนทักษิณ มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่
การไม่ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม การถูกดูถูกเหยียดหยาม การไม่เห็นซึ่งตัวตน กดขี่สารพัด เป้าทั้งหมดพุ่งไปที่"อำมาตย์" ไม่ต้องมีการปลุกระดมใดๆ ไม่ต้องอ่านหนังสือวิชาการใดๆ ไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆ เพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรงจากระบบเฮงซวยนี้ ตัวจริงเสียงจริงจากผู้ถูกกระทำโดยไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆมาสนับสนุนเหตุผล!
ถามว่าแล้วทำไมต้องชูทักษิณ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ถกเถียงกันบ่อยครั้งในหมู่" ปัญญาชน" ปัญญาชนก็พัลวันพัลเกเถียงกันอยู่เรื่องความชอบธรรมหรือไม่ที่จะชูทักษิณ แต่ถ้าไปถามเสื้อแดงขนานแท้สักคน คำตอบที่ได้คือ "ก็กูจะเชียร์ มีอะไรมะ? พวกมึงจะเถียงกันเรื่องกูจะเชียร์หรือไม่เชียร์ใคร หรือ กูก้าวข้ามพ้นใครหรือกูจะไม่ก้าว มันไปหนักหัวใคร?"
"เสื้อแดง"ไม่แยแสกับหลักการ ไม่แยแสกับวาทะกรรมดัดจริต หรือกระแสสังคมมากมายนัก นั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องปรับตัว และต้องพัฒนาเพื่อเอาชนะให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ทุกวันนี้คือกระบวนการเรียนรู้จากชีวิตจริง พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าจะชนะไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆจึงพยายามให้ชนชั้นกลางเข้าใจและสนับสนุนพวกเขามากขึ้น
ความพ่ายแพ้สะสมเป็นบทเรียนและพัฒนาคุณภาพของพวกเขาต่อๆไป
ดังนั้นดังที่หลายๆคนเป็นห่วงว่าเสื้อแดงจะท้อ หรือจะยอมแพ้ ส่วนใหญ่มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง วัดจากความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของตนเป็นเกณฑ์ ความพ่ายแพ้ย่อมบั่นทอนอุดมการณ์เป็นธรรมดา แต่ถ้าคิดว่าคนเสื่อแดงสู้เพื่อ"ชีวิต" จริงๆ ไม่ใช่"เพื่อชีวิต"แบบแนวเพลง “คุณจะเห็นได้เลยว่าพวกเขาไม่มีทางท้อ ชีวิตพวกเขาแพ้มาตลอด คนมันชอกช้ำซ้ำซาก จะช้ำอีกสักสองสามทีมันจะเป็นไรไป ส่วนคนที่เคยชนะ สอบชนะ เรียนชนะ ชิงทุนชนะ มักจะกลัวความพ่ายแพ้นั่นเอง”
นักวิชาการ ปัญญาชน นักศึกษา จึงมีปัญหาในการร่วมกับเสื้อแดง เพราะเสื้อแดงมักจะทำอะไรโง่ๆให้คนติ เสื้อแดงไม่มีวาทะกรรมฉลาดๆ เสื้อแดงไม่มีอุดมการณ์ ตอบคำถามพวกเขาให้ตรงคำตอบที่ต้องการไม่ได้ และที่สำคัญเสื้อแดงมีแต่ความพ่ายแพ้ หนทางก็ปูด้วยความพ่ายแพ้! ไม่มีที่สำหรับผู้แสวงหาชัยชนะ!
ปัญญาชนมักจะพูดว่า ถ้าไม่มีหลักอุดมการณ์ ไม่ชี้เป้าหมายชัดเจน ก็จะเอาชนะไม่ได้ แล้วจะสู้ไปทำไม
ผมอยากจะท้าว่า แน่ใจนะ พนันกันมั๊ย แต่อีกสิบปีผมตามไปเก็บตังนะ….!!!
โดย ปืนลั่นแสกหน้า
ที่มา.ประชาไท
************************************************
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553
นปช.เตรียมเคลื่อนขบวนพรุ่งนี้10โมงอุบสถานที่
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แถลงข่าวหลังเวทีราชประสงค์ ว่า ที่ประชุม นปช.มีมติอย่างเป็นทางการว่าจะปักหลักชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา โดยไม่กำหนดระยะเวลา พร้อมทั้งขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศให้มาร่วมการชุมนุมโดยในวันพรุ่งนี้ (5 เม.ย.) เวลา 10.00 น. จะแถลงว่าจะเคลื่อนไปที่ไหน อาจจะมีการเคลื่อนขบวนประชาชนส่วนหนึ่งออกจากแยกราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้าฯ ไปตามเส้นทางต่างๆ ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนด้วยรถจักรยานต์ และรถปิคอัพ แต่อาจจะคาบเกี่ยวกับเส้นทางที่ ศอ.รส.ประกาศห้าม ทั้งนี้เนื่องจาก ศอ.รส.ไม่มีสิทธิ์จะห้ามประชาชนในการเคลื่อนไหวโดยสันติและปราศจากอาวุธ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรธน. และที่ผ่านมาการเคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ ไม่เคยเกิดความรุนแรง ส่วนที่รัฐบาลขอให้ศาลมีคำสั่งย้ายที่ชุมนุม ยืนยันว่าเรายอมรับผลของการตัดสินวินิจฉี้ยของศาล แต่เมื่อไหร่ที่มีผลออกมา จะมีทีมกฎหมายของ นปช.ไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งทันที เช่นเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรฯเคยทำ
สำหรับกรณีที่ ศอ.รส.ระบุว่า ผู้ที่มาชุมนุมต้องได้รับโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2หมื่นบาทนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นปช.ไม่เคยกลัวและไม่รู้สึกหวั่นไหวไม่ว่าโทษจะกี่ปีก็ตาม เพราะถ้าเราไม่ออกมาต่อสู้วันนี้ก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอำมาตย์ต่อไปอีกกี่ปี หลังจากนี้จะยกระดับการเคลื่อนไหวให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่กำหนดระยะเวลา เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยังไม่ยอมยุบสภาก็จะต้องเผชิญการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่เข้มข้นขึ้นต่อไป
ส่วนที่มีการออกมาระบุว่าเกิดความเสียหายจากการเคลื่อนไหวของ นปช.หลายพันล้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้ ทั้งจากการยึดสนามบิน การยึดอำนาจ ซึ่งเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่ประเทศชาติตกอยู่ภายใต้อำมาตย์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กลุ่มนปช.จะส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า โรงแรม รวมถึงธุรกิจต่างๆ บริเวณแยกราชประสงค์ว่า กลุ่มเสื้อแดงจะอำนวยความสะดวกให้ได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางให้เข้าออก ซึ่งจะทำให้คนกรุงเทพฯหันมาสนับสนุนเรามากขึ้น
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะคำพูดของนายกฯกับการกระทำสวนทางกัน ปากบอกอยากเจรจา แต่สิ่งที่ทำคือใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงมาตลอด เมื่อรัฐบาลไม่จริงใจ การเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้น
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
สำหรับกรณีที่ ศอ.รส.ระบุว่า ผู้ที่มาชุมนุมต้องได้รับโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2หมื่นบาทนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นปช.ไม่เคยกลัวและไม่รู้สึกหวั่นไหวไม่ว่าโทษจะกี่ปีก็ตาม เพราะถ้าเราไม่ออกมาต่อสู้วันนี้ก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอำมาตย์ต่อไปอีกกี่ปี หลังจากนี้จะยกระดับการเคลื่อนไหวให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่กำหนดระยะเวลา เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยังไม่ยอมยุบสภาก็จะต้องเผชิญการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่เข้มข้นขึ้นต่อไป
ส่วนที่มีการออกมาระบุว่าเกิดความเสียหายจากการเคลื่อนไหวของ นปช.หลายพันล้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้ ทั้งจากการยึดสนามบิน การยึดอำนาจ ซึ่งเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่ประเทศชาติตกอยู่ภายใต้อำมาตย์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กลุ่มนปช.จะส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า โรงแรม รวมถึงธุรกิจต่างๆ บริเวณแยกราชประสงค์ว่า กลุ่มเสื้อแดงจะอำนวยความสะดวกให้ได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางให้เข้าออก ซึ่งจะทำให้คนกรุงเทพฯหันมาสนับสนุนเรามากขึ้น
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการเจรจากับรัฐบาลว่า คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะคำพูดของนายกฯกับการกระทำสวนทางกัน ปากบอกอยากเจรจา แต่สิ่งที่ทำคือใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงมาตลอด เมื่อรัฐบาลไม่จริงใจ การเจรจาก็จะไม่เกิดขึ้น
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
“วรเจตน์ ปะทะ สมเกียรติ” วิวาทะผ่านจอทีวีไทย โต้คดียึดทรัพย์ทักษิณ.ผู้มีจิตใจเป็นธรรม ย่อมเข้าใจได้

ปลายเดือนที่แล้ว เว็ปไซต์ ประชาชาติธุรกิจ กลายเป็นเวทีสุดฮอต ในการโต้เถียงทางปัญญาว่าด้วยเรื่อง คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน บัดนี้ ได้กลายเป็นวิวาทะ ที่ผู้คนให้ความสนใจ อย่างถล่มทลาย จากเดิมที่เป็นบทความทางวิชาการที่แห้งแล้ง วันนี้ กลายเป็นหัวข้อที่มีคนถกเถียงกันทั้งเมือง
เริ่ม จากบทวิเคราะห์ของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเพื่อนอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ถูก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักเศรษฐศาสตร์ จาก ทีดีอาร์ไอ. ลูบคม และมี นายประสงค์ เลิศรัตน์วิสุทธ์ คอลัมนิสต์ใหญ่มติชน นิติศาสตร์บัณฑิต ร่วมแจม ทำให้เกิดความคึกคักในการลับคมปัญญา
ก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอผ่าน มติชนสุดสัปดาห์ ให้ คู่ของ ดร. วรเจตน์ และ ดร. สมเกียรติ โต้กันบนเวทีเดียวกัน และประเด็นเดียวกัน ล่าสุด ทีวีไทย ทาบคู่วิวาทะไปขึ้นเวทีเดียวกัน ในช่วงสัปดาห์หน้า
ขณะที่ การโต้ตอบระหว่าง ดร. วรเจตน์ กับ ประสงค์ ก็ยังดำเนินอยู่
บ่ายวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ดร. วรเจตน์ ฝากบทความถึงนายประสงค์ ในหัวเรื่อง ความ (ไม่) สำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดียึดทรัพย์ทั้งคดี
งานนี้ ไม่ว่า จะเป็นแฟน ดร. วรเจตน์ หรือ เป็นแฟน คอลัมภ์ นายประสงค์ ก็ต้องอ่าน ....
@ ดร. วรเจตน์ ตอบ นาย ประสงค์
แม้ผมจะได้อธิบายความสัมพันธ์ของประเด็นการคงไว้หรือไม่คงไว้ซึ่งการถือครองหุ้นในชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับประเด็นที่ว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อกล่าวหาที่ฟ้องร้องกันในคดียึดทรัพย์มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ในบทความตอบคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ กรณีคำพิพากษายึดทรัพย์ประเด็น “ซุกหุ้น” และประเด็นดาวเทียม “ไอพีสตาร์” อย่างละเอียดพอสมควรแล้ว
แต่เมื่อได้อ่านบทความ “ความสำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” ต่อคดียึดทรัพย์” ที่คุณประสงค์เผยแพร่ในมติชนออนไลน์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 อีกครั้ง
ผมพบว่าคุณประสงค์ยังไม่พยายามเข้าใจประเด็นที่ผมนำเสนอ และในข้อเขียนดังกล่าวคุณประสงค์ยังแสดงความเป็นห่วงว่า สาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิพากษ์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรี
@ คุณประสงค์(ครับ) วางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ
ถ้าคุณประสงค์อ่านบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างวางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ
คุณประสงค์จะเห็นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นการถือครองหุ้นกับประเด็นว่าการกระทำของคุณทักษิณเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่นั้น กลุ่มห้าอาจารย์เขียนว่า “...อย่างไรก็ตามเมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว ประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญใดๆต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดีว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม สัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ตลอดจนกรณีการกู้เงินของรัฐบาลสหภาพพม่าจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ดังที่จะได้วิเคราะห์ต่อไปนี้...” (ข้อความที่ขีดเส้นใต้เป็นข้อความที่ผมต้องการเน้น เพื่อจะอธิบายต่อไป)
เรื่องนี้เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้วว่า ถ้าวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปเสียแล้ว ก็เป็นอันไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่
แต่หากวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปจริง ก็ยังไม่สามารถจะพิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากไม่ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำการ และการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรทำให้ร่ำรวยผิดปกติ
นั่นคือถ้าจะพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องได้ความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และ มีการกระทำที่ทำให้มีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติหรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งสองประเด็นนี้แม้จะเกี่ยวเนื่องกันในกรณีที่จะพิพากษายึดทรัพย์ แต่ก็เป็นคนละประเด็นกัน ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วในบทความที่เขียนตอบคุณประสงค์
@ ถือหุ้นหรือไม่ถือหุ้น ก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาในเนื้อหาของคดี
คุณประสงค์พึงสังเกตประโยคที่ว่า “เมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ซึ่งหมายความว่าเมื่อกลุ่มห้าอาจารย์ได้อ่านคำพิพากษาทั้งคดีแล้ว เห็นว่าการถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผลใดๆกับการพิจารณาในเนื้อหาของคดี
กล่าวคือ ไม่ว่าจะถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วในคดี ไม่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ใดๆตามข้อกล่าวหา
นั่นคือต่อให้ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางเนื้อหาแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์ก็เห็นว่าทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และการคงไว้ซึ่งหุ้นก็จะมีผลในทางกฎหมายเป็นประการอื่น ไม่ใช่การยึดทรัพย์
การที่คุณประสงค์เขียนว่า “ด้วยตรรกะเดียวกัน ถ้าสมมติว่า กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ให้แก่ชินคอร์ป (ซึ่งเป็นของบุคคลอื่น) แต่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ “ซุกหุ้น” ก็ไม่อาจยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณได้เช่นเดียวกัน...” จึงเป็นการสมมติแทนกลุ่มห้าอาจารย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง
เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ “ได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ไม่ได้เห็นเช่นนั้น กล่าวคือ เมื่อพิจารณาข้อกล่าวหา และข้อต่อสู้ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาฯทั้งหมดแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าไม่มีการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีที่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์แต่อย่างใด กลุ่มห้าอาจารย์จึงเห็นว่าประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดี
แน่นอนว่าถ้ากลุ่มห้าอาจารย์พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์ กลุ่มห้าอาจารย์ก็จำต้องพิเคราะห์ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” ให้ละเอียดและประเด็นนี้ย่อมจะเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญในการวินิจฉัย แต่เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยตลอดแล้ว กลุ่มอาจารย์ไม่เห็นเช่นนั้น ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” จึงไม่มีนัยสำคัญดังที่ได้อธิบายมาละเอียดพอสมควรแล้ว
คุณประสงค์สามารถโต้แย้งในทางตรรกะอย่างใดก็ได้ตามที่คุณประสงค์ต้องการ แต่จะสมมติประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์วินิจฉัยเป็นยุติไม่ตรงตามการสรุปของกลุ่มห้าอาจารย์ เพื่อใช้เป็นฐานกลับมาโต้แย้งกลุ่มห้าอาจารย์ไม่ได้
ผมมีข้อสังเกตว่า การพิเคราะห์ของคุณประสงค์อาจมีข้ออ่อนให้ผู้อื่นโต้แย้งได้ว่าคุณประสงค์เองมุ่งหมายที่จะให้มีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะยึดทรัพย์ได้นั้นจะต้องปรากฏในเบื้องต้นก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป คุณประสงค์จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และเมื่อวินิจฉัยเช่นนั้นได้แล้ว ก็ยังไม่พอ ยังจะต้องชี้ต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์ด้วย ผมเองไม่คิดว่าคุณประสงค์มีความมุ่งหมายเช่นนั้น แต่สาธารณชนก็อาจเข้าใจเจตนาของคุณประสงค์ไปเช่นนั้นได้
ทำไมสาธารณชนอาจจะเห็นเช่นนั้นได้ คำตอบย่อมอยู่ที่วิธีการนำเสนอของคุณประสงค์ เพราะแม้คุณประสงค์จะกล่าวว่าในการเขียนวิเคราะห์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์มีวัตถุประสงค์ (หลัก) เพียงเพื่อนำคำพิพากษาซึ่งมีความยาวและสลับซับซ้อน มาแยกแยะเป็นประเด็นๆให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น มิได้มุ่งวิพากษ์ในเชิงเหตุผลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาก็ตาม
แต่ถ้าดูจากลักษณะการพาดหัวเช่น “วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ลักไก่ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์...” สาธารณชนอาจมองได้ว่าคุณประสงค์ได้แสดงความเห็นในทางลบแล้ว คล้ายกับว่ามีการลับลอบส่งดาวเทียมขึ้นไป ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงในคดีก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ผมได้เรียนให้ทราบแล้วว่าประเด็นเรื่องการถือครองหุ้นนั้นเป็นประเด็นหลักของคดีในลักษณะอื่น ซึ่งผลของการฝ่าฝืนเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ไม่ใช่การยึดทรัพย์ ถ้าคุณประสงค์จะลองวางประเด็นเรื่องซุกหุ้นไว้ก่อน แล้วพิเคราะห์การกระทำในทางเนื้อหาล้วนๆ คุณประสงค์อาจจะได้มุมมองใหม่ๆในคดีนี้
คุณประสงค์อาจจะแย้งว่า การชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป จะเป็นเครื่องส่อแสดงที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นมูลเหตุจูงใจในการกระทำการเพื่อประโยชน์ของตน
ผมเห็นว่าเรื่องนี้คงมีผลเฉพาะในทางกฎหมายที่จะทำให้ยึดทรัพย์ได้เท่านั้น ในทางความเป็นจริง การที่หุ้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของบุตรหรือญาติใกล้ชิด ย่อมไม่ต่างกันมากนัก ถ้าจะเอื้อประโยชน์ก็เอื้อประโยชน์ได้เหมือนกัน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยในแง่ของมูลเหตุจูงใจในการกระทำ
ในมุมมองของผมซึ่งคิดประเด็นเหล่านี้มาแล้วอย่างละเอียดพอสมควร ผมได้พิเคราะห์เนื้อหาของคดี และเหตุผลของการดำเนินการต่างๆตามที่มีการกล่าวหา
ผมเห็นว่าการกระทำในทุกกรณีไม่ว่าเป็นเรื่องโทรคมนาคม ดาวเทียมไอพีสตาร์ หรือการให้เงินกู้แก้รัฐบาลสหภาพพม่าที่ปรากฏในคดียึดทรัพย์ เป็นการกระทำที่มีเหตุผลอธิบายในทางกฎหมายได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมเห็นด้วยกับวิธีการในการดำเนินงานดังกล่าวทุกประการในทางนโยบายหรือในทางการเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ประเด็นต่างๆเหล่านี้หากคุณประสงค์เห็นต่างออกไป เราก็สามารถอภิปรายโต้แย้งกันได้
สำหรับประเด็นที่คุณประสงค์กังวลว่าสาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิเคราะห์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น
ผมขอเรียนว่า อันที่จริงแล้ว มีอีกหลายประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการมีผลบังคับเป็นการเฉพาะของประกาศ คปค. อำนาจในการดำเนินการไต่สวนต่อไปของ คตส.หลังจากที่รัฐธรรมนูญฯ 2550 ใช้บังคับแล้ว อำนาจในการดำเนินการของ ปปช.ที่รับเรื่องมาจาก คตส. ฯลฯ
แต่กลุ่มห้าอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้ไว้ในบทวิเคราะห์ เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ต้องการเน้นไปที่ประเด็นเนื้อหาของคดีซึ่งแม้จะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีจิตใจที่เป็นธรรม จะไม่สามารถเข้าใจได้ เว้นแต่จะไม่พยายามเข้าใจ
@ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้
สิ่งที่กลุ่มห้าอาจารย์ต้องการก็คือให้สังคมได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงในคดี ให้วงการนิติศาสตร์ได้ถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของหลักวิชา ซึ่งหากการกระทำด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะทำให้ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้
และผมก็ขอบคุณคุณประสงค์ด้วยความจริงใจที่เชื่อว่าการที่กลุ่มห้าอาจารย์ออกบทวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวนี้ เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนและวงวิชาการนิติศาสตร์
หากสาธารณชนพิจารณาบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างมีโยนิโสมนสิการ คือ ทำให้ให้แยบคาย พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า แยกแยะพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบ ย่อมจะเห็นได้โดยปราศจากข้อกังขาเลยว่าบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้สรุปข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญและตลอดจนความเห็นของศาลในคำพิพากษาอย่างตรงไปตรงมาซึ่งหลายกรณีก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นจึงได้แสดงความเห็นของกลุ่มอาจารย์ว่าเราเห็นว่าอย่างไร มีแง่มุมที่เห็นแตกต่างจากศาลอย่างไร
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จดจารอยู่ในใจของกลุ่มห้าอาจารย์ แม้ว่าการวิเคราะห์คำพิพากษาในคดียึดทรัพย์นี้จะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด การกล่าวหาว่าร้าย การตำหนิประณาม จากผู้ที่เห็นต่าง ในสังคมที่ดูเหมือนว่าพื้นที่ของเหตุผลจะหดแคบลงไปทุกทีนี้
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************
ว่าด้วย เรื่อง ไพร่ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ .....ตรงเกินไปจนแสนระคายเคือง
เสื้อแดงบนถนนราชดำเนินและถนนราชประสงค์ เรียกตัวเองว่า ไพร่ เหตุใด คำว่า ไพร่ กลายเป็นความภาคภูมิใจ ไปได้ เสื้อยืดยอดนิยม สกรีน คำว่า ไพร่ บนหน้าอก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจหมื่นล้านแห่งไทยซัมมิท ก็นิยามตัวเองว่า เป็นไพร่ ล่าสุด “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ฟันธงว่า คำนี้ มันตรงประเด็นเกินไปจนแสนระคายเคือง
ในคอลัมภ์ของ”นิธิ เอียวศรีวงศ์”นักวิชาการอิสระ เขียน เรื่อง ชื่อสั้นๆ ว่า “ไพร่” คำที่มีความหมายลึก แห่งการต่อสู้ เราสรรหา มาให้ท่านผู้อ่านพินิจ
กลุ่มผู้ประท้วง นปช. นิยามตนเองว่าเป็น "ไพร่" ทำไมเขาจึงเลือกคำนี้ ผมไม่ทราบ แต่นับว่าน่าสนใจแก่ผมอย่างมาก เพราะความหมายของคำนี้ในภาษาไทย คลี่คลายไปสู่ความหมายเชิง "ประท้วง" ต่อสังคมที่ถือเอาลำดับขั้นของสถานภาพอย่างเคร่งครัดไม่นานมานี้เอง ในขณะที่ความหมายก่อนหน้านี้คือการให้ความชอบธรรมแก่การแบ่งสถานภาพก็ยังอยู่ และถูกใช้ในอีกเงื่อนไขหนึ่งอยู่บ้าง
เมื่อผู้ปราศรัยบนเวที ชี้หน้าผู้ร่วมชุมนุมทุกคนว่าพวกเราล้วนเป็น "ไพร่" ผู้ร่วมชุมนุมก็ไม่รู้สึกโกรธว่าถูกเหยียดให้ต่ำ แสดงว่าพวกเขารับรู้ความหมายใหม่ของคำนี้อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งในประจักษ์พยานว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นบ้านนอกขอกตื้อ ที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมไทย
ความหมายเดิมจริงๆ ของคำนี้ในภาษาไทยอาจพอแปลเทียบกับคำว่า "เสรีชน" ได้กระมัง เพราะในรัฐไทดำของลุ่มน้ำดำ (ซึ่งเป็นรูปแบบที่เชื่อกันว่ามีลักษณะเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐไทย-ลาว) เขาแบ่งประชาชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือพวก "ไท-ไต" ซึ่งมีสิทธิ์ถืออาวุธหรือเป็นทหาร, ถือครองที่ดินส่วนที่เป็นที่ราบลุ่ม, และใช้เครื่องมือการเกษตรบางชนิดได้ กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "ไป" หรือ "ปาย" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกับ "ไพร่" ในภาษาไทยกลางนั้นเอง
อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกที่เรียกรวมๆ ว่า "ข้า" คือกลุ่มคนที่ต่างชาติพันธุ์ออกไป และมีสิทธิ์ทางสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองด้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม "ไพร่" ที่ปรากฏในสมัยอยุธยา คงเรียกว่า "เสรีชน" ลำบากแล้วล่ะครับ ฝรั่งจัดคนเหล่านี้ไว้เป็นกลุ่มหนึ่งในพวก bondsmen คือคนที่มีพันธะบางอย่างกับคนอื่น
คนอื่นซึ่งไพร่ต้องมีพันธะด้วยนั้น เรียกรวมๆ ว่า "มูลนาย" ประกอบด้วยคนหลายประเภท นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน, ราชตระกูล, ขุนนาง, เจ้าเมืองท้องถิ่น, และคนที่เจ้าเมืองตั้งขึ้นเป็นขุนนางท้องถิ่น ไพร่มีภาระหน้าที่จะต้องส่งส่วยแก่มูลนาย ในรูปของส่วยแรงงาน หรือส่วยสินค้าก็ตาม ถ้าส่งให้หลวงก็เรียกว่าไพร่หลวง ถ้าส่งให้มูลนายอื่นก็เรียกว่าไพร่สม
พันธะอันนี้หมดไปในทางทฤษฎี เมื่อ ร.5 ทรงออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหารเข้ามาแทนที่ หมายความว่า เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ยังมีพันธะต้องเป็นทหารให้แก่กองทัพของหลวงในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็กลายเป็น "เสรีชน" ไปตลอดชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังใช้การเกณฑ์แรงงาน สืบมาโดยเปิดเผยหรือโดยการ "ขอร้อง" ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนถึงระยะแรกๆ ของการพัฒนาหลังการยึดอำนาจของ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ แล้ว
ฉะนั้น ว่ากันตามทฤษฎี ก็ไม่มีไพร่ในสังคมไทยอีกแล้วนับตั้งแต่นั้นมา แต่คำนี้ก็ยังถูกใช้อยู่ต่อมา หากในความหมายใหม่ หรือในจุดเน้นใหม่
ขอให้สังเกตนะครับว่า คู่ตรงข้ามของ "ไพร่" ในกฏหมายตราสามดวงที่ใช้กันมาตั้งแต่อยุธยาจนถึง ร.5 นั้น คือ "มูลนาย" ทั้งสองฝ่ายนี้ถึงจะร่วมวัฒนธรรมใหญ่กันก็จริง แต่ในรายละเอียดแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักความละเอียดซับซ้อนของวัฒนธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ดูละครกันคนละเรื่องและคนละแบบ, ผลิตและใช้วรรณกรรมกันคนละชนิด, ฟังเพลงก็คนละประเภทกัน, แม้แต่เนื้อหาของพระพุทธศาสนาที่ต่างฝ่ายต่างนับถือก็ไม่สู้จะเหมือนกันนัก ฯลฯ
ผมไม่แน่ใจว่า ต่างมีสำนึกเหยียดหยามวัฒนธรรมของกันและกันหรือไม่ เพราะในชีวิตจริงแล้ว ต่างอยู่ในโลกของตน มีความจำเป็นล่วงเข้ามาในโลกของอีกฝ่ายไม่มากนัก แต่แน่นอนว่ามีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไพร่ล่วงเข้ามาในโลกของมูลนาย วัฒนธรรมของไพร่ก็เป็นสิ่งน่าหัวร่อเยาะ หรือน่าเหยียดหยาม นับตั้งแต่อาหารการกิน, การแต่งเนื้อแต่งตัว, มารยาท, ไปจนถึงคุณค่าที่ยึดถือ
แต่ชีวิตที่ถูกแยกออกเป็นสองโลกนี้เริ่มอันตรธานไปในการปฏิรูปของ ร.5 ซึ่งยังสืบทอดอำนาจทางการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไว้ในหมู่พวก "มูลนาย" (หรือกลุ่มหนึ่งของพวก "มูลนาย") เหมือนเดิม แต่บัดนี้เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกจาก "มูลนาย" ให้กลายเป็น "ผู้ดี" แทน
คู่ตรงข้ามของไพร่ในภาษาไทยจึงกลายเป็น "ผู้ดี" ไป
ผมขอยกตัวอย่างการใช้คำว่า "ไพร่" ในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นตัวอย่าง
สำนวนว่า "ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร" นั้นมีความหมายอย่างไร ก.ศ.ร. กุหลาบไปเข้าใจว่า เมื่อพระอัครมเหสีจะประสูติพระราชโอรส-ธิดา ก็โปรดให้ตั้งพระมหาเศวตรฉัตรไว้เหนือที่ซึ่งจะมีพระประสูติกาล ฉะนั้น เมื่อสมเด็จฯ พระองค์นั้นทรงพระนิพนธ์พงศาวดารรัชกาลที่ 5 จึงได้ทรงอธิบายว่า ที่เข้าใจเช่นนั้นเป็นเพราะ ก.ศ.ร. กุหลาบ (ในพระนิพนธ์ไม่ได้ออกชื่อ) เป็น "ไพร่" ไม่รู้ธรรมเนียมเจ้า เพราะความหมายของสำนวนนี้ก็คือ ทรงพระราชสมภพเมื่อพระราชบิดาได้เสวยราชสมบัติแล้วเท่านั้น
(เช่น ร.2 ไม่ได้ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร เพราะขณะนั้นพระราชบิดายังมิได้ครองราชย์ แต่ ร.5 ใช่ เพราะพระราชบิดาได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว)
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วนะครับว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นสามัญชน ล่วงเข้ามาในพื้นที่ของ "ผู้ดี" คือพื้นที่ "วิชาการ" ซึ่ง "ผู้ดี" ในสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อันคนซึ่งปราศจากคุณสมบัติของ "ผู้ดี" จะเข้ามาไม่ได้
คุณสมบัตินั้นคือการศึกษา (ในความหมายกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะประกาศนียบัตร) อย่างหนึ่ง และความรอบรู้เจนจัดในขนบธรรมเนียมประเพณีของ "ผู้ดี" อีกอย่างหนึ่ง
ความหมายของ "ไพร่" จึงเคลื่อนไปจากประเภทของบุคคลที่ไม่ใช่ "มูลนาย" มาเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทที่ถือกันว่าเป็นมารยาท "ผู้ดี"
ความหมายนี้ยิ่งมีพลังมากขึ้น เมื่อความหมายของคำว่า "ผู้ดี" เองก็เริ่มเคลื่อนจากกำเนิด มาสู่คุณสมบัติอื่นซึ่งมนุษย์สามารถแสวงหาไขว่คว้ามาเป็นของตนได้ เช่นมารยาท
หนังสือ "สมบัติผู้ดี" พูดชัดเจนไปเลยว่า กำเนิดไม่ใช่เงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของ "ผู้ดี" แต่มารยาทและความประพฤติซึ่งอาจได้มาจากการอบรมสั่งสอนต่างหากที่จะแยก "ผู้ดี" ให้ออกจาก "ไพร่"
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยของไทย เป็นกระบวนการที่พยายามจะสืบทอดอำนาจของ "มูลนาย" ไว้ให้คงอยู่ในระบบใหม่ด้วย คำว่า "ผู้ดี" ซึ่งแม้จะไม่เน้นในเรื่องกำเนิด แต่ความหมายถึงอภิสิทธิชนอันมาแต่กำเนิดก็ยังแฝงอยู่ในคำนี้ เพราะคนที่จะเป็น "ผู้ดี" ได้ ก็ต้องเติบโตมาในวัฒนธรรมมูลนาย, ได้รับการศึกษาแผนใหม่ซึ่งมีต้นทุนไม่น้อย อีกทั้งต้องมีอิทธิพลที่จะดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานอันเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย
"ผู้ดี"จึงหมายถึงคนมีมารยาทอันงามและเป็นอภิสิทธิชน ในขณะที่ "ไพร่" ซึ่งเป็นตรงกันข้าม คือคนที่หยาบคาย, เป็นสามัญชนคนธรรมดา, ไม่มีอภิสิทธิ์ หรือว่ากันที่จริงแม้แต่สิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะพลเมืองก็มีไม่เต็ม
และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ถูกใช้ในความหมายเชิงประท้วง และผมคิดว่าหนึ่งในคนที่ทำให้ความหมายนี้ขยายไปจนเป็นที่รับรู้กันอย่างมากนั้น คือ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ สักสามทศวรรษมาแล้ว ที่คุณสุจิตต์แกล้งใช้คำนี้ในงานเขียนของตนหลายชิ้น (เช่น เสภาไพร่) จนกระทั่ง ใครๆ ก็สามารถประกาศตัวเป็นไพร่ได้ หากต้องการจะเน้นความเสียเปรียบ หรือความต่ำต้อยของตนเองอันเกิดจากระบบแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ระคายหูชนชั้นสูง เพราะเท่ากับย้ำความเป็นอภิสิทธิชนของพวกเขา ผมทราบมาว่าบางกลุ่มของชนชั้นสูงไม่อยากให้ใช้คำ "ไพร่" เอาเลย ยกเว้นแต่จะใช้เป็นศัพท์วิชาการ เพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมไทยในอดีต
แต่ "ไพร่" ก็เหมือนคำในภาษาทั่วไป คือมีชีวิตของมันเอง หากไม่ตายหรือถูกเลิกใช้ไปเสีย ก็เคลื่อนคลายความหมายไปได้เรื่อยๆ ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในปัจจุบันหากไม่ใช้ในความหมายของศัพท์วิชาการแล้ว "ไพร่" มักมีความหมายในเชิงประท้วงหรือประชดอย่างนี้แหละครับ
"ไพร่" ในความหมายว่าไร้มารยาทและไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเสียอีก ผมกลับไม่ค่อยได้ยินใครใช้
ดังนั้น เมื่อผู้ประท้วงเสื้อแดงเลือกคำว่า "ไพร่" มาใช้เรียกกลุ่มของตนเอง ผมจึงเห็นว่าเป็นการเลือกคำที่ชาญฉลาด เพราะ "ไพร่" คำเดียว แทนประเด็นที่เขาชุมนุมกันได้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็นความอยุติธรรม, สองมาตรฐาน หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการรักษาผลประโยชน์ตนเองอย่างมืดบอดของเหล่าอภิสิทธิชน
ก็จริงหรอกครับ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นวีรบุรุษของคนเสื้อแดงนั้น ก็เป็นอภิสิทธิชนคนหนึ่ง แต่ในทัศนะของคนเสื้อแดง คุณทักษิณเป็นอภิสิทธิชนที่ตกกระป๋อง เพราะระบบที่ไม่ยุติธรรม, สองมาตรฐาน และความเหลื่อมล้ำ อันเป็นระบบที่ทำให้ผู้ประท้วงต้องเป็น "ไพร่"
ยิ่งถ้ามองไปที่ "วาทกรรม" ของไพร่-ผู้ดี ไม่ใช่มองไปที่คำ ผมคิดว่ายิ่งตรงกับประเด็นการประท้วงมากขึ้น วาทกรรมคือข้อสรุปที่สมมติว่าเป็น "ความจริง" อันเกิดขึ้นจากชุดของเหตุผลและข้อเท็จจริงหนึ่ง วาทกรรม "ไพร่-ผู้ดี" ของวัฒนธรรมไทยนั้น คือการแบ่งสิทธิอย่างไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างคนที่สามารถสร้างสถานภาพอันสูงได้ผ่านการศึกษา กับคนที่ไม่สามารถทำได้อย่างนั้น
และก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นะครับ โอกาสของการศึกษานั้นกระจายไปในสังคมไทยอย่างเป็นธรรมหรือไม่เพียงใด หรือการศึกษาเป็นเพียงเครื่องมืออันหนึ่งในการสืบทอดสถานภาพแห่งอภิสิทธิชนจากชั่วอายุคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วอายุคนหนึ่งกันแน่ (สถานภาพที่สามารถสืบทอดถึงลูกหลานได้ก็คือ "ชนชั้น")
คนที่สะพานผ่านฟ้าฯ ใช้คำว่า "ไพร่" ได้ตรงประเด็นเป๊ะ จะผิดอยู่บ้างก็คือตรงเกินไปจนแสนระคายเคือ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
ในคอลัมภ์ของ”นิธิ เอียวศรีวงศ์”นักวิชาการอิสระ เขียน เรื่อง ชื่อสั้นๆ ว่า “ไพร่” คำที่มีความหมายลึก แห่งการต่อสู้ เราสรรหา มาให้ท่านผู้อ่านพินิจ
กลุ่มผู้ประท้วง นปช. นิยามตนเองว่าเป็น "ไพร่" ทำไมเขาจึงเลือกคำนี้ ผมไม่ทราบ แต่นับว่าน่าสนใจแก่ผมอย่างมาก เพราะความหมายของคำนี้ในภาษาไทย คลี่คลายไปสู่ความหมายเชิง "ประท้วง" ต่อสังคมที่ถือเอาลำดับขั้นของสถานภาพอย่างเคร่งครัดไม่นานมานี้เอง ในขณะที่ความหมายก่อนหน้านี้คือการให้ความชอบธรรมแก่การแบ่งสถานภาพก็ยังอยู่ และถูกใช้ในอีกเงื่อนไขหนึ่งอยู่บ้าง
เมื่อผู้ปราศรัยบนเวที ชี้หน้าผู้ร่วมชุมนุมทุกคนว่าพวกเราล้วนเป็น "ไพร่" ผู้ร่วมชุมนุมก็ไม่รู้สึกโกรธว่าถูกเหยียดให้ต่ำ แสดงว่าพวกเขารับรู้ความหมายใหม่ของคำนี้อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งในประจักษ์พยานว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นบ้านนอกขอกตื้อ ที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมไทย
ความหมายเดิมจริงๆ ของคำนี้ในภาษาไทยอาจพอแปลเทียบกับคำว่า "เสรีชน" ได้กระมัง เพราะในรัฐไทดำของลุ่มน้ำดำ (ซึ่งเป็นรูปแบบที่เชื่อกันว่ามีลักษณะเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐไทย-ลาว) เขาแบ่งประชาชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือพวก "ไท-ไต" ซึ่งมีสิทธิ์ถืออาวุธหรือเป็นทหาร, ถือครองที่ดินส่วนที่เป็นที่ราบลุ่ม, และใช้เครื่องมือการเกษตรบางชนิดได้ กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "ไป" หรือ "ปาย" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกับ "ไพร่" ในภาษาไทยกลางนั้นเอง
อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกที่เรียกรวมๆ ว่า "ข้า" คือกลุ่มคนที่ต่างชาติพันธุ์ออกไป และมีสิทธิ์ทางสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองด้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม "ไพร่" ที่ปรากฏในสมัยอยุธยา คงเรียกว่า "เสรีชน" ลำบากแล้วล่ะครับ ฝรั่งจัดคนเหล่านี้ไว้เป็นกลุ่มหนึ่งในพวก bondsmen คือคนที่มีพันธะบางอย่างกับคนอื่น
คนอื่นซึ่งไพร่ต้องมีพันธะด้วยนั้น เรียกรวมๆ ว่า "มูลนาย" ประกอบด้วยคนหลายประเภท นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน, ราชตระกูล, ขุนนาง, เจ้าเมืองท้องถิ่น, และคนที่เจ้าเมืองตั้งขึ้นเป็นขุนนางท้องถิ่น ไพร่มีภาระหน้าที่จะต้องส่งส่วยแก่มูลนาย ในรูปของส่วยแรงงาน หรือส่วยสินค้าก็ตาม ถ้าส่งให้หลวงก็เรียกว่าไพร่หลวง ถ้าส่งให้มูลนายอื่นก็เรียกว่าไพร่สม
พันธะอันนี้หมดไปในทางทฤษฎี เมื่อ ร.5 ทรงออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหารเข้ามาแทนที่ หมายความว่า เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ยังมีพันธะต้องเป็นทหารให้แก่กองทัพของหลวงในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็กลายเป็น "เสรีชน" ไปตลอดชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังใช้การเกณฑ์แรงงาน สืบมาโดยเปิดเผยหรือโดยการ "ขอร้อง" ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนถึงระยะแรกๆ ของการพัฒนาหลังการยึดอำนาจของ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ แล้ว
ฉะนั้น ว่ากันตามทฤษฎี ก็ไม่มีไพร่ในสังคมไทยอีกแล้วนับตั้งแต่นั้นมา แต่คำนี้ก็ยังถูกใช้อยู่ต่อมา หากในความหมายใหม่ หรือในจุดเน้นใหม่
ขอให้สังเกตนะครับว่า คู่ตรงข้ามของ "ไพร่" ในกฏหมายตราสามดวงที่ใช้กันมาตั้งแต่อยุธยาจนถึง ร.5 นั้น คือ "มูลนาย" ทั้งสองฝ่ายนี้ถึงจะร่วมวัฒนธรรมใหญ่กันก็จริง แต่ในรายละเอียดแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักความละเอียดซับซ้อนของวัฒนธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ดูละครกันคนละเรื่องและคนละแบบ, ผลิตและใช้วรรณกรรมกันคนละชนิด, ฟังเพลงก็คนละประเภทกัน, แม้แต่เนื้อหาของพระพุทธศาสนาที่ต่างฝ่ายต่างนับถือก็ไม่สู้จะเหมือนกันนัก ฯลฯ
ผมไม่แน่ใจว่า ต่างมีสำนึกเหยียดหยามวัฒนธรรมของกันและกันหรือไม่ เพราะในชีวิตจริงแล้ว ต่างอยู่ในโลกของตน มีความจำเป็นล่วงเข้ามาในโลกของอีกฝ่ายไม่มากนัก แต่แน่นอนว่ามีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไพร่ล่วงเข้ามาในโลกของมูลนาย วัฒนธรรมของไพร่ก็เป็นสิ่งน่าหัวร่อเยาะ หรือน่าเหยียดหยาม นับตั้งแต่อาหารการกิน, การแต่งเนื้อแต่งตัว, มารยาท, ไปจนถึงคุณค่าที่ยึดถือ
แต่ชีวิตที่ถูกแยกออกเป็นสองโลกนี้เริ่มอันตรธานไปในการปฏิรูปของ ร.5 ซึ่งยังสืบทอดอำนาจทางการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไว้ในหมู่พวก "มูลนาย" (หรือกลุ่มหนึ่งของพวก "มูลนาย") เหมือนเดิม แต่บัดนี้เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกจาก "มูลนาย" ให้กลายเป็น "ผู้ดี" แทน
คู่ตรงข้ามของไพร่ในภาษาไทยจึงกลายเป็น "ผู้ดี" ไป
ผมขอยกตัวอย่างการใช้คำว่า "ไพร่" ในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นตัวอย่าง
สำนวนว่า "ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร" นั้นมีความหมายอย่างไร ก.ศ.ร. กุหลาบไปเข้าใจว่า เมื่อพระอัครมเหสีจะประสูติพระราชโอรส-ธิดา ก็โปรดให้ตั้งพระมหาเศวตรฉัตรไว้เหนือที่ซึ่งจะมีพระประสูติกาล ฉะนั้น เมื่อสมเด็จฯ พระองค์นั้นทรงพระนิพนธ์พงศาวดารรัชกาลที่ 5 จึงได้ทรงอธิบายว่า ที่เข้าใจเช่นนั้นเป็นเพราะ ก.ศ.ร. กุหลาบ (ในพระนิพนธ์ไม่ได้ออกชื่อ) เป็น "ไพร่" ไม่รู้ธรรมเนียมเจ้า เพราะความหมายของสำนวนนี้ก็คือ ทรงพระราชสมภพเมื่อพระราชบิดาได้เสวยราชสมบัติแล้วเท่านั้น
(เช่น ร.2 ไม่ได้ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร เพราะขณะนั้นพระราชบิดายังมิได้ครองราชย์ แต่ ร.5 ใช่ เพราะพระราชบิดาได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว)
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วนะครับว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นสามัญชน ล่วงเข้ามาในพื้นที่ของ "ผู้ดี" คือพื้นที่ "วิชาการ" ซึ่ง "ผู้ดี" ในสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อันคนซึ่งปราศจากคุณสมบัติของ "ผู้ดี" จะเข้ามาไม่ได้
คุณสมบัตินั้นคือการศึกษา (ในความหมายกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะประกาศนียบัตร) อย่างหนึ่ง และความรอบรู้เจนจัดในขนบธรรมเนียมประเพณีของ "ผู้ดี" อีกอย่างหนึ่ง
ความหมายของ "ไพร่" จึงเคลื่อนไปจากประเภทของบุคคลที่ไม่ใช่ "มูลนาย" มาเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทที่ถือกันว่าเป็นมารยาท "ผู้ดี"
ความหมายนี้ยิ่งมีพลังมากขึ้น เมื่อความหมายของคำว่า "ผู้ดี" เองก็เริ่มเคลื่อนจากกำเนิด มาสู่คุณสมบัติอื่นซึ่งมนุษย์สามารถแสวงหาไขว่คว้ามาเป็นของตนได้ เช่นมารยาท
หนังสือ "สมบัติผู้ดี" พูดชัดเจนไปเลยว่า กำเนิดไม่ใช่เงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของ "ผู้ดี" แต่มารยาทและความประพฤติซึ่งอาจได้มาจากการอบรมสั่งสอนต่างหากที่จะแยก "ผู้ดี" ให้ออกจาก "ไพร่"
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยของไทย เป็นกระบวนการที่พยายามจะสืบทอดอำนาจของ "มูลนาย" ไว้ให้คงอยู่ในระบบใหม่ด้วย คำว่า "ผู้ดี" ซึ่งแม้จะไม่เน้นในเรื่องกำเนิด แต่ความหมายถึงอภิสิทธิชนอันมาแต่กำเนิดก็ยังแฝงอยู่ในคำนี้ เพราะคนที่จะเป็น "ผู้ดี" ได้ ก็ต้องเติบโตมาในวัฒนธรรมมูลนาย, ได้รับการศึกษาแผนใหม่ซึ่งมีต้นทุนไม่น้อย อีกทั้งต้องมีอิทธิพลที่จะดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานอันเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย
"ผู้ดี"จึงหมายถึงคนมีมารยาทอันงามและเป็นอภิสิทธิชน ในขณะที่ "ไพร่" ซึ่งเป็นตรงกันข้าม คือคนที่หยาบคาย, เป็นสามัญชนคนธรรมดา, ไม่มีอภิสิทธิ์ หรือว่ากันที่จริงแม้แต่สิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะพลเมืองก็มีไม่เต็ม
และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ถูกใช้ในความหมายเชิงประท้วง และผมคิดว่าหนึ่งในคนที่ทำให้ความหมายนี้ขยายไปจนเป็นที่รับรู้กันอย่างมากนั้น คือ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ สักสามทศวรรษมาแล้ว ที่คุณสุจิตต์แกล้งใช้คำนี้ในงานเขียนของตนหลายชิ้น (เช่น เสภาไพร่) จนกระทั่ง ใครๆ ก็สามารถประกาศตัวเป็นไพร่ได้ หากต้องการจะเน้นความเสียเปรียบ หรือความต่ำต้อยของตนเองอันเกิดจากระบบแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ระคายหูชนชั้นสูง เพราะเท่ากับย้ำความเป็นอภิสิทธิชนของพวกเขา ผมทราบมาว่าบางกลุ่มของชนชั้นสูงไม่อยากให้ใช้คำ "ไพร่" เอาเลย ยกเว้นแต่จะใช้เป็นศัพท์วิชาการ เพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมไทยในอดีต
แต่ "ไพร่" ก็เหมือนคำในภาษาทั่วไป คือมีชีวิตของมันเอง หากไม่ตายหรือถูกเลิกใช้ไปเสีย ก็เคลื่อนคลายความหมายไปได้เรื่อยๆ ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในปัจจุบันหากไม่ใช้ในความหมายของศัพท์วิชาการแล้ว "ไพร่" มักมีความหมายในเชิงประท้วงหรือประชดอย่างนี้แหละครับ
"ไพร่" ในความหมายว่าไร้มารยาทและไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเสียอีก ผมกลับไม่ค่อยได้ยินใครใช้
ดังนั้น เมื่อผู้ประท้วงเสื้อแดงเลือกคำว่า "ไพร่" มาใช้เรียกกลุ่มของตนเอง ผมจึงเห็นว่าเป็นการเลือกคำที่ชาญฉลาด เพราะ "ไพร่" คำเดียว แทนประเด็นที่เขาชุมนุมกันได้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็นความอยุติธรรม, สองมาตรฐาน หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการรักษาผลประโยชน์ตนเองอย่างมืดบอดของเหล่าอภิสิทธิชน
ก็จริงหรอกครับ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นวีรบุรุษของคนเสื้อแดงนั้น ก็เป็นอภิสิทธิชนคนหนึ่ง แต่ในทัศนะของคนเสื้อแดง คุณทักษิณเป็นอภิสิทธิชนที่ตกกระป๋อง เพราะระบบที่ไม่ยุติธรรม, สองมาตรฐาน และความเหลื่อมล้ำ อันเป็นระบบที่ทำให้ผู้ประท้วงต้องเป็น "ไพร่"
ยิ่งถ้ามองไปที่ "วาทกรรม" ของไพร่-ผู้ดี ไม่ใช่มองไปที่คำ ผมคิดว่ายิ่งตรงกับประเด็นการประท้วงมากขึ้น วาทกรรมคือข้อสรุปที่สมมติว่าเป็น "ความจริง" อันเกิดขึ้นจากชุดของเหตุผลและข้อเท็จจริงหนึ่ง วาทกรรม "ไพร่-ผู้ดี" ของวัฒนธรรมไทยนั้น คือการแบ่งสิทธิอย่างไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างคนที่สามารถสร้างสถานภาพอันสูงได้ผ่านการศึกษา กับคนที่ไม่สามารถทำได้อย่างนั้น
และก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นะครับ โอกาสของการศึกษานั้นกระจายไปในสังคมไทยอย่างเป็นธรรมหรือไม่เพียงใด หรือการศึกษาเป็นเพียงเครื่องมืออันหนึ่งในการสืบทอดสถานภาพแห่งอภิสิทธิชนจากชั่วอายุคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วอายุคนหนึ่งกันแน่ (สถานภาพที่สามารถสืบทอดถึงลูกหลานได้ก็คือ "ชนชั้น")
คนที่สะพานผ่านฟ้าฯ ใช้คำว่า "ไพร่" ได้ตรงประเด็นเป๊ะ จะผิดอยู่บ้างก็คือตรงเกินไปจนแสนระคายเคือ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
***รัฐธรรมนูญลับลวงพราง***
ปีสองสี่เจ็ดห้า นานมา
ขอเปลี่ยนอำนาจมา ต่ำใต้
ปกเกล้าปิ่นประชา มอบทั่ว ชนนา
เลือกแต่งตัวแทนไว้ ร่วมสร้างรัฐบาล
ใจเบิกบานไพร่ฟ้า แดนสยาม
ชนชื่นธรรมนูญงาม ก่อเกื้อ
ตัวแทนทั่วเขตคาม เดินสู่ สภานา
ถ่ทไถ้ภ่ษีเผื้อ แต่งสร้างเมืองงาม
ยามราษฎร์ทุกข์เสื่อมเซร้า วิบัติ
บอกแก่ตัวแทนรัฐ ป่วยด้วย
รัฐบาลท่านผันผัด พูดผ่อน
งบบ่พอรอฉ้วย เมื่อหน้าเงินพอ
สอสอมันต่ำช้า รานกู
ปฏิวัติมันตกคู หยุดยั้ง
นายทหารใหญ่เป็นครู ครอบทั่ว
รบไล่รุกฉีกทั้ง ถ่มทิ้งธรรมนูญ
อาดูรมาเนิ่นช้า ประชา
พบแต่ความอัปรา พ่ายแฟ้
ธิปไตยแย่งไปมา คิดเบื่อ
ราษฎร์บ่นขวนกันแก้ แต่ได้ลวงพราง
รัฐธรรมนูญนี่นี้ ผีสาว
เขียนแต่งลวงอำพราง ชั่วช้า
การเมืองอ่อนเปราะบาง ตายง่าย
ยุบฆ่าพรรคมันถ้า เก่งท้าอมาตย์ชน
by ปติตันขุนทด
************************************************
ขอเปลี่ยนอำนาจมา ต่ำใต้
ปกเกล้าปิ่นประชา มอบทั่ว ชนนา
เลือกแต่งตัวแทนไว้ ร่วมสร้างรัฐบาล
ใจเบิกบานไพร่ฟ้า แดนสยาม
ชนชื่นธรรมนูญงาม ก่อเกื้อ
ตัวแทนทั่วเขตคาม เดินสู่ สภานา
ถ่ทไถ้ภ่ษีเผื้อ แต่งสร้างเมืองงาม
ยามราษฎร์ทุกข์เสื่อมเซร้า วิบัติ
บอกแก่ตัวแทนรัฐ ป่วยด้วย
รัฐบาลท่านผันผัด พูดผ่อน
งบบ่พอรอฉ้วย เมื่อหน้าเงินพอ
สอสอมันต่ำช้า รานกู
ปฏิวัติมันตกคู หยุดยั้ง
นายทหารใหญ่เป็นครู ครอบทั่ว
รบไล่รุกฉีกทั้ง ถ่มทิ้งธรรมนูญ
อาดูรมาเนิ่นช้า ประชา
พบแต่ความอัปรา พ่ายแฟ้
ธิปไตยแย่งไปมา คิดเบื่อ
ราษฎร์บ่นขวนกันแก้ แต่ได้ลวงพราง
รัฐธรรมนูญนี่นี้ ผีสาว
เขียนแต่งลวงอำพราง ชั่วช้า
การเมืองอ่อนเปราะบาง ตายง่าย
ยุบฆ่าพรรคมันถ้า เก่งท้าอมาตย์ชน
by ปติตันขุนทด
************************************************
"เสธ.แดง" ลั่น เสื้อแดงสู้ไม่ถอย ท้าทหารสลาย
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประกาศให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกจากแยกราชประสงค์ว่า วันนี้ประชาชนพร้อมสู้ไม่ถอย เพราะเขากลัวแพ้จึงออกมากันจำนวนมาก โดยเขาจะสู้จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา และหากจะสลายการชุมนุม ขอท้าให้เข้ามาได้เลย ตอนนี้พวกเขาพร้อมสู้ไม่ถอย เขาจะสู้ด้วยวิธีอหิงสา โดยเขาจะนั่งกันทหาร ถ้าจะสลายก็ต้องมาอุ้มไป และถ้ามีคนเจ็บ หรือมีคนตายเมื่อไร รัฐบาลเจ๊งทันที ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมแบ่งกำลังมาที่แยกราชประสงค์ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปที่สีลม และเยาวราช หากตำรวจจะกับทหารจะมาตั้งสกัด เชื่อว่า จะเอากลุ่มผู้ชุมนุมไม่อยู่ เพราะขณะนี้กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก หรือหากจะจับกุมแกนนำก็คงเข้ามาไม่ได้ เพราะมีผู้ชุมนุมจำนวนมากกันไว้อยู่ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่า ขอให้สู้จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา และได้ประชาธิปไตยคืน ขอให้เดินหน้าเต็มสตรีมไม่ต้องถอย
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำได้หรือไม่ว่า ตอนเป็นฝ่ายค้านพูดไว้ว่า หากเป็นผม ผมไม่อยู่แล้วคนออกมามากขนาดนี้ และ วันนี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ใช้อำนาจเต็มที่ เพื่อช่วยรัฐบาล เพราะต้องการปรามรัฐบาลว่า อย่าเอาเรื่องทุจริตมาเล่น ทำให้ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาล ต้องร่วมมือกัน เพราะต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ เพราะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แต่ถ้าขัดกันเมื่อไร ทหารจะออกมาวางระเบิดเอง ส่วน ผบ.ทบ.จำได้หรือไม่ในสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีกลุ่มพันธมิตรมาชุมนุมขับไล่ เคยพูดว่า ถ้าเป็นผม ผมจะยุบสภาหรือลาออก แต่สถานการณ์วันนี้ยิ่งกว่าวันนั้น วันนี้มีม็อบมหาศาลทั้งสองจุด แต่ไม่เห็นมาพูดว่า ให้ยุบสภาเลย วันนี้ ผบ.ทบ.ลืมไปแล้ว แถมยังกลืนน้ำลายตัวเองอีก” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วันนี้ ผบ.ทบ.ขาดความชอบธรรม ทำให้จะจบไม่สวย เมื่อเกษียณไปก็ตายตาไม่หลับ เพราะทำให้ประชาชนกังขาในหลายประเด็น และเมื่อวันที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่มีรถถัง ไม่มีตำแหน่ง จะถูกประชาชนเอาตีนตบตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย เหมือนหมาแน่ๆ วันนี้ ผบ.ทบ.นอกจากจะถูกกัมพูชาดูถูก ยังถูกต่างชาติดูถูกที่ถอนกำลังจากชายแดน กลับไปรักษาตัวเองในช่วงเวลาที่เหลือ 5 เดือน พล.อ.อนุพงษ์ ถือเป็น ผบ.ทบ.ที่สร้างประวัติศาสตร์ เพราะสามารถทำให้กองทัพตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสามารถย้ายการรบจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาที่กรุงเทพฯได้ กระทรวงกลาโหม หน่วยทหารต่างๆถูกยิง แม้กระทั่งห้องผบ.ทบ.ยังโดนยิง และ ขนาดมีทหารเป็นแสนไปรักษาความปลอดภัยที่สาธารณสุขยังโดนยิง ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ เคยออกมายิงสลายม็อบช่วงเดือนเม.ย. 52 ทำให้พี่น้องตอนนี้เขาออกมาเพื่อเอาคืน
เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจมีการระบุว่า จปร. 20 เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ปกติ จปร. 20 ไม่ยุ่งกับใคร และไม่มีประเด็นเกี่ยวข้อง เพราะไม่ใช่พวกฮาร์ดคอร์ แต่ จปร. 20 เป็นเด็กเรียบร้อยทั้งนั้น ทั้งพล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล อดีตประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม มีนิสัยเรียบร้อยเป็นนักจัดรายการ นักพูด ด้านพล.วิชิต ยาทิพย์ อดีต รอง ผบ.ทบ. ก็อยู่ในกรอบของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนประนีประนอม ส่วน พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่เป็นประธานรุ่น จปร. 20 ก็เป็นหัวหน้านักเรียนที่เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว และไม่มีแนวทางฮาร์ดคอร์ ดังนั้นการที่ตำรวจพูดอย่างนี้เป็นการพูดไปเรื่อย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำได้หรือไม่ว่า ตอนเป็นฝ่ายค้านพูดไว้ว่า หากเป็นผม ผมไม่อยู่แล้วคนออกมามากขนาดนี้ และ วันนี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ใช้อำนาจเต็มที่ เพื่อช่วยรัฐบาล เพราะต้องการปรามรัฐบาลว่า อย่าเอาเรื่องทุจริตมาเล่น ทำให้ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาล ต้องร่วมมือกัน เพราะต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ เพราะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แต่ถ้าขัดกันเมื่อไร ทหารจะออกมาวางระเบิดเอง ส่วน ผบ.ทบ.จำได้หรือไม่ในสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีกลุ่มพันธมิตรมาชุมนุมขับไล่ เคยพูดว่า ถ้าเป็นผม ผมจะยุบสภาหรือลาออก แต่สถานการณ์วันนี้ยิ่งกว่าวันนั้น วันนี้มีม็อบมหาศาลทั้งสองจุด แต่ไม่เห็นมาพูดว่า ให้ยุบสภาเลย วันนี้ ผบ.ทบ.ลืมไปแล้ว แถมยังกลืนน้ำลายตัวเองอีก” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วันนี้ ผบ.ทบ.ขาดความชอบธรรม ทำให้จะจบไม่สวย เมื่อเกษียณไปก็ตายตาไม่หลับ เพราะทำให้ประชาชนกังขาในหลายประเด็น และเมื่อวันที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่มีรถถัง ไม่มีตำแหน่ง จะถูกประชาชนเอาตีนตบตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย เหมือนหมาแน่ๆ วันนี้ ผบ.ทบ.นอกจากจะถูกกัมพูชาดูถูก ยังถูกต่างชาติดูถูกที่ถอนกำลังจากชายแดน กลับไปรักษาตัวเองในช่วงเวลาที่เหลือ 5 เดือน พล.อ.อนุพงษ์ ถือเป็น ผบ.ทบ.ที่สร้างประวัติศาสตร์ เพราะสามารถทำให้กองทัพตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสามารถย้ายการรบจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาที่กรุงเทพฯได้ กระทรวงกลาโหม หน่วยทหารต่างๆถูกยิง แม้กระทั่งห้องผบ.ทบ.ยังโดนยิง และ ขนาดมีทหารเป็นแสนไปรักษาความปลอดภัยที่สาธารณสุขยังโดนยิง ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ เคยออกมายิงสลายม็อบช่วงเดือนเม.ย. 52 ทำให้พี่น้องตอนนี้เขาออกมาเพื่อเอาคืน
เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจมีการระบุว่า จปร. 20 เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ปกติ จปร. 20 ไม่ยุ่งกับใคร และไม่มีประเด็นเกี่ยวข้อง เพราะไม่ใช่พวกฮาร์ดคอร์ แต่ จปร. 20 เป็นเด็กเรียบร้อยทั้งนั้น ทั้งพล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล อดีตประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม มีนิสัยเรียบร้อยเป็นนักจัดรายการ นักพูด ด้านพล.วิชิต ยาทิพย์ อดีต รอง ผบ.ทบ. ก็อยู่ในกรอบของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนประนีประนอม ส่วน พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่เป็นประธานรุ่น จปร. 20 ก็เป็นหัวหน้านักเรียนที่เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว และไม่มีแนวทางฮาร์ดคอร์ ดังนั้นการที่ตำรวจพูดอย่างนี้เป็นการพูดไปเรื่อย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
กองทัพอย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน ระวังโลกาวินาศ
ข้อสังเกตุการประกาศ เงื่อนไขการใช้กฎหมายความมั่นคงเพิ่มเติมเมื่อคืนที่ผ่านมา
เพื่อกดดันและเตรียมปราบปรามประชาชน
ทหารแตงโมแจ้งว่า มาร์ก ไม่กล้าลงนาม ให้เทือกลงนาม
ให้ ไก่อู และมอกระเป๋า ออกประกาศแทน
ทหารส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะใช้กำลังปราบประชาชน
แต่มีผู้แจ้งว่าคนที่กระ...นกระหือที่จะปราบประชาชน
มีเพียง 2คนคือ เทือกกับโอชา
ทหารตำรวจพร้อมอาวุธกว่าห้าหมื่น
ถ้าจะปิดล้อมมวลชนหลายแสน ตีตัดไม่ให้มวลชนรวมกัน
น่าจะทำได้ยาก เพราะทหารตำรวจจะต้อง แบ่งแยกกำลัง
แต่จะต้องถูกตอบโต้แน่นอนจากมวลชนเรือนแสนแน่นอน
โดยอาศัยกำลังจำนวนมาก แบ่งกำลังแล้วโอบล้อมตีโอบ
มวลชนไม่ยอมอีกต่อไป พวกเขาพร้อมที่จะปลดแอกบนบ่า
กองทัพทหาร อย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
มวลชนจะลุกฮือขึ้นต่อต้านทุกจังหวัด ไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล
พวกเขาเตรียมสู้อยู่แล้ว
ลองนึกภาพดู จะเป็นอย่างไร
ในสถานการณ์ในขณะนี้
ทางออกที่ดีที่สุด มี 2 ประการคือ
ประการแรกกองทัพเลิกอุ้มรัฐบาล เพราะไม่เกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมือง
ทำให้พลังอำนาจของขาติเสื่อมทรุดลงทุกวัน หรือว่าพวกท่านไม่สนใจประชาชน
อย่าหลอกตัวเองอยู่อีกต่อไป
ซึ่งประวัติศาสตร์จะจารึกว่าพวกท่านเป็นผู้ทำลายชาติเสียเอง
ประการที่สองรัฐบาลต้องยุบสภาหลีกเลี่ยงการสูญเสียเป็นวิธีทางการเมืองที่ เหมาะสมที่สุด
ใช้วิถึทางตามระบอบประชาธิปไตย อย่าใช้กำลังทหารตามวิธีของทหาร
หากนายกฯไม่ยุบสภา ในอนาคตประวัติศาสตร์จะจารึกว่าเป็นทรราชแน่ๆ
ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ บังเกิดทุรยุคในประเทศ
กองทัพอย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
และอย่าใช้เครือข่ายตุลาการปราบปรามประชาชน
ระวังโลกาวินาศ
by ตุลานิรนาม
**************************************************
เพื่อกดดันและเตรียมปราบปรามประชาชน
ทหารแตงโมแจ้งว่า มาร์ก ไม่กล้าลงนาม ให้เทือกลงนาม
ให้ ไก่อู และมอกระเป๋า ออกประกาศแทน
ทหารส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะใช้กำลังปราบประชาชน
แต่มีผู้แจ้งว่าคนที่กระ...นกระหือที่จะปราบประชาชน
มีเพียง 2คนคือ เทือกกับโอชา
ทหารตำรวจพร้อมอาวุธกว่าห้าหมื่น
ถ้าจะปิดล้อมมวลชนหลายแสน ตีตัดไม่ให้มวลชนรวมกัน
น่าจะทำได้ยาก เพราะทหารตำรวจจะต้อง แบ่งแยกกำลัง
แต่จะต้องถูกตอบโต้แน่นอนจากมวลชนเรือนแสนแน่นอน
โดยอาศัยกำลังจำนวนมาก แบ่งกำลังแล้วโอบล้อมตีโอบ
มวลชนไม่ยอมอีกต่อไป พวกเขาพร้อมที่จะปลดแอกบนบ่า
กองทัพทหาร อย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
มวลชนจะลุกฮือขึ้นต่อต้านทุกจังหวัด ไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล
พวกเขาเตรียมสู้อยู่แล้ว
ลองนึกภาพดู จะเป็นอย่างไร
ในสถานการณ์ในขณะนี้
ทางออกที่ดีที่สุด มี 2 ประการคือ
ประการแรกกองทัพเลิกอุ้มรัฐบาล เพราะไม่เกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมือง
ทำให้พลังอำนาจของขาติเสื่อมทรุดลงทุกวัน หรือว่าพวกท่านไม่สนใจประชาชน
อย่าหลอกตัวเองอยู่อีกต่อไป
ซึ่งประวัติศาสตร์จะจารึกว่าพวกท่านเป็นผู้ทำลายชาติเสียเอง
ประการที่สองรัฐบาลต้องยุบสภาหลีกเลี่ยงการสูญเสียเป็นวิธีทางการเมืองที่ เหมาะสมที่สุด
ใช้วิถึทางตามระบอบประชาธิปไตย อย่าใช้กำลังทหารตามวิธีของทหาร
หากนายกฯไม่ยุบสภา ในอนาคตประวัติศาสตร์จะจารึกว่าเป็นทรราชแน่ๆ
ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ บังเกิดทุรยุคในประเทศ
กองทัพอย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
และอย่าใช้เครือข่ายตุลาการปราบปรามประชาชน
ระวังโลกาวินาศ
by ตุลานิรนาม
**************************************************
‘พท.’ฉีกหน้ารัฐบาลขี้โม้ แฉเศรษฐกิจไทยยังหืดจับ
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แถลงต่อกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าเศรษฐกิจในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดีขึ้นว่า สิ่งที่ รมว.คลังพูดนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะเป็นการอ้างตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลจากการฟื้นตัวชั่วคราวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจไทยในเวลานี้จึงฟื้นตัวอยู่เฉพาะเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ภูมิภาคนี้และไม่ใช่ไทยประเทศเดียวแต่เป็นการปรับสูงขึ้นทั้งภูมิภาคเลยก็ว่าได้ "จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแค่เดือนมีนาคมเดือนเดียวยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติสูงกว่า 40,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนการส่งออกทุกวันนี้ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากความต้องการในตลาดต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่หากไปดูตัวเลขที่แท้จริงจะพบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยตลอดปี 52 ยังต่ำกว่าปี 51"
ด้านการท่องเที่ยวก็มีการปรับลดเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 52 ลงไปก่อนหน้านี้ จากเดิมตั้งไว้ 16 ล้านคน รัฐบาลมาเปลี่ยนให้ต่ำลงเป็น 10 ล้านคน พอตัวเลขการท่องเที่ยวของปี 52 ประกาศออกมาอยู่ที่ 14.094 ล้านคน รัฐบาลก็ออกมาแถลงว่าเกินเป้าทั้งที่จริงแล้วสถิตินักท่องเที่ยวปี 52 ยังต่ำกว่าทั้งปี 50 และ 51 นอกจากนี้ยังมีความสับสนในเรื่องข้อมูลระหว่างรัฐมนตรีที่กำกับดูแลและภาคเอกชน เพราะฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขดีขึ้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขลดลง "การลงทุนจากต่างประเทศทุกวันนี้ก็ยังติดลบอยู่ ตัวเลขการอนุมัติการลงทุนของ BOI ของปี 52 ต่ำกว่าปี 51 ทั้งจำนวนโครงการ มูลค่าโครงการ และทุนจดทะเบียน รวมทั้งปัญหามาบตาพุดที่วันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าและไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขปัญหาได้ในเร็ววันนี้"
ส่วนปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำที่กระทบชาวไร่ ชาวนาเกิดขึ้นจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล ทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำทั้งๆที่ราคาข้าวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น วันนี้ราคาข้าวขาว 5% ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 9,666.22 บาท ต่อตัน ต่ำกว่าสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ 10,051.12 บาทต่อตัน และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ 11,375.97 บาทต่อตัน
ปัญหาภัยแล้งทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ให้ ความสนใจกับปัญหานี้ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก รัฐบาลพูดแต่เพียงว่าจะไปเจรจากับประเทศจีนเรื่องแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวและไม่มีมาตรการอะไรออกมาที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแต่อย่างใด มีโรงเรียนมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศที่ขาดแคลนน้ำดื่มมากกว่า 2,000 แห่ง ขาดน้ำอย่างรุนแรงซึ่งยังไม่เห็นรัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหาแต่อย่างใด "หนี้นอกระบบทุกวันนี้มีผู้ลงทะเบียน 1,181,133 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 122,406.2 ล้านบาท แต่เจรจาสำเร็จเพียงแค่ 34,225 ราย วงเงิน 3,077.85 ล้านบาทหรือช่วยไปได้แค่ 2.8% เท่านั้น ถือว่าเรื่องนี้รัฐบาลยังล้มเหลวอยู่"
นายปานปรีย์กล่าวสรุปว่า การที่รัฐบาลกล่าวอ้างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยหยิบยกตัวเลขบางตัวขึ้นมากล่าวอ้างนั้นทั้งเรื่องตลาดหุ้นหรือการส่งออกก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแต่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลงานหรือนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด พรรคเพื่อไทยขอให้รัฐบาลกลับไปเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเสียก่อน
"พรรคเพื่อไทยคิดว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นและรัฐบาลควรที่จะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเศรษฐกิจดีทำไมเรายังสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นรายวันอยู่ ไม่มีแนวโน้มที่จะคืนหนี้เลย หากเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจริง รัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มให้ครบวงเงิน 400,000 ล้าน ก็ควรระงับการกู้เพิ่มตั้งแต่นี้ไปทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่เกิดภาระต่อหนี้สาธารณะของประเทศ" นายปานปรีย์กล่าว
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ภูมิภาคนี้และไม่ใช่ไทยประเทศเดียวแต่เป็นการปรับสูงขึ้นทั้งภูมิภาคเลยก็ว่าได้ "จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแค่เดือนมีนาคมเดือนเดียวยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติสูงกว่า 40,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนการส่งออกทุกวันนี้ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากความต้องการในตลาดต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่หากไปดูตัวเลขที่แท้จริงจะพบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยตลอดปี 52 ยังต่ำกว่าปี 51"
ด้านการท่องเที่ยวก็มีการปรับลดเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 52 ลงไปก่อนหน้านี้ จากเดิมตั้งไว้ 16 ล้านคน รัฐบาลมาเปลี่ยนให้ต่ำลงเป็น 10 ล้านคน พอตัวเลขการท่องเที่ยวของปี 52 ประกาศออกมาอยู่ที่ 14.094 ล้านคน รัฐบาลก็ออกมาแถลงว่าเกินเป้าทั้งที่จริงแล้วสถิตินักท่องเที่ยวปี 52 ยังต่ำกว่าทั้งปี 50 และ 51 นอกจากนี้ยังมีความสับสนในเรื่องข้อมูลระหว่างรัฐมนตรีที่กำกับดูแลและภาคเอกชน เพราะฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขดีขึ้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขลดลง "การลงทุนจากต่างประเทศทุกวันนี้ก็ยังติดลบอยู่ ตัวเลขการอนุมัติการลงทุนของ BOI ของปี 52 ต่ำกว่าปี 51 ทั้งจำนวนโครงการ มูลค่าโครงการ และทุนจดทะเบียน รวมทั้งปัญหามาบตาพุดที่วันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าและไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขปัญหาได้ในเร็ววันนี้"
ส่วนปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำที่กระทบชาวไร่ ชาวนาเกิดขึ้นจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล ทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำทั้งๆที่ราคาข้าวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น วันนี้ราคาข้าวขาว 5% ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 9,666.22 บาท ต่อตัน ต่ำกว่าสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ 10,051.12 บาทต่อตัน และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ 11,375.97 บาทต่อตัน
ปัญหาภัยแล้งทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ให้ ความสนใจกับปัญหานี้ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก รัฐบาลพูดแต่เพียงว่าจะไปเจรจากับประเทศจีนเรื่องแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวและไม่มีมาตรการอะไรออกมาที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแต่อย่างใด มีโรงเรียนมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศที่ขาดแคลนน้ำดื่มมากกว่า 2,000 แห่ง ขาดน้ำอย่างรุนแรงซึ่งยังไม่เห็นรัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหาแต่อย่างใด "หนี้นอกระบบทุกวันนี้มีผู้ลงทะเบียน 1,181,133 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 122,406.2 ล้านบาท แต่เจรจาสำเร็จเพียงแค่ 34,225 ราย วงเงิน 3,077.85 ล้านบาทหรือช่วยไปได้แค่ 2.8% เท่านั้น ถือว่าเรื่องนี้รัฐบาลยังล้มเหลวอยู่"
นายปานปรีย์กล่าวสรุปว่า การที่รัฐบาลกล่าวอ้างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยหยิบยกตัวเลขบางตัวขึ้นมากล่าวอ้างนั้นทั้งเรื่องตลาดหุ้นหรือการส่งออกก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแต่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลงานหรือนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด พรรคเพื่อไทยขอให้รัฐบาลกลับไปเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเสียก่อน
"พรรคเพื่อไทยคิดว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นและรัฐบาลควรที่จะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเศรษฐกิจดีทำไมเรายังสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นรายวันอยู่ ไม่มีแนวโน้มที่จะคืนหนี้เลย หากเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจริง รัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มให้ครบวงเงิน 400,000 ล้าน ก็ควรระงับการกู้เพิ่มตั้งแต่นี้ไปทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่เกิดภาระต่อหนี้สาธารณะของประเทศ" นายปานปรีย์กล่าว
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)